วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ไขปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย

มนุษย์และสัตว์มิได้สิ้นสุดที่ความตาย เพราะการ "ตาย" หมายถึง สภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่จิตวิญญาณใช้งานต่อไปได้อีก วิญญาณยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้ว ทั้งนี้สภาพการตายจะบ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั้นไปสุคติหรือลงสู่นรกภูมิ

1. ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ
2. ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว
3. ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์ 4 ชนิด สังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง

เมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้ จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท

- ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่)
- หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตาย หูจะชันขึ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย
- จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนัน ชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมาก วิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ
- ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอด จะเกิดเป็นสัตว์น้ำ ไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก


เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน?

ดวงวิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่


วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี

โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์ หรือเรียกว่า "อนันตริยกรรม" มีอยู่ 5 อย่าง คือ
1.ฆ่าพ่อ
2. ฆ่าแม่
3. ฆ่าพระอรหันต์
4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก
5. ทำร้ายพระพทุธเจ้าห้อเลือด

หลังจากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้ว เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย 7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี ในระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับงานศพ

เรามาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพังเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น

เจ็ดวันรอบแรก
วิญญาณผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึง ก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัว กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวทูตคอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉย ไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย

เจ็ดวันรอบที่ สอง
เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่าน เมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานี และยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้เวลานั้น ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย

เจ็ดวันรอบที่ สาม
เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้ และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรม ยามมีชีวิตทำชั่วอะไร ภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ เสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิด ตอนนี้แต่ก็สายเสียแล้ว ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึง จะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆ และพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด

เจ็ดวันรอบที่ สี่
เมื่อมาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทอง การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์

เจ็ดวันรอบที่ ห้า
วิญญาณผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลาน คนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตน ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีก ได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์

เจ็ดวันรอบที่ หก
เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชี ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิต หลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให??ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา

เจ็ดวันรอบที่ เจ็ด
เมื่อวิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่า ผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกิเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว.

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้น เร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลก ตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฏแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ...

อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ส่งต่อ

อย่ารังเกียจ.การทาน..กระเทียม

อย่ารังเกียจ...กระเทียม

กระเทียมแม้จะก่อกลิ่นปาก แต่กระเทียมก็มีคุณมหันต์ทีเดียว "น.พ.มาศ ไม้ประเสริฐ" แห่งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ชี้ให้เห็นคุณค่าของมัน กระเทียมจัดเป็น "ราชาแห่งสมุนไพร" ที่มีคุณประโยชน์มหาศาล ซึ่งเรารู้จักกันมาช้านานแล้ว

เพราะในกระเทียมประกอบไปด้วยสารออกฤทธิ์ที่สำคัญ
มี "ไดซัลไฟด์" ช่วยลดระดับ "คอเลสเตอรอล" และ "LDL" (ไขมันชนิดไม่ดี) ในเส้นเลือด

มี "ซีลีเนียม" เป็นสารแอนติออกซิแดนต์ที่ทำหน้าที่ต่อต้าน "อนุมูลอิสระ" ช่วยชะลอความแก่ และช่วยควบคุมการทำงานของร่างกายมนุษย์ให้อยู่ในภาวะปกติและภาวะโรคข้ออักเสบ

มี "กำมะถัน" ช่วยป้องกันโรคผิวหนังหลายชนิด ช่วยบำรุงข้อต่อ และกล้ามเนื้อ

มี "อัลลิอิน" คุณสมบัติเป็นยาปฏิชีวนะ ช่วยออกฤทธิ์ต่อต้านการเกิดเซลล์มะเร็งตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

มี "อัลลิซิน" ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ออกฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียแบบอ่อน ๆ ช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อเนื่องจากอาหารไม่ย่อย ออกฤทธิ์ต้านอาการอักเสบ และลดอาการอักเสบ ช่วยป้องกันโรคหวัดและไข้หวัดใหญ่

