วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

ใบอนุญาติ สคบ. บริษัท นิวต้นกล้า จำกัด ตราปูแดง

ใบทะเบียนธุรกิจบริาษัท นิวต้นกล้า จำกัด ตราปูแดง

ราคาสินค้าปูแดงใหม่

‘ปูแดง’รีเทิร์น ส่ง ‘นิว ต้นกล้า’ นำพา ‘ปูแดง ไคโตซาน’ กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

‘ปูแดง’รีเทิร์น ส่ง ‘นิว ต้นกล้า’ นำพา ‘ปูแดง ไคโตซาน’ กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

พลิกประวัติศาสตร์วงการขายตรงไทย พลังเครือข่าย ปูแดง ไคโตซานเฮ!หลังบริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด ผ่าน สคบ.ฉลุย ด้าน 3 ผู้บริหารปูแดง สมปอง-ธนาพัทธ์-ดร.วิชาญยืนยันจับมือกันแน่น พร้อมประกาศนโยบายเดิม เพิ่มผลผลิต ปลดหนี้เกษตรกรนำผลิตภัณฑ์แบรนด์เดิม ปูแดง ไคโตซานเข้ามาจำหน่ายผ่านระบบเครือข่ายขายตรง ภายใต้ชื่อบริษัทใหม่ นิว ต้นกล้าพร้อมดัน ธนาพัทธ์ กิจใบนั่งแท่นประธานกรรมการ หลัง สคบ.อนุมัติออกใบอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างเป็นทางการแล้ว

คลายข้อสงสัยและไขข้อข้องใจ กรณีบริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือปูแดง ไคโตซานหลังถูกเพิกถอนใบอนุญาตไปกว่า 3 เดือน บัดนี้ได้ส่ง บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัดกลับคืนสังเวียนธุรกิจเครือข่ายหรือขายตรงอีกครั้ง เหตุสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โดยนายนิโรธ เจริญประกอบ เลขาธิการ สคบ. ในฐานะนายทะเบียน ได้เซ็นอนุมัติออกใบอนุญาตให้ ปูแดง ไคโตซานสามารถกลับมาประกอบธุรกิจเครือข่ายขายตรงได้อีกครั้ง ภายใต้ชื่อบริษัทใหม่ นิว ต้นกล้าจนเป็นที่มาของหลากหลายประเด็นคำถาม และข้อสงสัยตามมาว่า บริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ ปูแดง ไคซานสามารถเปิดดำเนินธุรกิจเครือข่ายขายตรงใหม่อีกครั้งได้หรือไม่...อย่างไร?

คำตอบ ก็คือ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด ไม่ได้กลับมาเปิดบริษัทใหม่ แต่ทีมผู้บริหารได้เปิดบริษัทใหม่ คือ นิว ต้นกล้าตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ในหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง เพื่อบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนที่ใช้ ปูแดงฯ เกือบ 1 ล้านคน

เรื่องนี้แม้ สคบ.เองก็เห็นด้วย หลังจากได้มีการสืบเสาะระดับหนึ่งพบว่า มีประชาชนเดือดร้อนจากการถูกปิดของ บริษัท เบสท์ 59 จำกัดจริง ด้วยความเข้าใจและเห็นใจ จึงเป็นเหตุให้สคบ.ต้องหันมาทบทวนการทำงานของตนเองที่ได้ปฏิบัติ การเชือดปูแดงฯ เมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่า อาจรุนแรงเกินไป

ไขข้อข้องใจปูแดงรีเทิร์น
เปิดบริษัทใหม่นิว ต้นกล้า

ความจริงแล้ว!การเปิดบริษัทใหม่ ในนามบริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด เพื่อการประกอบธุรกิจเครือข่ายขายตรงของผู้บริหาร บริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ ปูแดง ไคโตซานที่ตกเป็นข่าวฮือฮามาแล้วนั้น ไม่ได้ผิดกติกา ไม่ได้ผิดกฎหมายขายตรงแต่อย่างใด เนื่องจากคณะผู้บริหารทั้ง 3 คน ไม่ได้เป็นผู้ลงนามในเอกสารสำคัญของบริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสินค้า และแผนตลาดที่บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด ยื่นเข้ามาจดทะเบียนใหม่กับ สคบ.แล้ว สคบ.ในฐานะนายทะเบียนได้ใช้ดุลยพินิจ

และพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่ขัดต่อกฎหมายก็สามารถรับจด ทะเบียนและอนุมัติให้ประกอบธุรกิจขายตรงได้

ดีเอสไอยัน!ปูแดง
กลับมาทำขายตรงได้

โดย พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอได้กล่าวยืนยันถึงกรณีการที่ผู้บริหาร บริษัท เบสท์ 59 จำกัดหรือ ปูแดง ไคโตซานซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดี แชร์ ลูกโซ่ได้กลับมาเปิดบริษัทขายตรงใหม่ ภายใต้ชื่อ บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด และ ได้รับใบอนุญาตจาก สคบ.ให้สามารถประกอบธุรกิจเครือข่ายขายตรงได้แล้วอย่างเป็นทางการว่า ถือเป็นสิทธิ์ที่ผู้บริหารปูแดงสามารถกระทำได้ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีเดิม เนื่องจากผู้บริหาร ก็เป็นเพียงผู้ต้องหา ซึ่งยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็มีสิทธิเสรีภาพในการที่จะทำธุรกิจใดๆ ก็ได้

นอกจากนี้ หากคดีถึงที่สุดแล้ว ผู้บริหาร ปูแดง ไคโตซานถูกศาลตัดสินว่า มีความผิดจริงตามข้อกล่าวหา ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร หรือมีผลอะไรต่อการเปิดบริษัทใหม่เช่นเดียวกัน เพราะการดำเนินงานของบริษัทใหม่ไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดด้วย

ที่สำคัญกฎหมายขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ก็ไม่ได้ห้าม สคบ.ไม่ให้รับจดทะเบียน ซึ่งหาก สคบ. พิจารณาแล้วเห็นว่า แผนตลาด หรือแผนการจ่ายผลตอบแทนสามารถจ่ายได้จริง ไม่ขัดต่อกฎหมาย ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่อนุมัติออกใบอนุญาตให้ บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด

สคบ.เซ็นอนุมัติ
ออกใบอนุญาตแล้ว

ด้านสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โดยนายนิโรธ เจริญประกอบ เลขาธิการ สคบ. ก็ได้ระบุชัดเจนว่า สคบ.ได้อนุมัติออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจเครือข่ายขายตรงให้กับบริษัท นิว ต้นกล้า จำกัดหรือ ปูแดง ไคโตซานแล้ว เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2553 พร้อมทั้งให้บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด สามารถเปิดรับสมัครสมาชิกได้อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ 1 เมษายนเป็นต้นมา

โดยคำสั่งการอนุมัติออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจขายตรงให้แก่บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัดนั้น สคบ.ได้ทำเป็นหนังสือที่ นร.0306/3744 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2553 เรื่องคำขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรงของ บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด เขียนถึงกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท นิวต้นกล้า จำกัด อ้างถึงคำขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรง เลขที่คำขอ 16/2553 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2553

มีใจความว่า ตามหนังสือที่อ้างถึง บริษัท นิวต้นกล้า จำกัด ได้ยืนคำขอจด ทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรง เพื่อจำหน่ายสินค้า ประเภทผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร จำนวน 4 รายการ ประกอบด้วย สารสกัดไคโตซาน ตราปูแดง สำหรับพืช, สารสกัดไคโตซาน ตราปูแดง สำหรับสัตว์, อินทรีย์ปูแดง และสมุนไพรซุปเปอร์ปูแดง เพื่อให้นายทะเบียนพิจารณามีคำสั่งรับจดทะเบียน ความละเอียดทราบอยู่แล้วนั้น สคบ.ขอเรียนว่า นายทะเบียนได้พิจารณาตรวจสอบเอกสารและหลักฐานแล้ว จึงมีคำสั่งรับจำทะเบียน เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2553 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เนื่องจากแผนการจ่ายผลตอบแทนของบริษัท เป็นแผนจ่ายผลตอบแทนที่สามารถนำมาบิดเบือนในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นได้ง่าย นายทะเบียนจึงกำหนดเงื่อนไขประกอบคำสั่งรับจดทะเบียนว่า ให้บริษัท นิวต้นกล้า จำกัด ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 อย่างเคร่งครัด

อนึ่งการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการเอกสารและหลักฐานใดๆ ให้ผิดไปจากที่ได้จดทะเบียนไว้ หากมิได้แจ้งการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น ให้นายทะเบียนทราบภายในเวลาอันสมควร ให้ถือว่า ยังไม่ได้รับการจดทะเบียน ทั้งนี้ ขอให้บริษัท นิวต้นกล้า จำกัด รายงานผลประกอบการธุรกิจขายตรงให้ สคบ.รับทราบภายในมกราคม และกรกฎาคมทุกปีด้วย

