วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คำสอนขงจื๊อ คำคมขงขื้อ

ผู้เมตตา
- ยามที่ได้พานพบผู้กล้า ทรงคุณธรรม ใจข้ามันคิดอยากจะเป็นเสมอด้วยเขา ยามที่ได้พบผู้ไม่กล้าไร้คุณธรรม ข้ามาได้คิดข้ามีอะไรเหมือนกับเขาหรือไม่
- เมื่อบิดามารดายังอยู่ ไม่สมควรท่องแดนไกล แม้นจำเป็นต้องไป สมควรบอกกล่าวอย่างยิ่ง จะช่วยลดความห่วงใยของท่านลงได้บ้าง
- พูดจาไพเราะรื่นหู กิริยาอ่อนน้อมประจบประแจง ถ่อมตนเกินไป เป็นเรื่องน่าละอาย น่าอดสู ชิงชังรังเกียจเขาทั้งที่คบกันผิวเผิน ก็เป็นเรื่องน่าละอาย น่าอดสูเช่นกัน

การส่งผ่านความรู้
- ข้าไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความรู้ในทุกเรื่อง เป็นแค่ข้ารักเรียน ศึกษาจากตำราโบราณ ทุ่มเทกับตำราโบราณ ขบคิดทำความเข้าใจมัน

ผู้ริเริ่ม
- การยิงเลยเป้า หรือการยิงไม่ถึงเป้า ไม่มีใครเหนือกว่ากัน เพราะไม่เข้าเป้าทั้งคู่
ย่อหน้า 21 - ยามออกไปกับเพื่อน ข้าเรียนรู้อะไรบางอย่างจากพวกเขาเสมอ ข้อดีข้ารับมา ข้อด้อยข้าเอามาปรับปรุงตน


- สุภาพชนพึงใคร่ครวญ ในเก้าสิ่งนี้

1.ยามที่มอง ให้ที่ถึงการเห็นได้ชัด
2.ยามที่ฟัง ให้นึกถึงสิ่งที่ได้ยินให้ชัด
3.ยามแสดงอารมณ์ ต้องให้ดูฉันท์มิตร
4.ยามแสดงตัว ให้นึกถึงการมีมารยาทอันงาม
5.ยามที่พูด ให้นึกถึงความสัตย์
6.ยามทำงาน ให้นึกถึงการทำดีที่สุด
7.ยามสงสัย ให้นึกถึงการถาม
8.ยามโกรธ ให้นึกถึงผลที่จะตามมา
9.ยามได้ผลประโยชน์ ให้นึกถึงความสมควร

[แก้ไข] บทที่ 17
รักจะมีเมตตา แต่ไม่รักเรียน โง่ได้
รักฉลาด แต่ไม่รักเรียน ประพฤติผิดได้
รักซื่อสัตย์ แต่ไม่รักเรียน อาจมีภัย
รักจะเป็นคนตรง แต่ไม่รักเรียน อาจหุนหันพลันแล่น
รักจะเป็นคนกล้า แต่ไม่รักเรียน โชคอาจไม่เข้าข้าง
รักจะมีอำนาจ แต่ไม่รักเรียน อาจดูวางโต

[แก้ไข] คำจากแหล่งอื่น
สัญญาที่ทำไปเพราะโดนข่มขู่ สวรรค์หารับรองไม่
กล่าวเมื่อโดนข่มขู่ห้ามเดินทางไปช่วยเมืองเว่ย หลังจากโดนจับที่ด่านเมืองปู้
หากสบวิญญูชนจงเปิดเผย หากสบทรราชจงอำพราง

จงจื้อ กับ ขงเบ้ง และ ซุนวู มีคำสอนต่างกันตรงไหนรู็้ไหม?

…ขงจื้อ สอนให้เรา รู้จักที่จะเข้าสังคม รู้จักการเอาตัวรอด รู้จักเรียนรู้ความผิดพลาดของคนอื่น แล้วมาเป็นบทเรียนให้กับตัวเอง ประกอบด้วยความมีเมตตา

…ขงเบ้ง สอนให้เรา รู้ทันคนอื่น หัดเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำำงานด้วยความรอบคอบ แล้วงานจะออกมาดี สอนให้รู้จักคนอื่นด้วยปัญญา เลยมี คำคม ที่ว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

…ซุนวู สอนให้เรา มีเมตตาต่อคนอื่น ซื่อสัตย์จริงใจ และคำคมที่ได้จาก ซุนวู คือ รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง มีโอกาส ชนะมากกว่าแพ้…

….นักปราชอีกหลายท่าน ที่เรา่น่าจะเรียนรู้ บางครั้ง สามก๊ก เราอ่านเกิน สามรอบก็ไม่ได้หมายว่าคบไม่ได้เสมอไป จาก ซุนวู ก็สอนให้เราได้เสียสละ รักทุกคนเท่ากัน นอบน้อม จาก ขงจื้อ ก็สอนให้เราเห็นว่า ทุกอย่างรอบตัวเรา อาจเปรียบเสมือนครูที่ดี เพียงแต่เรารู้จักที่จะเรียนรู้ บางครั้ง เราก็ต้องโง่ ให้เป็นซะบ้าง ไม่ใช่ทำตัวอวดเก่งตลอดเวลา ทำเป็นหูหนวกซะบ้าง เมื่อได้ยินอะไรที่มันไม่มีประโยชน์ ทำเป็นตาบอดซะบ้าง จะได้ไม่เห็นอะไรมากเกินไป ..

....ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเรา เพียงแต่เปิดโอกาส ให้ัตัวเอง เพราะหากว่าเรา ยังคิดอยู่อีกว่า…ทุกอย่างในชีวิตเรา จะต้องเป็นไปตามคำพูดของคนอื่น เราก็จะไม่มีวันที่จะได้ตัดสินใจอะไรเองเลย เราจงลองทำตามที่ใจต้องการ ทำอะไรก็ได้ ในสิ่งที่ตัวเอง อยากทำ แต่ขอให้มัน ยังอยู่ในกด ที่พอควร…แล้วเราจะีมีความสุขกับสิ่งที่เราได้เลือกกระทำมัน….

หัวใจเศรษฐี

“ความร่ำรวย” คือ สิ่งที่คนขายตรงปรารถนาที่สุด เราทุ่มเททำงานหนักมาทั้งปีก็เพื่อความสำเร็จและความรวยแต่บางคนก็ไปถึงฝั่ง แต่หลายคนก็ยังอยู่ที่เดิม คือ ข้ามไปไม่ได้ คือ ไปไม่ถึงดวงดาว เราก็กลับมาทบทวนใหม่และถามตัวเองว่า “ทำไมเราไม่รวย”

ในทางพุทธศาสนามีบทสอนเกี่ยวกับความร่ำรวยไว้ชัดเจน คือ “หัวใจเศรษฐี” ไว้ 4 ข้อ ซึ่งเราสามารถนำมาเป็นผังชีวิตทางการเงินและเป็นเข็มทิศนำพาชีวิตเราไปสู่ความร่ำรวยได้อย่างแน่นอน

ข้อ 1 คือ “ขยัน” เราสร้างเครือข่ายเราต้องขยันเชิญคน ขยันขาย และขยันติดตามอย่างสม่ำเสมอองค์กรเราเติบโตอย่างแน่นอน

ข้อ 2 คือ “เก็บเงินที่ได้” เราต้องวางแผนการเงินอย่างเข้มงวด มีสติในการให้ การใช้ การเก็บ และการลงทุนอย่างมีหลักการและฉลาดใช้จ่ายเงินอย่างมีสติและปัญญา เราก็จะมีเงินเหลือเก็บอย่างแน่นอน

ข้อ 3 คือ “เลือกคบคนดี” หมายถึงเพื่อนที่จะไม่พาเราไปสู่ที่ไม่ดี คนดี คือ คนที่คิดดี พูดดี และทำดีต่อเรา แนะนำสิ่งดีๆ นำความเจริญมาให้เรา การเลือกคบคนจึงสำคัญอย่างยิ่งต่อความร่ำรวยของเรา

ข้อ 4 คือ “ใช้ชีวิตเรียบง่าย” หมายถึง ความพอดี พอประมาณ กินพอดี อยู่พอดี ใช้จ่ายพอดี ไม่เกินฐานะและรายได้ที่เรารับมาการใช้จ่ายเกินตัว คือ ปัญหาอันแท้จริงของคนขายตรง อย่าลืมเวลาธุรกิจขาขึ้น รายได้เยอะ รายจ่ายก็เยอะ แต่เวลายอดขายลูกทีมย้ายค่าย รายได้ตก แต่ค่าใช้จ่ายเท่าเดิม ก็จะเกิดความเครียดตามมา เหตุผล คือ ความไม่พอเพียงนั้นเอง

