วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แนะนำหนังสือดีชุด พ่อรวยสอนลูก

แนะนำหนังสือดีชุด พ่อรวยสอนลูก
ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ถ้าท่านต้องการที่จะรวย และมีเวลาเป็นของตนเอง ท่านจะต้องไม่พลาดที่จะอ่านหนังสือชุดนี้ ซึ่งจะมีเคล็ดลับที่จะทำให้ท่านมี "อิสรภาพทางการเงิน" ไม่ว่าท่านจะเป็นใครท่านก็จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านการเงิน และหนังสือชุดนี้จะช่วยท่านได้

หนังสือชุด พ่อรวยสอนลูก นี้เป็นหนังสือที่แปลมาจาก Rich Dad Series ซึ่งเขียนโดย Robert T. Kiyosaki และ Sharon L. Lechter ในขณะที่เขียนบทความนี้ได้มีการแปลเป็นภาษาไทยแล้วจำนวน 6 เล่ม มีชื่อว่า พ่อรวยสอนลูก , เงินสี่ด้าน , สอนลูกให้รวย , พ่อรวยสอนลงทุน, โรงเรียนสอนธุรกิจ และ เกษียณรวยเกษียณเร็ว พิมพ์โดยซีเอ็ดซึ่งท่านสามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมรวมทั้งสั่งซื้อได้ที่ เวปไซต์ของซีเอ็ด http://www.se-ed.com และตามร้านหนังสือทั่วไป

หนังสือเล่มแรกคือ พ่อรวยสอนลูก นั้น เป็นการเสนอแนวคิดในการนำมาซึ่ง ความมั่งคั่ง และ อิสรภาพทางการเงิน ผ่านประสบการของผู้เขียน คือ โรเบิร์ต คิโยซากิ ซึ่งมีพ่อรวย (พ่อของเพื่อนรักของ โรเบิร์ต คิโยซากิ ที่เขานับถือเหมือนเป็นพ่ออีกคนหนึ่ง) และพ่อจน (พ่อแท้ๆ ของ โรเบิร์ต คิโยซากิ) เป็นทั้งแบบอย่าง และข้อเตือนใจให้กับเขา หนังสือเล่มนี้จะให้แนวทาง และมุมมองที่น่าสนใจหลายประการกับผู้อ่าน รวมทั้งการดำเนินเรื่องที่ไม่ซับซ้อน และการใช้ภาษาที่ง่ายต่อการเข้าใจ จนทำให้หลายๆ คน


ส่วนเล่มที่ 2 คือ พ่อรวยสอนลูก #2 เงินสี่ด้าน จะเป็นส่วนขยายจากเล่มแรกในส่วนการทำงาน การหารายได้ และแหล่งที่มาของรายได้ที่มีส่วนกับการมี " อิสรภาพทางการเงิน " ท่านอาจพบความจริงอันขมขื่นว่าแหล่งที่มาของรายได้ของท่านนั้นอาจไม่ได้ช่วยให้ท่านสามารถพบ "อิสรภาพทางการเงิน" ได้ ถ้าท่านได้อ่าน ถ้าท่านเปลี่ยนแปลงบางส่วนในชีวิต ท่านก็สามารถพบกับ "อิสรภาพทางการเงิน" ได้เช่นกัน


เล่มที่ 3 เรื่อง พ่อรวยสอนลูก # 3 สอนลูกให้รวย เน้นถึงการถ่ายทอดความคิด และ อัจฉริยภาพทางการเงิน ไปยังบุตรหลาน รวมทั้งแสดงมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับระบบการศึกษาในปัจจุบัน หากท่านมีลูก หรือคิดจะมีลูกท่านจะต้องไม่พลาดหนังสือเล่มนี้เป็นอันขาด เริ่มเตรียมความพร้อมให้กับบุตรหลายของท่านได้เผชิญหน้ากับโลก ด้วยความพร้อมใน ความคิด ทางด้าน การเงิน เสียแต่วันนี้
แต่ผมก็ยังแนะนำให้ผู้ใหญไม่ว่าจะโสด ไม่โสด มีลูก หรือไม่มีอ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะได้ข้อคิด ไอเดียเยอะมาก ก็ถือซะว่าเราอ่านเอาไว้สอนตัวเอง ซึ่งในตัวเราก็ยังมีเด็กเล็กๆอยู่ข้างในเช่นกัน


เล่มที่ 4 เรื่องพ่อรวยสอนลงทุน เน้นถึงการลงทุนแบบคนรวยโดยเฉพาะ ซึ่งไม่ไช่ การลงทุน ด้วยเงินจำนวนมากอย่างที่หลายคนคิด หนังสือเล่มนี้จะทำให้ท่านได้เห็นมุมมองของ การลงทุน ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพใน การลงทุน ของท่าน ไม่ว่าท่านจะมีเงินอยู่เท่าไรก็ตาม



เล่มที่ 5 เรื่อง โรงเรียนสอนธุรกิจ นำเสนอและอธิบายเกี่ยวกับ ธุรกิจ ขายตรง ในมุมมองของ โรเบิร์ต คิโยซากิ ที่แม้ว่าเขาจะไม่ได้ประสบความสำเร็จมาจาก ธุรกิจ ประเภทนี้ แต่มุมมองที่เขามีต่อ ธุรกิจ ประเภทนี้นั้นน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเน้นที่ว่าจะเป็นธุรกิจที่เปิดโอกาสให้คนที่ทำงานเป็นลูกจ้างทั่วไปสามารถเปลี่ยนตัวเองไปเป็น เจ้าของกิจการ (เปลี่ยนจาก ฝั่งซ้าย มาเป็น ฝั่งขวา ของ เงินสี่ด้าน) ได้ ด้วยการใช้ ต้นทุน ใน การลงทุน ที่ต่ำกว่า มีความเสี่ยงน้อยกว่า และรวดเร็วกว่าเส้นทางแบบที่ต้องทำด้วยตนเองอย่างเดียว เราจะได้เรียนรู้ โอกาส 8 ประการ ในการทำ ธุรกิจเครือข่าย และแนวคิดของการพัฒนาตนเองทั้ง 4 ด้าน ที่เป็นรูปปิรมิด

เล่มที่ 6 เรื่อง เกษียณรวยเกษียณเร็ว เล่มนี้พูดถึงการ เกษียณ ว่าเราต้องการ เกษียณ แก่หรือ เกษียณ หนุ่ม โรเบิร์ต ชักชวนให้เรา เกษียณเร็ว เกษียณ ตั้งแต่ยังหนุ่ม และชี้ถึงวิธีที่จะเตรียมพร้อม เกษียณ ซึ่งก็คือการสร้างฐานะสู่ อิสรภาพทางการเงิน ให้ได้ก่อนถึงวันที่ต้อง เกษียณ นั่นเอง ทั้งเล่มจะกล่าวถึงเรื่องของ พลังทวี (Leverage) ที่จะช่วยผ่อนแรงหรือขยายพลังให้เราไปสู่ความสำเร็จได้ ตั้งแต่ พลังทวี ของใจ พลังทวี ของ แผนการ และ พลังทวี แห่ง การลงมือทำ

ข้อคิดสะกิดใจ

ข้อคิดสะกิดใจ

"ถ้าคุณทำสิ่งที่คุณไม่เคยทำ คุณก็จะได้ในสิ่งที่ไม่เคยได้เสมอ"

"ความลับของคนรวย
OPT = Other People's Time (เวลาของคนอื่น)
OPM = Other People's Money (เงินของคนอื่น)"

"การจัดการกับความเสี่ยง ถ้ารู้วิธี ก็ไม่น่ากลัว"

"ทัศนคติสำคัญกว่าความเป็นจริง"

"คนเราต่างกันตรงความคิด ความสำเร็จจึงต่างกัน"

" ขนาดของความคิด เป็นตัวกำหนดขนาดของความสำเร็จ - เมื่อคุณคิดใหญ่ ความสำเร็จคุณก็ใหญ่เช่นกัน

" เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิตจะไม่คิดบ้างหรือ"

" Don't take a job for what you can earn, take a job for what you can learn.
อย่าหวังว่าทำงานเพื่อเงิน แต่หวังทำงานเพื่อความรู้"

"เป็นนาย ไม่ใช่เป็นทาสของเงิน" - วิชาที่โรงเรียนไม่เคยสอน

"เราอยากอยู่กับสิ่งใด เราต้องรู้เรื่องสิ่งนั้น เพราะฉนั้น ถ้าเราอยากอยู่กันเงิน เราต้องรู้เรื่องเงิน "

"คนรวย (Rich) คือคนที่รู้ว่ามีเงินอยู่เท่าไร ส่วน คนมั่งคั่ง (Wealth) คือคนที่ไม่รู้ว่ามีเงินอยู่เท่าไร "

" การเรียนรู้คือการทำตัวเหมือนแก้วเปล่า ที่ใส่น้ำได้เรื่อยๆ "

" สิ่งที่แตกต่างระหว่างความเสี่ยงและความน่าเสี่ยง อยู่ที่ ข้อมูล"

" คนส่วนมากหาเหตุผล เพื่อบอกว่าตัวเองทำไม่ได้หรอก และหาเหตุผลที่จะบอกว่าคนนั้นทำได้เพราะเหตุใด "

" การตัดสินใจทุกครั้ง มีผลต่อชีวิต คุณต้องแลกมันกับบางสิ่งบางอย่าง"

"ท้องทะเลที่ราบเรียบ ไม่เคยสร้างนักเดินเรือผู้เชี่ยวชาญ "

"ทำอื่นๆหมื่นแสน ไม่ยากแม้นเหมือนทำใจ "

"คนไม่ถูกเตือนไม่ดี ฆ้องไม่ถูกตีไม่ดัง - ตนเตือนตนของตนเอง "

"อย่าให้อารมณ์เป็นตัวกำหนดการกระทำ จงให้สมองกำหนดการกระทำ "

"การกระทำไม่สำคัญเท่าวิธีคิด "

"การลงทุนคือการวางแผน (Investing is a planning) "

"ความกลัว ทำให้เราแสวงหาความมั่นคง "

"ความฝัน ทำให้เราแสวงหาอิสรภาพ "

"จงคิดนอกกรอบ "

"Don't judge the book by the cover - อย่าตัดสินหนังสือเพียงแค่ปก "

"จะเลือกครูหรือที่ปรึกษาในชีวิต จะต้องเลือกคนที่สำเร็จ เพราะคนสำเร็จพูดได้ 2 เรื่อง คือ สำเร็จ และไม่สำเร็จ ส่วนคนที่ไม่สำเร็จพูดได้เรื่องเดียว "

"คนอื่นคิดอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญว่าเราคิดอย่างไร "

"If one man can, I can. ถ้ามีคนทำได้ เราก็ทำได้เช่นกัน "

"คนที่พูดว่า "คุณคงทำไม่ได้หรอก" หมายความว่า "เขาทำไม่ได้ต่างหาก" "

"เมื่อคุณเชื่อมั่นจนศรัทธา ปาฏิหาริย์มันจะเกิด "

"You will when you believe.
ประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดกับทุกคน แต่เป็นสิ่งที่คุณทำกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ
กับประโยคที่ว่า "ผมไม่เคย ผมทำไม่ได้หรอก" - คุณก็ลองทำสิ จะได้เคย! "

"Just do it! - แค่ลงมือทำ"

ผู้ชนะกับผู้แพ้

ผู้ชนะกับผู้แพ้

ผู้ชนะ มักมีอุปสรรคไว้ให้ข้าม ผู้แพ้ ยอมคุกเข่าอยู่ตรงหน้า
ผู้ชนะ มักมีการแบ่งเวลา ผู้แพ้ ว่า เวลานั้นไม่มี
ผู้ชนะ มักกล่าวคำ "เราทำได้" ผู้แพ้ ใช่ไม่เก่งเหมือนคนอื่นเขา
ผู้ชนะ บอก "นี่คือโอกาสของเรา" ผู้แพ้ เฝ้ารอดูคนอื่นทำ
ผู้ชนะ ทุกปัญหามีคำตอบ ผู้แพ้ ชอบ ทุกคำตอบเป็นปัญหา
ผู้ชนะ ชนะได้ทั้งโลกา ผู้แพ้ พาอับจนทั้งชีวีต

เรื่องของอายุ

เรื่องของอายุ

ช่วงชีวิตของคนเราโดยทั่วไป

1 ปี - 20 ปี พึ่งพา
21 ปี - 30 ปี พากเพียร
31 ปี - 50 ปี เพิ่มพูน
51 ปี ขึ้นไป พักผ่อน เพื่อนๆ


ชีวิตคุณเป็นไปตามนี้หรือเปล่า?

