วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

จริต ๖

จริต แปลว่า จิตท่องเที่ยว สถานที่จิตท่องเที่ยวหรืออารมณ์เป็นที่ชอบท่องเที่ยวของ
จิตนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงประมวลไว้เป็น ๖ ประการด้วยกัน คือ
๑. ราคจริต จิตท่องเที่ยวไปไปในอารมณ์ที่รักสวยรักงาม คือพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ
กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวล รวมความว่าอารมณ์ที่ท่องเที่ยวไปในราคะ คือ ความกำหนัด
ยินดีนี้ บุคคลผู้เป็นเจ้าของจริต มีอารมณ์หนักไปในทางรักสวยรักงาม ชอบการมีระเบียบ สะอาด
ประณีต มีกิริยาท่าทางละมุนละไมนิ่มนวล เครื่องของใช้สะอาดเรียบร้อย บ้านเรือนจัดไว้อย่างมี
ระเบียบ พูดจาอ่อนหวาน เกลียดความเลอะเทอะสกปรก การแต่งกายก็ประณีต ไม่มีของใหม่ก็
ไม่เป็นไร แม้จะเก่าก็ต้องสะอาดเรียบร้อย ราคจริต มีอารมณ์จิตรักสวยรักงามเป็นสำคัญ อย่าตี
ความหมายว่า ราคจริต มีจิตมักมากในกามารมณ์ ถ้าเข้าใจอย่างนั้นพลาดถนัด
๒. โทสจริต มีอารมณ์มักโกรธเป็นเจ้าเรือน เป็นคนขี้โมโหโทโส อะไรนิดก็โกรธ อะไร
หน่อยก็โมโห เป็นคนบูชาความโกรธว่าเป็นของวิเศษ วันหนึ่งๆ ถ้าไม่ได้โกรธเคือง โมโหโทโส
ใครเสียบ้างแล้ว วันนั้นจะหาความสบายใจได้ยาก คนที่มีจริตหนักไปในโทสจริตนี้ แก่เร็ว พูด
เสียงดัง เดินแรง ทำงานหยาบ ไม่ใคร่ละเอียดถี่ถ้วน แต่งตัวไม่พิถีพิถัน เป็นคนใจเร็ว
๓. โมหจริต มีอารมณ์จิตลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ ชอบสะสมมากกว่าการจ่ายออก ไม่ว่า
อะไรเก็บดะ ผ้าขาดกระดาษเก่า ข้าวของตั้งแต่ใดก็ตาม มีค่าควรเก็บหรือไม่ก็ตามเก็บดะไม่เลือก
มีนิสัยเห็นแก่ตัว อยากได้ของของคนอื่น แต่ของตนไม่อยากให้ใคร ชอบเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน
ไม่ชอบบริจาคทานการกุศล รวมความว่าเป็นคนชอบได้ ไม่ชอบให้
๔. วิตกจริต มีอารมณ์ชอบคิด ตัดสินใจไม่เด็ดขาด มีเรื่องที่จะต้องพิจารณานิดหน่อย
ก็ต้องคิดตรองอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าตัดสิน คนประเภทนี้เป็นโรคประสาทมาก มีหน้าตาไม่ใคร่สดชื่น
ร่างกายแก่เกินวัย หาความสุขสบายใจได้ยาก
๕. สัทธาจริต มีจิตน้อมไปในความเชื่อเป็นอารมณ์ประจำใจ เชื่อโดยไร้เหตุไร้ผล พวกที่
ถูกหลอกลวงก็คนประเภทนี้ มีใครแนะนำอะไรตัดสินใจเชื่อโดยไม่ได้พิจารณา
๖. พุทธจริต เป็นคนเจ้าปัญญาเจ้าความคิด มีความฉลาดเฉลียว มีปฏิภาณไหวพริบดี
การคิดอ่านหรือการทรงจำก็ดีทุกอย่าง
อารมณ์ของชาวโลกทั่วไป สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประมวลอารมณ์ว่า อยู่ในกฎ ๖
ประการตามที่กล่าวมาแล้วนี้ บางคนมีอารมณ์ทั้ง ๖ อย่างนี้ครบถ้วน บางรายก็มีไม่ครบ มีมากน้อย
ยิ่งหย่อนกว่ากันตามอำนาจวาสนาบารมีที่อบรมมาในการละในชาติที่เป็นอดีต อารมณ์ที่มีอยู่คล้าย
คลึงกัน แต่ความเข้มข้นรุนแรงไม่เสมอกัน ทั้งนี้ก็เพราะบารมีที่อบรมมาไม่เสมอกัน ใครมีบารมี
ที่มีอบรมมามาก บารมีในการละมีสูงอารมณ์จริตก็มีกำลังต่ำไม่รุนแรง ถ้าเป็นคนที่อบรมในการละ
มีน้อย อารมณ์จริตก็รุนแรง จริตมีอารมณ์อย่างเดียวกันแต่อาการไม่สม่ำเสมอกันดังกล่าวแล้ว

ประโยชน์ของการรู้อารมณ์จริต

นักปฏิบัติเพื่อฌานโลกีย์ หรือเพื่อมรรคผลนิพพานก็ตาม ควรรู้อาการของจริตที่จิต
ของตนคบหาสมาคมอยู่ เพราะการรู้อารมณ์จิตเป็นผลกำไรในการปฏิบัติเพื่อการละด้วยการ
เจริญสมาธิก็ตาม พิจารณาวิปัสสนาญาณก็ตาม ความสำคัญอยู่ที่การควบคุมความรู้สึกของ
อารมณ์ ถ้าขณะที่กำลังตั้งใจกำหนดจิตเพื่อเป็นสมาธิ หรือพิจารณาวิปัสสนาญาณอารมณ์จิต
เกิดฟุ้งซ่าน ไปปรารถนาความรักบ้าง ความโกรธบ้าง ผูกพันในทรัพย์สมบัติบ้าง วิตกกังวลถึง
เหตุการณ์ต่างๆ บ้าง เกิดอารมณ์สัทธาหวังในการสงเคราะห์ หรือมุ่งบำเพ็ญธรรมบ้าง เกิด
อารมณ์แจ่มใส น้อมไปในความเฉลียวฉลาดบ้าง เมื่อรู้ในอารมณ์อย่างนี้ ก็จะได้น้อมนำเอา
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้มาประคับประคองใจให้เหมาะสมเพื่อผลในสมาธิ หรือ
หักล้างด้วยอารมณ์วิปัสสนาญาณเพื่อผลให้ได้ญาณสมาบัติ หรือมรรคผลนิพพาน พระธรรมที่
พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ เพื่อผลของสมาบัติ ท่านเรียกว่า "สมถกรรมฐาน" มีรวมทั้งหมด
๔๐ อย่างด้วยกัน ท่านแยกไว้เป็นหมวดเป็นกองดังนี้
อสุภกรรมฐาน ๑๐ อนุสสติกรรมฐาน ๑๐ กสิณ ๑๐ อาหาเรฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัฏฐาน ๑
พรหมวิหาร ๔ อรูป ๔ รวมเป็น ๔๐ กองพอดี


แบ่งกรรมฐาน ๔๐ ให้เหมาะแก่จริต

เพราะอาศัยที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี มีมาเพื่อเป็นศาสดาทรงสั่งสอนบรรดา
สรรพสัตว์เพื่อให้บรรลุมรรคผล ด้วยหวังจะให้พ้นจากทุกข์อันเกิดจากการเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ
ความเป็นสัพพัญญูของสมเด็จผู้ทรงสวัสดิ์ พระองค์ทรงทราบถึงความเหมาะสมในกรรมฐานต่าง ๆ
ที่เหมาะสมกับอารมณ์จิตที่มีความข้องอยู่ในขณะนั้น ด้วยตรัสเป็นพระพุทธฎีกาไว้ว่า เมื่อใดอารมณ์
จิตของท่านผู้ใดข้องอยู่ในอารมณ์ชนิดใดก็ให้เอากรรมฐานที่พระองค์ทรงประทานไว้ว่าเหมาะสมกัน
เข้าพิจารณา หรือภาวนาแก้ไขเพื่อความผ่องใสของอารมณ์จิต เพื่อการพิจารณาวิปัสสนาญาณ เพื่อ
มรรคผลนิพพานต่อไป ฉะนั้น ขอนักปฏิบัติทั้งหลายจงสนใจเรียนรู้กรรมฐาน ๔๐ กอง และจริต ๖
ประการ ตลอดจนกรรมฐานที่ท่านทรงจัดสรรไว้เพื่อความเหมาะสมแก่จริตนั้นๆ ท่องให้ขึ้นใจไว้
และอ่านวิธีปฏิบัติให้เข้าใจ เพื่อสะดวก เมื่อเห็นว่าอารมณ์เช่นใดปรากฏ จะได้จัดสรรกรรมฐานที่
พระพุทธองค์ทรงกำหนดว่าเหมาะสมมาหักล้างอารมณ์นั้นๆ ให้สงบระงับ ถ้านักปฏิบัติทุกท่านปฏิบัติ
ตามพระพุทธฎีกาตามนี้ได้ ท่านจะเห็นว่า การเจริญสมถะเพื่อทรงฌานก็ดี การพิจารณาวิปัสสนาญาณ
เพื่อมรรคผลนิพพานก็ดี ไม่มีอะไรหนักเกินไปเลย ตามที่ท่านคิดว่าหนักหรืออาจเป็นเหตุสุดวิสัยนั้น
ถ้าท่านปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านจะเห็นว่าไม่หนักเกินวิสัยของคนเอาจริงเลย
กับจะคิดว่าเบาเกินไปสำหรับท่านผู้มีความเพียรกล้าเสียอีก กรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง ท่านจำแนกแยก
เป็นหมวดไว้ เพื่อเหมาะสมกับจริตนั้นๆ มีดังนี้ คือ

๑. ราคจริต

ราคจริตนี้ ท่านจัดกรรมฐานที่เหมาะสมไว้ ๑๑ อย่างคือ อสุภกรรมฐาน ๑๐ กับกายคตานุสสติ
กรรมฐาน อีก ๑ รวมเป็น ๑๑ อย่างในเมื่ออารมณ์รักสวยรักงามปรากฏขึ้นแก่อารมณ์จิตจงนำกรรมฐาน
นี้มาพิจารณา โดยนำมาพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งจากกรรมฐาน ๑๑ อย่างนี้ ตามแต่ท่านจะชอบใจ
จิตใจท่านก็จะคลายความกำหนัดยินดีในกามารมณ์ลงได้อย่างไม่ลำบากยากเย็นอะไรเลย ถ้าจิตข้อง
อยู่ในกามารมณ์เป็นปกติ ก็เอากรรมฐานนี้พิจารณาเป็นปกติ จนกว่าอารมณ์จะสงัดจากกามารมณ์
เห็นคนและสัตว์และสรรพวัตถุทั้งหลายที่เคยนิยมชมชอบว่าสวยสดงดงาม กลายเป็นของ น่าเกลียด
โสโครกโดยกฎของธรรมดา จนเห็นว่าจิตใจไม่มั่วสุมสังคมกับความงามแล้วก็พิจารณาวิปัสสนาญาณ
โดยยกเอาขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเราโดย
เอาอสุภกรรมฐานหรือกายคตานุสสติกรรมฐานเป็นหลักชัยทำอย่างนี้ไม่นานเท่าใดก็จะเข้าถึงมรรคผล
นิพพาน การทำถูกไม่เสียเวลานานอย่างนี้

๒. โทสจริต

คนมักโกรธ หรือขณะนั้นเกิดมีอารมณ์โกรธพยาบาทเกิดขึ้นขวางอารมณ์ไม่สะดวกแก่
การเจริญฌาน ท่านให้เอากรรมฐาน ๘ อย่าง คือ พรหมวิหาร ๔ และ วัณณกสิณ ๔ วัณณกสิณ ๔
ได้แก่ นีลกสิณ เพ่งสีเขียว โลหิตกสิณ เพ่งสีแดง ปีตกสิณ เพ่งสีเหลือง โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว
กรรมฐานทั้งแปดอย่างนี้ เป็นกรรมฐานระงับดับโทสะ ท่านจะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมาะสม
แก่ท่าน คือตามแต่ท่านจะพอใจเอามาเพ่งและใคร่ครวญพิจารณา อารมณ์โทสะก็จะค่อยๆ คลายตัว
ระงับไป

๓. โมหะ และ วิตกจริต

อารมณ์ที่ตกอยู่ในอำนาจของความหลงและครุ่นคิดตัดสินใจอะไรไม่เด็ดขาด ท่านให้เจริญ
อานาปานุสสติกรรมฐานอย่างเดียว อารมณ์ความลุ่มหลงและความคิดฟุ้งซ่านจะสงบระงับไป

4. สัทธาจริต

ท่านที่เกิดสัทธาความเชื่อ เชื่อโดยปกติ หรืออารมณ์แห่งความเชื่อเริ่มเข้าสิงใจก็ตาม
ท่านให้เจริญกรรมฐาน ๖ อย่าง คือ อนุสสติ ๖ ประการ ดังต่อไปนี้ (๑) พุทธานุสสติกรรมฐาน
(๒) ธัมมานุสสติกรรมฐาน (๓) สังฆานุสสติกรรมฐาน (๔) สีลานุสสติกรรมฐาน (๕) จาคา-
นุสสติกรรมฐาน (๖) เทวตานุสสติกรรมฐาน อนุสสติทั้ง ๖ อย่างนี้ จะทำให้จิตใจของท่านที่
ดำรงสัทธาผ่องใส

๕. พุทธิจริต
คนเฉลียวฉลาดรู้เท่าทันเหตุการณ์ และมีปฎิภาณไหวพริบดี ท่านให้เจริญกรรมฐาน ๔
อย่าง ดังต่อไปนี้ (๑) มรณานุสสติกรรมฐาน (๒) อุปสมานุสสติกรรมฐาน (๓) อาหาเรปฏิกูลสัญญา
(๔) จตุธาตุววัฏฐาน รวม ๔ อย่างด้วยกัน
กรรมฐานที่เหมาะแก่จริตทั้ง ๖ ท่านจัดเป็นหมวดไว้ ๕ หมวด รวมกรรมฐานที่เหมาะ
แก่จริต โดยเฉพาะจริตนั้นๆ รวม ๓๐ อย่าง หรือในที่บางแห่งท่านเรียกว่า ๓๐ กอง กรรมฐาน
ทั้งหมดด้วยกันมี ๔๐ กอง ที่เหลืออีก ๑๐ กอง คือ อรูป ๔ ภูตกสิณ ได้แก่ ปฐวีกสิณ เตโชกสิณ
วาโยกสิณ อาโปกสิณ ๔ อย่างนี้เรียกภูตกสิณ อาโลกสิณ ๑ และอากาศกสิณอีก ๑ รวมเป็น
๑๐ พอดี กรรมฐานทั้ง ๑๐ อย่างนี้ ท่านตรัสไว้เป็นกรรมฐานกลางเหมาะแก่จริตทุกอย่าง รวม
ความว่าใครต้องการเจริญก็ได้เหมาะสมแก่คนทุกคน แต่สำหรับอรูปนั้นถ้าใครต้องการเจริญ
ท่านให้เจริญฌานในกสิณให้ได้ฌาน ๔ เสียก่อน แล้วจึงเจริญในอรูปได้ มิฉะนั้นถ้าเจริญอรูป
เลยทีเดียวจะไม่มีอะไรเป็นผล เพราะอรูปละเอียดเกินไปสำหรับนักฝึกสมาธิใหม่

ประโยชน์ของการรู้อารมณ์จริต6

นักปฏิบัติควรรู้อาการของจริตที่จิตของตนคบหาสมาคมอยู่ เพราะการรู้อารมณ์จิตเป็นผลกำไรในการปฏิบัติ เพื่อการละด้วยการเจริญสมาธิก็ตาม พิจารณาวิปัสสนาญาณก็ตาม ความสำคัญอยู่ที่การควบคุมความรู้สึกของอารมณ์ ถ้าขณะที่กำลังตั้งใจกำหนดจิตเพื่อเป็นสมาธิ หรือพิจารณาวิปััสสนาญาณอารมณ์จิตเกิดฟุ้งซ่าน ก็จะได้น้อมนำเอาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้มาประคับประคองใจให้เหมาะสมเพื่อผลในสมาธิ หรือหักล้างด้วยอารมณ์วิปัสสนาญาณเพื่อให้ได้ฌานสมาบัติ หรือมรรคผลนิพพาน พระธรรมเพื่อผลของสมาบัติ ท่านเรียกว่า "สมถกรรมฐาน" มีทั้งหมด 40 อย่าง

อสุภกรรมฐาน 10
อนุสสติกรรมฐาน 10
กสิณ 10
อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1
จตุธาตุววัฏฐาน 1
พรหมวิหาร 4
อรูป 4


แบ่งกรรมฐาน 40 ให้เหมาะแก่จริต
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบถึง ความเหมาะสมในกรรมฐานต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับอารมณ์จิตที่มีความข้องอยู่ในขณะนั้น ว่า เมื่อใดอารมณ์จิตของท่านผู้ใดข้องอยู่ในอารมณ์ชนิดใด ก็ให้เอากรรมฐานที่พระองค์ทรงประทานไว้ว่าเหมาะสมกันเข้าพิจารณา หรือภาวนาแก้ไขเพื่อความผ่องใสของอารมณ์จิต เพื่อการพิจารณาวิปัสสนาญาณ เพื่อมรรคผลนิพพานต่อไป กรรมฐาน 40 กองที่ท่านได้จำแนกไว้ เพื่อเหมาะสมกับจริตมีดังนี้

1. ราคจริต
ราคจริตนี้ กรรมฐานที่เหมาะคือ อสุภกรรมฐาน 10 กับกายคตนานุสสติ 1 เมื่ออารมณ์รักสวยรักงามเกิดขึ้นแก่อารมณ์จิต จิตข้องอยู่ในกามารมณ์เป็นปกติ ก็เอากรรมฐานนี้พิจารณาเป็นปกติ จนกว่าอารมณ์จะสงัดจากกามารมณ์ เห็นคนและสัตว์และสรรพวัตถุที่ชมชอบว่าสวยงดงาม กลายเป็นของน่าเกลียดโสโครกโดยกฎของธรรมดา จนจิตใจไม่มั่วสุมกับความงามแล้ว ก็พิจารณาวิปัสสนาญาณโดยยกเอาขันธ์ 5 เป็นอารมณ์ ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา

2. โทสจริต
คนมักโกรธ หรือขณะนั้นมีอารมณ์โกรธพยาบาทเกิดขึ้น ท่านให้เอากรรมฐาน 8 อย่าง คือ พรหมวิหาร 4 วัณณกสิณ 4 (วัณณกสิณ 4 ได้แก่ นีลกสิณ เพ่งสีเขียว โลหิตกสิณ เพ่งสีแดง ปีตกสิณ เพ่งสีเหลือง โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว) ทั้ง 8 อย่างนี้เป็นกรรมฐานระงับดับโทสะ เลือกที่เหมาะสมมาเพ่งและใคร่ครวญพิจารณา อารมณ์โทสะจะค่อย ๆ คลายตัวระงับไป

3. โมหะ และ วิตกจริต
อารมณ์ที่ตกอยู่ในอำนาจของความหลง และครุ่นคิดตัดสินใจไม่ค่อยได้นั้น ท่านให้เจริญอานาปานานุสสติกรรมฐานอย่างเดียว อารมณ์ความลุ่มหลงฟุ้งซ่านก็จะสงบระงับไป

4. สัทธาจริต
ท่านที่เกิดสัทธาความเชื่อ ท่านให้เจริญกรรมฐาน 6 อย่าง คือ อนุสสติ 6 ประการ คือ

