วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็ง

1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ ได้

2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง

3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง

4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาการ ปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง

5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำ หนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็งตับ อาการปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มี อาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำ หรือ เป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึก ได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียก ว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกัน แน่

13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
**** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษ ทิชชูซับแล้วเลือดมีสี แดง สดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma) คือ เนื้อ งอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติถึงท่าน ผู้โชคดี ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล
อาการ ของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

กินอาหารให้เป็นยา แต่อย่ากินยาเป็นอาหาร

กินอาหารให้เป็นยา แต่อย่ากินยาเป็นอาหาร

กินอาหารให้เป็นยา แต่อย่ากินยาเป็นอาหาร

สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไรไว้ในหนังสือ ชื่อ
‘ ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ ‘ เช่น 1.

ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง

2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว

3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด

4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็นประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี 5.

โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง 6.

โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า (ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง 7.

ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป 8.

ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี (ไม้เมืองหนาว) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้ 9..

โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้ 10.

โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้ 11.

ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี 12.

เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย 13.

ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง
โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต ช่วยให้อาการปั่นป่วนในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ‘ คลอเลสเตอรอล ‘ ได้ ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้ พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นภูมิปัญ ญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน ไทยขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของ เราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา ค้นคว้า และคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้ ให้เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป. 14.

มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี 15.

มะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน 16

แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้ 17.

โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก 18.

เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี โมโรอันแซตเทอเรต19.

ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี 20.

น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร

สาเหตุการทำลายตับ

The main causes of liver damage are: สาเหตุการทำลายตับ

1. Sleeping too late and waking up too late are main cause. การนอนและตื่นได้ทุเรต คือนอนสาย ตื่นสาย ทำให้ตับทำงานผิดเวลา เป็นสาเหตุหลัก

2. Not urinating in the morning. ไม่ฉี่ในตอนเช้า หรือตื่นนอน น้ำปัสสาวะเลยไปขังเหม็นในตับ ตับไม่สดชื่น

3 . Too much eating. กินมากไป ทำให้การทำงานเกินกำลังของตับในการกรองสารอาหาร ทั้งแอลล์กอฮอล์ น้ำหวาน ไขมัน ฯลฯ

4. Skipping breakfast. การงดทานอะไรในตอนเช้า น้ำย่อยกับตับต้องมีการทำงาน

5. Consuming too much medication. การเป็นคนชอบทานยาหลายขนาน มากๆ ย่อยๆ และประจำ สารจากยาสังคราะห์สมัยใหม่จะไปสะสมที่ตับ ช่วยให้ตับเสียเร็วในระยะยาว

6. Consuming too much preservatives, additives, food coloring, and artificial sweetener. การเลือกทานอาหารที่ใช้สารกันบูด สารเพิ่มรสชาติ สารใส่สี น้ำตาลเทียม ล้วนเป็นสิ่งดีๆที่ไปสะสมทำลายตับในระยะยาว

7. Consuming unhealthy cooking oil. การทานน้ำมันปรุงอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น น้ำมันทอดซ้ำมากๆ เวลาเหนื่อยมากๆไม่ควรทานอาหารทอด แต่ถ้าร่างกายแข็งแรงก็ไม่เป็นไร ยังทนได้ ?
As much as possible reduce cooking oil use when frying, which includes even the best cooking oils like olive oil. Do not consume fried foods when you are tired, except if the body is very fit.

8. Consuming raw (overly done) foods also add to the burden of liver. การทานของดิบช่วยทำลายตับได้อย่างดี ควรปรุงสุกก่อนทุกครั้ง และอาหารทอดควรทานให้หมด ไม่ควรเก็บไว้ทานภายหลัง เพราะน้ำมันที่ทอดในอาหารจะแปรสภาพอิ่มตัว
Veggies should be eaten raw or cooked 3-5 parts. Fried veggies should be finished in one sitting, do not store.

We should prevent this without necessarily spending more. We just have to adopt a good daily lifestyle and eating habits. Maintaining good eating habits and time condition are very important for our bodies to absorb and get rid of unnecessary chemicals according to ’schedule.’

BRAIN DAMAGING HABITS ( อุปนิสัยคนเราที่ทำลายการทำงานของสมอง)

1. No Breakfast ไม่ทานอาหารเช้า ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ มีผลต่อการทำงานของสมอง
People who do not take breakfast are going to have a lower blood sugar level. This leads to an insufficient supply of nutrients to the brain causing brain degeneration.