และยังมีสารออกฤทธิ์อื่น ๆ อีกมากมาย เช่น เยอร์มาเนียม (ยับยั้งเซลล์มะเร็ง) สกอร์คินิน (คล้ายโสม) อะโจอิน แกมมา-กลูตามิลเปปไทด์ กลูทาไทโอน แคลเซียม ทองแดง เหล็ก โพแทสเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส เกลือ วิตามินเอ วิตามิน บี 1 และวิตามินซี

คุณประโยชน์ของกระเทียมมีมากมาย เช่น
ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ลดคอเลสเตอรอล ลดความดันโลหิตสูง มีสารระงับการแข็งตัวของเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ลดอัตราเสี่ยงหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ป้องกันและรักษาโรคโลหิตจาง เพราะมีสารต้านเม็ดเลือดแดงแตก

ต่อระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ อาการน้ำมูกไหล เยื่อบุจมูกอักเสบ ไซนัส บรรเทาอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง หอบหืด ป้องกันหวัด

ต่อระบบทางเดินอาหาร ปรับระดับน้ำตาลในเลือด (อัลลิซิน กระตุ้นการหลั่งของอินซูลินได้มากขึ้น) ทำให้มีการใช้น้ำตาลในกระแสเลือดได้มากขึ้น ช่วยขับลม แก้จุกเสียดแน่น แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ กระตุ้นน้ำย่อยอาหาร เพิ่มความอยากอาหาร ส่งเสริม การย่อย บรรเทาท้องผูก แก้โรคท้องเสีย ลำไส้อักเสบ ช่วยตับในการขับสารพิษ ยา สารเคมีต่าง ๆ

ต่อระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ บำรุงข้อต่อและกล้ามเนื้อ (กำมะถันเป็นสารที่สำคัญเกี่ยวกับความเหนียว และแข็งแรงของเนื้อเยื่อ) มีสารต้านไขข้ออักเสบ โรคข้อรูมาติสม์

ต่อระบบผิวหนัง (ผม-เล็บ) ป้องกันและรักษากลาก เกลื้อน รักษาผื่นแผลพุพอง เป็นตุ่มหนองง่าย แก้ปัญหาผมสีเทาบาง ยาวช้า

ต่อระบบประสาท แก้อาการวิงเวียนสมอง มึนงง หูอื้อ ปวดศีรษะ นี่แหละ แม้จะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่ก็มีคุณอนันต์จริง ๆ

รู้ทันวัฒนธรรมการทำงานเยอรมัน

เป็นประเทศใจกลางทวีปยุโรป นับว่าน่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประเทศอื่นใด

เพราะนอกจากเยอรมันจะเป็นตัวจุดกึ่งกลางระหว่างยุโรปตะวันออกและตะวันตกแล้ว ยังเชื่อมยุโรปเหนือกลุ่มสแกนดิเนเวีย และยุโรปใต้ติดทะเลเมดิเตอเรเนียนอีกด้วย

ประวัติศาสตร์ของเยอรมันนับว่าเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมัน เดิมเป็นแคว้นหนึ่งของโรมัน ต่อมาได้แยกตัวเป็นจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ Holy Roman Empire และจึงเปลี่ยนชื่อเป็น "เยอรมนี" โดยพระเจ้าไกเซอร์แห่งปรัสเซีย และใช้ชื่อนี้จนถึงปัจจุบัน

เมื่อพิจารณาข้อมูลทางการค้ากับประเทศไทย เยอรมันนับเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญเป็นอันดับหนึ่งของไทยกับกลุ่มประเทศยุโรป และเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่บริษัทข้ามชาติชั้นนำอย่าง BMW และ SIEMEN

เยอรมันยังเป็นสถานที่สำคัญในการจัดนิทรรศการทางการค้านานาชาติ เรียกว่าสองในสามนิทรรศการการค้าของโลกจะต้องจัดที่นี่ หากจะเมียงมองถึงโอกาสในการส่งออกสินค้า นำเสนอโปรโมชั่นการท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งขยายเครือข่ายความสัมพันธ์ การเข้าร่วมงานนิทรรศการเหล่านี้ ถือว่าเป็นเรื่องคุ้มค่า