พุทธานุสสติกรรมฐาน
ธัมมานุสสติกรรมฐาน
สังฆานุสสติกรรมฐาน
สีลานุสสติกรรมฐาน
จาคานุสสติกรรมฐาน
เทวตานุสสติกรรมฐาน

ทั้ง 6 อย่างนี้จะทำให้จิตใจของท่านที่ดำรงสัทธาผ่องใส
5. พุทธิจริต
คนเฉลียวฉลาดรู้เท่าทันเหตุการณ์ มีปฏิภาณไหวพริบดี ท่านให้เจริญกรรมฐาน 4 อย่าง

มรณานุสสติกรรมฐาน
อุปมานุสสติกรรมฐาน
อาหาเรปฏิกูลสัญญา
จตุธาตุววัฏฐาน
กรรมฐานที่เหมาะแก่จริตทั้ง 6 ท่านจัดไว้เป็น 5 หมวด รวมกรรมฐานที่เหมาะแก่จริต โดยเฉพาะจริตนั้น ๆ รวม 30 อย่าง หรือ 30 กอง ที่เหลืออีก 10 กอง คือ อรูป 4 ภูตกสิณ 4(ปฐวีกสิณ เตโชกสิณ วาโยกสิณ อาโปกสิณ) และอาโลกกสิณ 1 อากาสกสิณ 1 รวมเป็น 10 อย่าง ซึ่งเป็นกรรมฐานเหมาะแก่จริตทุกอย่าง แต่สำหรับอรูปนั้น ถ้าใครต้องการเจริญ ท่านให้เจริญฌานในกสิณให้ได้ ฌาน 4 เสียก่อน แล้วจึงเจริญในอรูปได้ มิฉะนั้นแล้วจะไม่เป็นผลสำหรับผู้ฝึกสมาธิใหม่เพราะอรูปละเอียดเกินไป

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

หนึ่งใน สาเหตุของความเครียดในที่ทำงาน

คือการที่คนหลายรุ่น หลายวัย หลายความคิด ต้องมาทำงานร่วมกัน ความแตกต่างระหว่างเลขวัยที่สัมพันธ์กับเลขไมล์ของประสบการณ์ มักนำมาซึ่งความไม่เข้าใจกัน..จนก่อตัวเป็นความขัดแย้งในที่สุด บางทีความแตกต่าง คือ กุญแจแห่งความสำเร็จ เพียงขอเปิดใจทำความรู้จักคนแต่ละรุ่น ให้ลึกซึ้งก็จะได้พบโลกใบใหม่ที่งดงาม หลากหลาย และหากเลือกที่จะสื่อสารได้อย่างถูกช่องถูกกลุ่มก็อาจจะได้อะไรใหม่ ๆ คาดไม่ถึง ใครเป็นใครในที่ทำงาน เราจะแบ่งรุ่นของคนทำงานในที่ทำงานให้ชัด ๆ ก่อน โดยจำแนกจากช่วงปีเกิด ซึ่งจะสัมพันธ์กับประสบการณ์ในช่วงเติบโต ทำให้เห็นยุคสมัยที่หล่อหลอมความคิดของพวกเขาได้ชัดเจนขึ้น

กลุ่ม ลายคราม : คนที่เกิดก่อนปี 2498
ลายคราม...ไม่ว่าจะดำรง ตำแหน่งกรรมการที่ปรึกษา หรือเป็นพนักงานวัยใกล้เกษียณ คนกลุ่มนี้จะมีผู้คนนับหน้าถือตามากมาย อันเนื่องมาจากประสบการณ์การทำงานอันยาวนานของพวกเขานั่นเอง คนกลุ่มนี้จะเกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะยุติ จึงเติบโตมาท่ามกลางสภาพบ้านเมืองที่มีทรัพยากรที่จำกัด ทำให้รู้จักคุณค่าของเงิน มักมีคุณลักษณะที่มั่นคงเชื่อใจได้ สู้งานหนัก ใช้จ่ายอย่างรู้คิด และภักดีต่อองค์กรสูง

กลุ่ม Baby Boom: คนที่เกิดช่วงปี 2499 – 2507
หลังสงคราม ยุติ ประเทศเข้าสู่ความสงบ การรณรงค์คุมกำเนิดยังไม่แพร่หลาย จึงเกิดพลเมืองตัวน้อย ๆ ขึ้นมากมาย Baby Boomเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง และแข่งขันกับคนวัยเดียวกันเพื่อให้ได้งาน ยิ่งเมื่อประเทศกำลังพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่ยุคความเป็นอุตสาหกรรม Baby Boom ก็ยิ่งจำเป็นต้องทำงานหนักมากขึ้น เต็มเหยียดวันละ 8 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์ ลูกจ้าง Baby Boom มักเคยชินต่อการพิสูจน์ตัวเอง เพื่อให้นายจ้างยอมรับในศักยภาพ การ จะก้าวไปสู่ตำแหน่งใหญ่นั้นต้องใช้เวลาและแรงผลักดันอย่างสูง

กลุ่ม Generation–X: คนที่เกิดช่วงปี 2508 – 2523
Generation– X ลืมตาดูโลกในช่วงเวลาที่มนุษยชาติส่งยานอวกาศออกไปนอกโลกได้สำเร็จ ของเล่นสุดฮิตของเด็กรุ่นจึงไม่ใช่ม้าโยก หรือตุ๊กตาหมีอีกต่อไป แต่เป็นวิดีโอเกม เกมกด และ Walkman พวก เขาเติบโตมาในยุครอยต่อของ Analog กับ Digital อยู่ ท่ามกลางเทคโนโลยีที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ ทว่าที่สังคมเปลี่ยนแปลงในทางวัตถุนี้ กลับทำให้สถาบันครอบครัวสั่นคลอน ความภักดีต่อองค์กรของคนรุ่นนี้จึงคลายลงมาก นำมาสู่การลาออก และเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น ไม่แปลกที่ชาว Baby Boom ผู้ไม่เคยเกี่ยงที่จะทำโอทีจนดึกดื่นจะอึ้งที่ชาว Generation–X ปฏิเสธการทำงานล่วงเวลา หรือลาออกไปหางานใหม่หน้าตาเฉยหากไม่พอใจ ทั้งนี้เพราะ Generation–X เชื่อว่างานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต

กลุ่ม Millennium: คนที่เกิดปี 2524 เป็นต้นมา
Millennium คือ กลุ่มคนทำงานหน้าใหม่ไฟแรง แต่ยังอ่อนต่อประสบการณ์ บางคนอาจยังเรียนไม่จบเสียด้วยซ้ำ หรือบางคนมีแผนที่จะเรียนต่อ ชาว Millennium โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ รวมถึงระบบการศึกษาที่เริ่มให้ความสำคัญกับการคิดมากกว่าการท่องจำ ชาว Millennium จะมีพ่อแม่ที่มีความรู้สูง จึงให้การสนับสนุนให้ Millennium ได้เสริมทักษะด้านต่าง ๆ ตั้งแต่เด็ก ฉะนั้น Millennium จึงชอบแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และสนุกกับการทำงานเป็นทีม ไม่ชอบอยู่ในกรอบ และไม่ชอบเงื่อนไข ในขณะที่ ชาว Generation-X เปลี่ยนงานครั้งที่ 12 เพื่อเป็นผู้บริหารระดับสูงกินเงินเดือนเรือนแสน แต่ชาว Millennium จะลาออกไปเริ่มธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเอง

สลาย ช่องว่างสร้างความเข้าใจ
เมื่อเข้าใจอย่างท่องแท้แล้ว ว่า ใครมีค่านิยมในชีวิตอย่างไร ใคร ๆ ก็สามารถสร้างสะพานข้ามช่องว่าง เพื่อข้ามไปหากันได้
สูตรสร้างสะพานข้ามช่องว่าระหว่างวัยมีอยู่ 3 ขั้นตอน
1. เข้าใจถึงความแตกต่าง ยอมรับว่าคนเราถูกหล่อหลอมมาไม่เหมือนกัน คนที่มีความเชื่อ หรือทัศนคติต่อชีวิตไม่เหมือนคุณ เขาไม่ใช่คนไม่ดีเสมอไป
2. ชื่นชมจุดดี แทนที่จะต่อต้าน ให้เราลองมองหาจุดเด่นของคนในแต่ละกลุ่มให้พบ
3. บริหารความแตกต่าง เปลี่ยนวิธีการสื่อสารให้เข้าถึงคนแต่ละกลุ่มที่เราต้องทำงานด้วย

ทำ งานกับกลุ่มลายคราม
จงให้ เกียรติและให้ความเคารพอย่างสูงต่อพวกเขา เมื่อคุณให้เกียรติผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็จะให้เกียรติคุณ แล้วถ้าบังเอิญคุณมีตำแหน่งสูงกว่าพวกเขา จงแสดงความชื่นชมต่อเขาในด้านการ เป็นเสาหลักขององค์การ และจงรับฟังเมื่อพวกเขาถ่ายทอดประสบการณ์ในอดีต การต่อสู้ ความพากเพียรในการทำงานจน ผ่านพ้นความยากลำบากมาได้ เพราะสิ่งนั้นคือ สิ่งที่คนรุ่นหลังไม่มี และไม่รู้จัก อย่ามองว่า..กลุ่มลายครามคือ หมาล่าเนื้อไม่มีที่ไป แต่การที่พวกเขาทำงานอยู่จนถึงวัยเกษียณนั้น เป็นเพราะพวกเขา เชื่อในคุณค่าของความมั่นคง และถือความซื่อสัตย์เป็นที่สุด

ทำงานกับกลุ่ม Baby Boom
จงแสดงความนับถือ รับฟัง และเรียนรู้จากประสบการณ์ของ Baby Boom แล้วพยายามปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าคุณจะเก่งกาจแค่ไหน หรือคุณจะประสบความสำเร็จเพียงใด คุณก็ยังต้องเรียนรู้อยู่เสมอ อย่าแสดงออกว่าการทำงานหนัก คือ การถูกเอาเปรียบ เพราะ Baby Boom ให้ความสำคัญต่อหลักการทำงาน ยึดถือวัฒนธรรมองค์การ และเห็นคุณค่าต่อการทำงานอย่างทุ่มเท หากต้องทำงานใน องค์กรใหญ่ ๆ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ซึ่งบริหารงานโดย Baby Boom ควรพยายามเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรเสียก่อนว่ามีการเจริญเติบโตมาอย่างไร ก่อนที่จะเสนอความคิดริเริ่มเพื่อการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แก่ Baby Boom

ทำ งานกับกลุ่ม Generation–X
ต้อง พูดให้กระชับ ชัดเจนและไม่อ้อมค้อม เพราะ Generation–X ชอบความตรงไปตรงมา คุณสามารถใช้ Email กลับคนกลุ่มนี้ได้ หากคุณสามารถสื่อสารได้ใจความและตรงเป้าหมาย หากเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ ควรพูดต่อหน้าเพราะ Generation–X ไม่ชอบถูกบงการ ผู้ใหญ่แค่ให้นโยบายกว้าง ๆ เปิดโอกาสให้เขาได้แก้ปัญหาเองจะดีที่สุด
ส่วน Baby Boom ควรลดความคาดหวังต่อ Generation–X ในการทำงานหนัก อย่างหนักโดยไม่มีวันหยุด หรือก้าวไปอย่างช้า ๆ อย่างรุ่นตน เพราะ Generation–X ต้องการชีวิตที่สมดุล ไม่ชอบการอยู่ติดที่

ทำ งานกับกลุ่ม Millennium
ลองท้าทายพวกเขาด้วยภารกิจใหม่ ๆ Millennium จะชอบความเป็นคนสำคัญ การเพิ่มความรับผิดชอบ เสมือนการให้คำชม จงเปิดโอกาสให้ Millennium ได้แสดงความคิดเห็นของเขา เห็นพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในทีม ผู้ใหญ่ที่ยอมรับความคิดเขา ก็จะได้รับการยอมรับจากพวกเขาเช่นกัน Millennium ชอบให้คุณแสดงออกต่อสิ่งที่พวกเขาทำทุกขณะจิต เพราะความรู้สึกและความคิด เห็นของเพื่อนร่วมงาน มีผลต่อพวกเขามาก

แค่เข้า ใจ..ทุกอย่างก็ลงตัว

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

แผนการจ่ายค่าตอบแทน MLM

แผนการจ่ายค่าตอบแทน MLM หรือที่เรียกว่า Compensation Plan หรือที่นิยมเรียกกันว่า แผนการตลาดขายตรง ถือเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่ง ที่ส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จ ความล้มเหลว การเติบโตและความยั่งยืนของบริษัท MLM โดยทั่วไป ระบบขายตรงหลายชั้น หรือระบบ MLM นั้นมีลักษณะที่สำคัญซึ่งทำให้ระบบเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็คือ การที่ผู้จำหน่ายอิสระได้รับค่าตอบแทนจากยอดขายโดยตรงของตนเองแล้ว นอกจากนี้ยังได้รับค่าตอบแทน หรือที่เรียกว่า Override จากยอดขายของผู้จำหน่ายอิสระที่ตนเองได้แนะนำให้เข้าร่วมธุรกิจและผู้จำหน่ายอิสระที่เป็นดาวน์ไลน์ต่อๆลงไปด้วย จุดนี้นี่เองที่เป็นการเปลี่ยนแนวความคิดจากการที่ผู้จำหน่ายอิสระจะต้องแย่งกันขายให้แก่ลูกค้า มาเป็นการช่วยกันขายเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างอัพไลน์และดาวน์ไลน์ และยังช่วยกันแนะนำให้ลูกค้าที่ใช้สินค้าเข้ามาร่วมธุรกิจเป็นผู้จำหน่ายอิสระต่อในสายงานของตนต่อไปอีกด้วย



วัตถุประสงค์หลักของแผนการจ่ายค่าตอบแทนก็เพื่อใช้เป็นนโยบายในการจ่ายค่าตอบแทนอย่างยุติธรรมให้แก่ผู้จำหน่ายอิสระ สมาชิกหรือบุคคลใดที่ได้ดำเนินกิจกรรมที่ทำให้เกิดยอดขาย และก่อให้เกิดการเจริญเติบโตของบริษัท MLM และการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายอิสระ โดยที่กิจกรรมที่ได้กล่าวแล้วนั้นจะเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนแก่บริษัทและเครือข่ายผู้จำหน่ายอิสระอย่างสมดุลและยุติธรรม



มีคำถามมากมายเกี่ยวกับแผนการจ่ายค่าตอบแทน ผู้คนอาจจะอยากทราบว่าแผนแบบใดเป็นแผนที่ดีที่สุด คำตอบก็คงเป็นคำตอบที่ตอบยากที่สุดเช่นกัน เพราะแต่ละแผนก็จะมีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ดี ลักษณะหรือรูปแบบของแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่สามารถสังเกตได้จากแผนต่างๆที่พิจารณาแล้วว่าประสบความสำเร็จ สามารถนำมาสรุปเป็นหลักการกว้างๆที่เป็นปัจจัยหลักๆที่เป็นองค์ประกอบของแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่ประสบความสำเร็จ เพื่อให้ท่านผู้อ่านทราบถึงหลักการในการวิเคราะห์แผนการจ่ายค่าตอบแทนที่จะนำท่านไปสู่ความสำเร็จได้



เป้าหมายหลักของแผนการจ่ายค่าตอบแทนคือการจ่ายค่าตอบแทนให้กับการดำเนินกิจกรรมต่อไปนี้คือ 1) การขายสินค้าแก่ผู้บริโภค (Sell) 2) การสร้างเครือข่ายผู้จำหน่ายอิสระ (Recruit) 3) การสร้างผู้ฝึกอบรม (Build Trainers) 4) การสร้างนักบริหารการขาย (Build Top Sales Executives) 5) การรักษาให้ผู้จำหน่ายอิสระที่ดีให้อยู่กับบริษัทได้อย่างยั่งยืน (Keep Good Distributors)



การจ่ายค่าตอบแทนให้กับการขายสินค้าแก่ผู้บริโภค (Sell) เป็นการจ่ายค่าตอบแทนแก่กระบวนการหลักในการผลักดันสินค้าจากบริษัทไปสู่ผู้บริโภค หากไม่มีการขายสินค้าแล้ว ระบบ MLM ก็จะไม่เป็นระบบที่เหมาะสม (ควรตั้งข้อสงสัยว่าน่าจะเป็นแชร์ลูกโซ่ได้) โดยปกติกำไรจากการขายปลีกจะเป็น 25 % ของราคาขายปลีก หรือเป็น 33 % ของราคาขายส่ง หากสินค้าของท่านเป็นสินค้าที่มีสินค้าแข่งขันกันอยู่ในตลาด การตั้งราคาที่เหมาะสมก็เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง การกำหนดราคาที่สูงมากๆทำได้ในกรณีที่สินค้าของท่านเป็นสินค้าที่มีนวัตกรรม ยังไม่มีสินค้าทดแทนหรือคู่แข่งอยู่ในตลาด อย่างไรก็ดี การบังคับให้ผู้จำหน่ายอิสระต้องซื้อสินค้าเก็บไว้จำนวนมากๆ เพื่อให้ได้ผลประโยชน์จากผลต่างเพิ่มมากขึ้นนั้นทำได้ แต่ต้องสมเหตุสมผล คือบริษัทต้องไม่บังคับให้ซื้อสินค้าที่ขายไม่ออก มิฉะนั้นโอกาสที่จะทำให้บริษัทไปไม่รอดก็จะสูงไปด้วย เพราะผู้จำหน่ายอิสระ ก็ขายของไม่ออกด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อผู้จำหน่ายอิสระขายของไม่ได้ บริษัทก็อยู่ยาก ดังนั้นบริษัทจึงควรจะจ่ายค่าตอบแทนสำหรับกิจกรรมในการขายสินค้าแก่ผู้บริโภคอย่างเหมาะสม



การจ่ายค่าตอบแทนให้กับการสร้างเครือข่ายผู้จำหน่ายอิสระ (Recruit) เป็นการจ่ายค่าตอบแทนสำหรับกิจกรรมหัวใจหลักในการขยายจำนวนผู้จำหน่ายอิสระ หรือการขยายทีมงาน การจ่ายค่าตอบแทนทำได้โดยการจ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายของกลุ่มหรือยอดทีมใต้สายงานลงไป เพราะถ้าผู้จำหน่ายอิสระสร้างทีมงานเพิ่มมากขึ้นยอดขายของกลุ่มหรือทีมงานใต้สายงานของเขาก็จะมากขึ้นด้วยส่งผลให้ยอดคอมมิชชั่นของผู้จำหน่ายอิสระคนนั้นมากขึ้นตามไปด้วย



การสปอนเซอร์ การแนะนำ การสร้างทีมงานหรือการบอกต่อนั้น ในระยะเริ่ม 7 วันแรกนั้นผู้ที่สมัครเข้ามาใหม่จะรู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสทางธุรกิจที่รออยู่ข้างหน้าอย่างมาก มีความกระตือรือร้นที่จะทำงานหรือหาสายงานเพิ่ม หากผู้สมัครเป็นผู้จำหน่ายอิสระใหม่สามารถสร้างทีมงานเพิ่มได้ในช่วงนี้ก็จะทำให้การสร้างทีมงานเติมโตอย่างมาก เพราะยังมีความรู้สึกที่ดีอยู่มาก



หากผ่านระยะเวลาไป 1 เดือนผู้สมัครเป็นผู้จำหน่ายอิสระใหม่ยังไม่สามารถสร้างสายงานของตัวเองได้ก็ยังคงมีความหวังอยู่บ้าง แม้จะไม่ตื่นเต้นเหมือนช่วงแรกแต่ก็ยังไม่หมดไฟ