ความร่ำรวยต้องเริ่มจากบริหารตัวเองให้ได้ก่อนควบคุมตัวเองได้ ควบคุมอารมณ์ได้ มีสติเตือนไม่ควรนำเงินอนาคตมาใช้กับปัจจุบัน คนรวยกับคนจนต่างกันตรง “ความคิด” และ “นิสัย” คนรวยเห็นคุณค่าของเงิน ใช้จ่ายประหยัดวางแผนการเงินและควบคุมการเงิน ไม่ใช้จ่ายตามกระแส ไม่ฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นตัวของตัวเอง ไม่เคลิบคลิ้มไปตามอารมณ์และการชักจูงจากคนอื่น หยุดตัวเองได้ ไม่ตามใจตัวเองเกินไป

ความจริงเราเป็นคนรวยได้ เพียงแค่เราเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองและนำหลักการของคนรวยมาเป็นเข็มทิศ เราก็ทำได้อย่างแน่นอนครับ
ปีใหม่นี้ผมขออวยพรให้แฟนคลับที่ติดตามผลงานการเขียนตลอดทั้งปี มีความสุข ความเจริญ ร่ำรวย รุ่งโรจน์กันทุกคน พบกันใหม่ฉบับหน้าครับ

พลังเครือข่าย‘ปูแดง’เอาคืน แจ้งสน.เอาผิด‘สคบ.-ดีเอสไอ’จ่ายค่าเสียหาย

สมาชิก‘ปูแดง ไคโตซาน’ไม่น้อมรับคำสั่งฆ่า ยัน‘เบสท์ 59’ไม่ใช่ ‘แชร์ลูกโซ่’ ซัด ‘สคบ.-ดีเอสไอ’ทำเกินกว่าเหตุ จนบริษัทต้องปิดกิจการ สมาชิกเดือดร้อนทั่วประเทศ สูญเสียรายได้กว่า 3 แสนคน พลังเครือข่ายสุดทน!ระดมพลกว่าพันคน เดินเกมเอาคืน รุดแจ้งความเรียกร้องค่าเสียหายจาก‘สคบ.ดีเอสไอ’แล้ว ด้านเกษตรกรต่างร่ำไห้! ยันผลิตภัณฑ์ ‘ปูแดง ไคโตซาน’แก้ไขปัญหาเกษตรกรได้จริง เพิ่มผลผลิต ปลดหนี้ ปลดสิน และสร้างเกษตรกรให้มีรายได้ พร้อมตะโกนถาม!สั่งฆ่า

‘ปูแดง’ทำไม?
หลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ นำโดย พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผบ.สำนักคดีอาญา ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้น บริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ โดยการกระจายกำลังเข้าตรวจค้นถึง 4 จุด ซึ่งจุดสำคัญอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ถนนแจ้งวัฒนะ ปากทางเข้าเมืองทองธานี โดยมีบรรดาแม่ทีมหรือผู้นำธุรกิจปูแดงกว่า 200 คน ได้แสดงอาการไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด บางคนถึงกับร่ำไห้ ด้วยเพราะความเชื่อมั่นว่า ปูแดงดำเนินธุรกิจมานานกว่า 7 ปี จากตึกเช่าจนมีอาคารสำนักงานใหญ่ และมีโรงงานเป็นของตัวเอง

อีกทั้งผลิตภัณฑ์การเกษตร ‘ปูแดง ไคโตซาน’ก็กำลังได้รับการยอมรับจากเกษตรกร จนเกิดกระแสนิยมเป็นวงกว้าง สร้างงาน สร้างอาชีพ ปลดเปลื้องหนี้สินเกษตรกรได้จริง แต่ทำไมยังโดนข้อหาแชร์ลูกโซ่ ทั้งๆที่พวกเขาต่างมั่นใจว่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ ทำให้ผู้นำหรือแม่ทีมทั้งหลาย ต่างรับไม่ได้กับการกระทำของสคบ.และดีเอสไอ

โดยผู้นำหรือแม่ทีมส่วนใหญ่ได้แสดงความคิดเห็นตรงกันว่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง ที่ทำให้พวกเขามีอยู่ มีกิน มีรายได้จากการทำธุรกิจขายตรง และยังช่วยให้เกษตรมีรายได้เพิ่ม หลุดพ้นจากการมีหนี้สินด้วย ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหลายพันรายเป็นกรณีศึกษา โดยผู้นำหรือแม่ทีมทั้งหมด ประกาศพร้อมเป็นพยาน และให้คำยืนยันว่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ไม่ใช่มันนี่เกมส์ ตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด แต่เหตุที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพราะว่า สคบ.มีความเข้าใจผิด ไม่เข้าใจธุรกิจขายตรงแผนไบนารี่ จึงทำให้คิดเอาเองว่า ไบนารี่ คือ มันนี่เกมส์ แต่ความจริงแล้ว ‘ไบนารี่’กับ‘แชร์ลูกโซ่’ต่างกันสิ้นเชิง

รุมประณามสคบ.-ดีเอสไอ
บรรดาผู้นำและสมาชิก ‘ปูแดง’จึงได้จัดทำแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ยื่นต่อสคบ.และดีเอสไอ โดยหนังสือระบุเนื้อหาว่า การที่สคบ.และดีเอสไอ ได้ตั้งข้อหาร้ายแรงอันเกินกว่าเหตุ ด้วยการสั่งปิดบริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ ‘ปูแดง ไคโตซาน’และอายัดทรัพย์ พร้อมสินค้าทุกรายการ ทั้งที่ถูกต้อง และไม่ถูกต้อง โดยไม่ยอมแยกแยะ กลับเหมารวมทั้งหมด ส่งผลให้บริษัทต้องหยุดกิจการทั้งระบบ ทั้งๆที่สคบ.เพียงสั่งเพิกถอนใบอนุญาตการขายตรงเท่านั้น แต่ยังสามารถขายปลีกได้ โดยบริษัท เบสท์ 59 จำกัด ไม่ได้ถูกสั่งปิด ยังทำการได้อยู่ สร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวประชาชนนับแสนคนอย่างหนัก ทำให้ขาดรายได้จากการทำอาชีพเครือข่าย ที่เคยได้รับประจำ เดือนละหลายหมื่นบาททุกๆเดือน บางคนมีรายได้นับแสนบาทต้องหายไปอย่างไม่ยุติธรรม สมาชิกครอบครัวอดอยาก ไม่มีจะกิน ไม่มีอาชีพ ไม่มีงานทำฉะนั้นสมาชิกบริษัท เบสท์ 59 จำกัด ซึ่งมีกว่า 3 แสนคน รับไม่ได้กับข้อกล่าวหาที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ ทั้งๆที่ดีเอสไอและสคบ. สามารถลงโทษจากเบาไปหาหนักได้ แต่ไม่ยอมกระทำ กลับสั่งประหารชีวิตพี่น้องประชาชน ทำให้ขาดรายได้เพียงชั่วข้ามคืนนับแสนๆคน

การกระทำดังกล่าว พวกเราขอประฌามสคบ.และดีเอสไอ เพราะหวั่นจะกลายเป็นเครื่องมือของบริษัทข้ามชาติ เพื่อทำลายขายตรงไทย ฉะนั้นพวกเราขอเรียกร้องความยุติธรรมในเบื้องต้น ดังนี้

1.ดีเอสไอและสคบ.ต้องพิจารณายกเลิกคำสั่งอายัดทรัพย์ และสินค้าของบริษัท เบสท์ 59 จำกัด เพื่อให้สมาชิกสามารถซื้อขายปลีกได้ตามที่เลขาธิการสคบ.ระบุว่า แค่เป็นการเพิกถอนในอนุญาตขายตรงเท่านั้น แต่ให้ขายปลีกได้

2.ดีเอสไอและสคบ.จะชดเชยค่าเสียหายให้กับสมาชิกที่เกิดจากการสั่งปิดบริษัท โดยการใช้มาตรการรุนแรงเกินกว่าเหตุได้อย่างไร,

3. ให้สคบ.ตรวจสอบบริษัทขายตรงข้ามชาติทุกบริษัทว่า มีการบังคับซื้อสินค้าในทุกๆเดือน เพื่อรักษาผลตอบแทนหรือไม่

4.ให้สคบ.ตรวจสอบบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับ 1,2,3 ว่า แจ้งรายการสินค้ากับสคบ.ครบทุกรายการหรือไม่ เพื่อแสดงให้เห็นว่า สคบ.ไม่ได้มี 2มาตรฐาน และ 5. การที่ดีเอสไอได้จับตัวนายเนตินันท์ ประดิษฐ์ชัย เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2553 ดีเอสไอจะต้องปล่อยตัวในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เพื่อให้สามารถต่อสู้คดีได้อย่างยุติธรรม...นั่นคือ ทั้งหมดของแถลงการณ์ของกลุ่มสมาชิกปูแดง โดยมีชมรมกลุ่มพลังเครือข่ายขายตรงเป็นตัวแทน

