วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

น้ำอัลคาไลน์

น้ำอัลคาไลน์ มีค่า ORP เป็น ลบ ข้างล่างนี้จาก web เครื่องกรองน้ำ ไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหน

วิธีทำให้น้ำมีค่าประจุ โออาร์พี เป็นลบ ( Negative ORP) มี 6 วิธี
1.ระบบ Elctrolysis(อิเลคโทรไลซิส)
คือ วิธีใช้กระแสไฟฟ้าในการแยกน้ำให้แตกตัวเป็นไอออน(Ionization) น้ำที่ได้จะมีโครงสร้างขนาดเล็ก(Electrolyzed Reduced Water) และถ้ามีเกลือแร่(Alkaline Salt) อยู่ในน้ำจะทำให้มีคูณสมบัติเป็นด่าง เครื่องกรองน้ำขนาดเล็กที่ใช้ตามบ้านซึ่งเรียกระบบนี้ว่า เครื่องWater Ionoizer จะแบ่งน้ำออกจากเครื่องกรองเป็น2 ท่อและ2 ก๊อก ไม่ให้บนกัน ท่อหนึ่งเป็นน้ำสำหรับอุปโภค มีค่า ORP เป็นบวก อีกท่อหนึ่งเป็นน้ำเอาใว้กินและทำครัวมีค่า ORP เป็นลบ

2.ระบบ Magnetic Technology
คือ เป็นวิธีการใช้อิทธิพลจากสนามแม่เหล็ก(Magnetic Field) โดยใช้พลังงานของแม่เหล็กขนาดความแรง 12,000 gauss โดยใส่ใว้ให้น้ำไหลผ่าน ทำให้อณูของน้ำ (H2O)ได้รับอิทธิพลของแรงสั่นความเร็วสูงเกิด High Vibration ทำให้กลุ่มโมเลกุลของน้ำ แตกตัวออกและจัดเรียงตัวเป็นกลุ่มขนาดเล็ก (เล็กกว่าน้ำประปาครึ่งหนึ่ง) ทำให้เซลล์ในร่างกายจะดูดซึมได้ง่าย พาเอาสารอาหาร เกลือแร่ วิตามิน เข้าไปในเซลล์อย่างมีประสิทธิภาพ และขณะเดียวกันก็สามารถเอาของเสียในเซลล์ซึ่งอาจจะสะสมนาน ออกมาทิ้งภายนอก

3.ระบบ Implosion Tecnology (Vortex)
Implosion (อิมโพลชั่น) คือการระเบิดเข้าข้างใน(แบบหลอดวิทยุแตก)หรือการเหวี่ยงเข้าหาตัว (Centripetal) เสียพลังน้อย ตรงข้ามกับคำว่า Explosion(เอกซโพลชั่น) ซึ่งเป็นระเบิดกระจายออก หรือการเหวี่ยงออกไป และต้องใช้พลังงานมาก จัดว่าเป็น To day Tecnology ที่สูญเสีย
ชาวออสเตรีย ชื่อ Victor Schauberger เป็นผู้คิดวอเทกซ์เทคโนโลยี่ (Vortex Tecnology) นี้ในปี ค.ศ.1958 โดยถือคติว่า งเข้าใจธรรมชาติและทำเลียนแบบ โดยเขาสังกตุจากการไหลของน้ำในลำธาร จะหมุนเป็นเกลียวเหมือนงูเลื้อยทำใลดแรงเสียดทาน น้ำธรรมชาติไม่ไหลเป็นเส้นตรง สะสารทุกอย่างจะบิดเป็นเกลียวจะเก็บพลังงาน ไมเสีย Subtle Energy ตัวอย่างเช่น ดี เอน เอ , สาหร่าย,การไหลของเลือด
นักวิทยาศาสตร์ ได้ประดิษฐ์เครื่องกรองน้ำที่บังคับให้น้ำหมุนเป็นเกลียวในแนวดิ่ง โดยวิวีปั่นอย่างเร็ว เลียนแบบการหมุนของพายุทอร์นาโดที่ทรงพลังคือเหวี่ยงเข้าใน อาจใช้เทคโนโลยี่ระบบแม่เหล็กร่วมด้วยตรงบริเวณใบพัด ใช้ความแรงสนามแม่เหล็กประมาณ 6,000-9,000 เกาซ์ ทำให้น้ำแตกตัวเป็นไอออนสามารถวัดค่า ORP สุทธิเป็นลบอยู่ระหว่าง -100mV ถึง -300mV และน้ำมีกลุ่มโมเลกุลขนาดเล็กอีกด้วย

4.ระบบBacterrial Activity Technology (เชื้อ อี เอ็ม - EM)
เป็นการใช้เชื้อจุรินทรีย์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีแบคทีเรีย(Bacteria)กับยีสท์ (Yeast -ส่างเหล้า) ผสมกัน เติมลงไปในน้ำ ทิ้งไว้ระยะเวลาตามกำหนดจนเกิด ปฎิกิริยาเคมีจากเอนไซม์ของจุลินทรีย์ ทำให้ค่า ORP ในน้ำเปลี่ยนเป็นลบ ซึ่งจะมากหรือน้อยแล้วแต่จำนวนเชื้อจุลินทรีย์ ระยะเวลาที่เชื้อเจริญงอกงามอยู่ในน้ำ ลักษณะและปริมาณอาหารของมัน
เชื้อจุรินทรีย์ที่รู้จักดีในกรณีนี้เรียกว่า Effective Micro organnisms มีชื้อย่อคือ EM ค้นคิดครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น สามารถ จะทำให้น้ำมีค่า ORP -450 mV ภายใน 26 ชั่วโมง เชื้อ EM ได้ถูกนำไปใช้ในหลายธุรกิจ ที่ต้องการให้มีอิเล็กตรอนประไฟฟ้าลบเพื่อต้านอนุมูลอิสระ โดยมากจะเป็นงานด้านเกษตร เช่น การปลูกพืชปลอดมลพิษ,ผักชีวภาพ,ใช้กำจัดสารพิษทั้งในน้ำและบนดิน
เชื้อ EM นี้มักจะเอาไปใช้กับบ่อกำจัดน้ำเสีย มากกว่าไปทำน้ำดื่ม

5.ระบบ Heat Tecnology
การผลิตน้ำที่ให้ค่าโออาร์พีเป็นลบ (ORP-)เพื่อประกอบธุรกิจขายน้ำโดยตรง(ไม่ใช้ขายเครื่องกรอง) จะใช้ความรู้ในวิชา Physical Chemistry
ซึ่งวิธีที่รู้จักกันดี คือ พ่นไอน้ำให้ไปกระทบแผ่นโลหะที่ร้อนจัด เช่น ใยทังสเตนเผา เมื่อเย็นลง น้ำที่ได้จะมีค่าโออาร์พีเป็นลบสูง ประมาณ ORP-400mV ถึง
-600 mV แต่ค่าความเป็นกรดด่างเกือบคงเดิม เหมือนก่อนที่จะพ่นเป็นไอน้ำ เนื่องจากส่วนมากจะใช้น้ำกรองด้วยระบบอาร์โอ(Reverse Osmosis)
เป็นน้ำ ดิบในการผลิตทำให้ค่า pH (ความเป็นกรดด่าง) ออกมาในลักษณะเกือบเป็นกลางเพราะไม่มีเกลือแร่ แต่มีค่า ORP เป็นลบ ซึ่งอาจจะเหมาะเป็นน้ำดื่มสำหรับคนไข้โรคไตบางประเภทและช่วยป้องกันโรคความ เสื่อมต่างๆ เช่นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบ โรคมะเร็งฯลฯ อีกด้วย แต่ทั้งนี้ควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา

6. ระบบNanotechnogyใช้Silica Hydride(SiH4)
ซิ ลิก้าไฮไดรด์ ที่อยู่ในธรรมชาติก็จะมีไฮโดรเจนประจุลบ เพราะธาตุซิลิก้าจะมีลักษณะรูพรุนจึงเหมาะเป็นที่อยู่ของActive Hydrogen(H-) ซึ่งเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่ดีที่สุด
ดร.ฟลานาแกน ได้ศึกษาน้ำจากภูเขาตามธรรมชาติ ในประเทศปากีสถานด้านทิศตะวันตก คือน้ำจากหมู่บ้านหรรษา(Hunza water) ทำไมคนในหมู่บ้านอายุยืนยาวและแข็งแรงเป็น 100 ปี พบมีสารซิลิก้าไฮไดรด์ ละลายอยู่ด้วย

ที่นี่มีคำตอบ .........