หากผ่านระยะเวลาไป 2 เดือนหรือมากกว่า ผู้สมัครเป็นผู้จำหน่ายอิสระใหม่ยังไม่สามารถสร้างสายงานของตัวเองได้ ไปแนะนำใครก็ไม่มีใครสมัครเข้ามาเลย ความหวังก็คงริบหรี่เต็มที ถ้าไม่มีการกระตุ้นไฟก็คงหมด



ดังนั้นแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่ดีควรจ่ายให้แก่การแนะนำผู้จำหน่ายอิสระใหม่ๆให้ได้ในระยะที่เร็วที่สุดเพื่อให้สามารถรักษาความกระตือรือร้น และความสนใจในการสร้างสายงานของผู้จำหน่ายอิสระใหม่ให้มีความหวัง จึงเป็นการจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องจ่ายค่าตอบแทนสำหรับการแนะนะผู้แทนจำหน่ายอิสระรายใหม่ให้เร็วเมื่อเขาทำงานได้ตามเป้าหมายที่เป็นไปได้ (ไม่ยากจนเกินไป)ในระยะแรก เพื่อให้เขาเหล่านั้นสามารถความเติมโตของทีมงานของเขา นั่นก็หมายความถึงการเติมโตของบริษัทด้วยเช่นกัน



การจ่ายค่าตอบแทนให้กับการสร้างผู้ฝึกอบรม (Build Trainers) การสร้างผู้ฝึกอบรมคือการสร้างผู้แทนจำหน่ายอิสระที่สามารถฝึกอบรมเทคนิคการขายและเทคนิคการแนะนำ สปอนเซอร์ที่ดีให้แก่ผู้จำหน่ายอิสระใหม่ที่สมัครเข้ามาร่วมธุรกิจ หรือเป็นการเพิ่มพูนความรู้ความสามารถให้กับผู้จำหน่ายอิสระเก่าก็ได้ การเพิ่มความสามารถให้แก่ผู้แทนจำหน่ายอิสระเหล่านั้นให้สามารถทำงานซ้ำๆ โดยใช้เทคนิคที่เหมาะสมในการขยายสายงานและขายสินค้า เป็นการสร้างความเติบโตแก่ทีมงานโดยรวม



ดังนั้นการจ่ายค่าตอบแทนให้กับกิจกรรมการสร้างผู้ฝึกอบรมนั้น ควรจ่ายให้กับผู้แทนจำหน่ายจากยอดขายกลุ่มของเขาและจำนวนทีมงานที่เขาสามารถแนะนำเข้ามาใหม่ หรือทั้งสองอย่างก็ได้



การจ่ายค่าตอบแทนให้กับการสร้างนักบริหารการขาย (Build Top Sales Executives) เมื่อผู้แทนจำหน่ายที่เป็นลูกทีมนั้นสามารถสร้างสายงานและมีรายได้พอสมควรแล้ว ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะสร้างให้ลูกทีมในสายงานเหล่านั้นเติบโตและสร้างสรรค์ผลงานให้ได้เต็มศักยภาพของพวกเขาโดยการสนับสนุนให้เขาเหล่านั้นเติบโตยิ่งขึ้นไปอีก โดยการสอนเทคนิคการบริหารบุคคล บริหารทางการเงิน รวมถึงเทคนิคและแนวความคิดอื่นๆที่จำเป็นต่อการเติมโตขององค์กรด้วย การจ่ายค่าตอบแทนให้กับการสร้างผู้บริหารระดับสูงที่เก่ง มีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อจูงใจให้ผู้จำหน่ายอิสระที่เก่งๆพยายามถ่ายทอดความรู้ของพวกเขาไปยังผู้จำหน่ายอิสระที่เป็นลูกทีมของเขาอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้เกิดกรณีที่พบบ่อยๆ คือสร้างให้เก่งแล้วก็ไม่ได้อะไร หรือสร้างให้เก่งแล้วก็หลุดไป



การรักษาให้ผู้จำหน่ายอิสระที่ดีให้อยู่กับบริษัทได้อย่างยั่งยืน (Keep Good Distributors) เป็นกิจกรรมที่สำคัญมาก ความยั่งยืนปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ผู้จำหน่ายอิสระที่เก่งๆมองหา เพราะเขาเหล่านั้นรู้ว่ามันไม่สนุกนักในการต้องไปเริ่มต้นทำสายงานใหม่อยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้ว่าจะมีลูกทีมที่เชื่อมั่นในความสามารถของแม่ทีมเก่งๆเหล่านั้นอยู่ แต่การเริ่มต้นใหม่ก็ยังเหนื่อยอยู่ดี การรักษาผู้จำหน่ายอิสระให้ยั่งยืนอยู่กับบริษัทได้ ก็ขึ้นอยู่กับการจ่ายค่าตอบแทนที่ยุติธรรม เหมาะสม และสามารถจ่ายได้อย่างยั่งยืน ไม่จ่ายเกินที่กำหนด ไม่ Over-pay ดังนั้นระบบจึงควรมีการรองรับการจ่ายค่าตอบแทนที่ยั่งยืนไว้ตั้งแต่เริ่มต้นก็จะเป็นสิ่งที่ควรทำมากที่สุด



หลักการอื่นๆที่สำคัญที่ควรคำนึงถึงเกี่ยวกับแผนการจ่ายค่าตอบแทน คือ ความง่าย และการไม่เปลี่ยนแผนบ่อย ความง่ายของแผนการจ่ายค่าตอบแทน เป็นสิ่งที่ทำให้การสื่อสารในเรื่องแผนง่ายไปด้วย บางบริษัทที่ใช้แผนที่สลับซับซ้อนมากๆ บางครั้งดูดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ส่วนใหญ่มักจะมีอะไรซ้อนอยู่ การอธิบายให้ผู้มุ่งหวังที่เราจะชัดชวนเข้ามาร่วมธุรกิจก็ทำได้ยาก จึงจำเป็นต้องใช้แผนที่ง่าย เข้าใจง่าย อธิบายง่าย ไม่ซับซ้อน จะดีกว่า



การเปลี่ยนแผนบ่อย ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้บริษัท MLM ดูไม่เป็นมืออาชีพ หรืออาจจะมองได้ว่าไม่ได้คิดให้รอบครอบมาก่อน ผู้แทนจำหน่ายอิสระหรือสมาชิกจะมีความรู้สึกไม่มั่นคง เพราะไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแผนอีกเมื่อไร แล้วจะกระทบกับผลประโยชน์ที่ควรจะได้หรือไม่ อันนี้เป็นเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บริษัท MLM ไม่ประสบความสำเร็จได้



แผนการจ่ายค่าตอบแทนมีลักษณะที่สำคัญ คือต้องมีทั้งความกว้างและความลึก ความกว้างนี้เป็นลักษณะของแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่ได้จากการขายสินค้าของผู้แทนจำหน่ายอิสระเองและการแนะนำผู้จำหน่ายอิสระใหม่ด้วยตัวเอง พูดง่ายๆว่าเป็นการขายเองและสปอนเซอร์ด้วยตัวเอง เป็นการขยายทีมงานในแนวกว้าง ซึ่งเป็นลักษณะของนักขาย

ความลึกเป็นลักษณะของแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่มีการการช่วยเหลือกัน และการสนับสนุนกันในทางลึกเพื่อทำให้เกิดรายได้จากยอดขายที่อยู่ลึกลงไปจากเรา และทำให้เกิดการช่วยเหลือกันทำงาน เป็นการสร้างผู้นำที่สามารถฝึกอบรมผู้แทนจำหน่ายอื่นๆ โดยการต่อสายงานให้กับลูกทีม แผนที่มีลักษณะแบบนี้คือแผนที่มีโครงสร้างองค์กรเป็นแบบจำกัดลูกทีมติดตัว หรือ Forced Matrix นั้นเอง ซึ่งทำให้เกิดการช่วยเหลือและสนับสนุนซึ่งกันและกันทำให้เครือข่ายขยาย และเติบโตได้ดี เพราะระบบจำกัดจำนวนผู้ที่จะนำมาติดตัว จึงเป็นการบังคับให้ผู้แทนจำหน่ายที่เราแนะนำมาแล้วเมื่อมีลูกทีมติดตัวเกินจำนวนที่กำหนดเราต้องนำไปต่อให้กับลูกทีมของเราลงไปข้างล่าง ซึ่งเป็นการช่วยเหลือลูกทีมเราไปในตัว



แผนการจ่ายค่าตอบแทนที่พบในตลาด MLM นั้นมีแบบหลักๆ คือ 1) แผนเมทริกซ์ (แผนเน็ตเวิร์ก หรือยูนิเลเวล) 2) แผนไบนารี่ 3) แผนไตรนารี่ 4) แผนสแตร์สเต็ปเบรกอะเวย์ 5) แมทชิ่งโบนัส และ 6) กองทุนต่างๆ



แผนเมทริกซ์ Matrix Plan หรือแผนเน็ตเวิร์ก Network Plan หรือยูนิเลเวล Unilevel Plan เป็นแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่เก่าแก่แผนหนึ่ง เป็นแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่จ่ายค่าตอบแทนเป็นจำนวนร้อยละของยอดขายหรือคะแนนในแต่ละชั้น ซึ่งจำกัดจำนวนชั้นที่จะจ่ายให้ลึกตามที่กำหนด หากไม่จำกัดจำนวนลูกทีมในชั้นที่หนึ่ง (หรือลูกทีมติดตัว หรือเรียกว่า Front line) เราเรียกว่า Unforced matrix คือเน็ตเวิร์กที่ไม่จำกัดจำนวนลูกทีมติดตัว (Front line) หรือที่เรียกว่า ยูนิเลเวล



แผนเมทริกซ์อีกแบบหนึ่ง ซึ่งจำกัดจำนวนลูกทีมติดตัว ที่เรียกว่า Forced Matrix เป็นแผนที่จ่ายค่าตอบแทนเป็นชั้นๆ โดยจำกัดจำนวนลูกทีมติดตัว หรือ Front line ตามจำนวนที่กำหนด เช่น มีลูกทีมติดตัวได้ไม่เกิน 5 คน เมื่อเราได้แนะนำผู้แทนจำหน่ายอิสระเข้ามาเป็นลูกทีมเราได้ครบ 5 คนแล้ว เมื่อแนะนำคนต่อไปก็จะไม่สามารถต่อติดตัวเราได้อีก ต้องนำไปต่อในชั้นที่ 2 ซึ่งก็จะเป็นลูกทีมของลูกทีมของเราอีกทีหนึ่ง เราเรียกลักษณะการต่อสายงานแบบนี้ว่า การล้นชั้น หรือ Spill over ตัวอย่างของแผนเมทริกซ์แบบ 5x10 ก็คือมีลูกทีมติดตัวได้สูงสุด 5 คนและมีรายได้ลึกลงไป 10 ชั้น



การ Roll-Up เป็นลักษณะการคำนวนอันหนึ่งของแผนเมทริกซ์ ซึ่งมีประโยชน์ในกรณีที่ลูกทีมบางคนไม่ทำงานหรือไม่ซื้อสินค้าให้มีคะแนนเพื่อรักษาคุณสมบัติในการรับคอมมิชชั่นหรือโบนัส (Commission Qualifying) อัพไลน์หรือแม่ทีมจะสูญเสียโอกาสในการได้รับคอมมิชชั่นจากลูกทีมคนนี้ เพราะเขาไม่ได้ซื้อสินค้า การโรลอัพนั้นเป็นการดึงเอาลูกทีมคนถัดลงไปในสายงานขึ้นมาให้อยู่ในชั้นเดียวกับลูกทีมที่ไม่ได้รักษายอด



จำนวนชั้นและเปอร์เซ็นต์ที่ผู้แทนจำหน่ายอิสระจะได้รับผลประโยชน์ตามแผนเมทริกซ์อาจเป็นแบบ ตายตัว หรือแบบปรับตามตำแหน่ง หรือปรับตามยอดคะแนน ก็ได้ ทั้งนี้การปรับจำนวนชั้นและเปอร์เซ็นต์ที่จ่ายตามตำแหน่งหรือตามยอดคะแนนที่ซื้อในรอบนั้น ก็เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้แทนจำหน่ายอิสระทำงานให้มากขึ้นเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากขึ้นไปด้วย



แผนไบนารี่ Binary Plan เป็นแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่ได้รับความนิยมมากแผนหนึ่ง มีโครงสร้างที่กำหนดให้ผู้แทนจำหน่ายอิสระมีลูกทีมติดได้ไม่เกิน 2 คน ดังนั้นหากผู้แทนจำหน่ายอิสระแนะนำสมาชิกใหม่คนที่ 3 เข้ามาก็จะต้องนำไปต่อให้กับลูกทีมคนใดคนหนึ่งในชั้นลึกลงไป จึงมีลักษณะ Spill Over ซึ่งเป็นการช่วยเหลือให้ลูกทีมมีสายงานเพิ่มขึ้นด้วย ลูกทีมที่ติดตัวทั้งสองคนนั้นคนหนึ่งอยู่ด้านซ้าย และอีกคนหนึ่งอยู่ด้านขวา บางครั้งจะเรียกว่าทีมซ้ายและทีมขวาก็ได้ โดยปกติการให้ค่าตอบแทนจะนับคะแนนทีมซ้ายและทีมขวามาจับคู่ในจำนวนที่เท่าๆกัน (หรือที่เรียกว่า Balanced Legs) แล้วคิดให้เป็นเปอร์เซ็นต์จากจำนวนคะแนน



การจ่ายค่าตอบแทนตามแผนไบนารี่นั้นมีลักษณะที่แบ่งออกได้เป็น แบบที่บังคับโครงสร้าง และแบบที่ไม่บังคับโครงสร้าง



แผนไบนารี่แบบบังคับโครงสร้างนั้นเป็นแบบที่กำหนดโครงสร้างลักษณะต่างๆไว้เมื่อผู้แทนจำหน่ายอิสระสามารถสร้างทีมงานได้ตามโครงสร้างที่กำหนดก็จะได้ค่าตอบแทนตามที่กำหนดไว้ในแผน เช่น หากสามารถสร้างทีมงานให้ได้ในชั้นที่ 4 และมีจำนวนลูกทีมที่อยู่ในทีมซ้ายและทีมขวาทีมละ 2 คน จะได้ค่าตอบแทน 1000 บาทเป็นต้น แผนแบบนี้อาจจะมีการเก็บคะแนนไว้ให้ตามโครงสร้างที่ทำได้ และไม่มีการตัดทิ้งคะแนนที่ได้เก็บไว้ให้แล้ว



แผนไบนารี่แบบไม่บังคับโครงสร้าง เป็นแบบที่ไม่กำหนดโครงสร้างที่จำเป็นต้องทำให้ได้คุณสมบัติ หรือกำหนดไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วให้มีการจับคู่หรือนับคะแนนที่เท่ากันของทีมซ้ายและทีมขวา โดยมีโควต้าให้ในแต่ละรอบการคำนวณจะนับคู่หรือนับคะแนนให้ได้ไม่เกินจำนวนที่กำหนดไว้ในแผน คะแนนส่วนที่เกินในรอบการคำนวณนั้นๆ ก็จะถูกตัดทิ้งไป การตัดคะแนนทิ้งเรียกว่า Flush



แผนไบนารี่แบบ Weak – Strong เป็นแบบที่ไม่บังคับโครงสร้างเช่นกัน นับคะแนนจากทีมซ้ายและทีมขวา ทีมใดมีคะแนนมากกว่าในรอบการคำนวนนั้น ก็จะเรียกว่า ทีมแข็ง หรือ Strong Team และทีมใดที่มีคะแนนน้อยกว่าก็จะเรียกว่า Weak Team ในกรณีที่คะแนนเท่ากันทั้งสองทีมเราก็สามารถให้ทีมใดก็ได้เป็น Strong Team และ ทีมใดก็ได้เป็น Weak Team การจ่ายค่าตอบแทนก็จะจ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดขายทีมอ่อน แล้วนำคะแนนทีมอ่อนมาหัก คะแนนทีมแข็งออกไป เก็บคะแนนส่วนที่เหลือของทีมแข็งไว้ให้ก็ได้



การคิดคะแนนในระบบการคำนวณแบบไบนารี่นั้นอาจคิดจากยอด PV ของแต่ละทีม คือคิดเป็น PV หรือจะคิดเป็นจำนวนผู้แทนจำหน่ายอิสระ (จำนวนรหัส) ที่ครบตามคุณสมบัติต่างๆที่กำหนดไว้ก็ได้



แผนไบนารี่อีกลักษณะหนึ่งที่เป็นที่นิยมมากคือระบบ ที่มี Top-up หรือ Upgrade หรือที่เรียกว่าการเพิ่มจำนวนคู่หรือจำนวนคะแนนสูงสุดที่จะจับคู่ให้ได้ในแต่ละรอบการคำนวณ เช่นโดยปกติการคำนวณธรรมดาอาจจะคิดให้ 5 คู่ในแต่ละรอบการคำนวณ หากผู้แทนจำหน่ายอิสระซื้อสินค้าเพิ่มเพื่อขึ้นตำแหน่งก็จะมีสิทธิในการจับคู่ในแต่ละรอบการคำนวณเป็น 10 คู่ต่อรอบการคำนวณ เป็นต้น



แผนไตรนารี่ Trinary Plan เป็นแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นที่นิยมมากเช่นกัน โดยที่โครงสร้างขององค์กรผู้แทนจำหน่ายอิสระนั้นจะมีการจำกัดจำนวนลูกทีมที่ติดตัวไว้เพียง 3 คน คือผู้แทนจำหน่ายอิสระใดๆจะมีลูกทีมติดตัวได้ไม่เกิน 3 คน เมื่อได้แนะนำผู้แทนจำหน่ายอิสระใหม่เข้ามาเป็นคนที่ 4 ก็จะต้องนำไปต่อให้ลูกทีมชั้นลึกลงไป จึงมีลักษณะ Spill Over ซึ่งเป็นการช่วยเหลือลูกทีม ทำให้เกิดการทำงานที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน การต่อสายงานผู้แทนจำหน่ายอิสระซึ่งเป็นลูกทีมคนแรกซึ่งอยู่ทางซ้ายมือสุด เราเรียกว่า ลูกทีมด้านซ้าย ลูกทีมที่อยู่คนถัดมา ซึ่งอยู่ตรงกลาง เราเรียกว่า ลูกทีมตรงกลาง และลูกทีมคนสุดท้ายที่อยู่ทางขวามือสุด เราเรียกว่าลูกทีมด้านขวา



การคิดค่าตอบแทนตามแผนไตรนารี่นั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกันแผนไบนารี่มาก เพียงแต่มีจำนวนทีมงานมากกว่าเท่านั้น ซึ่งจะมีลักษณะเป็นการจับคู่ตามรอบการคำนวณ (Balanced Legs) การจับคู่อาจเป็น คู่สอง ซึ่งหมายถึงการจับกันระหว่างคะแนนที่ได้จากทีมใดๆสองทีม ซึ่งอาจเป็นทีมซ้ายจับกับทีมกลาง ทีมกลางจับกับทีมขวา หรือทีมขวาจับกับทีมซ้ายก็ได้ ลักษณะการจับคู่อีกอย่างหนึ่งคือการจับคู่สาม คือการนับคะแนนหรือจำนวนรหัสจากทั้งสามทีม แล้วเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดคะแนนที่ได้เพื่อจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้กับผู้แทนอิสระ



การคิดแผนไตรนารี่นั้นเป็นได้ทั้ง แบบบังคับโครงสร้าง และไม่บังคับโครงสร้าง รวมทั้งสามารถมีลักษณะที่เป็น Top-Up หรือ Upgrade ได้ด้วยเช่นกัน