แล้วลองอ่านข้อมูลด้านล่าง

- วัยเยาว์
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...ฉันยังเด็กเกินไปที่จะคิด...ชีวิตฉันเพิ่งเริ่มต้น ทุกวันนี้ยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่ และฉันไม่เหลือพอที่จะเก็บ ฉันกำลังเล่นสนุก...วันหนึ่งเมื่อฉันโตขึ้นฉันจะเก็บเงิน

- วัยรุ่น
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...ฉันยังเรียนหนังสืออยู่...พ่อแม่ให้เงินสำหรับพอใช้ในแต่ละวันเท่านั้น ฉันยังเก็บเงินไม่ได้หรอก นอกจากนั้นฉันยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ต้องใช้เงินอีกเมื่อฉันเรียนจบ และถ้าฉันหาเงินได้เอง ฉันจึงจะเก็บ

- วัย 20 ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...ฉันเพิ่งเรียนจบ ขอเวลาฉันได้พักสมองบ้าง และฉันยังไม่พร้อมที่จะผูกมัดเรื่องนี้ ฉันยังต้องการแสวงหาความสนุก ในขณะที่ฉันสามารถทำได้ ยังมีเวลาเหลืออีกมากที่จะคิด ถึงตอนนั้นเมื่อฉันพร้อมฉันก็จะเก็บ

- วัย 30 ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...ฉันเพิ่งมีครอบครัวและต้องรับผิดชอบหลายอย่าง ค่าใช้จ่ายลูกเดี๋ยวนี้แพงเหลือเกินและฉันยังต้องผ่อนหนี้เงินกู้บ้านอีกด้วย ทุกวันนี้แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว ถ้าวันข้างหน้าฉันหาเงินได้มากกว่านี้และลูกๆ โตแล้ว ฉันจึงจะเก็บ

- วัย 40ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...ลูกฉันเริ่มเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย เดี๋ยวนี้ค่าหน่วยกิตและค่าต่างๆ แพงมาก ไหนยังต้องผ่อนหนี้เงินกู้ที่ซื้อรถยนต์ให้ลูกอีก ฉันกลัวพวกเขาลำบาก ตอนนี้ยอมรับว่าค่าใช้จ่ายสูงจริงๆ และเป็นเวลาที่ยากที่จะเก็บเงิน แต่อีกสักระยะเมื่อพวกเขาเรียนจบ การเงินคงจะคล่องตัวขึ้น ถึงตอนนั้นฉันจึงจะเก็บ

- วัย 50 ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้... ตอนนี้ลูกๆ เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลายคนกำลังจะแต่งงาน ฉันอยากให้พวกเขาเริ่มต้นชีวิตที่ดี นอกจากนี้ฉันยังต้องไปช่วยญาติบางคน ซึ่งตอนนี้พวกเขากำลังต้องการความช่วยเหลือ เหตุการณ์มันไม่ได้เป็นไปตามที่ฉันคิดไว้เลย มันติดขัดไปหมด โชคดีเมื่อไหร่ฉันคงจะเก็บเงินได้

- วัย 60 ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...ฉันนึกว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น ฉันอยากเกษียณอายุก่อน แต่ฉันไม่สามารถทำได้ ฉันกำลังพยายามจ่ายเงินติดค้างจำนองบ้านที่เหลือและหนี้สินอื่นๆ แต่ทุกอย่างยังประดังเข้ามา ไหนจะลูกเอยหลานเอย ไอ้โน่นไอ้นี่มาลงที่ตัวฉันหมด ถ้าภาระฉันหมดเมื่อไร ฉัน ภาวนาว่าฉันน่าจะเก็บได้

- วัย 70
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...ฉันแก่เกินไปที่จะเก็บ...เงินบำนาญของฉันก็มีไม่มากพอ บิลค่ายาและค่าดูแลรักษาพยาบาลระยะยาวทำให้ฉันเป็นห่วงอยู่...ฉันไม่อยากไปเป็นภาระของลูกๆ เขา ฉันน่าจะเก็บตอนที่ฉันมีและควรเก็บได้

ตอนนี้มันสายเกินไป......ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้จริงๆ.....

วันและเวลาที่ผ่านไป...คุณจะรอให้เป็นอย่างนั้นหรือ...? ในเมื่อคุณยังมี...โอกาส...

แล้วถ้าเราจะเปลี่ยนช่วงชีวิตของเราใหม่ ดังนี้

1 ปี - 20 ปี พึ่งพา
21 ปี - 30 ปี พากเพียร
31 ปี - 35 ปี เพิ่มพูน
36 ปี ขึ้นไป พักผ่อน เพื่อนๆ


หลายคนหัวเราะ บอกว่าเป็นฝันลมๆแล้งๆ, เป็นไปไม่ได้หรอก, ไอ้นี่มันบ้าแล้ว....

แล้วคุณล่ะคิดอย่างไร?

ผมไม่ได้แนะนำให้คุณเก็บเงินหรอก เพราะคุณเก็บเท่าไรก็ไม่พอ ผมอยากให้คุณสร้างแหล่งผลิตเงินมากกว่า...
แหล่งผลิตเงินที่คุณไม่ต้องลงมือทำงานเพื่อแลกกับเงิน หรือที่เรียกว่า Passive Income นั่นเอง

โชคกับโอกาส

โชคกับโอกาส

"โชค" กับ "โอกาส" สองคำนี้มันใกล้กันมาก ถ้าคุณเปิด Dictionary ก็จะเป็นว่ามันอยู่ใกล้ๆกัน
คุณรู้ความหมายของมันหรือเปล่า ผมจะพยายามพิจารณาคำ 2 คำนี้จากความคิดของผม
ออกมาเป็นตัวอักษรในหน้านี้

"รอโอกาส" หลายคนใช้คำนี้บ่อย ผมว่ามันผิดอยู่นิดหน่อยตรงที่เราใช้คำว่า "รอ" คำนี้น่าจะใช้กับคำว่า "โชค" มากกว่า

"โอกาส" ในความคิดของผมมันไม่ต้องรอครับ มันต้องใช้คำว่า "หา"
ถ้าเรา "หาโอกาส" มากเท่าไร เราจะ "มีโอกาส" มากเท่านั้น
ถ้าใครชอบ "โชค" คุณก็รอต่อไปเถอะ

แล้วจะรู้ได้ไงล่ะว่า
- โอกาสที่เราได้มามันจะสำเร็จหรือไม่
- เปอร์เซ็นต์ของความสำเร็จมีเท่าไร


อืม! เป็นคำถามน่าคิดนะ ให้คุณเอาไปคิดต่อเองละกัน
เพราะถ้าคุณเริ่มคิด คำตอบก็จะออกมาเอง แต่ถ้าคุณหยุดคิด คุณก็คงรู้ว่าคำตอบก็คือ "ไม่สำเร็จ" นั่นเอง

คุณจะ "รอโชคชะตา" หรือคุณจะ "หาโอกาส" ก็อยู่ที่คุณ!

ขอต่ออีกนิดนึง...
อีกคำหนึ่งที่ใช้กับคำว่า "โชค" ก็คือคำว่า "เสี่ยง"
แต่ถ้าผมจะใช้กับ "โอกาส" ผมจะใช้คำว่า "น่าเสี่ยง" แทน
"ความเสี่ยง" กับ "ความน่าเสี่ยง" มันต่างกันตรงไหนหรอ?
มันต่างกันแค่นิดเดียวครับ...
ความแตกต่างระหว่าง "ความเสี่ยง" กับ "ความน่าเสี่ยง" ก็คือ "ข้อมูล"

Active Income กับ Passive Income

Active Income กับ Passive Income
รายได้ 2 อย่างนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมจะพยายามอธิบายตามความเข้าใจของผมที่ได้รับรู้มา

Active Income คือรายได้ที่เกิดขึ้นจากการลงมือทำงาน ไม่ว่าจะเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือเป็นรายได้ต่อโปรเจค ที่ต้องทำงานแลกมา ถ้าเราหยุดทำงาน หรือทำงานไม่ได้ รายได้นี้ก็จะไม่ได้รับ เป็นรายได้ที่คนทั่วไปได้รับ เช่น พนักงานบริษัท ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้รับเหมา หรือแม้แต่ชาวนา ที่มีรายได้เป็นฤดูๆ ต้อง ทำงานแลกกับเงิน หยุดทำก็ไม่มีเงิน

Passive Income คือ รายได้ ที่ไม่ได้ การทำงาน รายได้ ที่เกิดจาก ทรัพย์สิน หรือ รายได้ ที่เกิดจากการที่ได้ลงแรงทำงานอย่างหนักจนบรรลุเป้าหมาย หลังจากนั้นเมื่อหยุดทำงาน ก็ยังมีรายได้/ผลตอบแทนต่อเนื่อง โดยไม่ต้องลงมือทำงานอย่างหนักอีกต่อไป และเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับลงทุนลงแรงที่ทำไป
รายได้จาก Passive Income นั้น ไม่ได้เกิดจากการที่เรา ทำงาน แลกเงิน แต่เป็น รายได้ ต่อเนื่องโดยที่เราไม่ต้องออกแรงทำงาน มันเป็นผลจากการทำงานในอดีต ที่ยังเห็นผลต่อเนื่องในปัจจุบันและมีผลต่อไปในอนาคต พูดง่ายๆก็คือ "อยู่เฉยๆก็มีรายได้"

ถ้าท่านอ่าน หนังสือ ของ โรเบิร์ต เล่ม 2 เรื่อง "เงินสี่ด้าน" ท่านคงเห็นตัวอย่างของรายได้ทั้งสองนี้ตั้งแต่บทนำ
เรื่องของเอ็ดกับบิล
เรื่องของถังน้ำกับท่อน้ำ
เรื่องของการลากถังกับต่อท่อ
เรื่องของการ ทำงาน อย่างหนักและทำงานอย่าง ชาญฉลาด

ซึ่ง ความคิด ของทั้งสองคนต่างกันโดยสิ้นเชิง (ถ้าคุณอยากรู้เรื่องราวของเอ็ดกับบิล ต้องไปอ่านเองนะครับ) แล้วคุณล่ะ อยากได้รายได้แบบไหน Active Income หรือ Passive Income
ขอให้คุณตอบจากความต้องการของคุณจริงๆ โดยไม่มีคำว่า "แต่" ไม่ต้องเอา อุปสรรค ข้ออ้างต่างๆนานา มาขัดขวาง ความคิด และ การตัดสินใจ ของคุณ

