วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

What is Search Engine ? (Search Engine คือ อะไร ?)

จากสองบทความที่ผ่านมา ทำให้ทราบถึงความหมายและความสำคัญของการทำ SEO ไปแล้ว ในบทความนี้ เราจะเริ่มทำความรู้จักกับพระเอกของ SEO คือ Search Engine นั่นเอง

Search Engine (อ่านว่า เสิร์ชเอ็นจิ้น) คือ เครื่องมือสำหรับค้นหาข้อมูลที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต ด้วยคำค้นต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลนั้นอาจอยู่ในรูปแบบของเว็บไซต์ ไฟล์เอกสาร ไฟล์รูปภาพ สื่อมัลติมีเดีย

ไฟล์บีบอัด และรูปแบบอื่น ๆ ที่สามารถบันทึกเป็นเอกสารออนไลน์ได้ ตัวอย่างเว็บไซต์ที่มีลักษณะเป็น Search Engine มีดังนี้

•http://www.google.com
•http://www.live.com
•http://www.yahoo.com
•http://www.baidu.com
•http://www.ask.com

กระบวนการทำงานของ Search Engineโดยปกติแล้ว Search Engine จะมีเครื่องมือที่ชื่อว่า Robot (หุ่นยนต์) ในการสืบค้นเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อนำมาจัดเก็บในระบบฐานข้อมูลด้วยการทำ Index โดย Robot จะเดินทางจากเว็บหนึ่ง ไปอีกเว็บหนึ่งผ่าน Hyperlink ที่มีอยู่ในเว็บไซต์นั้นๆ


การเรียงลำดับผลลัพธ์จากการค้นหาSearch Engine มีอัลกอลิธึ่มในการจัดลำดับผลลัพธ์การค้นหาแตกต่างกันไป ซึ่งโดยปกติแล้วส่วนมากจะเรียงจากความสัมพันธ์กับคำค้นที่ใช้ค้นหา และมีปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่น ประเทศ ภาษา ขนาดของไฟล์ จำนวนผู้เข้าชม ความถี่ในการอัพเดทข้อมูล จำนวนลิงค์ เป็นต้น

ในวันนี้เราได้รู้จักพระเอกของการทำ SEO คือ Search Engine กันแล้วนะครับ ในบทความต่อไปผมจะมาเขียนเรื่องของพระรองบ้าง พบกันใหม่ในบทความหน้าครับ


ศัพท์น่ารู้

•Robot = หุ่นยนต์ ในที่นี้หมายถึงหุ่นยนต์ที่เป็นเครื่องมือของ Search Engine ใช้ติดตามข้อมูลต่าง ๆ สำหรับจัดเก็บในระบบฐานข้อมูล
•Index = การรวบรวมข้อมูล และจัดเก็บสำหรับการสืบค้น
•Hyperlink = การเชื่อมโยงหลายมิติ หรือ เส้นทางการเดินทางของข้อมูลจาหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่ง

What is Web Directory ? (Web Directory คือ อะไร ?)

จากบทความที่แล้วผมได้เกริ่นเกี่ยวกับคำถามว่าพระรองของการทำ SEO คือใคร ในบทความนี้เราจะมาเฉลยพร้อม ๆ กันครับ

Web Directory (เว็บไดเรคทอรี่) หรือ Directories บางทีเรียกว่า Link Directory คือ ระบบที่เก็บรวบรวมเว็บไซต์ไว้เป็นหมวดหมู่ ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มออกเป็นหมวดหมู่ย่อย ๆ ได้ด้วย เว็บที่ถูกบันทึกในแต่ละกลุ่ม จะต้องมีหัวเรื่องหรือเนื้อหาที่สัมพันธ์กัน เว็บไดเรคทอรี่บางแห่งทำหน้าที่เป็น Search Engine ในตัวเองด้วย บางแห่งมีฟังก์ชั่นให้โหวตหาคะแนนนิยมของเว็บเพื่อจัดอันดับ

ตัวอย่างเว็บไซต์ที่มีลักษณะเป็น Web Directory มีดังนี้
- http://www.dmoz.org/
- http://www.directory-index.net/


การเพิ่มชื่อเว็บไซต์เข้าสู่เว็บไดเรคทอรี่ (Add URL)

ในอดีตการเพิ่มชื่อเว็บไซต์เข้าสู่เว็บไดเรคทอรี่ สามารถทำได้ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ปัจจุบันการที่มี Link อยู่ในเว็บไดเรคทอรี่ดี ๆ หลายที่ถือว่าเป็นผลดีกับการทำ SEO จึงทำให้การเพิ่มชื่อ

เว็บไซต์เข้าสู่ระบบฐานข้อมูลของ Web Directory ถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

1.Free Submission คือ Web Directory ที่ยอมให้เพิ่มชื่อเว็บไซต์เข้าสู่ระบบฐานข้อมูลโดยไม่มีค่าใช้จ่าย (ฟรี!)
2.Reciprocal Link คือ Web Directory ที่ต้องทำ Link กลับมาก่อนจึงจะสามารถเพิ่มชื่อเว็บไซต์เข้าสู่ระบบฐานข้อมูลได้
3.Paid Submissions คือ Web Directory ที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการเพิ่มชื่อเว็บไซต์เข้าสู่ฐานข้อมูลเว็บไดเรคทอรี่
แม้ว่าปัจจุบันเว็บไซต์ไดเรคทอรี่ ถูกลดบทบาทและความสำคัญจาก Search Engine อันเนื่องมาจากความไม่เท่าเทียมกันจากการ ซื้อ - ขาย Links แต่ Backlinks ก็ยังเป็นหัวใจสำคัญในการทำ SEO อยู่ดี

พิมพ์มาจนจบ สุดท้ายขอเฉลยว่า พระรองของการทำ SEO คือ การเพิ่มชื่อเว็บไซต์ที่พัฒนาขึ้น เข้าไปสู่ระบบฐานข้อมูลของ Web Directory นั่นเองครับ

ศัพท์น่ารู้

•Backlinks คือ Links ที่เชื่อมโยงเข้ามาที่เว็บไซต์ของเรา บางครั้งเรียกว่า Incoming Links หรือ Link Popularity
•ODP ย่อมาจาก The Open Directory Project คือ Web Directory ที่พัฒนาขึ้นโดย Netscape โดยมากรู้จักกันในชื่อ DMOZ (Directory.MOZilla.org)

การแบ่งประเภทของการทำ SEO

ยินดีต้อนรับกลับเข้าสู่ห้องเรียนพื้นฐาน SEO อีกครั้งครับ หลังจากได้รู้จักคำนิยามต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำ SEO กันไปพอสมควรแล้ว บทความนี้เราจะจำแนกประเภทการทำ SEO กันครับ การทำ SEO ถูกจำแนกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้

White Hat SEO (SEO หมวกสีขาว)

การทำ SEO ประเภท White Hat คือ การทำเว็บคุณภาพ และทำ SEO โดยยึดแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่ Search Engine หลาย ๆ ค่ายแนะนำไว้ ซึ่งควรมีลักษณะดังนี้
- หลีกเลี่ยงการทำ Hidden text หรือ Hidden Links
- หลีกเลี่ยงการทำ Doorway
- ไม่ทำ Spam Keyword
- ไม่ทำ Duplicate Content
- ไม่ทำ Cloaking หรือ Sneaky Redirects


Black Hat SEO (SEO หมวกสีดำ)

การทำ SEO ประเภท Black Hat คือ การทำ SEO โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ไม่เป็นไปตามแนวปฏิบัติเพื่อให้ได้ประโยชน์ทาง SEO โดยไม่สนใจถึงความเหมาะสม ตามลักษณะที่ตรงข้ามกับการทำ White Hat SEO ทุกประการ (ไม่แนะนำให้ทำอย่างยิ่ง)

นอกจากหมวกขาวและหมวกดำแล้ว ในปัจจุบันยังมีการแบ่งประเภทแบบไม่เป็นทางการอีก 1 ประเภท คือ Gray Hat SEO (SEO หมวกสีเทา) ที่ทำ SEO แบบกึ่งหมวกขาวและหมวกดำ
ตัวอย่างเช่น การทำ Spam Keyword โดยการแต่งประโยคที่มี Keyword อยู่ในประโยคมาก ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการทำ Black Hat SEO จะได้ผลเร็ว แต่ก็มักจะได้ผลแค่ระยะสั้น ๆ จึงขอสนับสนุนให้นัก SEO ทุกท่านทำเว็บด้วย White Hat SEO เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาวครับ

ศัพท์น่ารู้

•Hidden Text คือ การซ่อนข้อความ ไม่ให้เห็นโดยมนุษย์แต่สามารถเห็นได้โดย Robot ของ Search Engine เช่น การทำสีตัวอักษรกับสีพื้นหลังเป็นสีเดียวกัน
•Hidden Links คือ การซ่อนลิงค์ ไม่ให้เห็นโดยมนุษย์แต่สามารถเห็นได้โดย Robot ของ Search Engine เช่น การใช้ style=”display:none” ครอบแท็กของ Hyperlinks
•Spam Keyword คือ การทำหน้าเว็บที่มีแต่ Keyword มากมาย•Duplicate Content คือ การคัดลอกหน้าเว็บให้เหมือนกัน เพื่อเพิ่มจำนวนหน้าของเว็บแบบไม่มีคุณภาพ
•Doorway คือ การส่ง Robot ของ Search Engine ไปในหน้าที่มีแต่ Keyword ก่อนแสดงผลหน้าเว็บที่มีเนื้อหา
•Cloaking คือ การทำหน้าเว็บที่แสดงผลแตกต่างกัน เมื่อถูกเรียกโดย Robot ของ Search Engine และผู้เข้าชมเว็บทั่ว ๆ ไป (แสดงผลให้คนอย่างหนึ่ง ให้บอทอย่างหนึ่ง)
•Sneaky Redirects คือ การเปลี่ยนการแสดงผลจากหน้าหนึ่ง ไปอีกหน้าหนึ่งอย่างรวดเร็ว

การออกแบบเว็บไซต์ที่ดี (Design and Content website)