http://dmc.tv/articles/Answers_law_kamma/page1.html

ทำพิธีกงเต็กได้บุญจริงหรือ

ทำพิธีกงเต็กได้บุญจริงหรือ

คำถามจากทางบ้าน:
แม่ของผมเป็นคนจีน ในช่วงวันตรุษวันสารทของชาวจีน ท่านจะเชือดไก่ไหว้เจ้าเป็นประจำ เมื่อผมเข้าวัด ได้ศึกษาธรรมะก็บอกให้แม่เลิกฆ่าไก่ แต่แม่ก็ยังไม่เลิก ท่านบอกว่า “ซื้อเขามาน่ะ มันกินไม่อร่อย” เพิ่งจะมาเลิกทำเมื่อตอนอายุย่างเข้าสู่วัยชราแล้ว
แม่ยึดมั่นในประเพณีจีนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการทำพิธีกงเต็ก ถึงกับสั่งว่า เมื่อท่าตายแล้วต้องทำพิธีกงเต็กให้ด้วย เมื่อท่านละโลก ผมก็ได้พยายามอธิบายให้กับญาติพี่น้องว่า การทำกงเต็ก ทำไปก็ไม่ได้อะไร คนที่ตายแล้วเขาต้องการบุญอย่างเดียว ซึ่งบางคนก็ให้เหตุผลว่า แม่สั่งไว้ ต้องทำตามคำสั่ง ผมก็ให้เหตุผลว่า แม่สั่งอย่างนั้น เพราะความไม่รู้ ตอนนี้ตายแล้ว แม่รู้แล้วว่า ชีวิตหลังความตายต้องการบุญอย่างเดียว การที่เราทำให้ดีกว่าที่สั่ง แม่น่าจะรู้สึกขอบคุณลูกมากกว่าผูกโกรธที่ขัดคำสั่ง แต่ผมเพียงเสียงเดียว ไม่อาจห้ามญาติพี่น้องได้ ในงานศพของคุณแม่จึงมีพิธีกงเต็กขึ้น ผมอยากทราบว่า คุณแม่รู้สึกอย่างไร เมื่อเห็นลูกๆจัดพิธีกงเต็กให้ท่าน และท่านได้รับบุญจากการทำพิธีกงเต็กไหมครับ
ที่นี่มีคำตอบ:
ก่อนตายแม้คุณแม่จะเจ็บป่วยทรมานขนาดไหน ก็พยายามนึกถึงบุญ ตามที่ลูกๆได้บอกท่าน ทำให้ท่านนึกถึงบุญได้ แต่สลับกับระลึกถึงการฆ่าเป็ดไก่ เพราะบางช่วงท่านทรมาน ท่านก็นึกว่า ทำไมเราป่วย ทรมานนักนะ เราคงไปฆ่าสัตว์ตรงโน้นตรงนี้มั้ง ก็ระลึกสลับกัน ทำให้ภาพเหล่านั้นมาฉายให้เห็นเป็นระยะ คือ เดี๋ยวก็ภาพบุญเดี๋ยวก็ภาพบาป ใจของท่านจึงไม่ถึงกับหมอง แต่ก็ไม่ใสมาก ได้ไปเกิดเป็นครุฑ ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาทันที ไปแบบหลับแล้วตื่นอยู่กลางวิมานทอง คือ เกิดแบบโอปปาติกะ ในหมู่ครุฑชั้นดี มีขนสีทอง มีเครื่องประดับแบบเทพธิดา ไม่ได้เปลือยกาย ส่วนล่างเป็นนก
ตอนนี้ท่านกำลังเรียนรู้ชีวิตใหม่ที่ตนเองไปเกิด ไม่ได้สนใจว่า ลูกจะทำพิธีกงเต็กไปให้ และท่านก็ไม่ได้รู้เห็นด้วย แม้ในขณะนี้ก็ไม่ได้สนใจเรื่องกงเต็ก ส่วนกงเต็กที่ทำไปก็ไม่ได้เกิดบุญ ได้แค่ความสบายใจที่ได้ทำตามแม่สั่ง และทำตามประเพณีทีสืบทอดกันมา
ประเพณีการทำกงเต็กเป็นประเพณีของนักคิด คิดว่าถ้าตายไปแล้ว เราอยากจะมีอะไรเราก็ทำ อยากได้รถก็ทำกระดาษเป็นรถ อยากมีบ้านก็ทำกระดาษเป็นบ้าน อยากมีคนรับใช้ก็ทำกระดาษเป็นคนรับใช้ อยากมีอะไรเราก็ทำๆไป เผาแล้วก็จะได้สิ่งนั้น ถ้าเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นก็ดีสิ เรื่องอะไรเราจะทำอันเล็กๆ ทำทีก็เท่าสภาธรรมกายเลย เผาให้มันเต็มที่ มันเป็นเรื่องของนักคิด ที่ตั้งทฤษฎีนี้ขึ้นมา แล้วก็นักขาย คือ จะได้ขายอุปกรณ์ในการทำ กับนักพิธีกรรม จะได้ทำพิธี ซึ่งเป็นทางมาแห่งรายได้ทางหนึ่ง ที่จะทำให้ชีวิตมีความสะดวกสบายขึ้น นี่เป็นอย่างนี้ แล้วจะไปเป็นบุญได้อย่างไร
ถ้าจะเป็นบุญ ต้องทำให้ถูกหลักวิชชา เอามาทำบุญกับเนื้อนาบุญ ถวายกับพระหรือสงเคราะห์โลก ให้กับคนยากคนจนขัดสน
โดย คุณครูไม่ใหญ่ (พระราชภาวนาวิสุทธิ์)

ฮวงซุ้ย

ฮวงซุ้ย

คำถามจากทางบ้าน:
คุณย่า ท่านเสียชีวิตอย่างสงบ เมื่ออายุได้ 83ปี ตามธรรมเนียมคนจีน ญาติผู้ใหญ่ที่เสียชีวิตจะถูกนำไปฝัง ถ้าฝังถูกทิศ ลูกหลานก็จะทำมาค้าขึ้น ปัจจุบันทุกคนก็มีกินมีใช้ แต่ญาติอีกฝ่ายบอกให้ขุดกระดูกขึ้นมา ลูกๆก็ไม่ยอม เพราะเกรงว่าจะมีผลไม่ดี แต่ไม่ทราบจะทำอย่างไรดี การขุดกระดูกคุณย่าจะมีผลดีหรือผลเสียอย่างไรไหมคะ
ที่นี่มีคำตอบ:
การขุดกระดูกคุณย่าขึ้นมาไม่ได้ทำให้มีผลดีหรือผลเสียอะไรกับลูกหลาน เพราะจะยากจนหรือร่ำรวยก็ขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่แต่ละคนสร้างมหาทานบารมีมา การมีฮวงซุ้ยก็เป็นสิ่งที่ดี เกี่ยวกับคุณธรรมความกตัญญูของลูกหลานที่มีต่อบรรพบุรุษบุพการี ไม่ได้เกี่ยวกับว่า ถ้าฮวงซุ้ยอย่างนี้ ถูกทิศนั้นทิศนี้ แล้วจะร่ำรวย ลูกหลานจะอยู่ดีมีสุข เพราะมีอยู่หลายรายที่เขาทำถูกทิศดี แต่ลูกหลานก็ยังยากจน มีหนี้สินเยอะแยะ
เพราะฉะนั้น จะร่ำรวยหรือยากจน มันขึ้นอยู่กับบุญกุศลว่า เราได้สร้างมหาทานบารมีเอาไว้แค่ไหน ถ้าหากไม่มีมหาทานบารมี ให้มีวุฒิสูง เรียนสูง ได้ปริญญากี่ใบก็ตาม ก็ยังเป็นได้แค่มือปืนรับจ้าง คือ เป็นลูกจ้างเขา แต่ถ้าหากมีมหาทานบารมี ได้สั่งสมบุญมา เดี๋ยวก็จะมีจังหวะ มีช่องทาง บุญบันดาลให้สมบัติไหลมาเทมา ซึ่งเราก็เห็นกันอยู่ทั่วๆไป บุญจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ขาดไม่ได้ ต้องสั่งสมเอาไว้ให้มากๆ
โดย คุณครูไม่ใหญ่ (พระราชภาวนาวิสุทธิ์)

ศาลตี่จู่เอี๊ย

ศาลตี่จู่เอี๊ย

คำถามจากทางบ้าน:
ภุมมเทวาใช่พระภูมิที่อยู่ในศาลพระภูมิหรือตี่จู่เอี๊ย1 หรือไม่คะ เพราะศาลพระภูมิกับตี่จู่เอี๊ยเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับบ้านเกือบจะทุกบ้าน เป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมา แต่เราไม่เคยเข้าใจอย่างแท้จริงว่า สิ่งนี้ คือ อะไรกันแน่
1เจ้าที่ตามบ้าน ลักษณะศาลสีแดง วางไว้กับพื้น มีทั้งองค์แป๊ะกง และแป๊ะม่า (ผู้ชาย-ผู้หญิง หรือผู้สูงอายุ)
ที่นี่มีคำตอบ:
ภุมมเทวามีหลายพวก แต่ที่ศาลตี่จู่เอี๊ยนี้ ซึ่งตั้งกันตามประเพณี เพราะเชื่อว่ามี แต่บาทีก็มี บางทีก็ไม่มี ภุมมเทวาอยู่ที่ศาลก็คือ พวกผีบ้านผีเรือน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบรรพบุรุษหรือญาติของครอบครัวนั้น ที่ยังไม่ได้ไปเกิดยังวนเวียนอยู่ในบ้าน เพราะฉะนั้น บางศาลที่ตั้งไว้ก็ไม่มี บางศาลก็ตั้งไปตามธรรมเนียม ไม่ตั้งเดี๋ยวโดนว่า บางศาลตั้งไว้เผื่อเหนียว เพราะเชื่อว่ามี แต่มันไม่มี
โดย คุณครูไม่ใหญ่ (พระราชภาวนาวิสุทธิ์)