เกษตรกรร่ำไห้!ร้องหาปูแดง
ด้าน“สาธิต แดงจันทร์” หนึ่งในผู้นำธุรกิจ “ปูแดงไคโตซาน”กล่าวว่า อยากเรียกร้องขอความยุติธรรมให้กับ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด รวมถึงพี่น้องเกษตรกรไทยที่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ โดยอยากที่จะฝากถึงท่านนายกรัฐมนตรี รวมถึงหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นดีเอสไอหรือสคบ.ว่า หากมีความสงสัยอะไร ขอให้ได้พิสูจน์อย่างถูกต้องและยุติธรรม มีผู้เสียหายชัดเจนเสียก่อน การตรวจสอบต้องมีความโปร่งใส อย่าได้เอนเอียงฟังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งหากพบบริษัทที่เขาโกงจริง ก็ขอให้จัดการหน่อย แต่หากเป็นบริษัทที่เขาดำเนินธุรกิจ โดยที่ไม่มีการโกงเกิดขึ้น อยู่มาประมาณ 8 ปีแล้ว อย่างบริษัท เบสท์ 59 จำกัด ขอให้ได้พิจารณาด้วยว่า เขาโกงหรือไม่ การสั่งปิดบริษัท ทำให้สมาชิกต้องได้รับความเดือดร้อน แล้วอย่างนี้ ใครจะรับผิดชอบ เราในฐานะนักธุรกิจและเป็นเกษตรกร หรือผู้บริโภคด้วย ถามว่า สคบ.รับผิดชอบชีวิตของสมาชิกปูแดงได้หรือไม่

“หากอีกไม่กี่วัน เกษตรกรร้องเรียกหา ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ด้วยเพราะต้องการใช้สินค้า แต่ว่าเขาไม่ได้รับสินค้าแล้ว ใครจะรับผิดชอบ ถาม!เกษตรกรมีความเสียหาย ใครรับผิดชอบ และอีกหลายชีวิตของสมาชิกกว่าแสนคนของปูแดง ใครจะรับผิดชอบ หากเขาต้องตกงาน หรือไม่มีรายได้’

”โชติกา ลีเบี้ยว” ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบ่อกุ้ง และแกนนำเกษตรกร จังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า ปูแดง ไคโตซาน ถูกกลั่นแกล้ง ถูกสคบ.และดีเอสไอ หลอกลวง บิดเบือนความจริง และกระทำเกินเหตุกว่าที่ควรจะเป็น ตนในฐานะเกษตรกร ซึ่งเป็นผู้บริโภค และใช้ผลิตภัณฑ์ปูแดง ไคโตซาน พูดได้คำเดียวว่า ผลิตภัณฑ์ปูแดงดีจริง บริษัทสามารถช่วยเหลือและปลดหนี้เกษตรกรได้จริง เห็นได้จากครอบครัวของตน สามารถปลดหนี้ได้บางส่วน จากการใช้ปูแดงไคโตซาน ซึ่งมีหลักฐานทุกอย่าง เพื่อนเกษตรกร จังหวัดปราจีนบุรียืนยันได้ และสามารถตรวจสอบได้ แต่ทำไม ปูแดงจึงถูกยัดเหยียดความผิดให้ จึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับปูแดง ไคโตซาน

นอกจากนี้ ก็ยังมีผู้นำ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ซึ่งเป็นทั้งนักธุรกิจ ผู้บริโภค และเกษตรกรอีกหลายคน ซึ่งบางคนก็ยังอยู่ในอาการโศกเศร้าและร่ำไห้ ต่างได้กล่าวแสดงความรู้สึกต่อกรณีคำสั่งปิด ‘ปูแดง ไคโตซาน’ว่า ไม่มีความยุติธรรม และไม่มีความเป็นจริงแต่ประการใด เพราะปูแดงไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ พร้อมทั้งโชว์รถ ที่ซื้อมาด้วยหยาดเหงื่อในการทำธุรกิจปูแดง และโชว์ผลผลิตทางการเกษตรที่ได้รับหลังการใช้ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ที่ได้หอบหิ้วมาจากต่างจังหวัด เพื่อนำมาฝากประธานบริษัท และเพื่อนๆสมาชิกปูแดง แต่ไม่ทันได้แจกจ่าย ก็ได้ยินข่าวร้ายแล้ว

บางคนบอกว่า ทำธุรกิจปูแดงมาหลายปี ยังไม่เคยพบการร้องเรียนเลย และที่สำคัญ ปูแดงยังทำให้เกิดผลิตภัณฑ์การเกษตรหลากหลาย ในตลาดขายตรง โดยยึดปูแดงเป็นต้นแบบ พร้อมกับเชื่อมั่นว่า ทำธุรกิจปูแดงแล้ว มีชีวิตที่ดีขึ้นจริง มีเงินสามารถส่งเสียให้ลูกเรียน มีเงินออมเงินเก็บ และเงินทุกบาท ก็ไม่ได้โกงใครเขามา

ณ วันนี้ เกษตรกรไทยย่ำแย่อยู่แล้ว แต่ทำไมถึงมาซ้ำเติมเกษตรกรไทยอีก ทั้งๆที่เกษตรกรใช้ปูแดงแล้ว สามารถลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตได้จริง ซึ่งตรงนี้ คือ การทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ จึงอยากให้รัฐบาลช่วยที ช่วยไปถามเกษตรกรที่เขาใช้ปูแดงว่า เขามีผลผลิตดีจริงหรือไม่ ลดต้นทุนได้จริงหรือไม่ และมีรายได้เพิ่มจริงหรือเปล่า หากเป็นจริงแล้ว ก็ขอธุรกิจ‘ปูแดง ไคโตซาน’กลับคืนมา
การประท้วงของพลังสมาชิกปูแดง ไม่ว่าจะเป็นที่ดีเอสไอ หรือที่รัฐสภานั้น ต่างแสดงให้เห็นว่า สมาชิกปูแดงมีความเดือดร้อนจริง เกษตรกรผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ปูแดงมีความเดือดร้อนจริง หากปูแดงเป็นแชร์ลูกโซ่ เชื่อว่า พวกบรรดาผู้นำหรือแม่ทีมคงไม่มารวมตัวกันเดินประท้วง คงจะต้องหอบเงินหนีไปหมดแล้ว คงจะต้องวิ่งแบบตัวใครตัวมัน คงจะไม่มีความคิดเดียวกัน แต่วันนี้ยังคงยืนอยู่ครบทุกคน แล้วจะไม่หนีไปไหนด้วย เพราะมั่นใจว่า ธุรกิจปูแดงไม่ใช่แชร์ลูกโซ่

ฉะนั้น พลังสมาชิกปูแดงจึงจำเป็นต้องรวมตัวกัน เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำเกินกว่าเหตุของสคบ.และดีเอสไอ ส่งผลให้สมาชิกขาดรายได้ และหลายคนต้องตกงาน ที่สำคัญเกษตรกรเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ ‘ปูแดง ไคโตชาน’ใช้

แจ้งสน.เอาผิดสคบ.-ดีเอสไอจ่ายค่าเสียหายสมาชิก
ถัดมา เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2553 พลังเครือข่ายของบริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ ‘ปูแดง ไคโตซาน’กว่า 1,000 คน ก็ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสาองห้อง เขตหลักสี่ (24 ม.ค.2553) เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากสำนักคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หลังสคบ.และดีเอสไอกระทำเกินกว่าเหตุ เพิกถอนใบอนุญาต ตรวจค้นบริษัท จับผู้บริหาร ยัดข้อหาแชร์ลูกโซ่ จนทำให้บริษัท เบสท์ 59 จำกัด ต้องปิดกิจการ และทำให้สมาชิกเครือข่ายของบริษัทได้รับความเดือดร้อน และขาดรายได้จำนวนมาก

