วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

มอบความประทับใจไปพร้อมกับบริการแบบออนไลน์

อิน เทอร์เน็ตทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น ในขณะเดียวกันได้ให้วิธีการใหม่ๆ ในการบริการลูกค้า คุณสามารถใช้วิธีการ 6 วิธีต่อไปนี้ ซึ่งเป็นการใช้เว็บเพื่อช่วยให้ลูกค้าของคุณสามารถแก้ปัญหาด้วยตนเองได้

การบริการลูกค้าแบบออนไลน์ที่ยอดเยี่ยมเริ่มต้น และสิ้นสุดด้วยการสนับสนุนให้ลูกค้าแก้ปัญหาด้วยตนเอง

เป้า หมายของคุณคือการเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถค้นหาข้อมูลจากธุรกิจของคุณได้ สะดวกและรวดเร็วโดยไม่ต้องติดต่อกับบริษัทโดยตรง ลูกค้าของคุณจะรู้สึกสะดวกสบายมากขึ้นจากการได้รับคำตอบได้โดยไม่มีข้อจำกัด เรื่องเวลา

และธุรกิจของคุณจะสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านการบริการลงได้ จากค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการตอบคำถามทางโทรศัพท์ หรือการพิมพ์และส่งโบรชัวร์ต่างๆ ทางจดหมาย

วิธีการ 6 วิธีต่อไปนี้จะทำให้คุณสามารถช่วยให้ลูกค้าของคุณแก้ปัญหาด้วยตนเองได้

คำ ถามที่ถามบ่อย (FAQ)

คำถามที่ถามบ่อย (FAQ) ได้กลายเป็นช่องทางหลักในการแก้ปัญหาด้วยตนเองแบบออนไลน์ เพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ FAQ ควรจะแสดงคำถามที่ธุรกิจของคุณได้รับจากลูกค้าบ่อยที่สุด ซึ่งอาจรวมถึงลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์ ข้อมูลผู้ติดต่อ หรือตัวเลือกการสั่งซื้อ คุณสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ ของคุณใน FAQ แต่คุณต้องระมัดระวังคำถามและคำตอบของคุณให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักใน การให้บริการ นั่นคือ การให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้แก่ผู้เยี่ยมชม

ข้อมูล และโปรแกรมปรับปรุง

เอกสารเกี่ยวกับการบริการใดบ้างที่คุณสามารถ โพสต์ไปยังเว็บไซต์ คุณสามารถจัดทำเอกสารคำแนะนำ คู่มือผลิตภัณฑ์ แบบฟอร์มมาตรฐาน บทความเกี่ยวกับวิธีการใช้งาน รวมทั้งเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งานแบบออนไลน์ได้ คุณสามารถโพสต์เอกสารเหล่านี้ในรูปแบบไฟล์ .PDF ที่ดาวน์โหลดได้ เช่นเดียวกัน ถ้าคุณสามารถส่งผลิตภัณฑ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ให้พิจารณาการใช้เว็บเป็นช่องทางในการจัดส่ง บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ต่างๆ ได้ใช้วิธีการนี้มานานแล้ว แทนที่จะส่งโปรแกรมปรับปรุงและ Patch ไปยังลูกค้านับพันของคุณทางจดหมาย คุณสามารถโพสต์ไฟล์เหล่านั้นไปยังเว็บ แล้วให้ผู้ใช้เข้าไปยังเว็บไซต์นั้นอย่างสม่ำเสมอเพื่อดาวน์โหลดไฟล์

นโยบาย

คุณ ควรระบุนโยบายของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ชัดเจนเพื่อ หลีกเลี่ยงผลกระทบที่เกิดจากความเข้าใจผิดของลูกค้า ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณจำหน่ายผลิตภัณฑ์ คุณควรแสดงนโยบายการจัดส่งและการรับคืนสินค้าให้ลูกค้าค้นหาได้ง่าย คุณมีการรับประกันการคืนเงินหรือไม่ คุณควรอธิบายให้ลูกค้าทราบถึงวิธีการใช้สิทธิ์ดังกล่าว

การติดตามการ สั่งซื้อ

คุณสามารถลดงานของศูนย์บริการลูกค้าได้โดยให้ผู้ซื้อติดตาม ความคืบหน้าของการจัดการสินค้าที่สั่งซื้อแบบออนไลน์ ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกค้าต้องการทราบว่าของขวัญวันเกิดที่เธอสั่งซื้อจะมาถึงทันเวลาหรือไม่ เธอสามารถป้อนหมายเลขการยืนยันการสั่งซื้อเพื่อดูรายละเอียดต่างๆ เช่น วันที่จัดส่ง และวันที่สินค้าจะมาถึง การบริการตนเองดังกล่าวจะช่วยให้ศูนย์บริการลูกค้ามีเวลาในการรับเรื่องที่ สำคัญๆ เช่น เมื่อการจัดส่งมีข้อผิดพลาด

ประวัติการสั่งซื้อ

ลูกค้า ที่มีการสั่งซื้อสินค้าจากคุณบ่อยครั้งจะรู้สึกยินดีที่สามารถเข้าถึงราย ละเอียดของการสั่งซื้อสินค้าในครั้งก่อนๆ ได้ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาทราบว่าผลิตภัณฑ์ใดที่มีการสั่งซื้อเป็นประจำแทนการ เลือกสินค้าจากแคตตาล็อกของคุณ คุณยังสามารถช่วยให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าเดิมได้อย่างรวดเร็วโดยให้ลูกค้า วางสินค้าจากการสั่งซื้อครั้งก่อนลงในตะกร้าสินค้า

ข้อมูลผู้ติดต่อ

คุณ สามารถสนับสนุนให้ลูกค้าบริการตนเองได้ แต่คุณควรจัดเตรียมช่องทางการติดต่ออื่นๆ ในกรณีที่ลูกค้าไม่สามารถบริการตนเองได้ คุณควรโพสต์อีเมลแอดเดรสของแผนกบริการลูกค้าให้เห็นเด่นชัด รวมทั้งแสดงข้อมูลการติดต่อทางโทรศัพท์ สิ่งสำคัญคือ การทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงสิ่งพิเศษด้วยการคาดเดาความต้องการ และจัดเตรียมช่องทางที่ลูกค้าสามารถได้รับในสิ่งที่ต้องการได้อย่างง่ายๆ

การสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า

บริษัทของคุณ สามารถใช้กลยุทธ์การเข้าถึงแต่ละบุคคลในการทำตลาด ซึ่งจะช่วยให้ผลการดำเนินงานของคุณดีขึ้นอย่างมาก โปรดอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนต่างๆ สำหรับการดำเนินการ

**
การเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้อง
**

หากคุณคิดว่าการบริการลูกค้าที่ดีมีผลโดยตรงต่อ ความพึงพอใจของลูกค้า คุณควรคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง

ทุกวันนี้ สิ่งสำคัญที่เราพูดถึงกันโดยรวมคือ "ความพึงพอใจของลูกค้า" Sheri Bridges ศาสตราจารย์ด้านการตลาดจาก Wake Forest University ในประเทศสหรัฐอเมริกากล่าว เธอแยก "ความพึงพอใจ" ของลูกค้าออกเป็นรายบุคคล เพื่อให้ความสำคัญกับความต้องการและความจำเป็นของแต่ละบุคคล

ธุรกิจ ขนาดใหญ่และขนาดเล็กในทุกส่วนตลาดของระบบเศรษฐกิจได้หันมาใช้กลยุทธ์การให้ ความสำคัญกับลูกค้าแต่ละรายกันอย่างกว้างขวาง กลยุทธ์ดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อ การบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) และการตลาดแบบ One-To-One ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยี (เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เครื่องมือจัดการฐานข้อมูล และอินเทอร์เน็ต) เพื่อให้นักการตลาดสามารถเข้าถึง และเข้าใจลูกค้าของตนได้มากขึ้น

ลักษณะ พื้นฐานดังกล่าวไม่สามารถ "นำมา" ใช้ในธุรกิจได้ Martha Rogers ผู้บริหารกิจการซึ่งมี Don Peppers เป็นหุ้นส่วนใน Peppers & Rogers Group และผู้นำแนวคิด CRM กล่าว แต่จะต้อง "ปลูกฝัง" เป็นวัฒนธรรมภายในของบริษัท ซึ่งสามารถอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมได้ว่า กลยุทธ์การเข้าถึงแต่ละบุคคลสำหรับการบริการลูกค้าสามารถแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนคือ การแยกประเภทลูกค้า การศึกษาลูกค้า และการบริการลูกค้า

กำหนด เป้าหมายของแผนการตลาดของคุณ

"สิ่งสำคัญของการบริการลูกค้าที่ดีคือ การกำหนดเป้าหมายอย่างเหมาะสม" Bridges กล่าว ความหมายของข้อความข้างต้นคือ คุณไม่ควรให้ความสำคัญเป็นการส่วนตัวกับลูกค้าที่ไม่ได้ซื้อผลิตภัณฑ์หรือ บริการของคุณเป็นประจำ "ให้ความสำคัญกับลูกค้าที่รู้สึกพึงพอใจกับประโยชน์ที่คุณเสนอ โดยยินดีที่จะเสียค่าตอบแทนเพื่อรับประโยชน์เหล่านั้น" Bridges กล่าว

วิธี การ 2 วิธีต่อไปนี้จะช่วยให้คุณสามารถกำหนดเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง

หยุดคิดถึง ส่วนแบ่งตลาด แต่ให้คิดถึง "ส่วนแบ่งลูกค้า" แทน ความภักดีหรือจำนวนเงินที่แต่ละบุคคลยินดีที่จะใช้ในการซื้อสิ่งที่คุณเสนอ ขาย เป้าหมายของการทำตลาดรายบุคคลคือ การเพิ่มส่วนแบ่งลูกค้า

ศึกษาวิธี การแยกลูกค้าที่ "ไม่ใช่เป้าหมาย" คุณไม่ควรเสียเวลาและให้ความสนใจกับลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณเมื่อมีการ ลดราคาเท่านั้น และซื้อผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งเมื่อไม่มีการลดราคา หรือลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณ แต่ไม่พึงพอใจกับผลิตภัณฑ์ของคุณ

คุณ สามารถแยกลูกค้าที่มีความภักดีต่อตราสินค้า และคุณสามารถสร้างความภักดีให้กับตราสินค้าได้ ในการดำเนินการดังกล่าว คุณจะต้องรู้จักลูกค้าของคุณ

ความเข้าใจคือขุมพลัง

"เพื่อเอา ชนะใจลูกค้า คุณจะต้องรู้จักลูกค้ามากกว่าคู่แข่งของคุณ" Rogers กล่าว

คุณ สามารถใช้วิธีการ 3 วิธีต่อไปนี้เพื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าของคุณ

ให้รางวัล แก่ลูกค้าเมื่อพวกเขาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง Rogers กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นสิ่งที่ร้าน Zane's Bicycles ได้กระทำเมื่อประสบกับปัญหาการแข่งขันที่รุนแรงจากร้านค้าชั้นนำ 2 ร้าน Zane ได้เสนอบริการบำรุงรักษาจักรยานฟรี 1 ปีสำหรับลูกค้า 35,000 รายเพื่อแลกกับ "การตอบคำถามด้านการเสริมสร้างความสัมพันธ์" ผู้จำหน่ายได้ใช้ข้อมูลนั้นในการจัดทำโปรไฟล์ของลูกค้าแต่ละราย เพื่อใช้ในกิจกรรมด้านการตลาดแบบ One-To-One ความพยายามดังกล่าวไม่เพียงทำให้ธุรกิจของ Zane มีความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย

พูดคุยกับ ลูกค้าในทางที่จะทำให้เกิดประโยชน์ "ผมไม่ได้หมายถึงการพูดคุยที่ก่อให้เกิดความรำคาญ" Ron Zemke ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการบริการลูกค้ามาแล้ว 25 เล่มในสองทศวรรษที่ผ่านมากล่าว "ผมกำลังพูดถึงการรับความคิดเห็นที่แท้จริงของลูกค้า ให้กล่าวกับลูกค้าว่า 'มองที่ตาของฉัน แล้วบอกความจริงให้ฉันทราบ'" Zemke ยังกล่าวเสริมอีกว่า ความคิดเห็นที่ได้จากลูกค้าจะมีคุณค่า เมื่อมีการตอบสนองอย่างเหมาะสม

ใช้ เทคโนโลยีเพื่อขยายขอบเขตการเข้าถึง อินเทอร์เน็ตอาจเป็นเครื่องมือการบริการลูกค้าที่ทรงพลังและไม่มีขีดจำกัด นอกจากการใช้เว็บไซต์เพื่อรับทราบความคิดเห็นที่แท้จริงของลูกค้า ธุรกิจต่างๆ สามารถเข้าถึงแต่ละบุคคลได้โดยการใช้อีเมล เจ้าของธุรกิจต่างๆ อาจเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับการสำรวจการใช้งานอินเทอร์เน็ตของธุรกิจขนาดเล็ก ในปี 2001 โดย Gallup Organisation ซึ่งผลการสำรวจพบว่า 37% ของ 500 บริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจมีเว็บไซต์ โดยบริษัทที่มีการใช้อินเทอร์เน็ตเหล่านี้มากกว่าครึ่งหนึ่งมีการติดต่อกับ ลูกค้าเป็นประจำทางอีเมล

ยิ่งคุณทราบ ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าของคุณมากเท่าใด คุณจะสามารถสร้าง "สายสัมพันธ์" กับลูกค้าได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่ลูกค้าจะหันไปใช้บริการของคู่แข่ง เทคโนโลยีจะช่วยให้สายสัมพันธ์ที่มีในแต่ละบุคคลนี้เชื่อมต่อถึงกันในบริษัท ไม่ว่าธุรกิจจะดำเนินอยู่ที่ใด การขอหมอนป้องกันภูมิแพ้ที่โรงแรม Ritz-Carlton จะทำให้โรงแรมที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันทั้งหมดทราบถึงความต้องการเฉพาะของคุณ ในทันที

เธอยังกล่าวต่อไปอีกว่า ไม่มีเหตุผลใดที่ธุรกิจขนาดเล็กจะไม่ได้รับประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยี "มีเทคโนโลยีจำนวนมากที่สามารถให้บริการแก่คุณได้ และคุณสามารถ [ปรับปรุง] การทำงานของคุณได้เสมอ" Rogers กล่าว "ให้คิดถึงลูกค้าของคุณ แล้วคิดว่าคุณจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้"