ข้อปฏิบัติสำหรับตี่จู่เอี๊ย และศาลพระภูมิ

ข้อปฏิบัติสำหรับตี่จู่เอี๊ย และศาลพระภูมิ

คำถามจากทางบ้าน:
ทั้งตี่จู่เอี๊ยและศาลพระภูมิซึ่งมีอยู่เกือบทุกบ้าน และเราก็ไม่อาจทราบได้ว่า มีผีบ้านผีเรือน หรือบรรพบุรุษอยู่ในนั้นหรือไม่ เราควรจะปฏิบัติต่อสิ่งทั้งสองนั้นอย่างไรจึงจะถูกต้องเหมาะสม ถ้าทำไม่ถูกต้อง เขาสามารถให้คุณหรือโทษกับผู้ที่อยู่ในบ้านได้ไหมคะ แล้วเวลาเราไปซื้อบ้านใหม่ต้องมีของสองสิ่งนี้ไหมคะ
ที่นี่มีคำตอบ:
ตี่จู่เอี๊ยและศาลพระภูมิมีสองประเภท คือ
1.ประเภทไม่มีผีบ้านผีเรือน
2.ประเภทที่มีผีบ้านผีเรือน
เรามาพูดถึงประเภทที่มีผีบ้านผีเรือนอยู่ อย่าลืมว่าผีบ้านผีเรือน คือ ภุมมเทวาชนิดหนึ่ง เป็นภุมมเทวาชั้นล่าง เขาไม่ได้อยู่ที่ตี่จู่เอี๊ยและศาลพระภูมิ แต่สองสิ่งนี้แค่เป็นสื่อเชื่อมถึงเท่านั้น เพราะภพภูมิเขาอยู่ซ้อนๆกับเรา บางที่เขาก็นั่งหรือนอนอยู่กับเรา ถ้ามีบุญขึ้นมาอีกหน่อยก็จะมีห้องเป็นส่วนตัวของเขา อยู่ในมุมหนึ่งของบ้าน คือ เป็นบ้านซ้อนบ้าน ห้องซ้อนห้อง ถ้าบ้านพังหรือรื้อบ้านก็ต้องย้าย เพราะหมดบุญ หรือบางทีก็อยู่ตรงนั้น
ดังนั้น จะตั้งศาลพระภูมิหรือไม่ตั้งก็เหมือนกัน เพราะเขาไม่ได้อยู่ที่ศาลพระภูมิหรือตี่จู่เอี๊ย แต่ความเห็นของครูไม่ใหญ่ เห็นว่าไม่ควรตั้ง จะได้มีที่โล่งๆและไม่เป็นที่หวาดกลัวของลูกหลานว่า จะเห็นนั่นเห็นนี่ หรือเป็นเครื่องกังวลว่า จะปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องก็กลัวจะมีโทษ กลับเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ใจได้ เพราะ ฉะนั้น ถ้าจะติดต่อกับผีบ้านผีเรือน หรือภุมมเทวาที่เป็นบรรพบุรุษ ก็ให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ซึ่งจะเป็นที่พึงพอใจของท่านเหล่านั้น
ส่วนท่านที่ตั้งไปแล้ว ก็ให้อัญเชิญออกไป โดยการใช้คำพูดที่ไพเราะว่า สถานที่เหล่านี้ไม่เหมาะสมกับบารมีท่าน ให้ไปอยู่วิมานที่สวยงามกว่านี้ แล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ พูดเสร็จก็อัญเชิญออกไป จะได้ไม่เป็นภาระ พูดง่ายๆ คือ รักต้องรื้อ
โดย คุณครูไม่ใหญ่ (พระราชภาวนาวิสุทธิ์)

คนเลี้ยงกุมารทอง

ความเชื่อกับความใช่
61.คนเลี้ยงกุมารทอง
คำถามจากทางบ้าน:
คนที่เลี้ยงกุมารทอง มีโอกาสไปเกิดเป็นกุมารทองไหมคะ

ที่นี่มีคำตอบ:
คนที่เลี้ยงกุมารทองก็จะคิดเอาพวกนี้เป็นที่พึ่ง มักจะไม่ค่อยคิดเรื่องการทำความดีให้ยิ่งๆขึ้นไป คือ พอมาผูกพันทางนี้แล้ว ความคิดที่จะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็ไม่มีอยู่ในหัวใจ หรือความตั้งใจจะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวก็ไม่มี วันๆจะวนเวียนเรื่องกุมารทอง เมื่อตายแล้วมักจะวนเวียนอยู่กับวิทยาธร หรือไปเข้าสิงๆทรงๆ หรือไปช่วยเรื่องพวกนี้ ถ้าหากพอมีบุญบ้างไม่ได้ทำบาปอะไรมากมายนัก อย่างมากก็ไปได้แค่เป็นวิทยาธรอยู่ในป่าหิมพานต์ จะไม่ไปสูงกว่านี้ แล้วก็มีสิทธิ์ไปเกิดเป็นกุมารทองให้เขาใช้ และพวกนี้เวลาเกิดมาเป็นมนุษย์ มักจะเป็นร่างทรง
โดย คุณครูไม่ใหญ่ (พระราชภาวนาวิสุทธิ์)

วัยรุ่นกับงานเครือข่าย

นับเป็นความน่ายินดียิ่ง ที่วัยรุ่นไทย สมัยนี้สนใจทำงานหารายได้เสริม โดยเฉพาะการทำงานผ่านสื่ออินเตอร์เน็ท ที่กำลังได้รับความนิยมมาก ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว กลุ่มวัยรุ่ยจะเน้นไปที่การทำงานออนไลน์ ต่างๆซึ่งลักษณะการซื้อเฟรนไชด์ บอกต่อแล้วมีรายได้จากการแนะนำเฟรนไชด์นั้น ซึ่งที่ได้รับความนิยมมากในขณะนี้ก็มี เฟรนไชด์ขายโฮสติง เฟรนไชด์ขายกาแฟ เฟรนไชด์ใช้บริการต่างๆ เช่นจ่ายค่าบัตรเครดิต ค่าน้ำค่าไฟ เติมเงินมือถือ ฯลฯ ซึ่งธุรกิจกลุ่มนี้จะเป็นธุรกิจที่ลงทุนต่ำ เพียงหลักร้อย จึงง่ายสำหรับการมาเริ่มต้น

แต่ธุรกิจ กลุ่มนี้ หากลองมาถามทางผู้ที่คร่ำหวอดในวงการเครือข่าย หลายคนจะพุดกันเป็นเสียงเดียว ว่ามีลักษณะเข้าข่ายมันนี่เกมส์ ก็คือการเอาเงินค่าสมัคร มาจ่ายต่อๆกันเรื่อยๆ มีสินค้าบริการมาบังหน้า ซึ่งเบื้องหลังการจ่ายรายได้หลักคือการหาคนใหม่ และโดยส่วนใหญ่เงินที่จ่ายไป เรามักจะไม่ได้สินค้าอะไรกลับมามีเพียงแค่เวบไซด์ และโอกาศทำเงิน

แต่จะใช่ว่า ผมจะมาบอก มากล่าวหาว่าธุรกิจเหล่านี้เป็นธุรกิจผิดกฎหมายนะ เพราะจริงๆแล้วกฎหมายเขียนไว้กว้างสำหรับธุรกิจกลุ่มนี้ และหลายๆประเทศก็ มีธุรกิจกลุ่มให้สำหรับเราได้สร้างรายได้กัน

"มันนี่เกมส์" มุมมองคนไทยอาจจะคิดว่าเป็นมุมลบ แต่จริงๆแล้วในมุมมองต่างชาติ ฝรั่งเขากลับมองว่า คำว่ามันนี่เกมส์ คือเกมส์การทำเงิน หรือการสร้างรายได้จากการหมุนเวียนของเงิน ซึ่งเมืองไทยยังไม่ค่อยยอมรับธุรกิจกลุ่มนี้มากนัก และไม่แน่ใจว่ากฎหมายไทย เขียนธุรกิจกลุ่มนี้จัดเป็นประเภทใด

แต่ถือเป็นสัญญาณที่ดี สำหรับการเริ่มต้นเรียนรู้ธุรกิจเครือข่าย เรียนรู้รสร้างรายได้ การสร้างทีม การสร้างองค์กรของกลุ่มวัยรุ่น เพราะธุรกิจเหล่านี้ ลงทุนเพียงเล็กน้อย ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย เปรียบเสมือนกับว่า เป็นการเริ่มต้นฝึกงานด้านเครือข่าย

แต่ถ้าเรามามองความยั่งยืน และรายได้ที่จะสูงขึ้นในหลายหมื่น หลายแสนบาทนั้น วัยรุ่นบางคนอาจจะไม่เชื่อว่าวิธีการเดียวกันกับที่เขาเคยทำนี่แหละ การทำงานเท่ากัน ให้เวลาเท่ากัน แต่สามารถสร้างรายได้ให้มากกว่าหลายเท่า

