วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ทำไมท่านซื้อลอตเตอรี่แล้วไม่ถูกรางวัล

ทุกท่านเคยสงสัยบ้างไหมครับว่าเวลาท่านซื้อลอตเตอรี่แล้วทำไมไม่ถูกรางวัล กันบ้างเลย แต่ถ้าหากท่านเป็นคนช่างสังเกตุ ผมแน่ใจเลยครับ ว่าท่านที่คิดจะซื้อลอตเตอรี่ ครั้งต่อไป หรืองวดต่อไป ท่านจะมีโอกาสถูกลอตเตอรี่แน่นอน
มีคำแนะนำเล็กๆน้อยๆ จากผม ไม่รู้ว่าทุกท่านรู้อยู่แล้วหรือปล่าว หากบางท่านรู้อยู่แล้วก็ฟังอีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้ายังก็คิดเสียว่า เป็นความรู้หรือประสบการณ์ใหม่ๆก็แล้วกันครับ

เลขเบิ้ล 00 11 22 33 44 55 66 77 88 99

เลขตอง 000 111 222 333 444 555 666 777 888 999

เห็นตัวเลขก็อย่าพึ่งงง นะครับ ตัวเลขพวกนี้ คือเลขเงิน ที่จะทำให้ทุกท่านถูกหวยทุกงวด หากท่านช่างสังเกตุนิดหนึ้ง ตัวเลขพวกนี้ จะออกทุกงวด เหตุผล หรือครับ หากท่านเป็นคนออกเลขสลากและเป็นผู้พิมพ์และจำหน่าย เลขที่จะทำให้ท่านมีกำไรมากที่สุดคือเลขอะไรครับ หมายถึงท่านเป็นผู้จำหน่ายสลากเองนะครับ เลขที่ทุกคนมองข้าม คือเลขกลุ่มนี้แหละครับ ส่วนใหญ่เลขที่ออกมากในแต่ละงวดคือเลขเบิ้ลมากกว่าเลขตอง

วิธีการซื้อลอตเตอรี่ คือ เวลาซื้อทุกครั้งให้ซื้อติดเลขเบิ้ล ทุกครั้งหากไม่หวังรางวัลเลขท้าย 3 ตัว

ตัวอย่างเลขเบิ้ลที่ออกทุกงวด เลขอะไรก็ได้

00_ _ _ _ _ 11 _ _ _ _ _ 22 _ _ _ _ _33 _ _ _ _ _44


ความแม่นยำ 99.99 % จะออกมาก รางวัลที่ 3 , 4 , 5 มากที่สุด
สำหรับ รางวัลที่ 1 2 %
รางวัลที่ 2 5 %

กรุณาอย่าเชื่อผม โดยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ถ้าหากท่านมีเวลาว่างๆ ท่านหาใบตรวจผลสลาก นำมาเช็คอีกครั้งตั้งแต่รางวัลที่ 2 ถึงรางวัลที่ 5นะครับ แล้วท่านจะพบคำตอบว่าทำไม ว่าท่านจะมีโอกาสถูกลอตเตอรี่ ในงวดต่อๆไป แล้วพบกันนะครับ สวัสดีครับ

คุณประโยชน์และโทษของกาแฟ

พูดถึงเรื่องกาแฟ วันก่อนผมได้ฟังนักจัดรายการทางวิทยุบอกคุณประโยชน์และโทษของกาแฟ ได้ฟังคุณประโยชน์โดย คร่าวๆก็มีประโยชน์เยอะอยู่เหมือนกัน นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าวันหนึ่งๆเราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก.ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย

ผลดีของกาแฟ

กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น ผู้ที่ดื่มกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน มีสมาธิในการทำงาน และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไขหวัด ผลต่อสมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น เช่นการขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เล่นกีฬาได้นานขึ้น ผลดีของกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอนโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และช่วยลดอุบัติเหตุขณะขับรถ

กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกายไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟเพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ

ดื่มนานๆจะติดกาแฟหรือไม่
องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าไม่มีหลักฐานว่ากาแฟจะเป็นสารซึ่งหากดื่มนานๆแล้วจะเสพติด การดื่มกาแฟจะเป็นนิสัยมากกว่าเสพติดเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของกาแฟ และเมื่อหยุดกาแฟบางคนก็เกิดอาการปวดหรือมึนศีรษะเพียงเล็กน้อย

ผลดีของกาแฟต่อสุขภาพ
โรคหอบหืด มีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วจะลดอาการหอบหืด หากดื่มมากกว่า 6 แก้วการทดสอบสมรรถภาพปอดจะดีขึ้น
กาแฟก็เหมือนกับพืชอื่นๆมีสาร flavanoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
การดื่มกาแฟจะลดอาการง่วงนอน และทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และลดอุบัติเหตุขณะขับขี่
กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายความวิตกกังวล
การดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังลดอุบัติการณ์ของนิ่วในถุงน้ำดี
มีหลักฐานพอจะเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อดื่มวันละ 4 แก้ว

กาแฟกันสุขภาพสตรี
กาแฟกับการตั้งครรภ์ The Food Standards Agency ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐานยังไม่พบผลเสียดังกล่าว ประเทศอังกฤษได้แนะนำว่าการดื่มวันละ 3-4 แก้วขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย สำหรับผู้ที่ตั้งท้องหากงดได้ก็น่าจะงด การเป็นหมัน พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่า 1แก้วจะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันเพิ่มขึ้น

กาแฟกับโรคกระดูกพรุน
ยังมีรายงานทั้งสนับสนุนว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน บางรายงานก็กล่าวว่าไม่เกิดโรค ผู้ที่เกิดโรคกระดูกพรุนมักจะได้รับแคลเซียมไม่พอแนะนำว่าควรจะดื่มนมเริมสำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วขึ้นไป

กาแฟกับโรคมะเร็ง
มีรายงานจากWorld Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง มีรายงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟมีผลดีต่อการป้องกันมะเร็งตับอ่อนเล็กน้อย มีรายงานว่าการดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ๋

กาแฟกับโรคหัวใจ
เท่ามีรายงานขณะนี้พบว่าการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วไม่มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ การดื่มกาแฟเป็นประจำไม่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น การดื่มกาแฟครั้งแรกจะทำให้ความดันขึ้นชั่วคราว

กาแฟกับโรคเบาหวาน
จากการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrineเพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

ภาษาอังกฤษแบบผิดๆที่ฮิตติดปาก

ภาษาอังกฤษแบบผิด ๆ ที่ฮิตติดปากคนไทย

--------------------------------------------------------------------

เมื่อเช้านี้ผมได้รับ fwd mail จากเพื่อนคนหนึ่ง อ่านแล้วคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ บล็อกเกอร์ที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร เลยเอามาโพสต์ไว้ให้อ่านกัน เนื้อหามีอย่างนี้ครับ …
ในปัจจุบันมีคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยใช้กันจนติดปากอยู่มากมาย แต่เราเคยรู้ไหมว่ามีบางคำที่ฝรั่งเค้าไม่ได้ใช้อย่างที่เราพูดกันติดปาก
ยกตัวอย่างเช่น 8 คำศัพท์ ต่อไปนี้ที่คนไทยมักใช้อย่างผิด ๆ พร้อมทั้งคำที่ถูกต้องซึ่งคุณควรนำไปใช้เวลาคุยกับฝรั่ง

1) อินเทรนด์ ( in trend for) คำนี้อินเทรนด์มาก ๆ เอ๊ย...ฮิตมาก ๆ ในปัจจุบันสามารถได้ยินตามรายการวิทยุหรือโทรทัศน์ทั่วไป เพราะใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง

เช่น เด็กสมัยนี้ถ้าจะให้อินเทรนด์ต้องตามแฟชั่นเกาหลี ซึ่งบางทีเวลาคุณต้องการพูดว่า " มันทันสมัย " คุณอาจจะติดปากว่า "It is in trend." คำว่า " ทันสมัย " ฝรั่งเค้าไม่ใช้คำว่า "in trend" อย่างคนไทยหรอกครับ

เค้าจะใช้คำว่า "trendy" หรือ "fashionable" ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ที่คุณสามารถวางไว้หน้าคำนามที่ต้องการขยาย เช่น a trendy haircut ทรงผมที่ทันสมัย , a fashionable restaurant ร้านอาหารที่ทันสมัย หรือจะไว้หลัง verb to be เช่น It is trendy. หรือ It is fashionable. ก็ได้

2) เว่อร์ ( over) เช่น ใยคนนั้นทำอะไรเว่อร์ๆ She is over. ไม่มีความหมายแต่อย่างใดในภาษาอังกฤษ ฝรั่งที่ได้ยินคุณพูดเช่นนี้ คงมึนตึบพร้อมทำสีหน้างง ๆ ว่ามันหมายถึงอะไรเหรอ ?

พูดถึงคำนี้ คนไทยน่าจะหมายถึงการพูดเกินจริงหรือทำเกินจริง ซึ่งถ้าพูดเกินจริงควรจะใช้คำศัพท์ที่ว่า "exaggerate" เป็นคำกิริยา อ่านว่า เอก-แซ้ก-เจ่อ-เรท เช่น "He said you walked 30 miles." เค้าบอกว่าคุณเดินตั้ง 30 ไมล์ "No - he's exaggerating. It was only abou 15." ไม่หรอกเค้าพูดเว่อร์ (เกินจริง) มันก็แค่ 15 ไมล์เอง

ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า เธอพูดเว่อร์น่ะ ก็บอกว่า You're exaggerating. หรือจะบอกเค้าว่า อย่าพูดเว่อร์ๆ น่ะ อาจใช้ว่า Don't exaggerate.
ส่วนอาการเว่อร์อีกแบบคือการทำเกินจริง เราจะใช้คำกิริยาที่ว่า "overact" เช่น You're overacting. เธอทำเว่อร์เกิน (แสดงอารมณ์เกินจริง)

3) ดูหนัง soundtrack เวลาคุณจะบอกใครว่าฉันต้องการดูหนังฝรั่งที่พากย์ภาษาอังกฤษอย่าพูดว่า "I want to watch a soundtrack film." แต่ควรจะใช้ว่า "I want to watch an English film."

เพราะความหมายของคำว่า "soundtrack" คือ ดนตรีที่อยู่ในภาพยนตร์ต่างหากล่ะครับ ถ้าเราจะพูดถึงหนังฝรั่งที่พากย์เสียงภาษาไทย เราต้องบอกว่า "I want to watch an English film that is dubbed into
Thai." เพราะคำกิริยาว่า "dub" คือพากย์เสียงจากต้นแบบในหนังหรือรายการโทรทัศน์ไปเป็นภาษาอื่น

ส่วนหนังที่มีคำบรรยายใต้ภาพเราเรียกว่า "a subtitled film" ซึ่งคำบรรยายที่อยู่ใต้ภาพ เราเรียกว่า "subtitles" ( ต้องมี s ต่อท้ายเสมอนะครับ) เช่น a French film with English subtitles หนังฝรั่งเศสที่มีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาอังกฤษ

หนังบางเรื่องจะมีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาเดียวกับที่นักแสดงพูดเรามีศัพท์เรียกเฉพาะว่า "closed-captioned films / คำหวงห้าม / television programs" หรือ อาจเขียนย่อๆ ว่า "CC"
เช่น You should watch a closed-captioned film to improve your English. คุณควรจะดูหนังฝรั่งที่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษของคุณ

4) นักศึกษาปี 1 คนไทยมักเรียกว่า "freshy" ซึ่งฝรั่งไม่รู้เรื่องหรอกครับเพราะไม่มีการบัญญัติศัพท์คำนี้ในภาษาอังกฤษเค้าจะใช้คำว่า "fresher" หรือ "freshman" เช่น He is a fresher. หรือ He is a freshman. หรือ He is a first-year student. เขาเป็นนักศึกษาปี 1

ส่วนปีอื่นๆ คนไทยเรียกถูกแล้วครับ คือ ปี 2 เราเรียก a sophomore, ปี 3 เรียกว่า a junior และ ปี 4 เรียกว่า a senior

5) อัดหรือบันทึกคนไทยมักพูดทับศัพท์ว่าเร็คคอร์ด (record) คำๆ นี้สามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำกิริยาเพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่ง stress กล่าวคือ ถ้าจะใช้เป็นคำนามที่แปลว่า แผ่นเสียงหรือสถิติ ให้ขึ้นเสียงสูงที่พยางค์แรกคือ " เร็ค-คอร์ด " เช่น He wants to buy a record. เขาต้องการซื้อแผ่นเสียง , I broke my own record. ฉันทำลายสถิติของฉันเอง

แต่ถ้าคุณจะหมายถึงคำกิริยาที่แปลว่าอัดหรือบันทึก ต้อง stress พยางค์หลังซึ่งจะอ่านว่า " รี-คอร์ด " เช่น I'll record the film and we can all watch it later. ฉันจะอัดหนังเราจะได้เก็บไว้ดูทีหลังได้

ส่วนเครื่องบันทึกเราเรียกว่า "recorder" อ่านว่า รี-คอร์-เดอร์

6) ต่างคนต่างจ่ายเรามักใช้ American share รับรองว่าฝรั่ง (ต่อให้เป็นชาวอเมริกันด้วยครับ) ได้ยินแล้ว งงแน่นอน ถ้าคุณจะหมายถึงต่างคนต่างจ่ายให้ใช้ว่า "Let's go Dutch." หรือ "Go Dutch (with somebody)."

อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นธรรมเนียมของชาวดัตช์หรือเปล่า ? ที่ต่างคนต่างจ่ายเลยมีสำนวนอย่างนี้ หรือคุณอาจจะบอกตรงๆ เลยว่า "You pay for yourself." คือเป็นอันรู้กันว่าต่างคนต่างจ่าย

แต่ถ้าคุณต้องการเป็นเจ้ามือ (ไม่ใช่เล่นไพ่นะครับ) เลี้ยงมื้อนี้เอง คุณควรพูดว่า "It's my treat this time." หรือ "My treat." หรือ "It's on me. " หรือ "All is on
me. " หรือ " I' ll pay for you this time." ทั้งหมดแปลว่า มื้อนี้ฉันจ่ายเอง
ส่วนถ้าจะบอกเพื่อนว่า คราวหน้าแกค่อยเลี้ยงฉันคืนให้บอกว่า " It's your treat next time."

7) ขอฉันแจม ( jam) ด้วยคน ในกรณีนี้คำว่า " แจม " น่าจะหมายถึง " ร่วมด้วย " เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอกเธอจะไปด้วยมั้ย ? ในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า jam

ในกรณีแบบนี้ ซึ่งควรจะใช้ว่า "Do you want to join us?", "Do you want to come with us?" หรือ "Do you want to come along?" จะดีกว่าครับ

8) เขามีแบ็ค ( back) ดี "He has a good back." ฝรั่งคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับข้างหลังของเค้า เพราะ back แปลว่า หลัง (อวัยวะ) แต่คุณกำลังจะพูดถึงมีคนคอยสนับสนุน ซึ่งต้องใช้ "a backup" ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุนช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลังใจให้
__________________
คิดดีทำดี ทำวันนี้ให้ดี วันหน้าก็จะได้ดี

การสร้างแรงบันดาลใจเพื่อไปสู่ความสำเร็จ

การสร้างแรงบันดาลใจเพื่อไปสู่ความสำเร็จ

เรียบเรียงโดย วัฒนา สุนทรธัย


บทความนี้สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในเรื่องการเรียน การทำงาน และการพัฒนาชีวิต หากอ่านแล้วไม่นำไปปฏิบัติ ก็ไม่อาจทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ ต้องลงมือปฏิบัติอย่างยืนหยัด ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างนิสัยแห่งความสำเร็จ และช่วยให้ผู้ปฏิบัติประสบความสำเร็จในชีวิตได้

ตอนเริ่มต้น: เราจะเป็นอย่างที่เราคิด

ความสำเร็จเป็นผลของ เจตคติ เจตคติคือ นิสัยการคิด นิสัยไม่ใช่สัญชาตญาณ หากแต่เป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากการทำซ้ำ ดังนั้น การคิดดี พูดดี ทำดี ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะกลายเป็นนิสัยที่ดี ซึ่งเป็นนิสัยแห่งความสำเร็จ นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ล้วนคิดตรงกันในประเด็นที่ว่า เราจะเป็นอย่างที่เราคิด อาทิ

พระวจนะหนึ่งของ พระพุทธเจ้า คือ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว

โซโลม่อน กล่าวว่า เพราะมนุษย์คิด ในหัวใจของเขา เขาจึงเป็นเช่นนั้น

มาร์คัส ออเรลีอุส เขียนไว้ว่า ชีวิตของมนุษย์คือ สิ่งที่ความคิดของเขาสร้างขึ้น

ราฟ วัลโด อีเมอร์สัน ก็ยืนยันว่า คนผู้หนึ่งคือ สิ่งที่เขาเฝ้าวนเวียนคิดอยู่ตลอดวัน

คนเราจึงเป็นในสิ่งที่เรา โปรแกรม สมองเราไว้ คนที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่โปรแกรมเรื่องราวของความสำเร็จไว้ในสมองของเขาหรือเธอ ส่วนคนที่น่าสังเวชจะนำเอาแต่เรื่องแย่ๆ ใส่สมอง ดังนั้น ขอให้นักศึกษาจงเป็น โปรแกรมเมอร์ เพื่อพัฒนาโปรแกรมด้วยตนเอง โดยพัฒนาแต่สิ่งดีๆ ไว้ในสมอง และหลีกเลี่ยงการนำเรื่องแย่ๆ ใส่สมอง โปรดจำไว้ว่า เราจะเป็นอย่างที่เราคิด

ดังนั้น จงตั้งใจให้แน่วแน่ในการนำเอาหลักการที่นำเสนอนี้มาปรับปรุงตนเอง เพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จในชีวิต ตั้งแต่วินาทีนี้



ตอน 1 นักศึกษาคือ ผู้สร้างโลกของตัวเอง

ความคิดเป็นตัวสร้างโลกของนักศึกษา ดังบทสรุปที่ยิ่งใหญ่ของทุกศาสนา ทุกปรัชญา อภิปรัชญา และจิตวิทยา ที่ว่า

... คุณจะเป็นอย่างที่คุณคิดเกือบตลอดเวลา โลกภายนอกของคุณ คือ ภาพสะท้อนโลกภายในของคุณ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่คุณคิด ทุกอย่างที่คุณคิดจะโผล่ออกมาในความเป็นจริงของคุณอย่างต่อเนื่อง ... (ไบรอัน เทรซี่, 2003: 8).

การแปลความ หากนักศึกษาคิดว่าตัวเองโง่ เรียนสู้คนอื่นไม่ได้ จะต้องสอบตก และจะต้องรีไทร์ (โลกภายใน) หากคิดเช่นนี้บ่อยครั้ง ความคิดเหล่านี้จะไปตอกย้ำความล้มเหลว และสิ่งที่สะท้อนออกมาให้เห็นก็คือ ความท้อแท้ ความห่อเหี่ยว และหมดกำลังใจที่จะต่อสู้ (โลกภายนอก) ในที่สุดก็จะประสบความล้มเหลวจริงๆ ทั้งในเรื่องการเรียนและการทำงาน เพราะนั่นคือ การสาปแช่งตัวเอง วาจาของตนศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าวาจาของคนอื่น ในทางตรงข้าม หากนักศึกษารักและนับถือตนเอง นักศึกษาก็จะตอกย้ำแต่สิ่งดีๆ ให้กับตนเอง ให้พรตัวเอง มีความเชื่อว่า เราต้องทำได้ เพราะคนจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จนั้น เขามีพื้นฐานทั่วไปแทบไม่แตกต่างจากเราเลย ให้นักศึกษานึกถึงภาพแห่งความสำเร็จของตนเองในวิชาที่เรียน แล้วตั้งเกรดที่ต้องการไว้ จากนั้นวางแผนเพื่อนำไปสู่เกรดคาดหมายที่ตั้งไว้นั้น

กฎสู่ความสำเร็จข้อหนึ่งคือ ไม่สำคัญว่านักศึกษาจะมาจากไหน ที่สำคัญคือ นักศึกษาจะไปไหน และที่ที่นักศึกษาจะไปนั้นถูกกำหนดด้วยตัวนักศึกษาหรือไม่ นั่นคือ นักศึกษาเป็นผู้ตั้งเป้าหมายนั้นหรือไม่ เพราะ.. เป้าหมาย คือ เชื้อเพลิงในเตาหลอมแห่งความสำเร็จ

การดำเนินชีวิตโดยปราศจากเป้าหมายที่ชัดเจนเปรียบเสมือนการขับรถท่ามกลางหมอกหนาทึบ ไม่ว่ารถของนักศึกษาจะมีประสิทธิภาพดีเพียงใดก็ตามและแม้จะขับบนถนนที่เรียบที่สุด นักศึกษาก็ยังต้องขับช้าๆ อย่างหวาดกลัว ส่วนการดำเนินชีวิตที่มีเป้าหมายชัดเจนนั้น เปรียบเสมือนการขับรถที่ปราศจากหมอกควันมาบดบัง จึงสามารถเหยียบคันเร่งแห่งชีวิตให้ทะยานไปข้างหน้าเพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง



ตอน 2 อานิสงส์ของการมีเป้าหมายที่ชัดเจน

ระหว่างปี ค.ศ. 1979 ถึง 1989 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาดได้ทำการศึกษาพบว่า การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนส่งผลให้นักศึกษาประสบความสำเร็จด้านรายได้ โดยในปี ค.ศ. 1979 นักวิจัยได้ถามนักศึกษาที่สำเร็จ MBA กลุ่มหนึ่งว่า "คุณตั้งเป้าหมายอนาคตของคุณที่ชัดเจนโดยเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและวางแผนที่จะทำมันให้สำเร็จหรือเปล่า" ผลปรากฏดังนี้

3% ตอบว่า ได้เขียนเป้าหมายเป็นลายลักษณ์อักษร และมีการวางแผนไว้

13% ตอบว่า มีเป้าหมาย แต่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร

84% ตอบว่า ไม่มีเป้าหมาย

จากนั้นสิบปีต่อมาคือ ในปี ค.ศ.1989 นักวิจัยได้สัมภาษณ์นักศึกษากลุ่มนั้นอีกครั้ง ผลปรากฏดังนี้ กลุ่ม 13% ที่ตอบว่ามีเป้าหมายแต่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรนั้นกำลังหาเงินได้โดยเฉลี่ยเป็น 2 เท่าของนักศึกษากลุ่ม 84% ที่ตอบว่าไม่มีเป้าหมาย แต่ที่น่าประหลาดใจมากที่สุดคือ กลุ่ม 3% ที่ตอบว่าได้เขียนเป้าหมายเป็นลายลักษณ์อักษรและมีการวางแผนไว้นั้น สามารถหาเงินได้โดยเฉลี่ยเป็น 10 เท่าของนักศึกษาทั้งสองกลุ่มที่เหลือ ...นี้คือ อานิสงส์ของการมีเป้าหมายที่ชัดเจน

ดังนั้นนักศึกษาที่กำหนดเกรดคาดหมายไว้ล่วงหน้า เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและมีแผนการที่จะบรรลุมันก็น่าจะประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกันกับกลุ่ม 3% ข้างต้น เพราะการเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรคือ การให้พันธะสัญญาไว้กับตัวเอง



ตอน 3 การกินช้างหรือการเดินทางหนึ่งพันลี้

พูดถึงการกินช้างหรือการเดินทางหนึ่งพันลี้ สำหรับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จอาจร้องยี้เพราะนึกถึงการกลืนช้างหรือความไกลของระยะทาง แต่สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จแล้วจะมองเป็นเรื่องปกติ เพราะมีความอดทนสูง เทคนิคการกินช้างก็คือ การกัดทีละคำ ส่วนเทคนิคการเดินทางหนึ่งพันลี้ก็คือ การเริ่มต้นด้วยก้าวแรก (ขงจื๊อ)

ดังนั้น การทำแบบฝึกความพร้อมก่อนสอบให้ได้ทั้ง 30 ข้อก็เริ่มต้นเพียงข้อเดียว จากนั้นก็ทำต่อทีละหนึ่งข้อเท่านั้น คนที่ประสบความสำเร็จจะนึกถึงวิธีการแก้ไขปัญหาตลอดเวลา ส่วนคนที่ไม่ประสบความสำเร็จจะนึกถึงอุปสรรคเกือบตลอดเวลา