สิ่งที่ท้าทายในการติดต่องาน หรือร่วมงานกับชาวเยอรมัน คงไม่พ้นเรื่องภาษา การใช้ภาษาเยอรมันได้เป็นเรื่องจำเป็นมาก เพราะเป็นทั้งภาษาราชการและเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ส่วนภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสนับว่าเป็นตัวช่วยในอันดับสอง และสามตามลำดับ

หากได้มีโอกาสติดต่องานหรือ ร่วมงานกับชาวเยอรมัน สิ่งที่พึงตระหนัก คือ คนเยอรมันมีแนวโน้มจะรักษาความลับยิ่งชีพ ไม่นิยมเปิดเผยข้อมูล แม้จะทำงานในองค์กรเดียวกันก็ตาม

ในด้านระบบการคิด ก็จะมีกระบวนการคิดวิเคราะห์ที่เป็นเหตุผล ยึดข้อมูล ข้อเท็จจริง และไม่นิยมเรื่องราวหรือข้อมูลที่เสริมแต่งเกินจริง

และหากรู้สึกว่าชาวเยอรมันเข้าถึงยาก แม้จะร่วมงานกันไปได้พักใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ประหลาดใจเลยค่ะ เพราะคนเยอรมันมีแนวโน้มจะพัฒนาความสัมพันธ์อย่างช้าๆ ทว่าลึกซึ้ง และช่างเลือกอย่างหาตัวจับยาก

ชาวเยอรมันยังขึ้นชื่อเรื่องการเป็นนักเจรจาต่อรองที่แข็งแกร่งไม่ใช่เล่น บนโต๊ะการเจรจาต่อรอง ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญจำเป็นไม่ยิ่งหย่อนกว่าการควบคุมอารมณ์และการแสดงออกทั้งคำพูดและภาษากาย เพราะการใช้อารมณ์นับเป็นเรื่องยอมรับไม่ได้และไม่เป็นมืออาชีพอย่างยิ่ง

และแม้การตัดสินใจสำคัญทางธุรกิจ จะใช้เวลาในการไตร่ตรอง แต่เมื่อตัดสินใจแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยน ในการปฏิสัมพันธ์ หรือสื่อสารอย่างไม่เป็นทางการ ควรเลือกเรื่องราวเกี่ยวกับเศรษฐกิจ กีฬา หรือลมฟ้าอากาศ จะปลอดภัยว่าการพูดคุยเรื่องส่วนตัว หรือครอบครัว คนเยอรมันรักษาทั้งความลับและความเป็นส่วนตัวอย่างเข้มงวด เคร่งครัด จำเป็นต้องระมัดระวังไม่ล้ำเส้นโดยเด็ดขาด

แต่หากรู้สึกไปบ้างว่าเพื่อนร่วมงานหรือผู้ที่ติดต่อธุรกิจด้วยออกจะตรงไปตรงมา ถึงขั้นสำนวนบ้านเราที่ว่าขวานผ่าซาก ก็อย่าได้เก็บมาเป็นประเด็น เพราะเป็นลักษณะร่วมที่พบได้บ่อย นอกจากจะตรงไปตรงมาแล้ว ยังไม่นิยมพูดตลกล้อเล่นในแวดวงสนทนาอีกด้วย

มีเกร็ดเล็กน้อยเรื่องการทักทาย แม้จะเป็นที่ทราบกันดีว่าชาวยุโรปจะจับมือกันในยากทักทายและจากลา แต่กับชาวเยอรมัน ควรก้มศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับจับมือด้วย และไม่ลืมที่จะแต่งกายแบบเรียบและอนุรักษนิยม จะสะท้อนความเป็นมืออาชีพมากกว่าการแต่งเชิงแฟชั่น หรือใส่เครื่องประดับที่เกินพอดี