สำหรับการที่ สคบ.ได้ระบุให้บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด ปฏิบัติตามกฎหมายขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 รวมถึงให้รายงานผลประกอบการให้ สคบ.รับทราบ ภายในมกราคมและกรกฎาคมนั้น ไม่ใช่เป็นการระบุเฉพาะบริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด เพียงเท่านั้น

แต่ สคบ.ได้มีการระบุข้อความนี้ทุกครั้งที่ออกใบอนุญาตให้กับทุกบริษัทขายตรง ซึ่งทุกบริษัทขายตรงจะต้องรายงานผลประกอบการให้ สคบ.รับทราบ ภายในมกราคมและกรกฎาคมเหมือนกันทุกบริษัท

ปูแดงทำบุญบริษัท
ผู้นำฉลองชัยคึกครื้น

ด้านความเคลื่อนไหวของบริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด พบว่า เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา บริษัทขายตรงน้องใหม่ นิว ต้นกล้านำโดย สมปอง แซ่ตั้ง ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ , ธนาพัทธ์ กิจใบ ประธานกรรมการ และ ดร.วิชาญ จำปาขาว ผู้ผลิตและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านวิชาการ บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด หรือ ปูแดง ไคโตซานพร้อมคณะผู้บริหาร และทีมผู้นำธุรกิจ จัดพิธีทำบุญ ก่อนที่จะมีการเปิดตัวบริษัทใหม่อย่างเป็นทางการ ท่ามกลางบรรยากาศการฉลองชัยกันอย่างคึกคักของเหล่าบรรดาสมาชิกที่แห่กันเข้ามาร่วมงานและแสดงความยินดีกันอย่างล้นหลามกว่า 1,000 คน ณ อาคารสำนักงานใหญ่หลังเดิม ถนนแจ้งวัฒนะ

นายสมปอง แซ่ตั้ง กล่าวว่า ต้องขอบคุณทางสคบ. ที่เปิดโอกาสให้ ปูแดง ไคซานมีวันนี้อีกครั้ง ในการอนุมัติออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจขายตรงให้ ปูแดง ไคโตซานกลับคืนสู่สนามขายตรง ซึ่งจากประสบการณ์ในอดีต ก็จะทำให้คนปูแดงมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น ต้องขอขอบคุณบรรดาผู้นำธุรกิจและสมาชิกปูแดงทุกท่านที่ได้ใช้เวลาในการอดทนรอ และยังคงอยู่กับ ปูแดง ไคโตซานมาโดยตลอด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พลังปูแดงมีความเหนียวแน่นมากพอที่จะช่วยกันนำพา ปูแดง ไคโตซานกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

ดันธนาพัทธ์ กิจใบ
นั่งประธานกรรมการบริษัท

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปด้วยความมีประสิทธิภาพ ตามแผนการจ่ายผลตอบแทนใหม่ ตนเองมีความตั้งใจจะแต่งตั้งผู้บริหารคนใหม่เข้ามาบริหารจัดการ บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด นั่นคือ นายธนาพัทธ์ กิจใบ รองประธานกรรมการ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด เข้ามานั่งในตำแหน่งประธานกรรมการ ส่วนตนจะนั่งแค่ตำแหน่งประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และ ดร.วิชาญ จำปาขาว ก็จะนั่งในตำแหน่งเดิม คือ ผู้ผลิตและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านวิชาการ

ขอบคุณผู้นำธุรกิจและบรรดาสมาชิกทั้งหลายที่ไม่เคยทอดทิ้งกัน ยามทุกข์ร่วมทุกข์ ยามสุขร่วมสุข พร้อมทั้งขอสัญญาว่า หลังจากนี้เป็นต้นไป ภายใต้บริษัทใหม่ นิว ต้นกล้าจะนำพา ปูแดง ไคโตซานกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

ดร.วิชาญ จำปาขาว ผู้ผลิตและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านวิชาการ กล่าวว่า ช่วงวิกฤติที่ผ่านมา ถือเป็นประสบการณ์ที่จะทำให้ ปูแดง ไคโตซานมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และจะเป็นความแข็งแกร่งที่พร้อมจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เพื่อการก้าวสู่ความสำเร็จและความยิ่งใหญ่ด้วยกัน

ไม่ว่า จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผู้บริหารทั้ง 3 คน เราไม่เคยทอดทิ้งกัน และพร้อมที่จะก้าวเดินไปด้วยกันในทุกๆ เมื่อ พร้อมกับขอแสดงความดีใจและขอบคุณที่บรรดาสมาชิกไม่มีใครทอดทิ้ง ปูแดง ไคโตซานอีกทั้งยังเชื่อว่า นิว ต้นกล้าจะกลับมายิ่งใหญ่ได้ในอนาคตอันใกล้ ขอให้สมาชิกทุกคนรวมพลังใจเป็นหนึ่งเดียว

ด้านนายธนาพัทธ์ กิจใบ ประธานกรรมการคนใหม่ บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณที่คุณสมปอง และดร.วิชาญ ได้ให้ความไว้วางใจ ในการให้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด และเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณ ขอ สัญญาว่า จะบริหารงานให้เกิดประสิทธิภาพแก่บริษัทสูงสุด และจะบริหารจัดการให้เอื้อประโยชน์แก่บรรดาสมา

ชิกปูแดงสูงสุด โดยจะยึดมั่นในหลักคุณธรรม และความมีจริยธรรม ตลอดจนการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้สมาชิกมีรายได้ และอยู่ได้กับธุรกิจขายตรง ปูแดง ไคโตซานอีกทั้งจะยังคงนโยบายหลัก เพิ่มผลผลิต ชุบชีวิตเกษตรกรให้เกษตรกรมีรายได้ และสามารถปลดเปลื้องหนี้สินได้ด้วย

นิว ต้นกล้า แม้จะเป็นบริษัทใหม่ แต่ก็มีความพร้อมเหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแค่เปลี่ยนชื่อบริษัท แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ยังจะคงความเป็นวัฒนธรรมของคน ปูแดง ไคโตซานเอาไว้เหมือนเดิม ส่วนการรับสมัครสมาชิกนั้น ได้เริ่มต้นรับสมัครสมาชิกแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา

มั่นใจนิว ต้นกล้า
นำปูแดงฯยิ่งใหญ่ได้

ด้านผู้นำธุรกิจหลายคนของบริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า หลังเกิดเหตุการณ์การสั่งเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจขายตรงบริษัท เบสท์ 59 จำกัดแล้ว ผู้นำธุรกิจและสมาชิก ปูแดง ไคโตซานไม่ได้หวั่นไหวหรือหนีไปไหน แม้ว่า หลายคนจะต้องว่างงานอยู่ 1-2 เดือนก็ตาม หรือบางคนอาจจะกลับบ้านไปทำ อาชีพอื่นเพื่อหารายได้เสริมแล้วก็ตาม แต่พอ ปูแดง ไคโตซานกลับมา ภายใต้ชื่อบริษัทใหม่ นิว ต้นกล้าบรรดาสมาชิก ปูแดง ไคโตซานทุกคนทั่วประเทศ ก็ได้หวนคืนกลับมาทำธุรกิจด้วยกันเหมือนเดิม ไม่มีใครหนีไม่ไหน ไม่มีความแตกแยก แต่ยังคงเป็นเหนียวแน่นกว่าเดิม และพร้อมที่จะรวมพลังกัน เพื่อผลักดันให้ ปูแดง ไคโตซานกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยความเชื่อมั่นว่า สินค้าเป็นที่ต้องการของเกษตรกร ช่วยเกษตรกรเพิ่มผลิต ปลดหนี้ปลดสินเกษตร กรได้จริง นี่คือ จุดแข็งของ ปูแดง ไคโตซาน

สมาชิกปูแดงทุกคนต่างดีใจ และพร้อมใจกันจัดงานเปิดบริษัทใหม่ ต้อนรับการกลับมาของ ปูแดง ไคโตซานในนามบริษัท นิว ต้นกล้า จำกัด ซึ่งสมาชิกทุกคนได้ทิ้งความหลังไว้ในอดีต ทุกอย่างที่ผ่านมา ถือเป็นบทเรียนและประสบการณ์ หากปูแดง ณ วันนี้ สามารถผ่านด่านทดสอบใหม่ไปได้อีกครั้ง ก็เชื่อว่า พลังเครือข่ายของปูแดงจะมีเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ อันจะทำให้ ปูแดง ไคโตซานกลับมายิ่งใหญ่ และจะไม่มีวันตาย

แผนการตลาด ปูแดง นิวต้นกล้า แผนรายได้ Update22-04-53

MLM มืออาชีพ

แต่ละคนที่เข้ามาสู่อาชีพนักธุรกิจเครือข่าย มีเป้าหมายที่ต่างกัน บางคนชอบเป็นนิสัย รักเป็นอาชีพ บางคนทำเป็นอาชีพเสริม หารายได้พิเศษ บางคน ไม่ชอบ แต่จำเป็นต้องหารายได้ บางคนทำแบบถูกต้อง และบางคนก็โกหกเพื่อให้ได้มาซึ่ง ผลตอบแทน หลายๆคนมองว่า อาชีพหลอกลวง มันไม่ได้เป็นที่อาชีพหรอกครับ ที่หลอกลวง ตัว คนที่เข้ามาทำ แล้ว ไม่เข้าใจในอาชีพมากกว่า ที่ หลอกลวง วันนี้ ผมจะเล่าให้ฟังแบบที่ไม่มีที่ไหนบอกให้ท่านๆรู้มาก่อน ว่า คนทำเป็นอาชีพ กับคนที่ทำให้อาชีพนี้ ส่วนหนึ่งเสียหายเป็นยังไง