เป็นผู้นำ ในโลกธุรกิจของคุณ

ในการเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ให้ความสำคัญกับ ความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้า ธุรกิจขนาดเล็กอาจมีทั้งความได้เปรียบและเสียเปรียบคู่แข่งที่มีขนาดใหญ่ กว่า

"พวกเขามีโอกาสมากกว่าเนื่องจากพวกเขาสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ได้ในทันที แต่พวกเขาต้องพบกับความท้าทายมากกว่าเนื่องจากพวกเขาขาดทรัพยากร" Zemke กล่าว

"พวกเขาสามารถนำความคิดที่ได้ไปปฏิบัติโดยไม่ต้องรอถึง 7 ปี หรือรอผู้อนุมัติ 42 ราย แต่พวกเขาไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ในระดับเดียวกับบริษัทที่มี 8,000 สาขา"

เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบในเรื่องการควบคุม ธุรกิจขนาดเล็กควรให้ความสำคัญกับตัวแปร 3 ประการต่อไปนี้

สถานที่ ไม่ว่าจะเป็นการเสนอสินค้าผ่านหน้าร้าน แคตตาล็อก หรือเว็บไซต์ ช่องทางที่คุณใช้ควรจะเหมาะกับสินค้าที่คุณขาย หรือมีความเป็นไปได้ Zemke พยายามชักนำให้เจ้าของธุรกิจศึกษาถึงสภาพการดำเนินงานที่ร้านช็อกโกแลต Godiva ได้สร้างขึ้นในเว็บไซต์ Godiva.com ซึ่งเขากล่าวอ้างว่าสามารถเชื่อมโยงกับการขายสินค้าหน้าร้านได้เป็นอย่างดี

กระบวน การ ซึ่งได้แก่ "กฎ นโยบาย และขั้นตอน" ที่ใช้เป็นเครื่องชี้นำและควบคุมการดำเนินธุรกิจ และมีผลโดยตรงต่อความพึงพอใจของลูกค้า ประโยชน์ของธุรกิจขนาดเล็กที่เห็นได้ชัดคือ พวกเขา "สามารถเปลี่ยนกฎต่างๆ จนกว่าจะสามารถนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม" Zemke กล่าว

การ ปฏิบัติ หมายถึง "รูปแบบ" ของการดำเนินการและการปฏิสัมพันธ์ ไม่ว่าภายในร้านค้าหรือขณะออนไลน์ เมื่อมีพนักงานเข้ามาเกี่ยวข้อง แบบอย่างที่ดีที่สุดคือพฤติกรรมของเจ้าของธุรกิจเอง Zemke กล่าว การเป็นแบบอย่างที่ดีจะมีอิทธิพลต่อการทำงานอย่างมาก

สิ่ง สำคัญคือ การบริการลูกค้าที่ดีคือปัจจัยพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน Bridges กล่าว การบริการลูกค้าโดยการให้ความสำคัญเป็นรายบุคคลและการสร้าง "ความพึงพอใจ" ให้กับลูกค้าเป้าหมายของคุณจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถอยู่รอดได้และมี อนาคตที่สดใส

เคล็ดลับวิธีการนำเสนอให้ประทับใจ

ถ้าคุณต้อง นำเสนองาน คุณอาจใช้เคล็ดลับต่อไปนี้เพื่อเปลี่ยน “ประสบการณ์ที่ยากลำบาก” ให้เป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับมืออาชีพ

**
การเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้อง
**

Jerry Seinfeld เคยกล่าวไว้ในรายการแสดงบรอดเวย์ของเขาว่า ถ้ามีให้เลือก คนทั่วไปเลือกที่จะลงไปนอนในโรงศพมากกว่าเลือกเป็นผู้กล่าวคำสรรเสริญคุณ ความดีของผู้เสียชีวิตเสียอีก แต่หากคุณต้องพูดต่อหน้าสาธารณชนแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการเตรียมตัวที่ดี เพื่อให้การนำเสนอประสบความสำเร็จและปราศจากความตึงเครียด การเตรียมพร้อมที่ดีหมายถึงคุณได้ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับผู้ฟังแล้ว คุณทราบเรื่องที่จะพูดเป็นอย่างดี สื่อประกอบการนำเสนอที่ทำมามีความชัดเจนและเข้าใจง่าย และคุณได้ฝึกฝนมาครั้งแล้วครั้งเล่า

คำแนะนำที่น่าสนใจ:

1.

รู้จักสถานที่ ทำความคุ้นเคยกับสถานที่ที่คุณจะพูด ให้มาถึงสถานที่นั้นก่อนเวลานัด เดินรอบๆ สถานที่ที่คุณจะใช้พูดและฝึกฝนการใช้ไมโครโฟนและเครื่องช่วยการนำเสนอต่างๆ

2.

รู้จักผู้ฟัง ทักทายผู้ฟังบางคนที่กำลังเดินเข้ามา โดยทักทายกลุ่มเพื่อนซึ่งง่ายกว่าการทักทายคนที่เราไม่รู้จัก

3.

รู้เนื้อหาที่จะพูด หากคุณไม่คุ้นเคยกับเนื้อหาที่จะพูดหรือไม่สบายใจกับเนื้อหาดังกล่าว คุณจะรู้สึกเครียดมากขึ้น ให้ฝึกพูดและดัดแปลงแก้ไขหากจำเป็น

4.

ผ่อนคลาย ผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยการออกกำลังกาย

5.

นึกภาพตัวคุณกำลังพูด ลองนึกภาพคุณกำลังพูด เสียงดัง ชัดถ้อยชัดคำ และมีความมั่นใจ เมื่อคุณนึกภาพว่าคุณประสบความสำเร็จ คุณก็จะประสบความสำเร็จ

6.

ตระหนักว่าผู้ฟังอยากให้คุณ ประสบความสำเร็จ ผู้ฟังอยากให้คุณพูดอย่างน่าสนใจ โน้มน้าว มีเนื้อหาสาระ และสนุกสนานเพลิดเพลิน ผู้ฟังไม่ต้องการเห็นคุณล้มเหลว

7.

อย่ากล่าวคำขอโทษ หากคุณออกตัวเรื่องความตื่นเต้นของคุณ หรือขอโทษผู้ฟังในเรื่องที่คุณคิดว่าเป็นปัญหาของการพูดของคุณ ก็เท่ากับคุณดึงให้ผู้ชมหันมาสนใจในเรื่องที่พวกเขาไม่ได้สังเกตมาก่อน

8.

เปลี่ยนความตื่นเต้นให้เป็น พลังที่สร้างสรรค์ ใช้พลังงานจากความตื่นเต้นและเปลี่ยนให้เป็นความมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้น

9.

หาประสบการณ์ ประสบการณ์สร้างความมั่นใจซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพูดอย่างมี ประสิทธิภาพ

แนวคิดเกี่ยวกับ PowerPoint:

อุปกรณ์ด้านภาพ เช่น วิดีโอและสไลด์ PowerPoint เป็นสิ่งที่ดีในการเรียกความสนใจของผู้ฟังให้มุ่งมาที่เนื้อหาที่คุณพูด และเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพูดหรือการนำเสนอที่ต้องใช้เวลานาน แต่ก็มีข้อเสียสำหรับผู้ที่ไม่ระวัง ข้อเสียที่เห็นได้ชัดก็คือเมื่อเครื่องมีปัญหาไม่ทำงาน แต่การพูดที่คุณเตรียมมาทั้งหมดนั้นต้องใช้ทั้งภาพและเสียงเป็นองค์ประกอบ

เมื่อ พูดถึงการออกแบบการนำเสนอที่ใช้ PowerPoint แล้ว Adam Griffiths ซึ่งเป็นผู้จัดการด้าน Interactive Communications ของ Aon Consulting กล่าวว่า ควรใช้ข้อความบรรยายแต่ละสไลด์ให้สั้นกระชับ “ความหลากหลายก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ควรใช้ภาพประกอบด้วย ไม่ใช่มีแต่คำพูดอย่างเดียว และเทคนิคที่แย่ที่สุดเห็นจะเป็นการใช้สไลด์เพียง 20 สไลด์ แต่เนื้อหาที่พูดยาวขนาดเป็นบทความ”

Adam แนะนำให้ใช้แผนภูมิ กราฟ และภาพถ่ายเพื่อให้การนำเสนอมีรสชาติ และเพื่อให้มีความสนุกสนานมากขึ้น ก็อาจแทรกวิดีโอแบบดิจิตอลลงใน PowerPoint ได้อีกด้วย

คุณไม่ควร ตกแต่งสไลด์มากจนเกินไป ให้ใช้แบบตัวอักษรเพียงหนึ่งหรือสองแบบ ใช้สีเพียงหนึ่งหรือสองสี และใช้รูปหนึ่งรูปที่ไม่ซับซ้อนต่อการทำสไลด์ 1 สไลด์

เขากล่าวว่า “ผมจะแนะนำว่า ให้นึกถึงหัวข้อต่างๆ ตั้งแต่ 3 ถึง 5 ข้อที่คุณต้องการพูดถึง และนำเสนอหัวข้อเหล่านั้นด้วยความต่อเนื่องและฟังเข้าใจง่าย และจะดียิ่งขึ้นหากคุณมีประโยคหลักของการนำเสนอนั้น เช่น ‘ไขว่ขว้าหาดาว’ แล้วใช้รูปจรวดที่มีหัวข้อหลักทั้ง 5 ข้อติดอยู่หรือภาพสัญลักษณ์เปรียบเทียบอื่นๆ และกลับมาที่ภาพดังกล่าวอีกครั้งในตอนท้ายเพื่อขมวดเนื้อหาทั้งหมดของคุณ เข้ากับประเด็นหลักของคุณ”

Adam กล่าวว่า “ห้ามใช้ข้อความเพียงอย่างเดียว ลองนึกภาพคุณกำลังนำเสนอสินค้าให้กับลูกค้าที่คาดหวังของคุณ ผู้ซึ่งต้องนั่งฟังการนำเสนอที่แตกต่างกันถึง 5 ครั้งในหนึ่งวัน หากคุณไม่นำเสนอด้วยความแตกต่างแล้ว ในตอนท้ายของวันนั้น คำพูดต่างๆ จะผสมรวมเข้าด้วยกัน ในกรณีที่การนำเสนอนั้นมีความสำคัญ ให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้จัดทำให้คุณ คุณไม่เคยออกแบบโบรชัวร์ด้วยตนเอง เพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรออกแบบการนำเสนอด้วยตนเองเช่นกัน”

ขั้นต่อไปคือ การรวมสไลด์ของคุณเข้ากับเนื้อหา Adam กล่าวว่า “คุณสามารถใช้ PowerPoint ดำเนินการได้หลายอย่างในเรื่องการทำเนื้อหาในสไลด์" "คุณสามารถจัดทำภาพ แผนภูมิ และกราฟได้อย่างมากมาย แต่อย่าใช้มากจนเกินพอดี อย่าทำชนิดที่มีข้อความวิ่งเข้ามาจากด้านข้าง ด้านล่างและด้านบน และมีรูปแบบตัวอักษรต่างกันทั้งหมด นั่นเป็นสิ่งผิดพลาดที่คนทั่วไปมักทำกันเมื่อเริ่มใช้เทคโนโลยีนี้”

Bob Hughes แนะนำว่าให้ฝึกการพูดอย่างจริงจัง อ่านออกมาดังๆ พร้อมกับการฉายภาพ เขากล่าวว่า “คุณต้องคิดว่า ‘ผมควรตัดตรงไหนออกได้บ้าง ผมควรพูดอะไรและไม่ควรพูดอะไรบ้าง ควรใส่เนื้อหาแน่นมากน้อยเพียงใด’ ”

Valentine Armstrong กล่าวว่า เราควรตระหนักว่า อุปกรณ์นำเสนอเป็นเครื่องช่วยนำเสนอ ไม่ใช่ตัวนำในการนำเสนอ และเสริมว่า “บางคนเมื่อเปิดโปรแกรม PowerPoint ขึ้นมาแล้วก็เริ่มจัดทำการนำเสนอทันทีแทนที่จะถามตัวเองก่อนว่า ‘เป้าหมายของเราคืออะไร วิธีการที่ดีที่สุดที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นคืออะไร แล้วเราควรใช้อุปกรณ์ช่วยการนำเสนออะไรในการสื่อเนื้อหาของเราได้อย่าง สมบูรณ์”

คุณมีพลังที่จะทำได้

หากคุณเคยประทับใจกับการ ชมการนำเสนอที่ดีเยี่ยมมาแล้ว คุณคงทราบว่าผู้นำเสนอคงต้องมีความรู้เกี่ยวกับการใช้ Microsoft Office PowerPoint มาบ้าง จึงสามารถนำเสนอได้อย่างดีเยี่ยมเช่นนั้น และนี่คือความลับของผู้นำเสนอเหล่านั้น

**
การเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้อง
**

การสื่อสารความคิดเห็นของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของความสำเร็จของระบบธุรกิจในปัจจุบัน เป็นเวลานานมาแล้วที่ PowerPoint ได้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำเสนอความคิดของตนได้อย่างชัดเจนและมีความกระชับ ด้วยชุดเครื่องมือที่ใช้ง่ายเพื่อให้การนำเสนอดูเป็นมืออาชีพ โปรแกรม PowerPoint รุ่นล่าสุดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Microsoft Office 2003 ยังคงร้กษาแนวทางปฏิบัติดังกล่าวด้วยคุณสมบัติที่เพิ่มมากขึ้น เช่น ภาพเคลื่อนไหว และการปรับหมุนภาพ เพื่อให้คุณใช้ออกแบบการนำเสนอได้อย่างมืออาชีพ

ลูกเล่นต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้

เป้าหมายหลักของการออกแบบ PowerPoint รุ่นล่าสุดคือการส่งเสริมให้ผู้ใช้เรียนรู้และใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ของโปรแกรมที่มีอยู่เดิมให้เพิ่มมากขึ้น เมื่อผู้ใช้มีความรู้ดังกล่าวแล้ว ก็จะมีความมั่นใจในการลองสิ่งใหม่ๆ และสามารถจัดทำการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพได้ในที่สุด ความสำเร็จตามจุดประสงค์นี้เกิดขึ้นจากการใช้เครื่องมือใหม่ๆ เช่น บาน หน้าต่างงาน และ สมาร์ทแท็ก ซี่งสามารถใช้ร่วมกับโปรแกรมต่างๆ ของ Office ได้ นอกจากนี้ PowerPoint ยังมีเทคโนโลยีที่ปรับปรุงใหม่สำหรับใช้ในการทำไดอะแกรม ภาพวาด รูปภาพ ข้อความ และในการพิมพ์