ตอน 4 อานิสงส์ของการมีทักษะ

สมมติว่านักศึกษาต้องการหาหนังสือเล่มหนึ่งในห้องสมุด แต่ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหน นักศึกษาอาจใช้เวลาค้นหาเป็นชั่วโมงในครั้งแรก แต่ในครั้งต่อๆไป นักศึกษาจะใช้เวลาหาหนังสือเล่มเดิมเพียงไม่กี่นาที เปรียบเสมือนการแก้ปัญหาโจทย์เลขบางข้ออาจใช้เวลานานกว่าจะทำเสร็จ แต่เมื่อพบโจทย์เลขทำนองเดียวกันอีกในครั้งต่อไป ก็จะใช้เวลาทำเพียงไม่กี่นาทีเพราะนักศึกษามีทักษะในการแก้ปัญหาโจทย์เลขลักษณะนั้นๆแล้ว การแก้ปัญหาโจทย์เลขเป็นทักษะที่ฝึกฝนได้ การฝึกความพร้อมก่อนสอบจะช่วยให้นักศึกษาเกิดทักษะและสามารถทำข้อสอบได้ทันเวลา นี่คือ อานิสงส์ของการมีทักษะ



ตอน 5 อุปสรรคของความสำเร็จ

คนส่วนใหญ่ยอมแพ้ตั้งแต่ก่อนที่จะพยายามในครั้งแรกด้วยซ้ำ เหตุผลที่เขายอมแพ้ก็เพราะกลัวอุปสรรคและความล้มเหลว ความจริงก็คือ ทุกเส้นทางสู่ความสำเร็จล้วนมีอุปสรรคและคนที่ประสบความสำเร็จมักจะล้มเหลวบ่อยกว่าคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่คนที่ประสบความสำเร็จจะมีความพยายามมากกว่า โปรดจำว่า ไม่มีใครเกิดมา ล้มเหลว มีแต่ ล้มเลิก เสียก่อน

โจทย์เลขข้อหนึ่ง ๆ อาจมีวิธีการแก้ปัญหาได้หลายวิธี หากนักศึกษามีความพยายามที่เพียงพอแล้ว ย่อมจะหาหนทางในการแก้ปัญหาโจทย์นั้น ๆ ได้ในที่สุด คนที่ประสบความสำเร็จจะมีความคิดว่า ทุกปัญหามีทางแก้ แต่คนที่ไม่ประสบความสำเร็จมักจะมีความคิดว่า ทุกทางแก้มีปัญหา



ตอน 6 การผัดวันประกันพรุ่งอย่างสร้างสรรค์

กฎ 80/20 บอกว่า 20% ของกิจกรรมจะเป็นตัวกำหนดคุณค่าของกิจกรรมอีก 80% ที่เหลืออยู่ นั่นคือ ถ้านักศึกษามีงาน 10 อย่างที่ต้องทำให้เสร็จ จะมีงานเพียง 2 อย่างที่มีค่ามากกว่างาน 8 อย่างที่เหลือรวมกัน ถ้านักศึกษาไม่สามารถทำงานทุกอย่างได้หมดก็ควร ผัดวันประกันพรุ่งในงาน 8 อย่าง เรียกว่า การผัดวันประกันพรุ่งอย่างสร้างสรรค์และฝึกวิธีการทำงานตามหลัก ABCDE ต่อไปนี้

A คือ งานที่สำคัญมาก และมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสำเร็จ

B คือ งานที่สำคัญรองลงมา หากไม่ทำจะมีผลกระทบน้อยกว่า A

C คือ งานที่น่าทำ หากไม่ทำก็ไม่เป็นไร เช่น การอ่านหนังสือพิมพ์ เป็นต้น

D คือ งานที่อาจมอบให้คนอื่นทำแทนได้ เพื่อนำเวลาไปทำงาน A

E คือ งานที่ไม่สำคัญ หากไม่ทำก็ไม่มีผลกระทบใดๆเกิดขึ้น

คนที่ประสบความสำเร็จจะทำงาน A ก่อนเสมอ หากงาน A มีหลายอย่างก็ทำทีละอย่าง โดยเลือกงานที่ใช้เวลาที่สั้นที่สุดก่อน เพื่อเป็นรางวัลและให้กำลังใจสำหรับการทำงานสำคัญที่สุดชิ้นต่อไป การผัดวันประกันพรุ่งงาน A คือ การล่อลวงตัวเองให้พ้นจากเส้นทางแห่งความสำเร็จ ยกเว้นการผัดวันประกันพรุ่งอย่างสร้างสรรค์เท่านั้นจึงจะเป็นบันไดพานักศึกษาไปสู่ความสำเร็จได้



ตอน 7 ความท้อแท้ที่หัดจนเป็นนิสัย

คนที่ท้อแท้จนเป็นนิสัยจะรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถบรรลุเป้าหมายหรือพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิมได้ ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยการทำอะไรก็ตาม มักจะคิดก่อนเสมอว่า ฉันทำไม่ได้ ฉันทำไม่เป็น ฉันไม่มีเวลา ฉันไม่...ฉันไม่...ฉันไม่... และจะมีเหตุผลมาสนับสนุนโรคท้อแท้ของตัวเองเสมอ เรียกว่า ความท้อแท้ที่หัดจนเป็นนิสัย ซึ่งมักจะเกิดกับคนที่ชอบสาปแช่งตัวเอง

วิธีเอาชนะนิสัยท้อแท้เรื่องการเรียนก็คือ ให้ตั้งเกรดคาดหมายระดับ D และวางแผนทำแบบฝึกความพร้อมก่อนสอบให้ได้อย่างน้อย 15 ข้อจาก 30 ข้อ เมื่อทำได้ระดับนี้แล้ว ต่อไปก็ตั้งเกรดคาดหมายให้สูงขึ้นและวางแผนทำแบบฝึกความพร้อมก่อนสอบให้ได้มากขึ้นตามไปด้วย นาน ๆ เข้าความท้อแท้ก็จะอ่อนกำลังลง และความมั่นใจก็จะเพิ่มขึ้นมาแทน จงนึกถึงคำตอบของการกินช้าง นักศึกษาจะเดินไปสู่เป้าหมายด้วยการก้าวทีละก้าว เพิ่มทักษะทีละอย่าง และพัฒนาไปทีละขั้น



ตอน 8 ความพากเพียรคือเครื่องหมายของความสำเร็จ

ความพากเพียรเป็นสิ่งที่รับประกันได้ว่าจะนำพานักศึกษาไปสู่ความสำเร็จ แม้พรสวรรค์หรือความอัจฉริยะก็ไม่อาจสู้ความพากเพียรได้

ไมเคิล จอร์แดน นักบาสเกตบอลที่มีความสามารถคนหนึ่ง เคยกล่าวไว้ว่า ทุกคนมีพรสวรรค์ แต่ความสามารถต้องอาศัยความพากเพียร

จอห์น ดี ร็อกกีเฟลเลอร์ บุรุษที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของโลก ได้เขียนไว้ว่า ผมไม่คิดว่าจะมีคุณสมบัติอื่นใดที่สำคัญต่อความสำเร็จมากเท่ากับความพากเพียร มันเอาชนะได้แทบทุกอย่างแม้แต่ธรรมชาติ

ขงจื๊อ เคยกล่าวไว้เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วว่า ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราไม่ใช่อยู่ที่การไม่เคยล้ม แต่อยู่ที่การลุกขึ้นทุกครั้งที่เราล้ม

โธมัส เอดิสัน ผู้ที่ล้มเหลวในการทดลองมากกว่าคนอื่น ๆ เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อผมตัดสินใจเต็มร้อยว่าผลลัพธ์นั้นควรค่าต่อการไขว่คว้า ผมจะมุ่งไปหามันและทำการทดลองครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าจะประสบความสำเร็จ

ดังนั้น คุณสมบัติเดียวที่รับประกันความสำเร็จทั้งในเรื่องการเรียน และการทำงานของนักศึกษาก็คือ ความพากเพียรหรือความตั้งใจที่จะเกาะติดอยู่กับเป้าหมายอย่างเด็ดเดี่ยว



ตอน 9 การลงทุนเวลาเพื่อเกรด A

การได้เกรด A ต้องลงทุนด้วยเวลา โดยเกรด A มาจากการทำข้อสอบให้ได้อย่างน้อย 27 ข้อจาก 30 ข้อ ข้อหนึ่งๆ หากนักศึกษามีทักษะแล้วจะใช้เวลาทำ 2 - 3 นาที แต่ถ้าขาดทักษะแล้วก็อาจจะต้องใช้เวลาทำข้อละ 10 - 30 นาที ดังนั้น 30 ข้อก็ใช้เวลา 5 - 15 ชั่วโมง หากมีเวลาฝึกวันละ 1 ชั่วโมงก็ใช้เวลา 5 - 15 วัน และหากมีเวลาฝึกวันละ 2 ชั่วโมงก็ใช้เวลา 3 - 7 วัน และเวลาที่ใช้ในการฝึกยังขึ้นอยู่กับพื้นความรู้เดิมของนักศึกษาแต่ละคนด้วย สำหรับการลงทุนเพื่อเกรด B, C, D ก็ใช้แนวทางเดียวกันนี้ สำหรับเกรด F ไม่ต้องลงทุนด้วยเวลาเลย

ดังนั้น การรู้เวลาในการลงทุนจะประกันให้นักศึกษาต้องเตรียมตัวทั้งร่างกายและจิตใจ โปรดจำว่า เกรด A ไม่ได้ได้มาโดยบังเอิญแบบถูกหวย แต่ได้มาจากความพากเพียรของตัวนักศึกษาเอง



ตอน 10 การพัฒนาชีวิต

Keep Open Mind to Learn ฟ้ามิได้แบ่ง ยอดคน กับ คนธรรมดา ออกจากกัน ยอดคนจะปรากฏขึ้นเสมอ แต่นั้นมิใช่เพราะ ฟ้ากำหนด การที่ยอดคนปรากฏขึ้นมาได้เพราะเขาผ่านการ ฝึกฝน และ เรียนรู้ ที่จะเป็นยอดคน

อัจฉริยะ ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่กำเนิด แต่ต้องได้รับการฝึกฝน เฉกเช่นม้าดีต้องมีคนขี่มาฝึกฝน และนักกีฬาที่ดีต้องมีโค้ชที่ดีมาฝึกฝน

Don't Look Down Yourself ไม่สำคัญว่าในอดีตเราเป็นใคร สำคัญที่ว่าวันนี้เราต้องการเป็นใคร จงเคารพนับถือในความสามารถของตัวเอง ยกย่องและให้เกียรติตัวเอง สมองของคนเราเหมือนพื้นดินที่ว่างเปล่า เมื่อเราปลูกอะไรลงไปเราก็จะได้ผลเป็นอย่างนั้น จงปลูกฝังแต่สิ่งดีๆ ลงไปในสมอง คำพูดใดๆ ที่เราเคยได้ยินซ้ำๆ ซากๆ เกิน 37 ครั้ง มันจะกลายเป็น อุปนิสัย ของเราทันที ดังนั้น จงปลูกฝังแต่สิ่งดี ๆ ลงไปในสมองของเราจนเป็นนิสัย

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือ สิ่งแวดล้อม ที่เป็นพิษ อย่าปล่อยให้ความคิดหรือคำพูดของใครบางคนมาตัดสินชีวิตของเรา ในโลกนี้ไม่มีใครมีอิทธิพลกับตัวเรานอกจากตัวเราเอง ชีวิตไม่ใช่เกมกีฬา ไม่มีเวลาพักครึ่ง ไม่มีการขอเวลานอก และที่สำคัญคือ เป็นกีฬาที่เปลี่ยนตัวผู้เล่นไม่ได้ โปรดจำว่า ไม่มีใครเกิดมา ล้มเหลว มีแต่ ล้มเลิก เท่านั้น

เพียงนักศึกษาคิดว่าตัวเองทำได้ นักศึกษาก็ทำได้ตั้งแต่คิดแล้ว แต่หากนักศึกษาคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ นักศึกษาก็ทำไม่ได้ตั้งแต่ที่คิด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์คือ การตอกย้ำตัวเองว่าทำไม่ได้ แม้แต่ คิด ยังไม่กล้าที่จะคิด แล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร? จงกล้าที่จะเผชิญความล้มเหลว เพราะความล้มเหลวคือ ครูที่ทดสอบความสำเร็จของเรา

