วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

9 เทคนิคฝึกสมองให้ฉลาดอยู่เสมอ

1.จิบน้ำบ่อย ๆ (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อย ๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in life every day) ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มี ครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึก ๆ (Deep breath) สมองใช้ออกซิเจน 20 .25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

‘โซรอส’ มั่นใจทองคำ-ทำรวย

หลีกภัยดอลลาร์สหรัฐด้อยค่า

ภายใต้วิกฤติ มักมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ ในสายตาของนักลงทุนชั้นเซียน ที่สามารถแสวงหากำไรเป็นกอบ เป็นกำใส่ตัวได้ในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนแถวหน้ายี่ห้อ “จอร์จ โซรอส” พ่อมดแห่งโลกการเก็งกำไร

รายงานการลงทุนปีล่าสุดของ จอร์จ โซรอส ที่นำส่งคณะกรรมการกำกับ หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาเมื่อไม่กี่วันก่อน ได้สะท้อน อัจฉริยภาพการลงทุนที่ชาญฉลาดคู่ควรแก่การศึกษาวิเคราะห์อย่างยิ่ง

ในรอบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี ระหว่างเดือนตุลาคม ถึงเดือนธันวาคม เซียนการ ลงทุนอย่างโซรอส ได้ถมเงินลงทุนก้อนมหึมาเข้าไปในกองทุนทองคำ “เอสพีดีอาร์โกลด์ทรัสต์” ซึ่งเป็นกองทุนที่มีทองคำอยู่ในความครอบครองมากที่สุดในโลกถึงกว่า 1 พันตัน

เม็ดเงินที่โซรอส เทใส่ลงไปในกอง ทุนทองคำส่งท้ายปีที่แล้ว สูงถึง 663 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เขามีหน่วยลงทุนของ กองทุนนี้ อยู่ในความครอบครองเพิ่มขึ้นจาก 2.5 ล้านหน่วย เป็น 6.2 ล้านหน่วย

โซรอส ให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจเทเงินลงทุนมหาศาลลงไปในกอง ทุนทองคำไว้อย่างน่าสนใจว่า ภายใต้สถานการณ์ความเสื่อมค่าของสกุลเงินดอลลาร์ สหรัฐ และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ส่อเค้า ขยายตัวสูงขึ้น จะมีก็แต่ทองคำเท่านั้นที่น่า ลงทุนที่สุด และเชื่อว่าทองคำมีแนวโน้มที่จะแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากการอัดฉีดเงินลงทุนก้อนโต ลงไปในกองทุนทองคำแล้ว ในบัญชีการลงทุนของโซรอสยังมีการลงทุนในหุ้นอีกหลายตัว ในกลุ่มธุรกิจสถาบันการเงิน ธุรกิจสื่อสาร ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจเคมีภัณฑ์ และธุรกิจรถยนต์

ในกลุ่มธุรกิจสถาบันการเงิน โซรอส กล้าหาญชาญชัยมากที่จะใส่เงินลงทุนเข้าไปซื้อหุ้นซิตี้กรุ๊ปถึง 313 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการครอบครองหุ้นจำนวน 95 ล้านหุ้น

ในกลุ่มธุรกิจสื่อสาร โซรอส ใส่เงินเข้าไปซื้อหุ้นเอทีแอนด์ที จำนวน 4.7 ล้านหุ้น

ในกลุ่มธุรกิจพลังงาน โซรอสใส่เงิน เข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทเฮสส์ และบริษัท เปโตรบราส

ในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ และเคมีเกษตร โซรอส ถมเงินเข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทมอนซานโต้ และบริษัทโปแตชคอร์ป

สำหรับกลุ่มธุรกิจรถยนต์ โซรอส ใจป้ำกับการเทกระเป๋าเข้าซื้อหุ้นในฟอร์ด มอเตอร์ ถึง 10.9 ล้านหุ้น ทั้งที่สถานะทางการเงินของฟอร์ดยังคงง่อนแง่น