การออกแบบสไลด์ (บานหน้าต่างงาน)

บาน หน้าต่างงานสำหรับการออกแบบสไลด์ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาตัวเลือกการออกแบบ ได้ง่ายกว่าเดิม ตัวเลือกเหล่านี้ประกอบด้วย แม่แบบการออกแบบ โครงร่างสี และโครงร่างภาพเคลื่อนไหว ซึ่งสามารถตรวจดูตัวเลือกเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายในขณะที่ทำการเลือกได้

โครง ร่างภาพเคลื่อนไหว (บานหน้าต่างงาน)

โครงร่างภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบานหน้าต่างงาน ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใช้งานภาพเคลื่อนไหวที่ออกแบบมาอย่างมืออาชีพได้ด้วยการ คลิกเพียงครั้งเดียว ผู้ใช้สามารถตรวจดูแต่ละโครงร่างภาพเคลื่อนไหว และวนดูตัวเลือกต่างๆ ที่มีอยู่หลากหลายจนกว่าจะได้ภาพตามที่ต้องการ

ภาพ เคลื่อนไหวที่ปรับแต่งได้ (บานหน้าต่างงาน)

ปัจจุบัน PowerPoint ได้เพิ่มภาพเคลื่อนไหวที่ปรับแต่งได้ที่มีคุณภาพสูงเพื่อช่วยให้การนำเสนอมี ชีวิตชีวายิ่งขึ้น ตัวอย่างของเอฟเฟกต์ภาพเคลื่อนไหวเหล่านี้ เช่น ภาพวัตถุหลายๆ ชิ้นเคลื่อนไหวพร้อมกัน ภาพเคลื่อนไหว “ไปตามทาง” (การเคลื่อนวัตถุไปตามทางที่กำหนดไว้) และลำดับการทำงานของเอฟเฟกต์ต่างๆ ได้อย่างสะดวกบนสไลด์ ซี่งรวมถึงการออกจากสไลด์ด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงประสิทธิภาพของการแสดงภาพเคลื่อนไหวและการเรียกใช้ คุณสมบัติการเร่งแสดงภาพอย่างรวดเร็วของฮาร์ดแวร์เมื่อสามารถทำได้ (เช่น คุณสมบัติการปรับหมุนฮาร์ดแวร์และการผสมภาพโปร่งใสของการ์ดวิดีโอแบบ 3 มิติ) และ PowerPoint ยังได้เพิ่มระบบการเปลี่ยนสไลด์ที่ดูน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยให้ผู้ใช้เพิ่มโครงร่างภาพเคลื่อนไหวลงในการนำเสนอได้ด้วยการคลิ กเพียงครั้งเดียว

คุณสมบัติหลายต้นแบบ

ผู้ใช้ PowerPoint สามารถจัดทำสไลด์ ต้นแบบไตเติ้ล หรือต้นแบบสไลด์ มากกว่าหนึ่งรายการในไฟล์เดียวกันได้อย่างง่ายดาย ผู้ใช้สามารถรวมการนำเสนอหลายๆ ชุดเข้าเป็นไฟล์หนึ่งไฟล์ หรือแยกการนำเสนอชุดเดียวกันออกเป็นส่วนๆ

เครื่อง มือผู้นำเสนอในหลายต้นแบบ

ผู้ใช้ที่กำลังนำเสนอสไลด์ PowerPoint จะมีความพร้อมอยู่เสมอด้วยการใช้ 'เครื่องมือผู้นำเสนอ' เครื่องมือนี้ จะมีมุมมองเฉพาะที่ผู้ชมไม่สามารถมองเห็นได้ มุมมองนี้จะแจ้งให้ทราบถึงรายละเอียดต่างๆ เช่น หัวข้อหรือสไลด์ถัดไปที่จะแสดง ให้ผู้นำเสนอมองเห็นเนื้อหาของผู้บรรยาย และให้ผู้นำเสนอสามารถแสดงสไลด์รูปใดก็ได้ในทันที

ใช้เค้า โครงอัตโนมัติในคุณสมบัติหลายต้นแบบ (สมาร์ทแท็ก)

การใช้เค้า โครงอัตโนมัติจะเป็นการใส่เนื้อหาลงในตัวยึดตำแหน่งโดยอัตโนมัติ เมื่อคุณแทรกหรือวางเนื้อหานั้นลงในสไลด์ที่มีอยู่เดิม ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ใช้กำลังทำสไลด์โดยใช้รูปแบบที่เป็นหัวข้อชนิดมีจุดดำหน้าหัวข้อ และเมื่อทำการแทรกตารางหนึ่งลงไป PowerPoint จะเปลี่ยนรูปแบบเป็น 'ข้อความและวัตถุ' โดยอัตโนมัติ เพื่อแสดงตารางอยู่เคียงข้างกับข้อความได้ นอกจากนี้ ยังแสดงไอคอนสมาร์ทแท็กเพื่อให้ผู้ใช้ปิดระบบการวางรูปแบบอัตโนมัติหรือเข้า ใช้ตัวเลือก 'การแก้ไขอัตโนมัติ' อื่นๆ เพิ่มเติม

ดู ตัวอย่างก่อนพิมพ์ในหลายต้นแบบ

การดูตัวอย่างก่อนพิมพ์ช่วยให้ผู้ ใช้สามารถดูตัวอย่างการนำเสนอว่าเมื่อพิมพ์ออกมาแล้วจะมีหน้าตาอย่างไร โดยมีตัวเลือกในการสลับระหว่างภาพต่างๆ เช่น ข้อความ สไลด์ และเอกสารประกอบคำบรรยาย หรือแม้กระทั่งสลับไปมาระหว่างภาพแนวนอนและภาพแนวตั้ง

ขนาด ย่อ Multiple masters ในมุมมองปกติ

จากมุมมองปกติ (หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Tri-Pane View) ผู้ใช้สามารถสลับเปลี่ยนไปมาระหว่างมุมมองสรุปของผู้นำเสนอและมุมมองรูปขนาด ย่อของสไลด์ เช่นเดียวกับที่มีใน PowerPoint Slide Sorter การแสดงคุณสมบัติด้วยภาพทำให้เลื่อนดูงานนำเสนอได้ง่ายดาย

ไดอะแกรม

ผู้ ใช้สามารถเลือกใช้ไดอะแกรมต่างๆ ในโปรแกรมได้อย่างสะดวก (ประกอบด้วยไดอะแกรมแบบแผนภูมิ ปิรามิด วงกลม รัศมี และเวนน์) ซึ่งอยู่ใน PowerPoint โดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ OLE ข้อดีของไดอะแกรมเหล่านี้ในโปรแกรมก็คือ คุณสมบัติที่ใช้แก้ไขแผนภูมิได้ที่ตัวแผนภูมิโดยตรง ขนาดไฟล์ที่เล็กลง และการจัดการข้อความภาษาต่างๆ ที่ปรับปรุงให้ดีขึ้น

การบีบ อัดรูปภาพ

ฟังก์ชันการบีบอัดรูปภาพใน Microsoft Office ช่วยให้ผู้ใช้สามารถบีบอัดภาพที่อยู่ภายในไฟล์ PowerPoint (หรือไฟล์ในโปรแกรม Office อื่นๆ) ผู้ใช้สามารถเลือกประเภทการนำไฟล์นั้นไปใช้งาน (เว็บ งานพิมพ์ แสดงที่หน้าจอ ฯลฯ) และกำหนดว่าต้องการบีบอัดเพียงภาพเดียวหรือทุกภาพ ภาพนั้นก็จะถูกทำให้มีขนาดเล็กลงและบีบอัดในลักษณะที่ขนาดของภาพเล็กลงในขณะ ที่คุณภาพที่ปรากฏให้เห็นมิได้ลดลงตามไปด้วย

การปรับ หมุนภาพ

คุณสมบัติที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถกลับข้างและหมุนภาพทั้ง หมดของเอกสารได้

เส้นตารางที่มองเห็นได้

เส้นตารางที่มอง เห็นได้ชนิดใหม่นี้ช่วยให้คุณสามารถวาดภาพใน PowerPoint ได้ง่ายขึ้น ในกล่องโต้ตอบเส้นตารางและเส้นบอกแนว ผู้ใช้สามารถเลือกตัวเลือกที่มีอยู่หลากหลาย เช่น การดึงภาพนำไปลงในตาราง หรือลงในภาพอื่น และมีการแสดงเส้นบอกแนวการวาดภาพบนจอด้วย

ความ เชื่อถือได้ การกู้ข้อมูล และความปลอดภัย

เป้าหมายหลักอีกประการ หนึ่งของการออกแบบโปรแกรม PowerPoint รุ่นล่าสุดคือความต้องการให้ผู้ใช้ทุ่มเทเวลาในการจัดทำการนำเสนอได้อย่าง เต็มที่แทนที่จะมาเสียเวลากับการกังวลในเรื่องซอฟต์แวร์ ตัวอย่างเช่น ในอดีต หากมีปัญหาเกิดขึ้น ผู้ใช้มักต้องใช้เวลาอย่างมากในการจัดทำงานขึ้นมาใหม่ แต่ด้วยคุณสมบัติที่ไว้วางใจได้ของ PowerPoint ผู้ใช้สามารถทำงานของตนต่อไปได้แม้ว่าจะเกิดปัญหาที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก ก็ตาม นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติด้านการรักษาความปลอดภัยที่บรรจุอยู่ใน PowerPoint เพื่อทำให้ผู้ใช้มั่นใจในความปลอดภัยขณะที่ทำงานด้านการนำเสนออีกด้วย

การกู้ เอกสาร

ผู้ใช้มีตัวเลือกในการบันทึกไฟล์ที่กำลังทำงานอยู่หาก เกิดปัญหาขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ต้องเสียเวลามากในการจัดทำไฟล์ขึ้นมาใหม่

การ เข้ารหัสของรหัสผ่านเอกสาร

เมื่อผู้ใช้ทำการบันทึกการนำเสนอของ ตน โปรแกรมจะมี CryptoAPI ชนิดมาตรฐานให้เลือกใช้ CryptoAPI เป็นอัลกอริธึมการเข้ารหัสที่มีความปลอดภัยมากกว่าเวอร์ชันก่อนหน้านี้ ระบบการเข้ารหัสที่เป็นดีฟอลต์ยังคงใช้ระบบเดิม (เพื่อให้ใช้ได้กับโปรแกรมรุ่นเก่า) ขณะที่ระบบการเข้ารหัสมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถตั้งรหัสผ่านให้กับเอกสารเพื่อป้องกันข้อมูลในไฟล์ แต่อนุญาตให้ผู้อื่นดูไฟล์ที่นำเสนอได้

ข้อมูลสรุปเกี่ยวกับเครือข่าย

ค้นพบวิธีการใน การขยายเครือข่ายและโอกาสทางการขายใหม่ๆ โดยเสียค่าใช้จ่ายไม่มาก

เครือข่ายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและเป็นส่วน ที่สำคัญในการพัฒนาธุรกิจและความเป็นมืออาชีพของคุณ บางคนอาจมีความสามารถพิเศษในการสร้างเครือข่าย แต่คนส่วนใหญ่กลับหลบอยู่ตามมุมต่างๆ และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าเพียงเพราะไม่ทราบถึงวิธีการเข้าหาหรือใช้ ประโยชน์จากเครือข่าย

จากความยากลำบากที่ได้รับในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ เมื่อ 2 - 3 ปีที่ผ่านมา ในเมืองซึ่งฉันไม่รู้จักใครเลย ฉันจึงเริ่มเข้าใจว่า มันไม่ใช่เรื่องยากเลย ถ้าคุณรู้วิธีการที่ถูกต้อง คุณจะได้รับประสบการณ์ที่สนุกสนานและเป็นรางวัลของชีวิต ต่อไปนี้คือแนวความคิดที่คุณสามารถนำไปใช้เพื่อช่วยให้คุณสามารถใช้เครือ ข่ายให้ได้รับประโยชน์สูงสุด

ระบบเครือข่ายคืออะไร

ตามคำ อธิบายในพจนานุกรมของ Collins เครือข่ายคือกลุ่มหรือระบบที่เชื่อมโยงถึงกัน ดังนั้นระบบเครือข่ายคือกระบวนการของการใช้เครือข่ายหรือกลุ่มที่เชื่อมโยง ถึงกันให้เกิดประโยชน์

ทำไมต้องมีเครือข่าย

ระบบเครือข่ายจะ ทำให้คุณเข้าใจธุรกิจและบุคคลต่างๆ รวมทั้งช่วยให้บริษัทของคุณเป็นที่รู้จัก ซึ่งจะทำให้บริษัทของคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ เมื่อมีการเชื่อมโยงเครือข่ายเกิดขึ้น คุณจะมีโอกาสได้รับข้อมูลและประสบการณ์มากมายในที่นั้น สิ่งสำคัญก็คือ คุณจะต้องทราบวิธีการสร้างเครือข่ายและวิธีการใช้ให้เกิดประโยชน์ ทรัพย์สินที่มีค่าในระบบเครือข่ายคือ คุณไม่ทราบว่าสิ่งมีค่าใดบ้างที่อยู่รอบๆ ตัวคุณ

ประเภทของกลุ่ม เครือข่ายใด

ในประเทศออสเตรเลียประกอบด้วยเครือข่ายกลุ่มต่างๆ เช่น การพัฒนาวิชาชีพ การพัฒนาธุรกิจ หรือกลุ่มอุตสาหกรรม แหล่งข้อมูลที่คุณควรจะเริ่มต้นคือเว็บ ตัวอย่างของรายชื่อกลุ่มต่างๆ มีดังต่อไปนี้

Australian Businesswomen’s Network

The Executive Connection

เครือ ข่ายแต่ละกลุ่มจะมีรูปแบบกิจกรรมที่แตกต่างกัน ได้แก่ การรับประทานอาหารกลางวัน การพบปะมื้อค่ำ และการสัมมนา เมื่อคุณได้แยกประเภทและลงทะเบียนกิจกรรมต่างๆ แล้ว คุณต้องแน่ใจว่าคุณได้บันทึกกิจกรรมดังกล่าวลงในบันทึกประจำวันของ Outlook

ถ้า คุณได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมของกลุ่มเครือข่าย คุณจะมีโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น ถ้าคุณมีเวลาและงบประมาณมากพอ คุณอาจหาโอกาสเป็นผู้บรรยายรับเชิญหรือผู้อุปถัมภ์เพื่อให้คุณและธุรกิจของ คุณเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

วิธีการสร้างเครือข่าย

ขั้น ตอนนี้มักจะถูกมองว่าเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด แต่ถ้าคุณมีการเตรียมการต่อไปนี้ คุณจะสามารถผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ไม่ยาก

1.