มนุษย์ คือจุดศูนย์กลางของเส้นรอบวงที่ไม่มีขีดจำกัด ทำไมเป็นมนุษย์เหมือนกันจึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน นั่นเป็นเพราะมนุษย์แต่ละคนได้รับโอกาส ทางความคิดที่แตกต่างกัน คนที่สำเร็จ มองปัญหาเป็นโอกาส แต่คนที่ล้มเหลวมองโอกาสเป็นปัญหา คนสำเร็จจะปรับตัวเองไปหาโลกภายนอก แต่คนล้มเหลวจะรอให้โลกภายนอกปรับตัวเข้าหาตัวเอง

ความรู้ เป็นเพียง พลังอำนาจแฝง ชนิดหนึ่ง ความรู้จะกลายเป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ได้ก็ต่อเมื่อมันถูกนำไปใช้อย่างชาญฉลาดเท่านั้น

ฟังแต่ไม่ได้ยิน ได้ยินแต่ไม่เข้าใจ เข้าใจแต่ไม่ลึกซึ้ง ลึกซึ้งแต่ไม่แตกฉาน แตกฉานแต่นำไปใช้ไม่เป็น จงนำศักยภาพและอัจฉริยภาพที่ซ่อนเร้นในตัวนักศึกษาออกมาใช้อย่างชาญฉลาด



ตอนจบ คนที่ประสบความสำเร็จเป็นระดับผู้บริหารหรือผู้นำขององค์กรต่างๆ ในโลกนี้ กว่า 85% ล้วนแล้วแต่มิใช่คนเก่ง แต่เป็น คนดี ทั้งสิ้น คนเก่งมักจะมี อัตตา จะไม่ยอมปรับตัวเข้าหาโลก ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ยอมรับการพัฒนาความรู้และสิ่งใหม่ๆ ปกครองคนไม่ได้ คนเก่งอาจใช้เวลาไม่กี่ปีก็สอนให้เก่งได้ แต่ ความดี ต้องใช้เวลาสอนกัน ชั่วชีวิต คนเก่งมักจะขาดความจงรักภักดี ไม่มีความกตัญญูรู้คุณ มหาวิทยาลัยกรุงเทพเน้นทั้ง ความรู้ และ ความดี ควบคู่กันไป จึงใช้คำขวัญว่า ความรู้คู่ความดี ขอให้นักศึกษาตระหนักถึงคำขวัญนี้ และจงนำไปใช้ประกอบการดำเนินชีวิตต่อไป





เอกสารหรือสิ่งอ้างอิง

1. หนังสือ GOALS โดย Brian Tracy

2. หนังสือ BORN TO SUCCEED โดย Colin Turner

3. อีเมล FORWARD มาจาก Prapas Rukpanya

การสร้างกำลังใจ

การสร้างกำลังใจ


โดย: คุณอินทิรา ปัทมินทร
นักวิชาการสาธารณสุข 8 สำนักพัฒนาสุขภาพจิต


กำลังใจเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหา มีความทุกข์ หรืออยู่ใน ภาวะวิกฤต กำลังใจที่เข้มแข็งเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้ ดังนั้น เราจึงควรมาเรียนรู้ที่จะสร้างกำลังใจให้แข็งแกร่งกัน ดังนี้

ประการแรก คุณต้องมองโลกในแง่ดี มีความหวัง ต้องคิดอยู่เสมอว่าพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้ ความสำเร็จกำลังรอคุณอยู่ข้างหน้า ถ้าคุณสามารถอดทนผ่านวันนี้ไปได้ พรุ่งนี้คุณก็จะเป็นผู้ชนะ

ประการที่สอง คุณต้องไม่ลืมอดีต คุณต้องไม่ลืมว่าคุณเคยประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต เช่น เรียนจนจบ มีงานทำ มีครอบครัว มีเงินมีทอง เป็นต้น ซึ่งกว่าคุณจะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องผ่านอุปสรรคมาแล้วทั้งสิ้นดังนั้นปัญหาหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นในวันนี้คุณก็ต้องเอาชนะได้เช่นกัน คุณจะเห็นได้ว่าชีวิตมีขึ้นมีลงอยู่เสมอความทุกข์จึงไม่อยู่กับคุณอย่างถาวรสักวันหนึ่งมันต้องผ่านพ้นไปอย่างแน่นอน

ประการที่สาม คุณต้องลองศึกษาชีวิตของคนอื่นดูบ้าง จะโดยการดูรายการโทรทัศน์ หรือ อ่านหนังสือก็ได้ คุณจะเห็นว่าคนที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิต มักต้องผ่านความลำบากทุกข์ยากมาก่อน ทั้งนั้น ควรดูพวกเขาเป็นตัวอย่าง คุณจะได้เกิดกำลังใจและมีใจสู้เหมือนพวกเขา

ประการที่สี่ ขอให้คุณคิดถึงเป้าหมายในอนาคตอยู่เสมอ เช่น คิดถึงบ้านที่คุณอยากเป็นเจ้าของ คิดถึงรถยนต์ที่คุณอยากได้ คิดถึงปริญญาที่คุณใฝ่ฝัน หรือไม่ก็คิดถึงคนที่คุณรัก เช่น พ่อแม่ หรือลูก บอกตัวเองว่าที่คุณอดทนและต่อสู้อยู่ทุกวันนี้ก็เพื่ออนาคตและเพื่อคนที่คุณรัก ถ้าคุณทำสำเร็จคุณก็จะได้ในสิ่งที่คุณต้องการ และทุกคนก็จะมีความสุขด้วยกัน คุณจะได้เกิดกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตมากขึ้น

หากคุณรู้สึกว่าท้อแท้ ให้กำลังใจตัวเองแล้วไม่ได้ผล ขอให้ลองหากำลังใจจากคนใกล้ชิดดูบ้าง จะเป็นคนในครอบครัว หรือเพื่อนสนิทก็ได้ ลองพูดคุยความทุกข์ในใจกับพวกเขา เขาจะให้กำลังใจคุณได้

เคล็ดเศรษฐีเครือข่าย

เคล็ดเศรษฐีเครือข่าย

สยามธุรกิจ[ ฉบับที่ 862 ประจำวันที่ 16-1-2008 ถึง 18-1-2008]

ในอาชีพอิสระของโลกธุรกิจเครือข่าย ไม่ว่าคุณเป็นใคร ผ่านมาอย่างไร เมื่อคุณเริ่มต้นและก้าวเดินในโลกธุรกิจเครือข่ายคุณก็เป็นเศรษฐีได้ ไม่ขึ้นกับความรู้ ความสวย ความ หล่อ แต่ขึ้นกับความมุ่งมั่น ความตั้งใจในเป้าหมายของคุณ

“หากคุณเชื่อมั่นว่าคุณทำได้ คุณก็จะทำได้ จงหยุดเมื่อสำเร็จ เท่านั้น”

คุณเคยถามตัวเองไหมว่า

อะไรคือเป้าหมายของชีวิต?

คุณมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?

เพื่อใคร?

และอย่างไร?

การมีเป้าหมายในชีวิต คือ การที่เรามีภาพของความสำเร็จไว้เบื้องหน้า ซึ่งดูคล้ายกับการต่อจิ๊กซอว์ ที่เราเห็นภาพ ที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ทีนี้ก็ขึ้นกับวิธีการของแต่ละคนว่าจะทำอย่าง ไรให้จิ๊กซอว์แต่ละตัวมาต่อกันให้เกิดเป็นภาพนั้นขึ้นมา แต่ถ้าเรา ไม่มีภาพหรือไม่มีเป้าหมายอะไรจะเกิดขึ้น??? บางคนอาจจะคิดว่า ฉันก็มีชีวิตของฉันไปเรื่อยๆ ไม่ได้รบกวนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ฉันก็มีความสุขดี แล้วคุณค่าของคุณจะอยู่ที่ไหน???

การมีเป้าหมายในชีวิต คือคำตอบว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพื่อใคร และอยู่อย่างไร ชีวิตเปรียบเหมือนกับการเดินทาง และ นักเดินทางที่ชาญฉลาด ย่อมมีเป้าหมายในการเดินทางเสมอ เขาจะไม่สูญเสียเวลาข้างทาง เพราะจะทำให้เขาไปถึงจุดหมายช้าลง การเดินทางของชีวิต ไม่ได้ราบเรียบและสวยงาม เหมือน โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป

ในระหว่างทางสิ่งที่ไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นได้เสมอ ปัญหาและอุปสรรคเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญให้มาเยี่ยมเยียนเรา มาเพื่อ ทดสอบเรา มาทำให้เราเหนื่อยล้า ท้อแท้ สิ้นหวัง หมดแรง หมดกำลังใจที่จะเดินต่อไป และทำให้จุดหมายปลายทางนั้นยาว ไกลออกไป

อะไรคือสิ่งจำเป็นสำหรับนักเดินทางที่จะเอาชนะแขกที่ไม่ได้รับเชิญเหล่านี้ คำตอบคือ ความมุ่งมั่นและความสม่ำเสมอ แม้ว่าเราจะเจอกับอุปสรรคขวากหนามและปัญหามากมาย เป็น มรสุมของชีวิตก็ว่าได้ เราก็สามารถที่จะไปถึงเป้าหมายได้ในที่สุด ซึ่งมันอาจจะล่าช้าไปบ้าง ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ

เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว หลายคนอาจจะมีประสบการณ์ในการเดินขึ้นภูเขา เวลาที่เราเดินขึ้นภูเขาเราต้องออกแรงมากเป็นพิเศษเปรียบเทียบได้กับช่วงมรสุมชีวิต และเมื่อเราเดินลง เขาเราแทบจะไม่ได้ออกแรงเลย ทั้งๆ ที่เราก็ต้องแบกภาระเหมือนเดิมอาจจะมากกว่าตอนเดินขึ้นเขาด้วยซ้ำ

นั่นเป็นเพราะมรสุมได้ผ่านพ้นไปแล้ว ชีวิตของคนเราย่อม มีขึ้นและมีลงเช่นเดียวกับการเดินเขา แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้จากการเดินคือระยะทางที่เพิ่มขึ้น และแน่นอนว่าเราต้องเดินขึ้นเดิน ลงจนกว่าจะไปถึงเป้าหมาย ขอให้เรามีความมุ่งมั่นและความสม่ำเสมอไว้ในใจ จุดหมายนั้นก็จะใกล้เพียงปลายตา

การพักผ่อนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทาง เราไม่สามารถเดินโดยไม่พักไม่ได้ การพักผ่อนเหมือนกับการชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็ม เป็นการชาร์ตทั้งพลังกายและพลังใจ ในระหว่างทางที่เดินเราพบปะคนมากมาย บางคนก็เดินไปทางเดียวกับเรา บางคนก็เดินสวนทางกับเรา ถ้าการเดินทางของเราเต็มไปด้วยความสนุกสนานและรอยยิ้ม แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมายก็ตาม เราจะเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นเดินตามโดยไม่รู้ตัว

บางคนอาจจะยึดเอาคติประจำใจของเราไปใช้ในการดำเนินชีวิต หรือให้เราเป็นแม่แบบ เพราะพวกเขาได้เห็นแล้วว่า ความสำเร็จจะมาอยู่เบื้องหน้าได้อย่างไร? ความมุ่งมั่นและความสม่ำเสมอ คือหัวใจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จทำดีต่อไป คนดีต้องไม่ท้อ แม้นท้อ ก็ไม่ถอย แม้นถอยก็ไม่หนีแม้นต้องหนี ก็ให้หาโอกาส ทำดีใหม่นะครับ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ

ช่วงที่ 2 ข้อคิดพิชิตเครือข่าย คุณโค้ช คุณครู

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือถ้าไปศึกษาวิธีการทำงานของบรรดาโค้ชเกมกีฬาต่างๆ จะพบว่าบทบาทของโค้ชเหล่านี้จะมีส่วนคล้ายกับคนที่เป็นผู้บริหารในระดับต่างๆ ภายในองค์กร องค์ประกอบที่สำคัญที่ผู้บริหารระดับสูงต้องมีจะพบในโค้ชกีฬาเหล่านี้ทั้งสิ้น รวมทั้งพวกเทคนิคและแนวทางในการบริหารต่างๆ ที่เราพบในองค์กรธุรกิจทั่วๆ ไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกดดันที่โค้ชเหล่านี้ได้รับก็ดูเหมือนจะไม่แพ้ผู้ที่เป็น ซีอีโอ ตามบริษัทยักษ์ใหญ่เลย เนื่อง จากการเป็นทีมอเมริกันฟุตบอลอาชีพแต่ละทีมนั้นมักจะมีจุดมุ่งหมายที่คล้ายๆ กันนั้นคือได้แชมป์หรือชนะเลิศในปีนั้นๆ ทำให้การที่จะบอกว่าในแต่ละปีทีมไหนประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด มีตัวชี้วัดตัวเดียวและค่าเป้าหมายที่ร่วมกัน