มีคนบอกว่า
"คนส่วนมากหาเหตุผล เพื่อบอกว่าตัวเองทำไม่ได้เพราะอะไร
และหาเหตุผลที่จะบอกว่าคนนั้นทำได้เพราะเหตุใด"


ถ้าคุณตัดสินใจที่จะมี รายได้ จาก Passive Income แล้วล่ะก็ คุณต้องเริ่มเปลี่ยนตัวเอง เริ่มที่จะ คิดใหม่ เริ่มทำในสิ่งที่แตกต่างจากชีวิตปัจจุบัน เพราะถ้าคุณยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมคุณก็ยังคงได้ผลลัพธ์ที่เหมือนเดิมอยู่นั้นเอง ลองกับไปอ่านบทความ "เราจะเอาชนะวิธีคิดแบบเดิมๆได้อย่างไร?" ในนั้นได้เขียนไว้ว่า

ความผิดที่ใหญ่หลวงที่สุดของมนุษย์ก็คือ
"การหวังว่าจะมีชีวิตใหม่ ด้วยความคิดและพฤติกรรมเดิมๆ"

ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้คุณเริ่มจากหนังสือเล่มนี้ "The magic of thinking big - คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก " ผมจะไม่บอกว่ามันดีหรือไม่ดีอย่างไร ถ้าคุณอยากรู้ต้องหามันมาอ่านเอง

ถ้าคุณบอกว่าไม่มีเวลา คุณก็จะไม่มีเวลาจริงๆ

ถ้าคุณบอกว่าไม่มีเวลา คุณก็จะไม่มีเวลาจริงๆ

ท่านลองพิจารณาดูตารางด้านล่าง แบบเล่นๆ ท่านจะรู้ว่าใน 1 ปี ท่านมีเวลาเหลือที่จะทำงานหาเงินเท่าไร

ใน 1ปี มีทั้งหมด 365 วัน

เราใช้เวลานอน วันละ 8 ช.ม. (1 ใน 3 ของชีวิตเรา อยู่บนเตียง)
-121 วัน เหลือ 244 วัน
วันอาทิตย์ คนทั้งโลกหยุดทำงาน (1 ปีมี 52 สัปดาห์)
-52 วัน เหลือ 192 วัน
วันเสาร์ หยุดทำงานครึ่งวัน
-26 วัน เหลือ 166 วัน
วันหยุดนักขัตฤกษ์ 13 วัน
-13 วัน เหลือ 153 วัน
ทำธุระส่วนตัว อาบน้ำ เช้า-เย็น ครั้งละ~ 0.5 ช.ม. = 1 x 365
คิดเป็น~ 15 วัน -15 วัน เหลือ 138 วัน
ทานอาหาร 3 มื้อ มื้อละ 1 ช.ม. = 3 x 365
คิดเป็น~ 45 วัน -45 วัน เหลือ 93 วัน
ใช้เวลาเดินทาง เช้า-เย็น เที่ยวละ~ 1.5 ช.ม.
คิดเป็น~ 45 วัน -45 วัน เหลือ 48 วัน
พูดคุยไร้สาระกับเพื่อนฝูง 1 ช.ม./วัน
-15 วัน เหลือ 33 วัน
ใช้เวลาเด๋อด๋า เดินเล่น ชอปปิ้ง อื่นๆ 1 ช.ม./วัน
-15 วัน เหลือเวลาทำงานเพียง 18 วัน

ถ้าคุณบอกว่าไม่มีเวลา คุณก็จะไม่มีเวลาจริงๆ เพราะคุณจะเชื่ออย่างนั้นว่า "ไม่มีเวลา"

เวลาเป็นทุนของชีวิต ใน 1 วันทุกคนมี 24 ชั่วโมงเท่าๆกัน ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นๆ ว่าจะใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าแค่ไหน กิจกรรมบางอย่างเราอาจใช้เวลากับมันมากเกินไป เช่น ดูทีวี, เดินชอปปิ้ง, คุยเรื่องไร้สาระกับเพื่อน ฯลฯ ถ้าเราดูทีวีให้น้อยลง ชอปปิ้งให้น้อยลง ใช้เวลาคุยให้น้อยลง คุณจะได้เวลากลับมาอย่างน้อยวันละ 1-2 ชั่วโมง

เวลา 1-2 ชั่วโมงต่อวันที่คุณได้มา มันจะมีค่าอย่างยิ่ง ถ้าคุณใช้มันอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด คุณลองคิดดูว่า คุณจะนำเวลาที่ได้มานี้ไปใช้ทำอะไรให้มันคุ้มค่าที่สุด

"แก่เกินแกง"

"แก่เกินแกง"

แก่เกินแกง คำๆนี้ทุกคนคงทราบความหมายมันดีอยู่แล้ว

1. นักกีฬาอาชีพ จะแก่เกินแกง ภายในอายุ 35 ปี
2. นักยิมนาสติก จะแก่เกินแกง ภายในอายุ 14 ปี
3. นักออกแบบ จะแก่เกินแกง ภายในอายุ 30 ปี
4. ทนายความ จะแก่เกินแกง ภายในอายุ 35 ปี
5. นางแบบ จะแก่เกินแกง ภายในอายุ 25 ปี


แล้วคุณล่ะ แก่เกินแกง ตอนอายุกี่ปี?

หมายเหตุ ข้อมูลนี้ยกขึ้นมาเพื่อให้ท่านได้คิด ไม่ได้มีเจตนาว่าอาชีพใดอาชีพหนึ่งนะครับ

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะต้องคิดถึงชีวิตหลังจากที่เรา แก่เกินแกง ตอนนี้เรายังมีแรง คุณได้จะเตรียม ความพร้อม ที่จะทำอะไรบางอย่างแล้วหรือยัง แน่นอน!!! ถ้าให้คุณคิดตอนนี้ คุณก็คงคิดอะไรไม่ออกหรอกว่าจะทำอะไรดี แต่ถ้าคุณยังไม่เริ่มที่จะคิด คุณก็จะไม่มีทางรู้ คำตอบ นั้นเลย

เริ่ม ที่จะคิดและ ลงมือทำ เริ่มจากก้าวเด็ก แล้วค่อยเดิน และวิ่ง เมื่อคุณพบฝั่งฝันของความสำเร็จ คุณจะได้หยุดพักอย่างสบายใจ ใช้ชีวิตหลังแก่เกินแกงอย่างมี ความสุข

เมื่อคุณเริ่มคิด ความคิดของคุณอาจจะตกร่อง ความคิด แบบเดิมๆ ซึ่งอาจจะทำให้คุณไปไม่ถึงความใฝ่ฝันได้
ขอแนะนำให้คุณ คิดนอกกรอบ คิดเหนือจาก ประสบการณ์ เดิม เมื่อคุณคิดนอกกรอบคุณจะเห็นความต่าง
ลองอ่าน "เราจะเอา ชนะวิธีคิด แบบเดิมๆได้อย่างไร?"

You are what you think คุณคิดอะไรก็จะ เป็น-อยู่-คือ อย่างนั้น

You are what you think

บทความนี้ผมได้นำมาจากกระทู้ใน Pantip.com ขอขอบคุณสำหรับความคิดดีๆแบบนี้ครับ จึงอยากนำมาเผยแพร่ให้ทุกคนได้อ่าน และตรงกับแนวคิดที่ผมได้นำเสนอมาโดยตลอด คือ ความคิด (เมื่อคุณเปลี่ยนความคิด วิถีชีวิตคุณจะเปลี่ยน)

เรื่องนี้ให้เครดิตกับหนังสือ System Thinking เขียนโดย Josph O'Cornor and Ian McDermott รวมไปถึงทุกคนและทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิตผมแล้วกันนะครับ
"คุณคิดอะไรก็จะ เป็น/อยู่/คือ อย่างนั้น" ง่ายดีใช่ไหมหละครับ แหะแหะแหะ คิดอย่างไรได้อย่างนั้น คิดเงินได้เงิน คิดทองก็ได้ทอง คิดอยากผอมก็ผอม คิดอยากอ้วนก็อ้วน งั้นก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดีอะเซะ อ้าว

ขอร้องเลยนะครับ ท่านทั้งหลายที่กำลัง คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย คิดเพ้อเจ้อ คิดฟุ้งซ่าน ละเมอเพ้อพกหรือฝันไปเรื่อยๆ พ่อหมอขอทำนายไว้เลยนะครับว่า คนที่มัวแต่จมอยู่กับภาพในความฝันของตัวเอง ก็จะกลายเป็นคนบ้าไปในที่สุดครับ

ในทางกลับกัน คนที่มุ่งมั่นกับ ความฝัน ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา และทำ ความฝัน ให้เป็นจริงขึ้นมาได้ นั่นแหละจึงจะเป็นผู้ ประสบความสำเร็จ อย่างแท้จริง เห็นไหมว่าคนบ้ากับ อัจฉริยะ ต่างกันแค่นิดเดียวเอง

ลองดู อัจฉริยะ ทั้งหลายที่เรารู้จักกันดีสิครับ พี่น้องตระกูลไรท์ บอกว่าคนก็บินได้ อ๊ะ บ้าหรือเปล่า คนไม่ใช่นกนะจะได้บินได้ ทุกคนรุมประณามสองพี่น้องว่าบ้า และก็คงจะบ้าจริงๆแหละครับถ้าเขามัวแต่นึกฝันเอาว่าคนบินได้เพราะเขาทั้งสองคิดถึงแต่เรื่องบินอย่างเดียวไม่เป็นอันกินอันนอนทีเดียวเชียวหละ ในขณะที่หลายๆคนทำได้เพียงนั่งคิดฝันว่า ถ้าเราบินได้อย่างนกก็ดีสินะ แต่เขาสองคนกล้าที่จะทำ ความฝัน ของเขาให้เป็นจริง แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วเขาสองคนจะไม่มี โอกาส ได้บิน แต่มาถึงวันนี้โลกก็ได้สานต่อ ความฝัน ของเขา และรู้ว่าเขาไม่ได้บ้าแต่เป็น อัจฉริยะ

คำว่า "คิด" "Think" ของผมที่หมายถึงในชื่อเรื่องนั้นไม่ได้หมายถึงการคิดเล่นๆหรือคิดเป็นชั่วครั้งชั่วคราว แต่หมายถึงคำว่า " ทัศนคติ และ จิตใต้สำนึก " ครับ

โดยทั่วไปแล้ว ทัศนคติ + จิตใต้สำนึก (ต่อไปขอเรียกรวมกันว่า "ความคิด" แล้วกันนะครับ) ของคนเรานั้นมันถูกสั่งสมมาตั้งแต่เกิดตราบจนถึงปัจจุบัน เห็นเขาว่าสร้างกันมาตั้งแต่ในท้องแม่ด้วยซ้ำ และก็ฝังรากลึกลงไปในตัวเราจนยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้

แล้วมันมีผลอะไรหรือครับ มันก็มีผลต่อการประมวลผลข้อมูลต่างๆที่เรารับเข้ามา แล้วเราก็จะแสดงออกข้อมูลที่ประมวลผลผ่านทาง "ความคิด" แล้วออกมาเองโดยอัตโนมัติ ทั้งทาง กาย วาจา ใจ นั่นเอง พูดแบบนี้ฟังดูเข้าใจยากขอยกตัวอย่างซักหน่อย