ก่อนจะลงมือทำ SEO ด้วยเทคนิควิธีอื่น ๆ สิ่งแรกที่ไม่ควรมองข้าม คือ เริ่มจากจุดเล็ก ๆ ภายในเว็บไซต์ที่พัฒนาขึ้นก่อน ในบทความนี้เราจะเรียนรู้บางสิ่งที่เคยมองข้าม แต่สำคัญกับการทำ SEO ครับ

การออกแบบเว็บไซต์ที่ดี (Design and Content Guidelines) ควรมีลักษณะดังนี้

1.ควรออกแบบเว็บไซต์ให้มี Navigation สำหรับเชื่อมโยงทั่วถึงกันแต่ละหน้า เพื่อให้ Robot ของ Search Engine สามารถ Crawl ได้อย่างทั่วถึง
2.ควรจัดทำ Sitemap ของเว็บไซต์
3.ควรใช้ Header Tags สำหรับหัวข้อที่สำคัญ
4.ควรจัดทำเนื้อหาที่ชัดเจน มีการเน้นจุดต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลสำคัญ ด้วยการใช้ตัวอักษรตัวหนา (Bold) ตัวเอียง (Italic) หรือขีดเส้นใต้ (Underline) ตามความเหมาะสม
5.ควรใช้ Title Tags สำหรับ Hyperlinks และ Alt Tags สำหรับรูปภาพ
6.ควรควบคุมปริมาณการเชื่อมโยง (Hyperlinks) ไม่ควรเกิน 100 Links ต่อหนึ่งหน้า
7.ควรควบคุมขนาดการแสดงผลหน้าเว็บไซต์ (ทั้ง Text และ Images และ Multimedia ทั้งหมด) ให้มีขนาดที่เหมาะสม
ศัพท์น่ารู้

•Navigation คือ หัวข้อ หรือ เมนู หรือ รายการต่าง ๆ ที่เป็นหน้าหลัก ๆ ของเว็บไซต์
•Crawl คือ การเดินทางของ Robot ซึ่งจะเดินทางไปตามการเชื่อมโยงต่าง ๆ
•Sitemap คือ แผนผังของเว็บไซต์ (คล้าย ๆ กับการทำ สารบัญ)
•Header Tags คือ Tags ที่ใช้กำหนดหัวเรื่อง หรือหัวข้อ เช่น


•Alt Tags หรือ Alternative Tags คือ Tags ที่ใช้แสดงข้อความเมื่อไม่สามารถแสดงรูปภาพได้ เป็น Attribute ภายใต้ Tags ”…”

การตั้งชื่อโดเมน สำหรับ SEO

เว็บไซต์ที่มีชื่อโดเมนตรงกับคำค้น มักจะแสดงผลลัพธ์จากการค้นหาโดย Search Engine ในตำแหน่งที่ดี ตรงกับคำพูดที่ว่า “แค่ชื่อดี มีชัยไปกว่าครึ่ง”

ชื่อโดเมน หรือ โดเมน คือ ชื่อที่ใช้เรียกแทนตำแหน่งที่ตั้งของเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย แทนการใช้หมายเลข IP Address ถ้าจะให้เปรียบเทียบแล้ว IP Address คือ บ้านเลขที่ แต่ชื่อโดเมน คือ ชื่อบ้าน หรือ ชื่ออาคาร และแน่นอนว่าถ้ากล่าวถึงชื่อโดเมนแล้ว สิ่งที่คู่กัน คือ นามสกุลโดเมนต้องถูกกล่าวถึงด้วยเช่นกัน นามสกุลของโดเมนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

•gTLD (Generic Top Level Domain) คือ นามสกุลโดเมนทั่ว ๆ ไป เช่น .com .net .org .biz .info
•ccTLD (Country Code Top Level Domain) คือ นามสกุลโดเมนของประเทศ หรือ ภูมิภาค เช่น .in.th .co.uk

ความเชื่อเกี่ยวกับ ชื่อโดเมน และ การทำ SEO
1.ชื่อโดเมนทีเ่ป็น ccTLD จะส่งผลดีด้าน SEO กับคำค้นที่เป็นภาษาของประเทศหรือภูมิภาคนั้น ๆ
2.ชื่อโดเมนที่เป็น gTLD จะส่งผลดีด้าน SEO กับการค้นหาโดย Search Engine ทั่วโลก
3.โดเมนที่ใคร ๆ ต้องการ และได้รับความนิยมสูง คือ .com รองมาคือ .net และ .org ตามลำดับ
4.โดเมนที่จดทะเบียนมาแล้วหลาย ๆ ปี จะมีผลดีด้าน SEO มากกว่าโดเมนที่เพิ่งจดทะเบียนใหม่
5.การตั้งชื่อโดเมนให้ตรงกับคำค้น จะทำให้ผลลัพธ์จากการค้นหาโดย Search Engine อยู่ในตำแหน่งที่ดี
ศัพท์น่ารู้

IP Address คือ หมายเลขที่ตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

โครงสร้างไดเรคทอรี่ และการตั้งชื่อไฟล์สำหรับการทำ SEO

เคยสังเกตบ้างไหมครับ ว่า การตั้งชื่อไฟล์ และ ไดเรคทอรี่ มีผลกับการทำ SEO ด้วย ถ้าผมจะเน้น Keyword คำว่า “SEO Tool“ ลองเปรียบเทียบระหว่าง

A. http://seo.siamsupport.com/seo-tool.htm
B. http://seo.siamsupport.com/seo_tool.htm
C. http://seo.siamsupport.com/seo-tool.php
D. http://seo.siamsupport.com/seo_tool.php
E. http://seo.siamsupport.com/seo-tool/
F. http://seo.siamsupport.com/seo_tool/
G. http://seo.siamsupport.com/index.php?page=seo-tool
H. http://seo.siamsupport.com/seo/tool/

คุณคิดว่าแบบไหน Search Engines จะชอบมากกว่ากันครับ ในความคิดส่วนตัวของผม Search Engines น่าจะชอบแบบ H. และรองมาคือ E. F. A. B. C. D. G. ตามลำดับ

เป็นที่น่าสังเกตว่าโดยปกติแล้วชื่อโดเมน ไม่สามารถตั้งให้มีเครื่องหมายขีดล่างได้ แต่การตั้งชื่อไฟล์โดยปกติแล้ว นักพัฒนาเว็บไซต์ หรือ นักพัฒนาโปรแกรม มักใช้เครื่องหมายขีดล่าง คั่นระหว่างคำ (ผมสังเกตจากเว็บไซต์ทั่ว ๆ ไป นะครับ) เพราะเครื่องหมายขีดกลาง โปรแกรมบางประเภทมองเป็นค่าพารามิเตอร์ อ่านแล้วอาจจะ งง ใช่ไหมครับ สรุป คือ นอกจากแบบ H. แล้ว ความคิดส่วนตัวของผม (ย้ำว่าส่วนตัวจริง ๆ นะครับ) การแบ่งคำควรใช้ขีดกลางมากกว่าขีดล่างครับ

ศัพท์น่ารู้


•ไดเรคทอรี่ หรือ โฟลเดอร์ คือ แฟ้มสำหรับจัดเก็บเอกสารในระบบคอมพิวเตอร์
•ไฟล์ คือ เอกสารในระบบคอมพิวเตอร์

หมายเหตุ: ท่านใดมีความเห็นแตกต่างกับผม รบกวนช่วยบอกเหตุผลที่แตกต่างด้วยครับ Blog นี้ผมเปิด Comment ให้ (ขอสงวนสิทธิ์เฉพาะผู้ที่ Comment แล้วเป็นประโยชน์เท่านั้น)

Metadata Elements หรือ Meta Tag?

Metadata Elements หรือ Meta Tag คือ ส่วนของซอร์สโค๊ดที่อยู่ใน Head (ส่วนหัว) ของเอกสาร HTML โดยปกติเมื่อเราเปิดหน้าเว็บไซต์หนึ่ง ๆ ขึ้นมา ส่วนของ Head จะถูกประมวลผลก่อน ดังนั้น Meta Tag จึงเป็นส่วนที่บอกคุณลักษณะของเว็บนั้น ๆ ว่าเป็นเว็บเกี่ยวกับอะไร แสดงผลด้วยภาษาอะไร ใครเป็นผู้เขียน มีคำค้นที่ใช้ว่าอะไร เป็นต้น

ซึ่ง Robot ของ Search Engine จะเก็บข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการประมวลผลจัดเก็บเว็บไซต์ เรามาทำความรู้จักกับ Meta Element แต่ละ Tags กันดีกว่าครับ ผมจะใช้ความรู้สึกของผมในการวัดว่า Tags ใด มีผลกับการทำ SEO มากหรือน้อยในวงเล็บหลังหัวข้อนะครับ (ซึ่งไม่จำเป็นต้องเชื่อผมก็ได้)

Title Element - Page Titles (มีผลกับการทำ SEO มาก)
ใช้สำหรับบอกว่า หน้าเว็บไซต์ที่กำลังแสดงผลอยู่มีหัวข้อว่าอะไร เช่น
SEO - Meta Tags

Meta Description Tag (มีผลกับการทำ SEO ปานกลาง)
ใช้สำหรับแสดงรายละเอียดสั้น ๆ ของหน้าเว็บไซต์ที่กำลังแสดงผลอยู่ ไม่ควรเขียนให้สั้น หรือ ยาวจนเกินไป ข้อความที่เขียนควรสัมพันธ์กับเนื้อหาของหน้านั้น ๆ ด้วยนะครับ เช่น


Meta Keywords Tag (มีผลกับการทำ SEO ปานกลาง)
ใช้สำหรับระบุคำค้น ที่สามารถเข้ากันได้กับเนื้อหาในหน้าเว็บนั้น ๆ สามารถใส่ได้หลายคำ และแบ่งคำโดยใช้เครื่องหมายจุลภาค ( , ) เช่น


Meta Language Tag (มีผลกับการทำ SEO มาก)
ใช้สำหรับระบุว่า หน้าเว็บไซต์นั้น ๆ มีเนื้อหาเป็นภาษาอะไร เช่น