คุณจะต้องมีนามบัตรมากพอสำหรับการ แจกจ่าย และไม่ลืมที่จะแลกเปลี่ยนนามบัตรมาด้วย สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญซึ่งคุณจะได้รับจากการร่วมงาน

2.

สร้างภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ และ/หรือแต่งกายให้เหมาะสม

3.

ตั้งวัตถุประสงค์ของการไปร่วมงาน คุณกำลังหาโอกาสสร้างความสัมพันธ์กับผู้ติดต่อ หรือติดตามเฉพาะผู้ติดต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เช่น ธุรกิจใหม่ คู่ค้า ผู้ลงทุน ฯลฯ คุณควรตั้งวัตถุประสงค์เอาไว้ล่วงหน้า เพื่อที่คุณจะสามารถทำให้บริษัทของคุณเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

4.

ถ้าคุณไม่สามารถเริ่มต้นการสนทนา ได้ คุณอาจเริ่มต้นด้วยการหยิบยกหัวข้อข่าวในปัจจุบันขึ้นมาพูด การนำกระแสข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่แต่ละวันมาใช้อาจช่วยคุณได้

5.

คุณอาจให้เพื่อนร่วมงานหรือบริษัท คู่ค้าช่วยเหลือคุณถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่กล้าเผชิญหน้า ซึ่งอาจเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ติดต่อทางธุรกิจรายใหม่

6.

มองไปรอบๆ ห้อง – ถ้าเป็นกิจกรรมแบบไม่มีที่นั่ง คุณอาจมองหาโอกาสในการเริ่มต้นการสนทนาได้

7.

การบริหารเวลา – อย่าติดอยู่กับการสนทนาเพียงรายเดียว ในห้องเต็มไปด้วยความคิดมากมาย ดังนั้นคุณควรบริหารเวลาอย่างชาญฉลาด โดยอาจใช้เวลา 15 นาทีสำหรับการพูดคุยกับแต่ละคน

8.

อย่าลืมว่าทุกคนมาร่วมงานเพื่อ สร้างเครือข่าย ดังนั้นคุณจะรู้จักบุคคลที่คุณพูดด้วยและอาจมีการติดต่อกันอีกในภายหลัง คุณควรคิดว่าคุณจะสามารถทำอะไรให้พวกเขาได้บ้าง แม้ว่าคุณอาจไม่ได้รับการติดต่อกลับในทันที แต่ก็เป็นโอกาสที่จะได้รับความสนใจในอนาคต

9.

อย่าปล่อยโอกาสให้ผ่านไป – คุณไม่มีทางทราบได้เลยว่าการสนทนาใดจะนำไปสู่การทำธุรกิจของคุณ

10.

จัดเตรียมการพบปะอีกครั้งในงาน – การปฏิเสธคุณต่อหน้าจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา

คุณ จะใช้ข้อมูลผู้ติดต่ออย่างไร

คุณจะใช้นามบัตรเหล่านั้นอย่างไร ขั้นแรก คุณจะต้องจัดประเภทนามบัตรเหล่านั้น เช่น ธุรกิจใหม่ ผู้จำหน่าย คู่ค้า ฯลฯ จากนั้นคุณจะต้องป้อนข้อมูลเหล่านั้นลงในฐานข้อมูลซึ่งสามารถใช้ใน Excel หรือ Access ข้อมูลในฐานข้อมูลของคุณควรประกอบด้วย รายละเอียดของผู้ติดต่อ สถานที่ที่พบผู้ติดต่อ และความสนใจพิเศษหรือสิ่งที่คุณทราบมาในระหว่างการสนทนา คุณอาจจดข้อมูลเพิ่มเติมที่ด้านหลังของนามบัตร เมื่อคุณมีเวลาว่างจากงานเพื่อเตือนความจำ

คุณต้องแน่ใจว่าคุณได้ใส่ ความคิดทั้งหมดลงในฐานข้อมูลของคุณ และบันทึกการดำเนินการลงในเอกสารทันที ระบบเครือข่ายจะเกี่ยวข้องทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนั้นการจดบันทึกไว้จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณจะไม่สูญเสียประโยชน์ใดๆ

จาก นั้นคุณจะต้องดำเนินการบางอย่างกับข้อมูลเหล่านั้น เช่น มีเรื่องใดบ้างที่คุณต้องดำเนินการในทันทีหรือไม่ คุณอาจสัญญากับผู้ติดต่อบางรายว่าจะส่งเอกสารไปให้ ซึ่งเมื่อคุณเชื่อมโยง Outlook กับฐานข้อมูลแล้ว คุณจะสามารถส่งเอกสารทางอีเมลได้

การเก็บ เกี่ยวผลประโยชน์

สิ่งที่สำคัญที่สุดของระบบเครือข่ายคือ คุณต้องสามารถเรียนรู้และเติบโตจากประสบการณ์ ไม่ว่าคุณจะกลับมาพร้อมกับนามบัตรกองโต หรือความคิดใหม่ๆ มากมาย ยิ่งคุณได้มากเท่าใด ประโยชน์ที่คุณจะได้รับจะมากเท่านั้น ถ้าคุณมีการเตรียมการบางอย่างเอาไว้ล่วงหน้า คุณจะมั่นใจได้ว่าคุณจะไม่เสียโอกาสใดๆ และกระบวนการในระบบเครือข่ายที่คุณเคยหวาดกลัว คุณจะสามารถทำได้อย่างเป็นธรรมชาติและเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ธุรกิจของคุณ เติบโต

พัฒนาความสามารถเป็นเลิศในการค้นหาแนวคิดธุรกิจใหม่

ทำการบ้านมาให้เรียบร้อย แล้วคุณจะลดโอกาสที่ธุรกิจขนาดเล็กของคุณจะล้มเหลวให้น้อยลงได้

**
การเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้อง
**

การค้นคว้าวิจัยนี้เปรียบเสมือนการมอบหมาย การบ้านให้กับผู้ที่กำลังจะเป็นเจ้าของธุรกิจ เพียงแต่ว่าคะแนนที่ได้ในตอนท้ายคือการหมายถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวของ ธุรกิจของคุณ

งานที่มอบหมายคือโครงการวิจัยโครงการหนึ่ง ซึ่งคุณจะต้องวิจัยถึงความเป็นไปได้ของแผนธุรกิจของคุณ ผมกำลังจะแนะนำให้คุณทราบถึงวิธีทำการวิจัยค้นคว้าให้เพียงพอก่อนที่จะเริ่ม ต้นธุรกิจ

นักธุรกิจจำนวนมากต่างยังคงถกเถียงกันว่า คำว่า "เพียงพอ" นั้นมีความหมายที่แท้จริงเป็นอย่างไร ผมจึงขอเสนอรายการตรวจสอบขององค์ประกอบบางส่วนสำหรับใช้วัดว่าโครงการวิจัย ค้นคว้าธุรกิจนั้นมีการวิจัยอย่างเพียงพอแล้วหรือไม่

การวิจัยตลาด

ฟัง ดูแล้วน่าประหลาดใจ แต่มีผู้เป็นเจ้าของธุรกิจจำนวนมากที่เริ่มธุรกิจโดยไม่เข้าใจตลาดที่เขา กำลังวางแผนให้บริการอยู่ สิ่งที่มีความสำคัญมากก็คือ คุณต้องทราบถึงขนาดของศักยภาพของตลาด ซึ่งมีผลให้คุณสามารถทราบประเภทการตอบรับที่ลูกค้าจะให้แก่สินค้าหรือบริการ ของคุณ

ข้อมูล ด้านประชากรศาสตร์ การพยายามขายสินค้าโดยที่คุณไม่ทราบว่าผู้ซื้อมีเงินในกระเป๋าของเขาหรือไม่ ย่อมเป็นหนทางสู่ความล้มเหลวอย่างแน่นอน คุณควรทราบข้อมูลต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังตลาดของคุณ ซึ่งรวมถึงระดับรายได้ ช่วงอายุ การขยายหรือการหดตัวของตลาดกลุ่มเป้าหมายของคุณ สำหรับแหล่งข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ประกอบด้วยหน่วยงานรัฐบาลหรือหน่วยงาน ภาษีต่างๆ และในระดับท้องถิ่น ข้อมูลรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง (เป็นข้อมูลที่ล้ำค่าหากคุณต้องการข้อมูลด้านอายุของกลุ่มเป้าหมายทางการ ตลาดของคุณ)

ความเห็นของลูกค้า องค์ประกอบของการวิจัยตลาด ที่มีความสำคัญพอกันก็คือ การรับความรู้สึกนึกคิดส่วนตัวของลูกค้าของคุณ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าคาดหวังหรือลูกค้าเดิม ให้ถามว่าเขาเทิดทูนคุณค่าสิ่งใด อาจจะเป็นเรื่องราคาต่ำ การบริการลูกค้า หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งของสินค้าหรือบริการ หากคุณกำลังคิดจัดทำธุรกิจใหม่หรือปรับปรุงสินค้าที่มีอยู่เดิม ให้ถามลูกค้าว่าบริษัทคุณจะสามารถแก้ปัญหาที่มีอยู่ได้อย่างไรบ้าง Peter Meyer ซึ่งเป็นผู้เขียนเรื่อง "Creating and Dominating New Markets" กล่าวว่า "การวิจัยที่มีประสิทธิภาพสามารถระบุปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขได้ "ให้ทำการสัมภาษณ์ลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ หากไม่ใช่ลูกค้าให้ถามว่าทำไมจึงไม่ซื้อ มีสินค้าใดบ้างที่สามารถขายพวกเขาได้ หรือมีปัญหาใดที่ต้องแก้ไขเพื่อให้ได้เป้าหมายดังกล่าว"

คู่ แข่ง องค์ประกอบที่สามของการวิจัยตลาดคือ รู้ว่าใครคือคู่แข่งของคุณ และสิ่งที่แน่นอนคือ คุณต้องแข่งกับคนอื่น อย่าทึกทักเอาว่า คุณเป็นคนเดียวในประเภทธุรกิจที่ทำอยู่ การวิจัยในสถานที่จริงจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง สังเกตรูปแบบการซื้อของลูกค้า ดูกระแสการเคลื่อนที่ขึ้นลงทั้งในเรื่องจำนวนลูกค้าและประเภทสินค้าที่ซื้อ และหากเป็นร้านค้าปลีก ไม่ต้องอายในการเข้าไปซื้อของด้วยตัวคุณเอง ตัวเลือกการวิจัยอื่นๆ ประกอบด้วยการเข้าชมเว็บไซต์ของคู่แข่ง หรือหากบริษัทคู่แข่งเป็นบริษัทมหาชน ให้ขอเอกสารทุกชนิดเท่าที่บริษัทมหาชนต้องจัดบริการให้ ท้ายที่สุด แม้ว่าเรามักจะมองหาจุดบกพร่องของคู่แข่งอยู่เสมอ เราก็ควรมองหาข้อดีของเขาด้วย David Gumpert ซี่งเป็นผู้เขียนเรื่อง "How to Really Start Your Own Business" กล่าวว่า "ศึกษาว่าพวกเขาสามารถทำเงินได้อย่างไร อย่าดูแต่เพียงว่าพวกเขาทำอะไรพลาดบ้าง ให้ดูว่าพวกเขาสามารถอยู่ได้อย่างไรด้วย"

การ ตั้งราคา

องค์ประกอบรองลงมาของการวิจัยตลาดคือการทำการบ้านเรื่อง จำนวนเงินที่คุณจะเก็บจากลูกค้า โดยปกติ การทราบถึงราคาท้องตลาดในขณะนั้นซึ่งทำให้ธุรกิจอยู่ได้จะเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งในกรณีเช่นนี้ การตั้งราคาค่าบริการต่างๆ ของคู่แข่ง ตลอดจนข้อมูลจากสมาคมการค้าและสมาคมวิชาชีพต่างๆ จะมีประโยชน์อย่างมาก Meyer แนะนำว่าต้องให้ความสนใจทุกองค์ประกอบที่มีส่วนในการกำหนดราคาหรือค่าบริการ ในขั้นสุดท้าย "การกำหนดราคาเป็นเครื่องมือทางการตลาดมากกว่าจะเป็นวิธีการรับค่าใช้จ่ายใน การผลิตสินค้ากลับคืน ผู้คนจะยอมจ่ายมากขึ้นสำหรับสินค้าหรือโซลูชันที่มีคุณค่า ดังนั้น จึงควรวิจัยคุณค่าทั้งหมดของสินค้าของคุณ"

ที่ตั้ง

ใช่ คาถาที่ว่า "ที่ตั้ง ที่ตั้ง ที่ตั้ง" ยังคงความขลังอยู่ และยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นหากเป็นธุรกิจขายปลีก ให้ถามหาการวิเคราะห์เส้นทางเดินเท้าจากเจ้าของที่ของคุณ เช่นเดียวกัน การเฝ้าสังเกตการณ์ด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่ควรทำ ตรวจสอบเส้นทางเดิน ที่จอดรถ และธุรกิจข้างเคียงที่อาจมีผลในการส่งเสริมหรือขัดขวางการไหลของลูกค้าของ คุณ และอย่ามองข้ามความสำคัญของที่ตั้งแม้ว่าคุณจะไม่ได้ขายเพชรพลอยหรือเสื้อ ผ้า เพราะที่ตั้งที่มีความสะดวกและมีชื่อเสียงก็จะมีความเหมาะสมกับบริษัทที่ ปรึกษาเปิดใหม่เช่นกัน นอกจากนี้ให้ตรวจสอบข้อมูลและแนวโน้มการซื้อที่มีอยู่ของผู้ที่อาศัยอยู่ใน บริเวณพื้นที่ดังกล่าวด้วย