ผมจะทดสอบที่พื้นฐาน "ความคิด" ของเรากันเลยนะครับ ด้วยสามเหลี่ยม Kanizsa ซึ่งคิดค้นโดย Gaetano Kanizsa ทุกคนรู้จักสามเหลี่ยมกันดีอยู่แล้วใช่มั้ยครับ งั้นลองดูภาพนี้กันเลย


http://home.wanadoo.nl/hans.kuiper/optical2.htm

ทุกคนเห็นสามเหลี่ยมสีขาวมั้ยครับ เชื่อว่าเห็นกันทุกคน เผลอๆจะเห็นมันนูนออกมาซะด้วย แต่ผมถามอีกทีว่า จริงๆแล้วในรูปนี้มีสามเหลี่ยมอยู่มั้ยครับ? มันไม่มีนะครับ แต่สามเหลี่ยมที่เราเห็นนั้นเป็นสามเหลี่ยมที่สร้างขึ้นมาจาก "ความคิด" ของเราเอง โดยที่ตาของเราก็ทำงานตามปกติ ส่งภาพที่รับได้เข้าสู่สมอง แล้วสมองของเราก็ตีความตามกรอบความคิดที่สั่งสมมา เพราะเรามักมองสิ่งต่างๆเป็นรูปร่างรูปทรง ก็เลยสร้างสามเหลี่ยมขึ้นมาใน "ความคิด" แล้วมันก็แสดงออกมาให้เราได้รู้สึกว่าเราเห็นจริงๆ

สามเหลี่ยมสีขาวของ kanizsa นี้เปรียบเทียบได้กับอคติของเรา เป็น "ความคิด" ที่เราสั่งสมมาโดยประสบการณ์และเราเองก็เชื่อมั่นอย่างนั้น ซึ่งก็ทำให้เราเห็นสามเหลี่ยมตาม "ความคิด" ของเราจริงๆ ทั้งที่มันไม่ได้เป็นจริง ไม่ได้มีอยู่จริง

เห็นได้ชัดเจนว่า "ความคิด" ไม่ว่าจะ ผิดหรือถูก คติหรืออคติ ก็เป็นแรงผลักดันให้เราได้สัมผัสและรับรู้และเข้าใจได้ตามมันจริง

นั่นก็คือ "ความคิด" ทำให้มันกลายเป็นจริงได้ในมุมมองของเรา (ค่อยๆไขเข้ามาเรื่อยๆเหมือนพิสูจน์สูตรเลยนะ)

"ความคิด" นั้นมันเป็นระบบประมวลผลอัตโนมัติ มันฝังรากลึกจนกลายเป็นสัญชาตญาณ คือเป็นไปโดยไม่ต้องสั่ง ไม่ผ่านกระบวนการไตร่ตรองใดๆทั้งสิ้น ซึ่งก็ทำให้เรากลายไป เป็น/อยู่/คือ ตาม "ความคิด" ของเรา You are what you think

เอ๊ะ แล้วพอเรารู้แล้วว่า มันเป็นอคติ มันเป็นสามเหลี่ยม ทำไมเราก็ตัดมันออกไปไม่ได้ซะทีหละ กลับไปดูรูปกี่ทีก็เห็นเป็นสามเหลี่ยมทุกที นูนลอยเข้ามาหาหน้าเราอีกต่างหาก จะแก้อย่างไรดีหละครับ? อืมมม ผมคิดได้ 2 วิธีนะ

1. ก็ต้องตัดรูปสามเหลี่ยมออกจาก "ความคิด" ของเราไปเลย แต่อันนี้ยากนะ เพราะอย่างที่บอกว่ามันฝังรากลึกเข้าไปในตัวเรานานแล้ว ไอ้เรื่องจะตัดออกคงเป็นไปได้ยากมาก
2. เปลี่ยนวิธีการมองครับ จากเดิมเรามองรวมๆ ลองเปลี่ยนเป็นมองอันย่อยๆ มองวงกลม มองมุม เมื่อมองอันย่อยๆแล้วเราก็จะไม่เห็นรูปสามเหลี่ยมอีก

สรุปง่ายๆก็คือ ตัด "ความคิด" เก่า หรือ มองในมุมใหม่ แน่นอนว่าวิธีแรกนั้นยากแสนยาก แต่วิธีที่สองนั้นง่ายแสนง่าย

ฉะนั้น ท่านพุทธทาส ภิกขุ จึงสอนว่า "มองแต่แง่ดีเถิด" เพราะทราบดีว่า จะให้เราเลิกมีอคติ เลิกมองโลกในแง่ร้ายนั้น มันยากแสนยากล้านยาก แต่จะให้เรามองใหม่ มองในแง่ดี think positive นั้นมันง่ายแสนง่ายล้านง่าย

แล้วถ้าเราจะเปลี่ยน "ความคิด" จะมีวิธีปฏิบัติอย่างไรบ้างหละ?

วิธีการเปลี่ยน "ความคิด" ที่รวดเร็วที่สุด กระชับที่สุด ก็คือการรับรู้หรือประสบกับ "ความคิด" ในทางตรงกันข้ามด้วยตัวเองและยอมรับในประสบการณ์นั้น ก็จะทำให้เปลี่ยน "ความคิด" ไปได้

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนๆหนึ่งใช้น้ำฟุ่มเฟือยมาก โดยเห็นว่า ก็มีปัญญาจ่ายอะ ไม่เห็นจะเป็นอะไร 70เปอร์เซ็นต์ของพื้นผิวโลกคือน้ำนะ ไปกลัวทำไม แต่แล้วก็จับคนๆนี้ไปไว้กลางทะเลทรายสักระยะหนึ่ง เขาก็จะเห็นคุณค่าของน้ำทันทีและจะเปลี่ยน "ความคิด" ของเขาไปตลอดชีวิต

คนที่สามารถเลิกเหล้าเลิกบุหรี่อย่างฉับพลันจากที่เคยติดอย่างงอมแงมได้นั้น ส่วนใหญ่ก็มักเกิดจากการเปลี่ยน "ความคิด" โดยฉับพลันทันทีแทบทั้งสิ้น

แต่วิธีการนี้ค่อนข้างยาก เพราะไม่รู้จะมีโอกาสประสบ "ความคิด" ในทางตรงข้ามเมื่อไหร่ ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งสำรองให้ครับ

วิธีนี้เรียกว่า เก็บเล็กผสมน้อย ค่อยๆเปลี่ยนครับ เช่น การหัดมองโลกในแง่ดีนั่นแหละครับ วิธีนี้ใช้เวลานานหน่อย เพราะไม่เห็นผลแบบทันตาเห็น ต้องสะสมไปเรื่อยๆ ทำมันไปเรื่อยๆ ให้มันซึมซาบเข้าไป จนกลายเป็นธรรมดาปกติไปในที่สุด

ผมเคยได้ยินวิธีช่วยสำหรับการเก็บเล็กผสมน้อยนี่เหมือนกันนะ เป็นกึ่งๆการ สะกดจิต ตัวเองเล็กๆ เช่น ถ้าใครขาดความมั่นใจในตนเอง คิดว่าตัวเองขี้เหร่ ก็ให้แก้โดยการตื่นเช้าขึ้นมาทุกวัน ให้มาส่องกระจกแล้วบอกกับตัวเองว่า ฉันหล่อ/สวยเหลือเกิน ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะค่อยรู้สึกว่าตัวเองหล่อ/สวยขึ้นทุกวันๆ จนอาจหล่อ/สวยที่สุดในโลกก็ได้ (แต่คนอื่นเขาไม่คิดอย่างนั้นหรอกนะ)

ถ้ายังอยากจะมี "ความคิด" แบบเดิมอยู่ อยากจะ เป็น/อยู่/คือ แบบเดิมอยู่ ก็คงไม่ต้องเปลี่ยนอะไรกันหรอกครับ แต่ถ้าอยากมี "ความคิด" ใหม่ที่ดีๆ คิดใหม่ ทำใหม่ ก็ทดลองเปลี่ยนดูนะครับ เพราะ ...

You are what you think

ขอเสริมเล็กน้อย เรื่องการนำไปใช้ และปฏิบัติจริง...

สมมุติ คุณต้องการมีเงินสัก 100 ล้าน ก่อนอายุ 50 คุณจะทำอย่างไรที่ทำให้คุณสามารถไปถึง... ถ้าคุณฝันและคิดว่า

"ขอมีเงิน 100 ล้าน ใน 10 ปี"

คุณคงไม่สามารถไปถึงแน่นอน เพราะคุณต้องขอ.. แล้วใครจะให้คุณ... แต่ถ้าคุณคิดว่า

"เราจะทำอย่างไรเพื่อให้มีเงิน 100 ล้านในเวลา10 ปี"

เราจะเอาชนะวิธีคิดแบบเดิมๆได้อย่างไร?

เราจะเอาชนะวิธีคิดแบบเดิมๆได้อย่างไร?

การที่จะเปลี่ยน กรอบความคิด เปลี่ยน วิธีคิด ของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย เรามักจะตกไปสู่ร่องความคิดเดิมๆ ซึ่งมันง่ายกว่า เช่น
เมื่อครูคนหนึ่ง ต้องการจะมี รายได้พิเศษ ครูก็จะคิดถึงการสอน หนังสือ
เมื่อพยาบาลคนหนึ่ง ต้องการจะมี รายได้พิเศษ พยาบาลก็จะคิดถึงการเฝ้าไข้
เมื่อหมอคนหนึ่ง ต้องการจะมี รายได้พิเศษ หมอก็จะคิดถึงคนไข้
แล้วจริงหรือ ที่ว่า…
ถ้าเราเป็นครู คิดอย่างครู เราจะดีกว่าครูทั่วไป
ถ้าเราเป็นหมอ คิดอย่างหมอ ทำอย่างหมอ เราก็เหมือนหมอทั่วไป

คนที่ประสบ ความสำเร็จ ให้สาขาอาชีพต่างๆ ล้วนไม่ได้เกิดจาก อาชีพ ที่ตนร่ำเรียนมา ยกตัวอย่างง่ายๆ
เราต้องกล้าที่จะเปลี่ยน กรอบความคิด … เพราะถ้าเราคิดแบบเดิมๆ ชีวิตก็จะเหมือนเดิม

ความผิดที่ใหญ่หลวงที่สุดของมนุษย์ก็คือ
"การหวังว่าจะมีชีวิตใหม่ ด้วย ความคิด และ พฤติกรรม เดิมๆ"

ถึงเวลาหรือยังที่จะเปลี่ยนกรอบความคิดของคุณ...