สแตร์สเตป Stair-step หรือที่เป็นที่รู้จักกันว่า แผนขั้นบันได เป็นลักษณะการคิดค่าตอบแทนให้กับผู้แทนจำหน่ายอิสระเป็นเปอร์เซ็นต์จาก ยอดคะแนนซื้อส่วนตัวและ/หรือยอดกลุ่มส่วนตัว หรือคิดเปอร์เซ็นต์ให้ตามตำแหน่งของผู้แทนจำหน่าย ณ เวลาที่คำนวณนั้น เมื่อลูกทีมได้รับผลประโยชน์เป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดคะแนนแล้ว ผู้ที่เป็นแม่ทีมจะสามารถได้รับผลประโยชน์จากยอดคะแนนเดียวกันนั้นก็ต่อเมื่อแม่ทีมมีตำแหน่งสูงกว่าลูกทีม ตัวอย่างเช่น กำหนดให้ตำแหน่งมี 3 ตำแหน่งคือ Bronze, Silver, Gold และมีผลตอบแทนของแต่ละตำแหน่งเป็นเปอร์เซ็นต์คือ 10% 20% และ 30% ตามลำดับ โครงสร้างทีมผู้แทนจำหน่ายเป็นดังนี้ นาย ก. เป็นผู้แนะนำหรือเป็นผู้สปอนเซอร์ นางสาว ข. เข้ามาร่วมธุรกิจ และ นางสาว ข. เป็นผู้แนะนำหรือเป็นผู้สปอนเซอร์ นาย ค. เข้ามาร่วมธุรกิจ และ นาย ก. มีตำแหน่งเป็น Gold 30% นางสาว ข. มีตำแหน่งเป็น Silver 20% และนาย ค. มีตำแหน่งเป็น Bronze 10% หาก นาย ค. ซื้อสินค้ามีคะแนนในรอบการคำนวณนี้เป็น 1000 คะแนน นาย ค.จะได้เงินค่าตอบแทนเป็นเงิน 1000 คะแนน x 10% = 100 บาท และ นางสาว ข. จะได้ค่าตอบแทนเป็นเงิน (1000 คะแนน x 20%) – (ค่าตอบแทนที่ได้จ่ายให้กับ นาย ค. ไปแล้ว 100 บาท) = 100 บาท และ นาย ก. จะได้ค่าตอบแทนเป็นเงิน (1000 คะแนน x 30%) – (ค่าตอบแทนที่ได้จ่ายให้กับ นาย ค. และนางสาว ข. ไปแล้ว 200 บาท) = 100 บาท นับแล้วได้จ่ายเงินค่าตอบแทนเป็นจำนวน 30% ของยอดคะแนนของผู้แทนจำหน่าย ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงที่สุดที่จะจ่ายแล้ว ก็จะไม่ต้องจ่ายให้ให้ผู้แทนจำหน่ายใดๆอีกต่อไปในสายงาน เราอาจเรียกแผนแบบนี้ตามลักษณะการคำนวณได้ว่าเป็นการจ่ายตามผลต่างของเปอร์เซ็นต์ตามตำแหน่ง หากผลต่างของเปอร์เซ็นต์ตามตำแหน่ง แม่ทีม – ลูกทีม มีค่าเป็น 0 หรือ ค่าลบ ก็จะไม่จ่ายค่าตอบแทนให้กับแม่ทีมคนนั้น ซึ่งก็หมายความว่าแม่ทีมนั้นมีตำแหน่งน้อยกว่าหรือเท่ากับลูกทีม กรณีที่ตำแหน่งหรือเปอร์เซ็นต์ของลูกทีมมากกว่าหรือเท่ากับแม่ทีมเรียกกันทั่วไปว่า ตำแหน่งชนกัน



การคิดผลต่างของเปอร์เซ็นต์หรือผลประโยชน์ที่ผู้แทนจำหน่ายจะได้รับนั้นมีวิธีคิดผลต่าง % ตามตำแหน่ง หรือ ผลต่าง % ตามยอดคะแนนของกลุ่ม ก็ได้



แผนเบรกอะเวย์ Breakaway หรือที่เรียกกันติดปากจนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของแผน Stair-step ไปแล้วนั้นแท้จริงเป็นแผน Unilevel ประเภทหนึ่ง ซึ่งคิดว่าผู้ที่มีคุณสมบัติครบคือผู้แทนจำหน่ายอิสระที่ได้ตำแหน่งสูงสุดในตารางของแผน Stair-step แล้วเท่านั้นจึงจะมีสิทธิที่จะได้รับค่าตอบแทนจากแผน breakaway นี้ โดยอาจคิดให้เป็นชั้นลึกจำกัดอาจจะเป็น 2-3 ชั้นแล้วแต่ความเหมาะสม



แผนแมทชิ่งโบนัส แท้จริงก็สามารถคิดเป็น Unilevel ชนิดหนึ่งซึ่งคะแนนที่ได้นั้นคิดจากรายได้ของลูกทีมเพื่อนำมาคิดเปอร์เซ็นต์เป็นชั้นให้กับแม่ทีมลักษณะเดียวกับ Unilevel นั่งเอง เป็นการคิดค่าตอบแทนให้แม่ทีมที่ได้ช่วยเหลือลูกทีมให้มีรายได้ ซึ่งก็จะสนับสนุนให้แม่ทีมมียอดขายมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน คือเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกัน



กองทุน Pool เป็นการคิดเปอร์เซ็นต์ของคะแนนจากยอดขายโดยรวมทั้งบริษัท แล้วนำมาแบ่งให้กับผู้ที่มีคุณสมบัติครบโดยการหารเท่ากัน หรือจะหารเป็นสัดส่วนของยอดที่ทำได้ก็ได้ การให้กองทุนนั้นเป็นการทำให้ผู้ที่ได้ทำงานให้กับองค์กรมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรระยะหนึ่งและได้สร้างผลงานให้กับองค์กรได้มากเพียงพอจำนวนหนึ่งก็จะมีสิทธิ์ได้รับเงินค่าตอบแทนจากกองทุน ในลักษณะที่เป็นการเกษียร หรือเป็นบำนาญ ก็ได้ หรือจะเป็นกองทุนเพื่อซื้อบ้าน รถยนต์ หรือกองทุนการศึกษาก็ได้ เป็นลักษณะการจ่ายค่าตอบแทนทางลึกอีกทางหนึ่ง

สินค้า MLM

สินค้าและบริการเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งของการตลาดขายตรงหลายชั้น MLM เพราะหากไม่มีสินค้าในการตลาดแบบ MLM นี้แล้ว ระบบก็จะไม่ต่างอะไรกับระบบปั้นเงินหรือนำเงินมาเล่นเป็นแชร์ลูกโซ่ โดยหลักการแล้วระบบการตลาด MLM นี้เป็นระบบการตลาดทางเลือกที่นำพาสินค้าและบริการต่างๆจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคโดยให้มีการจ่ายค่าตอบแทนในสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องและปฏิบัติหน้าที่ของตนในกระบวนการนี้อย่างยุติธรรม ดังนั้นตัวสินค้าจึงเป็นปัจจัยชี้วัดได้ว่าระบบ MLM นั้นๆเป็นระบบ MLM ที่ถูกต้องจริงๆหรือไม่

สินค้าในระบบ MLM นั้นมีมากมายหลายชนิด จริงๆแล้วสินค้าแทบทุกชนิดก็สามารถนำมาเข้าระบบ MLM ได้แทบทั้งสิ้น ตัวอย่างสินค้าที่พบบ่อยในระบบการตลาดแบบขายตรง MLM ได้แก่

อาหาร/อาหารสำเร็จรูป

•ข้าวสาร
•บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
•ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
•ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ
สมุนไพร

•โสม
•กวาวเครือ
เครื่องอุปโภค/เครื่องใช้ในครัวเรือน

•สบู่
•ยาสีฟัน
•อุปกรณ์ทำครัว
เครื่องสำอาง/อุปกรณ์เสริมความงาม

•อุปกรณ์ออกกำลังกาย
•อุปกรณ์ลดความอ้วน
•อุปกรณ์เสริมสุขภาพ
•เสื้อผ้า/เครื่องประดับ
อุปกรณ์การติดต่อสื่อสาร

•บัตรเติมเงินโทรศัพท์ระหว่างประเทศ
•Sim โทรศัพท์
การเกษตร/วัสดุและอุปกรณ์ทางการเกษตร

•ปุ๋ย และสารสกัดชีวะภาพ
พลังงาน

•อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน
รถยนต์

•อุปกรณ์รถยนต์
เครื่องใช้ไฟฟ้า

•เครื่องฟอกอากาศ
การท่องเที่ยว

•โรงแรม
•รีสอร์ท ที่พัก
•ร้านอาหาร
การศึกษา/การฝึกอบรม

•คอร์สการฝึกอบรม/การตลาด
ซอฟท์แวร์/คอมพิวเตอร์

ผลิตภัณฑ์ OTOP



การควบคุมคุณภาพสินค้าและการขอ อย.

สำหรับสินค้าที่เป็นสินค้าทั่วไปนั้นการควบคุมและคุ้มครองผู้บริโภคนั้นเป็นหน้าที่ของ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สคบ. (http://www.ocpb.go.th) แต่สำหรับอาหาร ยา เครื่องสำอาง วัตถุอันตราย เครื่องมือแพทย์ นั้นจำเป็นต้องการขอ อย. (http://www.fda.moph.go.th) ซึ่งสามารถติดต่อได้ที่
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
88/24 ถนนติวานนท์
อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000
โทรศัพท์ 0-2590-7000
หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด



การตั้งราคาสินค้า

การตั้งราคาสินค้าในระบบ MLM นั้น โดยทั่วไปแล้วก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการตั้งราคาสินค้าสำหรับระบบการตลาดปกติทั่วไป คือคิดต้นทุน กำไร ค่าดำเนินการ การขนส่ง ค่าเก็บรักษาระหว่างการจำหน่าย และค่าการตลาด ฯลฯ การคิดราคาสินค้าในระบบ MLM นั้นก็เช่นเดียวกันกับการตั้งราคาสินค้าทั่วไป สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือจะมีคะแนนหรือที่นิยมเรียกกันว่า PV (ย่อมาจาก Personal Volume หรือยอดขายของผู้จำหน่ายอิสระ) สำหรับใช้ในการคิดค่าตอบแทนตามแผนการจ่ายค่าตอบแทน (หรือเรียกว่าแผนการตลาดนั่นเอง) ดังนั้นสินค้าในระบบ MLM นั้นจะมี PV น้อยกว่าราคาขายให้กับผู้แทนจำหน่ายอิสระ

องค์ประกอบของราคาสินค้าในระบบ MLM นั้นแบ่งออกเป็น 3 ส่วนดังนี้คือ 1) ส่วนต้นทุนและกำไร 2) ส่วนค่าดำเนินการต่าง และ 3) ส่วนคะแนน หรือ PV

ส่วนที่เป็นต้นทุนและกำไรของบริษัทผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการธุรกิจขายตรง นั้นจะแยกออกมาอย่างชัดเจนผู้ประกอบการจะมีรายได้จากส่วนนี้

ส่วนที่เป็นค่าดำเนินการนั้นอาจเป็นค่าขนส่ง หีบห่อ ค่าติดตั้งอุปกรณ์ และอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการจะต้องใช้ในการจัดส่งและติดตั้งสินค้าให้กับผู้บริโภคหรือผู้จำหน่ายอิสระ ส่วนนี้อาจจะแยกออกจากราคาสินค้าอย่างชัดเจนก็ได้

ส่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับราคาสินค้าในระบบขายตรง MLM นั้นก็คือ คะแนน หรือ PV นั่นเอง ส่วนนี้เองที่จะใช้ในการคำนวณการจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้จำหน่ายอิสระตามแผนการจ่ายค่าตอบแทน (แผนการตลาด)

การตั้งค่าคะแนนหรือ PV ไว้สูงก็เพื่อที่จะได้ตอบแทนผู้จำหน่ายอิสระได้สูง ซึ่งเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งในการจูงใจกระตุ้นให้ผู้จำหน่ายอิสระสร้างยอดขายได้สูงไปด้วย แต่ถ้าหากตั้งค่า PV ไว้สูงมากเกินไปก็จะทำให้เข้าข่าย หรือเรียกว่าเข้าใกล้ระบบแชร์ลูกโซ่มากเกินไป ก็อาจจะมีปัญหาตามมาได้ หากถูกตรวจสอบก็ได้

นอกจากคะแนน PV แล้วบริษัท MLM บางที่อาจจะมี BV หรือ Bonus Volume ซึ่งใช้ในการคำนวณแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่แตกต่างออกไปก็ได้ หรือบางที่อาจเรียกว่า CV หรือ Commissionable Volume แต่โดยทั่วไปแล้วก็หมายถึงคะแนนที่จะนำมาคิดในการคำนวณค่าตอบแทนตามแผนการตลาด หรือใช้ในการคำนวณการปรับตำแหน่งของผู้จำหน่ายอิสระก็ได้



การจัดโปรโมชั่น

การจัดโปรโมชั่นโดยปกติจะเป็นสิ่งที่บริษัททั่วไปสามารถทำได้ โดยการแถมสินค้าเช่น ซื้อ 1 แถม 1 หรือซื้อสินค้าครบจำนวน PV ที่ตั้งไว้แล้วมีการแถมสินค้าโปรโมชั่นเพิ่มให้ โดยหลักการแล้วการทำโปรโมชั่นนั้นก็จะยังคงคิดคะแนน แยกจากราคาสินค้าเช่นเดียวกับการตั้งราคา คือใช้ส่วน PV มาคำนวณคอมมิชชั่นให้ผู้จำหน่ายอิสระ



ข้อกำหนดเกี่ยวกับสินค้า

สินค้าที่จะขายในระบบ MLM นั้นเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลากตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 ดังนั้นฉลากจะต้องระบุ ชื่อประเภทหรือชนิดสินค้า ชื่อสินค้าหรือเครื่องหมายการค้า สถานที่ตั้งผู้ผลิตหรือนำเข้า แสดงขนาดหรือมิติ ปริมาตร น้ำหนัก แสดงวิธีใช้ ข้อแนะนำในการใช้ วันเดือนปีที่ผลิต ราคา และรายละเอียดสามารถดูได้จาก ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก เรื่อง ลักษณะของฉลากสินค้าที่ควบคุมฉลาก พ.ศ. 2541



การคืนสินค้า

การคืนหรือเปลี่ยนสินค้าตามที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้กำหนดไว้นั้น ถ้าเป็นผู้บริโภคจะสามารถคืนหรือเปลี่ยนสินค้าได้ภายใน 7 วันนับจากวันที่รับสินค้าและผู้ประกอบการจะคืนเงินเต็มจำนวนที่ผู้บริโภคจ่ายภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือขอคืนสินค้า และหากเป็นจำหน่ายอิสระจะคืนสินค้าได้ภายใน 30 วันนับจากวันที่รับสินค้า และผู้ประกอบการจะซื้อคืนเต็มราคาที่ผู้จำหน่ายอิสระได้จ่าย ภายในระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ผู้จำหน่ายอิสระใช้สิทธิคืน

ระบบการตลาด MLM

ระบบการตลาด MLM เป็นกลไกทางการตลาดที่อาศัยกลไกของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (Laissez-Faire หรือ Capitalism) ซึ่งเป็นระบบที่ให้เสรีภาพแก่ภาคเอกชน ในการประกอบธุรกิจ ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ สามารถมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ปัจจัยการผลิต สามารถเลือกอุปโภคบริโภคสินค้า และบริการต่างๆได้อย่างเสรี ใช้ระบบการแข่งขันอย่างเสรี ใช้กลไกตลาดในการกำหนดราคา และจัดสรรทรัพยากรต่าง โดยภาครัฐเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม

ในระบบทุนนิยมนั้นจะอาศัยกลไกตลาดในการกระจายสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค โดยเริ่มจากผู้ผลิตจัดหาวัตถุดิบเพื่อการผลิตสินค้า ดำเนินการผลิตสินค้า และบรรจุหีบห่อพร้อมสำหรับการจัดส่ง การขายสินค้านั้นจำเป็นต้องสื่อสารให้ผู้บริโภครู้จักสินค้านั้นและเลือกซื้อสินค้านั้นไปใช้ ดังนั้นการกระจายสินค้าไปสู่ผู้บริโภคจึงเกี่ยวข้องกับการตลาด การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การกระจายสินค้า การหาตัวแทนจำหน่าย การจัดจำหน่ายไปตามช่องทางที่ผู้บริโภคจะสามารถเข้าถึงและซื้อสินค้านั้นได้สะดวก การตลาดแบบปกติผู้จัดจำหน่ายจะการกระจายสินค้าโดยอาศัยผู้ค้าส่ง และกระจายสินค้าต่อไปยังผู้ค้าปลีก และผู้บริโภคก็จะมาซื้อสินค้าจากผู้ค้าปลีกไปอีกต่อหนึ่ง

ผลกำไรจากการขายสินค้านั้นจะแบ่งให้กับผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก เป็นทอดๆตามสัดส่วนที่เหมาะสม และในบางครั้งยังแบ่งคืนให้กับผู้บริโภคที่ซื้อจำนวนมากๆในรูปของส่วนลดได้อีกด้วย

ระบบ MLM ใช้สมาชิกเข้ามามีบทบาทในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การหาตัวแทนจำหน่าย การกระจายสินค้า การจัดส่ง รวมถึงการเป็นผู้บริโภคเองด้วย แต่ละส่วนก็จะได้รับผลประโยชน์จากค่าตอบแทนต่างๆ ตามแผนการจ่ายค่าตอบแทน (หรือที่มักเรียกกันติดปากว่า แผนการตลาด) เนื่องจากการให้ผลประโยชน์เป็นค่าตอบแทนในการทำหน้าที่ต่างๆในระบบ MLM นั้นเป็นการจ่ายค่าตอบแทนที่จ่ายให้กับสมาชิก MLM โดยตรง หัวใจของระบบ MLM อยู่ที่หลักการในการจ่ายค่าตอบแทนที่จ่ายจากผลงานของในการทำงานของเราเอง และจากผลงานของสมาชิกที่เราแนะนำเข้ามาสู่ระบบด้วย ทำให้รายได้ของสมาชิก MLM สูงมากและไม่มีขีดจำกัด เมื่อเทียบกับการทำหน้าที่คล้ายๆกันในระบบการตลาดแบบค้าส่งแล้ว ระบบ MLM สามารถสร้างรายได้ให้กับสมาชิกได้สูงกว่ามาก จึงเป็นแรงดึงดูดที่ทำให้บริษัทต่างๆ รวมทั้งผู้บริโภคต่าง หันมาสนใจระบบ MLM กันเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

ระบบการตลาด MLM มีองค์ประกอบที่สำคัญคือ ผู้ประกอบการ สินค้า แผนการจ่ายค่าตอบแทน เครือข่ายผู้จำหน่ายอิสระ และผู้บริโภค