เหตุผลหลักๆของงานเครือข่าย หรือขายตรงต่างๆ ที่สามารถสร้างรายได้ที่สูงกว่า ก็เพราะเป็นธุรกิจที่มีตัวสินค้าจริงๆ และรายได้หลักตามแผนการตลาดก็เกิดจากการบริโภคสินค้าซ้ำ จากกลุ่มผู้บริโภค การคำควณรายได้ไม่ได้ขึ้นกับการแนะนำคนใหม่ ดังนั้นจะเห็นว่า ธุรกิจเครือข่ายที่มีสินค้าหลากหลาย มีคุณภาพ มีจุดเด่นของตนเอง มักจะเป็นธุรกิจที่ทำเงินให้นักธุรกิจได้มากมาย

แต่ปัญหามันอยู่ที่ความรู้สึก ที่วัยรุ่นถูกปลูกฝังมากจากการได้ยินได้ฟัง ข้อมูลของธุรกิจขายตรงว่า เราต้องขายสินค้าเยอะๆนะ เราต้องไปอบรมทุกสัปดาห์นะ ต้องสาธิตสินค้า ต้องชวนคนเข้าไปฟังนะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมเข้าใจผิดๆ ว่าวิธีการทำธุรกิจเครือข่าย ทำขายตรงต้องเป็นแบบนั้นทั้งหมด

ถ้าหากได้มีโอกาศศึกษา การทำธุรกิจของต่างประเทศนะ เขาจะใช้อินเตอร์เน็ทในการทำงาน ผู้เข้าร่วมธุรกิจมีความสะดวกสบายมาก ไม่เหมือนกับเมืองไทยเราเลย แต่ก็อย่างที่ทราบกันดี เมืองไทยมักจะตามหลักอเมริกา เป็นสิบปีในเรื่องนี้

ปี 2010 จุดรุ่งเรืองของธุรกิจผ่านเน็ท เนื่องจากเมืองไทยเริ่มมีการใช้อินเตอร์เน็ทกันมากขึ้น การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร เยอะขึ้น วัยรุ่นเริ่มให้ความสนใจธุรกิจเครือข่ายมากขึ้น คนกลุ่มนี้แหละในอีก 1-2 ปีข้างหน้า จะเป็นผู้นำธุรกิจเครือข่ายที่แท้จริง ในปี 2010 เราอาจจะได้เห็นวัยรุ่นอายุ 20-25 ปี มีรายได้เดือนละล้านก็เป็นได้ เพียงแต่เข้าเปิดโอกาศมาเรียนรู้ข้อมูลธุรกิจเครือข่าย อย่างแท้จริง แล้วนำมาทำการตลาดในรูปแบบของตัวเขาเอง

เพื่อนๆรู้ หรือป่าวครับว่า หน้าที่ของนักธุรกิจเครือข่ายจริงๆคืออะไร การทำธุรกิจ เครือข่ายให้สำเร็จ เรามีหน้าที่ 2 อย่างครับ ประชาสัมพันธ์หรือทำการตลาด กับทำหน้าที่บริหารองค์กร ใครเรียนสาขาบริหารมาคงยิ้มหวาน "เฮ้ยอาชีพนี้มัน คือสาขาที่เราเรียนหรือนี่?" ใช่แล้วครับการทำธุรกิจเครือข่าย คือการที่คนมาประกอบอาชีพด้านการตลาดและการบริหาร ปัจจุบัน บางมหาวิทยาลัย เริ่มมีการบรรจุสาขาธุรกิจเครือข่าย ขายตรง ลงไปในหลักสูตรการเรียนการสอนแล้ว เพราะเขามองว่า ถ้าหากนักศึกษาได้รับการเรียนรู้อย่างถูกวิธี จะสามารถนำมาประกอบอาชีพ สร้างรายได้ได้ ดีกว่าอาชีพอื่นๆ

เรามารู้จักการตลาดกัน การตลาดก็คือการประชาสัมพันธ์ ถ้าเป็นขายตรงยุกต์เดิมๆ เขาจะเน้นบอกต่อคนรู้จักไปเรื่อยๆ พอถัดมาอีกนิดก็เริ่มมีใบปลิว ประชาสัมพันธ์คนไม่รู้จัก ต่อมาเริ่มใช้สื่ออื่นๆ ที่สะดวกสบายมากขึ้น เช่น โฆษณาผ่านหนังสือพิมพ์ ผ่านเวบไซด์ หรือแม้กระทั่งการส่งอีเมล์ หรือการส่ง SMS ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ถูกนำมาใช้

แล้วเราจะประชาสัมพันธ์อย่างไร อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับว่าตัวเราชอบแบบใหน ทำแบบใหนได้ดี ก็ใช้วิธีนั้นประชาสัมพันธ์ ได้เลย ส่วนข้อมูลที่ประชาสัมพันธ์ก็มีสองกลุ่ม คือกลุ่มผู้สนใจทำธุรกิจหารายได้เสริม และกลุ่มผู้ที่สนใจตัวผลิตภัณฑ์ เมื่อคนเหล่านั้นได้เข้ามาร่วมภายใต้สายงานเรา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้หรือคนทำธุรกิจ จะช่วยให้เกิดรายได้จากการสร้างเครือข่ายในครั้งนี้

สำหรับการบริ หาร คืออีกอย่างที่พลาดไม่ได้ จำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะการที่เราสร้างเครือข่ายของเราแล้ว ไม่ได้สร้างกาบริหารจัดการให้ดี องค์กรก็ไม่โต การเกิดรายได้ก็จะไม่ต่อเนื่อง ดังนั้นหากเรารู้จักการบริหาร ก็จะทำให้เครือข่ายของเราขยายกว้างไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด รับรายได้แบบทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ

สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ เราอาจจะไม่รวยเงินหมื่นเงินแสนรวดเร็ว อย่างคนอื่นๆหรือพวกผู้นำหลายคน แต่เชื่อผมเถอะ ถ้าเรามุ่งมั่นฝึกฝน วันนึงเราก็มีโอกาศมีได้อย่างเขาเหล่านั้น เพราะคนที่สำเร็จ คนที่ได้เงินหมื่น เงินแสน เงินล้าน ตอนเขาเริ่มต้นเรียนรู้ธุรกิจครั้งแรก เขาไม่ต่างจากเรา เราเองอาจทำได้ดีกว่าเขา เพราะคนรุ่นใหม่ สมัยนี้มีเครืองมือ ต่างๆช่วยให้ประสบความสำเร็จได้มากมาย

การสร้างกระแสเงินสด

สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้ จะเห็นว่าถ้าเราได้มีโอกาสศึกษาข้อมูลการตลาดแบบดึงดูด ซึ่งหลายๆท่านมักจะพูดถึงสิ่งๆหนึ่งที่ขาดไม่ได้ หากท่านต้องการทำธุรกิจเครือข่ายให้สำเร็จ สิ่งนั้นคือ

การสร้างกระแสเงินสด

การสร้างกระแสเงินสดเป็นปัญหาหลักของคนที่จะทำธุรกิจเครือข่ายนี้..หากท่านยังไม่เคยทำธุรกิจเครือข่ายหรือเคยทำแล้วแต่ยังไม่รู้.ก็รู้ไว้ซะเลยครับว่านี่คือปัญหาอันใหญ่หลวงจริงๆ ย้ำนะครับว่าปัญหาใหญ่มากๆ สำหรับนักธุรกิจเครือข่ายอย่าง เรา. หลายคนอาจจะสงสัย เดี่ยวผมจะยกตัวอย่างซึ่งสิ่งเหล่านี้ธรได้รวมรวมมาจากการได้ศึกษาการสร้าง กระแสเงินสดจากหลายๆกูรู ซึ่งดูแล้วมันก็เป็นจริงตามนั้น

เมื่อเราเริ่มทำธุรกิจ..เราเสียเงินค่าสมัครไปจำนวน(1$$$$) บริษัทให้ผลิตภัณฑ์ที่คุณคิดว่ามันเป็นโอกาสทางธุรกิจของคุณ.. มันคือนวัตกรรมที่เยี่ยมยอดที่สุดแต่คุณไม่สามารถจะขายมันให้คนอื่นได้ (เพราะคุณก็ไม่ชอบงานขายอยู่แล้วด้วย)คุณ ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเพื่อที่จะให้เขาซื้อของๆคุณผมตอบได้เลยว่า ระดับผู้นำอย่างเราแล้วใครจะมาเดินขายของกัน..จริงไหมครับ..(มันต้องมีวิธี ที่ดีกว่านั้น)สรุปแล้วคุณก็ต้องใช้เอง

ไหนจะค่าโฆษณาทางอินเทอเน็ต..เพื่อที่จะทำให้ผู้มุ่งหวังของคุณเห็นโอกาสทางธุรกิจแล้วมาร่วมทำธุรกิจกับคุณ ค่าโทรศัพท์เพื่อติดต่อกับผู้มุ่งหวังของคุณ และค่าอื่นๆอีกมากมาย..ถ้าคุณคิดว่าคุณมีเงินจ่ายค่าใช้จ่ายพวกนี้แล้วคุณคิดไหมว่าคนที่คุณจะสปอนเซอร์นั้นมีเงินจ่ายเหมือนคุณไหม..เพราะธุรกิจนี้เป็นธุรกิจเครือข่าย..ที่ต้องอาศัยการเลียนแบบทำซ้ำ..เพราะฉะนั้นจะทำอะไรต้องคำนึงถึงคนที่เข้ามาใหม่ด้วย..อย่าสร้างปัญหาให้กับพวกเขา