เมื่อคุณเปลี่ยน ความคิด...วิถีชีวิตคุณจะเปลี่ยน

เมื่อคุณเปลี่ยน ความคิด...วิถีชีวิตคุณจะเปลี่ยน

ในหนังสือ The magic of thinking big (คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก) ได้พูดถึง ความมหัศจรรย์ของการ คิดใหญ่ เอาไว้ชัดเจนว่า การกล้าที่จะคิดใหญ่สามารถทำให้เราได้รับความสำเร็จสูงสุด

"คนที่คิดอะไรอยู่ในใจ เขาจะเป็นอย่างนั้น" - ศาสดาเดวิด
"ผู้ยิ่งใหญ่คือคนซึ่งมองเห็นว่า ความคิด เป็นสิ่งที่ครองโลก" - อีเมอร์สัน
"จิตใจเป็นผู้สร้างตัวของมันเอง และภายในจิตใจนั้น มันอาจจะสร้างสวรรค์ของนรก หรือนรกของสวรรค์ก็ได้"
- มิลตัล ในหนังสือเรื่อง "Paradise Lost"
"ไม่มีอะไรที่ดีหรือเลว เว้นเสียแต่ว่าความคิดทำให้มันเป็นเช่นนั้น" - เชคสเปียร์

"คนเราต่างกันที่ ความคิด ความสำเร็จ จึงต่างกัน"

เมื่อคุณเปลี่ยน วิธีคิด ความเชื่อ คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยน ความเชื่อ ความคาดหวัง คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยน ความคาดหวัง ทัศนคติ คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยน ทัศนคติ พฤติกรรม คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยน พฤติกรรม การกระทำ คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยน การกระทำ วิถีชีวิต คุณจะเปลี่ยน

เมื่อคุณเปลี่ยนความคิด...วิถีชีวิตคุณจะเปลี่ยน

เรื่องของ "อิสรภาพ"

เรื่องของ "อิสรภาพ"

อิสรภาพ คำๆนี้ คุณเคยเขียนมันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ผมเขียนคำนี้ลงในกระดาษ ผมไม่แน่ใจว่าผมเขียนมันถูกต้องหรือเปล่า เพราะไม่ได้เห็นมันมานานมากแล้ว และก็ไม่เคยได้สัมผัสกับคำๆนี้มานานมากแล้วเช่นกัน

คุณล่ะ! ได้เจอคำๆนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และรู้ความหมายของคำว่า อิสรภาพ หรือเปล่า ถ้ายังไม่แน่ใจ ลองถามตัวเองว่า… "ระหว่างเช้าวันอาทิตย์กับเช้าวันจันทร์ คุณชอบเช้าวันไหนมากว่ากัน?"

ถ้าคำตอบบอกว่า เช้าวันอาทิตย์ แสดงว่าคุณยังคงต้องหาคำว่า อิสรภาพ ต่อไป
แต่ถ้าคำตอบเป็น เช้าวันอาทิตย์ หรือเช้าวันไหนๆก็ไม่ต่างกัน ก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับ

อิสรภาพที่มนุษย์เงินเดือนหลายคนใฝ่ฝันที่จะได้มามากที่สุดก็คงเป็น อิสรภาพทางด้านการเงิน และ อิสรภาพทางด้านเวลา เพราะว่า มนุษย์เงินเดือน ต้องการที่จะหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่ง สนามแข่งหนู ที่จะต้อง เข้างานแปดโมงเช้ากลับบ้านห้าโมงเย็น วันจันทร์-ศุกร์ บางคนก็ทำเสาร์ หรือแม้แต่วันอาทิตย์ก็ยังมี ต้องใช้ความคิดและแรงกายของตนเองเพื่อความฝันของคนอื่น แลกกับเงินที่ได้รับทุกๆเดือน สิ้นปีก็รอคอยว่า ปีนี้จะมี โบนัส เท่าไร ไม่พ้นต้อง เป็น ทาสของเงิน

ชีวิตแบบนี้ ดูๆไปก็ไม่แตกต่างกับนักโทษที่อยู่ในกรงขังซักเท่าไหร่ 8 ชั่วโมงที่ต้องติดคุก อยู่กับที่ทำงาน ไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ ต้องคิดและทำเพื่อความฝันนายจ้างตลอดเวลา บางคนติดคุกที่ทำงานไม่พอยังหอบงานมาทำที่บ้านอีก

ผมขอถามคุณหน่อยเถอะ คุณเคยมีเวลาคิดและทำเพื่อความฝันของคุณเองบ้างไหม เคยมีเวลาคิดและทำ เพื่อ อิสรภาพ ของคุณหรือเปล่า?
"ถ้าผมไม่ทำงานแล้วจะมีอะไรกินล่ะ?"

บทความ นี้ไม่ได้ต้องการให้คุณเลิกคิดที่จะทำงานหาเลี้ยงชีพ แต่อยากให้คุณเริ่มที่จะคิดถึงตัวคุณเอง ครอบครัว และความฝันของคุณ หาหนทาง ลงมือทำเพื่อไปสู่ความสำเร็จที่คุณความฝันไว้
คุณสามารถเริ่มที่จะสัมผัสกับ อิสรภาพ แรก ด้วยตัวคุณเองวันนี้

"อิสรภาพทางความคิด" - สิ่งนี้ที่คุณเริ่มได้

แต่อย่าสับสนระหว่างคำว่า "อิสระ" กับ "อิสรภาพ" นะครับ ผมว่ามันต่างกันมากเลยทีเดียว

10 วิธีขอเงินเดือนขึ้น(ให้เวิร์ค)

10 วิธีขอเงินเดือนขึ้น(ให้เวิร์ค)

คนไทยเราเป็นชนชาติขี้เกรงใจ โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ ยิ่งเกรงใจคูณสอง อย่างเรื่องขอเจ้านายขึ้นเงินเดือนนี่ปะไร ทำงานมาตั้งนานนม ผลงานโตขึ้นเป็นกอง แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ..

ว่าแต่ของแบบนี้ใครไม่เห็น เจ้านายไม่เห็น และตัวคุณนั่นแหละที่เห็น ในเมื่อตนเป็นที่พึ่งของตนฉันใด คุณเองเท่านั้นที่จะต้องรวบรวมความกล้า เดินหน้าเข้าไปหาเจ้านายเพื่อขอขึ้นเงินเดือนด้วยตัวคุณเอง..ฉันนั้น

1. อย่าบอกเจ้านายว่า คุณหวังว่าเจ้านายจะขึ้นเงินเดือนให้เป็นเงินเท่านั้นเท่านี้
ตรงกันข้าม ให้บอกเจ้านายว่า จะปฏิเสธคุณเลยก็ไม่ว่า เพราะคุณเป็นคนที่รับได้กับการถูกปฏิเสธ และคุณก็ไม่อยากให้เจ้านายคิดมากถ้าต้องปฏิเสธ การเกริ่นแบบนี้แต่แรกจะทำให้ภาพทุกอย่างชัดเจนทั้งตัวคุณและเจ้านาย ไม่ต้องกลัวว่าวันหลังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเก็บไปคิดเล็กคิดน้อย

2. อย่าเจ้าอารมณ์จนเกินไป
ก่อนไปปะหน้าเจ้านาย ให้ทำใจให้ว่าง ทำสมองให้โล่งโปร่ง และอย่ากดดันตัวเองว่าผลการเจรจาครั้งนี้จะต้องสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น คุณเองนั่นแหละที่จะเกร็งจนพูดไม่ออก

3. อย่าเจรจาในที่ที่บรรยากาศไม่เอื้อ
ลองทำการบ้านมาก่อนเรื่องเวลา สถานที่ บรรยากาศ และปัจจัยอื่นๆ ที่จะเอื้อให้การพูดครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี ศึกษาดูว่าช่วงที่เวลาไหนที่เจ้านายแฮปปี้ที่สุดและยากที่จะปฏิเสธ อะไรเป็นอุปสรรคขวางคุณอยู่ตรงหน้า ลองศึกษาเรื่องผลประกอบการบริษัทในปีที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร ช่วงนี้มีใครถูกไล่ออกไหม พยายามมองหลายมุมเพื่อให้เจ้านายเออออด้วยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องตั้งอยู่บนความสมเหตุสมผลเป็นสำคัญ

4. อย่าเลียจนเกินงาม
ให้เจ้านายรู้สึกได้ว่าคุณก็ยังเป็นคุณคนเดิม การทำอะไรที่มันผิดแผก เช่น การเอาใจเจ้านายด้วยการแต่งกายยั่วยวน (กรณีเจ้านายเป็นผู้ชาย) การซื้อของราคาแพงๆ มาประเคน หรือการทำบางสิ่งบางอย่างที่เสแสร้งแกล้งทำ ทั้งๆ ที่ตัวจริงของคุณเป็นอีกอย่าง จะทำให้เจ้านายรู้สึกว่าคุณเปลี่ยนไป เผลอๆ เขาอาจจะคิดไปได้ว่าคุณเป็นประเภททำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ

5. อย่าพรีเซนต์แบบเว่อร์
พยายามพูดแบบเนื้อๆ เน้นๆ และตรงประเด็นที่สุด ที่พลาดไม่ได้คือการถามความเห็นของเจ้านาย เพื่อจะได้รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของบริษัท และมุมมองของเจ้านายที่มีต่อตัวคุณและผลงานเป็นอย่างไร

6. อย่าต้อนเจ้านายด้วยคำถามที่ต้องตอบว่า “โอเค” กับ “โนเค” พยายามถามด้วยคำถามที่ให้โอกาสเจ้านายได้โต้ตอบเป็นฉากๆ เช่น คำถามที่เริ่มต้นประโยคด้วย "ใคร" "อย่างไร" "ที่ไหน" "ทำไม" "เมื่อไหร่" เมื่อเจ้านายพูดแนะนำหรือให้เหตุผลใดๆ ออกมา รับรองว่าคุณจะได้ข้อมูลใหม่ๆ มาใส่ “แรม” ของตัวเองได้อีกเพียบ ถ้าการขออัพเงินครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่หลังจากนี้คุณสามารถเก็บไปวิเคราะห์และพัฒนาตัวเองให้เข้าตาเจ้านายต่อไปได้ในอนาคต

7. อย่าเพิ่งนึกถึงตอนจบ
เป็นไปได้อย่านึกถึงเป็นดีที่สุด อย่าหวังหรือวางแผนเป็นขั้นๆ หรือเป็นสูตรตายตัวว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ให้ลองโฟกัสไปในจุดที่คุณสามารถควบคุมได้ตอนเจรจา เช่น การเตรียมข้อมูลสำคัญ การควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตื่นเต้นเกินไป หรือหากเจ้านายถามเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ต้องตอบให้ได้จะดีกว่าเยอะ

8. อย่าเชื่อมั่นตัวเองสุดโต่งว่าคุณจะต้องได้เงินเดือนขึ้น
ให้คิดว่าการที่คุณมาเจรจาและแลกเปลี่ยนความเห็นกับเจ้านายก็เพื่อเป้าหมายของการบรรลุผลตามปรัชญาหรือตามเป้าหมายของบริษัท เงินเดือนมีผลต่องานที่คุณจะทำออกมา และเจรจาก็เพื่อให้องค์กรได้ผลผลิตของงานที่ดีขึ้น แต่อย่าลืมว่าทุกประเด็นที่คุณยกมาเป็นตัวอย่างในการขอขึ้นเงินเดือน ทำให้งานงอกเงยขึ้นและมีส่วนช่วยผลักดันให้บริษัทโตขึ้นจริงๆ

9. อย่าคิดว่าเงินเดือนหรือตำแหน่งงานตอนนี้ของคุณคือปัญหา
จงพรีเซนต์ตัวเองว่าเป็นผู้ไขทางออก อย่ากลัวที่จะเอาผลงานที่เคยทำสำเร็จมาโชว์ให้เห็นเป็นรูปธรรม จงทำให้เห็นว่างานที่ว่านั้นได้ช่วยบริษัทในแง่มุมไหนบ้าง ยิ่งถ้าคุณเตรียมการบ้านมาดีและลิสต์แง่มุมต่างๆ รอบด้านแล้ว การเจรจาต้าอวยจะไม่มีอะไรทำให้หงุดหงิดหัวใจ