นายสาธิต แดงจันทร์ หนึ่งในแกนนำของสมาชิกบริษัท เบสท์ 59 จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้สมาชิก ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ซึ่งมีมากกว่า 3 แสนราย ทั่วประเทศ ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ทุกคนขาดรายได้ ไม่มีสินค้าใช้ ครอบครัวเดือดร้อนไปทั่วหน้า หลังจากดีเอสไอ และสคบ. ได้บุกค้นบริษัท เมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา พร้อมตั้งข้อหาร้ายแรงจนเกินกว่าเหตุว่า เป็นแชร์ลูกโซ่ ส่งผลให้บริษัทต้องหยุดกิจการไปโดยปริยาย ทั้งๆที่การทำธุรกิจขายตรงก็ทำเหมือนกับบริษัทอื่น คือ ซื้อสินค้าใช้ดีแล้วบอกต่อ ทำให้เกิดรายได้ ที่แน่นๆ ก่อนบริษัทจะยุติการทำขายตรงโดยคำสั่งสคบ. ไม่เคยได้ข่าวว่า มีสมาชิกคนไหนถูกบริษัทโกงเงินเลยแม้แต่รายเดียว
‘การที่บริษัทถูกตั้งข้อหารุนแรงแบบนี้ เชื่อว่า น่าจะถูกกลั่นแกล้งมากกว่า เพราะสินค้าและแผนตลาดของปูแดง ราคา และการจ่ายผลตอบแทน ไม่เคยเอาเปรียบเกษตรกร จึงเป็นที่ถูกใจของประชาชนทั่วประเทศ แต่ดีเอสไอ กลับตั้งข้อหาร้ายแรง จนเกินกว่าเหตุถึงกับยกระดับให้เป็นแชร์ลูกโซ่ ตรงนี้สมาชิกรับไม่ได้จริงๆ หรือถ้าบริษัทจะมีบางส่วนที่ได้กระทำผิดไปบ้าง อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สคบ.และดีเอสไอ ก็น่าจะมีโอกาสลงโทษจากเบาไปหาหนัก ด้วยการสั่งปรับบริษัท แล้วให้แก้ไขในส่วนที่ผิดให้ถูกต้อง แค่นี้ก็น่าจะเป็นการลงโทษที่เหมาะสม แต่หน่วยงานรัฐไม่ให้โอกาสตรงนี้เลย ใช้มาตรการรุนแรงเสมือนหนึ่งว่า ได้ตั้งธงไว้แล้ว’

นายสาธิตกล่าวอีกว่า การทำงานของสมาชิก ก็เหมือนๆกับเครือข่ายหรือขายตรงทั่วไป คือ ชวนคนเข้ามาบริษัท เพื่อรับฟังสิ่งดีๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนการจ่ายผลตอบแทน สินค้า ซึ่งหลายบริษัทก็ทำในลักษณะนี้ คือ ซื้อสินค้าไปใช้ดีแล้วบอกต่อ ทำให้เกิดรายได้ สินค้าปูแดงใช้แล้วเห็นผล เพิ่มผลผลิตได้จริง พิสูจน์ได้ เป็นการสร้างอาชีพที่ดี เมื่อดีเอสไอได้ตัดตอนทำลายอาชีพของพวกเราชาวปูแดงอย่างนี้ ก็ทำให้เราขาดรายได้ ขาดโอกาส ครอบครัวเดือดร้อน เกษตรกรไม่มีสินค้าใช้ สมาชิกทั่วประเทศ จำเป็นต้องมาแจ้งความร้องทุกข์ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมกับดีเอสไอและสคบ. ซึ่งเป็นต้นเหตุให้สมาชิกปูแดงทั่วประเทศได้รับความเสียหายจากการทำอาชีพขายตรง ที่แน่ๆดีเอสไอออกข่าวข่มขู่ประชาชนให้มาแจ้งความร้องทุกข์ กับดีเอสไอ ปิดบริษัทเขาไปแล้ว ยังจะบีบให้เขามาเป็นพวกอีก นี่หรือ ความยุติธรรม

แฉสั่งเชือด ‘ปูแดง’ รายต่อไปคือใคร?

แฉต้นตอ!เดินเกมคำสั่งฆ่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ยัดข้อหา ‘แชร์ลูกโซ่’ ก็แค่เด็กใหม่อยากได้หน้า เอาใจขายตรง ทุนข้ามชาติ ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่เข้าใจแก่นแท้ธุรกิจเครือข่ายขายตรง หลงผิดชงเรื่องเข้าทางเกม ล้มแผนไบนารี่ ด้านพลังคนเครือข่าย ฮือ!ต้าน ด่ากราดสคบ.ใช้ 2 มาตรฐานในทางปฏิบัติ ปลุกสมาชิก ‘ปูแดง’รวมพลังเครือข่ายกว่า 500 คน เดินขบวนประท้วง บุก‘ดีเอสไอ-รัฐสภา’ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ‘สาทิตย์ วงศ์หนองเตย’รับปาก พร้อมเคลียร์ปัญหา ‘ปูแดง’ แล้ว

ทันทีที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โดยนายนิโรจน์ เจริญประกอบ เลขาธิการสคบ. ในฐานะนายทะเบียน มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจขายตรงของบริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2552 และมีผลตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 4 มกราคมที่ผ่าน มา ก่อนที่สคบ.จะนำพาสื่อมวลชนกว่า 40 ชีวิต เดินทางไปร่วมงานแถลงข่าวการเพิกถอนใบอนุญาต ‘ปูแดง ไคโตซาน’ อย่างเป็นทางการ พร้อมการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์สื่อมวลชน ระหว่างวันที่ 15-16 มกราคม ที่ผ่านมา ณ สวนนงนุช จังหวัดชลบุรี ก็มีข้อสงสัยจากสื่อมวลชนหลากหลายแขนงตามมาหลายข้อคำถาม ถึงแนวทางการทำงานของสคบ.ว่า ทำไมสคบ.ถึงออกอาการลนลาน ในการแถลงข่าวปิดบริษัท ‘ปูแดง ไคโตซาน’ และการจัดแถลงข่าวของสคบ. ก็น่าจะเป็นการจัดฉาก ด้วยการอ้างการแถลงนโยบายและ ผลงานสคบ.ในปี 2552 แต่เป้าหมายหลักแล้ว ก็คือ ความต้องการกระจายข่าวคำสั่งปิด ‘ปูแดง ไคโตซาน’ อย่างมีเงื่อนงำ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม จากคอลัมน์ Direct Focus หน้า 12-13)

สั่งปิด ‘ปูแดง ไคโตซาน’
นายนิโรธ เจริญประกอบ เลขาธิการสคบ.ให้เหตุผลถึงคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจขายตรง ของ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ว่า เป็นนโยบายเชิงรุกในการตรวจสอบการดำเนินธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบ ตรงกว่า 500 บริษัทที่อยู่ในสาระบบ และจากการตรวจสอบการกระทำความผิด ก็ได้มีการเพิกถอนใบ อนุญาตการดำเนินธุรกิจขายตรงไปแล้ว โดยรายล่าสุด คือ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ซึ่งได้มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2552 และมีผลบังคับอย่างเป็นทาง เมื่อวันที่ 4
มกราคม 2553 ก่อนที่จะดำเนินการเพิกถอนการทำธุรกิจขายตรง เรามีความกังวลค่อนข้างมาก เพราะว่า การที่จะเพิกถอนใบอนุญาตการทำธุรกิจของเขาได้นั้น เราต้องมีหลักฐานในการกระทำผิดกฎหมาย เพราะถ้าเรายังไม่มีหลักฐานที่จะเชื่อถือได้ หรือว่า มีหลักฐานเล็กๆ น้อยๆ เราก็คงจะไม่สามารถไปเพิกถอนใบอนุญาตของเขาได้ เพราะอาจจะเกิดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในวงกว้างต่อสมาชิก เพราะปูแดงมีสมาชิกเป็นหลายหมื่นคน ฉะนั้นเราจะต้องมีความแน่ใจก่อนว่า เขากระทำผิด และฝ่าฝืนกฎหมายจริง ซึ่งเราก็ได้
ส่งสายไปแฝงตัวอยู่ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ก่อนเพิกถอนใบอนุญาตส่วนสาเหตุของการเพิกถอนใบอนุญาต ‘ปูแดง ไคโตซาน’ นั้น เป็นเพราะเขากระทำการที่ไม่เป็นไปตามแผนที่ได้จดทะเบียนไว้กับทางสคบ. เพราะแผนการจ่ายผลตอบแทนเข่าข่ายการระดมเงิน โดยการขนคนเข้ามาในระบบ เพื่อให้เกิดผลตอบแทนมากกว่าการขายสินค้า ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ในการที่จะเข้าไปดำเนินการจับกุมมาดำเนินคดี’