แผนการรับรายได้ต่างๆ ไม่รู้กี่ข้อของทุกบริษัทก็มีข้อนี้อยู่ คือ กำไรจากการขายปลีก จะกี่เปอร์เซ็นต์นั้นก็แล้วแต่ละบริษัท..คุณก็ตัดผลประโยชน์ข้อนี้ไปได้เลยเพราะคุณไม่ชอบงานขาย..ใช่ไหมครับ..(แต่ถ้าขายได้ก็เป็นผลพลอยได้ของคุณที่จะสร้างกระแสเงินสด)แล้วจะทำยังไงที่จะสร้างกระแสเงินสดให้หมุนเวียน..เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้..โดยที่ไม่ต้องขายของล่ะ

ตั้งใจอ่านให้ดีนะครับ..แล้วคิดตามด้วย

ถ้าทุกท่านเคยอ่านจากหลายๆกูรู มักจะแนะนำให้ท่านขายสื่อ ขายความรู้ ขายแนวทางการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นซีดี คู่มือต่างๆให้กับทีมงาน คุณคิดดูนะครับว่าถ้ามีคนซื้อข้อมูลของคุณซัก 10 คน(10 x 500= 5,000 บาท) เพียงคุณขายในราคาไมแพง คุณก็จะได้เงิน ที่จะมาช่วยสร้างกระแสเงินสดได้รวดเร็ว

แต่มันไม่เช่นนั้นครับ ถ้าทุกคนเข้าใจธุรกิจเครือข่าย และทุกคนอยากทำธุรกิจเครือข่าย เพราะธุรกิจนี้จะสามารถสร้างรายได้ทวีคูณให้คุณได้ และคุณเองก็ต้องการให้คนที่สนใจเหล่านั้นร่วมทำธุรกิจเครือข่ายกับคุณ

นี่ไงครับ ฟาสโบนัส โบนัสจากธุรกิจเครือข่ายโดยตรงที่จะสร้างกระแสเงินสดให้คุณได้อย่างรวดเร็ว ให้ผู้สนใจที่ต้องการตัดสินใจสมัครร่วมธุรกิจกับคุณรู้สึกว่า เขาไม่เสีย ไม่เสียอย่างไรครับ ลองคิดดูง่ายๆ ถ้าเกิดบุคคลคนนี้ต้องการทำธุรกิจเครือข่าย แต่เขาต้องมาซื้อสื่อ เพื่อให้คุณได้กระแสเงินสด และยังต้องมาจ่ายเงินร่วมธุรกิจอีก หลายๆคนจะรู้สึกว่าเขาต้องเสียสองครั้ง

แต่ฟาสโบนัสส่วนใหญ่หากเราได้ดูจะเห็นว่า น้อยมาก ซึ่งยังไม่ช่วยสร้างกระแสเงินสดให้เราได้เลย อาจจะได้แค่ 100 ,200 จะต้องแนะนำอีกกี่คนถึงจะได้โบนัสข้อนี้หลักพัน หลักหมื่นบาท

ไม่ต้องกังวลครับ วันนี้เราพบแล้วกับแผนลาจก์ จากเพนดูรา ที่คุณสามารถเข้าร่วมธุรกิจเครือข่าย และได้กระแสเงินสดไปพร้อมกันในทีเดียว โดยไม่ต้องจ่ายหลายต่อ

ได้อย่างไร ลองมาโฟกัสกันดู ถ้าหากท่านแนะนำ Director ได้ 1 คนท่านได้เงินแล้วเกือบ 10,000 บาท และแนะนำ 10 คนท่านได้เงินแสน อะๆ หลายคนก็คิดอีกว่าไดแรคเตอร์ลงทุนตั้งเยอะ เราไม่เก่งพอที่จะปิดได้ งั้นเรามาดูกันที่ตำแหน่งเล็กๆ ปิดได้ 1 คนรับ 1000 บาท 10 คนรับ 10,000 บาท พอไหวใหมครับกับรายได้ 10,000 บาทตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจ

และหลายคนอาจจะคิดว่า แล้วจะทำอย่างไร ให้คนสมัครและสนใจธุรกิจเราหละ ผมอยากบอกทุกคนว่า ถ้าท่านดูดีๆ เพนดูราได้วางแผน ต่างๆไว้ให้ท่านหมดแล้ว ไม่ว่าการสร้างความกระหายให้คนตัดสินใจเลือกตำแหน่งไดแรคเตอร์เอง ต้องบอกว่าแผนลาจก์พิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง ในช่วง 1 เดือนแรกที่ผมทำและโปรโมทธุรกิจ จะเห็นว่าผลตอบรับกลับมาค่อนข้างมาก และคนส่วนใหญ่ มีความต้องการสมัครในตำแหน่งไดเรคเตอร์ ถึงแม้เขาจะยังไมมีทุนก็ตาม โดยที่ผมเองไม่ต้องโมติเวท และเขาเหล่านั้นไม่ต้องเข้าประชุม ปลุกเร้าอารมใดๆ

และมีอีกหลายๆจุดที่ทางบริษัทได้เตรียมพร้อมเรื่องพลังการดึงดูด ที่จะทำให้คนทั่วไปวิ่งมาหาคุณ เปลี่ยนสถานะคุณจากผู้ล่าเป็นผู้ถูกล่า

เหมือนเมื่อก่อนเราต้องวิ่งเข้าร้าน KFC เพื่อขอซื้อไก่เคเอฟซี เพราะเรามีความต้องการที่จะกินไก่

ตอนนี้ก็เปลี่ยนเราเป็นคนขาย KFC ที่จะมีคนมากมายวิ่งเข้ามาเพื่อขอซื้อจากเรา เพียงเราทำให้เขารับรุ้ว่าเราคือคนขายไก่

ที่เพนดูรา ก็เหมือนกัน บริษัทจะทำตลาดแทนท่าน และท่านเพียงทำหน้าที่บอกให้คนอื่นรับรู้ว่าท่านคือ นักธุรกิจเพนดูรา

จะดีกว่าใหมครับ ถ้าวันนี้เราสามารถวางตำแหน่งทางธุรกิจของเรา จากผู้ล่า เป็นผู้ถูกล่า.....

การตลาดแบบดึงดูดคือ?

เข้าใจกฎการดึงดูด
ก่อนอื่นที่เราจะมารู้จักการตลาดแบบดึงดูด เรามาทำความรู้จักกฎแรงดึงดูดกันก่อนนะครับ จริงๆ แล้ว “กฎแห่งแรงดึงดูด” นี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ประการใด เคยมีผู้เขียนหนังสือว่าด้วยเรื่องนี้ไว้เป็นการเฉพาะหลายต่อหลายเล่มแล้วใน รอบร้อยปี หรือสิบปีที่ผ่านมา ยังไม่นับที่มีการอ้างอิงถึงกฎนี้ หรือหลักการนี้ไว้ตรงโน้นตรงนี้ในหนังสืออีกหลายต่อหลายเล่ม และถ้าจะพูดกันให้ถึงที่สุดแล้ว “กฎแห่งแรงดึงดูด” นี้ มันก็คือกฎแห่งธรรมชาติ หรือกฎแห่งจักรวาล ซึ่งอยู่คู่โลกและอยู่คู่กับมวลมนุษยชาติมานับเป็นพันๆ ปี หรือนับตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้นมาบนโลกแล้วก็ว่าได้ ถ้าโลกนี้ หรือจักรวาลนี้มีกฎว่าด้วยแรงโน้มถ่วง (LAW OF GRAVITY) กฎแห่งแรงดึงดูดนี้ก็เป็นกฎที่เป็นจริงอย่างนั้นเหมือนกัน และถ้าโลกนี้ หรือจักรวาลนี้มีกฎว่าด้วยกฎแห่งกรรม หรือกฎแห่งการกระทำ หรือที่พระท่านบอกว่า “อิทัปปัจยตา” แล้ว กฎแห่งแรงดึงดูดนี้ ก็เป็นจริงอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน

เราอาจอธิบาย “กฎแห่งแรงดึงดูด” อย่างง่ายๆ ได้ว่า คนเราคิดอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น อะไรที่เราคิดถึงอยู่ตลอดเวลามันจะเป็นจริงได้ในที่สุด ความคิดของคนเรามักดึงดูดสิ่งที่เราคิดอยู่ตลอดเวลา แม้สิ่งนั้นเราจะไม่ต้องการก็ตาม แต่ถ้าเราคิดถึงมันอยู่ตลอด มันก็จะมาปรากฏแก่เราในที่สุด ดังคำโบราณของไทยที่ว่า “เกลียด และกลัวสิ่งไหน ก็มักจะเจอสิ่งนั้น!” ก็เพราะเรามักจะคิดแต่สิ่งที่เราเกลียดและที่เรากลัวอยู่ตลอดเวลา เราจึงมักต้องเจอกับสิ่งนั้นในที่สุด กูรูและผู้รู้หลายท่านจึงมักพร่ำสอนเรามาตลอดว่า ให้คิดถึงแต่สิ่งที่ต้องการ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่ต้องการ ให้คิดแต่ในสิ่งที่อยากได้ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่อยากได้ ให้คิดแต่ในสิ่งที่ชอบ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่ชอบ ให้คิดแต่ในสิ่งที่ทำให้มีความสุข อย่าไปคิดในสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ ฯลฯ