10. อย่าแสดงท่าทีข่มขู่ คุกคาม หรือบีบคอเจ้านายให้ตอบตกลง
ให้สงบเสงี่ยมเจียมตัว วางระยะห่างของคุณกับเจ้านายให้ดี (ให้เกียรติและเคารพในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้างาน) พูดจาฉะฉานและมีเหตุมีผล ถ้าต้องถกกันก็ควรถกแบบเคลียร์ๆ แตกประเด็นออกไป ให้ชัดเจนแบบคนมีวุฒิภาวะ ไม่ต้องกลัวว่าผลการเจรจาจะออกมาอย่างไร ถ้าลองได้ทำการบ้านมาดี คุมอารมณ์อยู่ มั่นใจตัวเอง ผลลัพธ์ที่ออกมาแม้ไม่เต็มร้อย แต่เชื่อว่าน่าจะเกิน 75 หรือ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเปอร์เซ็นต์ที่หายไปอาจเกิดจากปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือจากการควบคุมของตัวคุณหรือแม้เจ้านายเอง

ข้อชี้แนะจากกูรู
บางที .. เวลาก็ช่วยอะไรได้เหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาที่เหมาะเจาะกับกาลเทศะ ตอนนี้พิษซับไพรม์หรือพิษเศรษฐกิจสหรัฐฯอันเกิดจากหนี้ด้อยคุณภาพด้านอสังหาริมทรัพย์กำลังส่งผลกระทบต่อทั่วโลก ไหนน้ำมันจะพุ่งขึ้นๆ เพราะโอเปคไม่ยอมเพิ่มกำลังการผลิต และปัญหาอื่นๆ อีกหลายปัจจัย เพราะฉะนั้นการขอขึ้นเงินเดือนตอนนี้คงยากหน่อย

“แจ็ค แช็พแมน” ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านอัตราเงินเดือนว่าจ้างพนักงาน เจ้าของผลงานหนังสือ "Negotiating Your Salary: How to Make $1,000 a Minute" บอกว่า ช่วงที่เศรษฐกิจย่ำแย่ แต่คุณไม่ถูกโละ นั่นแสดงว่าการเก็บคุณไว้ในองค์กรก็ต้องมีเหตุผล คุณอาจทำงานได้ดี ทำงานได้หลายอย่าง การมีคุณหนึ่งคนอาจแทนคนได้อีกเป็นสิบ

สิ่งที่คุณควรทำคือหมั่นเก็บผลงานที่ทำในอดีต ผลงานไหนที่ประทับใจ ทำให้บริษัทเติบโตมีชื่อเสียง เก็บไว้ให้ดี เพราะจะช่วยคุณได้มากตอนเจรจาขึ้นเงินเดือน และเคล็ดลับสำคัญคือ เจ้านายของคุณก็เป็นมนุษย์เงินเดือน ซึ่งก็ต้องการประสบความสำเร็จเหมือนกัน ลองคิดดูว่าสิ่งไหนที่ช่วยผลักดันให้เจ้านายของคุณแจ้งเกิดได้ ถ้าคุณทำผลงานได้ดีจนส่งผลต่อเจ้านาย นั่นก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จในเจรจาขึ้นเงินเดือนได้เช่นกัน

หมายเหตุ*
ที่มา นิตยสารสุดสัปดาห์

7 กฎของการใช้อารมณ์ในเวลางาน

7 กฎของการใช้อารมณ์ในเวลางาน

เมื่อคืนคุณนอนดึกเพราะต้องทำงานชิ้นหนึ่งให้สำเร็จ (หลังจากเพิ่งวางหูโทรศัพท์จากคนรักที่ตัดพ้อต่อว่าว่า “ดูเหมือนช่วงนี้เราจะเข้ากันไม่ได้” รุ่งเช้าของวันต่อมาคุณก็เลยออกจากบ้านสาย ที่แย่กว่านั้น การจราจรบนท้องถนนก็ไม่เป็นใจ ไม่ว่าจะเพ่งสมาธิไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจจราจรเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จอย่างที่ต้องการแต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ สิ่งแรกที่คุณควรทำคงจะเป็นอะไรเสียไม่ได้ นอกจากการปรับโหมดอารมณ์ที่ทั้งง่วง ทั้งหิว ทั้งเหนื่อยใจให้สงบลงเมื่อถึงที่ทำงาน แต่บางครั้งบางทีมืออาชีพก็มีพลาดบ้าง และบางครั้งถึงกับเกือบตกม้าตาย เพราะมองข้ามเรื่องกฎของการใช้อารมณ์ในเวลางาน

1. คุณคือโลโก้ บริษัท อย่าวู่วาม : กฎข้อแรกที่เรากำลังจะพูดถึง คือ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร คุณต้องระงับอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์โกรธของคุณให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกท้าทายระหว่างการทำงานนอกสำนักงานของคุณเอง

2. ความขัดแย้งทำลายบรรยากาศการทำงานและไม่ทำให้คุณมีความสุข : แม้จะไม่ลงรอยกันหรือเกลียดหน้ากันมากแค่ไหน การมีช่องว่างระหว่างกัน ทำตัวออกห่างโดยเลือกที่จะไม่อยู่ใกล้คือหนทางเดียวที่จะทำให้คุณทำงานร่วมกับคู่อริได้อย่างมีความสุขที่สุดโดยที่ไม่ถูกจับจ้องหรือเพ่งเล็ง

3. การประเมินอารมณ์เป็นเรื่องที่ทำได้ : เมื่อเหตุการณ์จบลง และแน่ใจว่าได้แก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดหรือสิ่งที่คนอื่นเข้าใจผิดกับตัวคุณให้ผ่านพ้นไปแล้ว คุณน่าจะประเมินเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างถี่ถ้วนที่สุดเท่าที่จำทำได้ เพื่อหาคำตอบให้กับตัวเองว่าสาเหตุของความโกรธหรือความอ่อนไหวของคุณคืออะไร (คน ระบบ หรือสถานการณ์) นอกเหนือไปจากนั้น คุณจะต้องรู้ว่าคุณมีดีกรีหรือระดับความโกรธมากแค่ไหน (เช่น คุณโมโหมากเกินไปหรือไม่เมื่อบริกรทำสูทอาร์มานีของคุณเปื้อนไวน์ในระหว่างงานเลี้ยงรับรองครั้งที่ผ่านมา)

4. สร้างเงื่อนไขให้กับตัวเองเสียใหม่ : เมื่อทราบแล้วว่าคุณ “Sensitive” หรือโกรธได้ง่ายๆ กับเรื่องหนึ่งเรื่องใด สิ่งที่ทำได้ คือ ใช้บทเรียนของคุณมาแก้ปัญหานั้นๆ เช่น ถ้าคุณต้องโมโหจนควันออกหูทุกครั้งกับคนคนเดิมที่ต้องประสานงาน ทางออกที่ดีคือพูดกันให้น้อยที่สุดแล้วใช้การติดต่อทางอีเมล์ช่วยในการประสานงาน หรือเมื่อถูกมองในแง่ลบ คุณจะต้องสงบสติอารมณ์แล้วแสดงทรรศนะด้วยความสุภาพ ชี้แจงว่าคุณไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด แทนการใช้อารมณ์โดยปราศจากการเรียบเรียง

5. ผิดแล้วผิดอีกไม่ได้ : หลังจากที่โดนลงอาญาจากเพื่อนฝูงและเจ้านาย (ก็เล่นไปปล่อยหมัดใส่เพื่อนตัวแสบเสียกำปั้นใหญ่) แม้ว่าจะเป็นฝ่ายถูกในเรื่องของเหตุผล คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ ดังนั้น สิ่งที่คุณควรทำคือการยับยั้งชั่งใจ และวางตัวเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของทุกคนในโหมดที่เคยเป็น

6. หลบไปตั้งหลักหรือทำสมาธิในที่ที่ไม่มีใครเห็น : บางครั้งการจัดการหับอารมณ์ก็หนักหนาสาหัสสุดๆ สำหรับใครบางคนอย่างไรก็ตาม การเดินหนีปัญหาชั่วคราวด้วยการออกไปหามุมสงบเพื่อนั่งสมาธิ หรือปล่อยใจให้ว่างก็เป็นทางออกที่เหมาะสมไม่ว่าจะเป็นห้องโล่งว่าง ร้านกาแฟ หรือขับรถออกไปกินลมสักพัก เมื่อสมองปลอดโปร่งแล้วเรื่องทุกอย่างก็คลี่คลาย

7. บอกกับทุกคนว่า “โอเค ผมยังไหว” : โดยธรรมชาติของมนุษย์ อารมณ์ต่างๆ เป็นสิ่งที่มนุษย์ด้วยกันสามารถสัมผัสและเข้าใจได้ ไม่ว่าคุณจะพยายามปกปิดแค่ไหน ยกเว้นก็แต่ผู้ร้ายปากแข็งและนักแสดง

ไม่ใช่เพียงแค่อารมณ์โกรธ หลายครั้งที่เหนื่อยจากการทำงานหรือต้องเผชิญกับปัญหาส่วนตัว อารมณ์เหล่านี้จะถูกสะท้อนออกมาให้เห็นจากแววตาและสีหน้าของคุณโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ สิ่งที่คุณควรทำคือ บอกทุกคนว่ายังไหว เพื่อสร้างกำลังใจให้กับทุกคนในการทำงาน และไม่เปิดช่องว่างให้กับศัตรู ถ้าจะเปรียบก็คงจะไม่ต่างอะไรกับการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ที่คุณต้องนิ่งเข้าไว้เพื่อไม้ให้คนในสงสัยว่ามีไพ่อะไรอยู่ในมือของคุณ

หมายเหตุ: ที่มา : http://www.magickidschool.com/articledetail.php?id=93&type=16

5 วิธีทำให้สมองฟิต ความคิดปิ๊ง

คุณเคยมีอาการอย่างนี้บ้างมั้ย

จับจ่ายไม่ได้ เพราะลืมกระดาษโน๊ตจดรายการของที่ต้องซื้อไว้ที่บ้าน
พระเอกหนังเรื่องที่ดูเมื่อวานชื่ออะไรน้า
จอดรถไว้ชั้นไหนของห้างนะ

อย่า! อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าคุณเริ่มแก่ สมองเริ่มเสื่อมแล้ว
มีวิธีฟิตสมองอย่างง่ายๆ ที่คุณทำได้ในชีวิตประจำวันมาฝากกัน จากหนังสือ “สมองฟิต ความคิดปิ๊ง”

ก่อนฟิตสมอง คุณรู้มั้ยว่า
พฤติกรรมซ้ำๆ ทำให้สมองฝ่อ
ในโลกที่เราคาดเดาเกือบทุกอย่างได้ล่วงหน้า กิจวัตรส่วนใหญ่เป็นพฤติกรรมจากจิตใต้สำนึกที่เรากระทำโดยใช้พลังจากสมองน้อยมาก ทำให้ไม่ค่อยมีการเชื่อมโยงระหว่างเซลล์ประสาทในสมองชั้นนอก สมองจึงไม่ค่อยได้ออกกำลัง