ไม่ว่าโลกธุรกิจจะดำเนินไปสู่น่านน้ำสีใด เยอรมัน อันเป็นประเทศใจกลางยุโรปยังโลดแล่น ในบทเด่นบนเวทีการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หากคำนึงถึงการจับคว้าโอกาสความก้าวหน้าทางอาชีพใหม่ๆ ที่มีวิถีต่างไปจากรากวัฒนธรรมของเรา เมืองที่เป็นสวรรค์ของคอเบียร์อย่างเยอรมัน ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่ไม่น่ามองข้าม

ผู้นำ...ใครบอกว่าสร้างกันไม่ได้

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ กลับมาพบกับผม ดร.อนุพงศ์ อวิรุทธา กลับมาพบกันเหมือนเดิมน่ะครับในคอลัมน์คัมภีร์บริหารคนและงาน การสร้างภาวะผู้นำ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำและเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมาและประยุกต์ใช้เข้าด้วยกัน นอกจากนั้นจำเป็นต้องพัฒนาด้านจิต วิทยาที่เข้มแข็งควบคู่กันไปด้วย ซึ่งทักษะที่ดีของผู้นำนั้นต้องประกอบด้วยหลายๆ ด้าน อาทิเช่น

- ด้านธุรกิจ
- ด้านจริยธรรม
- ด้านทรัพยากรมนุษย์
- ด้านการสื่อสาร เป็นต้น

โดยหลักการสร้างภาวะผู้นำ ซึ่งผู้นำที่ดีนั้นต้องมีลักษณะที่ประกอบด้วย
- ผู้นำต้องสร้างคุณค่าของธุรกิจ (Business Value) และทำให้ทุกคนเข้าใจและศรัทธาในคุณค่านั้น
- ผู้นำต้องสร้างธุรกิจให้มีคุณค่ากับสังคม นอกจากนี้ยังต้องเน้นในด้านการให้ความสำคัญกับจริยธรรม คุณธรรมในการดำเนินธุรกิจ
- ผู้นำไม่จำเป็นต้องสร้างธุรกิจให้ใหญ่โต ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง พึงระลึกอยู่เสมอว่า Small but beautiful ธุรกิจขนาดเล็กแต่มีประสิทธิภาพจะทำให้โลกสวยงามได้ และสร้างกำไรที่เพียงพอกับความต้องการได้
- ผู้นำต้องกล้าคิดและกล้าทำ ควรใช้หลักการที่ว่า “คิดแบบเด็ก ทำแบบผู้ใหญ่” เนื่องด้วย เด็กมีจินตนาการ ผู้ใหญ่มีกระบวนการทำงาน
- ผู้นำต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยต้องสอดคล้องกับแนวคิด

4ร คือ
- ริเริ่ม การที่ผู้นำนั้นจำเป็นต้องเป็นคนที่มีความคิดหลายทิศทางที่นำไปสู่กระบวนการคิดในสิ่งที่แปลกใหม่อันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม องค์กร หรือสังคม
- รุก ผู้นำจำเป็นที่จะต้องเข้าใจในสถานการณ์ว่าเมื่อใดถึงจังหวะที่จะต้องรุกเพื่อชิงความได้เปรียบทางการแข่งขัน ตอกย้ำภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและเป็นหนึ่งขององค์กร
- รับ ในขณะเดียวกันผู้นำก็จำเป็นที่จะต้องเตรียมแผนสำหรับการตั้งรับและมองให้รอบทิศว่าเมื่อใดคู่แข่งจะทำการโจมตี ด้วยวิธีการใด เพื่อองค์กรจะสามารถวางแผนในการรับมือได้อย่างเหมาะสม
- รักษา มีคำกล่าวที่ว่าการได้มานั้นยังไม่ได้หมายถึงความสำเร็จ แต่การรักษาสิ่งที่ได้มานั้นเป็นตัวตอกย้ำถึงความสำเร็จ ดังนั้นการรักษาตำแหน่งทางการแข่งขัน ภาพลักษณ์ความเป็นเลิศ ให้คงอยู่กับองค์กรนั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ผู้นำต้องรับผิดชอบอย่างหนัก