ดังนั้น ในแต่ละปีโค้ชที่ประสบความสำเร็จสุดยอดจริงๆ จะมีเพียงแค่หนึ่งเดียว ซึ่งความกดดันนี้ก็มากกว่าซีอีโอแล้วครับ เนื่องจากในการบริหารองค์กรนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีผู้ชนะเพียงแค่รายเดียว ในหลายๆ อุตสาหกรรมที่มีองค์กรที่ประสบความสำเร็จได้มากกว่าหนึ่งราย และในการบริหารองค์กรนั้นไม่ได้มีตัวชี้วัดที่ชัดเจนที่จะบอกว่าองค์กรไหนประสบความสำเร็จมากกว่ากัน ไม่เหมือนในกีฬา ที่ในแต่ละฤดูกาลจะมีความชัดเจนเลยว่าทีมไหนเป็นสุดยอดของฤดูกาลนั้นๆ

แรงกดดันสำหรับโค้ชแต่ละทีมให้ประสบความสำเร็จหรืออย่างน้อยพาทีมเข้าสู่รองต่อไปได้นั้นมาจากหลายแหล่งครับ ทั้งเจ้าของหรือผู้บริหารทีมที่เป็นคนจ้างโค้ชเข้ามา ซึ่งเปรียบ เสมือนกับผู้ถือหุ้นขององค์กรต่างๆ ที่จ้างผู้บริหารระดับสูงเข้า มาบริหาร หรือจากแฟนของทีมนั้นๆ

ซึ่งแรงกดดันตรงนี้จะไม่ค่อยพบในการบริหารองค์กรของ ซีอีโอ เนื่องจากไม่มีแฟนขาประจำของทีมคอยเชียร์และกดดันอยู่ข้างๆ และที่โหดร้ายก็คือบรรดาโค้ชเหล่านี้จะถูกเลิกจ้างอย่างง่ายดาย บางคนเพิ่งเข้ามาทำทีมเมื่อต้นฤดูกาล แต่ พอปลายฤดูกาลผลงานของทีมไม่มีแนวโน้มจะดีขึ้นก็จะถูกยกเลิกสัญญาหรือให้ออกโดยทันที แถมการถูกให้ออกนั้นยังปรากฏเป็นข่าวไปทั่วประเทศ และเผลอๆ ทั่วโลกอีกด้วย

การจะเป็นโค้ชที่ดีได้นั้นต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญหลายอย่างครับ คล้ายๆ กับคุณลักษณะของซีอีโอที่ดีเลยครับ แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือต้องเป็นครู (Teacher) ที่ดี โดยเขาถือว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญเลยครับ อดีตผู้เล่นที่เก่งๆ หลาย คนไม่สามารถเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จได้

เนื่องจากขาดทักษะในการถ่ายทอดหรือขาดความเป็นครูที่ดี ซึ่งถ้ามองในเชิงของการบริหารก็น่าจะคล้ายๆ กันครับ ว่าผู้บริหารที่ดีต้องเป็นครูที่ดีด้วย นั่นคือไม่ใช่เพียงแต่มีหน้าที่ บริหารหรือสั่งลูกน้องลูกทีมอย่างเดียว แต่จะต้องรู้จักสอน ให้คำแนะนำต่างๆ แก่ลูกน้องลูกทีมด้วย เพื่อให้ลูกน้องลูกทีม สามารถทำงานตามแผนได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งเป็นการพัฒนาลูกน้องลูกทีมไปด้วย ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ เครือข่ายต้องพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง จนเป็นโค้ชให้ทีม งานได้ ซึ่งโค้ชที่ดี ต้องดูคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น เห็นคุณคน

ดูคนออกว่า ใครเป็นอย่างไร ควรดูแลช่วยเหลืออย่างไร บอกคนได้ คือต้องรู้วิธีชี้แนะบอกกล่าว เล่าเรื่อง ทำให้ดู หรือ มือที่สาม ทางอ้อม ทางตรง ใช้คนเป็น รู้ว่าใครควรทำหน้าที่ไหน รับผิดชอบอะไรเพื่อให้ทีมเติบโตและสำเร็จเห็นคุณคน คือ เห็นคุณค่า บุญคุณ ของคนที่ช่วยทำให้องค์กรทีมโตขึ้นมา

ขอให้ทุกท่าน ร่ำรวยเป็นเศรษฐี พร้อมๆ กับเป็นคนดีของครอบครัวและสังคมนะครับแล้วพบกันฉบับหน้าครับ ขอส่งความรักและความปรารถนาดีไปยังเพื่อนนักขายและเพื่อนนักเครือข่ายทุกท่านครับ

อุปนิสัยแห่งความสำเร็จ ..

อุปนิสัยแห่งความสำเร็จ ..

1. คิดล่วงหน้า คิดไว้ก่อนล่วงหน้าเสมอในการที่จะทำอะไร คิดก่อนทำ คิดก่อนพูด ทำสิ่งที่ถูกต้องเสียแต่แรก ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นดีกว่าต้องมาแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้ว

2. คิดถึงผลลัพธ์สุดท้ายของการกระทำ ก่อนเริ่มกระทำการใด ๆ ให้คิดถึงผลลัพธ์สุดท้ายของการกระทำว่า เมื่อกระทำเสร็จสิ้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น มีประโยชน์อย่างไร นั่นแปลว่า ให้รู้เป้าหมายของการกระทำ หรือตั้งเป้าหมายแห่งชีวิตที่จะเดินไปให้ถึง

3. จัดลำดับความสำคัญ มีการจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะทำ รู้ว่าควรทำอะไร ก่อน – หลัง และต้องทำให้เสร็จทันเวลา แต่ชีวิตก็ต้องมีความสมดุล ไม่ใช่ว่างานจะมาก่อนเสมอไป ครอบครัว งานอดิเรกที่ตนชื่นชอบ ก็สามารถจัดวางให้อยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้

4. คิดแบบชนะ - ชนะ คิดให้ได้ข้อสรุปที่ต่างคนต่างก็ชนะ คือได้ประโยชน์กับทุกฝ่ายไม่คิดทำแบบ ชนะ – แพ้ , แบบแพ้-ชนะ , หรือแบบแพ้ – แพ้ เพราะการแพ้ หมายถึง การสูญเสีย หากเราได้แต่เขาแพ้ เราย่อมเสียเพื่อนเสียพันธมิตร ในเกือบทุกสถานการณ์จะมีทางเลือกแบบชนะ – ชนะ อยู่เสมอ

5. เข้าใจผู้อื่น พยายามเข้าใจผู้อื่นแม้ว่าจะเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีไม่ชอบ เพราะเขาอาจจะมีเหตุผลที่ซ่อนอยู่ภายในจึงแสดงพฤติกรรมเช่นนั้นออกมา การเข้าใจคนอื่น เอาใจเขามาใส่ใจเราจะทำให้ลดความขัดแย้ง แล้วจะช่วยให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมากขึ้น รู้จักช่วยเหลือร่วมมือกัน สามารถทำงานร่วมกับบุคคลอื่นได้ ทำงานเป็นทีมได้ดี การรวมกันจะทำให้เกิดพลังเพิ่มมากขึ้น

6. เสริมแรงซึ่งกันและกัน คือ การทำงานเป็นทีม เป็นแรงเสริมซึ่งกันและกัน งานหลายอย่างทำคนเดียวไม่ได้ แต่ทีมทำได้

7. ลับเลื่อยให้คม เตรียมตัวให้พร้อม หมั่นฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ เพิ่มประสิทธิภาพทั้งด้านร่างกายจิตใจ และความรู้ความสามารถให้ดีขึ้น คิดและทำข้อ 1 ถึง ข้อ 6 อย่างสม่ำเสมอ ฝึกฝนจนกลายมาเป็นอุปนิสัยประจำตัว แล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

ใน 3 อุปนิสัยแรก เป็นชัยชนะส่วนตัว (private victory) ทำให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนอันดับ 4 ถึง 6 เป็นชัยชนะมวลชน (public victory) ทำให้ทำงานที่ยาก ๆ ได้ทำงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากคนอื่น ๆ ได้ ส่วนข้อ 7 นั้น เป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่เสมอ ทำให้พร้อมที่จะทำงานได้ดีตลอดเวลา...


แหล่งที่มา http://www.dopa.go.th/

กำลังใจคนขายตรง

กำลังใจคนขายตรง

การทำธุรกิจเครือข่าย ขายตรง นั้น เสมือนการเล่นกีฬาฟุตบอล ซึ่งต้องอาศัยการเล่นเป็นทีมเวิร์คจะขาดผู้เล่นคนใดไม่ได้เลย เช่นเดียวกันการทำธุรกิจเครือข่าย ขายตรง ก็ต้องอาศัยสมาชิกทั้ง up line ,down line และ side line ในการสร้างทีมเวิร์ค การเริ่มต้นแรก ๆ ของการทำธุรกิจอิสระเป็นเรื่อง่ายมาก ๆ แต่การที่จะประสบความสำเร็จนั้น เป็นเรื่องยากมาก ๆ เพราะมันต้องอาศัยคน (สมาชิก) ที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ และการเริ่มต้นแรก ๆ โดยส่วนมากก็จะล้มเหลวมากกว่าสำเร็จ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อคือ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จก็อยู่ที่นั้น ฉะนั้นท่านใดที่ปรารถนาความสำเร็จ ก็ไม่ควรกลัวความล้มเหลว แต่สิ่งสำคัญทุกท่านควรจะมองหาโค้ชที่จะเป็นผู้ชี้แนะนำให้เราเดินถูกทิศทาง ท่านใดที่ต้องการกำลังใจดี ๆ ที่แห่งนี้มีให้เสมอ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ก้าวสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จ ได้เร็ว ๆ



ความล้มเหลว นำมาซึ่งความสำเร็จ

By jaikla k.

คุณธรรมในการขายตรง

คุณธรรมในการขายตรง
มีเพื่อน ๆ ที่ทำธุรกิจเครือข่าย ขายตรง หลาย ๆ ค่าย โทรศัพท์เข้ามาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรให้นักธุรกิจอิสระต่าง ๆ มีคุณธรรมในการทำธุรกิจกันบ้าง จริง ๆ แล้วผมว่ามันคือสามัญสำนึกของปัจเจกบุคคลมากกว่า บางครั้งลูกค้าก็ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนักธุรกิจอิสระ และบางครั้งก็เพราะนักธุรกิจอิสระนั้นแหละ กลัวไม่ได้ขายสินค้าก็เลยเสนอขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาสมาชิก เพราะต้องการระบายสินค้าออกไป เหตุอาจจะเนื่องมาจากต้องการขึ้นตำแหน่ง เพื่อให้ตัวเองได้ผลประโยชน์มากที่สุด จึงพยายามซื้อกักตุนสินค้า ซึ่งจริง ๆ แล้วการขึ้นตำแหน่งต่าง ๆ ในแต่ละบริษัทจะมีการเลื่อนขึ้นตามผลงาน ไม่ใช่การซื้อเอง ฉะนั้นท่านใดที่ต้องการประสบความสำเร็จ ทั้งเรื่องเงิน และตำแหน่งต่าง ๆ ควรจะเร่งสร้างผลงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อพิสูจน์ฝีมือให้เป็นที่ยอมรับของสมาชิกในทีมงาน


By Jaikla k.

