วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กลยุทธ์การเพิ่มยอดขาย โดยโค้ชสิริลักษณ์

"กลยุทธ์การเพิ่มยอดขาย" โดยโค้ช สิริลักษณ์

Part I

Part II

Part III

อะไรคืองานสำคัญที่เราต้องทำ?

อะไรคืองานสำคัญที่เราต้องทำ?

“Work Harder on Yourself than You Do on Your Job!!!”

“ทำงานกับตัวคุณเองให้มากกว่าการทำงานทั่วไป!!!”


ประโยคนี้ได้เปลี่ยนชีวิตของ จิม โรห์น กูรูระดับโลกมาแล้ว!!! เมื่อพิจารณาดูก็เห็นจริงตามนั้น คนส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ช้า หรือ ไม่ค่อยมีความสุขเท่าที่ควร เพราะเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเนื่องภายนอกตัว ซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ

คนที่เป็นวิศวกร ก็พยายามศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ คนทำบัญชี ก็พยายามเรียนรู้เรื่องภาษีให้มากที่สุด นักขาย ก็พยายามศึกษาสินค้าหรือบริการที่ตัวเองต้องนำเสนอ พวกเขาหารู้ไม่ว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสำเร็จเท่านั้น สิ่งสำคัญมากกว่านั้นก็คือ เรื่องที่อยู่ภายในตัวของเขาเองต่างหากที่ทำให้ชีวิตของเขาก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น ประสบความสำเร็จได้มากขึ้น มีความสุขเพิ่มขึ้น

อะไรคืองานสำคัญที่ต้องทำกับตัวเราเอง? .. สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ พัฒนาความคิดของตัวคุณเอง ทัศนคติในการใช้ชีวิต ความเชื่อของคุณ อารมณ์ที่คุณมีในแต่ละวัน การกระทำของคุณ การสร้างสายสัมพันธ์ของคุณ การใช้เวลาในชีวิตของคุณ การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม บุคลิกภาพของคุณ การดูแลสุขภาพของคุณ ฯลฯ สรุปรวมแล้วก็คือ การพัฒนาตัวของคุณเองในทุกๆด้าน

เราจะเห็นหลักสูตรการบริหารหลากหลายอย่าง เช่น การบริหารการเปลี่ยนแปลง การบริหารความขัดแย้ง การบริหารความเสี่ยง การบริหารการเงิน ฯลฯ แต่เรากลับไม่ค่อยเห็นหลักสูตรการบริหารตัวเอง หรือ การบริหารชีวิต ใช่ไหมคะ?

นักขายหลายคนมีความรู้เรื่องสินค้าและบริการของเขามาก อธิบายได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ปัญหามันกลับไปอยู่ที่เขาไม่ออกตลาดไปขาย ซึ่งสาเหตุอาจจะมีหลากหลายอย่างเช่น เขาอาจจะกลัวคนปฏิเสธ หรือเขาอาจจะขี้เกียจ หรือเป็นโรคชอบผัดวันประกันพรุ่ง หรือเจอปัญหาอุปสรรคมาเยอะทำให้หมดกำลังใจฯ สารพัดสารพันเหตุผล ซึ่งมันเป็นการติดขัดที่ตัวของเขาเอง จริงไหมคะ?

ดิฉันเคยไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ดิฉันต้องการซื้อแท่นชาร์ตถ่านแบตเตอรี่แบบที่สามารถชาร์ตไฟกลับมาใช่ใหม่ได้ ซึ่งที่ร้านนั้นก็มีหลากหลายแบบมาก มีทั้งรุ่นชาร์ตแบบ 2 ชม. 5 ชม. และ10 ชม. ดิฉันก็ถามพนักงานขายซึ่งเป็นผู้ชายวัยรุ่นอายุประมาณ 20 ปีเศษว่าแต่ละแบบมันใช้งานแตกต่างกันอย่างไร? เขาก็อธิบายแบบรำคาญนิดๆ ดิฉันเหลือบไปเห็นถ่านสี่เหลี่ยมที่ใช้กับไมโครโฟน ดิฉันก็หยิบมาดูราคา พบว่าราคาที่ร้านนี้สูงกว่าที่ขายในร้าน 7-11อีก ทำให้ดิฉันพาลไปคิดว่าของทุกอย่างในร้านนี้อาจจะขายแพงกว่าที่อื่นก็ได้ ดิฉันจึงพูดกับคนขายว่า ทำไมถ่านที่นี่ถึงแพงกว่าที่ 7-11ล่ะ! ชายหนุ่มคนนั้น ไม่ตอบอะไร เขามองหน้าดิฉัน แล้วเมินหน้ามองไปนอกร้าน โดยไม่สนใจดิฉันเลย!! ดิฉันรู้สึกหน้าแตกมากที่โดนปฏิบัติแบบนี้กลับมา ดิฉันจึงวางของ แล้วเดินออกจากร้านนั้นไป แล้วไปซื้อที่ร้านอื่นแทน ซึ่งดิฉันซื้อไปเป็นพันบาท เพราะดิฉันมีถ่านรีชาร์ตหลายขนาด

ดิฉันโมโหมากและคิดในใจว่า น้องเอ๋ย เธอก็คงจะต้องยืนขายของอยู่อย่างนี้ไปอีกนาน ชีวิตจะก้าวหน้าได้อย่างไรถ้าทำงานแบบนี้ ปฏิบัติกับลูกค้าแบบนี้ คิดว่าตัวเองเป็นพนักงานขายของ ก็มีหน้าที่มายืนขายหน้าร้าน ตอบคำถามลูกค้าเท่านั้นหรือ? ไม่ได้รักงานที่ตัวเองทำเลยหรือไร? ไม่เคยสนใจอยากจะบริการให้ลูกค้าประทับใจเพื่อจะได้กลับมาซื้อใหม่ใช่ไหม? หรือว่าอารมณ์ไม่ดีในวันนั้น จึงไม่มีอารมณ์จะขายไปด้วย?

พอความโกรธในใจของดิฉันลดลงแล้ว ดิฉันก็มีสติกลับมาใหม่ แล้วพิจารณาตัวเองทันทีเลยว่า ฉันพูดอะไร ฉันทำอะไรไป ทำให้เขาปฏิบัติกับฉันแบบนี้? ดิฉันก็เห็นว่า อ๋อ เราคงใช้เวลาในการเลือกนานเกินไป และเราคงถามในสิ่งที่เขาคิดว่าเราน่าจะรู้ แต่เราดันไม่รู้ เขาจึงรำคาญ อีกอย่างหนึ่งคือ เราดันไปพูดทำนองต่อว่าว่าของเขาแพงกว่าที่อื่น เขาก็คงไม่พอใจเหมือนกัน .. เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว ก็บอกตัวเองว่า วันหลังถ้าจะซื้อของก็ให้พูดกับคนขายดีๆ อย่าไปพูดทำนองต่อว่าเขา เพราะไม่มีใครอยากโดนตำหนิหรอก และเขาก็คงไม่ได้เป็นคนตั้งราคาขายเองด้วย .. คิดได้แบบนี้ เราก็สบายใจขึ้น และรู้สึกว่าตัวเองจะได้พัฒนาทักษะที่ใช้สื่อสารไปอีกขั้น

สิ่งสำคัญที่ดิฉันอยากจะบอกก็คือ เราแต่ละคนต้องพิจารณาที่ตัวของเราเอง ถ้าเรามัวแต่ไปพัฒนาคนอื่น ตัวเราเองก็อาจจะถูกละเลยในการพัฒนาไป ทำให้ชีวิตของเราประสบความสำเร็จได้ช้า หรือไม่มีความสุขเท่าที่ควร

พิจารณาเลย เวลาที่โกรธ ทำไมถึงโกรธ? เวลาเครียด ทำไมถึงเครียด? เวลากลัว ทำไมถึงกลัว? เราคิดไม่ถูกเองหรือเปล่า? เราคาดหวังอะไรมากไปหรือเปล่า? เราฟุ้งซ่านหรือตีความอะไรไปเองหรือเปล่า? เรายึดติดกับอดีตมากไปหรือเปล่า? หรือเรากังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง?

วิธี ”ดึงดูด” สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

วิธี ”ดึงดูด” สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

ตอนนี้หนังสือชื่อ “The Secret” “เดอะ ซีเคร็ต” กำลังดัง มีคนสนใจหาซื้อมาอ่านกันมากมาย ในหนังสือเล่มนี้พูดถึงเรื่องของ The Law of Attraction “กฎของการดึงดูด” ซึ่งมีอยู่ว่ามีอยู่ว่า “สิ่งที่เหมือนกันจะมีแรงดึงดูดเข้าหากัน” ดังนั้นเวลาที่คุณคิดถึงอะไร คุณก็จะดึงดูดความคิดแบบเดียวกันเข้ามาหาคุณ!!

คุณคือแม่เหล็กขนาดใหญ่!! .. คุณจะดึงดูดสิ่งที่คุณคิดถึงมากที่สุดเข้ามา .. ความคิดของคุณจะกลายเป็นความจริง!!


อะไรก็ตามที่คุณกำลังคิดอยู่ในขณะนี้ กำลังสร้างชีวิตของคุณในอนาคต สิ่งที่คุณคิดถึงมากที่สุดและเพ่งสมาธิจดจ่อมากที่สุดจะปรากฏขึ้นเป็นชีวิตจริงของคุณ!! .. จงคิดถึงแต่สิ่งที่คุณต้องการ อย่าคิดถึงสิ่งที่คุณไม่ต้องการ!

ถ้าคุณคิดถึงสิ่งดีๆ สิ่งดีๆก็จะถูกดึงดูดให้เข้ามาหาคุณ ถ้าคุณคิดถึงความร่ำรวย ความร่ำรวยก็จะเป็นของคุณ ถ้าคุณคิดว่าชีวิตมันยากลำบาก คุณต้องดิ้นรนต่อสู้ คุณก็จะได้รับประสบการณ์ที่ยากลำบากต้องดิ้นรนต่อสู้ .. อย่าลืมว่า “คิดอย่างไร ได้อย่างนั้น!”

คนส่วนใหญ่ดึงดูดสิ่งต่างๆเข้ามาอย่างอัตโนมัติ เพราะเราปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ เราไม่ค่อย“มีสติ”ในการควบคุมความคิด และมันก็เป็นการยากที่เราจะคอยควบคุมความคิดของเราตลอดเวลา เพราะวันหนึ่งๆคนเราคิดประมาณหกหมื่นเรื่อง!!

มีวิธีตวจสอบความคิดของคุณแบบง่ายๆคือ “ดูอารมณ์และความรู้สึกของคุณ” เพราะอารมณ์บอกให้คุณรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไร ตอนนี้คุณรู้สึกดีหรือรู้สึกแย่ เวลาที่คุณรู้สึกดี แสดงว่าคุณกำลังคิดเรื่องดีๆอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะรู้สึกดีในขณะที่กำลังคิดอะไรแย่ๆ!! .. ให้รู้ไว้ว่า ขณะที่คุณรู้สึกดี คุณกำลังดึงดูดสิ่งดีๆที่จะทำให้คุณรู้สึกดีเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ดังนั้นถ้าเมื่อไรที่คุณรู้สึกแย่ คุณจะต้องรีบหาวิธีที่จะเปลี่ยนความรู้สึกนั้นให้เร็วที่สุด!! อาจจะเปิดเพลงเพราะๆฟัง หรือร้องเพลงโปรดของคุณ นึกถึงสิ่งสวยงาม คิดถึงเรื่องตลก นึกถึงคนที่คุณรัก หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณชอบไป ฯลฯ

ความรักเป็นอารมณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด! ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป หากคุณสามารถรักทุกสิ่งทุกอย่างและรักทุกคนได้ ยิ่งคุณส่งกระจายความรักออกไปมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งมีพลังอำนาจมากขึ้นเท่านั้น!

ชีวิตและทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตถูกสร้างขึ้นด้วยตัวของคุณเอง! กฎแห่งการดึงดูดคอยรับฟังคุณตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะคิด พูด หรือทำอะไร จักรวาลนี้จะเข้าใจว่าคุณทุกอย่างที่คุณคิด พูด และทำ คือสิ่งที่คุณต้องการ!

กระบวนการสร้างสิ่งที่คุณปรารถนา

ขั้นที่ 1 : ขอ .. จงขอต่อจักรวาล บอกให้จักรวาลรู้ว่าคุณต้องการอะไร เขียนสิ่งที่คุณต้องการลงไปในแผ่นกระดาษ เขียนในรูปปัจจุบันกาลด้วย

ขั้นที่ 2 : เชื่อ .. จงมีศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ยังมองไม่เห็น เชื่อว่าสิ่งที่คุณขอนั้นเป็นของคุณแล้ว คุณจะต้องคิด พูด และทำ ราวกับว่าคุณกำลังได้รับสิ่งนั้นอยู่ในตอนนี้ คนส่วนใหญ่ไม่ปล่อยให้ตัวเองนึกอยากได้สิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ เพราะมองไม่เห็นว่าสิ่งนั้นจะเป็นจริงขึ้นได้อย่างไร คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าทำอย่างไร สิ่งต่างๆจะปรากฏให้คุณเห็นเอง คุณจะดึงดูดหนทางเข้ามาหาตัวคุณเอง!!

ขั้นที่ 3 : รับ .. จงรู้สึกดี มีความสุข และปลาบปลื้มยินดีแบบเดียวกับที่คุณจะรู้สึกเมื่อเกิดสิ่งนั้นขึ้นจริงๆ การรู้สึกดีตั้งแต่ตอนนี้จะนำคุณเข้าไปอยู่ในคลื่นความถี่เดียวกับสิ่งที่คุณต้องการ

สิ่งสำคัญต่อไปที่คุณต้องทำก็คือ “การสำนึกคุณ”!!!

เวลาที่คุณให้สิ่งดีๆกับใครแล้วเขาขอบคุณคุณกลับมา คุณรู้สึกดีใช่ไหม? และคุณก็อยากจะให้สิ่งดีๆกับเขาเพิ่มมากขึ้นอีกใช่หรือไม่? เช่นเดียวกัน เวลาที่เราได้รับสิ่งดีๆที่จักรวาลมอบให้ แล้วเราขอบคุณต่อจักรวาล จักรวาลก็จะมอบสิ่งดีๆเพิ่มให้เราอีก ที่สำคัญก็คือ เวลาที่เราขอบคุณ ให้ใจของเรารู้สึกถึงความโชคดีที่เรากำลังได้รับสิ่งดีๆอยู่ แล้วเราก็จะดึงดูดสิ่งดีๆเพิ่มมากขึ้นอีก

ดังนั้นจงเริ่มสำนึกคุณในสิ่งที่คุณมีอยู่แล้ว! ไม่ใช่พร่ำบ่นถึงแต่สิ่งที่คุณยังไม่มี!!

อีกวิธีที่มีพลังมากคือ การขอบคุณล่วงหน้าราวกับว่าคุณได้รับสิ่งที่คุณต้องการแล้ว!!

สิ่งที่คุณต้องทำต่อไปก็คือ การสร้างมโนภาพในใจว่าคุณกำลังได้รับสิ่งที่คุณต้องการ คุณจะต้องให้ตัวเองสัมผัสกับ“ความรู้สึกดีๆ” ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความรัก ความสดชื่นรื่นรมย์ฯ จริงๆแล้วความรู้สึกต่างหากที่ก่อให้เกิดแรงดึงดูด ไม่ใช่แค่ภาพหรือความคิด!

ตกลงใจว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ เชื่อมั่นว่าคุณมีสิ่งนั้นได้ เชื่อมั่นว่าคุณสมควรได้รับสิ่งนั้นและมันเกิดขึ้นได้จริงๆ แล้วหลับตาลงเป็นเวลาหลายๆนาทีทุกๆวัน เพื่อสร้างมโนภาพว่าคุณมีสิ่งที่ต้องการแล้ว และจงรู้สึกถึงความรู้สึกแห่งการมีสิ่งนั้นอยู่ในครอบครอง จากนั้นก็ลืมตาขึ้น รวมศูนย์รวมความคิดไปยังสิ่งที่คุณรู้สึกสำนึกคุณอยู่ก่อนแล้ว ชื่นชมกับสิ่งเหล่านั้นจริงๆ จากนั้นก็เริ่มต้นวันโดยเปล่งคลื่นความคิดออกไปในจักรวาล ด้วยความเชื่อมั่นว่าจักรวาลจะต้องหาทางทำให้สิ่งที่คุณต้องการปรากฏขึ้นจนได้!!!

ถ้าอยากมั่งคั่งร่ำรวย ให้รวมศูนย์ความคิดไปที่ความมั่งมีศรีสุข จินตนาการว่าคุณมีเงินเท่าที่ต้องการแล้ว และให้รู้สึกมีความสุขตั้งแต่ตอนนี้ เพราะนี่คือทางลัดที่สุดที่จะชักนำเงินทองเข้ามาในชีวิตคุณ!!!

ดิฉันแนะนำให้คุณไปซื้อหนังสือ “The Secret” มาอ่าน และลงมือปฏิบัติตามที่หนังสือแนะนำด้วยนะคะ! แล้วคุณจะได้พบกับความมหัศจรรย์ค่ะ!!

เสียงสะท้อนของชีวิต

เสียงสะท้อนของชีวิต

เมื่อเร็วๆนี้ดิฉันได้รับ email ที่เพื่อนส่งมาให้ ชื่อเรื่องว่า “The Echo of Life .. เสียงสะท้อนของชีวิต” ซึ่งดีมากๆ ดิฉันจึงนำมาเล่าสู่คุณผู้อ่านในฉบับนี้ เรื่องมีอยู่ว่า ..

มีชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้าไปในป่ากับลูกชายของเขา จู่ๆลูกชายเกิดเจ็บแปล๊บขึ้นมาจึงตะโกนร้องออกไปว่า “โอ๊ย!” แล้วเขาก็รู้สึกประหลาดใจเพราะได้ยินเสียงดังออกมาจากภูเขาว่า “โอ๊ย..” ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงตะโกนถามไปว่า “คุณแป็นใคร?” แล้วเขาก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า “คุณเป็นใคร?..” เจ้าลูกชายรู้สึกโกรธมากจึงตะโกนด่าออกไปว่า “ไอ้คนขี้ขลาด!” แล้วเขาก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า “ไอ้คนขี้ขลาด..”

ลูกชายมองหน้าพ่อของเขาแล้วถามว่า “มันเกิดอะไรขึ้นครับพ่อ?” ผู้เป็นพ่อบอกว่า “ตั้งใจฟังให้ดีๆนะลูก” แล้วผู้เป็นพ่อก็ตะโกนออกไปว่า “ฉันชื่นชมคุณ” เสียงนั้นก็ตอบกลับมาว่า “ฉันชื่นชมคุณ” ผู้เป็นพ่อตะโกนออกไปอีกว่า “คุณสุดยอดมาก” เสียงนั้นก็ตอบกลับมาว่า “คุณสุดยอดมาก” แล้วผู้เป็นพ่อก็บอกกับลูกชายว่า “สิ่งนี้เขาเรียกว่า “เสียงสะท้อน” ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันก็คือ “ชีวิต”นั่นเอง”

ชีวิตจะ“ให้”ในสิ่งที่คุณได้“ให้”ออกไปเสมอ ชีวิตเป็นกระจกสะท้อนการกระทำของคุณ

ถ้าคุณ”ต้องการ”ความรัก “ให้”ความรักของคุณออกไปก่อน .. ถ้าคุณ”ต้องการ”ความเมตตากรุณามากกว่าเดิม คุณต้อง”ให้”ความเมตตากรุณามากขึ้น .. ถ้าคุณ”ต้องการ”ความเข้าใจและความเคารพนับถือ “ให้”ความความเข้าใจและความเคารพนับถือ .. ถ้าคุณ”ต้องการ”ให้คนอื่นอดทนและให้เกียรติคุณ คุณต้อง”ให้”ความอดทนและให้เกียรติผู้อื่น .. กฎของธรรมชาติข้อนี้ใช้ได้กับทุกแง่มุมของชีวิต

ชีวิตจะ”ให้”กลับคืนในสิ่งที่คุณได้”ให้”ออกมาเสมอ “ชีวิต”ไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ แต่”ชีวิต”เป็นกระจกสะท้อนสิ่งที่คุณได้ทำลงไป!

เป็นบทเรียนที่ดีมากเลยใช่ไหมคะ? ลองดูซิคะว่าตอนนี้ชีวิตของคุณเป็นอย่างไร? มีความสุขหรือมีความทุกข์มากกว่ากัน? คนอื่นเขาดีกับคุณหรือทำไม่ดีกับคุณ? งานของคุณก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้า? แล้วลองมองย้อนไปดูว่าคุณได้ทำอะไรไว้จึงได้รับผลที่ได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้?

ถ้าคุณมีความสุข แสดงว่าคุณเป็นคนมองโลกในแง่บวก ถ้าคุณมีความทุกข์ แสดงว่าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ลบ ถ้าคนอื่นเขาดีกับคุณ แสดงว่าคุณดีกับเขามาก่อน แต่ถ้าคนอื่นทำไม่ดีกับคุณ แสดงว่าคุณเคยทำไม่ดีกับเขาเอาไว้ (อาจจะทำไปโดยไม่รู้ตัว) ถ้างานของคุณก้าวหน้า แสดงว่าคุณเอาใจใส่ทุ่มเทเป็นอย่างดี ถ้างานของคุณไม่ก้าวหน้า แสดงว่าคุณยังเอาใจใส่ทุ่มเทไม่มากพอ! .. มันเป็นเช่นนั้นหรือไม่คะ?

ความจริงแล้วเราคงเคยได้ยินได้ฟังมาว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” .. “ใครทำกรรมใดไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น” .. “สร้างเหตุที่ดี แล้วผลที่ดีก็จะตามมาเอง” มันเป็นหลักการเดียวกันกับเรื่องเสียงสะท้อนของชีวิตที่เล่ามาข้างต้น ดังนั้นพวกเราน่าจะดีใจที่กฎธรรมชาติมันเป็นแบบนี้ เพราะว่า ถ้าเราอยากได้ผลลัพธ์อะไร เราก็สร้างเหตุของมันขึ้นมาได้เองเดี๋ยวนี้เลยจริงไหมคะ?

ถ้าเราอยากให้คนอื่นยิ้มให้เรา เราก็ยิ้มให้คนอื่นก่อน ถ้าเราอยากให้คนอื่นพูดดีๆกับเรา เราก็พูดดีๆกับคนอื่นก่อน ถ้าเราอยากให้ทีมงานของเราขยัน เราก็ขยันให้เขาดูก่อน ถ้าเราอยากสำเร็จ เราก็ต้องมุ่งมั่นทุ่มเทก่อน!!! .. ว้าว! .. ชีวิตอยู่ในกำมือของเรานี่นา!!