จากโครงสร้างที่แสดงด้านบน จะเห็นว่าไม่ว่าธุรกิจกิจ จะมีรูปแบบการนำสินค้าไปยังผู้บรืโภค แบบใดก็ตาม ก็จะต้องมีส่วนที่เรียกว่า ค่าการตลาด หรือส่วนต่าง ของราคา จากต้นทุนผู้ผลิต ถึงราคาจำหน่ายให้ผู้บริโภค ดังนั้น ผลตอบที่จ่ายให้นักธุรกิจเครือข่ายก็หนีไม่พ้นกฏข้อที่ว่า การจ่ายผลตอบแทน ต้องนำมาจากค่าการตลาด ของยอดจำหน่ายสินค้ารวม ซึ่งถ้าบริษัท คำนวณ ออกมาแล้วเกินค่าส่วนต่างนี้ บอกได้เลยว่า เอาเงินของอนาคตมาใช้ ซึ่งผิดหลักของการทำเครือข่ายที่ถูกต้องอย่างแน่นอน ซึ่งในแต่ละบริษัทเครือข่าย ค่าการตลาดนี้ก็จะแตกต่างกันไป โดย ปกติจะอยู่ในช่วง 35-50% เต็มที่ครับ ถ้าบริษัทไหนบอกจ่ายถึง 60 - 70% ก็คิดซะว่าเค้าพูดให้ดูเท่ห์ครับ ถ้าเราเชื่อก็หาหญ้ากินได้แล้วครับ

ถ้ามองในมุมมองของคนภายนอก ที่ไม่ได้สัมผัสธุรกิจนี้ จะเห็นว่า โอ้ว ได้ตั้ง 4-50% ของราคาสินค้า ทำไม่มากมาย ขนาดนี้ จะตอบได้อย่างไม่ต้องคิดเลยว่า ไม่เยอะหรอกครับ เพราะ 4-50% ที่ว่านี้ นักธุรกิจ ก็เป็นเสมือนผู้ค้าปลีกและค้าส่งนั่นเอง นั้นคือ ค่าใช้จ่ายต่างๆในการทำงาน จ่ายเองครับ ค่ารถ ค่าน้ำมันไปพบลูกค้า ค่าโทรศํพท์ ค่าทำงานช่วยเหลือทีมงาน เอาเป็นว่า คุณก็คือผู้ประกอบการคนหนึ่งนั่นเอง ถ้าเข้ามาในอาชีพนี้ ดังนั้น คนที่คิดว่า เข้ามาลองดู ทำเล่นๆ ทำเสริมๆ ก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่ท่านทำงานแบบไหน ผลตอบแทน มันก็ออกมาแบบนั้น ดังนั้นก็มีคำถามว่า แล้วจ่ายเองทุกอย่าง มันน่าทำตรงไหน

คำตอบอยู่ตรงนี้ ท่านไม่ต้องพวงเรื่อง การผลิต ไม่ต้องลงทุนโรงงาน ลงทุนการผลิต การโฆษณาระดับประเทศ การขนส่งสินค้า ไม่ต้องลงทุนคลังสินค้า เอาง่ายๆว่า ท่านมีหน้าที่ทำตลาดอย่างเดียว แต่การตลาดแบบนี้ ท่านไม่ต้องเป็นลูกจ้างบริษัท เวลา รายได้แล้วแต่ตัวท่าน เพราะ บริษัท จ่ายให้ท่านตามค่าการตลาด ซึ่งท่านสามารถทำทีม ขาย ขยายตลาด ที่ดีคือขยายได้ไม่จำกัด ถ้าทีมงานท่านมาก ยอดขายรวมมาก ผลตอบแทนก็เป็นเงาตามตัว แปลเป็นภาษาบ้านๆคือรวยได้ โดยไม่ต้องลงทุนมากๆ

ดังนั้น คนที่เข้ามาทำอาชีพนี้ แล้วทำเป็นอาชีพ จริงๆ สิ่งที่ต้องทำมีดังนี้

1.เรียน รู้

ถ้าถามว่าเรียนทำไม ผมก็จะถามท่านกลับว่า ที่ท่านเรียนตั้งแต่ อนุบาล ถึงมหาลัย เรียนทำไม เรียนอะไรก็ เพื่อทำงาน ทำงานอะไรก็เพื่อหาเงิน ใช่มั๊ยครับ คนเรา ทำงานใดๆก็ตามมีสิ่งที่ต้องการ 2 สิ่งคือ ได้เงิน และสุขใจ ขนาดหลายๆคนไม่ชอบงาน ยังต้องทนทำเลยครับท่าน เพื่อรายได้ เอามาใช้จ่ายนั่นแหละ เอาละครับ กลับมาที่เรียนรู้ต่อ การเรียนรู้ของระบบเครือข่าย ไม่ต้องไปลงทะเบียนเรียนเป็นปีๆหรอกครับ เราไม่มีเวลาเรียน แน่นอนไม่มีหน่วยกิจ ดังนั้น ใครจะเรียนมากน้อยแค่ไหน ตามสะดวก เรียนมากน้อย เร็วช้าแล้วแต่ตัวบุคคล สรุปคือเรียนรู้ด้วยตัวเองครับ เข้าประชุม อ่านหนังสือ ศึกษาจากแผ่นพับ วารสารบริษัท CD อะไรก็ได้ที่เป็นความรู้ ถ้าว่าต้องรู้ไรมั่งล่ะครับ สิ่งที่ท่านต้องรู้ก่อนไปทำงานคือ เรื่องของ บริษัท , ผู้บริหาร, สินค้า , แผน และ วิธีการทำงาน

ผมพูดได้เลยครับ จากการที่อยู่อาชีพนี้มาหลายปี เฝ้ามองเฝ้าสังเกต ทั้งทีมงานตัวเอง และคนอื่นๆที่รู้จัก ท่านรู้มั๊ย คนเราล้มเหลว ในเครือข่ายมากทีสุด ตอนไหน ....... ตอบได้เลยครับ ตอนแรก บางคน 1 วัน บางคน 2-3 วัน บางคน 1 อาทิตย์ หรือเอาง่ายๆครับ เมื่อใดที่เขาเริ่มไปคุยลูกค้า เริ่มชวนคนอื่น แล้วโดนลูกค้าน็อค (ศัพท์ของผมเอง แบบว่า ลูกค้าตอกกลับมา ถามแล้วตอบไม่ได้) ตัวแทนคนนั้นก็จะท้อใจในทันที และบอกกับตัวเองว่า ฉันทำไม่ได้ อาชีพนี้โกหก

เหตุและผลมันอยู่ในตัวเองครับ คุณยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย คุณจะชวนให้เขาเชื่อในสินค้า มั่นใจในธุรกิจ ผลตอบแทน เป็นหมื่น เป็นแสนหรือเป็นล้าน เขาจะเชื่อคุณได้ไงถ้าถามอะไรคุณก็ตอบไม่ได้ ชีวิตการทำเครือข่ายของผม บอกได้เลยครับ ว่าไม่เคยโดนลูกค้าน็อค เพราะเราต้องแน่พอที่จะเข้าไปเสนองานนี้ให้เขาเชื่อมั่น

แต่ก็มีแค่บางคนนะครับ ที่เข้าใจงานแต่แรก ไปแบบมั่วๆ เนียนๆ เริ่มไปศึกษาไป แล้วก็สำเร็จ แต่คนพวกนี้ จะไม่สนใจคำโต้แย้งลูกค้าครับ เขารู้อยู่แล้วว่าต้องเจออะไร

หลังจากเรียนรู้แล้วก็เริ่มทำงานไง ครับ พูดรวมๆคือทำไงให้ตลาดมันขยายไปได้ แต่ผมจะพูดถึง วิธิปฏิบัติเป็นสเต็ปละกันครับ

2.ขาย (แล้วแต่ธุรกิจ ผมจะไม่พูดถึงรายละเอียด เพราะเราไม่ขายของ)

มาถึงตรงนี้ บางคนขัดแย้งละ ว่าถ้าไม่ขายสินค้ามันก็เป็นการ ระดมคนมาลงทุน หลอกเขามาลงทุนสิ สินค้าไม่ถึงมือผู้บริโภค ผมสรุปง่ายๆแบบนี้เลยครับ จากประสบการณ์จริง เอาง่ายๆว่า สมมุติคุณมีทีมงาน 100 คน แล้วคุณก็สอนงานเค้าว่า ทำเครือข่ายจริงๆไม่เน้นขาย เน้นขยายทีมงาน คุณลองทายเล่นๆ สิ จะมีกี่คนที่วิ่งไปขายของ บอกได้เลยครับ กฏของโลกนี้ จะมีราวๆ 80 คน ก็ยังดันทุรังไปขายอยู่ดี สรุปว่า แรกๆที่ไม่เข้าใจ ก็ไปขายกันกันทั้งนั้นครับ พอสักพักขายเก่ง เริ่มมีทีมงาน เข้ามา ก็เริ่มสอนทีมงาน ขายให้ได้เหมือนเรา พอทีมงานมากเข้า ก้ต้องเริ่มบริหารคน ละว่า ทีมไหนดูแลตลาดพื้นที่ไหน พื้นที่ไหนแข็งที่ไหนอ่อน