- ผู้นำต้องเป็นคนที่สะท้อนตัวตนของธุรกิจ (ผู้นำ เป็นอย่างไร องค์กรเป็นอย่างนั้น)
- ผู้นำต้องวางตำแหน่งของธุรกิจ (Business Position) และต้องเข้าใจความเสี่ยงของธุรกิจ และทำให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจตรงกัน
- ผู้นำต้องทราบถึงขนาดของธุรกิจที่ควรจะเป็น (Economy of Scale) รู้จังหวะเวลาว่าเมื่อใดควรขยายตัว หรือปรับตัว
- ผู้นำต้องมีความเชื่อและศรัทธาต่อทีมงาน ซึ่งจะทำให้เล็งเห็นถึงทายาทรุ่นถัดไป นอกจากนี้หากขาดความศรัทธาต่อทีมงาน จะไม่มีเวลาไปสร้าง สรรค์เรื่องอื่น
- ผู้นำต้องแปรแรงกดดันที่องค์กรได้รับ ให้กลายเป็นการสร้างแรงกดดันที่ท้าทายขององค์กร (Good Pressure)

การสื่อสารขององค์กรต้องมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ทั้ง 4 ด้าน
- สื่อสารถึงเจ้านาย
- สื่อสารถึงลูกน้อง
- สื่อสารถึงเพื่อนร่วมงานทั้งสองด้าน

ผู้นำต้องสร้างบันดาลใจให้เกิดขึ้น (Inspiration) และให้บุคลากรทุกคนสนุกกับงานและการ สร้างแรงบันดาลใจ
- ผู้นำต้องนำองค์กรอย่างมั่นคงรู้ถึงการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ก้าวทีละเล็กๆ แต่ก้าวบ่อยๆ ปัจจัยที่สำคัญมากของผู้นำอีกประการหนึ่ง คือ Passion และคุณสมบัติของผู้นำประกอบด้วย
- หมั่นขวนขวายหาความรู้อยู่เสมอๆ เพื่อทำให้ท่านชำนาญและเชี่ยวชาญในศาสตร์หลายแขนงและรู้เท่าทันเหตุการณ์ในรอบด้าน
- มีเทคนิคการสื่อสาร นอกจากทักษะในการสื่อสารที่ดีแล้วนั้น ผู้นำหรือผู้บริหารยังจำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึงเทคนิคต่างๆ เพื่อที่จะใช้ได้เหมาะสมในแต่ละเหตุการณ์ โดยแนวความคิดหลักๆ ของการใช้เทคนิคนั้นก็เพื่อก่อให้เกิดบรรยากาศของการสื่อสารที่ดีรวมทั้งให้มีบรรยากาศที่จูงใจให้คนอยากทำงาน เป็นสิ่งที่ ต้องให้ความเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดในการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมนานัปการ ตั้งแต่เรื่องที่มีความสำคัญในการจัดการกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่อาจจะมองข้ามความสำคัญไปได้ ฉะนั้นผู้บริหาร ที่ประสบความสำเร็จในการทำงานต้องเป็นนักสื่อสารที่ดี
- สร้างศรัทธา เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในฐานะของผู้บริหารที่เป็นหัวหน้า คือ นอก

จากคิดได้อย่างดี มองการณ์ไกลหรือมี visionary leadership แล้วยังจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากบุคคลภายนอกหน่วยงาน ส่วนลูกน้องคือคนที่เราต้องดูแลเขาเหมือนลูกเหมือนน้อง ซึ่งการทำงานให้ได้ผลดี ผู้บริหารต้องสร้างศรัทธาให้เกิดความยอมรับในตัวของเรา ให้ลูกน้องยอมรับเรา แสดงฝีมือให้เขาเห็นว่าเรามีฝีมือพอที่จะนำพาเขาและองค์การไปสู่สิ่งที่ดีได้ จะทำให้เขาพร้อมที่จะก้าวไปกับเราโดยที่ไม่ต้องไปบังคับเพราะใจเขาไปกับเราแล้ว