ถ้าชีวิตอยู่ในกำมือเรา แล้วเราจะสร้างชีวิตของเราอย่างไรดีล่ะคะ? คุณอยากเห็นชีวิตของคุณเป็นแบบไหน? คุณอยากให้คนอื่นพูดถึงคุณว่าอย่างไร? คุณจะมีความรู้สึกอย่างไร ถ้าคุณทำได้ในทุกสิ่งที่คุณอยากจะทำ? เขียนมันออกมาเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า! .. เฮ้! .. ชีวิตที่ฉันปรารถนา!

เวลาที่คุณมีแรงบันดาลใจอะไรบางอย่าง อย่าปล่อยให้มันผ่านเลยไปนะคะ! ต่อไปนี้ขอให้คุณพกสมุดเล่มเล็กๆติดตัวไว้ เวลาที่คุณมีแรงบันดาลใจเรื่องอะไร หรือมีความคิดอะไรดีๆแว๊บขึ้นมา หรือประทับใจ หรือมีความสุขเรื่องอะไร ให้รีบจดบันทึกไว้! คุณรู้ไหมคะว่า “ปัญญาญาณ” จะเกิดตอนที่จิตใจเรานิ่ง สงบ เบาสบาย มีความสุข .. บางครั้งความคิด หรือไอเดียดีๆมันจะแว๊บขึ้นมา ถ้าเราไม่จดไว้มันก็จะหายไป!

นับจากวันนี้ไป ขอให้คุณตั้งใจมั่นกับตัวเองว่าจะ คิด พูด ทำ แต่ในสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่น เป็น”ผู้ให้”โดยไม่ต้องหวังสิ่งตอบแทน ช่วยเหลืออะไรใครได้ ขอให้ช่วยเท่าที่กำลังของเราทำได้ เราสามารถจะ”ให้”ได้มากมายหลายอย่าง เช่น ให้ความรัก ให้รอยยิ้ม ให้ความสุข ให้กำลังใจ ให้คำปรึกษา ให้เงิน ให้เวลา เราให้อะไรก็ได้ และการให้ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ให้อภัย! .. ให้อภัยแม้กระทั่งคนที่คุณเกลียด คนที่ทำไม่ดีกับคุณ และที่สำคัญคือ คุณต้องให้อภัยตัวเองด้วย! .. นี่คือสิ่งที่สุดยอดที่สุดแล้ว! .. โชคดีค่ะ!

จดหมายนี้สำหรับ..(ตอนที่ 2)

จดหมายนี้สำหรับ ... (ตอนที่ 2)

ดิฉันขอทบทวนจดหมายในตอนที่ 1 สักนิดนะคะ.. มีผู้ชายคนหนึ่งเขียนมาถามดิฉันว่าเขาจะปลุกใจตัวเองขึ้นมาได้อย่างไรถ้าชีวิตเขาเริ่มจากติดลบคือมีหนี้สินอยู่มาก? ดิฉันก็บอกว่าก่อนอื่นให้เขายอมรับหรือทำใจให้ได้ก่อนว่าเขามีหนี้สินอยู่จริง อย่ารู้สึกต่อต้านหรือหดหู่ใจ แล้วให้มองไปข้างหน้าว่าเขาจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น ประกาศความตั้งใจออกมาอย่างเข้มแข็งจริงจัง!! .. และนี่คือคำแนะนำที่ดิฉันมีให้กับเขาต่อไป ..

สิ่งที่ดิฉันแนะนำให้คุณลงมือปฏิบัติ มีดังนี้

1. มองไปข้างหน้าในอนาคต ในสิ่งที่จะทำต่อไปให้ดีขึ้น วางปัญหาให้อยู่กับอดีตไว้ก่อน นี่ไม่ใช่เป็นการหนีปัญหา แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เมื่อเราก้าวเดินไปข้างหน้า เราเริ่มมีรายได้เข้ามา ให้แบ่งบางส่วนไปชำระหนี้ แต่ ให้เจรจาจ่ายหนี้ให้น้อยที่สุด ขอยืดระยะเวลาออกไปให้ได้นานที่สุด ไม่ต้องรีบจ่าย ขอความเห็นใจเขา เพราะคุณจำเป็นต้องเก็บเงินบางส่วนไว้ลงทุนต่อไปอีก และอย่าเอาเงินไปซื้อของที่ไม่ก่อให้เกิดเงินกลับเข้ากระเป๋า เช่น บ้าน รถ ฯ อย่าคิดว่าคุณไม่อยากขึ้นชื่อว่าติดหนี้ใคร จึงอยากรีบๆใช้หนี้ให้หมดๆ เพราะมันไม่ใช่วิธีบริหารเงินที่ถูกต้อง จะขึ้นชื่อว่าเป็นหนี้ ก็ไม่เป็นไร คุณไม่ตายเพราะคำๆนี้หรอก แต่คุณจะอดตายถ้าไม่มีเงินใช้ เข้าใจไหมคะ?

และอย่าคิดเบี้ยวหนี้ด้วย เราต้องรับผิดชอบ แต่ขอให้เขาลดหนี้ลงให้เหลือน้อยที่สุด แสดงความจริงใจว่าเราจะพยายามใช้คืนให้ แต่ขอประนอมหนี้และยืดเวลาออกไป

2. ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา ให้ลุกจากที่นอนทันที (ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก แต่ถ้าคุณตั้งใจ

คุณทำได้แน่) ฉลอง “YES” ทันที บอกกับตัวเองว่า “ฉันทำได้” ด้วยน้ำเสียงที่มี

ชัยชนะและฮึกเหิม ลุกขึ้นจากเตียง แล้วให้ออกไปฝึกเดิน

3. ฝึกเดินแบบมีพลัง เดินยืดอกมั่นใจ ใส่พลังไปในทุกฝีก้าวที่เดิน เดินให้เร็วขึ้นๆ

ทำ 10 นาทีแล้วเริ่มพูด

4. ในระหว่างที่เดินให้พูดออกเสียงดังๆกับตัวเองว่า “ฉันมีพลัง ฉันเชื่อมั่น ฉันทำได้” “ฉันเก่งที่สุด ฉันเยี่ยมที่สุด ฉันรักตัวฉัน ฉันจะดูแลตัวฉันให้ดีที่สุด” คุณจะพูดอะไรก็ได้ที่เป็นการให้พลังกับตัวเอง สร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง ให้ทำ 10 นาที

5. ต่อไป ให้เริ่มเดินผ่อนคลาย ทำจิตใจให้โปร่งๆเบาสบาย แล้วเริ่มพูดขอบคุณทุกสิ่งที่อยู่ในชีวิตของคุณ ใส่ความรู้สึกเข้าไปสัมผัสจริงๆว่าคุณอยากจะขอบคุณ เริ่มจาก ...

ฉันขอขอบคุณต่อพ่อแม่ที่ให้กำเนิดฉันมา

ฉันขอขอบคุณต่อศาสนาที่ฉันยึดมั่น

ฉันขอขอบคุณต่อครอบครัวของฉันทุกคนที่น่ารักมาก

ฉันขอขอบคุณต่อร่างกายของฉันที่แข็งแรงสุดยอดมาก

ฉันขอขอบคุณต่อปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของฉัน

มันทำให้ฉันได้เรียนรู้ เติบโต และแข็งแกร่งมากขึ้น

ฉันขอขอบคุณต่อความมุ่งมั่นของฉัน ฉันจะทำให้ความฝันของฉันปรากฏเป็นจริง

ฉันขอขอบคุณต่อครูบาอาจารย์และโค้ชทุกคนของฉัน

ฉันขอขอบคุณต่อ ....... (แล้วแต่ที่คุณอยากจะขอบคุณ)

การสำนึกคุณ หรือ การขอบคุณ เป็นพลังด้านบวกที่ยิ่งใหญ่มากๆ เป็นพลังที่จะดึงดูดสิ่งดีๆทั้งหลายเข้ามาในชีวิตของคุณ เมื่อคุณรู้สึกสัมผัสได้จริงๆว่าคุณขอบคุณจากส่วนลึกของจิตใจ ข้างในใจของคุณจะเริ่มอิ่มเอม คุณจะรู้สึกว่าคุณเป็นคนโชคดี ที่คุณมีสิ่งดีๆต่างๆเหล่านี้ในชีวิต คุณจะมีความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมอยู่ข้างในใจ คุณจะใช้ชีวิตแบบมีความสมบูรณ์พร้อม มั่งคั่งในหัวใจ คุณจะรู้สึกว่าคุณเป็นคนโชคดี คุณยังโชคดีกว่าอีกหลายล้านชีวิตบนโลกใบนี้ คุณพร้อมจะเป็นผู้ให้ ข้างในใจของคุณจะไม่รู้สึกขาดแคลนอีกต่อไป คุณจะเริ่มรักชีวิตของคุณมากขึ้น คุณจะเริ่มสร้างสรรค์สิ่งดีงามมากขึ้น คุณจะเริ่มเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่แบ่งปันมากขึ้น และนั่นจะทำให้คุณมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม ไม่ว่าคุณจะมีเงินอยู่ในกระเป๋าเท่าไรก็ตาม นี่คือความมั่งคั่งที่แท้จริง!!!

6. ต่อไป ให้เริ่มจินตนาการหรือใส่ความรู้สึกถึงอนาคตที่คุณอยากให้มันเกิด คุณอยาก

เห็นภาพชีวิตของคุณ ภาพความสำเร็จของคุณในอนาคตอีก 1 ปี ข้างหน้าว่าเป็น

อย่างไร? นึกเห็นภาพให้ชัดเจน คุณอยู่กับใคร? คุณทำอะไร? คุณมีรายได้เท่าไร?

คนอื่นพูดถึงคุณว่าอย่างไร? เขาชื่นชมคุณว่าอย่างไร? ให้คุณเข้าไปสัมผัสกับอารมณ์

ความรู้สึกตรงนั้น ให้เสมือนจริงเลยว่าคุณกำลังมีชีวิตเช่นนั้นแล้วในขณะนี้ คุณยิ้ม

อย่างมีความสุขขนาดไหน? คุณมีความรู้สึกอย่างไร? ให้อยู่กับภาพและความรู้สึกนั้น

ประมาณ 10 นาที

7. ฉลองให้กับวันที่ดีที่สุดอีกวันหนึ่งในชีวิตของคุณ ฉลอง “YES” ให้กับตัวเอง กระโดด

โลดเต้น แบบสุดเหวี่ยง แบบสุดฤทธิ์สุดเดช ให้กับวันนี้ที่จะมาถึง YES YES YES !!!

เอาล่ะ .. เริ่มต้นเท่านี้ก่อน หวังว่าการโค้ชของดิฉันจะทำให้คุณมีชีวิตที่คุณปรารถนา แต่ทั้งหมดนี้ ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองเท่านั้น ที่จะทำให้มันปรากฏเป็นจริง!!!

คุณมีพลัง .. โค้ชเชื่อมั่น .. คุณทำได้ !!!

จดหมายฉบับนี้สำหรับทุกคนที่ต้องการกำลังใจ

จดหมายฉบับนี้สำหรับทุกคนที่ต้องการกำลังใจ ต้องการสติปัญญา ต้องการทำชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ .. จดหมายฉบับนี้สำหรับคุณด้วยค่ะ!!!

มีผู้ชายคนหนึ่งเขียน email มาหาดิฉันบอกว่า ...