อีก 2-3 บริษัทจ่อคิวเชือด
ด้านนายสุวิทย์ วิจิตรโสภา ผู้อำนวยการฝ่ายขายตรงคนใหม่ ที่เพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งดูแลงานด้านธุรกิจขายตรง กล่าวว่า หลังสคบ.แจ้งให้บริษัทปูแดงรับทราบแล้ว บริษัทจะต้องยกเลิกการทำธุรกิจขายตรง ตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือ แต่บริษัทก็ยังสามารถที่จะยื่นอุทธรณ์เข้ามาได้ภายใน 30 วัน สำหรับประเด็นสำคัญนั้น อยู่ที่ว่า บริษัทได้จดทะเบียนขายตรง เมื่อปี 2546 มีการยื่นจดทะเบียนสินค้า
เพียง 2 ชนิด นั่นคือ ปูแดงไคโตซาน กับผงชูรสปูแดง หลังจากนั้นเมื่อปี 2551 บริษัทได้นำสินค้ามาดัดแปลงเพิ่มเข้ามาอีกกว่า 40 รายการ รวมถึงมีการนำเสนอให้คนที่เข้ามาร่วมธุรกิจ สมัครเป็นสมาชิก 3,800 บาท ซึ่งจะแบ่งเป็นค่าสมัคร 300 บาท ส่วนอีก 3,500 บาท จะเป็นการบังคับซื้อสินค้า 1 ชุด ทำให้บริษัทมีรายได้หลักจากการระดมทุนเข้ามา และเมื่อเห็นความผิดปกติเกิดขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสคบ. ดีเอสไอ ก็ต้องตรวจสอบ ‘ตอนที่สคบ.เชิญผู้บริหาร ‘ปูแดง ไคโตซาน’เข้ามาชี้แจง เขาทำท่ามีพิรุธหลายอย่าง บริษัทมียอดขายเดือน ตุลาคมปี 2552 สูงถึงกว่า 100 ล้านบาท และในเดือนพฤศจิกายน ก็มียอดขายเข้ามากว่า 90 ล้านบาท
พอถามว่า ซื้อวัตถุดิบมาจากไหน เขากลับตอบไม่ได้ ซึ่งนั่นก็แสดงว่า รายได้หลักนั้นมาจากการระดม เครือข่าย ไม่ได้มาจากการจำหน่ายสินค้าหรือว่า ส่งมอบสินค้าจริง

นอกจากนี้ บริษัทยังมีการปรับผลประโยชน์การจ่ายค่าตอบแทนที่มากพอสมควร ซึ่งสคบ.ส่งคนเข้าไปแฝงตัว เพื่อการตรวจสอบอยู่นาน เมื่อได้ข้อมูลมากพอแล้ว จึงได้ดำเนินการเพิกถอนใบอนุญาต ด้วยเพราะ ว่า มีการบิดเบือนการดำเนินธุรกิจขายตรง ซึ่งในความผิดตรงนี้ จะเป็นความผิดในฐานฉ้อโกงประชาชน ด้วย ตามพ.ร.บ.การฉ้อโกงเงิน โดยมีโทษจำคุก 5 ปี และมีความผิดเล็กๆน้อยๆอีก ดังนั้นเราจึงต้องนำ เสนอโทษทางคดี ตรงนี้จะเป็นหน้าที่ของดีอเสไอจะดำเนินการต่อไป และในขณะนี้ก็ยังมีอีก 2 -3 บริษัท ที่เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่เหมือนกัน ซึ่งบางบริษัทมีการแจกรถเบนซ์หรืออะไรต่างๆ เพื่อการล่อใจด้วย อย่างไรก็ตาม สคบ.ก็ต้องให้โอกาสเขาในการพิสูจน์ ให้เขามาชี้แจงว่า ที่เรากระทำนั้น เขามีหลักฐานจริงหรือเปล่า ตอนนี้ก็กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ เพราะว่า เขาเป็นผู้กระทำความผิดทางอาญา ซึ่งถ้าผิดจริงเขาจะเป็นผู้ต้องหาทางอาญาเข้าข่ายการฟอกเงิน ซึ่งเราก็มีหลักฐานมากพอที่จะดำเนินคดี’

ตั้งธงเชือดอย่างเดียว
นายสุวิทย์ยังกล่าวถึง 2-3 บริษัทขายตรงที่เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ ซึ่ง 2-3 บริษัทที่ว่า เป็นบริษัทขายตรงดำเนินแผนตลาดแบบไบนารี่ อย่างไรก็ตาม สคบ.ก็ต้องตรวจสอบทุกบริษัท โดยเฉพาะบริษัทที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว เพื่อติดตามดูว่า บริษัทใดไปดำเนินธุรกิจผิดแผกเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ อันเป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ ส่วนบริษัทที่ยังไม่ได้จดทะเบียน สคบ.ก็จะดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มข้นด้วยเหมือนกัน หากมีการร้องเรียน หรือมีข้อมูลชัดเจนในการกระทำความผิด ก็จะดำเนินคดีเช่นเดียวกันกับ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ‘การสั่งปิดปูแดง เพราะมีการร้องเรียนกันเข้ามาจากสมาชิก เพื่อให้สคบ.และดีเอสไอ เข้าไปตรวจสอบ แม้จะมีการร้องเรียนเข้ามาไม่มาก แต่ก็ต้องสกัดกั้นไว้ก่อน เพราะไม่อยากให้มันเ็นกระทบต่อวงกว้าง คือณ วันนี้ เรากล้าพูดได้เลยว่า ปูแดงถูกเพิกถอนใบอนุญาตแล้ว ไม่สามารถที่จะกระทำธุรกิจขายตรงได้อีกต่อไป เพราะฉะนั้นบรรดาแม่ทีมที่ไปชักชวนสมาชิกเข้ามาระดมทุน เพื่อที่จะเอาเงินค่าสมัคร เพื่อจะเอาเงินค่าบังคับซื้อต่างๆนั้น จะกระทำไม่ได้อีกแล้ว เพราะสคบ.ได้เพิกถอนใบอนุญาตปูแดงไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2552 และมีผลบังคับจริง เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2553 ส่วนการยื่นเรื่องอุทธรณ์ เขาก็สามารถทำได้ภายใน 30 วัน แต่เชื่อว่า เขาคงไม่มีการอุทธรณ์ คล้ายกับว่า เขาจะยอมรับส่วนการจัดงานของปูแดง ในวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา หากเขายังขายสินค้าอยู่ ก็ถือว่า เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบการจัดงาน ณ วันนั้น ไม่มีการขายสินค้าแต่อย่างใด อยากจะบอกว่าคำว่า ปุ๋ย ไม่สามารถนำมาขายในระบบเครือข่ายขายตรงได้ เพราะผิดพ.ร.บ.ปุ๋ย หากจะขายปลีก ก็ต้องขออนุญาตกรมวิชาการเกษตรก่อน แต่ที่เขานำมาขายในธุรกิจขายตรง เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพืช ซึ่งชาวบ้านก็มักจะเรียกว่า ปุ๋ย ในส่วนของปูแดง ไม่ใช่ปุ๋ย ไม่ใช่ยา แต่เป็นไคโตซาน เป็นเปลือกกุ้งจริงอยู่ไม่ใช่ปุ๋ย แต่ก็มีสารผสมตัวหนึ่งที่กรมวิชาการเกษตรระบุว่า เป็นปุ๋ย ขายไม่ได้ในธุรกิจขายตรง และเมื่อความจริงถูกเปิดเผย ปูแดงจะต้องเลิกล้มสถานเดียว’

‘ดีเอสไอ’บุกจับปูแดง
หลังสคบ.แถลงข่าวเสร็จ ถัดมาเพียง 2 วัน (19 ม.ค.2553 เวลา 10.30) กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ก็ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ บุกจับผู้บริหาร และค้นรัง ‘ปูแดง ไคโตซาน’ จำนวน 4 จุด โดยจุดสำคัญได้พุ่งเป้าไปที่อาคารสำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ปากทางเข้าเมืองทองธานี พร้อมยัดข้อหากระทำความผิดเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ ส่งผลให้บรรดาสมาชิกเครือข่ายของปูแดง เกิดความไม่พอใจ และส่งเสียงขับไล่ พร้อมความพยายามที่จะอธิบายแผนตลาด โดยระบุว่า เหตุที่ปูแดงถูกสั่งปิด เป็นเพราะคนสคบ.มีความเข้าใจผิดพลาดและคลาดเคลื่อน คนสคบ.เพียงรู้จักธุรกิจขายตรง แต่ไม่รู้จริง จึงเกิดการตัดสินใจผิดพลาด หรือไม่ก็ฟังความข้างเดียว แล้วเหมารวมว่าผิดแชร์ลูกโซ่ พร้อมกับยิงคำถาม ‘ปูแดงผิดอะไร ทำไมต้องมากลั่นแกล้ง’ หรือว่า มีเงื่อนงำ ใครสั่งมาฆ่าซึ่งสมาชิกปูแดงทุกคน ต่างส่งเสียงร้องยืนยันบริษัทไม่มีพฤติกรรมหลอกลวง เพราะสมาชิกสวมหมวก 2ใบ เป็นทั้งนักธุรกิจและผู้บริโภค ซึ่งเป็นเกษตรกร ย่อมรู้ดีว่า อะไรเป็นอะไร ธุรกิจปูแดงช่วยพี่น้องเกษตรได้จริง ทำให้พวกเขามีงานทำ มีรายได้จริง ที่สำคัญบริษัทเพิ่งได้รับรางวัลผู้ประกอบการดีเด่นจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้บรรดาสมาชิกยังเกรงว่า หากบริษัทถูกปิด ก็จะหยุดผลิตสินค้า แล้วจะเอาสินค้าที่ไหนไปใช้ในภาคการเกษตร และที่สำคัญหากต้องกลายเป็นคนว่างงาน และไม่มีรายได้แล้ว ใครจะรับผิดชอบ สคบ.จะรับผิดชอบได้หรือเปล่า ในฐานะสมาชิก ก็คือ ผู้บริโภคคนหนึ่งที่กำลังได้รับความเดือดร้อน...จนกระทั่งดีเอสไอ ซึ่งนำโดยพ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ ต้องนำกำลังล่าถอยกลับโดยไม่ได้รับอะไรกลับไปเลย แม้แต่เอกสารสักแผ่นเดียวด้าน พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ กล่าวให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวที่ดักรอนำเสนอข่าวว่า ดีเอสไอจำเป็นต้องเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อไม่ให้ประชาชนถูกหลอกลวง เพราะที่ผ่านมาในชั้นตรวจสอบของสคบ. นายสมปอง แซ่ตั้ง ประธานกรรมการ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ได้ให้การว่า หลังปรับแผนตลาดในปี 2551 บริษัทมีรายได้เดือนละ 100-120 ล้านบาท มีสมาชิกร่วมเครือข่ายประมาณ 10,000 ราย แต่จากการตรวจสอบรหัสการสั่งซื้อสินค้าพบว่า มีสมาชิถึง 1.9 ล้านรหัส ดีเอสไอจึงต้องตรวจสอบ เพื่อเปรียบเทียบว่า โรงงานมีกำลังผลิตสินค้าได้เพียงพอกับสมาชิกและยอดสั่งซื้อหรือไม่ และจ่ายผลตอบแทนกับสมาชิกตามเอกสารชี้ชวนให้ร่วมลงทุนหรือไม่