ผู้ประกอบการ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการเริ่มต้นระบบ MLM ผู้ประกอบการอาจเป็นนิติบุคคล หรือบุคคลก็ได้ในกรณีเริ่มต้นธุรกิจ โดยปกติผู้ประกอบการ MLM จะจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดเป็นส่วนใหญ่ การประกอบธุรกิจขายตรงนั้นผู้ประกอบการจำเป็นต้องขอจดทะเบียนประกอบธุรกิจขายตรงกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในการเริ่มต้นนั้นบริษัท MLM อาจจะประกอบด้วย ผู้บริหาร คณะกรรมการ ฝ่ายบัญชี/การเงิน ฝ่ายคลังสินค้า ฝ่ายการตลาด(เครือข่าย) บริษัท MLM ใหญ่ๆอาจมีแผนกมากกว่านี้ก็ได้ หน้าที่หลักที่จำเป็นต่อการทำงานในระบบ MLM คือการบริหารงาน การจัดหาสินค้าและการส่งสินค้า การคำนวณและการจ่ายค่าตอบแทน และการขยายสายงานสมาชิก ในการเริ่มต้นฝ่ายต่างๆของบริษัท MLM อาจทำหน้าที่หลายอย่างเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณก็ได้ ผู้บริหารเป็นหัวใจสำคัญของบริษัท MLM ผู้บริหารจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าในการบริหารงานระบบ MLM ซึ่งเป็นระบบที่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว และมีความละเอียดอ่อนกว่าระบบการตลาดแบบอื่นๆ เนื่องจากมีผู้เข้ามาเกี่ยวข้องในระบบเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะสมาชิกของบริษัท หรือผู้จำหน่ายอิสระ จำเป็นต้องเข้าใจหลักการบริหารทรัพยากรบุคคลอย่างดี สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มผู้จำหน่ายอิสระที่เป็นผู้นำ (หรือที่เรียกกันติดปากว่า แม่ทีม)

สินค้า เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับระบบ MLM สินค้าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ตัดสินว่าระบบ MLM ใดเป็นระบบขายตรงหลายชั้นที่ถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่ หากเรานำสินค้าที่ราคาถูกมากๆมาขายในระบบ MLM ในราคาที่แพงมากๆแล้วระบบ MLM ก็จะเป็นระบบที่ไม่ถูกต้อง หรือเข้าข่ายระบบลูกโซ่ หรือปิระมิด สินค้าในระบบ MLM นั้นสามารถเป็นไปได้หลากหลายตั้งแต่อาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภค ไปจนถึงการบริการต่างๆ สินค้าที่ได้รับความนิยมกันมากในระบบ MLM คือเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แม้จะไม่มีข้อกำหนดหรือข้อจำกัดใดเกี่ยวกับสินค้าที่ขายในระบบ MLM ควรเป็นสินค้าที่มีลักษณะพิเศษหรือมีลักษณะที่แตกต่างจากสินค้าประเภทเดียวกัน หากสินค้าเป็นสินค้าที่คุณภาพดีเป็นสินค้าที่ขายได้ด้วยตัวมันเอง ก็จะช่วยให้ระบบ MLM สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ผู้บริโภคจะซื้อใช้ซ้ำๆ นอกจากนั้นหากเข้ามาเป็นผู้จำหน่ายอิสระก็จะสามารถสร้างรายได้ให้ด้วย สินค้าใหม่ซึ่งยังไม่เคยมีในตลาดมาก่อน หรือสินค้านวัตกรรมนั้นเป็นสินค้าที่สามารถทำการตลาดในระบบ MLM ได้เป็นอย่างดี ระบบ MLM ใช้เป็นระบบในการแนะนำสินค้าเข้าสู่ตลาดอย่างได้เป็นอย่างดี และยังลดความเสี่ยงในการลงทุนโฆษณาสินค้าซึ่งเป็นการลงทุนที่สูง สินค้าที่เป็นสินค้ามีลิขสิทธิ์และมีสิทธิบัตรเป็นสินค้าที่ได้เปรียบในการป้องกันคู่แข่งเข้าสู่ตลาดได้ ก็เป็นสินค้าที่ใช้ระบบ MLM ได้เป็นอย่างดี

แผนการจ่ายค่าตอบแทน หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า แผนการตลาด เป็นวิธีการในการคิดค่าตอบแทนแก่สมาชิกหรือผู้จำหน่ายอิสระของบริษัท MLM จากการขายสินค้า การแนะนำสินค้า การหาสมาชิกเข้ามาร่วมธุรกิจ และการซื้อบริโภคเอง แผนการจ่ายค่าตอบแทนนั้นแบ่งได้หลายแบบเช่น ไบนารี่ ไตรนารี่ (ไตรนารี่ ซึ่งหมายความว่าเป็นเครือข่ายที่สามารถมีลูกทีมติดตัวได้ไม่เกิน 3 คน) สแตร์สเตป ยูนิเลเวล โบนัสแมทชิ่ง พูล และอื่นๆอีกมาก ซึ่งจะได้กล่าวโดยละเอียดต่อไป แผนการจ่ายค่าตอบแทนเหล่านี้ต้องสามารถจ่ายได้จริง และเป็นไปได้ ซึ่งก็หมายความว่าเมื่อคำนวณค่าตอบแทนให้กับสมาชิก MLM ทุกคนแล้ว จำนวนเงินที่จ่ายจริงไม่เกินจำนวนคะแนนทั้งหมดของระบบ หรือพูดง่ายว่ารายจ่ายที่จ่ายค่าตอบแทนให้ผู้จำหน่ายอิสระจะต้องไม่เกินรายรับของบริษัท หรือคะแนนที่กำหนด หรือรายจ่ายที่จ่ายค่าตอบแทนคิดเป็นจำนวนร้อยละที่จำกัด (คงที่) ต่อรายได้ที่บริษัทรับเข้ามา เมื่อจำนวนสมาชิกและยอดการสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น หรือที่เรียกกันว่า ต้องไม่ Over pay แผนการจ่ายค่าตอบแทนที่ดีนั้นควรมีลักษณะคือ มีรายได้จากทางความกว้าง มีรายได้จากทางลึก และมีรายได้จากโปรโมชั่นพิเศษอื่นๆอีก รายได้จากทางกว้างจะเป็นส่วนที่ช่วยผู้จำหน่ายอิสระที่ขยันสร้างรายได้จากการทำงานส่วนตัวที่เก่ง ส่วนรายได้จากทางลึกนั้นเป็นส่วนที่สนับสนุนให้สมาชิกนั้นไปช่วยสายงานของตนที่อยู่ลึกลงไปอีกเพราะเข้าจะได้รายได้ตอบแทนจากการช่วยลูกทีมในทางลึก และรายได้จากโปรโมชั่นพิเศษนั้นเป็นเหมือนตัวกระตุ้นให้สมาชิกโดยรวมให้มุ่งมั่นทำงานให้เข้าหลักเกณฑ์ในการได้รับรางวัลพิเศษนั้น

เครือข่ายผู้จำหน่ายอิสระ เป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้ระบบ MLM มีแรงดึงดูดมหาศาล และมีเสน่ห์มากกว่าระบบการตลาดแบบอื่นๆ การขยายตัวของกลุ่มผู้จำหน่ายอิสระโดยการแนะนำ ฝึกฝน อบรม ฝึกสอนวิธีการชักจูง เทคนิคการขาย การนำเสนอที่จูงใจ การเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ และหลักจิตวิทยาอื่นๆที่ช่วยให้ผุ้จำหน่ายอิสระสามารถชักชวนผู้บริโภคต่างๆให้หันเข้ามาทำหน้าที่ผู้จำหน่ายอิสระด้วยนั้นเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเติบโตของเครือข่ายอย่างมหาศาล ประกอบเข้ากับแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่ยั่งยืน เป็นธรรม เหมาะสมแล้วจะทำให้การตลาดระบบ MLM นี้ไร้เทียมทานเลยทีเดียว เพราะเป็นการแบ่งปันรายได้ ความรู้ในการทำงาน และให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี การช่วยเหลือกันก่อให้เกิดพลังมหาศาล ทำให้เกิดการเติบโตอย่างรวดเร็ว

ผู้บริโภค เป็นองค์ประกอบที่จำเป็นที่สุด หากไม่มีผู้บริโภคแล้วระบบการตลาดใดๆก็จะสิ้นสุดลงทันที ดังนั้นผู้บริโภคจะเป็นตัวกำหนดว่าการขายนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ จะมีผู้สนใจซื้อสินค้านั้นสักเท่าใด การที่บริษัท MLM ต้องหยุดกิจการไปสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้บริโภคไม่ซื้อสินค้านั้นเอง

MLM คืออะไร และประวัติ

Multi-level Marketing การตลาดแบบขายตรงหลายชั้น

MLM คืออะไร


การตลาดขายตรงหลายชั้น Multi-level Marketing หรือที่เรียกกันว่าการตลาดแบบเครือข่าย Network Marketing นั้นเป็นหลักการตลาดที่ให้ผู้คนจำนวนมากเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการกระจายสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค โดยผู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการต่างๆนั้นจะได้รับผลตอบแทนจากกิจกรรมที่ทำ เช่นแนะนำสินค้า การให้ผู้บริโภครายอื่นๆเข้ามาร่วมเป็นผู้จำหน่ายสินค้า โดยแบ่งเป็นผลตอบแทนจากการทำธุรกิจเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันไปตามเงื่อนไขของแต่ละแบบแผน ดังนั้นหน้าที่หลักในกระจายสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคตั้งแต่ การโฆษณาสินค้า หาตัวแทนจำหน่าย จัดจำหน่าย การขาย ขนส่งไปจนถึงผู้บริโภค จะมีผู้ร่วมธุรกิจเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นจำนวนมาก โดยทำหน้าที่ต่างๆกันไป ทำให้เกิดการขับเคลื่อนทางการตลาดที่มีศักยภาพสูงมากและมีความรวดเร็วในการกระจายสินค้าสูง และเป็นธุรกิจที่มีต้นทุนในการเริ่มต้นที่ต่ำอย่างไม่เคยมีมาก่อน


ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของ MLM

การขายตรงนั้นสามารถย้อนกลับไปยาวนานพอๆกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ก่อนจะมีการใช้เงินมนุษย์เราแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันโดยตรง อย่างไรก็ดีการขายในลักษณะขายตรงที่เป็นแม่แบบของการขายตรงยุคปัจจุบันนี้เริ่มมาประมาณปี 1740 โดยสองพี่น้อง Edward และ William Pattison ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องใช้จากตะกั่ว ได้ทำการเร่ขายสินค้าไปตามบ้าน (ในลักษณะการขายตรง) โดยจะเดินทางในรถลากเล็กๆบรรทุกสินค้าไปขายให้กับผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งเรียกว่า Yankee Peddler

ในปี 1868 เกิดบริษัทขายตรงที่ขายสินค้าเครื่องเทศตามบ้านและสินค้าอาหาร ชื่อ Watkins Company

ปี 1855 บริษัท Southwestern Publishing Company ตั้งขึ้นเพื่อผลิตหนังสือและคัมภีร์ไบเบิล และในปี 1868 บริษัท ปรับปรุงบริษัทให้เป็นบริษัทขายตรง โดยให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยเข้ามาเป็นตัวแทนขาย

ปี1886 บริษัท Avon เริ่มต้นบริษัทแบบขายตรง โดย David McConnel เขาได้เริ่มด้วยการขายคัมภีร์ไบเบิลและแถมตัวอย่างน้ำหอมไปตามบ้าน น้ำหอมที่แถมนั้นปรากฏว่าเป็นที่นิยมอย่างมาก จนเขาได้ก่อตั้งบริษัท California Perfume Company ซึ่งภายหลังเปลี่ยนเป็นชื่อ Avon ในปี 1939 จนกลายเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange และได้พัฒนาแผนการจ่ายผลตอบแทนให้เป็น MLM ให้ที่สุด

ระบบการขายตรงสมัยใหม่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเมื่อปี 1906 โดย Alfred Fuller ซึ่งอยู่ที่เมือง New Britain ในมลรัฐ Colorado ได้ก่อตั้งบริษัท Fuller Brush Company ซึ่งเริ่มทำการขายตรงแบบ Door-to-door ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มรูปแบบการขายตรงสมัยใหม่ ภายหลังบริษัทได้ปรับปรุงแผนการตลาดของตนให้เป็นแบบ MLM แต่ก็ไม่ประสบความสพเร็จมากนัก เพราะเหล่าสมาชิกต่างมีความเป็นนักขาย (Salespeople) มากกว่าเป็นนักขยายเครือข่าย (Recruiters)

อย่างไรก็ดีก่อนปี 1950 การขายตรงส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะ Party Plan คือการตลาดผลิตภัณฑ์โดยการจัดแสดงและเป็นเจ้าภาพในงานปาร์ตี้หรืองานทางสังคมต่างๆ โดยใช้งานสังคมต่างๆนั้นเป็นจุดแสดงและสาธิตสินค้า โดยให้ผู้ที่เข้าร่วมงานได้เห็นการสาธิตสินค้าและการทดลองสินค้าจริง แล้วก็รับรายการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าโดยตรง เพื่อจัดส่งสินค้าให้ต่อไป

ในปี 1950 เป็นยุคที่การตลาดแบบขายตรงหลายชั้นหรือการตลาดแบบเครือข่ายถือกำเนิดอย่างแท้จริง เป็นยุคที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของวงการ MLM มากมายได้ถือกำเนิดขึ้น บริษัทเหล่านี้คือ Tupperware, Shaklee, Amway และ Mary Kay

ในปี 1945 Earl Tupper เป็นผู้บุกเบิกสินค้าที่ทำจากพลาสติกที่อ่อนตัว น้ำหนักเบา ไม่แตกหักง่าย และสามารถปิดผนึกได้อย่างมิดชิด เริ่มทำตลาดโดยการขายส่งปกติ แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก ในปี 1951 เขาได้เปลี่ยนมาใช้แผน Party Plan โดยการสาธิตสินค้าตามงานปาร์ตี้ และขายสินค้าแบบขายตรง และประสบความสำเร็จอย่างสูง

ในปี 1956 Dr. Forrest Shaklee ผู้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านสารอาหาร ทำงานร่วมกับ Casimur Funk ผู้ที่ค้นพบวิตามิน ได้ก่อตั้งบริษัท Shaklee ซึ่งเป็นผู้แนะนำวิตามินเข้าไปสู่อเมริกา และได้ก่อตั้งระบบขายตรงหลายชั้นขึ้น บริษัท Shaklee เป็นยักษ์ใหญ่ของวงการวิตามินและอาหารเสริม

ในปี 1959 Rich Devos และ Jay Van Andel ได้ก่อตั้งบริษัทจัดจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายโดยใช้รูปแบบ MLM หรือการตลาดขายตรงหลายชั้น ซึ่งต่อมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน MLM ที่เป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมาก มียอดขายทั่วโลกกว่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีตัวแทนจำหน่ายอิสระเป็นล้านคนทั่วโลก ปัจจุบัน Amway ถือเป็นบริษัท MLM ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในโลก

ในปี 1963 Mary Kay Ash ซึ่งเป็นนักขายตรงจากบริษัท Stanley Home Product และบริษัทขายตรงอีกหลายบริษัท ได้ก่อตั้งบริษัท Mary Kay ซึ่งเป็นบริษัทของผู้หญิงบริษัทแรกๆของโลก Mary Kay ขายสินค้าเครื่องสำอาง ซึ่งต่อมาให้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ในปี 1975 Federal Trade Commission ของสหรัฐฯ หรือ FTC ซึ่งเป็นหน่วยงานที่คุ้มครองผู้บริโภคและคุ้มครองการแข่งขันอย่างเสรี ได้ดำเนินคดีฟ้องร้องต่อศาล กล่าวหาว่า Amway ประกอบธุรกิจแบบปิระมิดที่ผิดกฎหมาย แต่หลังจากต่อสู้กันในศาลนานถึง 4 ปี ในปี 1979 ศาลสหรัฐฯ ก็ได้ตัดสินให้ Amway ชนะคดี โดยศาลได้ตัดสินให้ แผนการจ่ายค่าตอบแทนของ Amway ซึ่งเป็นการตลาดขายตรงหลายชั้นเป็นแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่ถูกกฎหมาย ไม่ได้เป็นแบบปิระมิดซึ่งเป็นแบบที่ผิดกฎหมายสหรัฐฯ คดีดังกล่าวถึงเป็นกรณีตัวอย่างที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมขายตรงอย่างมากที่สุดในประวัติศาสตร์เลยที่เดียว หาก Amway แพ้คดีนี้ ธุรกิจ MLM ในโลกนี้อาจไม่เกิดและเจริญเติบได้อย่างทุกวันนี้ การชนะคดีของ Amway เป็นการนำทางให้บริษัท MLM ติดตามมาอีกเป็นจำนวนมาก และแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆทั่วโลก

ปัจจุบันเป็นยุคที่ MLM ได้รับการยอมรับมากขึ้นมีบริษัทจำนวนมากหันมาใช้การตลาดแบบ MLM ซึ่งเป็นช่องทางการจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพมากสามารถขยายตลาดได้อย่างรวดเร็วและมีรายได้ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ดี ปัจจุบันก็มีบริษัทที่นำวิธีการทางการตลาดแบบ MLM ไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ได้มีการแพร่ระบาดของระบบที่เรียกว่า Pyramids หรือปิระมิด หรือการตลาดลักษณะที่เป็นแบบลูกโซ่ มีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะที่หลอกลวงผู้บริโภคโดยการรับสมัครคนเข้ามาสู่ระบบ และเสียเงินเพื่อการสมัคร มากกว่าการขายสินค้า ซึ่งในบางครั้งจะทำให้เป็นระบบที่เรียกว่า การเล่นเงิน Money game ซึ่งเป็นระบบที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค

แนวโน้ม MLM ในอนาคตจะเป็นระบบที่สามารถกระจายสินค้าจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคอย่างยุติธรรม และมีการพัฒนาไปสู่ระบบ MLM ที่สมบูรณ์ คือมีทั้ง ผู้ผลิต ผู้กระจายสินค้า และผู้บริโภคอยู่ในระบบเดียวกัน สามารถสลับหน้าที่กันได้อย่างสมบูรณ์และยุติธรรม ซึ่งจะได้กล่าวอย่างละเอียดในบทต่อๆไป

10 สินค้ามาแรงสำหรับผู้ประกอบการยุคใหม

การทำธุรกิจวันนี้จะเดินตามแนวแบบเดิมๆ คงไม่ได้ เมื่อโลกเปลี่ยนไป รสนิยมของคนในสังคมก็เปลี่ยนตาม ยิ่งมีปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ปัญหาโลกร้อน ปัจจัยในการซื้อสินค้าก็เลยมีความสลับซับซ้อนกว่าในอดีตค่อนข้างมาก

เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจทำธุรกิจกับคนรุ่นใหม่ เลยมีช่องทางดีๆ สำหรับ 10 สินค้ามาแรงแห่งทศวรรษ นี้มาฝากกัน

1.สินค้าอเนกประสงค์ (All-In-One) คือสินค้าที่มีคุณสมบัติการทำงานที่หลากหลาย เช่น โทรศัพท์มือถือที่สามารถใช้เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา กล้องถ่ายรูปที่มีเครื่องเสียงในตัว ซึ่งราคาอาจจะแพงกว่าสินค้าทั่วไป แต่ด้วยคุณประโยชน์ที่หลากหลายจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่ากับการลงทุน

2.สินค้าที่ให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการประกอบ (Do it Yourself : DIY) เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องประดับที่ประกอบเองได้ โดยผู้บริโภคแต่ละคนสามารถออกแบบหรือเลือกวัสดุมาประกอบได้เองตามใจชอบ ทำให้มีรูปแบบไม่ซ้ำใคร

3.สินค้าย้อนอดีตที่ผสมผสานความทันสมัย (Retro Nova) ท่ามกลางความเจริญเติบโตของไฮเทคโนโลยีทำให้คนหันมาให้ความสำคัญกับอดีต ซึ่งสินค้าดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ด้านความทันสมัยของเทคโนโลยีแต่มีการย้อนภาพแห่งอดีต เช่น นาฬิกาที่มีรูปลักษณ์ย้อนยุคแต่กลไกเป็นไมโครชิปที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียงที่เลียนแบบวิทยุโบราณ แต่มีฟังก์ชั่นการใช้งานครบถ้วน เป็นต้น