เมนูนี้เปิดขึ้นเพื่อมอบพื้นที่แห่งความดีให้กับการประกอบธุรกิจ
ขายตรงโดยเฉพาะ เพราะเราเชื่อว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่
ถ้าทำเพื่อความดีเป็นสิ่งประเสริฐยิ่งนัก
ทีมงานเปิดรับบทความดีๆจากทุกท่าน เพื่อ
ช่วยส่งเสริมความดี คนดี ระบบดีๆ ต่อๆไป
การประกอบอาชีพ การยังชีพ หรือ การเลี้ยงชีพชอบ ได้แก่การประกอบอาชีพหรือมีวิถีทางยังชีพตามแบบแผนที่ถูกต้อง เพื่อนำไปสู่การพ้นทุกข์ ยกตัวอย่างง่ายๆคือการยังชีพเช่นพระสงฆ์ที่เป็นพระแท้พระจริง เป็นพระอาชีพ ไม่ใช่อาชีพพระ เช่น หลวงพ่อเกษมเขมโก ที่จังหวัดลำปางเป็นตัวอย่างที่ดีของพระสงฆ์ ใช้ชีวิตอย่างสมถะ กินน้อย กินเพื่อเหตุผลเพียงเพื่อดำรงชีวิตดำรงสติและปัญญาเท่านั้น ไม่ลุ่มหลงในรสอาหารกินจน เกินความจำเป็นจนร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ เมื่อร่างกายสมบูรณ์มากมักเกิดกำหนัดกามตัณหามากควบคุมได้ยาก ออกจากนี้ยังต้องละอุบายหรือหลุมพราง สำคัญที่ทำให้เกิดการยึดมั่นถือมั่น นั่นคือความเป็นเจ้าของ ต้องละซึ่งความเป็นเจ้าของสิ่งต่างๆ ไม่มีสมบัติติดตัว หรือมีเท่าที่จำเป็น พออยู่ พออาศัย ละทิ้งแม้แต่ชื่อตัวเอง บริจาคทาน ถือศีลบำเพ็ญภาวนา เป็นกิจวัตร เหล่านี้คือ
การประกอบอาชีพชอบ หรือ สัมมาอาชีวะ
จาก หัวใจศาสนาพุทธ โดยท่านพุทธทาสภิกขุ



โหลดจรรยาบรรณธุรกิขายตรงระดับโลกได้ที่http://www.tdsa.org/download/conduction.pdf

ธรรมาภิบาล

ธรรมาภิบาล (อังกฤษ: good governance) คือ การปกครอง การบริหาร การจัดการ การควบคุมดูแล กิจการต่าง ๆ ให้เป็นไปในครรลองธรรม นอกจากนี้ยังหมายถึงการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทั้งภาครัฐและเอกชน ธรรมที่ใช้ในการบริหารงานนี้ มีความหมายอย่างกว้าง กล่าวคือ หาได้มีความหมายเพียงหลักธรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่รวมถึง ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และความถูกต้องชอบธรรมทั้งปวง ซึ่งวิญญูชนพึงมีและพึงประพฤติปฏิบัติ อาทิ ความโปร่งใสตรวจสอบได้ การปราศจากการแทรกแซงจากองค์กรภายนอก เป็นต้น

ธรรมาภิบาล เป็นหลักการที่นำมาใช้บริหารงานในปัจจุบันอย่างแพร่หลาย ด้วยเหตุเพราะ ช่วยสร้างสรรค์และส่งเสริมองค์กรให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพ อาทิ พนักงานต่างทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริตและขยันหมั่นเพียร ทำให้ผลประกอบการขององค์กรธุรกิจนั้นขยายตัว นอกจากนี้แล้วยังทำให้บุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้อง ศรัทธาและเชื่อมั่นในองค์กรนั้น ๆ อันจะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น องค์กรที่โปร่งใส ย่อมได้รับความไว้วางใจในการร่วมทำธุรกิจ รัฐบาลที่โปร่งใสตรวจสอบได้ ย่อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและประชาชน ตลอดจนส่งผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและความเจริญก้าวหน้าของประเทศ เป็นต้น

10 ก้าวเพื่อความสำเร็จงานขายตรง

"10 ก้าวเพื่อความสำเร็จ สำหรับงานขายตรง"







1. กำหนดเป้าหมาย - คุณต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องอะไร ? ทุนการศึกษาสำหรับลูกหลานคุณ
รถยนต์ คันใหม่ , บ้านหลังใหม่ ไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเป็นอะไร ให้เขียนลงไปในกระดาษ
พร้อมกำหนดวันที่ที่จะต้องทำไว้ด้วย แบ่งเวลาเป็นช่วง ๆ ที่คิดว่าจะทำได้
ทำงานอย่างสม่ำเสมอ วางแผนเป็นวัน สัปดาห์ เดือน

2. กำหนดสิ่งที่จะต้องทำ - ประเมินผลการทำงานประจำวัน ทำ Check List งานประจำวันด้วย
และควรมีสมุดบันทึกการนัดหมายลูกค้า , รายชื่อลูกค้า และรายชื่อที่ได้รับการแนะนำ
พกติดตัว เพื่อทำการเพิ่มเติม และติดต่อได้ตลอดเวลา

3. กระตือรือล้น - ความกระตือรือล้น เป็นเชื้อเพลิงสำหรับนักขาย มันช่วยให้มีพลัง
ซึ่งคุณต้องดูแลสุขภาพของคุณให้ดี และทำให้จิตใจคุณมีพลัง มีความหวังใจเสมอ

4. ตระหนักว่า คุณต้องเป็นผู้เข้าหาลูกค้า - ไม่ใช่แค่ให้ลูกค้าเดินเข้ามาหาเรา เพราะงานขายตรง
เป็นงานที่ต้องวิ่งเข้าหาลูกค้า ติดต่ออยู่เสมอ

5. ไม่หมดความหวังกับการถูกปฎิเสธ - คำว่า "ไม่" เป็นเรื่องธรรมดา จงพากเพียรด้วยความหวังต่อไป

6. จัดตารางอย่างหลักแหลม - กำหนดเวลา แผนที่ เพื่อไม่ให้ล้มเหลวแต่ละวัน


7. มีทัศนคติที่ดี - ความสำเร็จในงานขาย มาจากทัศนคติ 90% และ 10% มาจากความสามารถพิเศษ
คุณต้องพัฒนานิสัยการคิดอย่างสร้างสรรค์ จงภูมิใจในการเป็นนักขาย ...
จงจำไว้ว่า งานขายเป็นอาชีพหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด

8. จัดเตรียมพื้นที่สำนักงาน - นักขายส่วนใหญ่ทำงานจากบ้านของตัวเอง
แต่หากคุณต้องการประสิทธิภาพในการทำงาน จงให้ความสำคัญกับสำนักงาน และตารางการทำงาน
อย่างเคร่งครัด เพราะจะทำให้คุณภาคภูมิใจ

9. เข้าไปมีส่วนร่วมเสมอ - องคืกรงานขายส่วนมาก จะมีการแข่งขัน เพื่อกระตุ้นผลผลิต รวมถึงการเอาชนะ
การแข่งขัน ในงานของคุณ ซึ่งจะทำให้คุณสนุกสนาน และสร้างรายได้อย่างงามอีกด้วย

10. เรียนรู้การจัดการกับเงินอย่างฉลาด - งานส่วนมาก มักจะจ่ายค่าตอบแทนทุก ๆ สิ้นเดือน แต่งานขายตรง
จะได้รายได้แบบครั้งคราว และแบบคงที่ จึงควรมีการฝากเงิน เพื่อดอกเบี้ย จะเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง
ในระยะยาว เป้าหมายอีกอย่างหนึ่ง คือ ในวัยช่วงเกษียณอายุ ดอกผลที่ได้จากเงินฝาก จะทำให้คุณอยู่ได้อีกด้วย

ข้อมูลจาก-hatyai-today

วิธีชะลอความแก่ 7 ประการ

วิธีชะลอความแก่ 7 ประการ
เรื่องความชราที่มาเยือนนั้นเป็นไปตามวัยก็จริง แต่หนุ่มสาวสมัยนี้กลับ ' แก่ก่อนวัย ' ถึงเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า ' ทุกอย่างนั้นอยู่ที่ใจ ' เคล็ดลับเหล่านี้ได้จาก น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูตินารีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
๑.ต้องไม่อยากแก่...
ต้องตั้งใจคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวเอาไว้
และต้องปฏิบัติควบคู่ไปทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ
๒.มีใจเป็นหนุ่มสาว...
คือ รักอิสระ มองโลกในแง่ดีและที่สำคัญมีความหวังเสมอ
หรือการคบเพื่อนที่อายุน้อยกว่าก็เป็นวิธีการที่ดี
๓.ลดความเครียด..
เลิกเอาคิ้วผูกโบได้แล้ว ลองยิ้มให้มากขึ้น
ถ้าไม่รู้จะยิ้มอย่างไรก็ลองยิ้มกับกระจกเงาที่บ้านดูสิ
๔.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ..
ออกกำลังการอย่างน้อย 15 นาทีจะดี
๕.กินอาหารต้านชรา..
พยายามเลือกอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย
เช่น พืชผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
๖.นอนหลับเพียงพอ..
เราควรจะนอนให้เพียงพอกับร่างกาย
ที่ดีที่สุดควรนอนก่อนสี่ทุ่มจะดีที่สุด
๗.ความรัก..
ความรักเท่านั้นที่จะช่วยให้คนสดชื่น กระชุ่มกระชวย
ทั้งความรักของคนหรือสัตว์ ก็จะช่วยให้เราหัวใจเบิกบาน


ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิด ทำให้กระดูกบางลงได้
นำไปสู่ปัญหากระดูกพรุน
เมื่อแก่ตัวลง ดังนั้นหากจำเป็นต้องกินหรือฉีดยาเหล่านี้
ก็อย่าลืมหมั่นกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง
เช่น ผักใบเขียวเข้ม ปลาเล็กปลาน้อย ฯลฯ
หรือทานแคลเซียมเสริมไว้ด้วย.
ที่มา : Canadian Medical Association Journal, October 2001

ผู้หญิงชอบดื่มพึงระวัง
คุณผู้หญิงที่ชอบดื่มพึงระวังเพราะร่างกายคุณ
จะซึมซับแอลกอออล์ได้เร็วกว่าผู้ชาย ( เมาเร็วกว่า)
แล้วคุณยังมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม
ได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ดื่มถึง 50%
แถมยังกระดูกเปราะกว่ากันมาก
เพราะเหล้าจะเข้าไปทำลายเนื้อกระดูก( bone mass) ของคุณ.
ที่มา : Rethinking Drinking' Reader's Digest, December 2001

นั่งรถตรงไหนปลอดภัยที่สุด
นั่งรถเก๋งที่เบาะหลังตรงกลางปลอดภัยที่สุด
รองลงมาคือ ที่นั่งด้านหลังทางซ้าย (หลังคนนั่งข้างคนขับ)
เพราะตามสถิติอุบัติเหตุจะเกิดทางด้านหน้า และ ด้านคนขับมากกว่า
และหากมีคนนั่งรถไปกับคุณด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
จะลด อันตรายจากอุบัติเหตุการชนด้านหน้ารถลงไปด้วย...
ที่มา : The Seattle Times, November 11, 2001
( ข้อมูลจาก http://www.thaihealth.or.th/th/index_th.php )

ทานกะหล่ำปลีดิบมีพิษนะ
ในกะหล่ำปลีดิบจะมีสารพิษที่เรียกว่า กอยโตรเจน ( Goibrogen)
ซึ่งเป็นสารที่จะไปกันไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับไอโอดีน
ไปสร้างเป็น ฮอร์โมนไทร๊อกซิน ( Thyroscine) ได้
ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือ จะทำให้เกิดเป็นโรคคอหอยพอก
แต่สารพิษเหล่านี้จะถูกทำลายได้ โดยการต้ม
จึงควรรับประทานกะหล่ำปลีสุก
จะดีกว่ากะหล่ำปลีดิบ

ถั่วงอกดิบมีโทษครับ
ในผักสดบางชนิดมีสารพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ในถั่วงอก
มีสารพิษพวกที่เรียกว่าไฟเตต ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะ
ไปจับแร่ธาตุบางชนิดที่อยู่ในอาหาร
ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย
ร่างกายจะเป็นโรคขาดแร่ธาตุ
สารพิษเหล่านี้สามารถทำลายได้โดยการต้ม
จึงควรรับประทานถั่วงอกสุขดีกว่าถั่วงอกดิบ


วิธีป้องกันตะคริว
ตะคริวเกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่
การดื่มน้ำและ รับประทานผลไม้สดมากๆ
จึงช่วยลดการเป็นตะคริวได้...
ที่มา : Health& Fitness Column, Detroit News,
August 22, 2001

อดนอนบ่อยๆ ระวังเป็นเบาหวาน
ร่างกายที่ไม่ได้รับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม
จะใช้อินซูลินได้น้อยลง
คนอดนอนบ่อยๆ จึงมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานสูงกว่าปกติ...
ที่มา : The Seattle Times, July 22, 2001

ตรวจฉี่ด้วยตัวเอง
ร่างกายแต่ละคนต้องการน้ำไม่เท่ากัน
แพทย์แนะนำว่าควรดื่มมาก พอที่จะถ่ายปัสสาวะได้ทุกๆ 3-4 ชั่วโมง
หากปัสสาวะคุณเป็นสีเหลือง เข้มกว่าปกติ แสดงว่าคุณกำลังขาดน้ำ...
ที่มา : Health & Fitness Column, Detroit News, August 22, 2001

เนยแท้ vs เนยเทียม
เนยแท้ๆ ที่ทำมาจากนม อร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายกว่าเนยเทียม
หรือมาร์การีนซึ่งไม่มีประโยชน์เลยแถมเป็นพิษต่อร่างกายอีกต่างหาก
แต่ไม่ควรจะบริโภคเนยให้มากนักเพราะมากไป
ก็ทำให้เป็นโรคหัวใจ และความดันได้ง่าย...