“ผมเข้าอบรมกับอาจารย์เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.48 ประทับใจที่อาจารย์สอนมากครับ แต่มีข้อสงสัยคือ กรณีคนทั่วไปที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่มต้นจากศูนย์ การปลุกยักษ์ขึ้นมาอาจจะไม่ใช่เรื่องยากมากนัก แต่กรณีที่มีทุกข์อยู่มากๆ เช่น เรากำลังมีหนี้สินอยู่มากๆ เป็นต้น และคิดว่าตัวเองอยู่ในขั้นติดลบ ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ การปลุกใจตัวเองขึ้นมาเป็นเรื่องที่ยากมากเลยครับ พยายามที่จะทำอย่างอาจารย์สอนคือ เปลี่ยนจากความเจ็บปวดให้เป็นพลัง นั้นทำได้ยากมาก เพราะเราไม่มีหลักยึดเลย อยากถามว่ากรณีเช่นนี้ เราจะมีหลักคิดอย่างไรครับ เราจะพึ่งหรือวางความรู้สึกไว้ที่ใด จึงจะถีบตัวเองจากความรู้สึกที่ติดลบ และเกิดโมเมนตั้ม อย่างที่อาจารย์สอนได้ครับ ขอบพระคุณมากครับ”

ดิฉันตอบเขาไปว่า ...

ก่อนอื่นขอให้เราทำความเข้าใจในชีวิตของเราก่อนว่า แท้ที่จริงแล้วเราเกิดมาทำไม? และเราจะสร้างสรรค์อะไรให้แก่โลกใบนี้? ถ้าคุณเป็นชาวพุทธ คุณคงจะพอทราบว่า คนเรามีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ใครทำกรรมใดไว้ไม่ว่าจะดีหรือเลวก็ตาม ย่อมต้องได้รับผลกรรมนั้น เมื่อทราบเช่นนี้ เราคงต้องยอมรับต่อผลของกรรมที่เรากำลังได้รับอยู่นี้ เราอาจจะเคยทำกรรมไม่ดีเอาไว้ตั้งแต่ชาติก่อนก็ได้ ซึ่งถ้าเรายอมรับในสิ่งที่มันเกิดขึ้นว่าเราเป็นผู้ก่อไว้นานแล้ว ก็ O.K. ถ้าเรายอมรับได้เช่นนี้จิตใจของเราก็จะไม่ถูกบีบรัด ไม่เกิดความรู้สึกต่อต้าน หรือคร่ำครวญรันทดกับตัวเองว่า ทำไมถึงต้องเป็นเรา? (คำถามว่า “ทำไม” จะทำให้เราวกวนและจมอยู่กับปัญหา ซึ่งไม่ควรใช้คำถามกับตัวเองแบบนี้ เพราะไม่ก่อให้เกิดสติปัญญา)

เมื่อจิตใจปล่อยวาง ยอมรับในสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น จิตจะเริ่มนิ่ง ผ่อนคลาย และจะเริ่มมีพลังขึ้นมาใหม่ มันอาจจะทำใจได้ยากในตอนแรก แต่เราก็ต้องพยายามบอกตัวเองให้ยอมรับและปล่อยวาง เราเกิดมาเพื่อเป็นผู้ดูสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราเท่านั้น อย่าไปยึดว่านี่คือตัวเรา นี่คือชีวิตของเราที่แท้จริง ถ้าเราเป็นเพียงแค่ผู้ดูและผู้รู้ จิตของเราก็จะนิ่งขึ้น ไม่ว่าเกิดเรื่องดีผ่านเข้ามาในชีวิตเรา เราก็แค่ดู รับรู้ แล้วก็ผ่านไป ไม่ว่าเกิดเรื่องไม่ดีผ่านเข้ามาในชีวิตเรา เราก็แค่ดู รับรู้ แล้วก็ผ่านไป ดูและรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีละเหตุการณ์ทีละเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ อย่าไปคิดว่า “เรื่องนี้ไม่น่าเกิดขึ้นเลย เรื่องนั้นไม่น่าเกิดขึ้นเลย” เรื่องที่เกิดขึ้นก็คือเรื่องที่เกิดขึ้น แค่นั้น จบ.

เมื่อจิตเราไม่ถูกบีบรัดแล้ว จิตเราจะเริ่มนิ่ง ผ่อนคลาย เป็นกลางๆ โล่งๆ ว่างๆ หลังจากนั้น จิตเราจะเริ่มมีพลัง ให้เราเริ่มคิดว่า ตัวเราเองนั้นอยากจะเป็นคนแบบไหน? อยากจะเป็นคนมีนิสัยอย่างไร? (ก่อนที่จะไปคิดว่าเราอยากจะทำอะไร) เมื่อพิจารณาดีแล้ว ให้เขียนลงสมุดหรือบอกกับตัวเองอย่างจริงจังว่า “ฉันจะเป็นคนที่ .............. เช่น ขยัน มุ่งมั่น อดทน รับผิดชอบ กล้าหาญ มีเมตตากรุณา เต็มเปี่ยมด้วยความรักและความปรารถนาดีต่อผู้อื่น เป็นคนที่มีพลังชีวิต ฯลฯ” (ขอให้เป็นคนที่คุณอยากจะเป็นให้ได้จริงๆ ซึ่งไม่จำเป็นว่าตอนนี้คุณจะเป็นเช่นนั้นหรือยัง แต่เป็นตัวคุณในอุดมคติที่คุณอยากจะเป็น)

ต่อไปให้สำรวจชีวิตของคุณที่เป็นอยู่ และให้มองไปข้างหน้า แล้วเริ่มถามคำถามที่ก่อให้เกิดสติปัญญาว่า

เราอยากให้ชีวิตของเราในอนาคตเป็นอย่างไร?

เราจะทำอะไรให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้บ้าง?

มีใครที่เราพอจะไปขอความช่วยได้บ้าง? ใครจะช่วยสนับสนุนเราได้บ้าง?

เรามีความสามารถอะไรบ้าง? เราชอบหรือเราสนใจเรื่องใดเป็นพิเศษบ้าง?

เราจะหางาน หาเงินจากวิธีไหนได้บ้าง? หรือหาจากที่ไหนได้บ้าง?

ใครเป็นลูกค้าของเราได้บ้าง? ตลาดใหม่ๆของเราอยู่ที่ไหนบ้าง?

เรามีความสามารถอะไรที่พอจะช่วยเหลือคนอื่นได้บ้าง? (นำไปทำเป็นงานและเป็นเงิน)


ดิฉันไม่รู้ว่าคุณมีความมุ่งมั่นตั้งใจแค่ไหน ที่จะพัฒนาชีวิตของคุณให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ คุณมีความใฝ่ฝันอะไรในชีวิต? คุณอยากประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรบ้าง? คุณอยากให้คนอื่นพูดถึงคุณว่าอย่างไรบ้าง? ตอบคำถามเหล่านี้ให้ชัดเจนกับตัวเองก่อน ! คุณอยากได้มันจริงๆหรือเปล่า? คุณอยากได้มันอย่างแรงกล้าหรือเปล่า? คุณกล้าแลกที่ต้องฝืนตัวเองให้เริ่มทำในสิ่งที่คุณไม่เคยทำไหม? คุณยอมทุ่มเทให้กับการฝึกฝนตัวเองไหม? ถ้าคุณตั้งใจจริง ก็ให้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ โดยบอกกับตัวเองดังๆอย่างเข้มแข็งและหนักแน่นว่า “นับจากนี้ไป ฉันจะเป็นคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของความตั้งใจ ของความมุ่งมั่น ของความอดทน ของความพากเพียรพยายาม ฉันจะทำจนกว่า ความฝันของฉันเป็นจริง ฉันมีพลัง ฉันเชื่อมั่น ฉันทำได้!!!” ประกาศให้ยักษ์ที่ยิ่งใหญ่ในตัวคุณได้รับรู้ .. ลงมือทำทันทีเดี๋ยวนี้!!!

จดหมายฉบับนี้ยังไม่จบ เอาไว้ติดตามอ่านกันต่อไปในฉบับหน้านะคะ!

ชัยชนะเริ่มจากภายใน

ชัยชนะเริ่มจากภายใน

ท่านคิดว่า“ต้นไม้”ที่ออกดอกออกผลดกๆนั้น ส่วนไหนของต้นไม้ที่ต้องแข็งแรงที่สุด? คำตอบก็คือ “ราก” ใช่ไหมคะ? รากของต้นไม้เป็นสิ่งที่อยู่ใต้พื้นดินมองไม่เห็น แต่มันสร้างสิ่งที่มองเห็นคือผลไม้ ชีวิตของคนเราก็เหมือนกัน “ผลลัพธ์”ในชีวิตที่มองเห็นไม่ว่าจะเป็น เงินทอง ความสุข ความสำเร็จ และสายสัมพันธ์ที่ดี ก็มาจากสิ่งที่มองไม่เห็นคือ “ความคิด”

การที่เราจะสร้างผลลัพธ์ในชีวิตนั้น เราต้องเรียนรู้ขั้นตอนของมันก่อนว่าอะไรที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา เริ่มอันดับแรกคือ“ความคิด” ซึ่งมันจะส่งผลไปสู่ “อารมณ์หรือความรู้สึก” และเมื่อเรามีอารมณ์หรือความรู้สึกบางอย่างมันก็จะส่งผลไปสู่ “การกระทำ” และเมื่อเราได้ลงมือทำอะไรบางอย่าง “ผลลัพธ์” จึงเกิดขึ้น สรุปเป็นขั้นตอนได้ดังนี้คือ 1.ความคิด (thought) 2. อารมณ์/ความรู้สึก (emotion/feeling) 3.การกระทำ (action) 4.ผลลัพธ์ (result) ดังนั้น ถ้าเราต้องการเปลี่ยนผลลัพธ์ในชีวิต เราต้องเปลี่ยนที่“ความคิด”

เวลาที่เรามีอารมณ์หรือความรู้สึกอะไรบางอย่าง มันสะท้อนถึง“ความคิด”ของเรา และการที่เราลงมือทำหรือไม่ทำอะไร ก็มีต้นเหตุมาจาก“วิธีคิด”ของเราอีกเช่นกัน สมมติว่า เจ้านายมอบหมายงานชิ้นใหม่มาให้เราทำ เราคิดอย่างไรกับเรื่องนี้? ถ้าเราคิดว่า “เจ้านายใช้แต่เราอยู่คนเดียว แกล้งเราหรือเปล่าเนี่ย!” ถ้าเราคิดแบบนี้ อารมณ์ความรู้สึกของเราก็จะหงุดหงิด โกรธ ไม่พอใจ ไม่ชอบเจ้านายคนนี้ การทำงานของเราก็จะเบื่อ เซ็ง ซังกะตายทำ เพราะใจเราไม่อยากทำ ผลลัพธ์ก็คือ ผลงานออกมาไม่ดี ไม่เป็นที่น่าพอใจ ชีวิตไม่ก้าวหน้า แต่ถ้าเราคิดว่า “เจ้านายไว้วางใจเรา เห็นฝีมือเรา เราได้ฝึกฝนตัวเองมากขึ้น เรามีโอกาสได้สร้างผลงานเพิ่มขึ้น!” ว้าว! อารมณ์ความรู้สึกของเราก็จะแจ่มใส มีชีวิตชีวา เราก็จะกระตือรือร้นในการทำงาน ผลลัพธ์ก็จะออกมาดี ผลงานเป็นที่น่าพอใจของเจ้านาย ได้รับคำชม ชีวิตก้าวหน้า

ถ้าท่านสังเกตให้ดีจะพบว่า ชีวิตของเรา ผู้คนที่เราพบเจอ สถานการณ์ที่เราต้องเผชิญ จะดีหรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับ “มุมมอง” และ “วิธีคิด” ของเรา! ถ้าเราเจอปัญหาและอุปสรรคแล้วเราคิดว่า “เราโชคดี ที่ได้เรียนรู้ เราจะได้เติบโต และแข็งแกร่งมากขึ้น” เราก็จะมีความสุขและกล้าที่จะเข้าไปเผชิญกับมัน แต่ถ้าเราคิดว่า “เราโชคร้าย ทำไมชีวิตฉันถึงต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้” เราก็จะทุกข์ใจและอยากจะหนีไปให้ไกลๆจากปัญหาเหล่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว “สิ่งที่เกิดขึ้น“ ก็คือ “สิ่งที่เกิดขึ้น” มีแต่เราเท่านั้นที่เป็นคน “คิด” ว่า สิ่งนั้น“ดีหรือไม่ดี“ ทุกอย่างจึงอยู่ที่ “มุมมอง”และ”วิธีคิด” ของเราทั้งสิ้น! เราต้อง“ฝึกสติ”ที่จะดู“ความคิด”ของเรา และสอนตัวเราเองไปเรื่อยๆ เวลาที่เราเฝ้ามอง ให้ฝึกคิดต่อไปด้วยว่า ถ้าเราคิดแบบนี้ การกระทำ และผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร และถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดใหม่เป็นอีกอย่างหนึ่ง การกระทำและผลลัพธ์ของจะออกมาเป็นอย่างไร ขอให้ฝึกพิจารณาเรื่องของ “การสร้างเหตุ” และ “การได้รับผล” ไปด้วย ฝึกบ่อยๆ ปัญญาก็จะเกิด!