อาจเป็นไปได้ว่าในสายตาอันแหลม คมของโซรอส น่าจะมองเห็นโอกาสการทำกำไรที่ดีเยี่ยมยอดจากการเข้าลงทุนในกิจการที่อาจจะ “เสี่ยง” ในความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทฟอร์ดมอเตอร์ ที่ยังมีปัญหาทาง การเงิน และมีข้อสงสัยในแง่ของขีดความ สามารถในการทำกำไร

อย่างไรก็ตาม วิสัยทัศน์การลงทุนของโซรอส ที่ประเมินว่าแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ น่าจะมีปัญหา และพึงหลีก เลี่ยงการเข้าไปเก็งกำไร น่าจะสอดคล้องกับปรากฏการณ์ความร้าวฉานระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่ส่อเค้าจะดุเด็ดเผ็ดร้อนมากขึ้น

จากปมพิพาทเรื่องกำแพงภาษีการนำเข้ายางรถยนต์จากจีน เข้าไปในสหรัฐอเมริกา ซึ่งปะทุขึ้นเมื่อต้นปีที่แล้ว เมื่อคราวประธานาธิบดีโอบามา เข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ เรื่อยมาถึงข้อพิพาทที่รุนแรงมากขึ้น กรณีกูเกิล และกรณีผู้นำสหรัฐอเมริกา ให้การต้อนรับขับสู้ “ดาไล ลามะ” แห่งทิเบต ซึ่งเป็นบุคคลอันตราย สำหรับรัฐบาลจีน

พลันที่ดาไล ลามะ เหยียบแผ่นดินสหรัฐอเมริกาครั้งล่าสุดเมื่อไม่กี่วันก่อน รัฐบาลจีน ซึ่งมีสถานะเป็น “เจ้าหนี้” รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา ก็เปิดเกมตอบ โต้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาอย่างไม่ไว้หน้า

ทางการจีนประกาศไถ่ถอนคืนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็น การ “ยื่นโนติส” ทวงเงิน ที่รัฐบาลสหรัฐ อเมริกาหยิบยืมไปจากรัฐบาลจีน ปฏิกิริยาตอบโต้กันระหว่างรัฐบาลจีน กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ในลักษณะนี้อุปมาเหมือนการประกาศ “สงครามเศรษฐกิจ” ระหว่างกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดการค้า และตลาดการเงินของโลกอย่างยากจะหลีกเลี่ยง

อย่างน้อยที่สุดการ “ทวงเงิน” ของรัฐบาลจีน จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา น่าจะต้องสร้างความสั่นไหวต่อความมั่นคงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และกด ดันให้เงินดอลลาร์สหรัฐด้อยค่าลงอย่าง ปัจจุบันทันด่วน

ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา อาจมีความจำเป็นต้องงัดมาตรการฉุก เฉินออกมาประคับประคองค่าเงินดอลลาร์ สหรัฐเอาไว้ ไม่ให้อ่อนปวกเปียกลงรวด เร็วจนน่าใจหาย

ความพยายามของธนาคารกลางสหรัฐในการพยุงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อาจ จะออกมาในรูปของมาตรการด้านดอกเบี้ย โดยการขยับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น

หากเป็นไปในลักษณะเช่นนี้ ผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นตามมาให้ต้องแก้ไขต่อไปคือปัญหาขาดดุลการค้า และปัญหาการทรุดตัวของบรรยากาศการลง ทุนในตลาดหุ้น

สหรัฐอเมริกา ยามนี้ไม่ต่างอะไรกับคนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่ต้องหวานอมขมกลืน...รอโชคมาช่วย

พูดอย่างมีเสน่ห์

การติดต่อพูดคุย เป็นการสื่อ สารที่จำเป็นและมีความสำคัญมากสำหรับนักขายตรง ซึ่งนักขายตรงต้อง รู้จักเทคนิคและวิธีการในการพูดคุยเพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายอย่างถูกต้อง ชัดเจน และเหมาะสม ตามสถานการณ์ต่างๆ การพูดเป็นการสื่อสารที่ต้องใช้ทั้งศิลปะ และประสบการณ์ เพื่อนำเสนอแนวคิดจนสามารถ ชักจูงให้กลุ่มเป้าหมายที่คาดว่าจะเป็นลูกค้าเกิดการตัดสินใจซื้อ และก็จะกลายเป็นลูกค้าในที่สุด