ถ้าคุณขับรถหรือนั่งรถไปทำงานโดยใช้เส้นทางเดิมทุกวัน สมองคุณก็จะใช้ประสาทส่วนเดิมทุกวันเช่นกัน การใช้ประสาทเฉพาะส่วนนั้นๆ เป็นประจำทำให้เซลล์ส่วนนั้นแข็งแรง แต่ขณะเดียวกันประสาทส่วนอื่นๆกลับอ่อนแอเพราะถูกละเลย ผลดีก็คือ คุณเริ่มช่ำชองกับเส้นทางจาก ก ไป ข แต่ผลเสียคือ สุขภาพสมอง เพราะสมองพลาดโอกาสที่จะได้รับการกระตุ้นด้วยทัศนียภาพใหม่ๆ กลิ่นใหม่ๆ หรือเสียงใหม่ๆ ซึ่งเป็นความแปลกและหลากหลายที่จะช่วยให้เซลล์ประสาทหลายส่วนได้มีกิจกรรมออกกำลัง

ถ้าสมองได้รับสิ่งใหม่ ส่วนของสมองชั้นนอกหลายส่วนจะมีกิจกรรมมากขึ้นและหลากหลายขึ้น และเกิดการเชื่อมโยงเซลล์ประสาทสมองส่วนต่างๆในรูปแบบใหม่ ส่งผลให้มีการหลั่งสาร นิวโรโทรฟินส์ หรืออาหารสมองมากขึ้น เซลล์สมองจึงแข็งแรงขึ้น

5 วิธีฟิตสมองในตอนเช้า
1. หลับตาอาบน้ำ
เปิดก็อกน้ำ ปรับความแรงหรืออุณหภูมิของน้ำโดยใช้ประสาทสัมผัสและความรู้สึก (อย่าลืมฝึกวิธีปรับอุณหภูมิให้แม่นก่อนลงมือเพื่อป้องกันน้ำร้อนลวกตัว) หลับตาใช้มือสัมผัสหาอุปกรณ์อาบน้ำ จากนั้นจึงล้างหน้า อาบน้ำหรือโกนหนวด
2.เกมสลับมือ ขยับสมอง ฝึกใช้มือข้างที่คุณไม่ถนัดแปลงฟัน หมุนฝาหลอดยาสีฟันและป้ายยาสีฟันบนแปรง อาจใช้วิธีนี้กับกิจกรรมยามเช้าอื่นๆ ...การฝึกลักษณะนี้เป็นการกระตุ้นสมองส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ให้เริ่มสั่งการเพื่อปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ที่สมองซีกนี้ไม่ค่อยมีส่วนร่วม มีการวิจัยพบว่าการฝึกเช่นนี้ส่งผลให้วงจรและเครือข่ายสมองในส่วนเยื่อหุ้มสมองคอร์แทกซ์ที่ทำหน้าที่ควบคุม และรับส่งคำสั่งจากมือ มีการขยายตัวอย่างมากและในอัตราที่รวดเร็ว หรืออาจลองทำสิ่งต่างๆด้วยมือข้างเดียว ก็ได้
3. อยู่ในโลกไร้เสียง ปิดหูด้วยการใส่หูฟังขณะรับประทานอาหารกับครอบครัวเพื่อสัมผัสโลกเงียบ...คนใกล้ตัวคงเคยบ่นว่าคุณฟังสิ่งที่เขาพูดเพียงครึ่งเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่มักเกิดขึ้นตอนยุ่งอยู่ ลองฝึกตัวเองด้วยวิธีนี้จะทำให้คุณบังคับตัวเองให้ใช้ตัวช่วยอื่นในการทำกิจกรรม เช่น รู้ว่าขนมปังปิ้งที่อยู่ในเครื่องปิ้งได้ที่แล้วโดยไม่ต้องพึ่งเสียง
4. เช้าวันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ลองเลือกกิจกรรมต่อไปนี้หนึ่งหรือสองข้อ แต่ไม่ควรทำหมดทุกข้อในเช้าวันเดียวกัน
• สลับลำดับกิจวัตรตอนเช้า เช่น ถ้าคุณเคยแต่งตัวก่อนกินข้าว ลองเปลี่ยนมากินข้าวก่อนแต่งตัว
• ถ้าคุณเคยรับประทานกาแฟกับขนมปังทุกเช้า ลองเป็นข้าวโอ๊ตและชาสุขภาพ หรืออาหารอื่นบ้าง
• เปลี่ยนเสียงนาฬิกาปลุก เปลี่ยนรายการวิทยุ หรือทีวีไปเป็นรายการที่คุณไม่เคยฟัง รายการเด็กเป็นตัวอย่างที่ดีในการกระตุ้นสมองให้สนใจในเรื่องที่คุณเคยมองข้าม
• เปลี่ยนเส้นทางที่จะเดินทางไปทำงาน
จากการศึกษาภาพถ่ายของสมอง กิจกรรมใหม่ๆจะกระตุ้นเซลล์ประสาทที่กินพื้นที่สมองชั้นนอกในบริเวณกว้าง วิธีเติมกิจกรรมใหม่นี้จะให้ผลลดลงเมื่อกิจกรรมนั้นกลายเป็นสิ่งที่ทำเป็นกิจวัตรหรือเป็นอัตโนมัติ เนื่องจากสมองต้องใช้พลังในการทำสิ่งใหม่ๆ มากกว่าต่อนทำกิจกรรมที่ทำจนชินแล้ว
5. เซ็กซ์ สุดยอดกิจกรรมออกกำลังสมอง ความตื่นเต้นระทึกใจจากกิจกรรมแปลกใหม่ เป็นหัวใจหลักของการเร้าอารมณ์รักโดยเฉพาะในคู่สมรสที่แต่งงานมานาน เพราะช่วยให้คู่รักพบกับความท้าทายและตื่นเต้นจากประสบการณ์ทางเพศแบบใหม่ ใช้จินตนาการและดึงอารมณ์ความรู้สึกทุกส่วนออกมาปรับใช้ เช่น สวมชุดนอนผ้าไหมที่ให้ความรู้สึกสัมผัสที่เรียบลื่น โรยกลีบกุหลาบหอมกรุ่นบนเตียง นวดสัมผัสกันและกันด้วยน้ำมันหอมระเหย หรือสร้างบรรยากาศด้วยเสียงเพลงโรแมนติค
เซ็กซ์ที่ดีนับเป็นการออกกำลังสมองที่ดี ฟังดูอาจเป็นการสรรเสริญเยินยอกิจกรรมบนเตียง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นการกล่าวเกินจริง เพราะในกิจกรรมร่วมรักมีการใช้ประสาทสัมผัสทุกอย่างที่ก่อให้เกิดการกระตุ้นในวงจรสมองทุกส่วนรวมทั้งวงจรที่รับรู้เรื่องอารมณ์


หมายเหตุ: เคล็ดลับดีๆอีกมากกับการบริหารสมอง ติดตามรายละเอียดได้จากหนังสือ สมองฟิต ความคิดปิ๊ง
หนังสือแปลจากเรื่อง Keep Your Brain Alive โดย Lawrence C.Katz, Ph.D & Manning Rubin

5 อาชีพทำเงิน (Employee)

5 อาชีพทำเงิน

5 อาชีพน่าสนใจ ที่จะสร้างรายได้ให้คุณเป็นกอบเป็นกำ เป็นขุมทองที่น่าเมียงมองของมนุษย์เงินเดือน รับรองว่าอ่านจบคุณต้องอยากผละจอบเสียม วางมือจากงานที่ทำเงินแบบอัตคัด แล้วไปสั่งซื้อเครื่องมือขุดมากองไว้ตรงหน้าเลย

จากประสบการณ์การจัดหางานมานานกว่า 15 ปี บริษัท Adecco Thailand (www.adecco-asia.com/thailand) ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก ได้ทำการจัดอันดับอาชีพทำเงินล่าสุด โดยแบ่งตามสายอาชีพออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่

ขุม (ทรัพย์) ที่ 1 - การเงินและการบัญชี (Finance & Accounting )
อาชีพที่จัดอยู่ในประเภทนี้ ได้แก่ ผู้ตรวจสอบบัญชี (Auditor) นักวิเคราะห์การเงิน (Financial Analyst) พนักงานธนาคาร (Banking) นักบัญชี (Accountant) นักบัญชีต้นทุน (Cost Accountant) ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี (Tax Specialist) แต่ตำแหน่งที่ฮอตฮิตมีคนอยากจับจองเห็นจะเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี มีหน้าที่ดูตัวเลขทางบัญชีและเซ็นเอกสารรับรองการบัญชีของบริษัทต่างๆ

คุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับอาชีพเหล่านี้ คือ จบปริญญาตรี ในสาขาการบัญชีเป็นขั้นต่ำ เกรดเฉลี่ยมากกว่า 2.75 ขึ้นไป เพราะต้องมีความรู้ความสามารถทางบัญชีเป็นอย่างดี และมีความละเอียดรอบคอบสูง ส่วนด้านบุคลิกภาพ ต้องพูดจาฉะฉาน พูดนำเสนอหรืออธิบายได้ดี ที่สำคัญต้องมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ถ้ามีความรู้ด้านการเงินเข้ามาเพิ่มศักยภาพยิ่งได้เปรียบ เพราะบางครั้งต้องตรวจบัญชีตามสถาบันทางการเงินต่างๆ เช่น ธนาคาร

ข้อดี คือ สามารถประกอบอาชีพอิสระหรือมีธุรกิจส่วนตัวได้ ยิ่งถ้ามีใบ CPA (Certificate Public Account) จะสามารถเปิดสำนักงานตรวจสอบบัญชีของตัวเองได้ แต่ธรรมชาติของงานอาจไม่เหมาะกับคนขี้เบื่อเพราะใช้เวลาการทำงานในแต่ละครั้งนาน แถมดูเหมือนต้องคอยจับผิดคนอื่น ทั้งในแง่ของตัวเลขและข้อมูลทางธุรกิจ บางครั้งก็ไม่ได้รับความร่วมมือ

INCOME เริ่มต้นประมาณ 12,000-15,000 บาท ระยะเวลาการทำงาน 4 ปี สามารถปรับเงินเดือนขึ้นไปได้ถึง 5 หมื่นบาท แต่ถ้าทำงานในบริษัทที่เรียกว่าเป็น “BIG 4 ของเมืองไทย” ได้แก่ 1.บริษัท PricewaterhouseCoopers 2.บริษัท Ernst&Young 3.บริษัท Deloitte Touche Tohmatsu 4.KPMG International อัตราเงินเดือนเริ่มต้นประมาณ 15,000 บาทขึ้นไป และมักได้รับความเชื่อมั่นว่า มีความสามารถสูง แถมอนาคตไกล ถ้ามีความสามารถและสอบได้ใบ CPA เร็วโอกาสก้าวหน้าก็เร็วขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ต้องมีความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ เพราะบริษัท BIG 4 มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก

Note!!! ตำแหน่งเริ่มต้นคือ Junior-Auditor ระยะเวลาเลื่อนขั้นเป็นตำแหน่ง Semi-Auditor ใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี และใช้เวลาเลื่อนขั้นไปตำแหน่ง Senior-Auditor ประมาณ 3 ปี จากตำแหน่ง Senior-Auditor ใช้เวลายาวนานมากกว่าจะเลื่อนขั้นเป็น Assistant Manager, Manager, Assistant Director และตำแหน่งสูงสุดคือ Partnerโดยเฉลี่ยแล้วจากตำแหน่ง Junior-Auditor ใช้เวลาเลื่อนขั้นไปตำแหน่ง Manager อาจใช้เวลาเกือบ 10 ปี

ขุม (ทรัพย์) ที่ 2 - การขายและการตลาด (Sale & Marketing)
อาชีพในสายนี้ ได้แก่ Sale Representative (Level 1), Sale Supervisor (Level 2), Sale Manager, Business Development,. Key Account Manager, Area Manager และ Trade Marketing Manager