2 . Overeating=2.0 การอาหารทานมากเกินไปทำให้เส้นเลือดในสมองหนามีการเกาะตัวของไขมัน การทำงานสมองช้าลง
It causes hardening of the brain arteries, leading to a decrease in mental power.

3. Smoking การสูบบุหรี่ ช่วยให้สมองฝ่อ เกิดเป็นโรคอัลไซเมอร์ตามมมา
It causes multiple brain shrinkage and may lead to Alzheimer disease.

4. High Sugar consumption การทานหวานมาก น้ำตาลจะไปขัดขวางการดูดซึมของโปรตีนและสารอาหาร เป็นสาเหตุที่ตามมาของการทำงานที่ดีของสมอง
Too much sugar will interrupt the absorption of proteins and nutrients causing malnutrition and may interfere with brain development.

5. Air Pollution อากาศเป็นพิษ สมองเป็นอวัยวะที่ต้องการอ๊อกซิเจนมากที่สุดในร่างกาย อากาศเสียส่งผลต่อการทำงานของสมองโดยตรง
The brain is the largest oxygen consumer in our body. Inhaling polluted air decreases the supply of oxygen to the brain, bringing about a decrease in brain efficiency.

6 . Sleep Deprivation การอดนอน ทำให้เซลสมองไม่ได้รับการทดแทนจากการฟักตัวของเซลใหม่ เซลสมองที่ตายแล้วจะสะสมมีปริมาณมาก เป็นอันตรายในระยะยาว
Sleep allows our brain to rest.. Long term deprivation from sleep will accelerate the death of brain cells..


7. Head covered while sleeping การคลุมหน้าเวลาหลับ
ช่วยให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซที่หายใจออกมาสะสม ก๊าซออกซิเจนที่ต้องการมีไม่พอ สมองจะค่อยๆถูกทำลาย
Sleeping with the head covered increases the concentration of carbon dioxide and decrease concentration of oxygen that may lead to brain damaging effects.

8. Working your brain during illness การทำงานหรืออ่านหนังสือคร่ำเคร่งเวลาป่วยไข้ไม่สบาย นอกจากลดประสิทธิภาพการใช้งานสมองแล้ว ยังช่วยทำลายสมองอีกด้วย
Working hard or studying with sickness may lead to a decrease in effectiveness of the brain as well as damage the brain.

9. Lacking in stimulating thoughts การไม่ใช้สมองเหมือนไม่ออกกำลังกายให้มัน มีผลต่อการทำให้สมองฝ่อ การใช้ความคิดเป็นการฝึกความจำที่ดี ( คนอายุมากควรฝึกบ่อย)
Thinking is the best way to train our brain, lacking in brain stimulation thoughts may cause brain shrinkage.

10. Talking Rarely คนไม่ค่อยพูดกับใคร มักมีปัญหา เพราะการพูดคุยช่วยให้สมองมีการทำงานและพัฒนา ( การคุยแบบสร้างสรรค์ ไม่ใช่ชวนทะเลาะ)
Intellectual conversations will promote the efficiency of the brain

30 สิ่ง น่าทำ ตอนที่ยังมีชีวิต

1. ทำอะไรที่น่าตื่นเต้นในแต่ละวัน
2. ไปเที่ยวที่ที่คุณไม่เคยไป กับคนที่คุณไม่เคยคิดจะลืม
3. ซื้อความสุข ด้วยรอยยิ้ม
4. คุยกับคนแปลกหน้า เพื่อหาเพื่อนใหม่

5. ช่วยคนอื่น เมื่อคุณสามารถช่วยได้
6. สังเกตสิ่งรอบๆตัว อาจพบความสุขเล็กๆ เข้ามาในชีวิต
7. อยู่เงียบๆ กับตัวเองวันละ 5 นาที… เพื่อคิด
8. ทุ่มตัวเองเต็มที่ กับการหาทางแก้ปัญหา ที่คุณกำลังเผชิญอยู่

9. คบคนที่มองโลกในแง่ดี
10. เข้าคอร์สเรียนเพิ่มเติม ในเรื่องที่คุณสนใจ
11. จัดเวลา นัดเจอ เพื่อนสนิท ในแต่ละเดือน ไป กิน เที่ยว เล่น
12. มองพระอาทิตย์ขึ้น สัปดาห์ละครั้ง

13. ดูพระอาทิตย์ตกดิน สัปดาห์ละครั้ง
14. ปลูกผักเอง เอาไว้ทานเอง
15. ไปหาเพื่อน ที่ไม่ได้เจอกันมานานนับปี
16. หยุดตามกระแสสักนิด และทำตามแนวคิดที่เหมาะสำหรับตัวเอง