การพูดเป็นการสื่อสารที่บ่งบอกถึงความคิดอารมณ์ ความรู้สึกของบุคคล ซึ่งทำให้เกิดการรับรู้ และการตอบสนอง การพูดจะสะท้อนให้เห็นถึงนิสัยใจคอ ความตั้งใจ ทัศนคติ และต้องพูดให้เหมาะสมกับบุคคล เวลา สถานที่ อย่างสุภาพ เหมาะสม นักขายตรงต้องเลือกใช้คำพูดในการสื่อสารที่มีศักยภาพ สามารถสร้างความสนใจและโน้มน้าวให้ลูกค้าเกิดความคล้อยตาม ซึ่งนักขายตรงต้องอาศัยทักษะในการสื่อสารทางด้านการพูดให้มีความเหมาะสม เพื่อสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง ด้วยเทคนิคดังต่อไปนี้

1.จงหยุดให้กลุ่มเป้าหมายพูด และเป็นผู้ฟังที่ดี รู้จักการเรียนรู้ทักษะการเป็นนักฟังที่ดี ฟังอย่างสงบ อย่าเพิ่งแสดงความคิดเห็นสวนขึ้นมาในเวลาที่คนอื่นพูด และต้องเปิดใจกว้างยอมรับ มีสติในการฟัง แสดงความตั้งใจในการฟัง ฟังอย่างสุภาพและให้เกียรติผู้พูด พยายามทำความเข้าใจในเรื่องที่ผู้อื่นพูด ตามที่เขาได้แสดงออก หรือตามทรรศนะของเขา สร้างบรรยากาศ ให้คู่สนทนาได้มีโอกาสพูดอย่างอิสระ และขจัดสิ่งรบกวนต่างๆ

2.ประเมินผู้ฟัง ความพร้อมของคนฟัง จังหวะและโอกาส สังเกตความสนใจของผู้ฟัง พูดในสิ่งที่มีประโยชน์คุ้มค่าต่อเวลาของผู้ฟัง โดยพยายามพูดในภาษาของคนฟัง ไม่ใช่พยายามพูดในภาษา ของคนพูด เมื่อพูดแล้วคนฟังน่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ ถ้าพูดเรื่องส่วนตัวของผู้ฟังควรทันต่อข้อมูลปัจจุบัน และพูดในสิ่งที่ผู้ฟังชื่นชอบและรู้สึกดี หากเป็นไปได้ ต้องไม่พูดถึงส่วนที่เป็นจุดด้อยของคู่สนทนา สะท้อนการให้เกียรติและเคารพในตัวคนอื่น

3.พูดอย่างสร้างสรรค์ ต้องพูดในสิ่งที่เขาอยากฟัง และไม่พูดในสิ่งที่เราอยากพูด ด้วยการพูดในเชิงบวก พูดอย่างประนีประนอมไม่เสียดสีใคร ไม่ตำหนิ ไม่ดูถูกคนฟัง ไม่ยกตนข่มท่าน งดการนินทา คิดก่อนพูด มีความรอบคอบ พูดในสิ่งที่ดี พูดเรื่องจริงเท่าที่ควรพูด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีสิ่งที่มีประโยชน์ในตัวเอง เพียงแต่มองให้เห็นส่วนที่ดีเพราะการพูดถึงสิ่งที่ไม่ดีของคนนั้นๆ ทำให้ผู้พูดมีค่าต่ำลงทันที ไม่เป็นที่ไว้วางใจของคนอื่น และยอมรับฟังคนอื่น

4.มีความกระฉับกระเฉง ยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าตาสดชื่น มีชีวิตชีวา สนใจสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว มีลักษณะผู้นำ เปิดเผย ตัวเองในที่สาธารณชน รู้จักประมาณ ตน ถ่อมตน รู้จักทำใจให้เป็นกลาง รู้จักตัวเองมีเหตุผล มีสติ สุขภาพจิตดี พูด อย่างมีเป้าหมาย น่าสนใจ น่าติดตาม จงหลีกเลี่ยงการพูดแบบขอไปที แต่เมื่อต้อง พูด ควรพูดด้วยสติ เป็นตัวของตัวเอง ไม่พูดตามอำเภอใจ รู้จักพูด รู้ว่าควรพูดอะไร ในสถานการณ์ไหน และกับใคร อย่างไร