ยกตัวอย่างกันง่ายๆ มีเด็กจบใหม่คนหนึ่ง พบจบมหาลัย สมัครงานได้ตำแหน่งพนักงานขายบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ขายอยู่สัก 3-5 ปี เก่งละ ผู้จัดการ ก็ปรับให้เป็น ซูปเปอร์ไวส์เซอร์ สอนงาน ดูแลพนักงานใหม่รุ่นหลังให้ขายเป็น พอสักระยะ เริ่มดูแลคนมากขึ้น สร้างยอดขายได้ต่อเนื่องมากขึ้น บริษัทก็จะบรับให้เป็น หัวหน้าแผนกหรือ ผู้จัดการต่อไป ไม่มีใครเขาวิ่งขายของเองทั้งปีทั้งชาติหรอกครับ นี่เขาเรียกว่าความก้าวหน้าในอาชีพครับ

นี่ขนาดจะไม่พูดถึงรายละเอียดนะครับนี่ 555 ไปข้อต่อไปละกันครับ

งานเครือข่ายท่านเข้าใจแล้ว ว่า ผลตอบแทนมาจาก ยอดขายที่เราสร้างขึ้น จะขายเองก็ได้ แต่ช้า ดังนั้น ให้เติบโตคือ หาคนมาช่วยเราขาย หรือให้ดีจริงๆ หาคนมาช่วยกันสร้างเครือข่ายผู้บริโภค บอกได้เลยครับ ว่า แต่ละคนที่สมัครเข้ามา นั้น ก็จะแบ่งเป็น 1) ผู้ใช้สินค้า 2)คนที่อยากขายหารายได้เสริม 3)คนที่อยากทำเป็นอาชีพ ยิ่งมีประเภทหลังสุดมากเท่าไหร่งานท่านก็จะเร็วเท่านั้น บางคนไม่เก็ต แล้วใครจะไปขายให้ลูกค้า ก็บอกแล้วไงครับ 80% พูดยังไงก็จะขายของอยู่ดี ถามได้เลยครับคนที่เอ็ม ถ้าไม่โกหกกัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ใช้ และ ผู้ขาย เอาละ ทีนี้ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หรือผู้มุ่งหวังกลุ่มใหนก็ตาม ขั้นตอนต่อไป ก็ต้องมีการ

3.นัดหมาย, เชิญชวน หรือ โฆษณา

แล้วแต่ใครจะทำ ให้มีผู้คนเข้ามาร่วมงาน ถามว่านัดหรือเชิญไปไหนล่ะครับ ก้อคือเพื่อให้ข้อมูล จะวิธีใหน ก็แล้วแต่ครับ วิธีการทั่วไป โทรนัดโทรคุย หรือเข้าไปคุยที่บ้าน หรือเจอกันตามโอกาส คำถามที่หลายคนอยากถาม และ เป็นปัญหาใหญ่สุดในชีวิตคือ ชวนใคร เพื่อนเหรอ ญาติได้มั๊ย จะเสียญาติมั๊ย แล้วชวนใครดี ผมบอกอย่างนี้ แล้วกันครับ ถ้าท่านถามคนที่สำเร็จระบบเครือข่าย เอามาสัก 10 หรือ 100 คนก็ได้ ถามเลยว่า ที่เข้ามาเร่วมธุรกิจด้วยกัน มีเพื่อนสนิท หรือญาติ กี่เปอร์เซนต์ แล้วที่เข้ามาร่วม แล้วไอ้ที่มา มากันช่วงไหน เริ่มแรกหรือเรารวยแล้วถึงมา ผมคงไม่ต้องตอบนะครับ ทุกท่านรู้อยู่แก่ใจ งั้นแล้วไปชวนใคร เสนอใคร ท่านต้องย้อนมาดูครับ ว่าการกลาดคืออะไร มีใครเกี่ยวข้อง มันก็คือ ต้องมีคน อยากได้ และมีคนอยากขาย มาเจอกัน ถึงจะเกิดการขายขึ้น เรียกให้สากลคือ Demand กับ Supply ไงครับ ที่นี่ก็ต้องดูว่าสิ่งที่ท่าน จะขายคืออะไร สินค้าหรือธุรกิจ แน่นอนครับ ต้องนัด หรือเชิญวิธีการคนละแบบ ถามว่าจะพูดยังไง ก็บอกแล้วไงครับ ท่านต้องเข้ามาศึกษา วิธีการทำเครือข่าย ไม่ใช่ไปนำเชิญ ไปนัดแบบบ้านๆ ก็โดนตอกกลับมาเท่านั้นเอง ดังนั้นเชิญใครแบบไหนดี ก็ต้องมาศึกษา กับที่ไหนก็แล้วแต่ว่าท่านจะทำกับบริษัทไหน

ที่นี้มาเรื่องการประชาสัมพัน โฆษณาให้คนเข้ามาร่วม ธุรกิจ สมัยแรกๆก็จะมี ขึ้นป้าย สื่อวิทยุ แล้วสมัยนี้ก้จะมี อินเตอร์เน็ท แล้วอี อินเตอร์เน็ทก็มีเรื่อง ให้พูดกันอีกพอสมควร ถ้าท่านเล่นเน็ตอยู่ตั้งแต่หลายปีมาแล้ว เมื่อก่อน ท่านก็จะเห็น การโพส รายได้เลริม 300-3000 ต่อวัน อะไรประมาณนี้ เอากันแบบตรงๆง่ายๆ ไม่ต้องมีลีลา มาอีกยุคนึงคือ ไม่กล้าพูดตรงละ โพสมาแต่ไม่บอกธุรกิจอะไร รับสมัครงานหลายตำแหน่งบ้าง แบบนี้ สร้างความผิดหวังให้คนที่หลงเข้าไปเยอะมาก

มายุคล่าสุด การตลาดแบบดึงดูด ก็เปิดเผยว่าเป็นธุรกิจเครือข่าย แต่คำเชิญชวน ก็แล้วแต่ใครจะเขียนให้ไปสะกิดต่อมของ ผู้อยากรู้อยากรวยมากแค่ไหน เคล็ดลับมั่ง สุดยอดวิธีชวนคน ไม่ต้องง้อไม่ต้องตื้อมั่ง คนจะวิ่งมาสมัครเองมั่ง ผมบอกได้เลยครับว่า มันก็คือขั้นตอนการชวนคนเข้ามา และที่สำคัญ ผมได้พูดไว้แล้วในหัวข้อ การตลาดแบบดึงดูดคือ ถ้ามีท่านโฆษณาแบบนี้คนเดียว ก็คงเวิร์คครับ แต่ดูทุกวันนี้สิครับ มีเคล็ดลับกับเต็ม กูเกิ้ล ไปหมด แล้วพวกนี้ก็จะมีโปรแกรม ส่งอีเมล และ ดูดเมล ด้วย รวมถึงพวกตอบอัตโนมัติ ตอนนี้มีขายกันเยอะแยะครับ หาง่าย ขายโปรแกรมพร้อมเมล 15 ล้านชื่อ อะไรประมาณนี้ คิดกันเล่นๆครับ สมมุติท่าน ไม่ได้แอนตี้เครือข่าย ถ้าท่านได้รับเมล ครั้งแรก ด้วยข้อความแบบที่ว่า ท่านก็อาจจะสนใจ แต่ตอนนี้ แต่ละคนก็ได้รับเมลพวกนี้ กันไม่ต่ำกว่า คนนึง 20-30 ครั้งก็ว่าได้ ไอ้รายที่ 3 ที่ 4 มานี้ ท่านถามตัวเองสิครับ ว่า ท่านกดดู หรือกดลบ แล้วอย่างที่บอกครับ มันก็คือส่วนของการเชิญชวน การทำแบบนี้ ต้องเป็นหนึ่งเดียวและเป็นแบบ วัวสีม่วง คือเด่นสุดๆ ถึงจะได้ผล แต่ตอนนี้มันเลยจุดนั้นไปแล้วครับ แต่ถ้าถามผมว่า เรื่องเว็บไซต์ หรือสื่ออินเตอร์เน็ต จำเป็นมั๊ยต่อการทำธุรกิจ ผมตอบได้เลยว่า ไม่จำเป็นครับ เพราะผู้สำเร็จระดับท็อปเท็นแต่ละบริษัทส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีเว็บไซต์ของตัวเองด้วยซ้ำ แต่ถ้าถามว่า ควรมีรึเปล่า บอกได้เลยครับว่าควรมีอย่างยิ่งครับ เราควรต้องทำอะไรให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ปัจจุบัน คนมีความรู้และใช้อินเตอร์เน็ตกันมากขึ้น ดังนั้นการทำสื่ออินเตอร์เน็ตเป็นเรื่องที่น่าทำครับ แต่คำพูด ภาพ หรือข้อมูลต่างๆ ถึงแม่จะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ แต่อย่างไรก็ให้อยู่ในพื้นฐานความเป็นจริง ดีที่สุด