วิจัยค่าใช้จ่าย

การทราบจำนวน เงินที่ไหลออกจากธุรกิจของคุณในรูปของค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งสำคัญในการคำนวณ จำนวนเงินที่คุณต้องนำเข้ามาเพื่อให้ธุรกิจของคุณยืนอยู่ได้ คุณควรวิจัยต้นทุนค่าใช้จ่ายอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยรวมทุกๆ รายการตั้งแต่เงินเดือนจนถึงค่าเช่า และอย่างน้อยในช่วงหนึ่งปีหรือสองปีแรก ให้เฉลี่ยค่าใช้จ่ายที่ได้นี้เพิ่มขึ้นครั้งละ 3 เดือน Gumpert กล่าวเสริมว่า ในการประมาณการค่าใช้จ่ายควรประมาณการให้เพิ่มมากขึ้น "สิ่งของอาจมีราคามากกว่าที่คุณคิดก็ได้ เช่นเดียวกับการใช้เวลามากกว่าที่ประมาณการไว้ในการขายลูกค้ารายแรกได้"

จุด ที่เพียงพออยู่ตรงไหน

แม้ว่าการวิจัยจะต้องดำเนินการจนถึงระดับที่ เพียงพอเพื่อการเติบโตและความสำเร็จของธุรกิจ แต่อาจถึงจุดๆ หนึ่งที่ความเพียงพอกลายเป็นเรื่องที่มากเกินไป อย่าทำวิจัยจนมีข้อมูลจำนวนมากถึงขนาดที่ทำให้การตัดสินใจกลายเป็นภาระ เสมือนกับเข็นครกขึ้นภูเขา ลองดูว่าข้อมูลที่ได้จากการวิจัยเป็นข้อมูลที่เป็นจริงเพียงไร เช่น เมื่อรายได้คุณเข้าเป้า หรือข้อมูลการเดินเท้าของลูกค้าตรงกับที่ประมาณการไว้ แสดงว่างานวิจัยของคุณตรงตามความเป็นจริง และ Meyer ยังกล่าวว่า ให้สังเกตข้อมูลที่เกิดขึ้นซ้ำๆ "หากคุณตั้งคำถาม และได้คำตอบเหมือนกันทุกๆ ครั้ง คุณรู้แล้วว่าคุณมาถูกทาง"

ทางลัดสู่การทำแผนธุรกิจ

จัดทำและจัดการแผน ธุรกิจระดับมืออาชีพด้วยการใช้เครื่องมือและแม่แบบที่ช่วยคุณประหยัดเวลาของ Microsoft

**
**

ไม่ว่าคุณกำลังเริ่มต้นธุรกิจใหม่หรือ กำลังปรับปรุงธุรกิจเดิมที่มีอยู่ สิ่งที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับแผนธุรกิจได้ดีที่สุดก็คือ การร่างแผนที่สู่หนทางแห่งความสำเร็จของคุณ แผนธุรกิจจะช่วยนำทางให้ธุรกิจของคุณและช่วยให้คุณสามารถดำเนินธุรกิจได้นับ เป็นเวลานานหลายปี และด้วยการใช้แม่แบบและคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมต่างๆ ของ Microsoft Office การจัดทำแผนธุรกิจจึงเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าเดิม

โดย ปกติ แผนธุรกิจจะประกอบด้วยข้อสรุปของธุรกิจที่คุณต้องการเริ่มต้น (หรือกำลังดำเนินการอยู่) รายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่คุณจะจำหน่าย วิธีการจำหน่ายสินค้าและบริการของคุณ ประเภทรายรับที่คุณคาดหวังว่าจะได้รับ และค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ สำหรับธุรกิจที่เริ่มใหม่ อาจต้องเพิ่มหัวข้อฐานะการเงินส่วนบุคคล ค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้น และแผนการเงินอย่างละเอียด

หากคุณดำเนิน ธุรกิจอยู่แล้ว การปรับปรุงแผนธุรกิจเริ่มแรกของคุณเสียใหม่จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจ สอบว่าคุณได้ดำเนินการตามแผนหรือไม่ ช่วยคุณค้นหาโอกาสทางการขายใหม่ๆ หรือจุดที่มีปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข และบริษัทที่มีอยู่เดิมอาจต้องแสดงงบการเงินเพื่อแสดงสถานะทางการเงินของคุณ

ทำไม จึงต้องมีแผนธุรกิจ

สำหรับบริษัทเปิดใหม่ การวางแผนหมายถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวของธุรกิจของคุณ มีธุรกิจใหม่ไม่ถึง 20% ที่สามารถผ่านปีแรกของการดำเนินการไปได้! นอกจากนี้ แผนธุรกิจยังมีประโยชน์ในการขอการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารหรือจากแหล่ง การเงินอื่นๆ เนื่องจากมีการแสดงแผนและเป้าหมายของการดำเนินธุรกิจของคุณไว้อย่างชัดเจน หากคุณมีแผนธุรกิจอยู่ และดำเนินตามแผนอย่างเคร่งครัด ความผิดพลาดย่อมยากที่จะเกิดขึ้นได้

สำหรับธุรกิจที่ได้ดำเนินการ มาระยะเวลาหนึ่ง การวางแผนธุรกิจอาจดูเหมือนไม่มีความสำคัญ เพราะเจ้าของธุรกิจส่วนมากมักจะจัดทำแผนธุรกิจไว้แล้วตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ธุรกิจ แต่อาจไม่มีการปรับปรุงแผนตามการเติบโตและความเจริญรุ่งเรืองของธุรกิจ การปรับปรุงแผนธุรกิจของคุณเสียใหม่ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อการเติบโตเข้าไปในแผน ตลอดจนค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่คุณอาจมองข้ามไป และยังเป็นโอกาสอันดีในการใช้เวลาสัก 2-3 ชั่วโมงเพื่อนั่งพิจารณาเรื่องธุรกิจของคุณและเป้าหมายส่วนบุคคลของคุณ

การ เริ่มต้นด้วยการใช้แม่แบบ

หากการจัดทำแผนธุรกิจเป็นเรื่องที่น่า กลัวสำหรับคุณแล้ว คุณไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะ Microsoft ได้ร่วมมือกับองค์กรต่างๆ ในการจัดทำแม่แบบขึ้นมาจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยคุณในการเริ่มต้นจัดทำแผน โปรดไปที่ Office Online เพื่อดาวน์โหลดแม่แบบธุรกิจที่มีอยู่หลากหลายสำหรับธุรกิจใหม่และธุรกิจเดิม

แม่ แบบแต่ละแบบจะมีส่วนต่างๆ ให้กรอกข้อมูล เช่น อธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับบริษัทของคุณ สินค้าหรือบริการที่คุณจะขาย ฯลฯ เนื้อหาส่วนใหญ่ของแผนธุรกิจจะเป็น "การบรรยายความ" ซึ่งเป็นส่วนที่คุณจะอธิบายธุรกิจและแผนของคุณ โดยคุณสามารถใช้คุณสมบัติการพิมพ์งานเอกสารของ Microsoft Word ได้

สำหรับ เนื้อหาด้านการเงิน ซึ่งประกอบด้วยการคำนวณต้นทุนและรายรับ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ฯลฯ ให้ใช้ Microsoft Excel ป้อนและคำนวณตัวเลข หากคุณไม่มั่นใจว่าจะเริ่มต้นเรื่องการเงินอย่างไรดี Template Gallery จะมีแม่แบบด้านการเงินสำหรับใช้กับ Excel ซึ่งจะช่วยคุณจัดทำ งบเงินสด หมุนเวียน การวิเคราะห์ระยะเวลาการคืนทุน และอื่นๆ

การแทรก ข้อมูลการเงินลงในเอกสาร

เพื่อให้ทำงานได้ง่ายขึ้น Microsoft Office มีลูกเล่นอยูจำนวนหนึ่งเพื่อใช้รวมเนื้อหาและตัวเลขของแผนธุรกิจเข้าด้วยกัน เริ่มต้นด้วยการเปิดเอกสาร Word ที่มีแผนธุรกิจของคุณอยู่ จากนั้นเลื่อนลงมาตามเอกสารจนถึงจุดที่คุณต้องการให้ข้อมูลการเงินปรากฏอยู่ แล้วเปิดกระดาษคำนวณ Excel ของคุณและเลือกช่วงของเซลล์ที่คุณต้องการนำไปวางลงในเอกสารเนื้อหาของแผน ธุรกิจ จากนั้นเลือก คัดลอก จากเมนู แก้ไข

จากนั้น กลับมาที่เอกสาร Word เลือก วาง จากเมนู แก้ไข เพื่อวางข้อมูลการเงินนั้นลงในเอกสารของคุณ คุณจะสังเกตเห็นที่มุมขวาล่างของตารางข้อมูลที่คุณวาง จะมีไอคอนที่มีรูปเหมือนคลิปบอร์ดพร้อมกับมีเมนูแบบหล่นลง นี่คือ ‘สมาร์ทแท็ก’ คลิกที่ลูกศรชี้ลงเพื่อเปิดรายการแบบหล่นลงแล้วเลือกตัวเลือก คง รูปแบบที่มาและลิงค์ไปยัง Excel

ตัวเลือกนี้จะเชื่อมกระดาษ คำนวณของคุณไปยังเอกสาร Word ของคุณเพื่อที่ว่า เมื่อคุณทำการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงกระดาษคำนวณของคุณ ข้อมูลในเอกสาร Word ก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย ทำให้คุณสามารถปรับปรุงแผนธุรกิจให้ทันสมัยอยู่เสมอ และเมื่อรายรับและต้นทุนเปลี่ยนไป แผนธุรกิจก็จะปรับเปลี่ยนตามไปได้อย่างสะดวก

การเชื่อมกระดาษคำนวณ Excel ที่มีข้อมูลการเงิน  เข้ากับแผนธุรกิจที่จัดทำใน Word ของคุณ

การเชื่อมกระดาษคำนวณ Excel ที่มีข้อมูลการเงิน เข้ากับแผนธุรกิจที่จัดทำใน Word ของคุณ

เคล็ดลับที่มีประโยชน์ อื่นๆ

คุณสมบัติที่ใช้งานได้สะดวกอีกประการหนึ่งของ Word คือคุณสมบัติการควบคุมการเปลี่ยนแปลงข้อความ หากคุณวางแผนที่จะจัดทำแผนธุรกิจจำนวนหลายๆ เวอร์ชัน คุณสามารถใช้คุณสมบัติ การตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง ที่อยู่ภายในเมนู เครื่องมือ โดยคุณสมบัติดังกล่าวจะบันทึกการเปลี่ยนแปลงข้อความต่างๆ (เพิ่ม ลบ ฯลฯ) ที่ทำในเอกสารของคุณ ซึ่งคุณสามารถดูว่ามีข้อมูลใดบ้างที่เปลี่ยนไปในภายหลังได้

คุณอาจ ต้องการบันทึกแผนธุรกิจของคุณด้วยชื่อไฟล์ใหม่ทุกครั้งที่คุณปรับปรุงข้อมูล (เช่น BusinessPlan2005.doc, BusinessPlan2006.doc ฯลฯ) เพื่อที่คุณจะได้เก็บบันทึกการวางแผนและความสำเร็จของคุณได้

วิธีการเขียนแผนธุรกิจ (Business Plan)

กรุณาคลิกที่นี่เพื่อให้คำแนะนำกับเรา

คุณต้องการเริ่มต้นธุรกิจของคุณเองใช่หรือไม่ ดีครับ แล้วคุณมีแผนธุรกิจหรือยัง หากยังไม่มี ธุรกิจของคุณเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น

**
การเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้อง
**

ธนาคารและสถาบันสินเชื่อจะพิจารณาแผนธุรกิจของ คุณอย่างละเอียดเพื่อตัดสินใจว่าจะให้คุณกู้เงินหรือไม่ แผนธุรกิจจะประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่คุณและพนักงานของคุณใช้ในการทำงานให้ สำเร็จตามเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังเป็นเครื่องช่วยคุณในการตัดสินใจว่าอะไรควรดำเนินการก่อน หรือหลัง หรือไม่ต้องดำเนินการใดๆ เลย

หากบริษัทของคุณมีขนาดเล็กและดำเนินการ ที่บ้าน คำแนะนำต่อไปนี้บางเรื่องอาจเป็นสิ่งไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยที่สุด คุณควรมีแผนธุรกิจที่กำหนดเป้าหมายไว้ ประมาณการค่าใช้จ่าย แผนการตลาด และแผนการเลิกกิจการ แผนธุรกิจจะแสดงวิธีการสู่ความสำเร็จและแจกแจงรายละเอียดมาตรฐานต่างๆ สำหรับใช้วัดความสำเร็จดังกล่าว

ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำง่ายๆ เกี่ยวกับหลักเกณฑ์พื้นฐานของการจัดทำแผนธุรกิจที่ดี:

บทสรุปเป้าหมายและวัตถุ ประสงค์ในข้อมูลสรุป (Executive Summary)

ข้อมูลสรุป (Executive Summary) จะกล่าวถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจของคุณ เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับธนาคารและสถาบันสินเชื่อ คุณจะต้องโน้มน้าวเจ้าหน้าที่สินเชื่อให้รู้สึกมั่นใจว่าแผนธุรกิจที่คุณ เสนอสามารถดำเนินการได้จริงภายใน 2-3 หน้าแรกของข้อมูลสรุป

ข้อมูล สรุปนี้ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อให้พนักงานและลูกค้าได้เข้าใจถึงแนว ความคิดและธุรกิจของคุณก่อนที่เขาเหล่านั้นจะให้การสนับสนุนธุรกิจของคุณ

การชี้ แจงว่าบริษัทคุณก่อตั้งขึ้นได้อย่างไร

อธิบายการกำเนิดของบริษัท รวมทั้งเรื่องที่คุณหรือเพื่อนร่วมธุรกิจได้แนวความมาจากที่ใด

เป้า หมายบริษัท

อธิบายสั้นๆ ประมาณ 2-3 ย่อหน้าถึงเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวของบริษัท อัตราการเจริญเติบโตที่คาดหวัง กลุ่มลูกค้าหลักของคุณคือใคร

ประวัติ ของทีมผู้บริหาร

ในหัวข้อผู้บริหารให้ระบุชื่อและภูมิหลังของ สมาชิกทีมผู้บริหาร รวมทั้งความรับผิดชอบในตำแหน่งหน้าที่ของแต่ละคนด้วย