5.พูดอย่างมีสาระ มีขอบเขตชัดเจนว่าต้องการสื่อสารเรื่องอะไร หรือต้องการจะบอกอะไรกับผู้ฟัง พูดจาฉะฉานชัดเจน ไพเราะ สุภาพ เลือกคำที่ฟังรื่นหูไม่หยาบคาย จะดึงดูดความ สนใจจากผู้ฟังได้มาก บางครั้งบางโอกาส ก็ต้องสร้างอารมณ์ขันบ้างเพื่อเป็นการสะท้อนความงดงามในตัวผู้พูดให้คนฟังได้สัมผัส แต่ต้องดูจังหวะและโอกาส อย่างพอควร การมีอารมณ์ขันจึงเป็นเสน่ห์ดึงดูดอย่างหนึ่ง เพราะคนที่หน้าหงิกหน้างอ อารมณ์บูดบึ้งอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครอยากคุยด้วยแน่ๆ

6.การแสดงออก ท่าทางในขณะพูด ต้องแสดงความเป็นมิตร มีความสุภาพ ด้วยบุคลิกภาพและการแต่งกายที่เหมาะสมตามกาลเทศะ วางตัวได้อย่างเหมาะสม แสดงการทักทายและให้การเคารพต่อผู้ฟัง ด้วยความจริงใจ ตลอดจนมีการเตรียมข้อมูลในการพูดอย่างครบถ้วน ไม่บิดเบียน

การพูดเป็นการสื่อสารที่มีความจำเป็นสำหรับทุกคนเพราะต้องใช้สื่อสารในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะนักขายตรงที่ต้องอาศัยทักษะทางด้านการพูดเพื่อสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง จนสามารถนำเสนอให้ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายเกิดความประทับใจ ดังนั้น นักขายตรงควรฝึกพูดให้เป็นไม่ใช่แค่พูดได้แล้วจะขายของได้ เพราะคำพูดไม่ใช่เป็นเพียงแค่ลมปาก แต่คำพูดเป็นมหาเสน่ห์แห่งความประทับใจ

'ปูแดง'ดิ้นยื่นสคบ.ขอตั้งบริษัทใหม่

ปูแดงดิ้นรุกดำเนินธุรกิจต่อ ล่าสุดยื่น สคบ.ขอจดทะเบียนตั้งบริษัทใหม่ คาดได้ข้อสรุปเดือนมีนาคมนี้ เผยผลคดีแชร์ลูกโซ่มีสิทธิรอดสูงถึง 90% เนื่องจากไม่มีผู้ร้องเรียกความเสียหาย ขณะที่ดีเอสไอ ยันเอาผิดได้แน่นอน

จาก กรณีที่ทางบริษัท เบสท์ 59 จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงภายใต้แบรนด์ปูแดง
ได้ถูกสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือ สคบ.เพิกถอนใบอนุญาตการประกอบกิจการขายตรงเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามแผนและเงื่อนไขตามที่ยื่นขอจดทะเบียนกับสคบ. รวมทั้งยังถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอบุกเข้าจับกุม เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2553 ในข้อหาแชร์ลูกโซ่ จนทำให้สมาชิกปูแดงออกมาต่อต้านและก่อม็อบประท้วง เพื่อถามหาความรับผิดชอบจากหน่วยงานภาครัฐ ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจนเป็นเหตุให้แม่ทีมไม่ได้รับผลตอบแทน

สำหรับ ความคืบหน้าล่าสุด แหล่งข่าวจากแม่ทีม บริษัท เบสท์ 59 จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริษัทได้ประชุมกรรมการและแม่ทีมปูแดง พร้อมทั้งได้มียื่นจดทะเบียนกับสคบ.เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ ภายใต้ชื่อสินค้าใหม่ คือ นิวต้นกล้าไคโตซาน โดยจะใช้สำนักงานเดิมที่ถนนแจ้งวัฒนะและยังคงจำหน่ายปุ๋ยเช่นเดิม โดยโลโกที่ใช้จะเป็นต้นกล้าสีเขียวที่กำลังเจริญงอกงาม