เพราะในที่สุดของการตลาด แบบดึงดูด คือ สุดท้าย ปลายทางก็คือ การที่เค้าจะสมัครเป็นสมาชิกหรือร่วมงานกับคุณ มันแบ่งได้แบบนี้ครับ ถ้าบริษัทไดที่สมัครแบบ ถูกๆ 100-200-300 อะไรประมาณนี้ ก็พอจะใช้ได้ครับ ขายการเชิญชวน พอเข้าไปดูในเว็ปหน้าเชื่อถือ บริษัทเป็นที่รู้จัก อาจจะสมัคร แต่ถ้าเป็น แผนการตลาดที่เป็นการซื้อสินค้าเป็นเงินหลักพันหลักหมื่นในการสมัครแล้วก้อ แบบนี้ ยากครับ กฏการตลาดแบบดึงดูก็เขียนไว้ เพราะที่สำคัญคือ เมื่อใดที่เขาจะตัดสินใจทำสุดท้ายต้องมีการนัดพบกัน หรือคุยกัน สรปุได้ง่ายๆครับ ว่าท่านต้องเจ๋งพอดั่งที่ท่านโฆษณาไว้ หรือ เจ๋งกว่า ที่ท่านใช้คำเชิญชวนไว้ นี่แหละครับ เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดคือตัวท่าน ต้องเป็นของจริง ถึงจะไปต่อได้

4. การนำเสนอ

อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ บริษัทละครับว่าของท่านทำอะไร และก่อนการนัดเชิญชวนใคร ท่านก็อย่างลืมวิเคราะห์ซะ หน่อยนะครับ ช่วยให้งานเราเข้าเป้ามากขึ้น แล้วถ้าจะมาว่ากันในเรื่องการนำเสนอมีเทคนิคอะไรมั๊ย ตอบได้เลยครับว่า มีแน่ๆ การนำเสนองาน ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ครับ ทั้งวิชาการ หลักการ จิตวิทยา อันนี้พูดถึงมืออาชีพนะครับ ไม่ใช่ไปแบบบ้านๆ "สวัสดีครับ ผมมาจากบริษัท .... นะครับ จะมาแนะนำ ...... ขอรบกวนเวลา สักคูร่นะครับ" ถ้าใครไปแบบนี้แล้วสำเร็จ แสดงว่า ท่านต้องทนอย่างมากครับ หรือไม่ก็มึน ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ถึงสำเร็จมาได้ ดังนั้น ก็ต้องศึกษาเอาจากแม่ทีมหรือบริษัทท่านละครับ ซึ่งไม่ตายตัว แต่มีหลักการอยู่ครับ

จริงๆแล้ว คนทำเครือข่ายหลายๆคนก็ มีแบบที่ชงเองตบเอง ก็เยอะ ถ้าเก่งจริงก็ได้ครับ แต่ถ้าท่านไม่มั่นใจว่าท่านนำเสนอได้ดีพอละก็แนะนำให้ เชิญคนเข้าระบบ หรือเข้าประชุมครับ มันไม่ใช่แค่ ได้ข้อมูลครับนะครับ ได้อารมณ์ในการตัดสินใจด้วย ยิ่งการสมัครที่ต้องใช้เงินลงทุนพอสมควรแล้วละก้อ เวิร์คครับ

หรือสมัยนี้ก็มีเริ่มทำกันละครับ คือเป็นไฟล์ VDO นำเสนอ ผ่านเว็บไซต์เลย หรือบางคน ก็มีการ ประชุม on line ต่างๆ แล้วแต่ความถนัด

5. ปิดการขาย

ปลายทางหลังจากผู้มุ่งหวังได้ข้อมูลแล้ว สิ่งที่ทุกท่านอยากทำให้สำเร็จคือ การปิดการขาย หรือปิดสมัคร แล้วแต่จะเรียก แต่สิ่งที่อยู่คู่กัน กันลูกค้าก่อนปิดการขายคือ ข้อโต้แย้ง หรือคำถาม ข้อสงสัย ข้อบ่ายเบี่ยง อะไรก็ว่ากันไป มืออาชีพต้องรู้ครับ ซ้อมมาก่อนหน้า เจอแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น ตอบแบบให้โดนใจแล้วปิดการสมัครไปในตัว ซึ่งผู้ที่จะทำงานนี้ก็ควารศึกษาเรื่อง จิตวิทยาการปิดการขายด้วยครับ ไม่ใช่ถามกันดื้อๆ ว่า "ตกลงจะสมัครมั๊ย" ลูกค้าฮากลิ้งเลยครับ อย่าลืมว่า ทำให้เขาอยาก ดีกว่า มีแต่เราอยากให้เขาทำ

6. สร้างผู้นำ

หลังจากที่ผู้มุ่งหวังคนนั้นสมัครแล้ว สิ่งที่ท่านต้องทำต่อไปคือ ทำอย่างไร ให้เขาทำงานนี้สำเร็จได้เหมือนท่าน ก็คือต้องสอนงานเค้า แต่อย่าลืมนะครับ การทำเครือข่ายที่ดีคือ ท่านอย่าไปทำอะไรเองอยู่คนเดียว การสอนที่ดีที่สุดคือให้เขาเข้าระบบ ให้เขาอิงกับการประชุมของบริษัท แล้วเสริมเข้าไปด้วยการทำเงินเชิงลึก แบบที่เราทำ ปัญหาที่ด่ากันไม่จบคือ ลูกทีมมักจะด่ากับแม่ทีมว่า ทำไมไม่ช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ ผมพูดอย่างเป็นกลางนะครับ ธุรกิจนี้เป็นของท่าน ไม่มีสิ่งใดทำให้ท่านสำเร็จได้นอกจากตัวท่านเอง ดังนั้น เข้าช่วยบ้างตามโอกาส ก็ไม่ต้องคิดมาก เพราะไม่มีใครจะมานั่งป้อนข้าวป้อนน้ำกันไปได้ตลอด ทุกคนต้องเติบโตได้ ด้วยตัวเราเอง ยิ่งระดับท็อปๆของแต่ละบริษัทด้วยแล้ว ตอนท่านสมัครเข้ามาใหม่ ท่านแทบไม่ได้รับการเหลียวแลเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อไหร่ที่ท่านแสดงภาวะความเป็นผู้นำขึ้นมา หรือ สร้างผลงานขึ้นมา ถึงจะเริ่มคุยกัน มันเป็นการคัดเลือกคน ซึ่งหลายๆคนมองว่าเห็นแก่ตัว ดังนั้นก็แล้วแต่มุมมอง แต่คนทำธุรกิจ ถ้าท่านไม่แกร่งยังก็ไม่ไม่รอดอยู่แล้วครับ แต่ถ้าบางคนตอนชวน สัญญา สาบานกันอย่างแนบแน่น พอสมัครปุ๊บไม่สนใจเลย แบบนี้ก็น่าจุดธูปแช่งครับ

7. บริหารองค์กร

การขึ้นสู่ความสำเร็จ ในระดับต้นๆของบริษัทถือว่าไม่ง่ายครับ แต่การที่จะรักษา องค์กรไว้และ ทำให้เติบโตไปด้วยกันทั้งหมดนี่ ยากยิ่งกว่าเยอะ ดังนั้น จะสำเร็จได้ระยะยาว นอกจากปัจจัยรอบนอกแล้ว ตัวเราเองต้องมีความจริงใจด้วยครับ

คนที่ทำไม่เป็น ก็จะมองว่าอาชีพนี้ยาก ตั้งแต่ไม่รู้จะไปหาใคร เริ่มพูดยังไง แนะนำยังไง ปิดสมัครยังไง แต่คนที่ทำจนเป็นมืออาชีพ ทุกที่ทุกคนที่พบปะ เราสามารถ แนะนำธุรกิจได้โดยเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ยัดเยียดใคร และที่สำคัญ การดูแลทีมงาน มีการติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นจะเห็นว่า คนที่ทำธุรกิจนี้เป็นมืออาชีพ จะมีทีมงานโทรหากันตลอดเวลา และสิ่งคัญสำหรับผู้ที่จะเข้ามาสัมผัสอาชีพนี้ ก็ต้องพิจารณา เลือก บริษัทให้ดีครับ ต้องดูอะไรบ้างก็เข้าไปดูในหัวข้อ ทำไมจึงล้มเหลว เราจะได้ผิดหวังน้อยที่สุด ไม่ต้องมาโทษว่าอาชีพนี้เชื่อไม่ได้ เพราะในความเป็นจริง มันก็มีทั้งบริษัทดีๆ ที่ตั้งใจทำเป็นธุรกิจสีขาว ปะปนไปกับ พวกหวังปั่นเงิน ปนเปกันไป เหมือนทุกอาชีพ