นอกจากเรื่อง“ความคิด”แล้ว “อารมณ์และความรู้สึก”ของเราก็มีอิทธิพลต่อการ “ลงมือทำ” ของเราเช่นกัน จำไว้ว่า “มนุษย์ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์” ถ้าเรามีสภาวะอารมณ์ที่ดี มันจะส่งผลให้เรามีการกระทำที่น่าจะเป็นบวก แต่ถ้าเรามีอารมณ์ที่ไม่ดี มันจะส่งผลให้เรามีการกระทำที่อาจจะเป็นลบ .. “อารมณ์”คือกระจกที่สะท้อนถึง“ความคิด”ของเรา .. ดังนั้น เราต้องหมั่นสังเกตดู อารมณ์และความรู้สึกของเราอยู่เสมอ แล้วค้นหาถึงต้นตอ คือ“ความคิด”ว่า เราคิดอะไร เราถึงมีอารมณ์เช่นนี้

ถ้าเรามีอารมณ์ที่เป็นลบ เราจะต้องรีบ“ปล่อยวาง” และอย่าสับสนนะคะ “ปล่อยวาง ไม่ใช่ ปล่อยปละ .. ละวาง ไม่ใช่ ละเลย .. ยอมรับ ไม่ใช่ ยอมแพ้” กรุณาแยกแยะให้ดีๆ บางคนได้ยินคำว่า “ปล่อยวาง” ก็ทิ้งงานไปเลย ไม่สนใจแล้ว อันนี้ไม่ใช่ การปล่อยวางนะคะ! เวลาที่เราบอกว่า ให้ปล่อยวาง มันมีความหมายในวงเล็บต่อท้ายว่า “ปล่อยวาง (อารมณ์ลบ)” การปล่อยวาง เป็นศิลปะชั้นสูงที่จะต้องอาศัยการฝึกฝนเป็นอย่างมาก และเราสามารถที่จะปล่อยวางได้ ถ้าเรารู้“วิธีคิด” คนส่วนใหญ่จะเป็น“โรคเครียด”กันเยอะ และมันก็จะพาลไปกระทบถึงสุขภาพทางร่างกายด้วย โดยเฉพาะผู้บริหารที่มีภาระความรับผิดชอบสูง “โรคเครียด” ก็จะสูงตามไปด้วย ถ้าใครสนใจจะเชิญดิฉันไปบรรยายในหัวข้อ “ศิลปะการปล่อยวาง” ก็ได้นะคะ!

ส่วนที่สำคัญมากๆๆๆอีกอย่างในการสร้างผลลัพธ์ก็คือ “การลงมือทำ” .. คนส่วนใหญ่อยากจะได้ผลลัพธ์ที่ดี อยากก้าวหน้า อยากประสบความสำเร็จ อยากมีความสุข แต่เรามักจะขาดในเรื่องของ “การลงมือทำ” .. บางคน“ทำ”น้อยเกินไป แต่หวัง”ผลลัพธ์”ซะเยอะเชียว บางคนก็ “ทำ”แบบเดิมๆ แต่คาดหวัง”ผลลัพธ์”แบบใหม่ๆ มันจะเป็นไปได้อย่างไรคะ! .. จำไว้นะคะ “ถ้าเราต้องการผลลัพธ์แบบใหม่ เราต้องทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากเดิม!”

เมื่อเร็วๆนี้ดิฉันได้มีโอกาสไป “ปลุกยักษ์” ให้กับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทซีพี เซเว่น อีเลเว่น จำกัด ซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีผู้บริหารเข้าร่วมสัมมนาเกือบ 200 ท่าน ตอนแรกก็กังวลอยู่เหมือนกัน เพราะทราบว่าผู้บริหารกลุ่มนี้เป็นระดับท็อปๆทั้งนั้น วัยวุฒิและคุณวุฒิสูงมาก คงผ่านการเรียนรู้ และมีประสบการณ์ทำงานมามากมาย ไม่รู้ว่าจะสนใจรับฟังสิ่งที่เราจะถ่ายทอดหรือเปล่า? น้ำจะเต็มแก้วไหม? แต่พอถึงเวลาที่ดิฉันได้บรรยายแล้ว ดิฉันรู้สึกผ่อนคลาย สนุก และมีความสุขมาก เพราะทุกท่านน่ารัก ให้ความเป็นกันเอง ตั้งใจฟัง ร่วมกิจกรรมทุกอย่าง แสดงออกถึงพลัง ความรัก ความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มิน่าล่ะ บริษัทของเขาถึงยิ่งใหญ่ เพราะมีผู้บริหารที่สุดยอดนี่เอง! ดิฉันชื่นชมและประทับใจจริงๆเลยค่ะ!!!

คุณโปรแกรมตัวเองไว้แบบไหน?

คุณโปรแกรมตัวเองไว้แบบไหน?

คุณรู้หรือไม่คะว่า “คุณเป็นคนอย่างที่คุณคิดตลอดเวลา!” เช่น ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นคนไม่เก่ง คุณก็จะเป็นคนไม่เก่งในโลกของคุณเอง คุณจะขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง คุณจะกังวลว่าจะทำได้ไหม? สิ่งที่คุณทำไปมันดีพอหรือยัง? ..

เวลาที่คุณทำอะไรได้ดี มันก็จะผ่านเลยไป แต่เวลาที่คุณทำได้ไม่ดี คุณก็จะตอกย้ำกับตัวเองว่า “ฉันเนี่ยมันไม่ได้เรื่องเลย ฉันไม่มีความสามารถ!” ใช่ไหมคะ? คุณมีประสบการณ์และข้อพิสูจน์หลายต่อหลายครั้งว่า คุณไม่เก่ง แล้วมันก็กลายเป็นความจริงในโลกของคุณ!?!

นับจากนี้ไป .. ระวังสิ่งที่คุณคิดให้ดีๆ เพราะสิ่งที่คุณคิดบ่อยๆ พูดบ่อยๆ เห็นบ่อยๆ ทำบ่อยๆ มันจะกลายเป็นการโปรแกรมตัวคุณเองแบบอัตโนมัติโดยที่คุณไม่รู้ตัว!

หลักการทำงานของสมองและจิตใต้สำนึกมีอยู่ว่า “สิ่งที่ใส่เข้าไปเท่ากับสิ่งที่ออกมา” “Input=Output” คุณใส่อะไรเข้าไปในสมองหรือความคิดของคุณ ผลลัพธ์มันก็จะออกมาเป็นแบบนั้น

ในเมื่อเรารู้หลักการทำงานของสมองและจิตใต้สำนึกแบบนี้แล้ว ทำไมเราไม่โปรแกรมตัวเองให้ดีๆล่ะคะ?!? แทนที่เราจะปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแบบอัตโนมัติโดยที่เราไม่รู้ตัว หรือพูดง่ายๆก็คือ เราไม่เคยฝึกตัวเองที่จะ“มีสติ”กำกับความคิด คำพูด และการกระทำของเรา

สิ่งที่เราต้องใช้สติในการโปรแกรมตัวเอง หรือใส่ Input ดีๆได้แก่ 1. ความคิด 2. คำพูด 3. ภาพที่เราเห็นด้วยตาหรือเห็นจากการจินตนาการก็ได้ 4. การแสดงออกหรือการใช้ร่างกายของเรา

ในงานสัมมนา “ปลุกยักษ์” คุณจะได้เรียนรู้วิธีการพลิกความคิดใหม่ว่าทำอย่างไร? เรียนรู้วิธีการสื่อสารกับตัวเองแบบใหม่ทำอย่างไร? วิธีการใช้ภาพหรือจินตนาการทำอย่างไร? วิธีเปลี่ยนการเคลื่อนไหวร่างกายใหม่ที่จะทำให้ระดับพลังชีวิตและระดับความเชื่อมั่นในตัวเองสูงขึ้นว่าทำอย่างไร? คุณจะได้ทำ Workshop เยอะมาก..ก..ก และขอบอกว่า .. เด็ดๆมันส์ๆทั้งนั้น!.. ว้าว!

ดิฉันอยากเล่าทฤษฎีอื่นให้คุณฟังอีก เขาเรียกว่า “กฎของการดึงดูดชักนำพา” มีคนเขาทดลองเอาส้อมเสียง .. โด เร มี ฟา ซอล ลา ที .. ไปตั้งกระจายไว้ในห้องหลายๆอัน แล้วเขาก็เคาะส้อมเสียง “โด” ปรากฏว่า มีส้อมเสียง “โด” อีกอันที่อยู่หลังห้องมันสั่นรับขึ้นมา ในขณะที่ส้อมเสียงอื่นอยู่นิ่งๆแบบเดิม เขาเลยคิดค้นและได้บทสรุปว่า “คลื่นพลังงานอะไรก็แล้วแต่ที่ใกล้เคียงกันจะดึงดูดกัน”

ต่อมามีการทดลองเอาคนที่มีความสุข เบิกบานใจแบบเข้มข้น ไปวัดคลื่นพลังงานที่ออกจากสมอง ปรากฏว่าเป็นคลื่นพลังงานบวกที่สูงมาก คลื่นนี้มีพลังแรงมาก ขนาดเขาเอากล้องไปถ่าย ยังเห็นภาพคลื่นพลังงานผ่านทะลุกำแพงออกไปได้ด้วย เขาได้ติดตามดูชีวิตคนพวกนี้ ก็พบว่าคนที่มีความสุขเบิกบานใจเหล่านี้ จะได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ เช่น ได้ไปเจอคนดีๆ ได้พบกับเหตุการณ์ดีๆฯลฯ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาปล่อยคลื่นพลังงานบวกไปดึงดูดคลื่นประเภทเดียวกันเข้ามาในชีวิต

นอกจากนี้ ยังมีการทดลองเอาคนที่ซึมเศร้า ห่อเหี่ยว ท้อแท้ รันทดกับชีวิต ไปวัดคลื่นพลังงาน ปรากฏว่า ได้คลื่นพลังงานที่เป็นลบ คลื่นเหล่านี้ก็จะไปดึงดูดคลื่นประเภทเดียวกันเข้ามา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนเหล่านี้ก็มักจะพบแต่เหตุการณ์ร้ายๆอยู่เป็นประจำ!