4.สินค้าทำด้วยมือ (Handmade) เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันทำให้การผลิตสินค้าแทบไม่มีความแตกต่างกัน แต่สินค้าแฮนเมดสามารถสร้างจุดขายเฉพาะตัวได้มากกว่าสินค้าที่ผลิตครั้งละจำนวนมากๆ

5.สินค้าที่เน้นการออกแบบและบรรจุภัณฑ์ (Design & Packaging) ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งแรกที่ดึงดูดใจผู้บริโภคให้ตัด สินใจซื้อสินค้าคือรูปลักษณ์ภายนอกและบรรจุภัณฑ์ของสินค้า

6.สินค้าที่ปฏิบัติอย่างเป็นธรรม (Fair Trade) เช่นการแสดงให้เห็นว่าวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้านั้นซื้อจากเกษตรกร ในประเทศกำลังพัฒนาด้วยราคาที่เป็นธรรม อาทิ กาแฟ โกโก้ กล้วย น้ำตาล ฝ้าย น้ำผึ้ง ดอกไม้ เป็นต้น ไม่มีการกดขี่แรงงาน ไม่ใช้แรงงานเด็ก และสนับสนุนให้มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีขึ้น

7.สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Product) ผู้บริโภคจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนมากขึ้นในการเลือกซื้อสินค้าที่ใส่ใจ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถย่อยสลายหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ได้รับมาตรฐาน ISO 14000, Carbon Footprint เป็นต้น

8.สินค้าพร้อมรับประทาน (Ready-to-Eat) เนื่องจากผู้บริโภคยุคปัจจุบันต้องการความสะดวกรวดเร็ว มีความหลากหลายและอร่อย ทำให้อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารพร้อมปรุง ได้รับความนิยมอย่างมาก

9.สินค้าเพื่อสุขภาพ (Organic & Funtional Food) ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บและโรคระบาดที่รุนแรงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจกับสุขภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ผลิตโดยไม่ใช้สารเคมี หรือน้ำมันพืชที่ผลิตจากเมล็ดดอกทานตะวัน รวมทั้งตลาดเครื่องดื่มบำรุงร่างกายที่ช่วยควบคุมน้ำหนัก บำรุงสมอง ลดความเครียด ขยายความนิยมอย่างต่อเนื่อง

10.สินค้าที่คำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) ชาวยุโรปเชื่อว่า การดูแลให้สัตว์มีสวัสดิภาพที่ดีจะช่วยส่งผลให้อาหารมีคุณภาพดีตามไปด้วย ตั้งแต่วิธีการเลี้ยงที่ต้อง ไม่แออัด การขนส่งและการฆ่าที่ต้องไม่ให้สัตว์ทรมาน และไม่ให้สัตว์เกิดความตื่นตระหนก รวมถึงการห้ามใช้ยาปฏิชีวนะ บางรายการผสมในอาหารสัตว์ เป็นต้น

พระคาถาชินบัญชร (ต้นฉบับ Copy มาจากวัดระฆัง)

พระคาถาชินบัญชร
เพื่อให้เกิดอานุภาพยิ่งขึ้นก่อนเจริญภาวนาชินบัญชรตั้งนะโม 3 จบก่อน
แล้วระลึกถึง สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตะวา มารัง สะวาหะนัง
จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา
ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา
สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก เต มุนิสสะรา
สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทวิโลจะเน
สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร
หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะ ทักขิเณ
โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะวามะเก
ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะราหุโล
กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามโสตะเก
เกสะโต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโยวะปะภังกะโร
นิสินโน สิริสัมปันโน โสภีโต มุนิ ปุงคะโว
กุมาระกัสสะโป เถโร มะเหสี จิตตะวาทะโก
โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิ คุณากะโร
ปุณโณ อังคุลิมาโล จะ อุปาลี นันทะสีวะล
เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเฏ ติละกา มะมะ
เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา
เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชินโนระสา
ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา
ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะสุตตะกัง
ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง
ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง
อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา
ชินานาวะระสังยุตตา สัตตัปปาการะลังกะตา
วาตะปิตตาทิสัญชาตา พาหิรัชฌัตตุปัททะวา
อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะเตชะสา
วะเสโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร
ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะหีตะเล
สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสา สะภา
อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข
ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว
ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ
สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย
สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะปัญชะเรติ


คำแปลพระคาถาชินบัญชร

พระพุทธเจ้าและพระนราสภาทั้งหลาย ผู้ประทับนั่งแล้วบนชัยบัลลังก์ ทรงพิชิตพระยามาราธิราชผู้พรั่งพร้อมด้วยเสนาราชพาหนะแล้ว ได้เสวยอมตรสคือ อริยสัจธรรมทั้งสี่ประการ เป็นผู้นำสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นจากกิเลสและกองทุกข์

มียี่สิบแปดพระองค์ คือพระผู้ทรงพระนามว่า ตัณหังกร เป็นอาทิ พระพุทธเจ้าผู้จอมมุนี ทั้งหมดนั้น

ข้าพระพุทธเจ้าขออัญเชิญมาประดิษฐานเหนือเศียรเกล้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่บนศีรษะ พระธรรมอยู่ที่ดวงตาทั้งสอง พระสงฆ์องค์บ่อเกิดแห่งความดีทั้งปวงอยู่ที่อุระ

พระอนุรุทธะอยู่ที่ใจ พระสารีบุตรอยู่เบื้องขวา พระโมคคัลลาน์อยู่เบื้องซ้าย พระอัญญาโกณ-ฑัญญะอยู่เบื้องหลัง

พระอานนท์กับพระราหุลอยู่หูขวา พระกัสสะปะกับพระมหานามะอยู่ที่หูซ้าย

มุนีผู้ประเสริฐ คือพระโสภิตะผู้สมบูรณ์ด้วยสิริดังพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่ที่ทุกเส้นขนดลอดร่างทั้งข้างหน้าและข้างหลัง

พระเถระกุมาระกัสสะปะ ผู้แสวงบุญทรงคุณอันวิเศษ มีวาทะอันวิจิตรไพเราะจงมาประดิษฐานอยู่ที่ปากแห่งข้าพเจ้าเป็นเนืองนิตย์

พระปุณณะ พระอังคุลิมาล พระอุบาลี พระนันทะ และพระสีวะลี พระเถระทั้งห้านี้ จงปรากฏเกิดเป็นกระแจะจุณเจิมที่หน้าผาก

ส่วนพระอสีติมหาเถระที่เหลือ ผู้มีชัยและเป็นพระโอรส เป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าผู้ทรงชัย แต่ละองค์ล้วนรุ่งเรืองไพโรจน์ด้วยเดชแห่งศีล ให้ดำรงอยู่ทั่วอวัยวะน้อยใหญ่

พระรัตนสูตรอยู่เบื้องหน้า พระเมตตาสูตรอยู่เบื้องขวา พระอังคุลิมาลปริตรอยู่เบื้องซ้าย พระธชัคคะสูตรอยู่เบื้องหลัง

พระขันธปริตร ประโมรปริตร และพระอาฏานิยสูตร เป็นเครื่องกางกั้นดุจหลังคาอยู่บนนภากาศ

อนึ่ง พระชินเจ้าทั้งหลายนอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยกำลังนานาชนิด มีศิลาทิคุณอันมั่นคง คือสัตตะปราการ เป็นอาภรณ์มาตั้งล้อมเป็นกำแพงคุ้มครองเจ็ดชั้น

ด้วยเดชานุภาพแห่งพระอนันตชินเจ้า ไม่ว่าจะทำกิจการใด ๆ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเข้าอาศัยอยู่ในบัญชรแวดวงกงล้อมแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอโรคอุปัทวะทุกข์ทั้งภายนอกและภายในอันเกิดแต่โรคร้าย คือโรคลมและโรคดี เป็นต้น เป็นสมุฎฐาน จงกำจัดให้พินาศสิ้น

ขอพระมหาบุรุษผู้ทรงพระคุณอันล้ำเลิศทั้งปวงนั้น จงอภิบาล ข้าพระพุทธเจ้าผู้อยู่ในภาคพื้นท่ามกลางพระชินบัญชร ข้าพระพุทธเจ้าได้รับความคุ้มครองปกปักรักษาภายในเป็นอันดีฉะนี้แล

ข้าพระพุทธเจ้าได้รับอภิบาลด้วยคุณานุภาพแห่งสัทธรรม จึงชนะอุปัทวันตรายใด ๆ ด้วยอานุภาพแห่งพระชินะพุทธเจ้า ชนะข้าศึกศัตรูด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ชนะอันตรายทั้งปวงด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ขอข้าพระพุทธเจ้า จงได้ปฏิบัติ รักษาดำเนินไปโดยสวัสดีเป็นนิจนิรันดรเทอญ ฯ

พระคาถายันทุน ๙ ปู่อินทร์ ปกป้องจากภัยพิบัติ

สวดเฉพาะตอนเย็นเท่านั้น ปกป้องจากภัยพิบัติ ตัวคาถาเบ่งเป็น ๓ หมวด หมวดละ ๓ บทคือ ๑-๓ หมวดหนึ่ง ๔-๖ หมวดหนึ่ง และ ๗-๙ อีกหมวดนึ่ง สังเกตุเอานะครับถ้าจับทางได้ ก็ท่องง่าย จำง่าย ครับ

พระคาถายันทุน ๙ ปู่อินทร์

๑) ยันทุน นิมิตตังปัตสาวะ อันตราโย โรโค ภัยยะ ทุกขะ พะยันชาโตพระอาทิตย์ตายะ คุลีมา ตายะ หิงหะคะระ มุตตะมังสิงหะคุนุต สะระโคนัด สะระ อันโต มัดชิมะ พาหุอะนุต สะโพนโต ปาปัคคะโห ทุสสุปินังอะกันตัง พุทธานุภาเวนะวินาสะเมนตุ

๒) ยันทุนนิมิตตัง ปัตสาวะ อันตราโย โรโค ภัยยะ ทุกขะ พะยันชาโตพระจันทร์ตายะ คุลีมา ตายะ หิงหะคะระ มุตตะมังสิงหะคุนุต สะระโคนัดสะระ อันโต มัดชิมะ พาหุอะนุต สะโพนโต ปาปัคคะโห ทุสสุปินังอะกันตัง ธรรมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

๓) ยันทุนนิมิตตัง ปัตสาวะ อันตราโย โรโค ภัยยะ ทุกขะ พะยันชาโตพระอังคารตายะ คุลีมา ตายะ หิงหะคะระ มุตตะมังสิงหะคุนุต สะระโคนัด สะระ อันโต มัดชิมะ พาหุอะนุต สะโพนโต ปาปัคคะโห ทุสสุปินังอะกันตัง สังฆานุภาเวนะวินาสะเมนตุ

๔) ยันทุนนิมิตตัง ปัตสาวะ อันตราโย โรโค ภัยยะ ทุกขะ พะยันชาโตพระพุธตายะ คุลีมา ตายะ หิงหะคะระ มุตตะมังสิงหะคุนุต สะระโคนัดสะระ อันโต มัดชิมะ พาหุอะนุต สะโพนโต ปาปัคคะโห ทุสสุปินังอะกันตังพุทธานุภาเวนะวินาสะเมนตุ

๕) ยันทุนนิมิตตัง ปัตสาวะ อันตราโย โรโค ภัยยะ ทุกขะ พะยันชาโตพระพฤหัสตายะ คุลีมา ตายะ หิงหะคะระ มุตตะมังสิงหะคุนุต สะระโคนัด สะระ อันโต มัดชิมะ พาหุอะนุต สะโพนโต ปาปัคคะโห ทุสสุปินังอะกันตังธรรมานุภาเวนะวินาสะเมนตุ

๖) ยันทุนนิมิตตัง ปัตสาวะ อันตราโย โรโค ภัยยะ ทุกขะ พะยันชาโตพระศุกร์ตายะ คุลีมา ตายะ หิงหะคะระ มุตตะมังสิงหะคุนุต สะระโคนัดสะระ อันโต มัดชิมะ พาหุอะนุต สะโพนโต ปาปัคคะโห ทุสสุปินังอะกันตังสังฆานุภาเวนะวินาสะเมนตุ

๗) ยันทุนนิมิตตัง ปัตสาวะ อันตราโย โรโค ภัยยะ ทุกขะ พะยันชาโตพระเสาร์ตายะ คุลีมา ตายะ หิงหะคะระ มุตตะมังสิงหะคุนุต สะระโคนัดสะระ อันโต มัดชิมะ พาหุอะนุต สะโพนโต ปาปัคคะโห ทุสสุปินังอะกันตังพุทธานุภาเวนะวินาสะเมนตุ

๘) ยันทุนนิมิตตัง ปัตสาวะ อันตราโย โรโค ภัยยะ ทุกขะ พะยันชาโตพระเกตุตายะ คุลีมา ตายะ หิงหะคะระ มุตตะมังสิงหะคุนุต สะระโคนัดสะระ อันโตมัดชิมะ พาหุอะนุต สะโพนโต ปาปัคคะโห ทุสสุปินังอะกันตังธรรมานุภาเวนะวินาสะเมนตุ

๙) ยันทุนนิมิตตัง ปัตสาวะ อันตราโย โรโค ภัยยะ ทุกขะ พะยันชาโตพระราหูตายะ คุลีมา ตายะ หิงหะคะระ มุตตะมังสิงหะคุนุต สะระโคนัดสะระ อันโตมัดชิมะ พาหุอะนุต สะโพนโต ปาปัคคะโห ทุสสุปินังอะกันตังสังฆานุภาเวนะวินาสะเมนตุ

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

ใบอนุญาติ สคบ. บริษัท นิวต้นกล้า จำกัด ตราปูแดง

ใบทะเบียนธุรกิจบริาษัท นิวต้นกล้า จำกัด ตราปูแดง

ราคาสินค้าปูแดงใหม่

‘ปูแดง’รีเทิร์น ส่ง ‘นิว ต้นกล้า’ นำพา ‘ปูแดง ไคโตซาน’ กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

‘ปูแดง’รีเทิร์น ส่ง ‘นิว ต้นกล้า’ นำพา ‘ปูแดง ไคโตซาน’ กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

พลิกประวัติศาสตร์วงการขายตรงไทย พลังเครือข่าย ปูแดง ไคโตซานเฮ!หลังบริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด ผ่าน สคบ.ฉลุย ด้าน 3 ผู้บริหารปูแดง สมปอง-ธนาพัทธ์-ดร.วิชาญยืนยันจับมือกันแน่น พร้อมประกาศนโยบายเดิม เพิ่มผลผลิต ปลดหนี้เกษตรกรนำผลิตภัณฑ์แบรนด์เดิม ปูแดง ไคโตซานเข้ามาจำหน่ายผ่านระบบเครือข่ายขายตรง ภายใต้ชื่อบริษัทใหม่ นิว ต้นกล้าพร้อมดัน ธนาพัทธ์ กิจใบนั่งแท่นประธานกรรมการ หลัง สคบ.อนุมัติออกใบอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างเป็นทางการแล้ว

คลายข้อสงสัยและไขข้อข้องใจ กรณีบริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือปูแดง ไคโตซานหลังถูกเพิกถอนใบอนุญาตไปกว่า 3 เดือน บัดนี้ได้ส่ง บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัดกลับคืนสังเวียนธุรกิจเครือข่ายหรือขายตรงอีกครั้ง เหตุสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โดยนายนิโรธ เจริญประกอบ เลขาธิการ สคบ. ในฐานะนายทะเบียน ได้เซ็นอนุมัติออกใบอนุญาตให้ ปูแดง ไคโตซานสามารถกลับมาประกอบธุรกิจเครือข่ายขายตรงได้อีกครั้ง ภายใต้ชื่อบริษัทใหม่ นิว ต้นกล้าจนเป็นที่มาของหลากหลายประเด็นคำถาม และข้อสงสัยตามมาว่า บริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ ปูแดง ไคซานสามารถเปิดดำเนินธุรกิจเครือข่ายขายตรงใหม่อีกครั้งได้หรือไม่...อย่างไร?

คำตอบ ก็คือ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด ไม่ได้กลับมาเปิดบริษัทใหม่ แต่ทีมผู้บริหารได้เปิดบริษัทใหม่ คือ นิว ต้นกล้าตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ในหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง เพื่อบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนที่ใช้ ปูแดงฯ เกือบ 1 ล้านคน

เรื่องนี้แม้ สคบ.เองก็เห็นด้วย หลังจากได้มีการสืบเสาะระดับหนึ่งพบว่า มีประชาชนเดือดร้อนจากการถูกปิดของ บริษัท เบสท์ 59 จำกัดจริง ด้วยความเข้าใจและเห็นใจ จึงเป็นเหตุให้สคบ.ต้องหันมาทบทวนการทำงานของตนเองที่ได้ปฏิบัติ การเชือดปูแดงฯ เมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่า อาจรุนแรงเกินไป

ไขข้อข้องใจปูแดงรีเทิร์น
เปิดบริษัทใหม่นิว ต้นกล้า

ความจริงแล้ว!การเปิดบริษัทใหม่ ในนามบริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด เพื่อการประกอบธุรกิจเครือข่ายขายตรงของผู้บริหาร บริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ ปูแดง ไคโตซานที่ตกเป็นข่าวฮือฮามาแล้วนั้น ไม่ได้ผิดกติกา ไม่ได้ผิดกฎหมายขายตรงแต่อย่างใด เนื่องจากคณะผู้บริหารทั้ง 3 คน ไม่ได้เป็นผู้ลงนามในเอกสารสำคัญของบริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสินค้า และแผนตลาดที่บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด ยื่นเข้ามาจดทะเบียนใหม่กับ สคบ.แล้ว สคบ.ในฐานะนายทะเบียนได้ใช้ดุลยพินิจ

และพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่ขัดต่อกฎหมายก็สามารถรับจด ทะเบียนและอนุมัติให้ประกอบธุรกิจขายตรงได้

ดีเอสไอยัน!ปูแดง
กลับมาทำขายตรงได้

โดย พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอได้กล่าวยืนยันถึงกรณีการที่ผู้บริหาร บริษัท เบสท์ 59 จำกัดหรือ ปูแดง ไคโตซานซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดี แชร์ ลูกโซ่ได้กลับมาเปิดบริษัทขายตรงใหม่ ภายใต้ชื่อ บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด และ ได้รับใบอนุญาตจาก สคบ.ให้สามารถประกอบธุรกิจเครือข่ายขายตรงได้แล้วอย่างเป็นทางการว่า ถือเป็นสิทธิ์ที่ผู้บริหารปูแดงสามารถกระทำได้ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีเดิม เนื่องจากผู้บริหาร ก็เป็นเพียงผู้ต้องหา ซึ่งยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็มีสิทธิเสรีภาพในการที่จะทำธุรกิจใดๆ ก็ได้

นอกจากนี้ หากคดีถึงที่สุดแล้ว ผู้บริหาร ปูแดง ไคโตซานถูกศาลตัดสินว่า มีความผิดจริงตามข้อกล่าวหา ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร หรือมีผลอะไรต่อการเปิดบริษัทใหม่เช่นเดียวกัน เพราะการดำเนินงานของบริษัทใหม่ไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดด้วย

ที่สำคัญกฎหมายขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ก็ไม่ได้ห้าม สคบ.ไม่ให้รับจดทะเบียน ซึ่งหาก สคบ. พิจารณาแล้วเห็นว่า แผนตลาด หรือแผนการจ่ายผลตอบแทนสามารถจ่ายได้จริง ไม่ขัดต่อกฎหมาย ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่อนุมัติออกใบอนุญาตให้ บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด

สคบ.เซ็นอนุมัติ
ออกใบอนุญาตแล้ว

ด้านสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โดยนายนิโรธ เจริญประกอบ เลขาธิการ สคบ. ก็ได้ระบุชัดเจนว่า สคบ.ได้อนุมัติออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจเครือข่ายขายตรงให้กับบริษัท นิว ต้นกล้า จำกัดหรือ ปูแดง ไคโตซานแล้ว เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2553 พร้อมทั้งให้บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด สามารถเปิดรับสมัครสมาชิกได้อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ 1 เมษายนเป็นต้นมา

โดยคำสั่งการอนุมัติออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจขายตรงให้แก่บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัดนั้น สคบ.ได้ทำเป็นหนังสือที่ นร.0306/3744 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2553 เรื่องคำขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรงของ บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด เขียนถึงกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท นิวต้นกล้า จำกัด อ้างถึงคำขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรง เลขที่คำขอ 16/2553 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2553

มีใจความว่า ตามหนังสือที่อ้างถึง บริษัท นิวต้นกล้า จำกัด ได้ยืนคำขอจด ทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรง เพื่อจำหน่ายสินค้า ประเภทผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร จำนวน 4 รายการ ประกอบด้วย สารสกัดไคโตซาน ตราปูแดง สำหรับพืช, สารสกัดไคโตซาน ตราปูแดง สำหรับสัตว์, อินทรีย์ปูแดง และสมุนไพรซุปเปอร์ปูแดง เพื่อให้นายทะเบียนพิจารณามีคำสั่งรับจดทะเบียน ความละเอียดทราบอยู่แล้วนั้น สคบ.ขอเรียนว่า นายทะเบียนได้พิจารณาตรวจสอบเอกสารและหลักฐานแล้ว จึงมีคำสั่งรับจำทะเบียน เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2553 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เนื่องจากแผนการจ่ายผลตอบแทนของบริษัท เป็นแผนจ่ายผลตอบแทนที่สามารถนำมาบิดเบือนในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นได้ง่าย นายทะเบียนจึงกำหนดเงื่อนไขประกอบคำสั่งรับจดทะเบียนว่า ให้บริษัท นิวต้นกล้า จำกัด ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 อย่างเคร่งครัด

อนึ่งการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการเอกสารและหลักฐานใดๆ ให้ผิดไปจากที่ได้จดทะเบียนไว้ หากมิได้แจ้งการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น ให้นายทะเบียนทราบภายในเวลาอันสมควร ให้ถือว่า ยังไม่ได้รับการจดทะเบียน ทั้งนี้ ขอให้บริษัท นิวต้นกล้า จำกัด รายงานผลประกอบการธุรกิจขายตรงให้ สคบ.รับทราบภายในมกราคม และกรกฎาคมทุกปีด้วย

สำหรับการที่ สคบ.ได้ระบุให้บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด ปฏิบัติตามกฎหมายขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 รวมถึงให้รายงานผลประกอบการให้ สคบ.รับทราบ ภายในมกราคมและกรกฎาคมนั้น ไม่ใช่เป็นการระบุเฉพาะบริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด เพียงเท่านั้น

แต่ สคบ.ได้มีการระบุข้อความนี้ทุกครั้งที่ออกใบอนุญาตให้กับทุกบริษัทขายตรง ซึ่งทุกบริษัทขายตรงจะต้องรายงานผลประกอบการให้ สคบ.รับทราบ ภายในมกราคมและกรกฎาคมเหมือนกันทุกบริษัท

ปูแดงทำบุญบริษัท
ผู้นำฉลองชัยคึกครื้น

ด้านความเคลื่อนไหวของบริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด พบว่า เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา บริษัทขายตรงน้องใหม่ นิว ต้นกล้านำโดย สมปอง แซ่ตั้ง ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ , ธนาพัทธ์ กิจใบ ประธานกรรมการ และ ดร.วิชาญ จำปาขาว ผู้ผลิตและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านวิชาการ บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด หรือ ปูแดง ไคโตซานพร้อมคณะผู้บริหาร และทีมผู้นำธุรกิจ จัดพิธีทำบุญ ก่อนที่จะมีการเปิดตัวบริษัทใหม่อย่างเป็นทางการ ท่ามกลางบรรยากาศการฉลองชัยกันอย่างคึกคักของเหล่าบรรดาสมาชิกที่แห่กันเข้ามาร่วมงานและแสดงความยินดีกันอย่างล้นหลามกว่า 1,000 คน ณ อาคารสำนักงานใหญ่หลังเดิม ถนนแจ้งวัฒนะ

นายสมปอง แซ่ตั้ง กล่าวว่า ต้องขอบคุณทางสคบ. ที่เปิดโอกาสให้ ปูแดง ไคซานมีวันนี้อีกครั้ง ในการอนุมัติออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจขายตรงให้ ปูแดง ไคโตซานกลับคืนสู่สนามขายตรง ซึ่งจากประสบการณ์ในอดีต ก็จะทำให้คนปูแดงมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น ต้องขอขอบคุณบรรดาผู้นำธุรกิจและสมาชิกปูแดงทุกท่านที่ได้ใช้เวลาในการอดทนรอ และยังคงอยู่กับ ปูแดง ไคโตซานมาโดยตลอด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พลังปูแดงมีความเหนียวแน่นมากพอที่จะช่วยกันนำพา ปูแดง ไคโตซานกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

ดันธนาพัทธ์ กิจใบ
นั่งประธานกรรมการบริษัท

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปด้วยความมีประสิทธิภาพ ตามแผนการจ่ายผลตอบแทนใหม่ ตนเองมีความตั้งใจจะแต่งตั้งผู้บริหารคนใหม่เข้ามาบริหารจัดการ บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด นั่นคือ นายธนาพัทธ์ กิจใบ รองประธานกรรมการ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด เข้ามานั่งในตำแหน่งประธานกรรมการ ส่วนตนจะนั่งแค่ตำแหน่งประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และ ดร.วิชาญ จำปาขาว ก็จะนั่งในตำแหน่งเดิม คือ ผู้ผลิตและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านวิชาการ

ขอบคุณผู้นำธุรกิจและบรรดาสมาชิกทั้งหลายที่ไม่เคยทอดทิ้งกัน ยามทุกข์ร่วมทุกข์ ยามสุขร่วมสุข พร้อมทั้งขอสัญญาว่า หลังจากนี้เป็นต้นไป ภายใต้บริษัทใหม่ นิว ต้นกล้าจะนำพา ปูแดง ไคโตซานกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

ดร.วิชาญ จำปาขาว ผู้ผลิตและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านวิชาการ กล่าวว่า ช่วงวิกฤติที่ผ่านมา ถือเป็นประสบการณ์ที่จะทำให้ ปูแดง ไคโตซานมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และจะเป็นความแข็งแกร่งที่พร้อมจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เพื่อการก้าวสู่ความสำเร็จและความยิ่งใหญ่ด้วยกัน

ไม่ว่า จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผู้บริหารทั้ง 3 คน เราไม่เคยทอดทิ้งกัน และพร้อมที่จะก้าวเดินไปด้วยกันในทุกๆ เมื่อ พร้อมกับขอแสดงความดีใจและขอบคุณที่บรรดาสมาชิกไม่มีใครทอดทิ้ง ปูแดง ไคโตซานอีกทั้งยังเชื่อว่า นิว ต้นกล้าจะกลับมายิ่งใหญ่ได้ในอนาคตอันใกล้ ขอให้สมาชิกทุกคนรวมพลังใจเป็นหนึ่งเดียว

ด้านนายธนาพัทธ์ กิจใบ ประธานกรรมการคนใหม่ บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณที่คุณสมปอง และดร.วิชาญ ได้ให้ความไว้วางใจ ในการให้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด และเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณ ขอ สัญญาว่า จะบริหารงานให้เกิดประสิทธิภาพแก่บริษัทสูงสุด และจะบริหารจัดการให้เอื้อประโยชน์แก่บรรดาสมา

ชิกปูแดงสูงสุด โดยจะยึดมั่นในหลักคุณธรรม และความมีจริยธรรม ตลอดจนการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้สมาชิกมีรายได้ และอยู่ได้กับธุรกิจขายตรง ปูแดง ไคโตซานอีกทั้งจะยังคงนโยบายหลัก เพิ่มผลผลิต ชุบชีวิตเกษตรกรให้เกษตรกรมีรายได้ และสามารถปลดเปลื้องหนี้สินได้ด้วย

นิว ต้นกล้า แม้จะเป็นบริษัทใหม่ แต่ก็มีความพร้อมเหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแค่เปลี่ยนชื่อบริษัท แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ยังจะคงความเป็นวัฒนธรรมของคน ปูแดง ไคโตซานเอาไว้เหมือนเดิม ส่วนการรับสมัครสมาชิกนั้น ได้เริ่มต้นรับสมัครสมาชิกแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา

มั่นใจนิว ต้นกล้า
นำปูแดงฯยิ่งใหญ่ได้

ด้านผู้นำธุรกิจหลายคนของบริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า หลังเกิดเหตุการณ์การสั่งเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจขายตรงบริษัท เบสท์ 59 จำกัดแล้ว ผู้นำธุรกิจและสมาชิก ปูแดง ไคโตซานไม่ได้หวั่นไหวหรือหนีไปไหน แม้ว่า หลายคนจะต้องว่างงานอยู่ 1-2 เดือนก็ตาม หรือบางคนอาจจะกลับบ้านไปทำ อาชีพอื่นเพื่อหารายได้เสริมแล้วก็ตาม แต่พอ ปูแดง ไคโตซานกลับมา ภายใต้ชื่อบริษัทใหม่ นิว ต้นกล้าบรรดาสมาชิก ปูแดง ไคโตซานทุกคนทั่วประเทศ ก็ได้หวนคืนกลับมาทำธุรกิจด้วยกันเหมือนเดิม ไม่มีใครหนีไม่ไหน ไม่มีความแตกแยก แต่ยังคงเป็นเหนียวแน่นกว่าเดิม และพร้อมที่จะรวมพลังกัน เพื่อผลักดันให้ ปูแดง ไคโตซานกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยความเชื่อมั่นว่า สินค้าเป็นที่ต้องการของเกษตรกร ช่วยเกษตรกรเพิ่มผลิต ปลดหนี้ปลดสินเกษตร กรได้จริง นี่คือ จุดแข็งของ ปูแดง ไคโตซาน

สมาชิกปูแดงทุกคนต่างดีใจ และพร้อมใจกันจัดงานเปิดบริษัทใหม่ ต้อนรับการกลับมาของ ปูแดง ไคโตซานในนามบริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด ซึ่งสมาชิกทุกคนได้ทิ้งความหลังไว้ในอดีต ทุกอย่างที่ผ่านมา ถือเป็นบทเรียนและประสบการณ์ หากปูแดง ณ วันนี้ สามารถผ่านด่านทดสอบใหม่ไปได้อีกครั้ง ก็เชื่อว่า พลังเครือข่ายของปูแดงจะมีเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ อันจะทำให้ ปูแดง ไคโตซานกลับมายิ่งใหญ่ และจะไม่มีวันตาย

แผนการตลาด ปูแดง นิวต้นกล้า แผนรายได้ Update22-04-53

MLM มืออาชีพ

แต่ละคนที่เข้ามาสู่อาชีพนักธุรกิจเครือข่าย มีเป้าหมายที่ต่างกัน บางคนชอบเป็นนิสัย รักเป็นอาชีพ บางคนทำเป็นอาชีพเสริม หารายได้พิเศษ บางคน ไม่ชอบ แต่จำเป็นต้องหารายได้ บางคนทำแบบถูกต้อง และบางคนก็โกหกเพื่อให้ได้มาซึ่ง ผลตอบแทน หลายๆคนมองว่า อาชีพหลอกลวง มันไม่ได้เป็นที่อาชีพหรอกครับ ที่หลอกลวง ตัว คนที่เข้ามาทำ แล้ว ไม่เข้าใจในอาชีพมากกว่า ที่ หลอกลวง วันนี้ ผมจะเล่าให้ฟังแบบที่ไม่มีที่ไหนบอกให้ท่านๆรู้มาก่อน ว่า คนทำเป็นอาชีพ กับคนที่ทำให้อาชีพนี้ ส่วนหนึ่งเสียหายเป็นยังไง

จากโครงสร้างที่แสดงด้านบน จะเห็นว่าไม่ว่าธุรกิจกิจ จะมีรูปแบบการนำสินค้าไปยังผู้บรืโภค แบบใดก็ตาม ก็จะต้องมีส่วนที่เรียกว่า ค่าการตลาด หรือส่วนต่าง ของราคา จากต้นทุนผู้ผลิต ถึงราคาจำหน่ายให้ผู้บริโภค ดังนั้น ผลตอบที่จ่ายให้นักธุรกิจเครือข่ายก็หนีไม่พ้นกฏข้อที่ว่า การจ่ายผลตอบแทน ต้องนำมาจากค่าการตลาด ของยอดจำหน่ายสินค้ารวม ซึ่งถ้าบริษัท คำนวณ ออกมาแล้วเกินค่าส่วนต่างนี้ บอกได้เลยว่า เอาเงินของอนาคตมาใช้ ซึ่งผิดหลักของการทำเครือข่ายที่ถูกต้องอย่างแน่นอน ซึ่งในแต่ละบริษัทเครือข่าย ค่าการตลาดนี้ก็จะแตกต่างกันไป โดย ปกติจะอยู่ในช่วง 35-50% เต็มที่ครับ ถ้าบริษัทไหนบอกจ่ายถึง 60 - 70% ก็คิดซะว่าเค้าพูดให้ดูเท่ห์ครับ ถ้าเราเชื่อก็หาหญ้ากินได้แล้วครับ

ถ้ามองในมุมมองของคนภายนอก ที่ไม่ได้สัมผัสธุรกิจนี้ จะเห็นว่า โอ้ว ได้ตั้ง 4-50% ของราคาสินค้า ทำไม่มากมาย ขนาดนี้ จะตอบได้อย่างไม่ต้องคิดเลยว่า ไม่เยอะหรอกครับ เพราะ 4-50% ที่ว่านี้ นักธุรกิจ ก็เป็นเสมือนผู้ค้าปลีกและค้าส่งนั่นเอง นั้นคือ ค่าใช้จ่ายต่างๆในการทำงาน จ่ายเองครับ ค่ารถ ค่าน้ำมันไปพบลูกค้า ค่าโทรศํพท์ ค่าทำงานช่วยเหลือทีมงาน เอาเป็นว่า คุณก็คือผู้ประกอบการคนหนึ่งนั่นเอง ถ้าเข้ามาในอาชีพนี้ ดังนั้น คนที่คิดว่า เข้ามาลองดู ทำเล่นๆ ทำเสริมๆ ก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่ท่านทำงานแบบไหน ผลตอบแทน มันก็ออกมาแบบนั้น ดังนั้นก็มีคำถามว่า แล้วจ่ายเองทุกอย่าง มันน่าทำตรงไหน

คำตอบอยู่ตรงนี้ ท่านไม่ต้องพวงเรื่อง การผลิต ไม่ต้องลงทุนโรงงาน ลงทุนการผลิต การโฆษณาระดับประเทศ การขนส่งสินค้า ไม่ต้องลงทุนคลังสินค้า เอาง่ายๆว่า ท่านมีหน้าที่ทำตลาดอย่างเดียว แต่การตลาดแบบนี้ ท่านไม่ต้องเป็นลูกจ้างบริษัท เวลา รายได้แล้วแต่ตัวท่าน เพราะ บริษัท จ่ายให้ท่านตามค่าการตลาด ซึ่งท่านสามารถทำทีม ขาย ขยายตลาด ที่ดีคือขยายได้ไม่จำกัด ถ้าทีมงานท่านมาก ยอดขายรวมมาก ผลตอบแทนก็เป็นเงาตามตัว แปลเป็นภาษาบ้านๆคือรวยได้ โดยไม่ต้องลงทุนมากๆ

ดังนั้น คนที่เข้ามาทำอาชีพนี้ แล้วทำเป็นอาชีพ จริงๆ สิ่งที่ต้องทำมีดังนี้

1.เรียน รู้

ถ้าถามว่าเรียนทำไม ผมก็จะถามท่านกลับว่า ที่ท่านเรียนตั้งแต่ อนุบาล ถึงมหาลัย เรียนทำไม เรียนอะไรก็ เพื่อทำงาน ทำงานอะไรก็เพื่อหาเงิน ใช่มั๊ยครับ คนเรา ทำงานใดๆก็ตามมีสิ่งที่ต้องการ 2 สิ่งคือ ได้เงิน และสุขใจ ขนาดหลายๆคนไม่ชอบงาน ยังต้องทนทำเลยครับท่าน เพื่อรายได้ เอามาใช้จ่ายนั่นแหละ เอาละครับ กลับมาที่เรียนรู้ต่อ การเรียนรู้ของระบบเครือข่าย ไม่ต้องไปลงทะเบียนเรียนเป็นปีๆหรอกครับ เราไม่มีเวลาเรียน แน่นอนไม่มีหน่วยกิจ ดังนั้น ใครจะเรียนมากน้อยแค่ไหน ตามสะดวก เรียนมากน้อย เร็วช้าแล้วแต่ตัวบุคคล สรุปคือเรียนรู้ด้วยตัวเองครับ เข้าประชุม อ่านหนังสือ ศึกษาจากแผ่นพับ วารสารบริษัท CD อะไรก็ได้ที่เป็นความรู้ ถ้าว่าต้องรู้ไรมั่งล่ะครับ สิ่งที่ท่านต้องรู้ก่อนไปทำงานคือ เรื่องของ บริษัท , ผู้บริหาร, สินค้า , แผน และ วิธีการทำงาน

ผมพูดได้เลยครับ จากการที่อยู่อาชีพนี้มาหลายปี เฝ้ามองเฝ้าสังเกต ทั้งทีมงานตัวเอง และคนอื่นๆที่รู้จัก ท่านรู้มั๊ย คนเราล้มเหลว ในเครือข่ายมากทีสุด ตอนไหน ....... ตอบได้เลยครับ ตอนแรก บางคน 1 วัน บางคน 2-3 วัน บางคน 1 อาทิตย์ หรือเอาง่ายๆครับ เมื่อใดที่เขาเริ่มไปคุยลูกค้า เริ่มชวนคนอื่น แล้วโดนลูกค้าน็อค (ศัพท์ของผมเอง แบบว่า ลูกค้าตอกกลับมา ถามแล้วตอบไม่ได้) ตัวแทนคนนั้นก็จะท้อใจในทันที และบอกกับตัวเองว่า ฉันทำไม่ได้ อาชีพนี้โกหก

เหตุและผลมันอยู่ในตัวเองครับ คุณยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย คุณจะชวนให้เขาเชื่อในสินค้า มั่นใจในธุรกิจ ผลตอบแทน เป็นหมื่น เป็นแสนหรือเป็นล้าน เขาจะเชื่อคุณได้ไงถ้าถามอะไรคุณก็ตอบไม่ได้ ชีวิตการทำเครือข่ายของผม บอกได้เลยครับ ว่าไม่เคยโดนลูกค้าน็อค เพราะเราต้องแน่พอที่จะเข้าไปเสนองานนี้ให้เขาเชื่อมั่น

แต่ก็มีแค่บางคนนะครับ ที่เข้าใจงานแต่แรก ไปแบบมั่วๆ เนียนๆ เริ่มไปศึกษาไป แล้วก็สำเร็จ แต่คนพวกนี้ จะไม่สนใจคำโต้แย้งลูกค้าครับ เขารู้อยู่แล้วว่าต้องเจออะไร

หลังจากเรียนรู้แล้วก็เริ่มทำงานไง ครับ พูดรวมๆคือทำไงให้ตลาดมันขยายไปได้ แต่ผมจะพูดถึง วิธิปฏิบัติเป็นสเต็ปละกันครับ