สรุปว่าอาชีพนี้มีทั้งพวก คบได้คบไม่ได้ ปนกันไป ซื้อมันไม่ได้เป็นที่อาชีพครับ เป็นที่ตัวบุคคุล และคนส่นหนึ่งก็คิดว่า อาชีพนี้ส่วนใหญ่ล้มเหลว หลอกลวง แต่ถ้ามองดีๆอย่างเป็นกลางนะครับ ไม่ใช่เฉพาะอาชีพนี้หรอกครับ คนทำธุรกิจทุกประเภท ตั้งแต่เปิดร้านก๋วยเตี๋ยว ถึง โรงแรม คนเจ๊งกมากว่าคนสำเร็จเยอะแยะครับ คนที่จะก้าวเข้ามาสู่โลกของกิจการส่วนตัว จะสำเร็จได้ ใจต้องสู้ ฝีมือต้องถึงครับ

การตลาดแบบดึงดูด (Attraction Marketing)

" ไม่ต้องลิสรายชื่อ ไม่ต้องตามง้อคนมาทำ ไม่เสียเพื่อน ญาติ ไม่ต้องประชุมตามโรงแรม ทุกคนจะแห่กันมาสมัครทำธุรกิจกับคุณ "

ผมเชื่อแน่ ว่า ทุกคนที่เข้าเว็บ โดยเฉพาะวนเวียนอยู่กับเว็บเครือข่าย MLM ต้องเจอ หัวข้อโฆษณาแบบนี้ เต็มจอไปหมด แล้วบางคนต้องมีคำถามว่า จริงเหรอ ทำยังไง จนบางคนทนไม่ได้ ก็ต้องจ่ายเงินซื้อตำรา หรือ CD หรือไปเข้าอบรมกับเค้าด้วย

ที่จริงแล้ว การตลาดแบบดึงดูด ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน แม่ทีม ระดับ Top ๆ ของแต่ละค่าย หลายๆคน ก็ทำในส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญ ของการทำตลาดแบบนี้ มาก่อนหน้านี้ อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มี การจำเพาะเจาะจง หรือมีชื่อเรียกสรุปว่า ทำอะไร

ผมจะสรุปเป็นหัวข้อให้ท่านอ่านคร่าวๆ ก็แล้วกัน แต่อ่านแล้ว มันจะไม่มันส์ เท่าอ่านบทความเต็มๆ ของการทำ การตลาดแบบดึงดูดหรอก เพราะเค้า จะมีการโปรย ความสนใจ และยกตัวอย่างให้เห็นภาพ กันอย่างชัดเจน

หัวใจของการทำการตลาดแบบดึงดูด

1. เลิกโฟกัส การชูความยิ่งใหญ่ ของบริษัท ของแผนการตลาด หรือของ สินค้า หรือแม่ทีมคุณซะทเพราะ ไม่ว่าสิ่งที่กล่าวมาจะดีเลิศแค่ไหน คนที่เข้ามาส่วนใหญ่ ก็ไม่สำเร็จอยู่ดี ดังนั้น ทำยังไงให้เขา มั่นใจว่า ได้เข้ามาร่วมงานกับคุณ ซึ่งเป็น Professional และพาเขาไปสู่ความสำเร็จได้ ดังนั้น กฏข้อแรกคือ โปรโมทความเป็นมืออาชีพของคุณ ตัวคุณ มากกว่าสิ่งใดๆ สังเกตได้จากแม่ทีมใหญ่ๆ มีแต่คนวิ่งเข้าไปหา ว่ามั๊ย

2. อย่าเอาสเต็กเนื้อชั้นเลิศ ไปขายให้กับกลุ่มคนกินเจ หลายคนโฆษณาไปเรื่อย เปื่อย ทุกที่ ทุกเว็ป ที่ไม่เกี่ยวข้อง ก็โพสไป ตั้งกระทู้ไป ไม่ดูกลุ่มคน ว่ากลุ่มนั้น เขาต้องการรึป่าว สรุปว่าง่ายที่สุดในการ หาผู้มุ่งหวัง คือหาในที่ๆผู้มุ่งหวัง เขาวนเวียนอยู่กัน คือ สังคม MLM ดังนั้น จะเห็นว่า คนที่ใช้การตลาดแบบนี้ มักจะไปโฆษณา ใน google ซึ่งอาจจะเป็น Keyword ของบริษัทอื่น ชื่อบริษัทอื่น ซึ่งคนกลุ่มนี้ ก็คือคนที่ ค้นหาการทำเครือข่าย ซึ่งเข้าเป้ากว่า การไปโฆษณา ในกลุ่มอื่นที่ไม่เอา หรือไม่ชอบขายตรง สรุปว่า ขายในสิ่งที่เขาต้องการอยู่แล้ว

3. คนทั่วไปไม่สนโอกาศธุรกิจ ไม่สนว่าสินค้า ดีเลิศขนาดไหน ไม่สนว่างานนี้จะช่วยสังคม บ้าบอคอแตกอะไรนั่น เขาสนแค่ว่า คุณมีวิธิการไหน จะช่วยให้เขาสำเร็จ นี่คือกฏข้อสาม ดังนั้น งานของคตุณคือ ให้ผู้มุ่งหวังเห็นภาพให้ได้ว่า คุณช่วยเขาได้ยังไง สร้างความเป็นผู้เชี่ยวชาญในอาชีพ ของตัวคุณให้ได้ และคนอื่นต้องสัมผัสจับต้องได้ แปลเป็นไทยว่า คุณต้องพัฒนาตัวเอง ให้สุดยอด ซึ่งแม่ทีมระดับ Topๆ เป็นกันอยู่แล้วที่ผ่านมา

4. คนเราชอบสบาย แต่อยากได้ความสำเร็จ คนที่ล้มเหลวในเครือข่าย มักจะเฝ้าค้นหาว่า เครือข่ายมันมีเคล็ดลับอะไรหนอ บางคนถึงได้กัน เดือนเป็นล้านๆ จริงๆถ้าย้อนกลับไปดูได้ จะรู้เลยว่า คนสำเร็จสูงสุด ของทุกค่าย ทุกคน เริ่มต้นมาแบบเดียวกัน และ มันไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรเลย คือพัฒนาตัวเอง และพบผู้มุ่งหวังเยอะๆ เขาเริ่มกันอย่างนี้ทั้งนั้น แต่คนใหม่ๆ มักไม่เชื่อความจริงอันนี้ มัวแต่ค้นหาเคล็ดลับอยู่นั่นแหละ ว่าทำยังไง บางครั้ง บางที่จะเห็นว่า แม่ทีมเจ๋งๆ เวลาย้ายมาทำบริษัทใหม่ ใช้เวลาแป๊บเดียว ขึ้นสู่อันดับต้นๆของบริษัท หลายคนลืมความเป็นจริงที่ว่า แท้จริงแล้ว เขาไม่ได้เริ่มมาจาก 0 เขามีต้นทุนทางเครือข่ายเป็นกระตั้ก ทีมงานตามมาเพียบ ชื่อเสียงที่เป็นตัวดึงดูดคนมาร่วมงานอีกบาน

ดังนั้น ข้อนี้สรุปว่า คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับกฏของ ธรรมชาติ คนทำการตลาดแบบดึงดูด ต้องนำเสนอให้เขาเห็นว่า เขาสามารถ สำเร็จได้โดยไม่ลำบาก ลำบนอะไรเลย คุณก็ทำได้

5. เครื่องมือของการทำการตลาดแบบดึงดูด ปัญหา ของคนทำ MLM เป็นเต็มเวลา หรือแบบทำเป็นอาชีพ ในช่วงเริ่มต้นคือ ขาดผู้มุ่งหวัง และ ขาดกระแสเงินสด ดังนั้น สิ่งที่คนทำตลาดแบบนี้ต้องมี คือ ระบบรองรับ เพื่อเพิ่มรายชื่อผู้มุ่งหวัง ตลอดเวลา ผมกำลังพูดถึงการโฆษณา โดยเฉพาะในโลก อินเตอร์เน็ต คุณจะโฆษณายังไง ให้มีรายชื่อผู้สนใจ เข้ามาตลอดเวลา ซึ่งผมคงไม่ต้องบอกว่า ยังไง เพราะคุณเห็น เต็มจอคอมฯไปหมด เวลาเข้าค้นหา เว็ปธุรกิจเครือข่าย สรุปก็คือที่คุณเห็นนั่นแหละ การให้ผู้สนใจกรอกรายละเอียด e-mail เบอร์โทร เพื่อแลกกับข้อมูลความลับการทำตลาดแบบนี้ ก็คือการแลกข้อมูลกับรายชื่อใหม่ๆ นั่นเอง อีกทั้งปัญหา กระแสเงินสด พูดง่ายๆว่า ถ้าคุณจะทำ MLM ค่ายนั้นๆ ค่ายเดียวเป็นอาชีพหลัก สิ่งที่คุณต้องคิดคือ คุณมีเงินยืนระยะ ในช่วงเริ่มต้นหรือเปล่า ถ้าค่ายใดเป็นแบบเงินด่วนทันใจ ก็จะไม่มีปัญหา แต่ถ้าทำแล้ว ค่อยเป็นค่อยไป อันนี้คุณลำบากแน่ ดังนั้นการทำตลาดแบบนี้ ก็จะแนะนำให้คุณ ขายข้อมูลเอกสาร ต่างๆ วิธีการต่างๆ กับผู้มุ่งหวังใหม่ๆ ที่ต้องการรู้ เพื่อเป็นเงินยืนระยะ หรือ แก้ปัญหาเรื่องกระแสเงินสดนั่นเอง

ถึงตรงนี้แล้ว ........