คุณจะเห็นได้ว่าทุกทฤษฎีนั้นสอดคล้องสัมพันธ์กันหมด เช่น ถ้าใครคิดหรือพูดไม่ดี Input ลบ ก็เท่ากับว่าเขากำลังปล่อยคลื่นพลังงานลบออกมาด้วย ซึ่งมันจะไปดึงดูดสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิต

สิ่งที่คุณคิด พูด เห็น หรือทำบ่อยๆ จะกลายเป็นนิสัย ยิ่งสภาวะอารมณ์ที่คุณมี เข้มข้นเท่าไร มันจะยิ่งลงสู่จิตใต้สำนึกได้เร็วและเป็นการโปรแกรมตัวเองแบบเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น!

จำได้ไหมคะ ก่อนหน้านี้ดิฉันอธิบายถึงเรื่องการแยกแยะ ระหว่าง 1. สิ่งที่เกิดขึ้น กับ 2. สิ่งที่เราตีความ/คิด/ปรุงแต่ง ดิฉันอยากบอกคุณอีกครั้งว่า สิ่งที่คุณคิดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นการตีความและการให้ความหมายต่อสิ่งต่างๆด้วยตัวคุณเองทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่เป็นความจริงหรอกค่ะ!

ถ้าคุณบอกว่าโลกนี้สวยงาม ชีวิตของคุณโชคดี คุณก็จะรู้สึกมีความสุขและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตใช่ไหมคะ? แต่ถ้าคุณบอกว่า โลกนี้โหดร้าย ชีวิตของคุณมีแต่ปัญหาและอุปสรรค คุณก็คงเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและหมดแรงจริงไหมคะ? โลกก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง มีแต่มนุษย์เราเท่านั้นที่ไปตีความหรือให้ความหมายกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้!

ก็ในเมื่อเราเป็นคนที่ให้ความหมายกับทุกสิ่งทุกอย่างเอง แล้วทำไมเราไม่ตีความหรือให้ความหมายดีๆ ที่ให้พลังกับชีวิตของเราล่ะ จริงไหมคะ? ต่อจากนี้ไป ให้คุณเริ่มใส่ Input หรือโปรแกรมตัวเองให้ดี ด้วยความคิด คำพูด ภาพที่เห็น และการกระทำหรือการแสดงออกที่ดี

เริ่มบอกกับตัวเองทุกวันได้แล้วว่า “ฉันเป็นคนโชคดี!” เมื่อสิ่งดีๆเกิดขึ้น แม้จะเล็กน้อย ก็ให้บอกตัวเองว่า“โชคดีจัง!” แล้วคอยดูว่า คุณเริ่มดึงดูดความโชคดีเข้ามาในชีวิตมากขึ้นหรือเปล่า?

เปลี่ยนความคิด..ชีวิตเปลี่ยน!

เปลี่ยนความคิด..ชีวิตเปลี่ยน!

ชีวิตที่เปลี่ยน .. เกิดจากการกระทำที่เปลี่ยน .. การกระทำที่เปลี่ยน .. เกิดจากความคิดที่เปลี่ยน .. และความคิดที่เปลี่ยน .. ก็เกิดจากความเชื่อที่เปลี่ยน! .. ถ้าเราเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็จะเปลี่ยน .. คุณเห็นด้วยไหมคะ?

คุณรู้ไหมคะว่า 60%-80% ของความสุขและความสำเร็จมาจากการที่เรามีระบบความคิด (Mind Set) ที่ดี ส่วนความรู้หรือทักษะความชำนาญเกี่ยวกับงานที่ทำมีความสำคัญน้อยกว่า

คนที่ยังไม่สำเร็จไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้วิธีการอธิบายว่าธุรกิจของเขาดีอย่างไร ให้ผลตอบแทนแบบไหน สินค้ามีจุดเด่นอะไรบ้าง ความจริงแล้ว เขาสามารถอธิบายได้ดีมากเลยแหละคะ แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า เขาไม่ออกไปทำงาน ไม่ไปติดต่อลูกค้า ไม่ไปแนะนำสินค้า ไม่ไปนำเสนอธุรกิจ ไม่ไปรีครูตคนเข้ามาร่วมงาน หรือทำก็น้อยมากเลย ใช่ไหมคะ? .. อันนี้รวมถึงคุณด้วยหรือเปล่าคะเนี่ย?

คุณคิดว่าอะไรทำให้เขาไม่ออกไปทำงานล่ะคะ? มันมี “ความคิด” อะไรบางอย่างที่มาหยุดยั้งการลงมือทำใช่ไหมคะ?

ทำไมบางคนเจอคำปฏิเสธ เจอปัญหาอุปสรรคก็ยังเดินหน้าต่อ แต่บางคนล้มเลิก หยุด ไม่ทำแล้ว?!? ทำไมบางคนสร้างฐานะขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ในขณะที่บางคนผ่านไปเกือบหมดชีวิตก็ยังไม่มีอะไรเลย!?! .. ทำไมบางคนมีความสุขกับชีวิต แต่บางคนเศร้าใจ หงุดหงิด เครียด และกังวลตลอดเวลา?

คนที่ประสบความสำเร็จ กับ คนที่ยังไม่สำเร็จ มี “ความคิด” อะไรที่แตกต่างกัน?

คนที่มีความสุข กับ คนที่มีความทุกข์ มี “ความคิด” อะไรที่ต่างกัน?

คนสำเร็จบอกว่า “ฉันนี่แหละ ที่กำหนดชะตาชีวิตของฉันเอง” .. คนไม่สำเร็จบอกว่า “ดวงฉันไม่ดี ไม่มีคนให้ความช่วยเหลือ”

คนสำเร็จ “แสวงหาโอกาสให้ตัวเอง” .. คนไม่สำเร็จ “รอคอยให้โอกาสเดินเข้ามาหา”

คนสำเร็จบอกว่า “ชีวิตของฉันผ่านปัญหาและอุปสรรคมาเยอะ มันหล่อหลอมให้ฉันเป็นคนเข้มแข็งอดทน ฉันถึงประสบความสำเร็จจนทุกวันนี้” คนไม่สำเร็จบอกว่า “เพราะชีวิตของฉันเต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรค ชีวิตฉันถึงได้ย่ำแย่แบบนี้”

คนสำเร็จบอกว่า “ฉันจะช่วยงานหัวหน้า ฉันจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกทีมเห็น ฉันจะหาจุดเด่นของสินค้ามานำเสนอ” คนไม่สำเร็จบอกว่า “หัวหน้าไม่ช่วย ลูกทีมไม่ขยัน สินค้าสู้คนอื่นไม่ได้

คนมีความสุขบอกว่า “ขอบคุณสิ่งต่างๆที่ฉันมีในชีวิต ฉันเป็นคนโชคดีจริงๆ” คนมีความทุกข์บอกว่า “ทำไมฉันยังไม่มีเหมือนคนอื่นเขา ฉันมันคนไร้บุญวาสนา ฉันโชคร้ายจริงๆ

คนมีความสุข “ตีความกับสิ่งต่างๆแบบให้พลังกับตัวเอง” .. คนมีความทุกข์ “ตีความแบบลดพลังของตัวเอง

เห็นไหมคะว่า “ความคิด” ของคนสองประเภทนี้ต่างกันมาก! ถ้าคุณอยากสำเร็จ ให้คิดแบบคนสำเร็จ .. ถ้าคุณอยากมีความสุข ให้คิดแบบคนมีความสุข! .. “เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน!”

คิดติดกรอบ?

คิดติดกรอบ?

คนส่วนใหญ่รู้ว่าถ้าเราต้องการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เราต้อง “คิดนอกกรอบ”!!! แต่คุณเชื่อไหมคะว่า น้อยมากที่คนจะรู้ว่า “กรอบความคิด” ของเขาอยู่ตรงไหน???

คำว่า “คิดนอกกรอบ”ในที่นี้ดิฉันไม่ได้หมายถึงแค่ ความคิดสร้างสรรค์ หรือไอเดียใหม่ๆเท่านั้น แต่ดิฉันอยากให้พิจารณาถึงวิธีคิดและวิธีการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วย “ข้อจำกัด” และ “กรอบ” ที่ปิดกั้นสิ่งที่เราอยากทำ อยากมี หรืออยากเป็น

เราใช้ชีวิตกับความคิดเดิมๆ การกระทำเดิมๆ มานานมาก เราทำซ้ำๆกันเป็นรูปแบบ(Pattern) เดิมๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว เหมือนปลาที่อยู่ในน้ำ มันจะไม่เคยเห็นน้ำอย่างชัดเจน ถ้าเราจับมันขึ้นออกมาจากน้ำแล้วให้มันดู ปลามันคงตกตะลึงว่า ..ว้าว! นี่หรือน้ำที่ฉันใช้ชีวิตแหวกว่ายอยู่ทุกวัน!

เหมือนกันกับเราที่เป็นมนุษย์นี่แหละ เราจะทำทุกอย่างโดยอัตโนมัติ คิด..พูด..ทำ..จากอดีตที่สมองบันทึกไว้ แล้วเราก็โต้ตอบกับผู้คนและสถานการณ์ต่างๆไปตามสัญชาติญาณการเอาตัวรอดโดยอัตโนมัติ ขอเน้นอีกครั้งว่า “โดยอัตโนมัติ” .. ถ้าใครทำไม่ดีกับเรา เราก็โต้ตอบกลับไป .. ใครว่าเรา เราก็ว่ากลับไป บางคนก็โต้ตอบด้วยการนิ่งเฉย .. เราทำโดยที่เราไม่รู้ตัว . . เหมือนเราเห็นจระเข้ เราไม่ต้องคิดเลยว่าเราจะวิ่งหนีดีหรือเราจะสู้ดี เราจะวิ่งหนีโดยอัตโนมัติเลยใช่ไหมคะ?

เรามีรูปแบบ (Pattern) ในการคิด พูด ทำ แบบอัตโนมัติเดิมๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยว่า มันได้กลายเป็น “กรอบ” และเป็น “ข้อจำกัด” ในการใช้ชีวิตของเรา!

ถ้าเราอยากจะ “คิดนอกกรอบ” ก่อนอื่นเราต้อง “เห็นกรอบ” ของเราซะก่อน!

การที่คุณจะ“เห็นกรอบ”ได้ คุณต้องถอนตัวเองออกมาเป็น “ผู้ดู” .. ดูตัวอัตโนมัติของคุณว่ามันทำงานอย่างไร? เหมือนดึงปลาออกมาจากน้ำ จะได้เห็นน้ำที่ชัดเจนสักทีหนึ่ง และวิธีการที่คุณจะดึงตัวเองออกมาเป็น “ผู้ดู” ก็คือ คุณต้อง “มีสติ” ในการดูในการแยกแยะ และการที่คุณจะ “มีสติ” ได้นั้น คุณต้อง“ฝึกสติ”! คอยจับตาดูอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด คำพูด และการกระทำของคุณเองว่า มันเกิดอะไรขึ้น มันมีที่มาจากไหน? . . ถ้าคุณกลัว ทำไมถึงกลัว คุณมีความคิดอะไรที่ทำให้คุณกลัว? . . ถ้าโกรธ ทำไมถึงโกรธ ความคิดที่ทำให้คุณโกรธคืออะไร? อันที่จริงแล้ว มันไม่ใช่ว่า “ใคร” ทำให้คุณโกรธ แต่คุณมี “ความคิด” อย่างไรที่ทำให้คุณโกรธต่างหากล่ะ?