ฮือ! ต้านสคบ. 2 มาตรฐาน
ในเย็นวันเดียวกัน...ชมรมกลุ่มพลังเครือข่ายขายตรง นำโดย ‘กาย ไพรินทร์’ ประธานชมรม ก็ได้ออกมา จัดงานแถลงข่าวถึงความไม่ชอบมาพากลในการสั่งปิดธุรกิจปูแดง พร้อมทั้งแสดงความเห็นว่า สคบ.ยึดแนวปฏิบัติ 2 มาตรฐาน จนสร้างความเสียเปรียบได้เปรียบกันในเชิงธุรกิจของเอกชน และยังทำให้ธุรกิจขายตรงได้รับความเสียหายทั้งระบบ

โดย ‘กาย ไพรินทร์’ กล่าวว่า เหตุผลที่ต้องออกมาเคลื่อนไหว เพราะเห็นเงื่อนงำบางอย่างที่น่าจะไม่ถูกต้องแขวงตัวอยู่ ในการที่สคบ.ได้ตัดสินใจลงไป เพื่อการลงดาบเชือดคอ ‘ปูแดง ไคโตซาน’‘จากอดีตจนถึงปัจจุบัน วงการขายตรงไทย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่อย่างชัดเจน กลุ่มแรก ก็คือ กลุ่มยักษ์ใหญ่ที่อยู่มานาน 10 -20 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มธุรกิจขายตรงที่ใช้ผลตอบแทนแบบล่าช้า อาจจะมีมากที่สหรัฐอเมริกา แต่ทว่า แผนตลาดแบบที่กลุ่มยักษ์ใหญ่ใช้อยู่นี้ แทบจะล้มสลายไปแล้ว หลังจากนั้นแผนการตอบแทนได้ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนกลายมาเป็นแผนไบนารี่ หรือว่าไตรนารี่ ที่เมืองไทยได้นำมาพัฒนา และกำลังได้รับความนิยม จึงอยากให้พี่น้องคนไทยเข้าใจด้วยว่า แผนไบนารี่ เป็นแผนใหม่ที่เข้ามาเมืองไทยไม่ถึง 10 ปี ทำง่ายแนะนำคนมาสมัครสมาชิกซื้อสินค้า บางที 2 -3 คน ซื้อสินค้า ซื้อกินซื้อใช้ สะสมคะแนนตามแผนกำหนดการจ่ายผลตอบแทน ก็สามารถที่จะได้รับผลตอบแทนได้ประมาณ 1 อาทิตย์ หรือว่า 2 อาทิตย์เท่านั้นเอง แต่แผนการตอบแทนยุคเก่าๆ จะจ่ายผลตอบแทนให้กับสมาชิกส่วนใหญ่ตจะต้องใช้เวลา 1 เดือน
เห็นไหมว่า ความแตกต่างของขายตรงไทย มันเริ่มพัฒนาการที่รุนแรงมาก กลุ่มบริษัทเก่ากับกลุ่มบริษัทใหม่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น ฆ่ากันได้ต้องฆ่ากันให้ตาย ผมเองในฐานะที่คลุกคลีกับวงการนี้มานานแล้ว 10 กว่าปี รู้ตื้นลึกหนาบาง หรือรู้การทำธุรกิจเครือข่ายแบบเสือซ่อนเล็บ หรือแบบหน้าไหว้หลังหลอกอะไรต่างๆ พวกนี้มาเยอะ

แฉเงาดำครอบงำสคบ.
แต่วันนี้ ผมต้องแฉ และแฉพอเป็นน้ำจิ้มว่า ทำไมขายตรงคนไทย โดยเฉพาะขายตรงที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ พอจะลืมตาอ้าปากได้บ้าง พอจะมีชีวิตที่ดีขึ้นมาบ้าง ชาวบ้านชาวไร่ ชาวนา เกษตรกรมีชีวิต พอจะมีรายได้ขึ้นมาบ้าง แต่ทำไมบริษัทขายตรงเหล่านี้ต้องถูกประหารชีวิต ทำไมไม่ใช้แซ่เฆี่ยนก่อน หากผิดรุนแรงแล้วค่อยตัดคอ หลายบริษัทที่เกิดแล้วดับจากการพิพากษาของสคบ. ผมมองว่า ไม่ชอบธรรม เพราะสคบ.คือผู้คุมกลไกลกฎหมายขายตรงไทย ถ้าสคบ.ทำเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่า จะเป็นขายตรงยักษ์ใหญ่หรือยักษ์เล็ก นั่นคือ การทำที่ถูกต้อง แต่ที่ผ่านมา ไม่ใช่แบบนั้น ยักษ์ใหญ่ไม่เคยทำอะไรผิดเลย ทั้งๆ ที่มีหลายเรื่องผิดมาก เพราะการซื้อสินค้าเดือนต่อเดือนนี้ก็ถือว่าผิด ถ้าจะเอากันจริงๆ เพราะต้องบังคับซื้อทุกเดือนเหมือนกัน และสมาชิกต้องมารักษายอดไม่รู้สักเท่าไหร่พอบริษัทขายตรงรุ่นใหม่ๆเข้ามาปรับเปลี่ยนการทำงาน โดยที่ไม่มีการบังคับให้รักษายอดในแต่ล่ะเดือนหมายถึง คุณซื้อเท่าไหร่ แนะนำคนมาใช้ครบตามแผนตลาด เขาจ่ายผลตอบแทนภายใน 1 อาทิตย์ หรือว่า 10 วัน ก็แล้วแต่ ซึ่งถือว่า จ่ายได้เร็วมาก ซึ่งบริษัทขายตรงยุคใหม่จะเป็นแผนการตลาดยุคใหม่ทั้งสิ้นก็คือ แผนไบนารี่ หมายถึงแนะนำคนมาบริโภคสินค้า 2 -3 คน ส่วนแผนยุคเก่าๆ ไม่มีสิทธิ์เกิดในวงการขายตรงไทย เพราะชาวไร่ ชาวนา ชาวเกษตร ชาวบ้าน เขาทำยากกว่าจะได้เงิน นั่นคือ ปัญหาของขายตรงไทยที่เกิดขึ้น