Meta Content Type Tag (มีผลกับการทำ SEO มาก)
ใช้สำหรับระบุว่า หน้าเว็บไซต์นั้น ๆ สามารถแสดงผลได้ถูกต้องด้วยชุดตัวอักษรแบบใด และเป็นเอกสารประเภทอะไร เช่น


Meta Revisit-After Tag (มีผลกับการทำ SEO ปานกลาง)
ใช้สำหรับบอกกับ Robot ของ Search Engine ว่า ให้มาเก็บข้อมูลอีกครั้งในอีกกี่วันข้างหน้า เช่น


Meta Robots Tag (มีผลกับการทำ SEO มาก)ใช้สำหรับบอก Robot ของ Search Engine ว่าให้ Robot เก็บข้อมูลในหน้านั้นไป Indexs หรือไม่ หรือ ให้ Robot เดินทางไปตาม Links ที่ปรากฎในหน้านั้น ๆ หรือไม่ เช่น


นอกจากข้างต้นแล้ว ยังมี Meta Element อีกหลาย Tags ซึ่งผมจะไม่ขอกล่าวถึงครับ เพราะไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่อง SEO ขอให้ทุกท่านสนุกกับการปรับแต่ง Header ของเอกสาร HTML เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการทำ SEO นะครับ

Link Popularity คือ อะไร

ผมฟังจากการบอกต่อ ๆ กันมาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ว่า การทำ SEO นั้นหัวใจอยู่ที่ Link Popularity ซึ่งในบทความนี้ เราจะมาพูดเรื่องของ Link Popularity กันครับ

Link Popularity คือ อะไร (What is Link Popularity ?)
Link Popularity คือ จำนวนหน้าเว็บที่ Links เข้ามาในหน้าหนึ่ง ๆ ของเว็บไซต์ พูดง่าย ๆ คือ จำนวน Links นั่นเอง ไม่มีความหมายใด ๆ แฝงอยู่

ประเภทของ Link Popularity (Type of Link Popularity)
Link Popularity สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

•One-Way Links หรือ 1-Way Links คือ การ Links แบบทางเดียว เช่น เว็บไซต์ A ทำ Links ไปที่เว็บไซต์ B แต่เว็บไซต์ B ไม่ต้องทำ Links กลับไปเว็บไซต์ A
•Two-Way Links หรือ 2-Way Links คือ การ Links แบบสองทาง เช่น เว็บไซต์ A ทำ Links ไปที่เว็บไซต์ B และ เว็บไซต์ B ต้องทำ Links กลับไปหาเว็บไซต์ B ด้วย
•Three-Way Links หรือ 3-Way Links คือ การ Links แบบสามทาง เช่น เว็บไซต์ A ทำ Links ไปที่เว็บไซต์ B แต่เว็บไซต์ B ให้เว็บไซต์ C ทำ Link กลับไปหาเว็บไซต์ A แทน
ซึ่งการทำ One-Way Links และ Three-Way Links ตามตัวอย่างข้างต้น จะส่งผลดีให้กับเว็บไซต์ B มากกว่าการทำ Two-Way Links ในมุมมองของ SEO

ประโยชน์ของ Link Popularity (Benefit of Link Popularity)

1.การที่มี Links เข้าหาเว็บไซต์มาก ทำให้โอกาสที่ Robot ของ Search Engine เข้ามาเก็บข้อมูลในเว็บไซต์มีมาก
2.เพิ่มโอกาส และ จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์
3.เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์

On-Pages Factor คือ?

ถ้าพูดกันถึงเรื่องการทำ SEO คงมีหลายครั้งที่มีคนพูดถึง Factor หรือ ปัจจัยต่าง ๆ ของการทำ SEO
ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ On-Page Factor และ Off-Page Factor

On-Pages Factor คือ ทุกสิ่งที่ Search Engine สามารถมองเห็นจากเว็บไซต์ เช่น
เนื้อหา หัวเรื่อง การเชื่อมโยง เป็นต้น เหมือนกับที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้จากโปรแกรม Text Browser
ซึ่งในการทำ On-Page Factor ควรคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ดังนี้

1.ที่ Title Tag ควรใส่คำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาภายในหน้าเอกสารนั้น ๆ เช่น ถ้าเนื้อหาของหน้าเว็บนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกร้อน ควรใช้ Title ว่า “โลกร้อน”
2.ควรวางขอบเขตของเนื้อหาในเอกสารแต่ละหน้า เช่น ถ้าต้องการเขียนเรื่องข้อมูลภาพยนตร์ ก็ไม่ควรให้มีข้อมูลอื่น ๆ เช่น เล่นเกม ฟังเพลง ปนอยู่
3.การสร้าง Links ควรเชื่อมโยงไปที่หน้าเอกสาร ที่เกี่ยวกับข้อความที่ปรากฎใน Links เช่น การทำ HyperLinks ที่ข้อความว่า “ภาพยนตร์” ก็ควร Links ไปในหน้าที่มีข้อมูลภาพยนตร์ ไม่ควร Link ไปในหน้าที่มีเนื้อหาอื่น ๆ เช่น เนื้อเพลง หรือ กลอน
4.พยายามจัดกลุ่มของเนื้อหา และการเชื่อมโยงต่าง ๆ ให้สามารถเข้าถึงได้ง่าย
5.พยายามตั้งชื่อไฟล์ให้สอดคล้องกับหัวข้อของเนื้อหาภายในหน้าเอกสาร

Off-Pages Factor คือ สิ่งต่าง ๆ ที่ Search Engine ไปพบเจอมา ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฎอยู่ในหน้าเอกสารเว็บไซต์ ดังเช่น

•การทำ Sitemap
•การเพิ่ม Link Popularity
•การเพิ่มรายชื่อเว็บไซต์ใน Directory Listing
•การทำ Social Networking


สรุป On-Page Factor คือ การ Optimisation เนื้อหาภายในหน้าเว็บให้มีความเหมาะสมกับการทำ SEO (หลาย ๆ คนบอกว่าเป็นปัจจัยภายใน) ส่วน Off-Page Factor คือ การ Optimisation สิ่งที่ไม่ใช่เนื้อหาของเว็บไซต์ (หลาย ๆ คนบอกว่าเป็นปัจจัยภายนอก) ซึ่งปัจจัยทั้งสองนี้มีความสำคัญทั้งคู่ ควรปรับแต่งให้เหมาะสมไปพร้อม ๆ กันครับ

Google Pagerank หรือ PR คือ?

Google Pagerank หรือ PR คือ ค่าลำดับคะแนนที่ Google ประเมินให้กับคุณภาพของเนื้อหา ในหน้าเว็บเพจแต่ละหน้า ที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ (หลาย ๆ คนอาจเข้าใจผิดว่า Pagerank คือ การประเมินคะแนนของทั้งเว็บไซต์ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดนะครับ) โดยคะแนนที่ปรากฎจะอยู่ในช่วงระหว่าง 0 ถึง 10 สำหรับหน้าเว็บเพจที่ไม่มีค่า Pagerankระบบจะแจ้งเป็น “No PageRank information available”


จะสามารถตรวจสอบค่า Pagerankได้อย่างไร ?ค่า Pagerankสามารถตรวจสอบได้โดยใช้ Google Toolbar (สามารถ Download ได้ที่ http://toolbar.google.com/) ใช้ได้กับทั้ง Microsoft Internet Explorer และ Mozilla FireFox ซึ่งเมื่อติดตั้งแล้วจะมีแถบวัดค่า Pagerank แสดงผลลัพธ์ของแต่ละหน้า เมื่อเรียกดูหน้าเว็บเพจนั้น ๆ ผ่านโปรแกรม Web Browser

มีเว็บไซต์ไหนบ้างที่มีค่าคะแนน Pagerank สูง ๆ
เว็บไซต์เหล่านี้ จากการตรวจสอบ ณ. เวลาปัจจุบันมีค่า Pagerankสูงครับ (ทั้ง 3 เว็บเป็นเว็บที่มีความน่าเชื่อถือสูงมาก)

•http://www.adobe.com/ มีค่าคะแนน Pagerank 10
•http://www.w3.org/ มีค่าคะแนน Pagerank 10
•http://www.nasa.gov/ มีค่าคะแนน Pagerank 10


ทำอย่างไรจึงจะได้ Pagerank คะแนนสูง ๆGoogle มีการเปลี่ยนแปลงอัลกอลิธึมต่าง ๆ อยู่เสมอ และไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับสูตรการคิดคำนวนค่าคะแนน Pagerank ของหน้าเว็บเพจว่าคำนวนคะแนนอย่างไร แต่จากที่สังเกตในกลุ่มผู้สนใจ SEO ต่างมีความเชื่อว่าการทำเว็บให้เหมาะสมกับ Factor ต่าง ๆ ส่งผลให้ค่า Pagerank สูงขึ้น (สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับ On-Page Factor และ Off-Page Factor ได้ที่นี่) โดยเฉพาะ Link Popularity ที่เป็นหัวใจของ การทำ SEO ถ้าได้ Backlinks จากหน้าเว็บเพจที่มีค่าคะแนน Pagerank สูง จะส่งผลให้คะแนน Pagerank ของหน้าที่ถูก Links สูงขึ้นตามไปด้วย

ต้องรอนานแค่ไหนหน้าเว็บจึงจะมีค่าคะแนน Pagerank ?ปกติ Google จะอัพเดทค่า Pagerank ประมาณปีละ 3 - 4 ครั้ง การอัพเดทแต่ละครั้ง ไม่มีกำหนดการที่แน่นอน และการอัพเดทแต่ละครั้ง อาจทำให้ค่าคะแนนของหน้าเว็บเพจเปลี่ยนไปได้ ซึ่งอาจจะส่งผลให้หน้าเว็บเพจที่เคยมีค่าคะแนน Pagerank ถูกปรับคะแนนให้เท่าเดิม มากขึ้น หรือน้อยลง อยู่ที่สูตรการประเมินของการอัพเดทแต่ละครั้ง