ขณะที่แผนการ ดำเนินธุรกิจนั้น ยังคงวางผังโครงสร้างสายงานเดิม โดยยังคงใช้รหัสเดิมและทีมงานเดิม อย่างไรก็ดีบริษัทจะปรับแผนรายได้ในบางจุด แต่ยังคงใช้แผนจ่ายโบนัสคล้ายแผนเดิมคือ 95% นอกจากนี้บริษัทจะขยายตลาดด้วยการโฆษณาผ่านสื่อทีวี เคเบิลทีวี และวิทยุชุมชนด้วย คาดว่าประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์หรือต้นเดือนมีนาคม 2553 นี้ จะสามารถเปิดบริษัทใหม่ เพื่อดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มรูปแบบได้

ส่วน ความคืบหน้าของคดีความต่างๆ ที่บริษัทถูกกล่าวหาว่าเป็นแชร์ลูกโซ่นั้น ล่าสุดได้ผลสรุปอย่างไม่เป็นทางการว่า 90% บริษัทไม่มีความผิด เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่ให้เชื่อได้ว่าบริษัททำธุรกิจผิดกฎหมาย เนื่องจากไม่มีผู้ร้องเรียนหรือเสียหาย ซึ่งเป็นเหตุให้อัยการไม่มีน้ำหนักพอที่จะฟ้องได้ และมีความเป็นไปได้ว่าศาลอาจพิจารณายกฟ้องทันที ดังนั้นทำให้ฝ่ายที่ฟ้องอาจถูกดำเนินคดีกลับได้

ทั้งนี้เกี่ยวกับ ประเด็นข่าวที่ทางบริษัท เบสท์ 59ฯ มีความเชื่อมั่นว่าบริษัทจะชนะคดีได้นั้น พ.อ.ปิยวัฒก์ กิ่งเกต ผู้บัญชาการ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า การที่ปูแดงจะคิดว่าบริษัทจะชนะคดีนั้นสามารถคิดได้ แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษเชื่อว่าหลักฐานที่มีอยู่ในขณะนี้จะสามารถดำเนินคดีกับ บริษัทเบสท์ 59ฯ ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากคดีดังกล่าว ทางดีเอสไอได้ใช้เวลาในการสืบสวนหาข้อมูลเป็นระยะเวลา 8 เดือนก่อนนำกำลังเข้าจับกุม และขณะนี้อยู่ระหว่างนี้การตรวจสอบหาหลักฐานเพิ่มเติม โดยเฉพาะการตรวจสินค้าไคโตซานว่าผิดหรือไม่

สำหรับการยื่นจดทะเบียนจัด ตั้งบริษัทใหม่นั้น นายนิโรธ เจริญประกอบ เลขาธิการ สคบ.กล่าวว่า กรณีที่ทางแม่ทีมปูแดงยื่นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่กับทางสคบ.นั้น เป็นเรื่องจริง และสามารถดำเนินการได้ แต่ต้องไม่ใช่แผนการดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิม รวมทั้งกรณีที่จำหน่ายสินค้าที่เป็นปุ๋ย จะต้องทำการขออนุญาตกับกรมวิชาการเกษตรก่อนนำสินค้าไปจำหน่าย ที่สำคัญผู้ที่ยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ต้องไม่ใช่นายสมปอง แซ่ตั้ง อย่างไรก็ตามขณะนี้สคบ.กำลังตรวจสอบเกี่ยวกับแผนการดำเนินธุรกิจ ซึ่งหากแผนธุรกิจโปร่งใสและถูกต้องตามหลักขายตรง ทางสคบ.ก็พร้อมที่จะอนุญาตให้เปิดบริษัทใหม่ได้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,509 28 กุมภาพันธ์ - 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=23693:2010-02-26-05-03-59&catid=106:-marketing&Itemid=457