ฉะนั้นผมต้องบอกว่า พี่น้องเขาเดือดร้อนมาก ก่อนหน้านี้ก็ไปจับค่ายโน้นค่ายนี้ โดยเขาจะตั้งข้อหาล่วงหน้าเลยว่า ระดมคนเป็นแชร์ลูกโซ่ ซึ่งเป็นแบบนี้มาไม่รู้กี่ยุคกี่สมัยแล้วกับขายตรงคนไทย บริษัทกำลังจะเติบโตจับอีกแล้ว จับจนชมรมคนเครือข่ายทนเหตุการณ์บ้านเมืองแบบนี้ไม่ได้จริงๆ เรียกว่า รับไม่ได้ เพราะเป็นไปได้ยังไง จับเขา แต่เจ้าทุกข์ไม่มีเลย ขอถามดีเอสไอว่า ทำไมถึงชอบจับจัง และมักชอบสร้างข่าวฉ้อโกง ทั้งๆที่เจ้าทุกข์ไม่มี หากมี ทำไมไม่นำเจ้าทุกข์มาเสนอให้กลายเป็นข่าวบ้าง จะได้รู้กันไปเลยว่า เขาเดือนร้อนจริง และเอกชนผิดจริง ในเมื่อเอกชนไม่ผิด ทำไมหน่วยงานรัฐถึงได้เอาคำว่า แชร์ลูกโซ่มายัดใส่มือประชาชนที่ทำมาหากินอย่างถูกต้อง

การสั่งปิดปูแดงจึงน่าจะมีเงื่อนงำ เพราะมีการปล่อยข่าวตลอดว่า บริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือปูแดงจะถูกทางการจับ ประมาณ 3 -4 วัน หลังจากนั้นสคบ.จัดงบ 5 แสนบาท จัดงานแถลงข่าวและเลี้ยงดูปูเสื่อสื่อมวลชน ผมไม่ได้บอกว่า สื่อมวลชนผิดนะ แต่ว่า เชิญไปที่สวนนงนุช เมื่อวันที่ 15-16 มกราคมที่ผ่านมาแถลงข่าวก่อน เพราะรู้ว่า บริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือปูแดง เขาจะจัดงานในวันที่ 17 มกราคม 2553 หมายถึงสคบ.ต้องการให้ออกข่าวว่า ปูแดงเป็นอะไรต่างๆพวกนี้จริงหรือไม่ สื่อมวลชนเขาไม่โง่ครับ อย่าเอาอะไรมายัดเยียด เพื่อให้ปั้นเป็นข่าว เขาต้องค้นหาความจริง ดูการนำเสนอข่าวช่วงวันที่ 15,16 และ 17 มกราคม 2550 หากเขาไม่ตรวจสอบข้อมูล หลายฉบับคงลงข่าวตามที่สคบ.ให้ข่าวไปแล้ว แต่ไม่มี ที่มีโผล่ออกมา ก็เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ ประเภท ‘คำสั่งฆ่า’ รอจนมีการจับ ถึงปรากฏเป็นข่าว ในวันที่ 19 มกราคม 2553 ซึ่งไม่เข้าทางสคบ.เอาเสียเลย เลขาธิการสคบ. ‘นิโรจน์ เจริญประกอบ’ บอกว่า บริษัท เบสท์ 59 จำกัด ไม่ได้ถูกปิด แต่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจขายตรง พอพูดเสร็จแล้ว ทางดีเอสไอก็บุกเข้าไปจับกุม ทั้งๆที่ท่านเลขาฯบอกว่าบริษัทไม่ได้ปิด และยังสามารถขายสินค้าได้ แต่ห้ามขายผ่านระบบเครือข่ายหรือขายตรง หมายถึง ยังขายปลีกได้ แต่เหตุอันใดต้องสั่งดีเอสไอไปจับกุม

จับได้ไง!ไร้คนร้องเรียน
หากจะถามว่า เจ้าทุกข์มีหรือไม่ ดีเอสไอตอบว่า มี เมื่อมีแล้ว ทำไมไม่นำมาแถลงข่าวต่อพี่น้องสื่อมวลชนเลยแม้แต่สักครั้งเดียว บุกจับปรับออกข่าวเลยว่า บริษัทนี้โกง แล้วเรียกให้คนมาคุย หรือมาเอาเงินมาคืนหรือให้ไปแจ้งความร้องทุกข์ แต่ที่ทำกันทุกวันนี้ โดยเฉพาะการปฏิบัติต่อธุรกิจขายตรงแล้ว หน่วยงานรัฐยังมีการปฏิบัติ 2 มาตรฐาน ทั้งๆที่แนวคิดเหล่านี้ ต้องสูญพันธ์ไปแล้ว เพราะเราไม่อยากเห็น

สคบ.เป็นเครื่องมือของใคร
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างนี้ ธุรกิจคนไทยมักถูกมองว่า เป็นการทำลายจากกลุ่มบริษัทข้ามชาติมาโดยตลอดเพราะมีเจ้าหน้าที่สคบ.บางคน บอกว่า ยัดเหยียดข้อหาอะไรไปแล้ว จับได้ทั้งหมด เพราะมีบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติพาเจ้าหน้าที่สคบ.ระดับสูงไปเลี้ยงดูปูเสื่อที่ต่างประเทศบ่อยๆ และมีสายใยสัมพันธ์ จนสามารถวางเก้าอี้สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน แบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าเมื่อเป็นอย่างนี้ บริษัทคนไทยที่พอเติบโตขึ้นมา 2-3 พันล้าน ก็ต้องถูกบอนไซ ไม่มีสิทธิ์ลืมตาอ้าปากเพราะทำอะไรต่อไปนี้ ผิดทุกอย่าง เพราะวงจรอุบาทพวกเดียวกันทั้งนั้น แม้จะให้บริษัทที่ถูกกระทำสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ แต่ความยุติธรรมก็ไม่เกิด เพราะพวกรับเรื่องอุทธรณ์เป็นพวกเดียวกัน จึงมีความน่าเป็นห่วงว่า ธุรกิจขายตรงที่เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชน ทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ ไม่เฉพาะปูแดง จะได้รับผลกระทบจากการกระทำของสคบ.ที่มีเงื่อนงำ และมีเงาทะมึนค้ำยันอยู่เบื้องหลังอีก โดยการยัดเยียดข้อหาซ้ำๆซากๆ อ้างธุรกิจแชร์ลูกโซ่ กลัวจะบานปลาย ต้องจับไว้ก่อน อะไรทำนองนี้ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว สคบ.เลือกปฏิบัติ 2 มาตรฐานหรือไม่ เพราะฉะนั้น คนในวงการขายตรงไทยต้องตื่นตัว เพราะหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ธุรกิจคนไทยจะไม่มีสิทธิ์เติบโต และที่สำคัญต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสคบ. เพื่อให้สคบ.มีความยุติธรรมและเป็นที่พึ่งได้ของประชาชนและคนขายตรงโดยแท้จริง’

‘ปูแดง’สู้ก่อม็อบประท้วง
เมื่อเกิดความไม่พอใจ กรณีดีเอสไอบุกเข้ามาจับกุม แม้จะไม่ได้เอกสารอะไรกลับไป แต่ก็มีรายงานในวันเดียวกันว่า ดีเอสไอได้จับกุมผู้ต้องหา ซึ่งเป็นผู้บริหารปูแดงไปแล้ว 1 ราย คือ นายเนตินันท์ ประดิษฐ์ชัย ส่วนผู้บริหารอีก 3 คน ยังคงหลบหนี ประกอบด้วย นายสมปอง แซ่ตั้ง ประธานกรรมการ นายธนาพัทธ์ กิจใบ และดร.วิชาญ จำปาขาว ทำให้สร้างความไม่พอใจให้กับบรรดาสมาชิกปูแดงเพิ่มขึ้น โดยสมาชิกกว่า 300 ราย ยังคงปักหลักอยู่ที่สำนักงานใหญ่ ก่อนจะเรียกสมาชิกในต่างจังหวัดเข้ามาสมทบ ระดมกำลังได้มากกว่า 500 คน เดินทางไปยื่นหนังสือประท้วงต่อดีเอสไอ พร้อมบุกถึงรัฐสภาในวันถัดมา เพื่อยื่นหนังสือถึงนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับและดูแลงานสคบ.ให้ตรวจสอบการทำงานของสคบ.ในการตั้งข้อแชร์ลูกโซ่ และสั่งปิด ‘ปูแดง ไคโตซาน’โดย ‘กาย ไพรินทร์’ ประธานชมรมพลังคนเครือข่าย เป็นตัวแทนยื่นหนังสือประท้วง พร้อมกับกล่าวว่า สมาชิกของบริษัท เบทส์ 59 จำกัด หรือ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ได้รับความเดือนร้อนอย่างหนัก จากการปิดบริษัท เบสท์ 59 จำกัด ของดีเอสไอ และทางสคบ. ที่ถือว่า เป็นต้นเหตุที่ทำให้สมาชิกปูแดงต้องเดือดร้อนทำให้ขาดรายได้ ซึ่งปกติพวกเขาเอง จะต้องมีรายได้เป็นหลักพัน หลักหมื่น พอปิดบริษัท ทำให้สมาชิก3-4 แสนคน เดือดร้อนอย่างหนัก