Fake Pagerank ?แน่นอนครับ ถ้าผมเขียนเรื่อง Google Pagerank แล้ว ก็คงต้องเขียนถึงเรื่องการหลอกค่าคะแนน Pagerank หรือ ที่เรียกกันว่า Fake PR ด้วย ค่าคะแนน Pagerank สามารถหลอกได้ด้วยหรือไม่ ต้องขอตอบว่า “ได้ครับ” (แต่ไม่แนะนำให้ทำ เพราะไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ กับเว็บที่ทำเลย) วิธีง่ายที่สุดที่นิยมทำกันคือ ทำการ Redirect ให้ Google เข้าใจผิด และสับสนระหว่างการตัดสินใจให้คะแนนหน้าเว็บเพจ เช่น เว็บ sample.com ทำ redirect ไปที่หน้าเว็บของ google.com ค่าคะแนน Pagerank ที่ sample.com ได้อาจจะเป็นค่าคะแนนของ google.com แทน

มีวิธีตรวจสอบอย่างไร ว่า Fake Pagerank หรือไม่ ?วิธีตรวจสอบอย่างง่ายทำได้โดยตรวจสอบจากหน้าเอกสารที่ Google บันทึกไว้ โดยการค้นหาผ่าน Google Search Box ด้วยคำค้นตัวอย่าง เช่น cache:sample.com ให้สังเกตการแสดงผลของผลลัพธ์ที่ได้ ว่าตรงกับหน้าเว็บปัจจุบันของ sample.com หรือไม่ ถ้าไม่ตรงกัน (อาจจะมองเห็นเป็นคนละเว็บต่างโดเมนกันเลย) แสดงว่า Fake ครับ

สุดท้าย อย่ายึดติดกับค่าคะแนนของ Pagerank ครับ เพราะในปัจจุบัน Pagerank มีบทบาทและความสำคัญกับการทำ SEO น้อยมาก ๆ และดูเหมือนว่าจะไม่มีความสัมพันธ์กับอันดับผลลัพธ์จากการค้นหา (SERP) ใน Google Search แล้ว

หลักสูตรอบรมพัฒนาบุคลากร และผู้นำธุรกิจมืออาชีพ บริษัทปูแดง

หัวใจ คือ บุคลากร

นายธนพัทธ์ ยังกล่าวอีกว่า ความสำเร็จของการทำธุรกิจเครือข่าย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ที่สำคัญ คือ สินค้าต้องมีคุณภาพ แผนตลาดหรือแผนจ่ายผลตอบแทนที่เป็นธรรม มีการบริหารจัดการดี และผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ต้องเข้าใจจริง และรู้จริงในการดำเนินธุรกิจเครือข่าย โดยเฉพาะความเข้าใจในเรื่องของคน บริษัทจึงได้ให้ความสำคัญเรื่องของคนมาเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยเพราะการทำธุรกิจเครือข่าย หัวใจสำคัญ คือ การพัฒนาคน หมายถึง พัฒนาให้คนที่เข้ามาทำธุรกิจมีอาวุธติดตัว ที่เรียกว่า อาวุธทางปัญญา เพื่อการขับเคลื่อนธุรกิจจากคนสู่คน หรือที่เรียกว่า P to P (People to People) และเมื่อเกิด P to P แล้ว ก็จะเกิด B to B หรือ Business to Business ตามมา หมายถึง ธุรกิจต่อธุรกิจ เรียกว่า การทำธุรกิจก็จะเกิดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ ฉะนั้นนโยบายหลักสำคัญของบริษัท คือ การพัฒนาบุคลากร ซึ่งในปีนี้บริษัทตั้งเป้าสร้างผู้นำระดับมืออาชีพให้ได้ถึง 10,000 คน

สำหรับการพัฒนาบุคลากร หรือผู้นำธุรกิจนั้น นายธนพัทธ์ กล่าวว่า ได้แบ่งการฝึกอบรมออกเป็น 4 หลักสูตร ประกอบด้วย หลักสูตร

ขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นหลักสูตรการอบรมให้ความรู้ขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ แผนการตลาด และการทำธุรกิจเครือข่ายแบบง่ายๆ โดยมุ่งเปลี่ยนแนวคิดสมาชิก จากที่เคยทำงานประจำ หรือเคยทำธุรกิจอื่นๆมาก่อน ให้มีความเข้าใจว่า ธุรกิจเครือข่ายเป็นอย่างไร สามารถสร้างเงินแสนเงินล้านได้อย่างไร โดยหลักสูตรพื้นฐาน บริษัทจะจัดอบรม 1 ครั้งต่อเดือน และแต่ละครั้งมีสมาชิกเข้าอบรมกว่า 1,000 คน

ส่วนหลักสูตรที่ 2 จะพัฒนาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เป็นการอบรมผู้นำ หรือพัฒนาคนกลุ่มแรก ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรพื้นฐานแล้ว โดยจะอบรมเดือนละ 2 ครั้ง 2 รุ่นๆละประมาณ 300-400 คน เน้นการให้ความรู้ การเก็บรวบรวมรายชื่อกลุ่มเป้าหมาย การคัดคนเข้ามาเป็นสมาชิก หรือเข้ามาทำธุรกิจเครือข่าย การลอกเลียนแบบผู้นำที่ประสบความสำเร็จ รวมถึงการทำกิจกรรมร่วมกัน โดยหลักสูตรนี้ จะอบรม 2 วันต่อครั้งต่อเดือน

หลักสูตรที่3 ผู้เข้าอบรมจะต้องผ่านหลักสูตรที่ 2 มาก่อน เรียกว่า จะข้ามขั้นตอนการอบรมไม่ได้ โดยบริษัทจะบันทึกและลงทะเบียนทำประวัติสมาชิกไว้ทั้งหมด ส่วนการอบรมจะเน้นในเรื่องของการพูดในที่ชุมชน การพัฒนาบุคลิกภาพ การยืน การเดิน การถือไมค์ เรียกว่า ทำอย่างไรให้ผู้นำสามารถนำเสนอธุรกิจบนเวทีได้

ส่วนหลักสูตรสุดท้าย เรียกว่า การพัฒนาผู้นำไปสู่จุดสูงสุดของการเป็นนักพูด หมายถึง ต้องโมติเวทได้ ต้องโน้มน้าวจิตใจคนได้ หรือพูดอย่างไรให้คนคล้อยตามได้ พูดอย่างไรให้คนเชื่อได้ ซึ่งหลักสูตรนี้ จะอัดความรู้ใหม่ๆเข้ามาเยอะมาก และจะจัดอบรมรุ่นละไม่เกิน 30 คนเท่านั้น

"หัวใจธุรกิจ คือ การพัฒนาบุคลากร เพราะหากไม่พัฒนาคน ก็จะไม่มีผู้ทำธุรกิจแบบมืออาชีพ การทำธุรกิจก็จะไม่เกิด ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่สามารถต่อยอดการทำเครือข่ายให้กว้างไกลได้ หลังจบหลักสูตรที่ 4 แล้ว ปูแดงจะมีผู้นำที่มีความสามารถครบเครื่องเพิ่มขึ้นอีกรุ่นละ 30 คนเท่านี้ก็ถือว่า คุ้มค่าแล้ว"

เชิญท่านที่สนใจเข้าร่วมอบรมหลักสูตร ผู้นำมืออาชีพ สำรองที่นั่งได้เลยนะครับ โทร.083-0340025

ฉันกับเจ้านาย (ถูกต้องครับพี่ ดีครับท่าน)

ฉันกับเจ้านาย (ถูกต้องครับพี่ ดีครับท่าน)

วิธีใช้ twitter วิธีเล่น Twitter ทวิตเตอร์ Twitter ทำงานอย่างไร

Twitter หรือ ทวิตเตอร์ เป็นสังคมออนไลน์ เต็มรูปแบบเช่นกัน

“ทุก วันนี้เราสามารถอัพเดท ทวิตเตอร์ของเราได้ตลอดเวลา ผ่านเครื่องไม้ เครื่องมือต่างๆ เช่น มือถือ นั่นหมายถึงว่า…ไม่มีคอมพิวเตอร์ก็แต่งเติมเสริมข้อมูลลงไปได้”

คำถามมีว่า แล้ว…ควรอัพเดทอะไรในทวิตเตอร์?

“เรากำลังทำอะไรอยู่ ข้อนี้เป็นวัตถุประสงค์หลักของทวิตเตอร์ ที่ให้เราสามารถอัพเดทว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ได้” เก่งว่า

ใน มุมการตลาด การอัพเดทจะเป็นการเพิ่มความเป็นกันเองให้กับผู้ตามอ่านทวิตเตอร์ของเราได้ …ประสบการณ์ส่วนตัว เก่งเคยถามคำถามเข้าไปใน

ทวิตเตอร์ ในขณะที่กำลังไปเที่ยวต่างจังหวัด ว่าจะกินอะไรในจังหวัดนั้นดี? มีร้านไหนเด็ด?