17. บอกตัวเองว่า ไม่มีอะไรสายเกินไป
18. ค้นหา ประสบการณ์ดีๆ แปลกใหม่ ให้กับชีวิต
19. เลิกกังวลกับสิ่งที่คุณไม่มี และมีความสุขในสิ่งที่คุณมี
• 20. โรแมนติก ทำเซอร์ไพรซ์คนที่คุณรัก

21. หยุดเสียเวลา กับเรื่องหยุมหยิมที่ไม่จำเป็น
22. รับประทานอาหารให้ช้าลง ลิ้มรสความอร่อย
23. ขอความช่วยเหลือ เมื่อต้องการ เพราะคุณจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ หากไม่เอ่ยปาก
24. ถามคำถาม เมื่อสงสัย… ช่วยประหยัดเวลา และลดความยุ่งยากใจ

25. เล่นสนุกบ้าง ชีวิตมีแค่ครั้งเดียว
26. ทำอะไรทีละอย่าง จะได้ทำออกมาได้ดี
27. ฝึกความพอเพียง – พอดี เมื่อมันเกิดขึ้นกับคุณ จะไม่มีใคร เอาไปจากคุณได้
28. รักษาสัญญา

29. ดูตลก ฟังเรื่องตลก และแบ่งปันกับคนอื่น
30. เปิดโลกความคิดสร้างสรรค์ของคุณ กับงานศิลปะ เช่นดนตรี ภาพถ่าย ภาพยนตร์ ฯลฯ

อาหารชั้นเลิศที่มะเร็งถามหา

อาหารชั้นเลิศที่มะเร็งถามหา
Filed under: ไม่มีหมวดหมู่;


The top five cancer-causing foods are: อาหารชั้นเลิศที่มะเร็งถามหา

1.. Hot Dogs ฮ็อตดอก เด็กไม่ควรทานเกิน 12 ชิ้นต่อเดือน เพราะใส่สารโซเดียมในเตรตมาก คนที่ชอบทานควรเลือกสูตรที่ไม่ผสมโซเดียมในเตรต

Because they are high in nitrates, the Cancer Prevention Coalition advises that children eat no more than 12 hot dogs a month. If you can’t live without hot dogs, buy those made without sodium nitrate.

2. Processed meats and Bacon เนื้อต่างๆที่ผ่านกระบวนการแปรรูป และหมูเบคอน จะพบว่าใส่สารโซเดียมในเตรตมาก มีผลต่อการเกิดโรคหัวใจ ตัวเบคอนเองก็มีไขมันอิ่มตัวที่ไปช่วยการเติบโตของมะเร็ง

Also high in the same sodium nitrates found in hot dogs, bacon, and other processed meats raise the risk of heart disease. The saturated fat in bacon also contributes to cancer.

3. Doughnuts โดนัท เป็นของชอบที่สุดของมะเร็ง เพราะมีสารและการปรุงที่ถูกวิธี คือ ป้ง น้ำตาล และน้ำมันที่ผ่านกระบวนการไฮโดรเจนแล้ว ทอดในอุณหภูมิที่สูง เพราะฉะนันคนที่มะเร็งถามหา หรือยังไม่หา ต้องระวังเป็นพิเศษ

Doughnuts are cancer-causing double trouble. First, they are made with white flour, sugar, and hydrogenated oils, then fried at high temperatures. Doughnuts, says Adams , may be the worst food you can possibly eat to raise your risk of cancer.

4. French fries มันฝรั่งทอด มีคุณสมบัติดีเด่นเหมือนกับโดนัท ที่ต้องทอดในอุณหภูมิสูงเช่นกัน แต่เด่นกว่าในการผลิตสาร อะครีล อาไมล์ ที่เป็นตัวกระตุ้นมะเร็ง เป็นสุดยอดอาหารมะเร็งถามหา

Like doughnuts, French fries are made with hydrogenated oils and then fried at high temperatures. They also contain cancer- causing acryl amides which occur during the frying process. They should be called cancer fries, not French fries, said Adams .

5. Chips, crackers, and cookies มันฝรั่งทอดแบบแผ่น ขนมปังแคร๊กเกอร์ และขนมคุ๊กกี้ ทำจากแป้งและน้ำตาล (เหมือนโดนัท) ของต้องห้ามสำหรับคนเกิดปีมะเร็ง

All are usually made with white flour and sugar. Even the ones whose labels claim to be free of trans-fats generally contain small amounts of trans-fats.