อย่างที่กล่าวถึงข้างต้นว่า คนเราจะมีรูปแบบความคิดและการกระทำซ้ำๆแบบเดิมๆ ซึ่งคำว่า “แบบเดิม” ก็มีที่มาจาก “อดีต” . . เราใช้ชีวิตโดยมี “ข้อจำกัดจากอดีต” เยอะมาก และนี่คือ “กรอบ” ของเรา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเคยเสนอความคิดเห็นอะไรบางอย่าง แล้วเจ้านายไม่เห็นด้วยกับเรา ต่อไปเราอาจจะไม่เสนอความคิดของเราแล้วก็ได้ บางครั้งมีเรื่องใหม่เข้ามา ซึ่งเรามีไอเดียที่บรรเจิดมาก แต่เราก็อาจจะไม่เสนอ เพราะเราคิดว่า “เดี๋ยวเจ้านายก็คงไม่เห็นด้วยกับเราเหมือนเดิม (เหมือนในอดีต) นั่นแหละ ไม่รู้จะเสนอไปทำไม” .. ถ้าคิดแบบนี้ แล้วสิ่งใหม่ๆมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร! .. นี่แหละคือ “ข้อจำกัด” และ “กรอบ”ในการใช้ชีวิตของเรา!

ดิฉันเชื่อว่า เวลาที่คุณสปอนเซอร์หรือรีครูตคนให้เข้ามาร่วมงานกับคุณ คุณคงได้รับคำตอบประเภทที่ว่านี้เยอะเลยใช่ไหมคะ? เช่น “โอ๊ย ฉันพูดไม่เก่ง ฉันทำงานแบบนี้ไม่ได้หรอก” “ฉันรู้จักคนน้อย ฉันทำไม่ได้หรอก” “ฉันเรียนมาน้อย ไม่มีใครเชื่อถือฉันหรอก” . . ถ้าถามคนเหล่านี้ว่าเขาเห็นโอกาสไหม? เขาอาจจบอกว่าเห็น ถ้าถามว่าเขาอยากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมไหม? เขาก็คงบอกว่าอยาก แต่ถ้าจะให้เขาทำงานแบบนี้ เขาคงทำไม่ได้หรอก .. เพราะ “คิด” ว่าคนที่ทำงานขายต้องพูดเก่ง ต้องรู้จักคนเยอะ ต้องเรียนสูงหน่อยคนถึงจะเชื่อถือ! .. เห็นไหมคะว่า คนเราจะติดอยู่กับ “ข้อจำกัด” และ “กรอบความคิด” ของตัวเองเยอะมาก..ก..ก! ทำให้โอกาสดีๆหลุดลอยไป หรือรายได้ที่เขาสามารถสร้างได้นั้นผ่านเลยไป!

ขอถามหน่อยค่ะว่า คุณกลัวการเสนอขายลูกค้ารายใหญ่ไหมคะ? .. ถ้ากลัว ทำไมถึงกลัวล่ะคะ? คุณ “คิด” แบบนี้หรือเปล่าคะ? . . “เขารวยขนาดนี้ เขาจะมาฟังเราเหรอ” “เรามันคนละชั้นกับเขา เขาไม่ฟังเราหรอก” “พวกเศรษฐี เขาไม่สนใจคนอย่างเราหรอก” . . ถ้าคุณ “คิด” ทำนองนี้ ดิฉันอยากจะบอกว่า คุณก็กำลัง “ติดกรอบความคิด”ของตัวเองอยู่ ทำให้คุณไม่กล้าเสนอขาย!!! ความจริงก็มีแค่ “เขามีเงินมากกว่าคุณ” เท่านั้นแหละ! ปล่อยวางความคิดเดิมๆของคุณซะ แล้วใช้คาถาของดิฉัน .. “1 .. 2 .. 3 .. ลุย!” เอ่ยปากขายทันทีเลย O.K.ไหมคะ?

อย่าลืมที่จะ “ฝึกสติ” แล้วสำรวจตัวเองบ่อยๆว่า “เราคิดติดกรอบ” มากแค่ไหน???

ขอพูดถึงงานสัมมนา “ปลุกยักษ์” สักนิดนะคะ . . วันก่อนเจอผู้นำท่านหนึ่งที่พาดาวน์ไลน์ใหม่ๆเข้า เขาบอกว่า “เวิร์คมากเลยค่ะ อาจารย์ .. แต่ละคนกลับไปมีความกล้ามากขึ้น มุ่งมั่นมากขึ้น!” .. ดิฉันเจอแม่ทีมใหญ่ท่านหนึ่งเขาบอกว่า “ถ้าผมอยากให้ยอดขายขึ้น ผมแค่ส่งทีมงานไปเข้าปลุกยักษ์เยอะๆ ยอดก็ขึ้นแล้ว!” .. มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า เขาเพิ่งเคยสัมผัสกับพลังที่ยิ่งใหญ่ในตัวเอง! .. น้องผู้ชายคนหนึ่งโทรมาหา พูดไม่หยุดเลยเพราะตื่นเต้นกับผลงานที่ตัวเองทำได้แบบเหนือความคาดหมาย! .. สามีภรรยาคู่หนึ่งพาทีมงานมาเกือบ 20 คน บอกว่าเขาอยากเข้าปลุกยักษ์มาก เขาตื่นเต้นที่เพื่อนของเขามีผลงานแบบก้าวกระโดด จากยอดขายที่เคยทำได้หมื่นต้นๆ กลับไปทำได้ 300,000กว่าบาท! .. ว้าว! สุดยอดมาก!

ที่ดิฉันเล่าให้ฟังเพราะอยากให้คุณได้มีโอกาสสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ในตัวเอง และถ้าคุณมีทีมงาน ก็ควรพาพวกเขาเข้า “ปลุกยักษ์” ให้มากที่สุดเท่าที่คุณสามารถทำได้ เพราะทีมงานของคุณมีศักยภาพอยู่ข้างในมากมายที่เขายังไม่ได้เอาออกมาใช้!

อย่าตกหลุมพราง!

อย่าตกหลุมพราง!

คุณมีความฝันอะไรคะ? คุณอยากทำอะไร? คุณอยากมีอะไร? คุณอยากเป็นอะไร? แล้วตอนนี้คุณกำลังเดินหน้าทำความฝันของคุณให้เป็นความจริงอยู่หรือเปล่าคะ? คุณตั้งเป้าหมายที่จะทำอะไรให้สำเร็จ? มันมีกำหนดเส้นตาย(deadline)เมื่อไร? และคุณใช้วิธีการอะไรอยู่?

ก่อนอื่นดิฉันจะอธิบายและ”แยกแยะ”ให้คุณเห็นอย่างชัดเจนก่อน ระหว่าง 1.ความฝัน 2.เป้าหมาย และ 3.วิธีการ ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงคนหนึ่งอ้วนมากเลย “ความฝัน” ของเธอก็คือการมีหุ่นผอมเพรียวลม สวยเซ็กซี่! เธอ ”ตั้งเป้าหมาย” ไว้เลยว่า เธอจะต้องลดน้ำหนัก 10 กิโลให้ได้ภายใน 5 เดือน แล้ว “วิธีการ” ที่เธอเลือกก็คือ การวิ่งรอบหมู่บ้านตอนเย็นวันละ 1 ชั่วโมงทุกวัน แต่ปรากฏว่า เหมือนสวรรค์แกล้ง! เธอวิ่งไปได้ 2 อาทิตย์ ฝนก็ตกลงมาทุกวัน ทำให้เธอวิ่งไม่ได้! ฮือ!..ฮือ!.. เธอบอกว่าเธอคงจะลดน้ำหนักไม่ได้แล้วหล่ะ! .. คุณเห็นด้วยกับเธอหรือเปล่าคะว่าเธอคงทำไม่ได้แล้วจริงๆ เพราะฝนมันตกทุกวันเลยนี่นา จะวิ่งได้อย่างไร?

ถ้าคุณคิดแบบเดียวกับเธอ คุณก็ “ตกหลุมพราง” แล้วล่ะค่ะ! มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตกหลุมพรางเช่นนี้! ลองคิดดูซิคะ มันยังมีอีกมากมายหลากหลาย “วิธีการ” ที่เธอสามารถลดความอ้วนได้ .. เข้าฟิตเนสไปวิ่งสายพานได้ไหมคะ? เต้นแอโรบิคได้ไหมคะ? ตีแบตได้ไหมคะ? ว่ายน้ำในร่มได้ไหมคะ? ยังมีอีกสารพัดวิธีใช่ไหมคะ?

ถ้าให้คนๆหนึ่งเดินทางจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ เขาสามารถเดินทางด้วยวิธีไหนได้บ้างคะ? เดินเท้าได้ไหม? วิ่งไปได้ไหม? ขี่จักรยานหล่ะ? ขี่มอร์เตอร์ไซด์? ขับรถยนต์? พายเรือ? ขึ้นเครื่องบิน? คำตอบก็คือได้ทุกวิธีนั่นแหละค่ะ! .. ถ้าเขารู้ว่ามันมี “วิธีการ” มากมายที่สามารถทำให้เขาไปถึงเชียงใหม่ได้ เขาก็สามารถที่จะ”เลือก” เดินทางด้วยวิธีไหนก็ได้จริงไหมคะ?

คราวนี้เราลองมาดูวิธีที่คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตกันนะคะ เวลาที่คนๆหนึ่งมี”ความฝัน”ว่าอยากจะมีเงินเยอะๆ ต้องถามเขาต่อว่า ถ้าเขามีเงินเยอะๆแล้วเขาจะเอาเงินไปทำอะไร? บางคนอาจจะตอบว่า ซื้อบ้านใหม่ให้ครอบครัว บางคนก็อยากมีรถ บางคนก็อยากไปเที่ยวต่างประเทศฯ (“เงิน”เป็นแค่ตัวแปรที่จะทำให้เรามีในสิ่งที่เราอยากมีเท่านั้น) ซึ่งแต่ละคนก็ “เลือก” อาชีพแตกต่างกันไป

สมมติว่า มีบางคน”เลือก”ที่จะทำ MLM พอกระโดดเข้าไปทำ MLM ก็”ตั้งเป้า”เลยว่า ฉันจะต้องเป็น”ตำแหน่ง”นี้ๆ ให้ได้ภายในกี่ปี แล้วก็เดินหน้าทำงานอย่างจริงจัง ปรากฏว่าทำไปตั้งหลายปีแล้วก็ยังไม่สำเร็จสักที แต่ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาทำต่อไป ไม่เคยมองทางเลือกอื่นๆเลย!

นี่เป็น “หลุมพราง” ที่ใหญ่โตมหึมามากๆเลยค่ะ! คนเราส่วนใหญ่มักจะ”ตกหลุมพราง”ในเรื่องของ “วิธีการ” ที่จะทำให้เราได้รับในสิ่งที่เราปรารถนา! ฟังให้ดีๆนะคะ.. “ความฝัน”ของเขาก็คือ การมีบ้านใหม่ให้ครอบครัว การมีรถใหม่ ฯ “เป้าหมาย”ก็คือจะมีบ้านและรถใหม่ภายในกี่ปี แล้วการที่ไปทำ MLM ก็เป็น “วิธีการ” ที่เขาคิดว่าจะหาเงินมาทำให้ความฝันของเขาเป็นความจริงได้ แต่พอเข้าไปทำ MLM ก็ไป”ตั้งเป้าหมาย”ว่าจะเป็น”ตำแหน่ง”อย่างนั้นๆ อันนี้แหละ “หลุมพรางขนาดใหญ่”! .. “ตำแหน่ง” ที่ตั้งเป้าอยากจะเป็นนั้น มันก็เป็นแค่ ”เป้าหมายย่อย” ที่อยู่ใน ”วิธีการ” ที่เราเลือกเท่านั้น! ถ้ามี”ตำแหน่ง”ที่ตั้งเป้าแล้ว แต่ว่าไม่มี”เงิน” ตำแหน่งเหล่านั้นยังสำคัญอยู่หรือไม่คะ? มันไม่ใช่ “ตำแหน่ง” ที่จะทำให้ฝันเราเป็นจริง แต่ “เงิน” ต่างหากที่จะเปลี่ยนความฝันของเราให้เป็นจริงได้! “อย่าตกหลุมพราง”นะคะ!