ปรากฏว่า…มีเพื่อนๆมาตอบกันเต็มไปหมด…จะเห็นว่า การตั้งคำถาม

เข้าไปในสังคมออนไลน์ เป็นอีกจุดหนึ่งที่จะเชื้อเชิญให้คนเกิดการมีส่วนร่วม แสดงความคิดเห็นส่วนตัว

“ทวิตเตอร์ ก็คล้ายๆ กับบล็อก เพียงแต่ใส่ข้อมูลได้สั้นกว่า” เก่ง ว่า “ดังนั้นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็เป็นอีกมุมหนึ่งในการมีส่วนร่วมในทวิตเตอร์…แน่นอนว่า คนทุกคนก็มีมุมมองความคิดที่แตกต่างกันไป”

อีกมุมหนึ่ง ทวิตเตอร์…อาจใช้เล่าบรรยากาศการประชุมสัมมนา ประเด็นต่างๆที่บรรยาย เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่มีโอกาสเข้าร่วม ได้รู้ด้วยว่ามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นบ้าง

เทคโนโลยีของ ทวิตเตอร์ ไม่เพียงใช้งานง่าย ยังดัดแปลงไปใช้งานกับอุปกรณ์สื่อสารได้หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องเข้าไปในเว็บไซต์ twit-ter.com ก็ใช้งาน…ติดตามข้อความในทวิตเตอร์ได้

จากโทรศัพท์มือถือ ผู้ส่งข้อความ อาจส่งข้อความได้ไม่เกิน 140 ตัวอักษร แต่ข้อดีคือติดตามอ่านได้ทุกเวลา

ทวิตเตอร์ ถูกใช้ในการนัดชุมนุม เผยแพร่ข้อมูล ส่งที่อยู่เว็บฯที่มีการโพสต์ภาพ หรือวีดิโอคลิป เป็นหลักฐานแสดงถึงการใช้ความรุนแรงในการเข้าปราบปรามจากเจ้าหน้าที่รัฐ

Twitter ทำงานอย่างไร

Twitter(ทวิตเตอร์) เป็น เว็บที่ให้บริการเขียนBlogที่เมื่อเราสมัครเข้าเป็นสมาชิกแล้ว ก็จะมีBlogไว้เขียนบอกสถานะของตนเองให้กับคนอื่นได้ทราบ โดยBlogของ Twitterจะแตกต่างจากBlogทั่วๆไปก็ตรงที่เราสามารถโพสต์ข้อความได้ไม่เกิน 140 ตัวอักษรและสามารถที่จะส่งข้อความสั้นๆไปยังโทรศัพท์มือถือได้โดยที่ไม่ จำเป็นต้องเปิดอินเทอร์เน็ตเข้าอ่านเหมือนBlogทั่วไป ซึ่งก็คือข้อความสั้นๆ ที่จะบอกกับใครต่อใครว่า “ตอนนี้คุณทำอะไรอยู่” ศัพท์เทคนิคเค้าเรียกBlogแบบนี้ว่า Microblog (ไมโครบล็อค) ข้อดีของMicroblogก็คือ สั้น ง่าย และรวดเร็ว นั่นเองครับ

เราสามารถบอกสถานะของของเราให้กับเพื่อนทราบได้ด้วยกัน 4 ช่องทาง คือ

1. ส่งข้อความเป็นแบบSMS ข่าวดีก็คือข้อความที่โพสต์ในBlogเราสามารถกำหนดให้ส่ง SMS ได้ ฟรี! 13,000 Message ต่อปี อันนี้ สุดยอด!! มาก
2. ส่งข้อความด้วยโปรแกรมแชท (IM : Instant Messaging) ปัจจุบันใช้โปรแกรม Google Talk (GTalk) , Livejournal , jabber เป็นหลักครับ น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังไม่สนับสนุน MSN Messenger ไม่งั้นสนุกกว่านี้แน่
3. ส่งข้อความผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยโทรศัพท์มือถือ ในGPRS (อันนี้เสียตังค์)
4. ด้วยการเข้าไปเขียน-ข้อความในTwitterของเราเองในเว็บไซต์

วิธีสมัคร Twitter

1. เข้าไปที่เว็บ www.twitter.com

2. คลิกปุ่ม Get Started-Join

3. กรอกแบบฟอร์มรายละเอียดให้ครบ ดังนี้
- Username : ตั้งชื่อ Twitter ของเรา ถ้าชื่อนั้นๆ ยังไม่มีคนอื่นเอาไปก็จะขึ้นตัวหนังสือสีเขียวว่า Available
- Password : รหัสผ่านเข้าใช้ Twitter ความยาวไม่ต่ำกว่า 6 ตัวอักษร
- Email Address : ต้องเป็นอีเมล์จริงเท่านั้นครับ แนะนำว่าถ้าเป็น GMail ได้ จะดีที่สุด
- Humanness : ในตัวอักษรที่แสดงขึ้นมาให้ถูกต้อง สำหรับTwitter จะใส่ตัวอักษร 2 คน และต้องเว้นวรรคด้วยนะค่ะ เช่นคำว่า considered to ดังรูปตัวอย่าง
- คลิกเครื่องหมายถูกเลือก I want the inside scoop-please send me email updates!
เรียบร้อยแล้วคลิกปุ่ม I accept Create my account.

4. คลิกปุ่ม Skip เพื่อข้ามขั้นตอน Add เพื่อนไปก่อนค่ะ

5. ในช่อง What are you doing? ให้พิมพ์อะไรก็ได้ค่ะ ไม่เกิน 140 ตัวอักษร เพื่อบอกกล่าวกับบริการ Twitter ว่า เรามาใช้บริการแล้ว พิมพ์เรียบร้อยแล้วก็ให้คลิกปุ่ม update ได้เลยค่ะ

6. เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการสมัครค่ะ หากต้องการ ออกจากการใช้ Twitter ก็คลิกปุ่ม Sign out ได้เลยค่ะ

7. ถึงตอนนี้เราก็จะมีบล็อก Twitter ไว้ใช้เรียบร้อย เราสามารถเข้าไปอ่าน Twitter ของเราหรือของเพื่อนๆ ได้โดย พิมพ์ http://twitter.com/ชื่อTwitter ดังรูป

ทีนี้ก็ Login เข้าไปลองโพสต์เล่นดูได้เลยค่ะ บทความตอนหน้าจะมาเล่าวิธีใช้งานเจ้า Twitter แบบมันส์ๆให้ฟังกันค่ะ

คลิกดูรูปที่นี่

เล่น Facebook ยังไงให้โปร (เล่น hi5 ก็อ่านได้นะ)

เล่น Facebook ยังไงให้โปร (เล่น hi5 ก็อ่านได้นะ)

แบบว่าไปเจอบทความนี้มาน่าสนใจดีครับเพราะว่า facebook ก็ได้รับความนิยมมากไม่แพ้กับ Hi5 เลยแม้แต่น้อย (แต่ผู้เขียนไม่ได้เล่นทั้ง facebook และ hi5 ครับ เพราะเล่นไม่เป็น ไม่รู้จะเอาอะไรขึ้นไปโชว์บ้าง ฮิ ๆๆๆ) แบบว่าสนใจเรื่องพวกนี้อยู่ก็เลยนำมาให้อ่านกันครับ คงมีแฟน facebook และ Hi5 เข้ามาอ่านบ้างแหล่ะไช่ป่าวครับ เริ่มกันเลยดีกว่าครับ

พอดีเข้าไปดูเว็บต่างประเทศ มีคนนึงเขียนไว้เรื่อง 12 Ways to Use Facebook Professinally เห็นว่าน่าสนใจและมีประโยชน์ดีก็เลยเอามาอ้างอิงและดัดแปลงนิดหน่อย เพื่อให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันนะครับ จริงๆ เค้าเขียนมา 12 ข้อ แต่ผมตัดไป 2 ข้อที่คิดว่าค่อนข้างจะไกลตัวเรานิดนึง เอาเป็นว่าถึงแม้คุณจะไม่มีเฟซบุ๊ค หลักการพวกนี้ก็ใช้ได้กับทุกๆ เว้บ social network เลยแหละ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า

1. คิดซะว่าหน้าโปรไฟล์มันเป็นห้องนอนของเรา – เวลาไปบ้านใครๆ ที่ไหนใหม่ เราทุกคนก็คงจะชอบสังเกตใช่มั้ยครับ ว่าท่านเจ้าของบ้านแต่ละท่านนั้นมีรสนิยมเป็นอย่างไรกันบ้าง หรือเวลามีแขกมาเยี่ยมบ้านเรา เราก็คงจะต้องทำความสะอาดกันเป็นพิเศษนิดนึง คุณจะต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่าหน้าโปรไฟล์ของคุณนั้นเปรียบได้กับที่สาธารณะ และมันบ่งบอกถึงความเป็นตัวเรามากกว่าที่เราคิดนะครับ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่คุณกำลังอ่าน (ถ้าคุณมี apps พวก Books iRead) เพลงที่คุณเลือกมาเปิด (ด้วยโปรแกรม iLike) รูปที่คุณเลือกมาใส่ slideshow หรือ apps ที่โชว์ของสะสมของคุณ หรือของที่คุณอยากได้ หลักการง่ายๆ ก็คือ โชว์เฉพาะสิ่งที่คุณอยากให้คนอื่นเห็น และซ่อนอย่างอื่นซะ

2.มีเพื่อนเยอะไว้ไม่เสียหาย – เฟซบุ๊คสามารถ search ใน address book ของแต่ละอีเมล์ที่เราใช้อยู่ไม่ว่าจะเป็น gmail, hotmail, yahoo ซึ่งปกติเรามักจะมีรายชื่อเพื่อนที่ไม่ค่อยเหมือนกันหรือไม่ก็มีการอัพเดทอยู่เรื่อยๆ ลองให้เฟซบุ๊คค้นดูใน address book พวกนั้นทุกๆ 2 – 3 เดือนดูสิ อาจจะพบเพื่อนที่คุณไม่คาดคิดมาอยู่ในลิสท์ได้อีกเยอะเลย

3. มีเพื่อนมากไปก็ไม่ดี – ท่องเอาไว้ว่ารายชื่อเพื่อนในเฟซบุ๊ค หรือ hi5 ของคุณไม่ใช่สมุดสะสมสตีกเกอร์ ที่พอมีเยอะๆ แล้วจะเอาไปแลกรางวัล (จำขนมโดเรมอนตอนเด็กๆ ที่สะสมสติ๊กเกอร์ดรากอนบอลเอาไปแลกเครื่องแฟมิคอมได้ปะครับ….ใครรุ่นเดียวกะผมยกมือขึ้น!!!) คุณไม่ควรจะมีนิสัยแอ็ดทุกคนที่ขอเป็นเพื่อน ผมเดาว่าจากรายชื่อเพื่อนกว่า 3.496 รายชื่อของคนบางคน คุณอาจจะคุยเป็นประจำกับเพื่อนแค่ 15 คนก็ได้ เวลาคนแปลกหน้าขอแอ็ดมาแล้วไม่อนุญาต ก็ไม่ต้องกลัวเค้าเสียใจหรอกครับ เพราะว่าหนึ่งในนั้นอาจจะเป็นมิจฉาชีพที่จะเข้ามาเพื่อหวังอะไรไม่ดีกับคุณก็ได้ แล้วก็อย่าลืมตั้งค่า Privacy ไม่ให้คนนอกเห็นข้อมูลส่วนตัวของคุณด้วย (ดูวิธีในบทความที่ผ่านมานะครับ)