สมาชิกจึงต้องออกมาเรียกร้องค่าความเสียหาย และเรียกร้องความชอบธรรมจากดีเอส ไอ และสคบ. พร้อมทั้งต้องการให้มีการสังฆยนาระบบขายตรงทั้งหมด เนื่องจากปัจจุบันกฎหมายขายตรงยังล่อแหลม ยังเป็นเครื่องมือของบริษัทยักษ์ใหญ่ ฉะนั้นไม่ว่า จะเป็นรัฐมนตรี หรือว่านายกรัฐมนตรี จะต้องหาทางเยียวยาเป็นการด่วน ไม่อย่างนั้น ปัญหาจะลุกลาม และบริษัทขายตรงไทยจะเกิดขึ้นไม่ได้ การยื่นหนังสือต่อนสาธิตย์ในครั้งนี้ ต้องบอกว่าเราเองต้องมีการหารือกันอีกที เพราะเราถือว่าเรามาทำหน้าที่ของเรานั้นจบแล้ว แต่ขบวนการต่อไปก็จะมีหลายๆ สเต็ป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้น เราเองคงหา คำตอบภายในวันเดียวคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน

สำหรับขั้นตอนต่อไปนั้น เราจะจับตาดูการทำงานของหน่วยงานรัฐทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แบบเข้มข้นตรวจสอบกันแบบช็อตต่อช็อตว่า กระบวนการยุติธรรมมันมีแค่ไหน เพราะเราทำงานเพื่อมวลชน ไม่ได้ทำงานเพื่อบริษัท เบสท์ 59 จำกัด ซึ่งตรงนี้เป็นหน้าที่ของประธานชมรมกลุ่มพลังเครือข่ายขายตรง เราจะต้องเปลี่ยนแปลงความคิดครั้งใหญ่ เราต้องตื่นตัว ซึ่งหากเราไม่ตื่นตัว ไม่มีการต่อสู้ อยู่แบบหลบๆซ่อนๆแล้ว เราจะไปอยู่ที่ไหน คนไทยไม่มีสิทธิ์อยู่ได้ ทำอะไรก็ผิดหมด เพราะเราเล็ก ฉะนั้นบริษัทขายตรงไทยทั้งชาติ ประมาณเกินครึ่ง 70-80% ต้องมาร่วมแรงร่วมใจกัน ผนึกกำลังครั้งยิ่งใหญ่เพื่อต่อสู้ความเป็นธรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อย่างน้อยเราจะได้สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไม่ใช่กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่คอยชี้เป็นชี้ตายบริษัทเล็กๆ อย่างเราๆเพียงอย่างเดียว

‘สาทิตย’รับปากเคลียร์ปัญหาได้
ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้รับทราบเรื่องนี้มาตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ แล้วก็ได้สั่งให้ทางสคบ.นั้น ได้รายงานให้ทราบเป็นระยะๆ ซึ่งผมทราบดีว่า เรื่องนี้คงจะมีคนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งก็หมายถึง คนที่อาจจะเข้าไปร่วมในการค้าขายสินค้า โดยที่เข้าใจโดยสุรจิตว่า สามารถค้าขายสินค้าได้ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมเองก็ได้เรียกทางสคบ. มาพบแล้ว ส่วนทางดีเอสไอนั้น จะได้มีการประสานงาน เพื่อเรียกมาพบต่อไป ซึ่งต้องเรียนกับพี่น้องว่า เรื่องนี้มีอยู่ 2 ประเด็นด้วยกัน คือ

ประเด็นที่ 1 กรณีของบริษัทปูแดงนั้น เนื่องจากจดทะเบียนเป็นบริษัทขายตรง การยืนแผนธุรกิจไปก็ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ถ้าไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ก็จะเป็นหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการ แต่ในส่วนของผู้ที่ได้รับผลกระทบนั้น ก็ต้องเป็นเรื่องที่จะต้องมีการเข้าไปดูแล เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ผมเรียนกับพี่น้องที่มาประท้วงว่า จะให้ความเป็นธรรม ตามข้อเรียกร้อง ซึ่งลงชื่อด้วยประธานชมรม 5 ข้อด้วยกัน โดยใน 5 ข้อนี้ ผมเองได้รับทราบแล้ว และมีการพูดคุยกันแล้ว เรื่องกรณีที่เกี่ยวกับการการอายัดทรัพย์และสินค้าของบริษัท ซึ่งสมาชิกนั้นไม่สามารถซื้อขายได้ ผมเรียนว่า ทางสคบ.ชี้แจงว่า การดำเนินการครั้งนี้ ไม่มีผลต่อสินค้า ที่จะนำไปขายปลีก ความหมายก็คือว่า กรณีที่มีการอายัดนั้น ทางดีเอสไอจะต้องมีการชี้แจงว่า จะอายัดเท่าที่จำนวนที่จะเป็นพยานหลักฐานเพียงใด สำหรับในส่วนที่ต้องการขายปลีกนั้น ผมได้บอกกับทางประธานชมรมไปแล้วว่าให้ตั้งตัวแทนมาจำนวน 5 คน แล้วมาพบกับทางสคบ. เพื่อจะคุยกันว่า หากบริษัทประสงค์ที่จะมีการค้าขายสินค้าจะ
สามารถให้ดำเนินการต่อไปได้อย่างไร

ในส่วนที่เกี่ยวกับการชดเชยค่าเสียหายต่างๆ ที่เกิดจากหน่วยงานรัฐนั้น เนื่องจากในขณะนี้ ยังไม่มีการดำเนินคดีแล้วเสร็จ การประเมินความเสียหาย จึงยังไม่เกิดขึ้น แต่จะให้ตัวแทนทางสคบ. คุยกับตัวแทนทั้ง 5 คนว่า มีผู้เสียหายหรือไม่อย่างไร และในการที่จะเรียกร้องค้าเสียหายนั้น จะมีขั้นตอนในการดำเนินการอย่างไร ซึ่งต้องมีการลงทะเบียนผู้เสียหายกันต่อไปด้วย ในส่วนที่การตรวจสอบบริษัทขายตรงข้ามชาติอื่นๆ เป็นหน้าที่และผมเองก็จะสั่งให้ทางหน่วยงานสคบ.ตรวจสอบทุกบริษัทต่อไป ส่วนประเด็นที่ 4 ที่จะขอให้มีการตรวจสอบบริษัทที่แจ้งรายการสินค้ากับสคบ. และนำไปขายนั้น มีการแจ้งสินค้าที่ขายกับขายจริงครบทุกรายการหรือไม่ ผมจะสั่งสคบ.ให้ตรวจสอบทุกบริษัท ส่วนกรณีของที่ดีเอสไอ จับตัวผู้บริหารไป 1คน และต้องการให้มีการประกันตัว เรื่องนี้จะต้องเป็นไปตามกฎหมาย และเป็นดุลพินิจของดีเอสไอ ฉะนั้นเรื่องนี้เราเองไม่สามารถที่จะไปก้าวล่วงขบวนการตรงนั้นได้ แต่ทั้งนี้ ก็ยังยืนยันว่าจะมีการพูดคุยกับทางดีเอสไอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ที่ได้รับการดำเนินการตามกฎหมายต่อไปด้วย

เพราะฉะนั้น เรื่องทั้งหมดหลังจากที่ได้มีการตั้งตัวแทนไปแล้ว ก็สามารถพูดคุยผ่านทางตัวแทน แล้วก็นำไปพูดคุยกับทางสคบ. ซึ่งผมยืนยันว่า รัฐบาลจะให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ภายใต้กฎหมายที่ได้มีการบัญญัติเอาไว้ โดยจะคำนึงถึงการดำเนินการตามกฎหมาย แต่จะไม่ให้กระทบนอกเหนือจากที่มีผลกระทบเฉพาะเท่าที่ทำผิดกฎหมายเท่านั้น

ส่วนผู้ที่บริสุทธิ์อยู่ ก็จะได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายต่อไป อันนี้คือสิ่งที่ผมจะพูดกับพวกเราได้ ส่วนที่เหลือนั้น เป็นเรื่องที่ทุกท่านจะต้องพูดคุยกับทางผู้ที่มาร้องเรียน คือ คุณกายกับคณะว่า จะตั้งตัวแทนอย่างไร และก็ขอให้ประสานตรงกับทางสคบ. ถ้าหากว่า การพูดคุยนั้นยังติดขัดในประเด็น ปัญหาใดอยู่ ผมในฐานะประธานสคบ. ก็พร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือดูแลทุกท่านนั่นคือ ทั้งหมดของเหตุการณ์การสั่งปิด ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ซึ่งหากมีความคืบหน้าเป็นเช่นไร โดยเฉพาะผลของการเจรจาพูดคุยกับสคบ.และดีเอสไอจะเป็นอย่างไร หนังสือพิมพ์รายปักษ์ ‘ตลาดวิเคราะห์’จะเกาะติดสถานการณ์ และจะนำข่าวสารมานำเสนอต่อไป