ที่สำคัญคุณจะต้องทำการโฆษณาในแบบวัวสีม่วง...คือ ต้องโดดเด่น แตกต่าง และมีหนึ่งเดียว ซึ่งในปัจจุบันนี้คงเป็นยากละครับ เพราะมันเป็นวัวสีม่วงกันหมด เต็มจอ ไม่รู้ใครเป็นใคร

ซึ่งการทำธุรกิจ เครือข่าย ด้วยระบบการตลาดแบบดึงดูด ให้สำเร็จนั้นก็มีหัวใจสำคัญดังนี้ครับ
1. ตัวคุณ....วางตำแหน่งตัวเองในฐานะผู้เชี่ยวชาญ คุณจะเป็นผู้ถูกล่าไม่ใช่ผู้ล่า
2. ระบบที่รองรับเกี่ยวกับข้อมูลผู้มุ่งหวัง เช่น สามารถเก็บข้อมูล ของผู้มุ่งหวัง มีการติดตาม เพื่อให้ข้อมูลหรือแจ้งข่าวสาร
3. สินค้ามีความจำเป็นและ มีความต้องการของผู้บริโภค
4. บริษัทเชื่อถือได้
5. แผนการตลาดไม่ยาก และจะต้องไม่มีบังคับการลงทุน เป็นเงินก้อน

สรุปว่า การตลาดแบบนี้จะได้ผลหรือไม่นั้น อยู่ที่ตัวบุคคลครับ ว่าตัวท่าน มีศักยภาพ ใกล้เคียงกับหลักการได้มากน้อยแค่ไหน ไม่มีสิ่งอื่นใดในการทำ MLM สำคัญไปกว่า การพัฒนาตัวท่านเอง ให้เป็น ยอดฝีมืออีกแล้ว เพราะคุณจะรู้เองในที่สุดว่า เมื่อใดที่คุณเป็นผู้สำเร็จ โด่งดังในยุทธจักร ก็จะมีคนเข้ามาหา และขอร่วมงานคุณเอง นี่ แหละดึงดูดของแท้

แผนการตลาด MLM แบบต่างๆ

โดยลักษณะแผน รวมๆแล้ว มีไม่รู้กี่แผน คงว่ากัน หลายสิบแผน แต่ถ้ามองรูบแบบคร่าวๆ บ้านเราน่าจะมีอยู่ประมาณ 3 แบบ แต่หลายๆบริษัท ก็มันจะนำแผนโน้น มาซ้อนด้วยแผนนี้ เพื่อให้มันหะหรู หะรา ซึ่งพูดกันตามจริง ทุกแผน ทุกบริษัท ก็มีคนสำเร็จของเค้า ฉนั้น เวลาทำแล้ว ได้ไม่เท่าไหร่ ก็อย่าเพิ่งอ้างว่าแผนไม่ดีก็แล้วกัน แต่ลึกๆ แผนแต่ละอันก็มีจุดเด่น จุดด้อย ต่างกันไป

1. Stair Step (แบบขั้นบันได)

แผนแบบนี้ เราสามารถหาทีมงานได้รอบตัว ไม่จำกัดจำนวน ยิ่งมากยิ่งดี ยอดซื้อก็แล้วแต่บริษัท จะบังคับยอดหรือไม่ ในแต่ละคน แต่ละเดือน ความต่างของรายได้ก็จะอยู่ที่ เปอร์เซ็นต์ ของแต่ละคน ที่ ทีมมากยอดมาก ก็ขึ้นตำแหน่ง ได้เปอร์เซนต์เยอะ ถ้าทีมงานคนไหนเก่ง เปอร์เซ็นก็จะใกล้หรือเท่ากับเรา บริษัทก็อาจมี แมชชิ่ง จ่ายให้ในกรณี ตำแหน่ง หรือเปอร์เซนต์ชนกันก็ได้ แผนนี้ 1 คน มักจะมีรหัสเดียว การจ่ายผลตอบแทน คิดจาก % การซื้อสินค้าที่มีเข้ามาในทีม

2. Bi-nary Tri-nary (คิดการจับคู่)

เป็นการจำกัดจำนวนสายงาน ให้ลงลึก คือ 1 รหัส จะมีรหัสติดตัว 2-3 สายแล้วแต่แบบ คือต้องติดตัวได้ไม่เกินนั้น ที่เหลือการขยายงาน ต้องขยายลงไปทางลึก แผนนี้ทำให ้ช่วยทีมงาน ได้สะดวกใจกว่าแบบแรก โครงสร้างจะไม่เต็มตามที่บังคับก็ได้ ก็ทำทีมลึกลงไป การจ่ายเงิน อาจเป็นการจับคู่ หรือแบบทีมอ่อนทีมแข็งก็ได้ แล้วแต่บริษัท แต่ส่วนใหญ่จะเป็นจับคู่จ่าย แล้วก็จะมีแผนอื่นซ้อนอยู่ด้านล่าง เพื่อให้จ่ายได้หลายแบบ

โดยส่วนใหญ่แล้วแผนแบบนี้ มักจะมีราคาตายตัวในแต่ละรหัสสินค้า ว่าซื้อแพ็คไหนราคาเท่าไหร่ ค่อยมาตีเป็นรหัส เพื่อจับคู่ หรือคิด PV เพื่อคำนวณผลตอบแทนกันต่อไป ดังนั้น แผนนี้ ถ้าใครจะซื้อสินค้าเพิ่มก็จะเป็นรหัสใหม่เพิ่มขึ้นมา

3. Unilevel (นับตามจำนวนชั้น)

แผนแบบนี้จะบังคับโครงสร้าง ติดตัว เช่น 1 แตก 5 แต่ละรหัสก็ต้องติดตัวได้ 5 รหัส และต้องทำให้โครงสร้างเต็ม ที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะ จะจ่ายผลตอบแทน เป็นเปอร์เซ็นต์ ตามจำนวนชั้น ที่เต็ม ซึ่งถ้าเอากันจริงๆ ก็ไม่มีทางเต็มทุกชั้น ดังนั้น จะมีการคิดชดเชย หรือมักจะเรียกว่า Roll Up ให้ คำนวนรวมเอาองค์กรด้านล่างขึ้นมา เสมือนว่า ชั้นนั้นๆเต็มโครงสร้าง

อย่างที่ผมบอกไปแล้ว ว่าทุกแผน ทุกบริษัท ก็จะมีคนสำเร็จของใครของมัน แบบแรก ข้อดีคือ รายได้ จะค่อนข้างนิ่ง และปลอดภัยจากการมองว่าเป็นการปั่นเงิน แต่ถ้าจะให้รวยกันเร็วสะใจ มักจะเล่นแบบที่ 2 แต่ก็แหละ มันก็ล่อแหลมว่า ปั่นเงิน เอาแบบกลางๆเลย ก็เป็นแบบที่ 3 เร็วใช้ได้ และปลอดภัยกว่าแบบที่ 2 นะครับ

ทำไมถึงไม่สำเร็จ


คน ที่เข้ามาในวังวนนี้ ไม่น้อยเลยที่เดียว ที่ทำมาหลายบริษัท พอไม่สำเร็จ ก็มักจะโทษนั่น โทษนี่ ผมพูดเสมอว่า ทุกบริษัทก็มีคนสำเร็จ ของเค้า ดังนั้น ความสำเร็จขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง ก็สิ่งที่หลายๆคนมักจะโทษ ให้นั่นแหละคับ

ปัจจัยที่มีผลต่อ ความสำเร็จ ของการทำเครือข่าย คือ

1. ตัวเราเอง อันนี้สำคัญที่สุดแล้วครับ ทัศนคติ ความขยัน การพัฒนาตัวเอง พัฒนาความรู้ทักษะ อย่าลืมว่าไม่มีใครเก่งมาแต่เกิด ทุกอย่างฝึกกันได้

2. บริษัทหมายถึง ผู้บริหาร ความพร้อม สำนักงาน โรงงาน วิสัยทัศน์ นโยบาย และคุณธรรม ของเจ้าของเป็นเรื่องใหญ่ครับ

3. สินค้า คือคุณภาพ ประเภทสินค้า กลุ่มตลาด และราคา ทุกอย่างเอื้อต่อการทำธุรกิจหรือไม่

4. แผนการตลาด บางอันรวยเร็ว รวยช้า บางอันแน่นอนกว่า เหนื่อยมากน้อยต่างกันไป ผมเขียนไว้แล้วในข้อแผนการตลาด

5. ทีมงาน ทั้งแม่ทีมและลูกทีมละครับ บางคนบ่นว่าไม่เจอคนใช่ แม่ทีมใม่ช่วย ลูกทีมไม่ทำงาน