4.เลือกลง apps ดีๆ อันไหนที่ไม่เล่นก็ลบออกซะบ้าง – เนื่องจากเฟซบุ๊คมี applications ให้คุณเลือกลงเป็นพันๆ ยังไม่นับที่เพื่อนๆ คุณหวังดี (อย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ) ส่ง invite มาให้อีกวันละหลายสิบ คุณไม่จำเป็นต้องลงทั้งหมดก็ได้ครับ อันไหนคิดว่าไม่น่าสนใจก็ ignore ไปเถอะ เพื่อนคุณเค้าไม่น้อยใจหรอก แล้วก่อนที่จะลง apps อะไรก็อ่านรายละเอียดเค้าซะหน่อย ว่ามันใช่อย่างที่คุณต้องการหรือเปล่า

นอกจากนี้บางคนอาจจะไม่รู้มาก่อนก็ได้ว่า apps บางตัวที่คุณลงไว้เพื่อใช้ประโยชน์คนเดียว คุณสามารถเซ็ทให้มันไม่ต้องแสดงผลในหน้าโปรไฟล์ของคุณได้นะครับ เพื่อป้องกันไม่ให้มันรกหน้าจอ บางคนมี apps เป็นสิบ แล้วดันเอา wall ไปไว้ล่างสุด กว่าจะไปโพสได้นี่ต้องมานั่งเลื่อนจอกันจนเมื่อยมือไปหมด

ที่สำคัญที่สุด อันไหนไม่ได้ใช้ก็ลบๆ ไปเถอะครับ คุณจะได้หน้าโปรไฟล์ที่ดูสะอาดสะอ้าน น่าเข้ามาเยี่ยมชมขึ้นมาเยอะเลย ผมรับรอง

5. เขียนบล็อกอยู่แล้วใช่มั้ย จับมาอยู่ในเฟซบุ๊คด้วยซะเลย – ข่าวดีของบล็อกเกอร์ทั้งหลาย มี apps หลายตัวที่พร้อมจะรับ RSS Feed จากบล็อกของคุณ (ถ้าบล็อกของคุณซัพพอร์ทนะ) มาแสดงผลในหน้าโปรไฟล์ของคุณอย่างอัตโนมัติ ทีนี้คุณก็สามารถโปรโมทบล็อกของคุณให้กับเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊คได้สบายๆ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย

6.ตั้งค่ารับ News Feed ให้แจ่ม – ปกติเวลาเรา login เข้ามาในหน้า home เราจะพบกับ News Feed ที่เป็นรายงานอัพเดทของเพื่อนๆ แต่ละคน ซึ่งมีเยอะมาก บางอันก็น่าสนใจ บางอันก็ไม่อยากรู้ อ่านกันไม่หวาดไม่ไหว แต่ถ้าจะไม่อ่านก็กลัวจะตกข่าว วิธีแก้ง่ายๆ เพียงแต่คุณเข้าไปเซ็ทว่าคุณอยากรู้เรื่องอะไรเป็นพิเศษและไม่อยากรู้เรื่องอะไร เฟซบุ๊คเค้าก็จะจัดหาให้คุณตามนั้นเลยครับ

7.อย่าลืมเซ็ทค่า Privacy ด้วยล่ะ – อันนี้ไม่พูดอะไรมาก เข้าไปดูบทความที่เขียนไว้แล้วที่นี่เลยครับ

8.ตั้ง group ร่วม group หาความรู้และเพื่อนใหม่ๆ – นี่อาจจะเป็นพื้นที่ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊คหลายคนไม่เคยเข้าไปยุ่งเลยก็ได้ แต่คุณรู้มั้ยว่ามี group ตามหัวข้อความสนใจต่างๆ ในเฟซบุ๊คจำนวนมหาศาล ทั้งมีสาระและไร้สาระ อย่างล่าสุดก็มีกลุ่มที่นักศึกษา ABAC ตั้งขึ้น เพื่อไว้อาลัยให้กับอาจารย์ที่กระโดดตึกตายเมื่ออาทิตย์ก่อน คุณสามารถทำอะไรก็ได้กับ group พวกนี้ ตั้งขึ้นมาตามความสนใจ อาจจะใช้เป็นพื้นที่แชร์ลิงค์สำหรับดาวน์โหลดสารพัด (ไม่ได้ชี้ช่องนะ แต่มันทำได้จริง) เป็นกลุ่มทำรายงานส่งครู หรืออะไรก็ตามแต่คุณจะสร้างสรรค์

9.จำกัดเวลาเล่นดีๆ นะ – ความมหัศจรรย์ของเฟซบุ๊คคือคุณสามารถนั่งเล่น แต่งโน่นแต่งนี่ไปเรื่อยๆ, เข้าไปอ่านประกาศขายของ, หาเพลงฟัง, เล่นเกมส์คนเดียวได้ทั้งวันทั้งๆ ที่คุณไม่มีเพื่อนอยู่ในเฟซบุ๊คเลย แต่มันก็จะทำให้คุณเสียเวลาได้มากๆ เช่นเดียวกันครับ เพราะฉะนั้นจัดเวลาดีๆ บางคนตั้งใจจะเข้าไปเช็คข้อความแป๊บเดียว ปรากฎว่าหาทางออกกันไม่เจอ อยู่ในนั้นเป็นชั่วโมงกันไป วิธีนึงที่ใช้ได้ดีในกรณีที่คุณมีอุปกรณ์พวกมือถือหรือ PDA ที่ท่องเว็บได้ ให้เข้าที่ m.facebook.com ซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นเล็กของเฟซบุ๊คที่คุณสามารถทำอะไรเบสิคๆ ได้ทั้งหมด ขณะที่อยู่บนรถไฟฟ้า หรือว่างๆ ไม่มีอะไรทำ รับรองคุณจะเล่นไม่นานหรอก เพราะว่าจอมันเล็กมากๆ แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าจะพลาดข้อความสำคัญที่คนโพสมาถึงคุณด้วย

10.ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็เข้าไปดูหน้า Marketplace กับ Events ซะหน่อย อาจจะมีอะไรน่าสนใจก็ได้ – สองที่นี้เป็นอีกที่ๆ ที่คนไม่ค่อยรู้จักครับ หลายครั้งมีกิจกรรม คอนเสริ์ตดีๆ มาโพสท์ หรือประกาศขายของมือสองบางอย่างที่ถูกอย่างไม่น่าเชื่อ ผมก็เจอมาแล้ว ไม่เชื่อลองเข้าไปดูสิ

หวังว่าจะไม่ยาวจนเกินไปนะครับ แต่คิดว่าเทคนิคพวกนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ เล่นเฟซบุ๊คได้สนุก และมีสาระขึ้นเยอะทีเดียวเพื่อนๆ คนอื่นถ้าใครมีเทคนิคอะไรอย่างอื่น ที่คิดว่ามีประโยชน์อยากจะแบ่งปันกันก็สามารถมาโพสท์ได้ในเว็บบอร์ดของเรานะครับ ผมอยากจะหาคนอื่นๆ มาช่วยสร้าง content ตรงนี้เหมือนกัน เพราะเขียนอยู่คนเดียวไม่ไหวแน่ๆ สนใจติดต่อมาเลยครับที่ webmaster@facebookgoo.com อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปเพื่ออ่านมันได้ สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ!

facebook วิธีใช้ facebook เทคนิคการใช้ facebook

facebook วิธีใช้ facebook เทคนิคการใช้ facebook

อะไรหนอ facebook

รู้จักเว็บ social network ไหม หลายคนอาจสงสัยเว็บแบบไหนหนอ ก็ เว็บแนว hi5 ที่เล่น ๆกัน อยุ่นั่นแหละ แล้วรู้จัก facebook ไหม face คือเป็นเว็บไซท์ที่คุณสามารถสร้างหน้าโปรไฟล์ facebook หรือข้อมูลของคุณเอง และนำไปเชื่อมโยงกับ

หน้าโปรไฟล์ facebook ของคนอื่นๆ เพื่อให้คุณสามารถมีปฎิสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นได้ ส่วนจะทำอะไรได้บ้างนั้นก็ขึ้นอยู่กับบริการของเว็บแต่ละห้อง เช่นเข้าไปดูรูปของเพื่อน เขียนไดอารี่ให้คนอื่นเข้ามาอ่าน ส่งข้อความส่วนตัว เขียนข้อความลงบนพื้นที่ในหน้าของเพื่อน ฟังเพลง ส่งเพลงให้กัน ท้าดวลเกมส์ ฯลฯ ซึ่งคุณสามารถส่งข้อความพูดคุยกับเพื่อนตัวต่อตัว หรือจะส่งข้อความหาเพื่อนกลุ่มใหญ่ในครั้งเดียวก็ทำได้ทั้งนั้น โดยจุดเด่นของการสื่อสารผ่านเว็บพวก social network นี้คือเราไม่จำเป็นต้องมานั่งรอเพื่อนของเราออนไลน์พร้อมกันเพื่อจะพูดคุยเหมือนอย่างโปรแกรมพวก msn ทำไมต้องเล่น facebook รู้ไหม ในต่างประเทศ เฟซบุ๊ก ดังกว่า hi5 เอามากเลยล่ะ เว็บ facebook หาเพื่อน มี app ให้เล่นมากมาย มีเกมส์ ต่าง ๆ

วิธีใช้งาน เฟซบุ๊ก เหรอ ก่อนอื่นคุณต้องเข้าไปที่ http://www.facebook.com ซึ่งเป็นเว็บหลักของเฟซบุ๊ค ในหน้าแรกจะมีช่องให้คุณ Sign up ก็ให้คุณกรอกข้อมูลของคุณลงไป ได้แก่ชื่อ อีเมล์ที่ติดต่อได้ของคุณ และตั้งพาสเวิร์ดที่จะใช้สำหรับเข้าใช้งาน สุดท้ายก็ระบุวันเดือนปีเกิด แล้วก็ ไปเล่นกันเลย ลองเล่นกัน ดูก่อนนะครับ


แอดเพื่อน ชวนเล่น facebook (เฟซบุ๊ก ) จะทำยังไง

ตอน สมัครเข้าไปหลัง comfirm แล้วจะเข้าไปเจอหน้า
ค้นหาเพื่อนที่อยู่บน Facebook แล้ว

ยินดีต้อนรับ ชื่อ ผู้ เล่น facebook! บัญชีผู้ใช้ของคุณถูกสร้างเรียบร้อยแล้ว.