ประเภทของแชร์ลูกโซ่ และลักษณะของแต่ละประเภท

1.ระบบพีระมิด (Pyramid System) ระบบนี้เน้นการหาสมาชิกรายหัว ซึ่งรายได้ของคนที่มาก่อนมาจากการหาสมาชิกของคนใหม่ที่เกิดขึ้นในขั้น ฐาน หากเกิดการหาสมาชิกขาดช่วงลง สมาชิกที่มาก่อนจะเกิดผลกระทบในด้าน รายได้ทันที ซึ่งแตกต่างจากระบบ MLM ที่ถึงแม้สมาชิกจะเข้ามาไม่มากก็จ่ายผลประโยชน์ตามระบบได้ ไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนฐานแต่อย่างใด เพราะรายได้จะมาจากการขายสินค้าตัวเดิมให้ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือระบบพีระมิดนั้น คนที่เข้าร่วมธุรกิจก่อนจะได้เปรียบมากที่สุด คนที่เข้ามาทีหลังไม่มีโอกาสแซงได้เลย

2.ระบบลูกโซ่แบบรู้จบ (Enless Chain System) ระบบนี้เป็นระบบแชร์ลูกโซ่ดี ๆ แต่มีการจบของระบบ คือ การที่สมาชิกเข้ามาก่อนสามารถรับผลประโยชน์จากสมาชิกที่เข้ามาใหม่ แต่จำกัดลำดับขั้น ถ้าสิ้นสุดขั้นที่กำหนดก็ไม่มีสิทธิ์รับผลประโยชน์อีกสมาชิกในระดับถัดลงไปก็ขึ้นมารับผลประโยชน์ต่อเป็นรายต่อไป รายได้ส่วนใหญ่จึงมาจากสมาชิกที่เข้ามาใหม่ แต่กำหนดลำดับอย่างชัดเจน คือ เมื่อเข้ามาครั้งแรกต้องจ่ายให้กับลำดับที่เพิ่งจะมีรายได้ จนกว่าลำดับตัวเองจะถูกดันขึ้นไปรับผลประโยชน์ ข้อสังเกตก็คือระบบนี้ สมาชิกที่มาภายหลังจะเริ่มไต่อันดับขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฐานคนจะเริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ การหาสมาชิกจะไม่ทันท่วงทีของการที่จะรับรายได้

3.ระบบลูกบอลหิมะ (Snow Ball System) ระบบนี้คล้ายกับการ Trading ระบบเงิน คือ การลงหุ้นในด้านการเงินแล้วแต่สัดส่วนที่จะลงทุน ลงน้อยได้ผลตอบแทนน้อย ลงทุนมากได้ผลตอบแทนมากตามสัดส่วน การจ่ายผล-ประโยชน์มีเป็นงวดๆ ดังนั้น จะใช้เงินของนักลงทุน มาจ่ายให้กับคนที่ลงทุนก่อน หมุนเวียนไปเรื่อยๆ จนกว่ารอบที่สัญญาจะหมดไปคล้ายๆ กับลูกหิมะที่ตกจากภูเขาสูงจะหมุนตัวจากลูกเล็กๆ จนเป็นก้อนหิมะยักษ์ที่ถล่มหมู่บ้านให้พังพินาศได้เป็นแถบๆ

4.ระบบลูกโซ่ (Chain System) จริงๆ แล้ว ทุกระบบที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนเป็นหนึ่งของระบบลูกโซ่อยู่แล้ว ดังคำจำกัดความที่ให้ไว้ แต่จะมีลักษณะ เฉพาะที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่ละระบบ ระบบแชร์ลูกโซ่จะแตกต่างกับระบบข้างต้นก็คือ จะไม่มีการจำกัดระยะเวลาตอบแทน และส่วนใหญ่จะให้ข้อตอบแทนที่สูงมากเกินจากการลงทุนเป็นจำนวน 2-5 เท่าขึ้นไป 5. ระบบเกมการเงิน (Money Game System) ระบบเกมการเงิน คือ การใช้เงินต่อเงิน แต่มีเงื่อนไขในการแลกเปลี่ยน