2.ขาย (แล้วแต่ธุรกิจ ผมจะไม่พูดถึงรายละเอียด เพราะเราไม่ขายของ)

มาถึงตรงนี้ บางคนขัดแย้งละ ว่าถ้าไม่ขายสินค้ามันก็เป็นการ ระดมคนมาลงทุน หลอกเขามาลงทุนสิ สินค้าไม่ถึงมือผู้บริโภค ผมสรุปง่ายๆแบบนี้เลยครับ จากประสบการณ์จริง เอาง่ายๆว่า สมมุติคุณมีทีมงาน 100 คน แล้วคุณก็สอนงานเค้าว่า ทำเครือข่ายจริงๆไม่เน้นขาย เน้นขยายทีมงาน คุณลองทายเล่นๆ สิ จะมีกี่คนที่วิ่งไปขายของ บอกได้เลยครับ กฏของโลกนี้ จะมีราวๆ 80 คน ก็ยังดันทุรังไปขายอยู่ดี สรุปว่า แรกๆที่ไม่เข้าใจ ก็ไปขายกันกันทั้งนั้นครับ พอสักพักขายเก่ง เริ่มมีทีมงาน เข้ามา ก็เริ่มสอนทีมงาน ขายให้ได้เหมือนเรา พอทีมงานมากเข้า ก้ต้องเริ่มบริหารคน ละว่า ทีมไหนดูแลตลาดพื้นที่ไหน พื้นที่ไหนแข็งที่ไหนอ่อน

ยกตัวอย่างกันง่ายๆ มีเด็กจบใหม่คนหนึ่ง พบจบมหาลัย สมัครงานได้ตำแหน่งพนักงานขายบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ขายอยู่สัก 3-5 ปี เก่งละ ผู้จัดการ ก็ปรับให้เป็น ซูปเปอร์ไวส์เซอร์ สอนงาน ดูแลพนักงานใหม่รุ่นหลังให้ขายเป็น พอสักระยะ เริ่มดูแลคนมากขึ้น สร้างยอดขายได้ต่อเนื่องมากขึ้น บริษัทก็จะบรับให้เป็น หัวหน้าแผนกหรือ ผู้จัดการต่อไป ไม่มีใครเขาวิ่งขายของเองทั้งปีทั้งชาติหรอกครับ นี่เขาเรียกว่าความก้าวหน้าในอาชีพครับ

นี่ขนาดจะไม่พูดถึงรายละเอียดนะครับนี่ 555 ไปข้อต่อไปละกันครับ

งานเครือข่ายท่านเข้าใจแล้ว ว่า ผลตอบแทนมาจาก ยอดขายที่เราสร้างขึ้น จะขายเองก็ได้ แต่ช้า ดังนั้น ให้เติบโตคือ หาคนมาช่วยเราขาย หรือให้ดีจริงๆ หาคนมาช่วยกันสร้างเครือข่ายผู้บริโภค บอกได้เลยครับ ว่า แต่ละคนที่สมัครเข้ามา นั้น ก็จะแบ่งเป็น 1) ผู้ใช้สินค้า 2)คนที่อยากขายหารายได้เสริม 3)คนที่อยากทำเป็นอาชีพ ยิ่งมีประเภทหลังสุดมากเท่าไหร่งานท่านก็จะเร็วเท่านั้น บางคนไม่เก็ต แล้วใครจะไปขายให้ลูกค้า ก็บอกแล้วไงครับ 80% พูดยังไงก็จะขายของอยู่ดี ถามได้เลยครับคนที่เอ็ม ถ้าไม่โกหกกัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ใช้ และ ผู้ขาย เอาละ ทีนี้ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หรือผู้มุ่งหวังกลุ่มใหนก็ตาม ขั้นตอนต่อไป ก็ต้องมีการ

3.นัดหมาย, เชิญชวน หรือ โฆษณา

แล้วแต่ใครจะทำ ให้มีผู้คนเข้ามาร่วมงาน ถามว่านัดหรือเชิญไปไหนล่ะครับ ก้อคือเพื่อให้ข้อมูล จะวิธีใหน ก็แล้วแต่ครับ วิธีการทั่วไป โทรนัดโทรคุย หรือเข้าไปคุยที่บ้าน หรือเจอกันตามโอกาส คำถามที่หลายคนอยากถาม และ เป็นปัญหาใหญ่สุดในชีวิตคือ ชวนใคร เพื่อนเหรอ ญาติได้มั๊ย จะเสียญาติมั๊ย แล้วชวนใครดี ผมบอกอย่างนี้ แล้วกันครับ ถ้าท่านถามคนที่สำเร็จระบบเครือข่าย เอามาสัก 10 หรือ 100 คนก็ได้ ถามเลยว่า ที่เข้ามาเร่วมธุรกิจด้วยกัน มีเพื่อนสนิท หรือญาติ กี่เปอร์เซนต์ แล้วที่เข้ามาร่วม แล้วไอ้ที่มา มากันช่วงไหน เริ่มแรกหรือเรารวยแล้วถึงมา ผมคงไม่ต้องตอบนะครับ ทุกท่านรู้อยู่แก่ใจ งั้นแล้วไปชวนใคร เสนอใคร ท่านต้องย้อนมาดูครับ ว่าการกลาดคืออะไร มีใครเกี่ยวข้อง มันก็คือ ต้องมีคน อยากได้ และมีคนอยากขาย มาเจอกัน ถึงจะเกิดการขายขึ้น เรียกให้สากลคือ Demand กับ Supply ไงครับ ที่นี่ก็ต้องดูว่าสิ่งที่ท่าน จะขายคืออะไร สินค้าหรือธุรกิจ แน่นอนครับ ต้องนัด หรือเชิญวิธีการคนละแบบ ถามว่าจะพูดยังไง ก็บอกแล้วไงครับ ท่านต้องเข้ามาศึกษา วิธีการทำเครือข่าย ไม่ใช่ไปนำเชิญ ไปนัดแบบบ้านๆ ก็โดนตอกกลับมาเท่านั้นเอง ดังนั้นเชิญใครแบบไหนดี ก็ต้องมาศึกษา กับที่ไหนก็แล้วแต่ว่าท่านจะทำกับบริษัทไหน

ที่นี้มาเรื่องการประชาสัมพัน โฆษณาให้คนเข้ามาร่วม ธุรกิจ สมัยแรกๆก็จะมี ขึ้นป้าย สื่อวิทยุ แล้วสมัยนี้ก้จะมี อินเตอร์เน็ท แล้วอี อินเตอร์เน็ทก็มีเรื่อง ให้พูดกันอีกพอสมควร ถ้าท่านเล่นเน็ตอยู่ตั้งแต่หลายปีมาแล้ว เมื่อก่อน ท่านก็จะเห็น การโพส รายได้เลริม 300-3000 ต่อวัน อะไรประมาณนี้ เอากันแบบตรงๆง่ายๆ ไม่ต้องมีลีลา มาอีกยุคนึงคือ ไม่กล้าพูดตรงละ โพสมาแต่ไม่บอกธุรกิจอะไร รับสมัครงานหลายตำแหน่งบ้าง แบบนี้ สร้างความผิดหวังให้คนที่หลงเข้าไปเยอะมาก

มายุคล่าสุด การตลาดแบบดึงดูด ก็เปิดเผยว่าเป็นธุรกิจเครือข่าย แต่คำเชิญชวน ก็แล้วแต่ใครจะเขียนให้ไปสะกิดต่อมของ ผู้อยากรู้อยากรวยมากแค่ไหน เคล็ดลับมั่ง สุดยอดวิธีชวนคน ไม่ต้องง้อไม่ต้องตื้อมั่ง คนจะวิ่งมาสมัครเองมั่ง ผมบอกได้เลยครับว่า มันก็คือขั้นตอนการชวนคนเข้ามา และที่สำคัญ ผมได้พูดไว้แล้วในหัวข้อ การตลาดแบบดึงดูดคือ ถ้ามีท่านโฆษณาแบบนี้คนเดียว ก็คงเวิร์คครับ แต่ดูทุกวันนี้สิครับ มีเคล็ดลับกับเต็ม กูเกิ้ล ไปหมด แล้วพวกนี้ก็จะมีโปรแกรม ส่งอีเมล และ ดูดเมล ด้วย รวมถึงพวกตอบอัตโนมัติ ตอนนี้มีขายกันเยอะแยะครับ หาง่าย ขายโปรแกรมพร้อมเมล 15 ล้านชื่อ อะไรประมาณนี้ คิดกันเล่นๆครับ สมมุติท่าน ไม่ได้แอนตี้เครือข่าย ถ้าท่านได้รับเมล ครั้งแรก ด้วยข้อความแบบที่ว่า ท่านก็อาจจะสนใจ แต่ตอนนี้ แต่ละคนก็ได้รับเมลพวกนี้ กันไม่ต่ำกว่า คนนึง 20-30 ครั้งก็ว่าได้ ไอ้รายที่ 3 ที่ 4 มานี้ ท่านถามตัวเองสิครับ ว่า ท่านกดดู หรือกดลบ แล้วอย่างที่บอกครับ มันก็คือส่วนของการเชิญชวน การทำแบบนี้ ต้องเป็นหนึ่งเดียวและเป็นแบบ วัวสีม่วง คือเด่นสุดๆ ถึงจะได้ผล แต่ตอนนี้มันเลยจุดนั้นไปแล้วครับ แต่ถ้าถามผมว่า เรื่องเว็บไซต์ หรือสื่ออินเตอร์เน็ต จำเป็นมั๊ยต่อการทำธุรกิจ ผมตอบได้เลยว่า ไม่จำเป็นครับ เพราะผู้สำเร็จระดับท็อปเท็นแต่ละบริษัทส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีเว็บไซต์ของตัวเองด้วยซ้ำ แต่ถ้าถามว่า ควรมีรึเปล่า บอกได้เลยครับว่าควรมีอย่างยิ่งครับ เราควรต้องทำอะไรให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ปัจจุบัน คนมีความรู้และใช้อินเตอร์เน็ตกันมากขึ้น ดังนั้นการทำสื่ออินเตอร์เน็ตเป็นเรื่องที่น่าทำครับ แต่คำพูด ภาพ หรือข้อมูลต่างๆ ถึงแม่จะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ แต่อย่างไรก็ให้อยู่ในพื้นฐานความเป็นจริง ดีที่สุด

เพราะในที่สุดของการตลาด แบบดึงดูด คือ สุดท้าย ปลายทางก็คือ การที่เค้าจะสมัครเป็นสมาชิกหรือร่วมงานกับคุณ มันแบ่งได้แบบนี้ครับ ถ้าบริษัทไดที่สมัครแบบ ถูกๆ 100-200-300 อะไรประมาณนี้ ก็พอจะใช้ได้ครับ ขายการเชิญชวน พอเข้าไปดูในเว็ปหน้าเชื่อถือ บริษัทเป็นที่รู้จัก อาจจะสมัคร แต่ถ้าเป็น แผนการตลาดที่เป็นการซื้อสินค้าเป็นเงินหลักพันหลักหมื่นในการสมัครแล้วก้อ แบบนี้ ยากครับ กฏการตลาดแบบดึงดูก็เขียนไว้ เพราะที่สำคัญคือ เมื่อใดที่เขาจะตัดสินใจทำสุดท้ายต้องมีการนัดพบกัน หรือคุยกัน สรปุได้ง่ายๆครับ ว่าท่านต้องเจ๋งพอดั่งที่ท่านโฆษณาไว้ หรือ เจ๋งกว่า ที่ท่านใช้คำเชิญชวนไว้ นี่แหละครับ เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดคือตัวท่าน ต้องเป็นของจริง ถึงจะไปต่อได้

4. การนำเสนอ

อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ บริษัทละครับว่าของท่านทำอะไร และก่อนการนัดเชิญชวนใคร ท่านก็อย่างลืมวิเคราะห์ซะ หน่อยนะครับ ช่วยให้งานเราเข้าเป้ามากขึ้น แล้วถ้าจะมาว่ากันในเรื่องการนำเสนอมีเทคนิคอะไรมั๊ย ตอบได้เลยครับว่า มีแน่ๆ การนำเสนองาน ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ครับ ทั้งวิชาการ หลักการ จิตวิทยา อันนี้พูดถึงมืออาชีพนะครับ ไม่ใช่ไปแบบบ้านๆ "สวัสดีครับ ผมมาจากบริษัท .... นะครับ จะมาแนะนำ ...... ขอรบกวนเวลา สักคูร่นะครับ" ถ้าใครไปแบบนี้แล้วสำเร็จ แสดงว่า ท่านต้องทนอย่างมากครับ หรือไม่ก็มึน ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ถึงสำเร็จมาได้ ดังนั้น ก็ต้องศึกษาเอาจากแม่ทีมหรือบริษัทท่านละครับ ซึ่งไม่ตายตัว แต่มีหลักการอยู่ครับ

จริงๆแล้ว คนทำเครือข่ายหลายๆคนก็ มีแบบที่ชงเองตบเอง ก็เยอะ ถ้าเก่งจริงก็ได้ครับ แต่ถ้าท่านไม่มั่นใจว่าท่านนำเสนอได้ดีพอละก็แนะนำให้ เชิญคนเข้าระบบ หรือเข้าประชุมครับ มันไม่ใช่แค่ ได้ข้อมูลครับนะครับ ได้อารมณ์ในการตัดสินใจด้วย ยิ่งการสมัครที่ต้องใช้เงินลงทุนพอสมควรแล้วละก้อ เวิร์คครับ

หรือสมัยนี้ก็มีเริ่มทำกันละครับ คือเป็นไฟล์ VDO นำเสนอ ผ่านเว็บไซต์เลย หรือบางคน ก็มีการ ประชุม on line ต่างๆ แล้วแต่ความถนัด

5. ปิดการขาย

ปลายทางหลังจากผู้มุ่งหวังได้ข้อมูลแล้ว สิ่งที่ทุกท่านอยากทำให้สำเร็จคือ การปิดการขาย หรือปิดสมัคร แล้วแต่จะเรียก แต่สิ่งที่อยู่คู่กัน กันลูกค้าก่อนปิดการขายคือ ข้อโต้แย้ง หรือคำถาม ข้อสงสัย ข้อบ่ายเบี่ยง อะไรก็ว่ากันไป มืออาชีพต้องรู้ครับ ซ้อมมาก่อนหน้า เจอแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น ตอบแบบให้โดนใจแล้วปิดการสมัครไปในตัว ซึ่งผู้ที่จะทำงานนี้ก็ควารศึกษาเรื่อง จิตวิทยาการปิดการขายด้วยครับ ไม่ใช่ถามกันดื้อๆ ว่า "ตกลงจะสมัครมั๊ย" ลูกค้าฮากลิ้งเลยครับ อย่าลืมว่า ทำให้เขาอยาก ดีกว่า มีแต่เราอยากให้เขาทำ

6. สร้างผู้นำ

หลังจากที่ผู้มุ่งหวังคนนั้นสมัครแล้ว สิ่งที่ท่านต้องทำต่อไปคือ ทำอย่างไร ให้เขาทำงานนี้สำเร็จได้เหมือนท่าน ก็คือต้องสอนงานเค้า แต่อย่าลืมนะครับ การทำเครือข่ายที่ดีคือ ท่านอย่าไปทำอะไรเองอยู่คนเดียว การสอนที่ดีที่สุดคือให้เขาเข้าระบบ ให้เขาอิงกับการประชุมของบริษัท แล้วเสริมเข้าไปด้วยการทำเงินเชิงลึก แบบที่เราทำ ปัญหาที่ด่ากันไม่จบคือ ลูกทีมมักจะด่ากับแม่ทีมว่า ทำไมไม่ช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ ผมพูดอย่างเป็นกลางนะครับ ธุรกิจนี้เป็นของท่าน ไม่มีสิ่งใดทำให้ท่านสำเร็จได้นอกจากตัวท่านเอง ดังนั้น เข้าช่วยบ้างตามโอกาส ก็ไม่ต้องคิดมาก เพราะไม่มีใครจะมานั่งป้อนข้าวป้อนน้ำกันไปได้ตลอด ทุกคนต้องเติบโตได้ ด้วยตัวเราเอง ยิ่งระดับท็อปๆของแต่ละบริษัทด้วยแล้ว ตอนท่านสมัครเข้ามาใหม่ ท่านแทบไม่ได้รับการเหลียวแลเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อไหร่ที่ท่านแสดงภาวะความเป็นผู้นำขึ้นมา หรือ สร้างผลงานขึ้นมา ถึงจะเริ่มคุยกัน มันเป็นการคัดเลือกคน ซึ่งหลายๆคนมองว่าเห็นแก่ตัว ดังนั้นก็แล้วแต่มุมมอง แต่คนทำธุรกิจ ถ้าท่านไม่แกร่งยังก็ไม่ไม่รอดอยู่แล้วครับ แต่ถ้าบางคนตอนชวน สัญญา สาบานกันอย่างแนบแน่น พอสมัครปุ๊บไม่สนใจเลย แบบนี้ก็น่าจุดธูปแช่งครับ

7. บริหารองค์กร

การขึ้นสู่ความสำเร็จ ในระดับต้นๆของบริษัทถือว่าไม่ง่ายครับ แต่การที่จะรักษา องค์กรไว้และ ทำให้เติบโตไปด้วยกันทั้งหมดนี่ ยากยิ่งกว่าเยอะ ดังนั้น จะสำเร็จได้ระยะยาว นอกจากปัจจัยรอบนอกแล้ว ตัวเราเองต้องมีความจริงใจด้วยครับ

คนที่ทำไม่เป็น ก็จะมองว่าอาชีพนี้ยาก ตั้งแต่ไม่รู้จะไปหาใคร เริ่มพูดยังไง แนะนำยังไง ปิดสมัครยังไง แต่คนที่ทำจนเป็นมืออาชีพ ทุกที่ทุกคนที่พบปะ เราสามารถ แนะนำธุรกิจได้โดยเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ยัดเยียดใคร และที่สำคัญ การดูแลทีมงาน มีการติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นจะเห็นว่า คนที่ทำธุรกิจนี้เป็นมืออาชีพ จะมีทีมงานโทรหากันตลอดเวลา และสิ่งคัญสำหรับผู้ที่จะเข้ามาสัมผัสอาชีพนี้ ก็ต้องพิจารณา เลือก บริษัทให้ดีครับ ต้องดูอะไรบ้างก็เข้าไปดูในหัวข้อ ทำไมจึงล้มเหลว เราจะได้ผิดหวังน้อยที่สุด ไม่ต้องมาโทษว่าอาชีพนี้เชื่อไม่ได้ เพราะในความเป็นจริง มันก็มีทั้งบริษัทดีๆ ที่ตั้งใจทำเป็นธุรกิจสีขาว ปะปนไปกับ พวกหวังปั่นเงิน ปนเปกันไป เหมือนทุกอาชีพ

สรุปว่าอาชีพนี้มีทั้งพวก คบได้คบไม่ได้ ปนกันไป ซื้อมันไม่ได้เป็นที่อาชีพครับ เป็นที่ตัวบุคคุล และคนส่นหนึ่งก็คิดว่า อาชีพนี้ส่วนใหญ่ล้มเหลว หลอกลวง แต่ถ้ามองดีๆอย่างเป็นกลางนะครับ ไม่ใช่เฉพาะอาชีพนี้หรอกครับ คนทำธุรกิจทุกประเภท ตั้งแต่เปิดร้านก๋วยเตี๋ยว ถึง โรงแรม คนเจ๊งกมากว่าคนสำเร็จเยอะแยะครับ คนที่จะก้าวเข้ามาสู่โลกของกิจการส่วนตัว จะสำเร็จได้ ใจต้องสู้ ฝีมือต้องถึงครับ