Facebook จะช่วยให้คุณสามารถสื่อสารเชื่องโยงเพื่อน ครอบครัว และเพื่อนร่วมงานของคุณได้ง่ายขึ้น เพียงคุณทำตามขั้นตอนง่ายๆ ข้างล่างนี้ เพื่อค้นหาคนที่คุณรู้จักใน Facebook แห่งนี้

ค้นหาเพื่อนโดยใช้สมุดรายชื่ออีเมลของคุณการค้นหาสมุดรายชื่ออีเมลเป็นวิธีที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุดในการค้นหาเพื่อนบน Facebook


ระบบจะพาคุณกลับไปยังเว็บไซต์ของ Yahoo เพื่อป้อนอีเมลและรหัสผ่านของคุณลองหาดูว่าเพื่อนจาก AOL Instant Messenger หรือ Windows Live Messenger คนไหน ใช้ Facebook บ้าง

ก็ให้ใส่ email (อีเมลล์)กับ password (พาสเวิร์ด) ของคุณลงไป จะแอดเพื่อนในลิสให้คุณหรือถ้าคุณข้ามขั้นตอนนี้ไป ก็ให้เข้าตามลิ้งนี้

http://www.facebook.com/gettingstarted.php?#/findfriends.php?ref=nur

ค้นหาคนที่คุณรู้จักใน Facebookเพื่อนของคุณทุกๆคนบน Facebook ต่างก็เป็นเหมือน เพื่อน คนรู้จัก หรือ ครอบครัว ที่คุณสามารถจะติดต่อกันได้ในโลกแห่งความเป็นจริง คุณสามารถใช้เครื่องมือในหน้านี้เพื่อค้นหาเพื่อน

มีให้เลือกว่า จะ ค้นหาเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมปลาย ค้นหาเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยหรือ ค้นหาเพื่อนร่วมงาน

หรือเลือกแบบ อัพโหลดรายชื่อผู้ติดต่อ

อัพโหลดรายชื่อผู้ติดต่อจากโปรแกรม Outlook โดยอัตโนมัติ
หากคุณใช้ Microsoft Outlook คุณสามารถถ่ายโอนข้อมูลเข้ามายัง Facebook ได้โดยอัตโนมัติ

อัพโหลดไฟล์รายชื่อผู้ติดต่อ
อัพโหลดไฟล์รายชื่อ แล้วเราจะบอกคุณว่ามีใครบ้างในรายชื่อที่เล่น Facebook อยู่

ง่าย ๆแค่นี้ คุณก็จะชวนเพื่อนมาเล่น facebook ทีล่ะเยอะ ๆ ได้แล้ว

จัดการโปรไฟล์ให้เนี้ยบ

ทันทีที่คุณมีเฟซบุ๊คของตัวเองไว้ใช้งาน อย่างแรกที่คุณต้องทำหลังจากนั้นก็คือการใส่ข้อมูลของตัวคุณเอง เพื่อให้คนที่เข้ามาเยี่ยมดูหน้าโปรไฟล์ได้รู้จักกับคุณมากขึ้นไงครับ วันนี้เรามาดูกันแบบเบสิคที่สุดเลยละกันนะครับ เพราะว่าเรายังคงอยู่ในหัวข้อมือใหม่

ก่อนอื่นเราต้องเข้าไปที่เมนู Edit Profile ทางซ้ายมือนะครับ พอคลิกไปแล้วก็จะเห็นเป็นหน้าต่างตามรูปข้างล่าง พร้อมกับมีแท็บเมนูย่อยๆ ได้แก่ Basic information, Personal information, Contact information, Education and Work (ดูตามภาพละกันนะครับ)



เรามาดูกันไปทีละข้อเลยดีกว่า เพื่อให้สมกับเป็นบทความเพื่อมือใหม่อย่างแท้จริง

Basic Information – ข้อมูลพื้นฐานนะครับ คุณควรจะระบุเพศของคุณ (มีให้เลือกสองอย่างเท่านั้น), วันเกิด ซึ่งคุณสามารถเลือกได้ว่าจะให้แสดงในหน้าโปรไฟล์หรือเปล่า หรือแสดงเฉพาะวันกับเดือน (ไม่ระบุปี), บ้านเกิดเมืองนอน, Relationship Status - มีแฟนหรือยัง กิ๊กกะใครอยู่ ก็ใส่กันไปตรงนี้ แถมยังสามารถใส่ชื่อแฟนของเราเพื่อแสดงความสุจริตใจได้ด้วย (ถ้าแฟนเรามีเฟซบุ๊คด้วย ก็จะลิ้งค์ไปหาโดยอัตโนมัติ) นอกจากนี้ก็ยังสามารถระบุว่าคุณสนใจจะคบหาเพื่อนใหม่ ชายหรือหญิง เพื่อสานต่อความสัมพันธ์กันในรูปแบบไหนนะครับ รวมทั้งเรื่องมุมมองทางการเมือง และศาสนา
คุณไม่จำเป็นจะต้องกรอกทุกอย่างนะครับ สุดท้าย สำคัญมากๆๆๆ อย่างลืมคลิก Save Changes ก่อนจะเปลี่ยนไปหน้าต่อไป ไม่งั้นได้มานั่งกรอกกันใหม่แน่ๆ

Personal Information – ตรงนี้จะเป็นข้อมูลที่ทำให้เพื่อนๆ ของคุณรู้จักตัวคุณมากขึ้นนะครับ ใส่กันได้ตามสบายเลย ตามหัวข้อที่มีให้ ถ้าใครที่เคยเล่น hi5 คงจะคุ้นเคยดีกับข้อมูลพวกนี้ ที่สำคัญอย่าลืม Save Changes นะครับ (ขอย้ำอีกรอบ)

Contact Information – ก็จะเป็นข้อมูลสำหรับการติดต่อ ไม่ว่าจะเป็นอีเมล์, IM (คือพวก msn, ICQ, Skype อะไรพวกนี้), เบอร์โทรศัพท์, ที่อยู่ และเว็บไซท์ส่วนตัวของเราครับ ในตรงส่วนนี้เราควรจะให้เฉพาะข้อมูลที่คิดว่าสบายใจนะครับ เพราะจำเอาไว้ว่าทุกอย่างที่อยู่บนอินเตอร์เน็ตนั้นไม่มีความลับ อะไรที่ส่วนตัวมากๆ ก็ระวังๆ กันนิดนึง แต่ยังไงก็ตามเพื่อความสบายใจ คุณสามารถตั้งค่าได้ว่าคุณจะแสดงข้อมูลอะไรบ้างในหน้าโปรไฟล์ของคุณและกำหนดสิทธิ์ให้ใครสามารถจะเห็นอะไรได้ โดยคลิกที่รูปกุญแจเล็กๆ ที่อยู่ทางขวามือของแต่ละหัวข้อ

Education and Work – สถาบันการศึกษาของคุณและที่ทำงานของคุณ จะช่วยให้เพื่อนๆ หาคุณได้ง่ายขึ้น ซึ่งถ้าสถาบันของคุณยังไม่มีคนใส่ชื่อไว้ คุณก็สามารถเพิ่มเข้าไปได้เลย โดยคลิกที่ Add another school

มาถึงตอนนี้คุณก็เกือบพร้อมจะประกาศตัวตนของคุณให้โลกรู้แล้วครับ เอ…ยังขาดอะไรอีกล่ะ.. ใช่แล้วรูปเท่ๆ ที่จะใส่เป็น Profile Picture ของคุณยังไงล่ะ เรามาดูกันเลยที่หัวข้อต่อไป

อัพโหลดรูป Profile ให้แจ่ม

ในกรณีที่คุณเพิ่งสมัครและยังไม่เคยอัพโหลดรูปของคุณมาก่อนเลย ให้คุณดูที่ด้านซ้ายมือที่เป็นรูปเงาคนเปล่าๆ จะมีตัวเลือกให้คุณอยู่ข้างล่างว่า


1. Upload a profile picture - ซึ่งเมื่อคุณคลิกเข้าไปก็จะมีหน้าต่างใหม่ขึ้นมาให้คุณเลือกรูปเท่ๆ ของคุณใส่เข้าไปได้เลย

2. Take a webcam piture - หรือถ้าอยาก create อะไรใหม่ๆ และมั่นใจหน้าตาตัวเองบนเ็ว็บแคม ก็สามารถคลิกที่นี่เพื่อให้กล้องเว็บแคมของคุณจับภาพสดๆ ขึ้นไปเป็น profile picture ได้เหมือนกัน

หรืออีกกรณีที่คุณเคยอัพรูปขึ้นไปแล้ว แต่อยากจะปรับเปลี่ยนรูป เปลี่ยนแอคชั่นใหม่ๆ ไม่อยากจำเจกับรูปเดิมๆ ก็ทำได้ง่ายๆ เช่นกันครับ โดยในหน้า Profile ของคุณ ให้คลิกที่รูปของคุณจะมีเมนูเล็กๆ เขียนว่า Change picture เมื่อคุณคลิกลงไปก็จะเกิดเป็นเมนูย่อยๆ ตามนี้