จริงๆ แล้ว กฎแห่งแรงดึงดูดนี้สามารถอธิบายให้ละเอียดพิสดาร มากมายมหาศาลมโหฬารมหันต์ลึก ในแง่ของหลักการและกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ ว่าด้วยกลศาสตร์และฟิสิคส์ ในระดับควอนตั้ม (เล็กกว่าอะตอม) ได้เลยทีเดียว ซึ่งคงจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ เพราะเดี๋ยวจะงงกันไปใหญ่ทั้งคนเขียนคนอ่าน! เอาเป็นว่าตามหลักการวิทยาศาสตร์แนวใหม่นี้ สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดกัน และไอ้ที่เราเห็นเป็นของแข็งนั้น จริงๆแล้วมันเป็นมวลสารและพลังงานเล็กๆ ที่อาจมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นด้วยซ้ำไปประกอบกัน และไอ้ที่เรามองไม่เห็นนั้น เราสามารถทำให้เป็นรูปร่าง มองเห็นได้ ด้วยการคิดและจินตนาการของเราเอง แบบไหนและอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น! ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่มันมีปรากฏแก่เราทุกวันนี้ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยทั้งสิ้น และที่มันมีปรากฏขึ้นได้ก็ด้วยการก่อรูป ก่อร่างจากการคิดของมวลมนุษย์เองทั้งสิ้น! (อะไรในทำนองนี้)
ที่ได้กล่าวเป็นลำดับมาเกี่ยวกับนักคิด นักเขียน และหนังสือที่ว่าด้วยเรื่อง “กฎแห่งแรงดึงดูด” นี้ ก็เพื่อจะบอกว่า ในโลกนี้นั้นไม่มีอะไรที่เรียกว่าใหม่หรอก ทุกอย่างมันมีอยู่และดำรงอยู่แล้วทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าใคร ไปค้นพบ แล้วนำเสนอมันออกมาในรูปแบบและวิธีการใด แม้เรื่องที่มีการค้นพบแล้ว ก็ยังสามารถนำมาเล่นแร่แปรธาตุ พัฒนา ปรับปรุง มานำเสนอในแง่มุมต่างๆ ให้ดูเป็นเรื่องใหม่ได้ตลอดเวลา อย่างที่ราล์ฟ วอลโด อีเมอร์สัน ปราชญ์ชาวอเมริกันได้เคยกล่าวไว้นั่นแหละครับว่า “สังคมมักจะประหลาดใจกับตัวอย่างใหม่ๆ ของสามัญสำนึกกันอยู่เสมอ” และถ้าผมจำไม่ผิด กาลิเลโอเองก็เคยกล่าวเอาไว้เหมือนกันว่า “เราไม่สามารถสอนใครในสิ่งที่เขาไม่รู้ได้หรอก เราทำได้ก็แค่เพียงทำให้เขาสำนึกในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้วเท่านั้น!”


ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ก็เป็นเรื่องราวของกฎแรงดึงดูด ที่ผมได้รวบรวม ความคิดจากผู้เขียนหลายๆท่าน มาอธิบายให้ทุกท่านเข้าใจ หลังจากเรารู้แล้วว่ากฎแรงดึงดูดเป็นอย่างไร ทีนี้เรามารู้กันว่า ปัจจุบันคนเรานำกฎนี้มาใช้ในทางการตลาดอย่างไร

จะเห็นว่าถ้าท่านเคยเข้าร่วมธุรกิจเครือข่าย หรือเคยเห็นเวบไซด์ที่โปรโมทธุรกิจมากมาย โดยไม่ได้พูดถึงตัวธุรกิจของเขาเลย แต่กลับพูดถึงวิธีการที่เขาจะช่วยให้ทุกท่านได้รายชื่อผู้มุ่งหวัง

เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะเขารู้ว่า พลังการดึงดูดจะดึงดูดให้คนเหล่านั้นเข้ามา เพราะคนที่ทำธุรกิจเครือข่าย ส่วนใหญ่พบเจอปัญหาเดียวกัน ก็คือ คำว่าล้มเหลว จากการขาดรายชื่อผู้มุ่งหวัง แะนำคนไม่ได้ แนะนำแล้วเลิก แล้วก็ไม่ประสบผลสำเร็จ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้คนมักจะกลัว ดังนั้น คีย์เวิร์ดที่เขาเหล่านั้น ใช้ในการดึงดูดท่าน ซึ่งมีความคิดความกังวล กลัว เรื่องเหล่านี้อยู่ให้เข้าไปร่วมธุรกิจ โดยได้สร้างความมั่นใจให้กับท่าน ด้วยหลักจิตวิทยาง่ายๆ คือ สร้างความหวัง สร้างพลังให้ท่านคิด และเชื่อว่า ระบบนี้จะช่วยให้ท่านหาคนได้ เมื่คนเราเกิดความเชื่อ พลังต่างๆในจักรวาล ก็จะดึงดูดให้คนเราได้รับสิ่งเหล่านั้น


การตลาดแบบดึงดูด
จริงๆแล้วพลังการดึงดูดไม่ได้มีแค่ การหาผู้มุ่งหวังผ่านระบบออนไลน์ แต่พลังการตลาดการสร้างภาพลักษณ์ ก็เป็นหนึ่งในการตลาดแบบดึงดูด เช่นการโฆษณา ที่เห็นในปัจจุบัน ของบริษัท กิฟฟารีน จะเห็นว่าเขานำบุคคลที่ประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพต่างๆ ซึ่งผมเชื่อว่า อาชีพที่เขาได้คัดเลือกมานั้นคือกลุ่มเป้าหมายที่เขาต้องการดึงดูด อาทิ นักศึกษาก็สามารถสร้างธุรกิจเครือข่ายสร้างรายได้ ได้ เพียงเข้าร่วม ด้วยระบบบริหารจัดการต่างๆที่ทางบริษัทมีให้ คุณก็สำเร็จได้


หลังจากผมยกตัวอย่าง หลายท่านเอะใจคำๆนึงใหมครับ "ระบบบริหารจัดการที่จะช่วยให้คุณสำเร็จ" นั้นแหละครับพลังการดึงดูด ที่หลายคนคิดไม่ถึง สาเหตุหลักๆที่คนกลัวและไม่อยากทำธุรกิจเครือข่ายคือ ความล้มเหลว และทำไม่เป็น หาคนไม่เก่ง ดงนั้น ช่องทางเดียวที่จะดึงดูดคนเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นหลักการทำแบบออนไลน์หรือออฟไลน์ก็คือ นำเสนอระบบที่จะช่วยให้คุณสำเร็จ


เมื่อบริษัทใด กลุ่มใดนำเสนอสิ่งเหล่านี้ ผู้คนมากมายที่เคยทำธุรกิจเครือข่าย เคยล้มเหลวมาก็จะตัดสินใจเข้าร่วม เพราะเขาเชื่อว่าระบบนี้จะทำให้เขาสำเร็จได้สักที


และกลุ่มคนอีกกลุ่มนึงก็คือคนกลุ่มใหม่ ที่ยังไม่เคยทำธุรกิจเครือข่าย เขาได้รับรู้ เรื่องราวลบๆ รู้ว่าคนทำแล้วไม่สำเร็จก็จะกลัว แต่เห็นระบบช่วยให้สำเร็จ ช่วยแก้ปัญหา ก็เลยเลือกที่จะเริ่มกับกลุ่มที่มีระบบเหล่านั้น


ผมอาจจะอธิบายมายืดยาว หลายคนคงงงๆ เดี่ยวผมสรุปง่ายๆก็คือ การ ตลาดแบบดึงดูด ก็คือการที่เราสร้างหรือเสนอ สิ่งที่กำลังอยู่ในความต้องการของคน ( เสนอในสิ่งที่เขากำลังกลัว)ให้เขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะนำพาไปสู่จุดหมาย ที่ต้องการได้

"สร้างระบบ เพื่อช่วยให้สำเร็จ ในธุรกิจเครือข่าย"

แต่......

อย่ากระนั้นเลย ผมอยากให้ทุกคนรู้เพิ่มเติมอีกนิดว่า เมื่อเรามีระบบแล้ว หนทางที่จะทำให้คนอื่นรับรู้ว่า มันมีสิ่งนี้อยู่ ก็คือการประชาสัมพันธ์ ตามสื่อต่างๆ ไมว่าจะเป็นทีวี หลังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือผ่านเวบไซด์ต่างๆบนอินเตอร์เน็ท ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ต้องมีค่าใช้จ่าย แล้วเราจะเอาเงินที่ใหนมาเป็นค่าใช้จ่ายนี้หละ

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะแย้งว่า ก็โพสฟรีตามเวบบอร์ด แจกใบปลิว ก็ได้นิ ????