ขนมเด็กเคลือบยาพิษ Safe Stamp ระวัง !
อันตรายจากอาหารขบเคี้ยว ข้อมูลจากการสำรวจ ของราชพฤกษ์โพล คณะสาธารณะสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเก็บตัวอย่างจากขนมหลายประเภท จากโรงเรียนอนุบาลและประถมศึกษา จำนวน 40 โรงเรียน ในพื้นที่ 17 เขตของกรุงเทพมหานคร พบว่าภัยร้ายที่แฝงอยู่ในขนมเด็ก โดยเฉพาะสารตะกั่วซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย ขณะเดียวกันก็ยังพบสารอันตรายอื่นๆ โดยเฉพาะเกลือโซเดียมในปริมาณมากน้อยต่างกันไป ซึ่งหากบริโภค มากจนตกค้างสะสมในร่างกาย อาจมีผลให้เส้นเลือดในสมองโป่งพองได้

10 อันดับขนมขบเคี้ยวประเภทข้าว แป้ง ที่พบปริมาณโซเดียมสูงสุดดังนี้

1. ข้าวเกรียบปลาหมึก ตราอาริงาโตป้ง
2. ขนมทอดกรอบตราปูไทย ซองส้มเข้มป้ง
3. ข้าวเกรียบทอด ตราเอสบี รสพริกหยวกี่
4. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราฮานามิ รสเม็กซิกันชิลลี่ษ
5. แป้งมันฝรั่งทอดกรอบ ตราโรลเลอร์ โคสเตอร์ รสหัวหอมทรงเครื่อง
6. แป้งข้าวโพดอบกรอบ ตราโจโต้ รสปลาหมึก
7. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราคาลบี้ รสต้มยำรสแซบ
8. ข้าวเกรียบปลา ตรามโนห์รา
9. ข้าวเกรียบกุ้ง ตรามโนห์รา
10. ข้าวเกรียบรสมะเขือเทศ

โทษของน้ำต้มเดือดหลายๆ ครั้ง
น้ำประปามีแร่ธาตุหลายชนิด เมื่อต้มเดือดแล้วเดือดอีกหลายๆ ครั้ง น้ำจำนวนมากจะระเหยกลายเป็นไอ ส่วนที่เหลือ จึงมีปริมาณแร่ธาตุ ชนิดต่างๆ เข้มข้นขึ้นมาก และเกินมาตรฐานการบริโภค น้ำที่ต้มเดือดนานๆ ไอออนของซิลเวอร์ไนเตรทที่อยู่ในน้ำ จะเปลี่ยนเป็นซิลเวอร์ไนไตรท์ ซึ่งเป็นสารที่ให้โทษแก่ร่างกาย และแร่ธาตุบางอย่างที่เป็นโทษต่อร่างกาย จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเพราะการระเหยของน้ำ และอาจมากจนเกินขีดจำกัด ความสามารถของร่างกาย ในการกำจัดขับถ่ายออกมา จึงไม่ควรดื่มน้ำที่ ต้มเดือดแล้วหลาย ๆ ครั้ง ครับ

อาหารต้านมะเร็ง 5 ประการเพื่อการป้องกัน
1. รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มาก เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ เพื่อป้องกัน โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลาย กระเพาะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ
2. รับประทานอาหารที่มีกากมาก เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
3. รับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน และไวตามินเอสูง เช่น ผัก ผลไม้สีเขียว-เหลือง เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอดำ
4. รับประทานอาหารที่มีไวตามินซีสูงเช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร
5. ควบคุมน้ำหนักตัว..โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง เช่น มดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่

ผลกระทบของการอดนอน
งานวิจัยเชิงทดลอง โดยอาสาสมัครหนุ่มสาว ทดลองนอนหลับวันละ 4 ชม. เป็นเวลา 6 คืน เมื่อเจาะตัวอย่างเลือด พบว่า มีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นและควบคุมยาก ซึ่งเกือบจะเป็นเหมือนโรคเบาหวาน นักวิจัยยังพบว่าการอดนอนเป็นสาเหตุของโรคอ้วน โดยเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเร่งการเติบโต ซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตทางกายภาพ และควบคุมสัดส่วนของไขมันต่อกล้ามเนื้อในร่างกาย การอดนอนทำให้ฮอร์โมนนี้หลั่งน้อยลง ร่ายกายรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลต่อฮอร์โมนเลปติน ซึ่งเป็นสารที่สื่อต่อระบบประสาท ว่า ควรจะอิ่มได้เร็วหรือช้าเท่าใด ตามความต้องการอาหารของร่างกาย เมื่อระดับเลปตินลดลงจากการนอนน้อย ผู้คนจะรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น แม้จะได้กินอาหารจนได้พลังงานเพียงพอแล้วก็ตาม การนอนไม่พอยังส่งผลต่อเม็ดเลือดขาว และกลไกการตอบสนองภูมิคุ้มกันต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เจ็บป่วยง่ายเมื่อเจอเชื้อโรค การนอนไม่พออาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง มีความเกี่ยวข้องกันในเรื่องวงจรการหลั่งฮอร์โมนแปรปรวน เนื่องมาจากการอดนอนและ แสงรบกวนในเวลากลางคืน ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ฉะนั้น นอกจากเราควรจะนอนให้เพียงพอแล้ว เรายังไม่ควรเปิดไฟนอนอีกด้วย

6 อัศวินช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน และหัวใจวายแน่นอน อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติ ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้ เป็นอย่างดีเยี่ยม
6 อัศวินตัวสำคัญนั้นคือ
1. มะเขือต่างๆ..
2. หอมหัวใหญ่..
3. กระเทียม
4. ถั่วเหลือง..
5. แอปเปิล..
6. โยเกิร์ต
วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ ก็ควรรับประทานอัศวินตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุมไขมัน.

อาหารอันตรายเมื่อท้องว่าง
คุณทราบไหมว่าเมื่อท้องของคุณว่างแล้วคุณรับประทานอาหารเข้าไป อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณได้ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะรับประทานอาหาร ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อน อาหารที่ไม่ควรรับประทาน ขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง มีบางชนิดที่เราแทบไม่เชื่อเลยล่ะ
กล้วย.. เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วย ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง
กระเทียม . เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ได้รับการกระตุ้นเกิด โรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง
ผัก.. การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ นอกจากนั้น ยังไม่ควรอาบน้ำ และออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกาย ในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย
นมและนมถั่วเหลือง .. แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย
เหล้า .. หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
น้ำตาลหรืออาหารหวาน. .. ไม่ควรรับประทานอาหารหวาน หรือน??ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต
ชา. .. ที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ
ลูกพลับ .. ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

ไอศกรีม อาหารขยะ
ไอศกรีมบางยี่ห้อ บางผู้ผลิต ใช้ไขมันที่เหลือจากโรงฆ่าสัตว์ แทน และได้ใส่ส่วนผสมสังเคราะห์ จากสารเคมีต่าง ๆ ดังนี้
1. ไดอิธิลกลูคอล ( diethyl glucol )
.. สารเคมีราคาถูก ใช้ตีไขมัน ให้กระจาย แทนการใช้ ่ไข่ เป็นสารกันเยือกแข็ง ที่ใช้กันน้ำแข็ง
( anti freeze) และผสมในน้ำยากัดสี
2. อัลดีไฮด์ - ซี 71 ( aldehyde-C71 )
.. ใช้สร้างกลิ่น เชอร์รี่ ให้ไอศกรีมเป็นของเหลวติดไฟง่าย และยังนำไปใช้ทำสีอะนิลีน พลาสติกและยาง
3. ไปเปอร์โอรัล ( piperoral )
.. ใช้แทนวานิลลา เป็นสารเคมีที่ใช้ฆ่าเหาและหมัด
4. อิธิลอะซีเตท ( ethyl acetate )
.. ใช้สร้างกลิ่นรสสับปะรด ใช้เป็นตัวทำความสะอาดหนังและผ้าทอ กลิ่นของสารเคมีตัวนี้ ทำให้เกิดโรคปอดเรื้อรัง ตับ และหัวใจผิดปกติ
5. บิวธีรัลดีไฮด์ ( butyraldehyde)
...ใช้สร้างกลิ่นรสเมล็ดในผล ไม้เปลือกแข็ง เป็นสารประกอบสำคัญในกาวยาง
6. แอนนิล อะซีเตท ( anyle acetate)
....ใช้สร้างกลิ่นรสกล้วยหอม เป็นสารทำลายใช้ล้างไขมัน
7. เบนซิล อะซีเตท( benzyle acetate)
...ใช้สร้างกลิ่นและรสสตรอเบอร์รี่

Blue Ocean Strategy

มองตลาดใหม่ ต้นทุนต่ำ สร้างความต่างกับกลยุทธ์การตลาดแบบ Blue Ocean โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์
มีหนังสือเล่มหนึ่งที่น่าสนใจที่ออกมาตั้งแต่ต้นปี แต่คงจะไม่ช้าเกินไปที่จะนำเนื้อหาในหนังสือเล่มดังกล่าวมานำเสนอท่านผู้อ่านนะครับ หนังสือเล่มดังกล่าวชื่อ Blue Ocean Strategy เขียนโดย W. Chan Kim และ Renee Mauborgne ซึ่งทั้งคู่เป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่สถาบัน INSEAD

หนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจอยู่ที่พยายามนำเสนอแนวคิดทางด้านกลยุทธ์ในรูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนและแหวกแนวไปกว่าทฤษฎีทางด้านกลยุทธ์เดิมๆ ที่เรารู้จักกัน จริงอยู่นะครับที่มีหนังสือและนักวิชาการหลายท่านที่พยายามที่จะนำเสนอมุมมองใหม่ของการบริหารกลยุทธ์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุมมองที่ตรงกันข้ามกับแนวคิดต่างๆ ของ Michael E. Porter) แต่ส่วนใหญ่แล้วก็สามารถทำได้แค่เสนอแนวคิดและยกตัวอย่าง แต่ยังไม่สามารถนำเสนอออกมาในรูปของกระบวนการบริหารกลยุทธ์ที่เป็นรูปธรรมและชัดเจนได้
Blue Ocean Strategy ได้นำเสนอแนวคิดและเครื่องมือในการบริหารกลยุทธ์ในรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมทั้งเครื่องมือในการวิเคราะห์ต่างๆ การกำหนดหรือจัดทำกลยุทธ์ในรูปแบบต่างๆ และแนวทางในการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ ซึ่งถือได้ว่าครบวงจรการบริหารกลยุทธ์เลยทีเดียว ท่านผู้อ่านอาจจะเริ่มสงสัยแล้วนะครับว่าทำไมต้องเรียกว่า Blue Ocean หรือทะเลสีฟ้าด้วย

เริ่มต้นก็คือผู้เขียนทั้งสองท่านพยายามนำเสนอว่าภาวการณ์แข่งขันในปัจจุบันที่บริษัทต่างๆ พยายามที่จะเอาชนะคู่แข่งด้วยการนำเสนอความแตกต่างของสินค้าและบริการ หรือ การหาทุกวิธีทางที่จะลดต้นทุนให้ต่ำที่สุดนั้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะนำไปสู่การแข่งขันและตอบโต้ที่รุนแรงจากคู่แข่งขัน