สินค้า หรือบริการที่คุณวางแผนที่จะเสนอลูกค้า

ส่วนที่สำคัญที่สุดของบท สรุปคือการแสดงให้เห็นว่าสินค้าหรือบริการของคุณแตกต่างจากของผู้อื่นที่มี อยู่ในปัจจุบันอย่างไร

ศักยภาพของตลาดสำหรับสินค้า หรือบริการของคุณ

โปรดระลึกไว้ว่า คุณต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้ให้สินเชื่อและพนักงานของคุณ รวมทั้งคนอื่นๆ ให้มีความรู้สึกว่าคุณมีตลาดเป้าหมายขนาดใหญ่และขยายตัวอยู่เสมอ คุณต้องทำการวิจัยมาบ้างก่อนที่จะเขียนหัวข้อนี้ของแผนธุรกิจ ในกรณีที่เป็นธุรกิจระดับท้องถิ่น ให้ตรวจสอบอุปสงค์ในสินค้าหรือบริการของพื้นที่รอบรัศมีที่กำหนด นำข้อมูลที่ได้เปรียบเทียบกับข้อมูลของพื้นที่ที่ไกลออกไปอีกจากจุดที่ตั้ง ธุรกิจของคุณ หากเป็นธุรกิจที่ดำเนินการในเว็บหรือเป็นธุรกิจที่ดำเนินการทั้งในเว็บและใน ตลาดท้องถิ่น ให้ประเมินอุปสงค์ของระดับท้องถิ่นและ/หรือระดับประเทศ สำหรับรายงานจากบริษัทวิจัยระดับมืออาชีพอาจมีราคาแพง คุณสามารถค้นหาข้อมูลพื้นฐานได้จากเว็บและจาก Search engines และดัชนีต่างๆ

กลยุทธ์ ในการขายสินค้าหรือบริการของคุณ

คุณมีแผนอย่างไรในการประกาศให้ โลกรู้ว่าคุณได้เปิดธุรกิจแล้ว คุณจะใช้วิธีการบอกเล่าแบบปากต่อปากอย่างเดียวหรือไม่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ไม่ใช่แผนที่ดีนัก เว้นเสียแต่คุณเป็นผู้มีชื่อเสียงในวงการอยู่แล้ว คุณจะโฆษณาทางสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ เว็บ หรือทั้งสามช่องทางรวมกัน คุณจะใช้เครื่องมือทำการตลาดแบบออนไลน์ในการทำให้ชื่อบริษัทของคุณติดอยู่ใน Search engines และโฆษณาในเว็บไซต์อื่นๆ หรือไม่ และอย่าลืมที่จะกำหนดจำนวนเงินที่คุณจะใช้จ่ายในด้านการตลาดด้วย

ประมาณ การทางการเงิน 3 ถึง 5 ปี

ในหัวข้อนี้ให้ใส่ข้อสรุปของการประมาณ การทางการเงินของคุณ พร้อมกับหน้ากระดาษคำนวณที่คุณใช้ทำประมาณการการเงินของคุณ แสดงงบดุลของคุณ งบรายได้ และประมาณการเงินสดหมุนเวียนของช่วงเวลาทั้งหมด หัวข้อนี้คือส่วนที่คุณจะบอกผู้ให้สินเชื่อผู้คาดหวังของคุณว่าคุณต้องการ กู้เงินจำนวนเท่าใดเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเริ่มธุรกิจของคุณ การคาดการณ์ของคุณในหัวข้อนี้ สามารถมีผลทำให้ธุรกิจของคุณสำเร็จหรือล้มเหลวได้ หากคุณไม่มีความชำนาญในด้านการวางแผนทางการเงินดังกล่าว ก็ควรให้มืออาชีพช่วยดำเนินการให้ซึ่งนับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า

เรียนรู้เกี่ยวกับซอฟต์แวร์กระดาษคำนวณ

แผนการ เลิกกิจการ

ส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของแผนธุรกิจที่ดี เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กมักจะวางแผนขายบริษัทของตนเมื่อตนต้องการเลิกกิจการ คุณอาจต้องการส่งมอบการบริหารให้คนบางคนหรือทำให้เป็นบริษัทมหาชน คุณสามารถใช้ข้อมูลตัวเลขต่างๆ ในการพิจารณาเลิกกิจการ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขทางการเงิน ความเติบโตของรายรับ การยอมรับของตลาดในแนวความคิดของคุณ หรือข้อตกลงการเลิกกิจการที่ทำกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูง ไม่ว่าคุณจะใช้หลักเกณฑ์ใด คุณต้องมีแผนในการรับกับผลตอบแทนการลงทุนที่คุณและผู้ร่วมลงทุนของคุณได้ลง ไป

การวิเคราะห์การดูเว็บไซต์ของลูกค้า

การศึกษา การนาวิเกตเว็บไซต์ของบุคคลต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างประสบการณ์การออนไลน์ที่น่าประทับใจ ศึกษาว่าคุณสามารถปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณได้อย่างไรได้ที่นี่

ด้วยการวิเคราะห์การนาวิเกตเว็บไซต์ของผู้ เยี่ยมชม คุณจะสามารถปรับปรุงการบริการลูกค้าและทำให้ผู้ใช้รู้สึกประทับใจในเว็บไซต์ ของคุณได้

สิ่งที่คุณจะต้องพิจารณามีทั้งหมด 5 รายการดังต่อไปนี้

1. เพจที่ได้รับความสนใจมากที่สุด

เพจที่มีการเยี่ยมชมมากที่สุดจะบอก ให้คุณทราบว่าข้อมูลประเภทใดที่ผู้เยี่ยมชมต้องการ

ในการเพิ่ม ประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ของคุณ คุณควรเน้นความสำคัญของเพจนั้นโดยการให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าถึงเพจนั้นได้ สะดวกโดยการคลิกเมาส์ไม่กี่ครั้ง หรือใช้วิธีการจัดกลุ่มข้อมูลเหล่านั้นเป็น "เนื้อหาที่อยู่ในความสนใจ" ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณพบว่าข้อเสนอของผลิตภัณฑ์ใดได้รับความสนใจมาก ให้ใส่ข้อเสนอนั้นไว้ในโฮมเพจ ซึ่งจะทำให้ค้นหาได้ง่าย แล้วจัดกลุ่มโดยใส่การเชื่อมโยงไปยังผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เป็นของแถมซึ่ง อาจสร้างความสนใจให้กับผู้ซื้อ

2. เพจที่ได้รับความสนใจน้อยที่สุด

จำนวน การเยี่ยมชมเว็บไซต์จะบอกคุณได้ว่าเว็บไซต์ใดที่ไม่มีผู้สนใจมากนัก ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีคอลัมน์ "เรื่องขำขันประจำวัน" ซึ่งมีผู้เยี่ยมชมเพียง 3 รายใน 1 เดือน คุณอาจพิจารณานำรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อเสนอของผลิตภัณฑ์มาแทนที่

คุณ จะต้องมั่นใจว่าเพจใดเพจหนึ่งไม่ได้รับความสนใจก่อนที่จะถอนเพจนั้นออกไป โดยพิจารณาว่าการค้นหาข้อมูลในเพจทำได้ยากหรือไม่ คุณต้องใช้เวลานานในการโหลดเพจหรือไม่ เพจมีความเกี่ยวข้องกับผู้เยี่ยมชมเพียงไม่กี่รายใช่หรือไม่ คุณต้องไม่ลืมว่า เพจที่มีผู้เยี่ยมชมน้อยอาจปิดการขายให้กับคุณได้ ถ้าเพจนั้นสามารถกระตุ้นให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งทำธุรกิจร่วมกับคุณได้ เพจนั้นอาจมีคุณค่าเพียงพอที่คุณจะเก็บเอาไว้

3. ความถี่ของการเยี่ยมชม

ศึกษาระยะเวลาในการเยี่ยมชม และการนาวิเกตเว็บไซต์ ซึ่งอาจทำให้คุณทราบถึงโครงสร้างเว็บไซต์ที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ ได้ เพื่อนำไปปรับใช้กับส่วนอื่นๆ ของเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณพบความไม่สอดคล้องของการนาวิเกตและพาธของข้อมูล

ตัวอย่าง เช่น ถ้าคุณพบว่าผู้ใช้ไปยังเพจต่างๆ อย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาในการเยี่ยมชมแต่ละเพจเพียงเล็กน้อย แล้วออกจากเว็บไซต์ของคุณ อาจเป็นสัญญาณว่าผู้เยี่ยมชมไม่สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ หรือผู้เยี่ยมชมต้องใช้เวลานานในการโหลดเพจ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผู้เยี่ยมชมออกจากเว็บไซต์ของคุณ

4. การสอบถามทางอีเมลและโทรศัพท์

ตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับจากลูกค้าทางอี เมลและโทรศัพท์เพื่อค้นหาสิ่งที่จะนำไปปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณได้

ลูกค้า จำนวนหนึ่งถามคำถามเดียวกันหรือไม่ คุณอาจจำเป็นต้องปรับปรุงข้อมูลใน FAQ ของคุณ การขอรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เป็นเรื่องทั่วไปใช่หรือไม่ คุณอาจจำเป็นต้องให้รายละเอียดผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนมากขึ้น หรือตรงประเด็นมากขึ้น บุคคลต่างๆ มีความสับสนเกี่ยวกับสถานะของการสั่งซื้อออนไลน์ของตนหรือไม่ คุณอาจจำเป็นต้องทบทวนกระบวนการสั่งซื้อ

การศึกษาแนวโน้มของการติดต่อ เหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถสร้างประสบการณ์การเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ดีขึ้นได้

5. ความคิดเห็นของลูกค้า

คุณสามารถใช้เว็บไซต์ของคุณในการรับความคิด เห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้โดยตรงด้วยการวิจัยตลาดแบบออนไลน์

เพิ่ม แบบสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าเข้าไปในโฮมเพจชั่วคราว โดยมีของกำนัลตอบแทนสำหรับการกรอกแบบสำรวจนั้น เช่น ส่วนลด 10% ในการซื้อผลิตภัณฑ์หรือใช้บริการ คุณสามารถถามเกี่ยวกับการนาวิเกตเว็บไซต์ การออกแบบ หรือกระบวนการสั่งซื้อ

การสร้างและตรวจสอบอีเมลแอดเดรส สำหรับการรับความคิดเห็นของลูกค้าที่สามารถเข้าถึงได้จากเพจใดๆ ในเว็บไซต์ของคุณอย่างสม่ำเสมออาจเป็นความคิดที่ดี

การทำให้เว็บไซต์ของคุณนำสมัย: เคล็ดลับ 11 ประการ

เว็บไซต์ของคุณจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการของ คุณได้ดีที่สุด แต่คุณจำเป็นต้องปรับปรุงข้อมูลอยู่เสมอเพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้า

คุณคงจำได้ ย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 1990 เมื่อมีการเผยแพร่เว็บไซต์ของบริษัทของคุณเป็นครั้งแรก คุณรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ดี และคุณรู้สึกภูมิใจที่สามารถปรับตัวเข้าสู่ยุคของอินเทอรเน็ตได้เป็นอย่างดี

บริษัท ของคุณยังคงใช้เว็บไซต์ที่จัดทำขึ้นเมื่อแรกเริ่มอยู่หรือไม่

ลองดู คำถามต่อไปนี้ คุณเคยเปลี่ยนภาพกราฟิกหรือเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณมาแล้วกี่ครั้ง สองครั้ง หนึ่งครั้ง หรือไม่เคยเลย

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวว่า ธุรกิจหลายแห่งที่ดำเนินการอยู่ยังคงใช้เว็บไซต์ที่จัดทำเมื่อแรกเริ่มใน ช่วงที่มีการเปลี่ยนเข้าสู่ยุคสหัสวรรษ เว็บไซต์โดยส่วนใหญ่เหล่านี้จึงพลาดโอกาส "การใช้งานให้เกิดประโยชน์" ดังเช่นธุรกิจอื่นๆ ในปัจจุบันอย่างน่าเสียดาย

ธุรกิจที่มีการใช้งาน อินเทอร์เน็ตจะมีการปรับปรุงเนื้อหาในเว็บไซต์ของตนอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งมีการออกแบบเว็บไซต์ใหม่ทุกปี เหตุผลคือ พนักงานขายในบางบริษัทจะไม่สนับสนุนให้ลูกค้าที่คาดหวังเข้าไปยังเว็บไซต์ ของบริษัทที่มีข้อมูลที่ไม่ทันสมัย หรือใช้งานได้ยาก Ilise Benun ผู้เขียนหนังสือ "Designing Web Sites for Every Audience" กล่าว

ผู้ เยี่ยมชมจะมองหาข้อมูลเกี่ยวกับวันที่เพียงเล็กน้อย แล้วสรุปว่าพวกเขามาถึงทางตัน หรือจุดสิ้นสุดของเว็บไซต์แล้ว และเมื่อลูกค้ารายใหญ่ของคุณคลิกเข้ามาเพื่อเข้าร่วมการสัมมนา "ที่เร่งด่วน" ที่จะจัดขึ้น แต่พบว่าการสัมมนานั้นได้ผ่านพ้นไปแล้วในปี 2002 แต่คุณไม่มีเวลาที่จะลบข้อมูลดังกล่าวออกไป พวกเขาอาจรู้สึกรำคาญใจและคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ซึ่งอาจทำให้คุณตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากได้

ดังนั้นคุณจึงควรให้ ความสนใจกับสัญญาณเตือนดังกล่าว คุณกำลังอยู่ในศตวรรษที่ 21 เว็บไซต์ของคุณยังดูเหมือนเว็บไซต์ในปี 1999 อยู่หรือไม่

คำแนะนำ เกี่ยวกับเว็บไซต์

เว็บไซต์ทางธุรกิจก็เหมือนกับการรวมสิ่งต่างๆ แต่การที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณนำสมัยกว่าผู้อื่น คุณจะต้องคิดว่าคุณควรเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ของคุณบ่อยเพียงใด บริษัทที่ให้บริการด้านคำปรึกษาอาจปรับปรุงเว็บไซต์ทุก 3 เดือนหรือทุกปี สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรือบริษัทวิจัยอาจต้องมีการปรับปรุงเว็บไซต์ทุก ชั่วโมง