ครับใช่!! ทุกคนทำได้ แต่มันก็ไม่ใช่แนวทางที่ดีที่สุดที่ท่าจะทำให้มีคนเข้ามาหาท่านอย่างรวด เร็ว ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเลือกการลงสื่อ เช่น Google Adwords, โฆษณาทีวีดาวเทียม(ซึ่งถูกกว่าทีวีปกติ) , โฆษณาวิทยุ, นิตยสาร,หรือบิวบอร์ดระชาสัมพันธ์ตามจุดต่างๆในเมืองใหญ่ เป็นต้น

ดังนั้นเราต้องมีเงินทุนเพียงพอ เพื่อจะให้ธุรกิจของเราเติมโตอย่างรวดเร็ว แล้ววิธีใหนหละที่จะช่วยให้เราสร้างกระแสเงินสดได้รวดเร็ว เดี่ยวเรามาดูกันต่อในบทความถัดไป.....

บริษัท ที่ไม่ค่อยเติบโต ไม่มีอนาคต จะมีลักษณะตรงข้าม

1. มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวชัดเจน ทำการบุกเบิกตลาดใหม่ ไม่ใช่สินค้าที่เป็นการลอกเลียนแบบ

-หลายบริษัทจะ เป็น ได้เเค่ copy สินค้าของบริบัทที่ขายดี เช่น เห็น ตาฮิเตียน โนนิ ขายดี ก็ทำขายบ้าง
เห็นน้ำมังคุด ของ
Xango ขายดี ก็เลียนแบบขายบ้าง เห็นน้ำ Acai Berry ของโมนาวีขายดี ก็ เลียนแบบทำขายบ้าง อีกนัยหนึ่ง เขาเรียกว่า me too product คุณมี ฉันก็มีเหมือนกัน บริษัทพวกนี้จะพูดคล้ายๆกัน
ถึงฉันจะเลียน แบบ เเต่ฉัน
ก็ทำได้ดีกว่านะ ที่สำคัญถูกกว่าด้วย

2. ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ และมีประสบการณ์ภาคสนามหลายปี สามารถบริหารได้อย่างเป็นอิสระ

-บริษัทที่ไม่ค่อยเติบโต ผู้บริหารมักเป็น มือใหม่ของวงการ mlm ไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่เคยมีผลงานเเห่งความสำเร็จในอดีต บางครั้งมีความสามารถ ก็มักถูกควบคุมโดยบริษัทแม่ที่เน้นต้องการเเต่ผลกำไรสูงสุดเเต่เพียงอย่างเดียว

3. มีกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน ว่าจะทำอะไรบ้าง มีการบุกเบิกตลาดอย่างไร ใช้เทคโนโลยี่ช่วยให้ผู้จำหน่ายทำงานง่ายขึ้น

-บริษัทที่ไม่ค่อยเติบโต ผู้บริหารมักประกาศ ว่าเราจะมียอดเท่านั้น เท่านี้ ภายในเวลานั้น เวลานี้ เเต่ไม่เคยเอ่ยถึงกลยุทธ์ หรือแผนปฏิบัติการว่าจะนำพาทุกคนไปสู่เป้าหมายได้อย่างไร?

4. เพิ่มความมั่นใจให้ผู้จำหน่ายโดยการสร้างสำนักงานใหญ่ของตนเอง

-บริษัทที่ไม่ค่อยเติบโต มักพยายามเช่าพื้นที่สำนักงาน ให้อยู่ในอาคาร ขนาดใหญ่ที่ดูดี ตอนโปรโมท ก็จะถ่ายรูปทั้งตึกไป โชว์เพื่อให้คนเข้าใจผิดว่า บริษัทเป็นเจ้าของทั้งตึก เเต่จริงๆ แล้วเช่าอาศัยอยู่เพียงพื้นที่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ผู้บริหารบริษัทเหล่านี้มักไม่เคย ตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาบริษัทอย่างเป็นขั้นตอน ได้เเต่หวังว่าผู้จำหน่ายเก่งๆ ของบริษัทจะทำให้เติบโตเอง

5. สามารถดึงดูดคนเก่งระดับโลกเข้ามาร่วมงานได้ ทั้งผู้บริหาร นักวิทยาศาสตร์ และผู้จำหน่าย

-บริษัทที่ไม่มีอนาคต จะไม่สามารถดึงดูด ผู้นำ ระดับบิ๊กของโลกให้หันมาสนใจได้ ซ้ำร้ายด้วยความไม่เป็นงาน ผู้บริหารมักเป็นคนทำให้ผู้นำเก่งๆ ที่ทรงความสามารถต้องจากบริษัทไปด้วย ความจริงก็คือ ผู้นำระดับสูง ไม่มีใครอยากเปลี่ยนงานหรอก ต้องเหลืออด หมดทางเยียวยาเเหละ ถึงจากไปด้วยความจำใจ

6. สามารถจัดงาน International Convention ขนาดใหญ่ที่มีผู้คนหลายพันคนทั่วโลกมาร่วมงาน จะยิ่งทำให้ผู้จำหน่ายทั่วโลก เกิดความมั่นใจ จนทำให้ เกิดโมเมนตัม ได้อย่างรวดเร็ว

-บริษัทที่ไม่มีอนาคต จะไม่สามารถ จัดงาน international convention ที่มีขนาดใหญ่กว่า 4000 คนได้ แม้บางบริษัทจะเปิดมาแล้วหลายปีก็ตาม

ข้อเเนะนำสำหรับบริษัทที่ต้องการเติบโต

1. พูดเฉพาะสิ่งที่ทำได้ ทำให้ได้จริงๆตามสิ่งที่พูด ถ้าทำไม่ได้ต้องบอกความจริง

2.สินค้าหลักที่ขายต้องเป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง, Unique, หาซื้อได้ที่เดียวในโลก

3.เป็นสุภาพบุรุษ มีจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ ยุติการพูด"ความเท็จ"

4.โฟกัสที่งานพื้นฐาน แข่งขันกันอย่างขาวสะอาด

5.ในระยะยาวมีคู่แข่งที่เป็นมิตร งานส่วนงาน เพื่อนส่วนเพื่อน ย่อมทำให้ทุกฝ่ายมีความสุข

เลือกขายตรงแบบยั่งยืน

เรื่องราวดีๆแนะนำวิธี.....เลือกบริษัทขายตรงแบบยั่งยืน

ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่า อาชีพนักธุรกิจขายตรงเป็นอาชีพที่แพร่หลาย ใช้ทุนน้อย เติบโตเร็วผลตอบแทนสูง และแถมยังได้ช่วยเหลือคนอี่กด้วย ซึ่งถ้าพูดตามความเป็นจริงแล้ว ก็เรียกได้ว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติและน่านับถือ แต่เป็นเรื่องที่แปลกตรงที่ว่า อาชีพที่ใครๆ หลายๆ คนชื่นชมว่ามีเกียรติและน่านับถือนี้ เล่าให้ฟังอย่างนี้หลายคนยังนึกไม่ค่อยออก หรืออาจจะยังไม่เข้าใจ แนะนำให้ลองหลับตานึกดูว่า หากคุณกลับไปในงานเลี้ยงรุ่นที่โรงเรียนเก่าแล้วถูกเชิญขึ้นกล่าวบนเวที เมื่อถูกสัมภาษณ์แล้วคุณบอกกับทุกคนว่าคุณเป็นนักธุรกิจขายตรง เมื่อคุณลงมาจากเวทีแล้วเพื่อนรักร่วมรุ่นของคุณ เกินกว่าครึ่งจะหายไปจากการร่วมวงสนทนากับคุณ หรือจะพยายามหลีกเลี่ยงการพบปะ หรือเสวนากับคุณเกี่ยวกับอาชีพของคุณ

ดังนั้นครั้งนี้เราจึงมีข้อสังเกตุ และบทวิเคราะห์บางประการ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เพิ่มโลกทัศน์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ดังนี้

วิธีเลือกบริษัทขายตรงแบบยั่งยืน

ก่อนที่เราจะเลือกพิจารณาบริษัทขายตรง ขอให้เริ่มต้นจากการพิจารณาดัวเองให้ได้เสียก่อนว่า ตัวเราเองเป็นประชากรกลุ่มใดใน 4 ประเภทของนักธุรกิจ

  1. หากเราเป็นประชากรกลุ่มแรก คือ ทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ เราควรพิจารณาเลือกบริษัทประเภท ร้องจ๊าก! ว๊ากเจี๊ยก คุยโม้ โอ้อวด พูดแต่เรื่องเงิน

  2. หากเราเชื่อได้ว่าเราเป็นประชากรกลุ่มที่สอง คือว่าร้ายกล่าวโทษได้ตลอดเวลา เราควรพิจารณาเลือกบริษัทที่ไม่กล้าต่อกรอะไรกับเรา เพราะเราพร้อมจะด่า! และจากไปได้ทุกเมื่อ แต่หากเราไปเจอบริษัทที่มั่นคง และบริหารงานด้วยความจริงเรามีโอกาสสุ่มเสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้อง และถูกสังคมหมู่มากประณามนั้นมีสูง