ท่านผู้อ่านอาจจะสังเกตได้จากในหลายๆ อุตสาหกรรมเลยครับที่การแข่งขันระหว่างบริษัทมักจะนำไปสู่เรื่องของการตัดราคาหรือพยายามเลียนแบบกลยุทธ์ของคู่แข่งให้ได้มากที่สุด เรียกได้ว่าใครออกอะไรมา อีกฝ่ายก็จะออกมาตอบโต้แบบทันควัน ซึ่งการแข่งขันในลักษณะดังกล่าวไม่ได้นำผลดีมาสู่ใครเลย และสุดท้ายก็จะเกิดการบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย เปรียบเสมือนว่าเมื่อบาดเจ็บแล้วเลือดของทั้งสองฝ่ายก็ไหลนองทั่วไปหมด เลยทำให้ทะเลกลายเป็นสีแดง หรือ Red Ocean Strategy

ส่วน Blue Ocean Strategy นั้นเป็นการหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย โดยองค์กรที่ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวจะไม่สนใจต่อการแข่งขันหรือต่อตัวคู่แข่งขันเท่าใด เรียกได้ว่าจะไม่เข้าไปแข่งขันในตลาดหรืออุตสาหกรรมเดิมๆ แต่จะพยายามที่จะสร้างตลาดหรืออุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ยังไม่มีใครสร้างหรือเข้าไป และแทนที่จะเป็นการเอาชนะคู่แข่ง กลับเป็นการทำให้คู่แข่งล้าสมัยไป

เช่น กรณีของคอมพิวเตอร์ Dell ที่เข้าสู่ตลาดการผลิตคอมพิวเตอร์ตามสั่ง แทนที่จะมุ่งขายและแข่งกับ Compaq (ในสมัยนั้น) และผลก็คือรูปแบบหรือวิธีการในการแข่งขันแบบดั้งเดิมที่ Compaq เป็นเจ้าอยู่ก็ล้าสมัยไป นอกจากนี้พวกที่ใช้ Blue Ocean Strategy ยังไม่สนใจต่อลูกค้าปัจจุบันเท่าใดนัก เนื่องจากมองว่าเป็นอุปสงค์ที่มีอยู่แล้วในอุตสาหกรรม แต่พยายามที่จะสร้างอุปสงค์ใหม่ๆ โดยเฉพาะจากผู้ที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้าของอุตสาหกรรม (noncustomers)

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ Blue Ocean Strategy นั้นพยายามที่จะลบล้างความเชื่อเก่าๆ ในเรื่องของกลยุทธ์การแข่งขันไป โดยเฉพาะในแบบที่ Porter เสนอว่าองค์กรธุรกิจจะต้องเลือกระหว่างการสร้างความแตกต่าง (Differentiation) กับการเป็นผู้นำด้านต้นทุน (Cost Leadership) ซึ่งในอดีตนั้นเรามักจะคิดว่าจะต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง จะทำให้ดีทั้งสองอย่างพร้อมๆ กันไม่ได้ แต่ภายใต้แนวคิดของ Blue Ocean Strategy นั้นเขาจะมองว่าพวกบริษัทที่ใช้กลยุทธ์แบบนี้จะสามารถนำเสนอได้ทั้งการสร้างความแตกต่าง และการมีต้นทุนที่ต่ำ ไปพร้อมๆ กัน

เครื่องมือในการวิเคราะห์ที่สำคัญประการหนึ่งของหนังสือเล่มนี้คือสิ่งที่เขาเรียกว่า Four Actions Framework ซึ่งเป็นคำถามสี่ข้อที่ทุกองค์กรควรที่จะถามตนเอง เพื่อที่จะสามารถวิเคราะห์และกำหนดกลยุทธ์ที่นำเสนอทั้งความแตกต่างและการมีต้นทุนที่ต่ำ คำถามทั้งสี่ข้อประกอบด้วย

1. อะไรคือปัจจัยที่เคยคิดว่าสำคัญหรือจำเป็น ที่ปัจจุบันไม่สำคัญและจำเป็นอีกต่อไป ที่สมควรที่จะตัดออกไปได้ (Eliminate)

2. อะไรคือปัจจัยที่สามารถลดลงให้เหลือต่ำกว่ามาตรฐานของอุตสาหกรรม (Reduce)

3. อะไรคือปัจจัยที่ควรที่จะยกขึ้นให้สูงกว่ามาตรฐานของอุตสาหกรรม (Raise)

4. อะไรคือปัจจัยใหม่ที่บริษัทควรจะพัฒนาขึ้นมาที่ยังไม่มีการนำเสนอในอุตสาหกรรมาก่อน (Create)

ท่านผู้อ่านลองคิดตามดูก็ได้นะครับว่าในการแข่งขันในอุตสาหกรรมทั่วๆ ไป (ที่เป็นทะเลเลือด) บริษัทต่างๆ มักจะพยายามเลียนแบบหรือตามคู่แข่งทุกย่างก้าว ไม่ว่าใครออกอะไรมาบริษัทจะต้องออกตาม ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วสิ่งต่างๆ เหล่านั้นอาจจะไม่มีความจำเป็นเลยก็ได้ ผลก็คือสินค้าในอุตสาหกรรมที่เป็นทะเลเลือดมักจะออกมาเหมือนๆ กันหมด และสุดท้ายก็จะแข่งกันที่ราคา

แต่การถามคำถามทั้งสี่ข้อเบื้องต้น จะทำให้เราเห็นว่าปัจจัยบางอย่างที่นำเสนอในปัจจุบันอาจจะไม่จำเป็นต้องมี หรือสามารถลดลงได้ ซึ่งถ้าทำได้ก็จะนำไปสู่การประหยัดต้นทุน และในขนาดเดียวกันก็เป็นคำถามที่ชวนให้เราต้องคิดต่อไปว่าอาจจะมีปัจจัยบางอย่างที่คู่แข่งรายอื่นๆ ไม่ให้ความสนใจที่บริษัทจำเป็นต้องยกระดับหรือพัฒนาขึ้นมาใหม่ก็ได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องของการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า
ขออนุญาตกลับไปตัวอย่างของ Dell ท่านผู้อ่านจะสังเกตครับว่าในการผลิตและขายคอมพิวเตอร์นั้น สิ่งที่ Dell ตัดออกไปคือในเรื่องของ Showroom หรือสถานที่สำหรับแสดงสินค้าที่ให้ลูกค้ามาเลือก เนื่องจาก Dell มองว่าด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ลูกค้าสามารถเลือกที่จะสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางอื่นๆ ได้ การตัดปัจจัยในส่วนนี้ไปทำให้ Dell ประหยัดงบประมาณไปได้มาก ทั้งในเรื่องของสถานที่หรือการผลิตสินค้าเพื่อรอคนมาซื้อ

แต่ในขณะเดียวกันสิ่งที่ Dell เพิ่มมาก็คือการเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อได้เลือกชิ้นส่วนและองค์ประกอบของเครื่องได้อย่างอิสระ ซึ่งเป็นสิ่งที่ในอดีตบริษัทขายคอมพิวเตอร์ทั่วๆ ไปไม่ได้ให้ความสนใจเท่าใด เพราะฉะนั้นสิ่งที่ Dell ทำก็คือ แทนที่จะไปแข่งในการขายในลักษณะเดียวกับบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ เช่น Compaq แต่ Dell กลับมุ่งเน้นในการสร้างตลาดหรือช่องทางใหม่ที่ไม่เคยมีใครคิดถึงหรือเข้าไปก่อน

ท่านผู้อ่านคงจะพอเห็นภาพนะครับ เนื้อหาที่ผมนำเสนอเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยของเนื้อหาทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ ถ้าสนใจก็ลองหาอ่านเพิ่มเติมได้นะครับ เชื่อว่าแนวคิดและเครื่องมือหลายๆ ประการในหนังสือเล่มนี้จะได้มีการนำมาใช้กันมากขึ้นในการวิเคราะห์และกำหนดกลยุทธ์ของบริษัทชั้นนำในเมืองไทยหลายแห่งครับ..

สำนักงานใหญ่ปูแดง

สำนักงานใหญ่ปูแดง

บริษัท เบสท์59 จำกัด ตั้งอยู่ที่ถนนแจ้งวัฒนะ41 อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
(เยื้องทางเข้าเมืองทองธานี ให้ท่านเข้ามาจอดรถในซอย41ได้เลยครับ เพราะลานจอดอยู่ในซอยนี้)
คลิกดูรูป www.poodang.com/piccompany.htm

สำนักงานใหญ่ปูแดง

สำนักงานใหญ่ปูแดง

บริษัท เบสท์59 จำกัด ตั้งอยู่ที่ถนนแจ้งวัฒนะ41 อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
(เยื้องทางเข้าเมืองทองธานี ให้ท่านเข้ามาจอดรถในซอย41ได้เลยครับ เพราะลานจอดอยู่ในซอยนี้)
คลิกดูรูป www.poodang.com/piccompany.htm

รายการTVปูแดงที่ออกโอกาศปัจจุบัน

รายการโทรทัศน์ปูแดงที่ออกโอกาศปัจจุบัน

ช่อง 11 "รายการฟ้าสวยน้ำใส"วันจันทร์-อาทิตย์ เวลา 11.05-11.30,16.30-17.00 และ19.30 น.

ช่อง 9 "รายการฟ้าวันใหม่่" วันพุธ เวลา 05.00-05.30 น.

ช่อง MVNEWS ทุกวัน เวลา 07.00-08.00 และ 22.10-23.10

อบรมเป็นผู้ประกอบการธุรกิจปูแดง

อบรมเป็นผู้ประกอบการ ธุรกิจปูแดงไคโตซาน

การอบรม มีทุกวันอาทิตย์ เวลา 10.00-12.00 น. และ 13.00-15.00
สถานที่จัดงาน สำนักงานใหญ่กรุงเทพฯ ถ.แจ้งวัฒนะ41 อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

(เยื้องทางเข้าเมืองทองธานีให้ท่านเข้ามาจอดรถในซอย41ได้เลยครับ เพราะลานจอดอยู่ในซอยนี้)

(สำรองที่นั่งโทร 083-0340025 ไม่มีข้อผูกมัดและค่าใช้จ่ายใดๆ ในการเข้าอบรม)

คู่มือเปิดศูนย์ปูแดงประจำอำเภอ

คู่มือเปิดศูนย์ปูแดงประจำอำเภอ
http://www.poodang.com/ManualPoodangCenter.pdf

ชมโรงงานและบริษัทสำนักงานใหญ่

ชมโรงงานและบริษัทสำนักงานใหญ่
http://www.poodang.com/OfficeAndFactory.htm

ทะเบียนพานิชย์และใบรับรองบริษัท

ทะเบียนพานิชย์และใบรับรองบริษัท
http://www.poodang.com/certify.htm

ไฟล์ Powerpoint นำเสนอธุรกิจปูแดง

ไฟล์ Powerpoint นำเสนอธุรกิจปูแดง
http://www.poodang.com/docs/oppfull.zip
http://www.poodang.com/docs/PlanPooOpp2.ppt

วิธีการใช้ปูแดง

วิธีการใช้ปูแดง
http://www.poodang.com/docs/howtousepoo.pdf

สรุปข้อมูลปูแดง

สรุปข้อมูลปูแดง
http://www.poodang.com/poodanggood.htm

นิตยสารปูแดง Top Business

นิตยสารปูแดง Top Business
http://www.poodang.com/TopBusinessFeb09.pdf

ประสบการณ์ผู้ใช้ปูแดงไคโตซาน

ประสบการณ์ผู้ใช้ปูแดงไคโตซาน
http://www.poodang.com/LiveUserPoodang.pdf

วิธีสมัครและใบสมัครสมาชิกปูแดง

วิธีสมัครและใบสมัครสมาชิกปูแดง
http://www.poodang.com/member.zip

รายละเอียดผลิตภัณฑ์ปูแดง

รายละเอียดผลิตภัณฑ์ปูแดง
http://www.poodang.com/productdetail.htm

โปรชัวส์ผลิตภัณฑ์ปูแดงและแผ่นพับ

โปรชัวส์ผลิตภัณฑ์ปูแดงและแผ่นพับ (New)
http://www.poodang.com/brochorenew.htm
http://www.poodang.com/picbrochore050309.htm

ไคโตซานคืออะไรและกระบวนการผลิต

ไคโตซานคืออะไร และกระบวนการผลิตไคโตซาน
http://www.poodang.com/Docs/Chitosan.pdf
http://www.poodang.com/Docs/ChitosanProcess.pdf

แผนการตลาดปูแดง (ไม่มีรักษายอด)

แผนการตลาด (ไม่มีรักษายอดใดๆ)คลิกที่นี่
http://www.poodang.com/plan.htm

http://www.poodang.com/planpoodang.htm

http://www.poodang.com/NetworkExam.htm