ไม่ว่าความต้องการของคุณจะเป็นอย่างไร คุณสามารถหาซอฟต์แวร์ที่มีจำหน่ายโดยทั่วไป หรือจากผู้ให้บริการอื่นๆ เพื่อดำเนินการให้กับคุณได้ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถใส่ "พื้นหลัง" ใหม่ให้กับเว็บไซต์เดิมของคุณโดยไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของเว็บไซต์

ต่อ ไปนี้เป็นคำแนะนำ 11 ประการจากนักการตลาดและนักพัฒนาเว็บไซต์ในการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้ทัน สมัยได้อย่างรวดเร็วโดยไม่เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้กับคุณมากจนเกินไป

1. ลดจำนวนเพจของเว็บไซต์

คุณควรออกแบบเว็บไซต์ใหม่ในเพจที่สำคัญเพียง 10 - 15 เพจเท่านั้น Matt Greer ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทให้บริการออกแบบเว็บไซต์ในชื่อ Zeeo Interactive กล่าว คุณสามารถเก็บข้อมูลเพจที่เป็นที่นิยม หรือมีผู้เยี่ยมชมเป็นจำนวนมากให้อยู่ในรูปแบบ Adobe PDF หรือเอกสาร Microsoft Word ที่เหมาะสำหรับการดาวน์โหลด

2. ใช้เว็บไซต์เป็นเครื่องมือทางการตลาด

ถ้าคุณยังไม่เคยรวบรวมข้อมูล พื้นฐาน เช่น ผู้เยี่ยมชมมายังเว็บไซต์ของคุณโดยคลิกจากเว็บไซต์และ Search Engine ใด หรือเพจใดที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุด คุณควรเริ่มตั้งแต่ตอนนี้

ใช้ ชุดซอฟต์แวร์ที่มีจำหน่ายทั่วไปหรือบริการของผู้ให้บริการเว็บไซต์ในการรวบ รวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ "คำถามแรกคือ 'เมื่อผู้เยี่ยมชมเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ คุณต้องการให้คนเหล่านั้นทำอะไร' " Erin Duckhorn ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Crucial Technology ผู้ให้บริการเพิ่มหน่วยความจำแบบออนไลน์กล่าว เมื่อคุณได้คำตอบแล้ว คุณจะสามารถกำหนดเมตริกการตรวจสอบ และพัฒนาเนื้อหา การนาวิเกต และโครงสร้างที่สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้เยี่ยมชมได้อย่างรวดเร็ว

3. จัดโปรแกรมอีเมล

จัดทำข้อเสนอเพื่อชักจูงให้ผู้เยี่ยมชมลงทะเบียน หรือให้อีเมลแอดเดรสกับคุณ "ให้ข้อเสนอที่จะทำให้เป้าหมายรู้สึกว่าได้รับสิ่งที่มีค่าเพียงพอที่จะแลก เปลี่ยนกับข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ของรางวัลสำหรับลูกค้า หรือเอกสารทางการสำหรับลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจ" Jeff Stanislow ประธานกรรมการของบริษัทโฆษณาแบบดิจิตอลในชื่อ MotorCity Interactive กล่าว เมื่อคุณได้รับแอดเดรสมาแล้ว ให้ส่งนิตยสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือเอกสารข่าวที่เป็นประโยชน์ (แต่ไม่ควรส่งมากจนเกินไป)

4. จัดของรางวัลออนไลน์สำหรับลูกค้า

ตอบแทนลูกค้าชั้นดีของคุณโดยการให้ สิ่งจูงใจหรือส่วนลด "คุณอาจให้เนื้อที่บนเว็บไซต์กับลูกค้าโดยไม่ต้องใช้เทคโนโลยีพิเศษใดๆ" Wally Bock ที่ปรึกษาเว็บไซต์กล่าว หรือคุณอาจส่งข้อเสนอพิเศษทางอีเมล

5. เพิ่มความเร็วในการโหลด

ในช่วงเริ่มต้น ภาพกราฟิกที่มีสีสันและแอปเพล็ตออนไลน์อาจดึงดูดความสนใจของผู้เยี่ยมชมได้ อย่างมาก แต่ในปัจจุบันอาจเป็นอุปสรรคสำหรับการเข้าถึงข้อมูลหรือผลิตภัณฑ์ คุณควรจดจำ 3 คำนี้ให้ขึ้นใจ: ประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพ

6. เปิดโอกาสให้ผู้เยี่ยมชมควบคุมการใช้ได้ด้วยตนเองมากขึ้น

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Fairmont Hotels & Resorts ได้ปรับปรุง fairmonthotels.com เพื่อขยายความสามารถในการจองห้องพักแบบออนไลน์ ปัจจุบัน แขกที่เข้ามาจองห้องพักแบบออนไลน์สามารถจองอาหารมื้อค่ำหรือบริการสปาได้ใน เวลาเดียวกัน เว็บไซต์นี้ยังได้เพิ่มส่วนของ "Fairmont Planner" ซึ่งจะช่วยในการค้นหาห้องพักที่ตรงกับโปรไฟล์หรือความต้องการของลูกค้า และ "virtual concierge" ซึ่งให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริการ

"เรา ได้พบสิ่งที่ยืนยันถึงความสำเร็จของเราได้ นั่นคือการเติบโตของธุรกิจในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา" Mike Taylor พนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์กล่าว โดยอ้างถึงผลการสำรวจของ TravelCLICK's eTRAK ที่ศึกษาเว็บไซต์ในแวดวงอุตสาหกรรม 30 แห่ง ซึ่งพบว่ามียอดการจองของ Fairmont ที่สูงขึ้นถึง 165% ในปี 2002

7. ปรับปรุงให้ทันสมัย

เปลี่ยน แปลงสีสันของเว็บไซต์ คุณอาจใช้ "โทนสีแบบตะวันออกไกล เช่น สนิม ลูกพลัม มัสตาร์ด หรือสีเหลืองอมส้ม แล้วใส่ความแวววาว และลายทาง ซึ่งดูเหมือนเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ของคุณ" Dali Wiederhoft นักประชาสัมพันธ์กล่าว

8. ลงทุนในระบบการจัดการเนื้อหา (Content Management System)

หันมาใช้ CMS (Content Management System) แทน HTML ที่ล้าสมัย ซึ่งจะทำให้คุณสามารถปรับปรุงเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณโดยไม่ต้องอาศัยนัก พัฒนา ถ้าคุณมีการปรับปรุงเนื้อหาบ่อยๆ การลงทุนนี้จะคืนทุนให้คุณได้อย่างรวดเร็ว

9. ทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับใน Search Engine

โฮมเพจเดิมของ BreastCancer.org ซึ่งเป็นองค์กรให้ข้อมูลที่ไม่หวังผลกำไรที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในรัฐเพนซิ ลวาเนียได้แสดงภาพโลโก้ขนาดใหญ่ขององค์กร ซึ่งเป็นภาพหญิงสาวชื่อ Polly การทำเช่นนี้ส่งผลให้ Search Engine ไม่สามารถค้นหาเว็บไซต์ได้ "เขาแก้ไขด้วยการย้ายโลโก้ Polly ที่มีขนาดเล็กลงไปยังมุมบนขวาของโฮมเพจ และใช้ข้อความและการเชื่อมโยงข้อความเพื่อนำผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับเว็บไซต์นี้ ไปยังข้อมูลที่สำคัญที่พวกเขากำลังค้นหา" Ilise Benun กล่าว

10. ปรับปรุงเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับองค์กร

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าธุรกิจของ คุณคงต้องมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา เว็บไซต์ของคุณเป็นอย่างไรบ้างในปัจจุบัน ช่องทางหรือเพจอื่นๆ ของคุณเป็นอย่างไร "บริษัทหลายแห่งอาจปรับปรุงเว็บไซต์ของตนทีละส่วน" Kevin McLaughlin พนักงานของบริษัทประชาสัมพันธ์ในชื่อ Public/i กล่าว "เมื่อมีการเพิ่มหัวข้อใหม่เข้าไป ข้อความเดิมหรือการจัดวางตำแหน่งที่ต้องการสื่ออาจไม่ปรากฏในเว็บไซต์ทั้ง หมดของบริษัท" คุณจะต้องแน่ใจว่าข้อความในเว็บไซต์ของคุณตรงกับแผนการตลาดออฟไลน์ของคุณ

11. เพิ่มข้อพิสูจน์หรือเรื่องราวความสำเร็จ

"มีเพียงไม่กี่เว็บไซต์ที่ เพิ่มข้อมูลดังกล่าวลงในเว็บไซต์ของตน และไม่ต้องสงสัยเลยว่าการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มเครดิตให้กับบริษัท ของคุณในสายตาของลูกค้าได้" Philippa Gamse ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ของเว็บไซต์กล่าว คุณอาจให้ลูกค้าแสดงความเห็น หรือขออนุญาตเผยแพร่เรื่องราวและความพึงพอใจในการใช้บริการของลูกค้า

ความ คิดต่างๆ เหล่านี้จะช่วยในการปรับปรุงการนำเสนอเว็บไซต์แบบออนไลน์ของคุณ คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ คุณต้องมีความขยัน และใส่ใจกับเว็บไซต์ของคุณ เมื่อใดก็ตามที่คุณเปลี่ยนแปลงทิศทางของธุรกิจหรือมีการเติบโตทางธุรกิจที่ สำคัญ แน่นอนว่าช่วงเวลาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว การตลาดและการสื่อสารทั้งหมด ซึ่งก็คือ มัลติมีเดีย และช่องทางต่างๆ จะต้องมีความสอดคล้องในรูปแบบเดียวกัน ถึงเวลาแล้วที่คุณจะนำเว็บไซต์ของคุณก้าวเข้าสู่ศตวรรษใหม่

การจัดทำเอกสารส่งทางไปรษณีย์

ความประทับใจ ครั้งแรกเป็นสิ่งสำคัญ! ศึกษาวิธีการลดค่าใช้จ่ายการพิมพ์โดยไม่เสียคุณค่าได้จากที่นี่

**
การเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้อง
**

แคมเปญทางการตลาดของฉันในช่วงแรก ฉันจำเป็นต้องใส่โปสการ์ดไว้ในซองจดหมาย เพื่อป้องกันส่วนต่างๆ ของโปสการ์ด รวมทั้งปกปิดข้อมูลก่อนถึงมือผู้รับ ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้ในบริษัทใหญ่ๆ ที่มีการจัดส่งเอกสารทางไปรษณีย์จำนวนมากจำเป็นต้องใช้ฉลากที่อยู่ เรากำลังพูดถึงยุคหิน! วิธีการที่กล่าวต่อไปคือวิธีที่เราใช้ในแคมเปญสำหรับธุรกิจของ ACW ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย และการดำเนินการต่างๆ

การใช้ตัว ช่วยสร้างจดหมายเวียนบนซองจดหมายใน Microsoft Word (เลือก เครื่องมือ | จดหมายและเมล... | ตัวช่วยสร้างจดหมายเวียน แล้วเลือก ซองจดหมาย) ฉันใช้ข้อมูลผู้ติดต่อทางธุรกิจที่ป้อนใน Business Contact Manager สำหรับ Outlook 2003 เป็นไฟล์ต้นฉบับที่ใช้อ้างอิงที่อยู่ทางไปรษณีย์ของผู้รับ ขั้นตอนในการจัดทำจดหมายเวียนบนซองจดหมายจะคล้ายกับวิธีการที่ได้อธิบายใน ขั้นตอนที่ 3 ในหัวข้อการจัดทำฐานข้อมูล การใช้วิธีดังกล่าวในการจัดทำซองจดหมายจะทำให้ ACW ได้รับประโยชน์ดังนี้

1.

สามารถใช้ซองจดหมายธรรมดาที่มี ราคาไม่แพง

2.

ซองจดหมายเปล่าที่ “ไม่มีฉลากที่อยู่”

3.

สามารถใส่โลโก้บริษัท และข้อความโปรยลงบนซองจดหมายเพื่อสร้างแบรนด์ได้

4.

ไม่ต้องเสียเวลาในการติดฉลากที่ อยู่ลงบนซองจดหมาย

หลังจากที่ป้อนและพิมพ์ ซองจดหมายด้านหน้าแล้ว ฉันได้ตั้งค่าเพื่อใช้แม่แบบซองจดหมายขนาดเล็กสำหรับอีกด้านของซอง ซึ่งจะพิมพ์โลโก้ของบริษัท ข้อความโปรยด้านล่าง รวมทั้งที่อยู่สำหรับการส่งคืนลงบนอีกด้านของซองจดหมาย การดำเนินการทั้งหมดนี้ตั้งแต่การจัดทำจดหมายเวียนไปจนถึงการพิมพ์ซองจดหมาย ซองสุดท้าย (ทั้งสองด้าน) ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น

เพียงง่ายๆ เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย ใส่โปสการ์ดของคุณลงในซองจดหมาย แล้วไปยังที่ทำการไปรษณีย์เพื่อจัดส่ง ตอนนี้ก็เพียงแต่รอเวลาเพื่อติดตามผลทางโทรศัพท์ จากนั้นฉันจะต้องดำเนินการอะไรบางอย่างในอีก 2 - 3 สัปดาห์ก่อนปิดแคมเปญ

ข้อมูล เกี่ยวกับค่าใช้จ่าย

การทบทวนค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการพิมพ์โปสการ์ด สำหรับการส่งทางไปรษณีย์จะทำให้คุณได้รับประโยชน์อย่างคุ้มค่า

การ ออกแบบ: เรายังคงใช้โลโก้ของบริษัทที่จัดทำขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน จึงไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในส่วนนี้ ยกเว้นค่าใช้จ่ายในการจ้างนักออกแบบมาให้ความเห็นและคำแนะนำเกี่ยวกับ โปสการ์ดของเราประมาณครึ่งชั่วโมง ค่าออกแบบโบรชัวร์และจดหมายเป็นเงินทั้งสิ้น 55 ดอลลาร์

กระดาษและ หมึกพิมพ์: ที่ ACW เราใช้เครื่องพิมพ์ EPSON Stylus Photo 2100P ซึ่งเป็นเครื่องพิมพ์คุณภาพระดับสูงที่มีหมึกพิมพ์ 7 สี ทำให้เราสามารถพิมพ์ลงบนกระดาษภาพถ่ายแบบม้วนได้ กระดาษม้วนยาว 10 เมตร (84 ดอลลาร์) กับปริมาณหมึกพิมพ์อีก 1 ใน 5 (ประมาณ 35 ดอลลาร์) คิดเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการพิมพ์โปสการ์ดประมาณ 120 ดอลลาร์ ทั้งหมดนี้ฉันต้องเสียค่าใช้จ่ายรวมแล้วประมาณ 175 ดอลลาร์