  3. หากเราเป็นประชากรในกลุ่มที่สาม อันนี้ง่ายคือไม่ต้องคิดอะไรเลย ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เกิดมาเพื่อรับใช้ประชากรในสองกลุ่มแรกเรียกว่า "เขาไปไหนเราไปด้วย" เวลาที่ใครติดต่อหรือสนทนากันเรื่ององค์กรจะไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้และทำเป็นอย่างเดียวคือเขาไปไหนเราไปด้วย

  4. หากเราเป็นบุคคลในประเภทที่สี่ ท่านควรที่จะพิจารณาองค์ประกอบเหล่านี้ในการเลือกบริษัทขายตรงดังนี้คือ

    • นำรสนิยมอันเกี่ยวกับเกียรติยศศักดิ์ศรีของท่าน พิจารณาการนำเสนอข้อมูลใดๆ ของบริษัทขายตรง

    • บริษัทนั้นต้องนำเสนอความเป็นจริงที่สามารถจับต้องได้

    • สินค้าควรเป็นผลิตภัณฑ์ได้มาตราฐานสากล ระดับโลก เพราะบริษัทขายตรงที่ดีนั้นต้องมองโลกเป็นตลาด และต้องไร้ข้อจำกัดในการเผยแพร่ธุรกิจต่อผู้อื่น

    • ระบบ บริหารจัดการนี้ จะต้องลงทุนน้อยคล่องตัว และหลีกเลี่ยงกับการเผชิญหน้า กับประชากรทั้งสามกลุ่มแรก เพื่อลดการสูญเสียเวลาอันมีค่าไปกับเรื่องไร้สาระ

ดังนั้นเมื่อคุณทราบว่าตัวคุณเองอยู่ในกลุ่มนี้ คุณจึงมีวิธีเลือกบริษัทขายตรงแบบยั่งยืนดังนี้

ประการแรก จะเฝ้าแสวงหาบริษัท ที่ใช้ความจริงในการนำเสนอข้อมูล เพราะเชื่อว่าความสำเร็จจอมปลอมนั้นมันไม่ยั่งยืน

ประการที่สอง จะพิจารณาหาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำให้ตนเองจะต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติยศจากการไปแนะนำผู้อื่นในระยะยาว

ประการที่สาม จะหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีผลตอบแทนหวือหวาโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงในการทำงาน ตรงกันข้ามจะมองหาบริษัทที่มีความมั่นคงของแผนการจ่ายผลตอบแทนในระยะยาว พร้อมทั้งยังได้รับเกียรติ ไปพร้อมกันด้วย

ท้ายที่สุดนี้ขออัญเชิญพระสูตรคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ชือว่า "กาลามสูตร 10"

ไว้เตือนสติท่านทั้งหลายมาฝากกันด้วย

  1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา

  2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา

  3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ

  4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์

  5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (คิดเดาเอาเอง)

  6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน (คาดคะเน)

  7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล

  8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฏีที่พินิจไว้แล้ว

  9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเห็นรูปการว่าน่าจะเป็นไปได้

  10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นศัตรูของเรา

ขอให้ท่านโปรดใช้ปัญญา และสติไตร่ตรองว่า ที่แห่งใดปลอดภัยยั่งยืน และพร้อมที่จะปกป้องเกียรติของท่านในการเป็น

คนขายตรงคุณภาพระดับโลก.....

นักธุรกิจขายตรง 4 ประเภท

ก่อนที่ทุกท่านจะตัดสินใจทำธุรกิจเครือข่าย ธุรกิจขายตรง ลองมองดูตัวท่านเองก่อนว่า เป็นนักธุรกิจประเภทใด เพื่อให้ท่านสามารถตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจได้ถูกต้อง

เราแบ่งนักธุรกิจขายตรงเป็น 4 ประเภท ประกอบด้วย

ประเภทที่ 1 ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้ผลประโยชน์ คนประเภทนี้ใช้การที่ตนเองเป็นคนในธุรกิจขายตรง หลอกลวงให้ข้อมูลเป็นเท็จ รวมถึงการบังคับขู่เข็ญ และทำได้ทุกรูปแบบเข้าสู่กระบวนการมิจฉาชีพ ด้วยประโยคยอดฮิตติดปาก และมักจะพูดเป็นประโยคแรกๆ นั่นคือ โอกาสทางธุรกิจ และมักจะพูดถึงผลประโยชน์ เป็นตัวเลขมหาศาลโดยไม่ต้องลงทุนลงแรง คือเรียกว่า "ขี้เกียจก็ได้เงิน" โดยไม่ต้องทำอะไร ไม่พูดเรื่องสินค้า ไม่พูดถึงความมั่นคงของบริษัท พูดอย่างเดียวว่า "มาร่วมกระบวนการแล้วจะดี"

ประเภทที่ 2 ว่าร้ายกล่าวโทษเมื่อไม่ได้ดังใจ คนประเภทนี้คือตราบใดที่ยังมีผลประโยชน์อยู่จะดูเป็นคนดีน่านับเชื่อถือ สุขุม คัมภีรภาพ ลุ่มลึก พูดเป็นหลักการ และดูมีเหตุผล ตราบเท่าที่ตนยังได้รับผลประโยชน์ตามที่ตนต้องการอยู่ ซึ่งจะมีความแตกต่างจากนักธุรกิจที่มีจรรยาบรรณและจริยธรรมสูง นั่นคือคนกลุ่มนี้จะมองเป็นผลประโยชน์ของตนเองนั้นสำคัญก่อนสิ่งอื่นใด ก่อนดาวน์ไลน์ ก่อนบริษัท และก่อนองค์รวมขององค์กร ดังนั้นหากบริษัท ทีมงานและเพื่อนร่วมงานในองค์กรจับได้ว่ามีการกระทำบางอย่างผิดระเบียบผิ ครรลองครองธรรม จึงพยายามปกป้องไม่ให้ได้รับผลประโยชน์อันไม่ชอบธรรมนั้น เมื่อไม่สบอารมณ์คนเหล่านั้นก็พร้อมจะหันกลับมาให้ร้ายได้ตลอดเวลา ทั้งยังกล้าสาบานท้าทาย บางรายอาการหนักขนาดกล้าสาบานให้ตนเองสูญสิ้นมลายหายชีวิต

ประเภทที่ 3 เกิดมารับใช้คนสองประเภทแรก คนประเภทนี้เป็นประเภทที่มีแต่ความมุ่งมั่นไม่มีความคิด ไร้สติ ขาดการไตร่ตรอง มักจะตกเป็นเหยื่อ เป็นลิ่วล้อ ยินดีรับใช้และมักจะเรียกคนสองประเภทแรกว่า "ผู้นำ" จะขึ้นเขา ลงนรกตกสวรรค์ฉันตามด้วย ซึ่งคนกลุ่มนี้เชื่อว่าคนในสองประเภทแรกนี้เกิดมาเพื่อนำตนเองโดยเฉพาะ ดังนั้นเมื่อคุณไปพบกับคนที่ขาดสติเช่นคนประเภทที่ 3 นี้ สิ่งที่คุณพึงกระทำได้ดีที่สุดคือ ช่วยกันภาวนาให้เขามีสติแยกแยะคนสองประเภทแรกให้ได้เสียก่อน

ประเภทที่ 4 มีสติแบ่งแยกผิดชอบชั่วดี ซึ่ง คิดแล้วมีอัตราไม่ถึง 1% ของประชากรคือ กลุ่มคนที่มุ่งมั่นสร้างอาชีพขายตรง อย่างมีเสถียรภาพ ยาวนาน น่านับถือ และไม่ต้องการเอาปี๊ป หรือถุงกระดาษคลุมหัวไว้เวลาที่ต้องออกไปสู่งสังคม คนกลุ่มนี้มีความเชื่อว่า การทำธุรกิจขายตรงนั้น คือการเอาเกียรติ ชื่อเสียงของตนและวงศ์ตระกูล มาผูกเอาไว้กับสิ่งที่ต้องเอาไปนำเสนอต่อคนหมู่มาก และคนกลุ่มนี้มีความเชื่อมั่นว่า การทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้คน จะต้องอาศัยพื้นฐานความดีงาม และชื่อเสียงเป็นรากฐานของการเจริญเติบโต เขาเหล่านี้จะระลึกอยู่เสมอว่า การทำธุรกิจขายตรงนั้น มีค่าเท่ากับ หนึ่งคน หนึ่งชีวิต หนึ่งครั้ง

ซึ่งแตกต่างจากบุคคลในสามประเภทแรกที่พร้อมจะกระโดด ดึ๋งๆ ไปได้ทุกที่ ตราบใดที่เสียประโยชน์ และขาดสติ ดังนั้นในกลุ่มนี้เฝ้าหาบริษัทที่เติบโตตามความเป็นจริง

แล้วคุณหละเป็นประเภทใหน ????

เมื่อรู้แล้วว่า ตัวเราเป็นนักธุรกิขประเภทใด ก็ลองเลือกบริษัทขายตรง ที่ตรงกับตัวเรานะครับ อ่านต่อในบทความถัดไป...