คุณก็สามารถเปลี่ยนรูปโดยเลือกว่าจะ

upload picture - คืออัพรูปใหม่จากคอมพ์ของคุณเข้าไป หรือว่า

Take a Picture - ให้เว็บแคมถ่ายภาพใหม่ของคุณ

Choose from Album - เลือกรูปจากอัลบั้มที่คุณเคยอัพโหลดเอาไว้แล้ว

Edit Thumbnail - จัดการเรื่องการ crop ภาพให้อยู่ในมุมที่ดูพอดี

Remove Picture - เอาภาพออกเฉยๆ

แค่นี้เอง เล่น facebook ง่ายนิดเดียวใช่มั้ยครับ

วิธีอัพรูปขึ้น facebook

จะว่าไปแล้ว จุดประสงค์การใช้งานยอดฮิตอีกอันนึงของเว็บพวก social network ที่เพื่อนๆ ใช้กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็น hi5, multiply หรือ facebook นั่นก็คือการที่เราได้มีโอกาสอัพโหลดรูปสวยๆ หล่อๆ ของตัวเองขึ้นไปอวดโฉมให้กับเพื่อนๆ ได้ดูกันบนโลกออนไลน์นั่นเอง ซึ่งสำหรับ facebook เองนั้นก็นับว่าตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ดีทีเดียวครับ เนื่องจากว่ามีวิธีการในการอัพโหลดรูปขึ้นไปได้มากมายหลายวิธีให้เราเลือกกันได้ตามถนัดเลย วันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าวิธีไหนสะดวกสบายและเหมาะกับเราที่สุด


วิธีที่ 1 - เป็นวิธีที่พื้นฐานและตรงไปตรงมาที่สุด ก็คือการโำพสรูปจากหน้า profile ใน facebook ของเราเอง ซึ่งก็มีวิธีง่ายๆ ตามขั้นตอนแบบนี้

1.login เข้า facebook ของเรา แล้วคลิกมาที่หน้า profile นะครับ
2.ตรงด้านบนๆ เหนือกล่องที่ใช้อัพเดทสถานะของเรา จะเห็นคำว่า Add Photos อยู่เมื่อคลิกเข้าไปก็จะเห็นตัวเลือก 3 ตัวตามนี้นะครับ (ดูตามรูปเลย)


- Create Album: ถ้าเพื่อนๆ มีรูปเยอะๆ อยากจะอัพโหลดทีนึงเป็นชุดก็ต้องเลือกอันนี้ก่อนเลย โดยก่อนอื่นเราจะต้องใส่ชื่อ Album, ระบุ Location ซะนิดนึง, แล้วก็คำบรรยายนิดหน่อย รวมถึงยัง set ได้อีกซะด้วย ว่าอัลบั้มของเราจะให้ใครเห็นได้บ้าง เสร็จแล้วก็คลิกคำว่า Post ด้านล่างขวา ก็จะนำเราไปสู่หน้า uploader ให้เราเลือกไฟล์ที่อยากจะอัพโหลดตามใจชอบได้ทีละหลายๆ ไฟล์พร้อมกัน เสร็จแล้วก็คลิก upload ก็เสร็จสิ้นพิธีการ

- Post a Photo: อันนี้สำหรับคนที่แค่อยากจะโพสท์รูปเดี่ยวๆ ลงโชว์บน Wall เป็นเหมือนคอมเม้นท์สำหรับตัวเองให้คนอื่นเข้ามาดูกันง่ายๆ ก็คลิก Post a Photo แล้วก็กด Browse เพื่อเลือกไฟล์ เขีัยนคำอธิบายรูปซะหน่อย แล้วก็กด Post ซะ รูปสวยๆ ของเราก็จะมาโผล่อยู่ในหน้า Wall ของตัวเองซะแล้ว อ้อ… รูปที่เราโพสท์ไว้ด้วยวิธีนี้เนี่ยจะถูกจัดเก็บอยู่รวมกันในอัลบั้มที่ชื่อว่า Wall Photos นะครับ

- Take a Photo: วิธีนี้ก็สำหรับคนมั่นใจว่าหน้าตาดี (และกล้่องเว็บแคมดี) ไม่เน้นปรุงแต่ง ให้คุณสามารถโหลดภาพสดๆ จากกล้องของคุณลง facebook กันเลย ก็แค่คลิกที่ Take a Photo เว็บแคมก็จะจับภาพของคุณ โพสท่าให้สวยๆ แอ๊บแบ๊วกันให้สุดๆ แล้วก็กด post ได้เลยเหมือนกัน


วิธีที่ 2 - สำหรับคนใช้ firefox จะมี plugin ตัวนึงชื่อว่า fireuploader ซึ่งเป็นอีกตัวนึงที่ผมใช้เป็นประจำเวลาอัพโหลดซึ่งนอกจากจะอัพโหลดรูปขึุ้น facebook แล้วยังสามารถอัพโหลดไปยังเว็บอื่นๆ เช่น Youtube, Flickr, Webshots, Picasa, etc. ได้อีกด้วย ต้องลองใช้กันดูครับ ตัวนี้ดีจริงๆ ขอยืนยัน


วิธีที่ 3 - Mobile application คนที่ใช้ iPhone จะได้เปรียบมากๆ ตรงนี้ครับ เนื่องจากใน iPhone เองนั้นก็มี facebook application ที่ดีมากๆ (ผมเองก็เคยแต่เล่นของเพื่อน แหะๆ) ซึ่งทำได้แทบจะทุกอย่างเหมือนเล่นบนเว็บหลักเลย โดยเฉพาะการอัพโหลดรูปที่ถ่ายสดๆ จาก iPhone ขึ้นเว็บทันที ส่วนคนที่ใช้มือถืออื่นๆ นั้นก็พอมีทางออกอยู่บ้างครับ อย่างค่าย Palm ก็มี facebook application เหมือนกัน (ซึ่งผมก็ใช้อยู่) ซึ่งก็สามารถถ่ายรูปอัพโหลดขึ้นสดๆ ได้เหมือนกัน เสียแต่ว่ากล้องในตัวเครื่องมันไม่ค่อยจะเวิร์คเท่าไหร่ หรือทาง Windows Mobile ก็จะมี application อยู่หลายตัวเช่น FriendMobilizer ที่ทำงานได้คล้ายๆ กัน


วิธีที่ 4 - สำหรับชาวแม็ค อันนี้เป็นเรื่องง่ายมากๆ คุณสามารถอัพโหลดภาพของคุณจาก iPhoto ขึ้นไปบน facebook ได้ทันทีเหมือนกันโดยติดแต่ง plugin เสริมเข้าไป อันนี้ผมไม่แน่ใจว่า iLife เวอร์ชั่นล่าสุดจะมีอันนี้มาให้ในตัวเลยรึเปล่านะครับ คุ้นๆ ว่าเป็นยังงั้น


วิธีที่ 5 - ใช้ Application ต่างๆ ที่มีคนทำออกมา เช่น Simple Photo Uploader, Bloom และยังมีตัวอื่นๆ อีกถ้าเราลอง search ดูใน Google อันนี้บอกตามตรงว่ายังไม่เคยลองใช้ครับ แต่ถ้าเพื่อนๆ คนไหนลองแล้วได้ผลยังไงลองมารายงานให้ฟังกันบ้างจะเป็นประโยชน์มากเลย


วิธีที่ 6 - ส่งรูปขึ้น facebook ทาง MMS อันนี้ยังไม่เปิดใช้ในประเทศไทยนะครับ แต่สำหรับประเทศอเมริกาและอังกฤษ คุณสามารถส่ง SMS และ MMS เพื่อใช้ในการอัพเดทและอัพโหลดรูปของคุณลง facebook ได้เลยเช่นกัน


วิธีที่7 - อันสุดท้ายนี้ขอแถมให้อีกอันนึง เนื่องจากเป็นความชอบส่วนตัว เว็บ Picnik เป็น web application ที่ผมใ้ช้ประจำและสมัครสมาิชิกมาประมาณปีนึงแล้วครับตั้งแต่เปิดตัวใหม่ๆ ข้อดีของมันก็คือ มันเป็นโปรแกรมตกแต่งรูปภาพออนไลน์ที่สามารถดึงรูปที่คุณเซฟไว้ในที่ต่างๆ หลายๆ ที่เช่น Picasa, flickr, webshot, facebook รวมถึงคอมพ์ของคุณเอง เอามาตกแต่งและเซฟกลับไปที่ไหนก็ได้ เช่นคุณดึงรูปใน Picasa ของคุณมาตกแต่ง ปรับสี ใส่กรอบ ใส่เอ็ฟเฟ็คท์ แล้วเซฟกลับไปใน facebook หรือดึงรูปใน facebook ของคุณมาแชร์ใน flickr ได้เช่นกัน สะดวกมากๆ ครับ


ข้อมูลจาก facebookgoo.com

6 วิธี ใช้ประโยชน์จาก Twitter และ 10 ทิปใช้ twitter

6 วิธีใช้ประโยชน์จาก Twitter และ 10 ทิปสำหรับใช้งานทวิตเตอร์ได้คล่องขึ้น
http://www.hmu111.com/general-information/6-twitter-10-tips.html

เขียนอะไรใน Twitter ประโยชน์ของ twitter

เขียนอะไรใน Twitter ประโยชน์ของ twitter
http://itshee.exteen.com/20090531/twitter

10 วิธีที่นักการตลาดใช้ Twitter วิธีใช้ twitter ทำตลาด ใช้ twitter ขายสินค้า

10 วิธีที่นักการตลาดใช้ Twitter วิธีใช้ twitter ทำตลาด ใช้ twitter ขายสินค้า
http://www.pccompete.com/blog/10-ways-marketers-can-use-twitter/

Twitter ภาษาไทย ลูกเล่น twitter และวิธีใช้งาน twitter

Twitter ภาษาไทย ลูกเล่น twitter และวิธีใช้งาน twitter
http://forums.thaisecondlife.net/index.php?topic=1329.0

twitter วิธีใช้ twitter วิธีเล่น twitter ใช้ยังไง ?

twitter วิธีใช้ twitter วิธีเล่น twitter ใช้ยังไง ? ให้มีสาระ
http://lublog.in.th/2009/05/how-to-twitter/

twitter คืออะไร twitter ทำงานยังไง
http://twitter.kapook.com/