หมาย เหตุ: ค่าใช้จ่ายดังกล่าวยังไม่รวมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ ซึ่งได้ซื้อมาในช่วงการปรับปรุงเทคโนโลยีของบริษัทในปี 2002

ในการ เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายต่างๆ ฉันได้ติดต่อกับผู้จำหน่ายเครื่องพิมพ์ในพื้นที่เพื่อให้ทราบว่าฉันจะเสีย ค่าใช้จ่ายเท่าใดในการจัดทำโปสการ์ดสำหรับการส่งทางไปรษณีย์ด้วยตนเอง ซึ่งคำตอบที่ได้รับคือ สำหรับการจัดทำโปสการ์ดจำนวน 50 ใบ โดยใช้เครื่องถ่ายเอกสารสี ซึ่งไม่รับรองว่าจะได้คุณภาพในระดับสูงเช่นเดียวกับการพิมพ์ด้วยเครื่อง พิมพ์สี ค่าใช้จ่ายสำหรับโปสการ์ดหนึ่งใบคือ 3.80 ดอลลาร์ (1.90 ดอลลาร์ต่อหนึ่งด้าน) ค่าใช้จ่ายรวมสำหรับโปสการ์ด 50 ใบเป็นเงินทั้งสิ้น 190 ดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าการพิมพ์ด้วยตนเองถึง 70 ดอลลาร์ (ตามข้อมูลข้างต้น)

เคล็ดลับการพิมพ์

สิ่งที่ฉันได้จากการ ทดลองต่างๆ และการได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในตลาดเครื่องพิมพ์แบบเดสก์ท็อปคือ การระมัดระวังในการใช้สื่อ ซึ่งได้แก่ กระดาษและหมึกพิมพ์ โรงพิมพ์ระดับมืออาชีพจะใช้หมึกพิมพ์ Pigment-Based Ink ที่มีการเคลือบเรซินเพื่อช่วยกันน้ำและรอยเปื้อนต่างๆ ความพยายามของคุณในการจัดทำและพิมพ์งานออกมาอย่างสวยงามเพื่อส่งไปยังลูกค้า ไม่ได้หมายความว่าผู้รับจะเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี งานพิมพ์ของคุณจะต้องทนต่อความชื้นและการหยิบจับอย่างไม่ทะนุถนอมตลอดเส้น ทาง ซึ่งถ้าคุณไม่สามารถจัดการกับเรื่องดังกล่าวได้ ก็อาจส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ของบริษัท

เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตโดยส่วน ใหญ่จะใช้หมึก Dye-Based Ink ซึ่งเป็นหมึกที่ละลายน้ำได้ ถ้าคุณใช้หมึกพิมพ์ชนิดนี้บนกระดาษธรรมดาหรือกระดาษรีไซเคิล เมื่อถูกน้ำ งานพิมพ์ของคุณก็จะเลอะไม่น่าดูเหมือนกับ “มาสคาร่าที่ลบเลือน” วิธีการที่ดีที่สุดคือ คุณควรตรวจสอบเว็บไซต์ของบริษัทผู้จำหน่ายเครื่องพิมพ์ หรือติดต่อไปยังฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อสอบถามว่าหมึกพิมพ์และกระดาษชนิดใดที่ เหมาะกับเครื่องพิมพ์ของคุณเพื่อจัดทำเอกสารที่มีความคงทนตามที่ต้องการ

การจัดทำข้อเสนออย่างมืออาชีพ

ด้วยการทำตาม หลักการออกแบบที่ดีเพียงไม่กี่ข้อ และการใช้คุณสมบัติการจัดรูปแบบเอกสารของ Microsoft Office คุณจะสามารถจัดทำข้อเสนอที่สวยงามที่สร้างความประทับใจครั้งแรกได้

**
**

ไม่ว่าคุณกำลังพยายามผลักดันผลิตภัณฑ์หรือ บริการของคุณไปยังบริษัทข้ามชาติหรือร้านค้าเปิดใหม่ตามท้องถนน ภาพลักษณ์การทำงานที่เป็นมืออาชีพจะทำให้ธุรกิจของคุณดูแตกต่าง ในบทความนี้ เราจะกล่าวถึงการใช้คุณสมบัติการจัดรูปแบบที่มีอยู่ใน Microsoft Office เพื่อจัดทำข้อเสนอและใบเสนอราคาอย่างมืออาชีพที่จะทำให้คุณได้เปรียบในการ แข่งขัน ในการใช้ Microsoft Word เราจะกล่าวถึงเคล็ดลับและเทคนิคการจัดรูปแบบที่นักออกแบบใช้ในการจัดทำเค้า โครงและลักษณะของเอกสารอย่างมืออาชีพ (คุณสามารถดำเนินการด้วยตนเองได้โดยไม่ต้องจ้างนักออกแบบ!)

เริ่ม ต้นด้วยการกำหนดเนื้อหา

ขั้นแรก เราจะต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะทำให้ข้อเสนอนั้นมีความเด่นชัด เนื้อหาในข้อเสนอของคุณจะต้องบอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวคุณอย่างชัดเจน โดยการให้รายละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์ของบริษัท (หรือตัวคุณเอง) และรายละเอียดของผลิตภัณฑ์หรือบริการ รวมทั้งต้นทุนของผลิตภัณฑ์หรือบริการโดยสังเขป

เมื่อคุณได้เนื้อหาที่ จะนำไปใส่ไว้ในข้อเสนอแล้ว คุณจะต้องสร้างเอกสาร Word ใหม่ แล้วเริ่มต้นจัดทำข้อเสนอของคุณ วิธีการที่ง่ายที่สุดในการทำให้ข้อเสนอของคุณมีความเด่นชัด คือ การใช้รูปแบบและลักษณะที่สอดคล้องกันตลอดทั้งเอกสาร โดยคุณสามารถใช้รูปแบบที่มีใน Microsoft Word กับข้อความในเอกสารของคุณ

ข้อ แนะนำ: ถ้าคุณไม่ทราบว่าคุณควรใส่เนื้อหาใดไว้ในข้อเสนอ คุณอาจดูตัวอย่างข้อเสนอของผลิตภัณฑ์และบริการประเภทต่างๆ ได้จากแม่แบบที่มีอยู่ใน ที่เก็บแม่แบบของ Office Online

การจัดรูปแบบ เอกสารให้มีความสอดคล้องกัน

ในการเลือกแบบอักษรและขนาดแบบอักษรใน Word คุณอาจสังเกตเห็นรายการแบบหล่นลง (ช่อง drop-down list) ที่อยู่ทางด้านซ้ายของเมนูแบบอักษร เมนูนี้จะแสดงรูปแบบทั้งหมดที่มีอยู่ในเอกสารของคุณ เมื่อคุณต้องการใช้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งกับข้อความ ให้ระบายแถบสีที่ข้อความ แล้วเลือกรูปแบบที่ต้องการจากรายการแบบหล่นลง ข้อความที่คุณเลือกจะแสดงตามแบบอักษร ขนาดแบบอักษร การจัดรูปแบบตัวอักษร ฯลฯ ที่เลือกไว้

โดยค่าดีฟอลต์ Word จะใช้รูปแบบ “ปกติ” ซึ่งเป็นค่าดีฟอลต์สำหรับข้อความในเอกสารของคุณ นอกจากนี้ยังมีรูปแบบสำหรับข้อความที่เป็นหัวข้อ (เช่น Heading 1, Heading 2 ฯลฯ) ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับการจัดทำเอกสารที่แบ่งออกเป็นหลายส่วน

คุณ สามารถใช้รูปแบบเหล่านี้ในการจัดรูปแบบข้อความสำหรับแต่ละส่วน (เช่น “เกี่ยวกับเรา”, “ผลิตภัณฑ์”, “ราคา” ฯลฯ) เพื่อให้เอกสารของคุณมีลักษณะที่ปรากฏที่สอดคล้องกัน

ประโยชน์ที่คุณ จะได้รับเพิ่มเติมจากการใช้รูปแบบเหล่านี้ในแต่ละส่วนของข้อเสนอของคุณคือ คุณสามารถจัดทำสารบัญสำหรับข้อเสนอของคุณได้อย่างรวดเร็วโดยไปที่หน้าแรกของ เอกสาร แล้วเลือก แทรก > การอ้างอิง > ดัชนี และ ตาราง แล้วคลิกที่แท็บ สารบัญ จากนั้นให้คลิก ตกลง เพื่อเพิ่มสารบัญลงในข้อเสนอ คุณสามารถดำเนินการได้ง่ายๆ เพียงเท่านี้

นอก จากนี้ คุณยังสามารถเพิ่มหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบที่ใช้ได้โดยการเลือก รูป แบบ > ลักษณะและการจัดรูปแบบ เพื่อเปิดเมนูที่แสดงด้านข้างของ ลักษณะ และการจัดรูปแบบ ซึ่งจะปรากฏทางด้านขวาของเอกสาร

คุณสามารถใช้ รายการแบบหล่นลงของแต่ละรูปแบบในการปรับเปลี่ยนรูปแบบ ซึ่งได้แก่ แบบอักษร ขนาดแบบอักษร การจัดรูปแบบ ฯลฯ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของคุณจะมีผลต่อข้อความทั้งหมดที่ใช้รูปแบบนั้น

การ เพิ่มสีและรูปภาพ

นอกจากลักษณะที่ปรากฏที่มีความสอดคล้องแล้ว วิธีการที่จะทำให้งานนำเสนอของคุณมีความโดดเด่นคือ การปฏิบัติตามหลักการออกแบบพื้นฐาน โดยเริ่มต้นด้วยการจำกัดการใช้สีของคุณ เอกสารของคุณอาจดูแปลกตา หากคุณเปลี่ยนสีของข้อความเป็นสีส้มทั้งที่หัวข้อของข้อความนั้นเป็นสีม่วง จุดมุ่งหมายของคุณคือ คุณพยายามที่จะสร้างภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพและโน้มน้าวให้ผู้อ่านซื้อ ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ

หลักเกณฑ์ที่ใช้กันโดยทั่วไปคือ เนื้อหาหลักของข้อเสนอควรพิมพ์ด้วยข้อความสีดำ แต่คุณสามารถใช้สีต่างๆ เพื่อเน้นข้อความหรือทำให้หัวข้อเด่นชัดได้

วิธีการทำให้ข้อเสนอของ คุณมีความรัดกุมอีกวิธีหนึ่งคือ การจำกัดการใช้ภาพตัดปะและรูปภาพต่างๆ ถ้าคุณใช้ภาพกราฟิกในข้อเสนอของคุณ ภาพเหล่านั้นจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับส่วนนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีภาพผลิตภัณฑ์ที่คุณจำหน่าย การใส่ภาพนั้นไว้ในส่วนที่ให้คำอธิบายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จึงเป็นเรื่องที่สม เหตุสมผล

ในทางกลับกัน ถ้าคุณมีภาพตัดปะที่น่าสนใจ ภาพตัดปะ แล้วนำไปใส่ไว้ในข้อเสนอของคุณอย่างกระจัดกระจาย คุณอาจสร้างความประหลาดใจให้กับลูกค้าได้ว่าภาพตัดปะเหล่านี้มีความเกี่ยว ข้องกับข้อเสนอของคุณอย่างไร การใช้ภาพตัดปะหรือรูปภาพเพียงเล็กน้อยจะให้ผลที่ดีกว่า

การเพิ่ม หัวกระดาษและท้ายกระดาษ

สิ่งสุดท้ายในการสร้างภาพลักษณ์ความเป็นมือ อาชีพคือ การเพิ่มหัวกระดาษและท้ายกระดาษลงในเอกสารของคุณ หัวกระดาษและท้ายกระดาษของเอกสารคือพื้นที่ที่คุณสามารถใส่ชื่อของข้อเสนอ วันที่ รวมทั้งชื่อบริษัทและหมายเลขหน้าได้

เมื่อต้องการสร้างหัว กระดาษหรือท้ายกระดาษใหม่ ให้เลือก มุมมอง> หัวกระดาษและท้ายกระดาษ ซึ่งจะทำให้คุณสามารถแก้ไขหัวกระดาษและท้ายกระดาษ แล้วพิมพ์ข้อความลงในพื้นที่ที่จัดไว้ในหน้าเอกสารได้โดยตรง เมื่อต้องการแทรกหมายเลขหน้า ให้คลิกไอคอน หมายเลขหน้า ที่อยู่บนแถบเครื่องมือ หัวกระดาษและท้ายกระดาษ

ถ้าข้อเสนอของ คุณมีหน้าชื่อเรื่อง คุณอาจไม่ต้องการให้หัวกระดาษและท้ายกระดาษปรากฏในหน้านั้น ให้คลิกไอคอน การ ตั้งค่าหน้ากระดาษ ที่อยู่บนแถบเครื่องมือเดียวกันเพื่อเปิดหน้าคุณสมบัติเค้าโครง

คลิ กตัวเลือก หน้าแรกต่างกัน เพื่อให้คุณสามารถสร้างหัวกระดาษ/ท้ายกระดาษสำหรับหน้าที่เหลือในเอกสารของ คุณโดยไม่ปรากฏในหน้าแรกได้ เมื่อคุณแก้ไขหัวกระดาษ/ท้ายกระดาษเรียบร้อยแล้ว ให้คลิกปุ่ม ปิด เพื่อกลับไปยังเอกสารของคุณ

การตรวจการสะกดคำและการพิมพ์

ใน ท้ายที่สุด คุณต้องไม่ลืมที่จะอ่านทบทวนและตรวจการสะกดคำก่อนส่งข้อเสนอของคุณออกไป (เครื่อง มือ > การสะกดและไวยากรณ์) ถ้าคุณส่งเอกสารที่พิมพ์ออกมาให้กับลูกค้า คุณอาจต้องการจัดทำข้อเสนอนั้นเป็นรูปเล่ม (ร้านถ่ายเอกสารโดยส่วนใหญ่มักจัดทำให้โดยเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพียงเล็กน้อย) หรือใส่ไว้ในแฟ้มงานนำเสนอ

เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถจัดทำข้อเสนอได้เหมือนอย่างมืออาชีพแล้ว!