คุณสมบัติพื้นฐานคือ จบปริญญาตรีหรือเทียบเท่า สาขาไหนก็ได้ แต่ต้องโดดเด่นด้านบุคลิกภาพ เช่น หน้าตาน่าเข้าหา น่าคุยด้วย ชวนให้ลูกค้าอยากซื้อของ เข้าใจตัวสินค้า ศึกษาและเข้าใจตลาดคู่แข่ง ชอบงานติดต่อผู้คน ไม่กลัวงานหนัก ทำงานภายใต้แรงกดดันได้ดี เพราะการทำงานด้านนี้มีคู่แข่งเยอะ

ที่สำคัญต้องแข่งกับตัวเอง อัพเดทคู่แข่งอยู่ตลอด ตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้นทุกเดือนและต้องทำให้ได้ รวมทั้งต้องคิดแผนการขายไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม แต่ยังมีข้อดีคือ ได้รู้จักคนในวงกว้างตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงผู้บริหาร แม้สนามแข่งขันของธุรกิจจัดจำหน่ายมีการแข่งขันอย่างรุนแรง แต่ได้ประสบการณ์ทางด้าน Direct Sales ซึ่งไม่สามารถหาเรียนได้จากสถาบันไหน

INCOME เริ่มต้นประมาณ 10,000-12,000 บาท สำหรับนิสิตนักศึกษาจบใหม่ ถ้ารวมค่าคอมมิชชั่น ค่าน้ำมัน ฯลฯ รายได้ต่อเดือนรวมประมาณ 17,00-18,000 บาท สามารถเลื่อนขั้นได้เร็ว มีความก้าวหน้าสูง เพราะมีผลงานให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่น สะสมแต้มจากยอดขาย เงินเดือนที่ได้มาขึ้นอยู่กับความพยายามของตัวเอง เพราะยิ่งขายสินค้าได้มาก ค่าตอบแทนหรือค่าคอมมิชชั่นก็มากขึ้นตามไปด้วย

ขุม (ทรัพย์) ที่ 3 - ที่ปรึกษาทางธุรกิจ (Business Consultant)
รู้จักกันในนามของ Human Resource Consultant และ Organizaion Developement งานหลักคือ ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาองค์กร และคลุกคลีอยู่กับการบริหารคน รวมถึงจัดการเรื่องยากๆ เช่น สร้างวิสัยทัศน์ ภารกิจ กลยุทธ์ ตลอดจนจัดทำระบบวัดผล ปรับองค์กร และระบบงานบริหารทรัพยากรบุคคล

ยกตัวอย่างเช่น ถ้า 2 บริษัทจะทำธุรกิจร่วมกันจะต้องมีคนกลาง หรือ Third Party เข้ามาช่วยดูแลว่าจะทำอย่างไรให้บริษัทมีสถานภาพคงที่มากที่สุด ที่ปรึกษาทางธุรกิจก็จะรับบทบาทจัดการเรื่องนี้ไปด้วยกระบวนการที่กล่าวมาข้างต้น บางบริษัทเป็นองค์กรใหญ่และมีพนักงานมาก จะจ้างที่ปรึกษาทางธุรกิจเข้าไปดูแลโดยเฉพาะเลยก็ได้

ต้องจบปริญญาตรีเป็นอย่างต่ำ เน้นสาขาทรัพยากรบุคคล หรือบริหาร ที่สำคัญต้องสามารถติดต่อสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี ชอบติดต่อผู้คน มีทักษะในการสื่อสารที่ดี ใฝ่หาความรู้ตลอดเวลา เช่น อัพเดทข้อมูลข่าวสาร รู้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และสามารถหาเครื่องมือมาใช้ในการพัฒนาองค์กรได้

INCOME บางองค์กรเริ่มต้นค่อนข้างสูงประมาณ 30,000-40,000 บาท แต่โดยเฉลี่ยแล้วเงินเดือนสำหรับนิสิตนักศึกษาจบใหม่หรือผู้ไม่มีประสบการณ์ ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป อาชีพนี้มีโอกาสก้าวหน้าสูง เพราะสามารถเป็นที่ปรึกษาได้หลายบริษัทในเวลาเดียวกัน เมื่อทำงานด้านนี้มาได้สักระยะจะมีคนรู้จักนับถือ มีชื่อเสียงมากขึ้น พัฒนาเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ หรือที่เรียกว่า Senior Consultant จนสามารถรับเป็นงานอิสระได้ แต่ต้องมีความรอบรู้ด้านธุรกิจและประสบการณ์สูงพอดี

ขุม (ทรัพย์) ที่ 4 - ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ (IT Consultant)
อาชีพที่จัดอยู่ในประเภทนี้ ได้แก่ IT Engineering, ERP Consultant, Application Specialist, Project Manager, Programmer, Network Engineering และ Softwear Design

คุณสมบัติ คือ ต้องจบปริญญาตรี ในสาขาคอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นอย่างต่ำ มีความสนใจด้านคอมพิวเตอร์เป็นพิเศษ พร้อมที่จะแสวงหาความรู้ใหม่ๆ และฝึกฝนให้คล่องแคล่ว ภาพลักษณ์ของผู้ที่ทำอาชีพนี้มักเป็นคนทันสมัย เพราะรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ก่อนใคร แต่ก็มีข้อเสียคือ มีข้อจำกัดด้านอาชีพ เพราะโอกาสเปลี่ยนข้ามสายงานได้น้อย

Note!!! สายงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือช่วยทำธุรกิจ เขียนโปรแกรมจัดการฐานข้อมูล วางระบบงานและเทคโนโลยีสารสนเทศ อาจเริ่มต้นจากการเป็นโปรแกรมเมอร์เขียน Application ทางธุรกิจ แล้วไต่เต้าเป็นนักวิเคราะห์ระบบ หรือเป็นที่ปรึกษาทางคอมพิวเตอร์

สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ต้องรอบรู้เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์และระบบการจัดการสารสนเทศ เหมาะที่จะเป็นนักวิเคราะห์และสร้างระบบจัดการข้อมูลภายในองค์กร

สายงานวิทยาการคอมพิวเตอร์ ต้องสามารถเขียนโปรแกรมและโครงสร้างข้อมูล เก่งด้านทฤษฎีการคำนวณซอฟต์แวร์ประเภทต่างๆ และระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อพัฒนาเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์

สายงานวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ควรมีความรู้ทางเทคนิคมาก ทั้งยังเขียนโปรแกรมและการออกแบบคอมพิวเตอร์ทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ได้ สามารถทำได้เกือบทุกอย่าง ทั้งเป็นโปรแกรมเมอร์ นักวิเคราะห์ระบบ หรือออกแบบชิพหรือคอมพิวเตอร์แบบใหม่

INCOME เริ่มต้นเฉลี่ย 40,000 บาทขึ้นไป แต่ต้องสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี สำหรับนิสิตนักศึกษาจบใหม่สามารถแยกได้เป็น
1.IT Programmer ตลาดแรงงานกว้าง เริ่มต้นประมาณ 15,000-20,000 บาท แต่ต้องมีความรู้ด้านฐานข้อมูลเป็นอย่างดี
2.IT System เงินเดือนมากกว่า IT Programmer ประมาณ 30,000-4,000 บาท แต่ต้องดูแลระบบคอมพิวเตอร์ได้ เข้าใจ Network รวมถึงมีความรู้พื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี ถ้าใครก็ตามที่เรียนจบวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ขอบอกว่าได้เงินดีที่สุด ยิ่งมีความรู้เฉพาะทางเรื่องซอฟต์แวร์อย่าลึกซึ้งเงินเดือนยิ่งสูง


ขุม (ทรัพย์) ที่ 5 - การบริการ ( Service )
ขอระบุไปเลยว่า Air และ Steward ยังคงไม่ตกอันดับ

คุณสมบัติที่ต้องการคือ จบปริญญาตรีเป็นอย่างต่ำ สาขาไหนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จบด้านอักษรศาสตร์ ศิลปศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิเทศศาสตร์ จะได้เปรียบ นอกจากนี้ต้องมีใจรักการบริการ บุคลิกและอัธยาศัยดี

ล่าสุดข้อมูลเพิ่มเติมด้านคุณสมบัติจากบริษัทการบินไทยคือ โสด สัญชาติไทย อายุ 20-26 ปี สูงไม่น้อยกว่า 160 เซนติเมตร น้ำหนักได้***ส่วนกับความสูง ว่ายน้ำได้ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 50 เมตร และต้องมีท่าฟรีสไตล์ด้วย

สำหรับสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ต้องการผู้ที่มีคุณสมบัติคล้ายกัน แต่สูงเพียง 156 เซนติเมตร ไม่จำเป็นต้องมีภาษาที่สามหรือว่ายน้ำไม่เป็น ก็สามารถเป็นได้

นอกจากนี้ยังต้องผ่านการสอบภาษาอังกฤษที่เรียกว่า “โทอิค” (TOEIC) ได้ไม่น้อยกว่า 600 หรือ “โทเฟล” (TOEFL) ได้คะแนนไม่น้อยกว่า 500 คะแนน (นอกจากสอบข้อเขียนแล้วยังต้องสอบเก็บคะแนนสนทนาภาษาอังกฤษด้วย) ซึ่งสองส่วนนี้สมัครสอบได้ที่สถาบันภาษาเอยูเอ ถนนวิทยุ หรือจะไปสอบไอเอลต์ส (IELTS) กับสถาบันบริติช เคาน์ซิลของอังกฤษก็ได้

INCOME เงินเดือนเริ่มต้นของสายการบินไทยเริ่มต้นประมาณ 30,000 บาท สำหรับสายการบินตะวันออกกลาง เช่น EMIRATES หรือ QATAR AIRWAYS อยู่ที่ 40,000-50,000 บาท รวมค่าเดินทางต่อเที่ยวบินเที่ยวละไม่ต่ำกว่า 60,000 บาท รวมแล้วรายได้ต่อเดือนเหยียบแสน ทั้งนี้แตกต่างกันไปตามสายการบินและรอบการเดินทางต่อเดือนว่าได้บินกี่ครั้ง แต่มีโอกาสเลื่อนขั้นน้อย เป็นได้เพียงหัวหน้าแอร์โอสเตสหรือเข้าไปรับผิดชอบงานในเที่ยวบินชั้น First Class เท่านั้น บางสายการบินแอร์โฮสเตสจะเกษียณอายุราว 40-60 ปี ดังนั้น การสมัครเข้าสายการบินไหนต้องสอบถามทางบริษัทก่อน

ถ้าทำเพื่อความสนุกแบบขุดทองไม่เกิน 5 ปี สามารถย้ายไปทำอาชีพเลขานุการ พนักงานขาย หรือพนักงานโรงแรมได้ เงินเดือนที่ได้มาอาจต้องแลกกับเวลาส่วนตัวที่เหลือน้อยลง จนถึงปัญหาเรื่องสุขภาพ เพราะเวลาพักผ่อนไม่ปกติ ทั้งยังเป็นอาชีพที่ไม่มั่นคง ถ้าทำหลายปีแล้วเลิกอาจไม่มีอาชีพที่เหมาะสมรองรับ เพราะเงินเดือนน้อยกว่าเดิมมากจนถึงขั้นทำใจไม่ได้

จาก...คอลัมน์ Career Focus นิตยสารสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 570