ความจริงเรามี “วิธีการ” มากมายที่จะทำให้เรามี “เงิน” และทำ ”ความฝัน” ให้เป็นความจริงได้! เราทำธุรกิจส่วนตัวที่เราชอบก็ได้ ทำประกันบริษัทไหนก็ได้ ทำMLMบริษัทไหนก็ได้ ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ได้ เราทำอะไรก็ได้จริงไหมคะ? เพียงแต่เราต้องพิจารณาว่า”วิธีการไหน” หรือ “ทางเลือกไหน” เหมาะสำหรับเรา แต่ถ้าเรา “ไม่เห็นทางเลือก” เราก็จะติดอยู่กับ “ข้อจำกัด” ในการใช้ชีวิตของเราเอง!

ถ้าคุณทำงานมาตั้งหลายปีแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จ ขอให้คุณสำรวจอย่างตรงไปตรงมา พิจารณาตามข้อเท็จจริงที่มี สิ่งสำคัญอย่างแรกที่คุณต้องสำรวจคือ “ตัวคุณเอง”! ดูว่าคุณได้ทำอย่างเต็มที่สุดกำลังหรือยัง? ถ้าคุณยังทำไม่เต็มที่ นั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณยังไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ต้องไปโทษสิ่งอื่น! แต่ถ้าคุณทำเต็มที่แล้ว ก็ให้ดูปัจจัยต่างๆเหล่านี้อย่างละเอียด งานที่คุณเลือกนั้น คุณเลือกได้ดีพอหรือยัง? บริษัทที่คุณเลือกเป็นอย่างไร? ตลาดและโอกาสยังเปิดกว้างอยู่ไหม? สินค้าของคุณเป็นที่ยอมรับและเป็นที่นิยมในวงกว้างหรือเปล่า? ราคาสูงไปทำให้กลุ่มลูกค้ามีจำกัดหรือเปล่า? ระบบสนับสนุนดีหรือไม่? การได้ผลตอบแทน”คุ้มค่า”กับ”กำลังและเวลาที่ทุ่มเท”ไปหรือเปล่า? ข้อดีข้อด้อยเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่นแล้วเป็นอย่างไร? คุณมีความสุขและสนุกกับงานที่คุณทำหรือเปล่า?

ลอง”เปิดโอกาส”ให้ตัวเองได้พิจารณา”ทางเลือกอื่นๆ”ด้วย อย่าปิดกั้นทางเลือกใหม่ๆ เมื่อคุณพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว คุณค่อยทำการ”เลือก”อีกครั้ง มันอาจจะเป็นคำตอบเดิม หรือทางเลือกเดิมก็ได้ ซึ่งคุณก็จะมีพลังในการเดินหน้าต่อไป แต่ถ้าทางเลือกเดิมมันไม่เวิร์ค คุณก็แค่เปลี่ยนมันใหม่เท่านั้น! ให้คุณ”มีอิสระ”และ”มีพลัง”ในการเลือกของคุณ!

ดิฉันมักจะให้กำลังใจให้คน ”ยืนหยัด” ที่จะทำ ”ความฝัน” ของเขาให้เป็นความจริงด้วยประโยคที่ว่า “ผู้ชนะไม่เคยล้มเลิก ผู้ที่ล้มเลิกไปก่อนไม่เคยชนะ!” แต่ขอให้ ”แยกแยะ” ว่า เราจะ “ไม่ล้มเลิก” กับ “ความฝัน” ของเรา แต่เราจะ ”ยืดหยุ่น” และ “ปรับเปลี่ยนวิธีการ” จนกว่ามันจะสำเร็จ! โอเคไหมคะ?

คุณผู้อ่านที่รักคะ .. ฝันในสิ่งที่คุณอยากจะฝัน .. ไปในที่ที่คุณอยากจะไป .. เป็นคนที่คุณอยากจะเป็น .. เพราะว่า .. คุณมีแค่เพียงชีวิตเดียว ที่จะทำในสิ่งที่คุณอยากทำ!

กินยาก่อนอาหารและหลังอาหาร? กินยังไงให้ถูกวิธี

กินยาก่อนอาหารและหลังอาหาร? กินยังไงให้ถูกวิธี

1.ยาก่อนอาหาร : ให้รับประทานยาก่อนอาหาร (รวมทั้งนม ขนม ฯลฯ) ประมาณ 30-60 นาที

2.ยาพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที : ให้รับประทานอาหารครึ่งหนึ่งแล้วรับประทานยา แล้วรับประทานอาหารต่อจนอิ่ม หรือหลังจากรับประทานอาหารคำสุดท้าย แล้วตามด้วยการรับประทานยาทันที

3.ยาหลังอาหาร : ให้รับประทานยาหลังอาหาร ประมาณ 15-30 นาที

4.ยาระหว่างมื้ออาหาร : ให้รับประทานยาก่อนหรือหลังอาหาร 1-2 ชั่วโมง โดยถ้าเลือกรับประทานเป็นยาก่อนอาหาร (หรือหลังอาหาร) แล้ว ครั้งต่อไปก็ต้องรับประทานก่อนอาหาร (หรือหลังอาหาร) ทุกครั้งของการรักษาคราวนั้นๆ

5.ยาก่อนนอน : รับประทานยาก่อนเข้านอน ประมาณ 15-30 นาที

6.ยาตามอาการต่างๆ : เช่น รับประทานยา ครั้งละ 2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมงเวลาปวด หมายความว่า รับประทานครั้งละ 2 เม็ดเมื่อมีอาการปวด ถ้าต่อมามีอาการปวดอีก แต่ยังไม่ถึง 4-6 ชั่วโมง ก็ยังไม่ควรรับประทานยานั้นซ้ำอีก เพราะอาจเกิดพิษเนื่องจากรับประทานยาเกินขนาดได้ ต้องรอให้ครบอย่างน้อย 4 ชั่วโมง จึงจะรับประทานยาครั้งต่อไป

หมายเหตุ : การลืมรับประทานยาครั้งหนึ่ง ให้รีบรับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่ถ้าใกล้ถึงเวลามื้อต่อไปแล้ว ให้ข้ามมื้อที่ลืมไปเสีย อย่าเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า ในมื้อต่อไปเป็นเด็ดขาด

และเพื่อให้อาการป่วยนั้นหายแบบฉับพลัน คุณควรรับประทานยาตามกำหนดเวลาที่แพทย์หรือเภสัชกรณ์สั่งอย่างเคร่งครัด...

ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้

ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้

ข้อคิดดี ๆสำหรับเพื่อน ๆ อยากให้อ่านแล้วบอกต่อ ๆกันด้วยนะครับ เพราะอะไร...

วัยเยาว์
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันยังเด็กเกินไปที่จะคิด
ชีวิตฉัน เพิ่งเริ่มต้น ทุกวันนี้ยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่
และฉันไม่เหลือพอที่จะเก็บ ฉันกำลังเล่นสนุก
วันหนึ่งเมื่อฉัน โตขึ้น ฉันจะเก็บเงิน

วัยรุ่น
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันยัง เรียน หนังสืออยู่
พ่อแม่ให้เงินสำหรับพอใช้ในแต่ละวันเท่านั้น
ฉันยังเก็บเงินไม่ได้หรอก
นอกจากนั้นฉันยังมีเรื่องอื่นๆ
ที่ต้องใช้เงินอีกเมื่อฉันเรียนจบ
และถ้าฉัน หาเงินได้ เอง ฉันจึงจะเก็บ

วัย 20
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันเพิ่ง เรียนจบ
ขอเวลาฉันได้พักสมองบ้าง และฉันยังไม่พร้อมที่จะผูกมัดเรื่องนี้
ฉันยังต้องการแสวงหาความสนุก ในขณะที่ฉันสามารถทำได้
ยังมีเวลาเหลืออีกมากที่จะคิด
ถึงตอนนั้นเมื่อฉัน พร้อม ฉันก็จะเก็บ

วัย 30
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้
ฉันเพิ่ง มีครอบครัว และต้องรับผิดชอบหลายอย่าง
ค่าใช้จ่ายลูกเดี๋ยวนี้แพงเหลือเกิน
และฉันยังต้องผ่อนหนี้เงินกู้บ้านอีกด้วย
ทุกวันนี้แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว
ถ้าวันข้างหน้าฉันหาเงินได้ มากกว่านี้ และลูกๆ โตแล้ว ฉันจึงจะเก็บ

วัย 40
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ลูกฉันเริ่มเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย
เดี๋ยวนี้ค่าหน่วยกิตและค่าต่างๆ แพงมาก
ไหนยังต้องผ่อนหนี้เงินกู้ที่ซื้อรถยนต์ให้ลูกอีกฉันกลัวพวกเขาลำบาก
ตอนนี้ยอมรับว่า ค่าใช้จ่ายสูง จริงๆ
และเป็นเวลาที่ยากที่จะเก็บเงิน
แต่อีก สักระยะ เมื่อพวกเขาเรียนจบ การเงินคงจะคล่องตัวขึ้น
ถึงตอนนั้นฉันจึงจะเก็บ

วัย 50
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ตอนนี้ ลูกๆ เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลายคนกำลังจะแต่งงาน
ฉันอยากให้พวกเขาเริ่มต้นชีวิตที่ดี
นอกจากนี้ฉันยังต้องไปช่วย ญาติ บางคน
ซึ่งตอนนี้พวกเขากำลัง ต้องการความช่วยเหลือ
เหตุการณ์มันไม่ได้เป็นไปตามที่ฉันคิดไว้เลย มันติดขัดไปหมด
โชคดีเมื่อไหร่ ฉันคงจะเก็บเงินได้

วัย 60
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันนึกว่า สถานการณ์ น่าจะดีขึ้น ฉันอยากเกษียณอายุก่อน
แต่ฉันไม่สามารถทำได้
ฉันกำลังพยายามจ่ายเงินติดค้างจำนองบ้านที่เหลือและหนี้สินอื่นๆ
แต่ทุกอย่างยังประดังเข้ามา ไหนจะลูกเอยหลานเอย
ไอ้โน่นไอ้นี่มาลงที่ตัวฉันหมด ถ้า ภาระฉันหมด เมื่อไร
ฉันภาวนาว่าฉันน่าจะเก็บได้

วัย 70
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉัน แก่เกินไป ที่จะเก็บ
เงินบำนาญของฉันก็มีไม่มากพอ
บิลค่ายาและค่าดูแลรักษาพยาบาลระยะยาวทำให้ฉันเป็นห่วงอยู่
ฉันไม่อยากไปเป็นภาระของลูกๆ เขา
ฉันน่าจะเก็บตอนที่ฉันมีและควรเก็บได้

ตอนนี้
มันสายเกินไป......
ฉัน ไม่สามารถ เก็บเงินได้เดี๋ยวนี้จริงๆ.....

ขอให้เพื่อนโชคดี......มีเงินออมมาก ๆ ทุกคนนะครับ