6. วัฏจักรธุรกิจ สินค้า หรือธุรกิจ บางตัว อาจจะเหมาะกับยุคสมัยใด สมัยหนึ่งเท่านั้น แต่บางตัว ก็ใช้ได้ตลอดไป สำคัญอยู่ที่ เราเข้าไปร่วม ธุรกิจ ณ ช่วงไหน เริ่มต้น จุดสูงสุด หรือ ขาลง หรือช่วง อิ่มตัว หรือคงที่ ซึ่งปัจจัยสุดท้าย นี้จะเป็นตัวแปร ว่าสำเร็จมากหรือน้อย แต่ถ้าบางท่านเข้าไปทำ แล้วไม่คืบหน้าเลย ดูที่ตัวเองก่อนนะครับ

อย่างที่กล่าวมาทั้งหมดครับ เป็นปัจจัยต่อการ ทำธุรกิจ ซึ่งนักการตลาดที่รายได้สูงๆ บางคนไม่มองสินค้าด้วยซ้ำ มองเป็นธุรกิจอย่างเดียว แต่อย่าลืมนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามา สำคัญที่สุดคือ ตัวท่านเอง ดังนั้น ก่อนจะโทษ สิ่งอื่น อย่าลืมดูตัวเองนะครับ

MLM กับ แชร์ลูกโซ

หลายคน ผิดหวังอย่างแรงกับธุรกิจเครือข่ายที่เลือกเข้าไปทำ สุดท้ายเจ้าของปิดกิจการหอบเงินหนีไป เพราะจ่ายไม่ไหว งั้นลองมาดูกันง่ายๆว่า จะแบ่งแยกยังไง เพื่อให้คนที่จะก้าวเข้ามาสู่อาชีพนี้ไม่ผิดหวัง


ธุรกิจขายตรง
แชร์ลูกโซ่
1. มีสินค้าคุณภาพดี ราคาไม่แพงเกินไป 1. ราคาสินค้าแพงเกินไปมาก คุณภาพไม่ชัดเจน
2. มีสำนักงาน โรงงานผลิตชัดเจน 2. มักเช่าสำนักงาน เป็นระยะเวลาสั้นๆ
3. มีใบอนุญาติ สคบ. 3. อาจมี หรือ ไม่มี ใบอนุญาติ จาก สคบ.
4. รายได้เกิดจากการขายสินค้า หรือขยายทีมงาน 4. รับประกันรายได้ แม้ไม่มีการขยายงาน
5. เน้นการนำเสนอสินค้า ควบคู่กับการทำตลาด 5. เน้นให้คนมาลงทุน ไม่สนใจการเคลื่อนของสินค้า
6. ผลตอบแทน แบ่งมาจากค่าการตลาดยอดขายสินค้า 6. ผลตอบแทน เกินจากค่าการตลาดของสินค้า


สรุปง่ายๆว่า ถ้าท่านเข้าไปสมัครทำธุรกิจใด เช่น ลงทุน 10,000 แล้วรับประกันได้เลยว่าท่านจะต้องได้เดือนละ 4-5,000 แบบนี้ ลูกโซ่แน่นอน เพราะขายตรงที่แท้จริง รายได้ต้องมาจากผลงานของท่านหรือทีมงานท่านนะครับ

อีกประการที่น่าห่วง คือ การทำเครือข่าย ไม่ได้หมายความว่าเดินหิ้วของไปขายตามบ้านอย่างเดียวนะครับ คนที่เข้ามาทำแรกๆก็อาจมีการขายสินค้าเพื่อขยายฐานทีมงาน แต่พอทำไปสักระยะ คนเหล่านั้น จะพัฒนาตัวเองเป็นแม่ทีมเป็นผู้นำ สอนทีมงาน สร้างทีมงาน ให้มีความสามารถทำตลาดได้ต่อไป เป็นการพัฒนาความก้าวหน้าในอาชีพครับ ซึ่งที่เห็นตัวอย่าง ชัดๆที่ผ่านมา ถูกตีความแบบนี้ ก็คือ ปูแดง ไคโตซาน ที่โดนเตะตัดขา ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้อหาระดมคน ซึ่งถ้าการเชิญคนมาประชุม สมัครสมาชิกผิด ก็คงไม่เหลือบริษัทใดถูกละครับท่าน

MLM คว้าฝันหรือคว้าน้ำเหลว

ใน สมัยก่อนๆ คนส่วนใหญ่ ยังไม่ค่อยเข้าใจ และอาย ที่จะมาทำ อาชีพเครือข่าย เพราะจะถูกมองว่า ไม่มีงานทำ ถึงมาทำเครือข่าย แต่ในโลกปัจจุบัน ที่ ภาวะ ทุนนิยมเริ่มเบ่งบานชัดเจน ทุกคนดิ้นรน แข่งขันกับภาวะเศรษฐกิจมากขึ้น วัตถุนิยมมากขึ้น ประกอบกับ คนเราหันมาค้าขาย หรือ ประกอบธุรกิจส่วนตัว มากขึ้น ซึ่งการลงทุน ธุรกิจแต่ละอย่าง ก็สาหัสสากันไม่น้อย การหันมาทำธุรกิจเครือข่าย หรือ MLM ก็เป็นที่นิยมกันมากขึ้น มิหนำซ้ำ หลายๆคน ทำเป็น อาชีพหลัก สร้างรายได้ ถล่มทลาย ชนิดที่นักธุรกิจ ที่ลงทุนเป็นแสน เป็นล้านยังอาย
เพราะ ความหอมหวาน ในเรื่องรายได้ และความเป็นอิสระ ในชีวิต อย่างที่หลายคนใฝ่หานี้เอง จึงมีคนไม่น้อย วนเวียน อยู่กับการทำเครือข่าย เข้าบริษัทโน้น วนออก บริษัทนี้ พอถึงจุดที่คิดว่า ทำไม่สำเร็จก็จะแสวงหาตัวใหม่ และอยากจะไปเป็น คนแรกๆของบริษัท เพื่อรายได้หลักล้าน หลักแสน ต่อเดือน อย่างที่หวัง คนที่ทำสำเร็จ ก็อย่างว่า รวยอย่าบอกใคร แต่ถ้านับเทียบ กับจำนวนคนที่ล้มเหลวแล้ว ต่างกันราวฟ้ากับเหว ส่วนใหญ่ก็ต้องอกหัก จนขยาดกับ งานขายตรงไปอีกนาน
ว่า กันตามจริงแล้ว อาชีพนี้ ไม่ได้เลวร้ายตรงไหนเลย จะเลวร้ายก็มีเฉพาะบางบริษัท ตัวแทนบางคน ที่ทำจนอาชีพนี้น่ากลัว ในสายตาชาวบ้าน เพราะถ้าคนที่จะก้าว เข้ามาทำเครือข่ายหรือขายตรง เข้าใจตัวเองก่อนว่า เข้ามาทำอะไร และ ใจต้องพร้อม ก่อนว่า กำลัง ก้าวเข้ามาในโลกของ การเป็นนักธุรกิจ หรือ กำลังจะ เป็นเถ้าแก่หรือนายของตัวเอง หลุดพ้นจากคำว่า งานประจำ หรือมนุษย์เงินเดือน ดังนั้นทุกอย่าง ไม่มีคำว่าแน่นอน เพราะคนที่จะมาเป็นนักธุรกิจ เขารู้อยู่แล้วว่า ไม่มีความแน่นอน แต่ที่ก้าวเข้ามา เพราะแสวงหาความสำเร็จในชีวิต รายได้ที่มหาศาล ถึงมันจะไม่คงที่ก็ตาม นี่แหละคือสิ่งที่คนเครือข่ายแสวงหากัน อิสระ รายได้มากๆ และลงทุนน้อย ผลกำไรเป็นพันหรือเป็นหมื่นๆเท่า ก็ทำได้ แถมยังใช้เวลาไม่นาน ซะด้วย

ดันนั้นคนที่กำลังตัดสินใจ เข้ามาสู่อาชีพนี้ ก็ต้องตัดสินใจให้ดี เพราะอาชีพนี้ จะสำเร็จหรือไม่ บริษัท สินค้า แผน หรือ แม่ทีม จะมีผลต่อความสำเร็จ แต่ก็ถือว่า เป็นส่วนน้อยมาก เมื่อเทียบกับตัวของท่านเอง ดังนั้น ถ้าเข้ามาแล้ว ผิดหวัง ก็ไม่ต้องโทษว่า บริษัทหลอกลวง หรือคนนั้นคนนี้หลอกมา ล้มเหลว หรือสำเร็จ อยู่ที่ตัวท่านเอง ล้วนๆ

แล้วถ้าการลงทุนทำเครือข่าย หลักร้อย หลักพัน หลักหมื่น ยังมาบ่นว่าเจ๊งแล้วละก็ ชีวิตนี้ ท่านไม่ต้องไปหาลงทุน ทำกิจการส่วนตัวอื่นๆ อีกแล้วครับ เพราะจะเจ็บตัวกว่านี้อีกเยอะ

ถ้าใจไม่สู้มือไม่ถึง