5.ระบบเกมการเงิน (Money Game System) ระบบเกมการเงิน คือ การใช้เงินต่อเงิน แต่มีเงื่อนไขในการแลกเปลี่ยน เช่น การสมัครเข้ามาต้องจ่ายเงินให้ผู้แนะนำและหาสมาชิกให้ได้เท่าไหร่จึงจะมีค่าตอบแทน และการแตกตัวของสมาชิกในเครือข่ายก็จะส่งผลประโยชน์ให้กับสมาชิกระดับสูงตลอดไป ซึ่งระบบนี้จะมีลักษณะแผนและการตอบแทนใกล้เคียงกับระบบ MLM มาก แต่ไม่มีสินค้าเท่านั้นเอง ใช้เงินต่อเงินเลย หรือบางครั้งอาจใช้สินค้าชิ้นเล็กๆ บังหน้า หรืออาจเป็นบัตรส่วนลด บัตรอภิสิทธิ์ต่างๆ เช่น ระบบ Pentagono ที่มีคนนำมาเผยแพร่ในเมืองไทยเมื่อปลายปี 41 จากประเทศอิตาลี เป็นต้น

6.ระบบแชร์ลูกโซ่แบบไบนารี่กลายพันธุ์ จริงๆ แล้วระบบไบนารี่ เป็นระบบการตลาดใน MLM ระบบหนึ่ง แต่การนำเอาระบบไบนารี่ไปปรับปรุงเป็นแชร์ลูกโซ่นั้นทำได้ง่ายมากกว่าระบบอื่น เนื่องจากระบบไบนารี่มีลักษณะการดำเนินธุรกิจ คือ หาสมาชิก แล้วแบ่งซ้าย ขวา เพื่อให้เท่าๆ กัน ซึ่งเมื่อแปลงระบบการจ่ายเงินโดยมีสินค้า บังหน้าเล็กน้อยก็สามารถใช้เป็นระบบแชร์ลูกโซ่ได้อย่างแนบเนียทีเดียว

แชร์ลูกโซ่ต่างจาก MLM อย่างไร คือ หากเป็นแชร์ลูกโซ่ตรงๆ ไม่ปรุงแต่ง แปลงกายก็เป็นเรื่องที่ดูแล้วเข้าใจง่าย เพราะมีการล่าหัวคิวหรือลงทุนแล้วรอรับส่วนแบ่งกันตรงไปตรงมาแทบจะไม่มี สินค้าเป็นจริงเป็นจังมากนัก ในขณะที่อีกด้านหนึ่งการแฝงตัวเข้ามาอาศัยระบบ MLM หากินของบางกลุ่มบางบริษัทนั้น แนบเนียนเกินกว่าจะมองกันอย่างธรรมดาๆ แต่ต้องมองอย่างชนิดที่ต้องเรียกว่า แยกแยะกันเป็นส่วนๆ

เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ได้พัฒนาไปมากกว่าแชร์ลูกโซ่ธรรมดาด้วยการทำทีว่าเป็น MLM ของแท้แต่สร้างเงื่อนไขขึ้นมาใหม่ที่เป็นการเอารัดเอาเปรียบ ดูผิวเผินเหมือนไม่ใช่การระดมเงิน หรือหลอกล่อดึงผลประโยชน์ แต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นการดึงเม็ดเงินโดยผ่านกระบวนการสมาชิก ด้วยการจ่ายผลตอบแทนที่สูงเกินความเป็นจริงทางธุรกิจ เพราะไม่ได้มีเจตนาจะขายสินค้า อย่างเป็นธรรม จึงกลายเป็นกลุ่มที่ทำในรูปของระบบพีระมิดหรือแชร์ลูกโซ่