วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552

" อานิสงส์การบวช "

องค์สมเด็จจพระบรมศาสดาตรัสว่า การอุปสมบทบรรพชามีอานิสงฆ์พิเศษ ซึ่งสมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ตรัสว่า อานิสงส์อย่างอื่น มีการสร้างวิหารก็ดี การถวายสังฆทานก็ดี ทอดกฐินผ้าป่าก็ดี จัดว่าเป็นอานิสงฆ์สำคัญ แต่อานิสงส์นั้น บุคคลที่จะพึงได้ต้องโมทนาก่อน แต่ว่าการอุปสมบทบรรพชานี้แปลกกว่านั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรมบรมศาสดาสัมมามัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า "สมมติว่าบุตรชายของท่านผู้ใดออกจากครรภ์มารดาวันนั้น บิดามารดาก็จากกัน ลูกกับพ่อแม่ย่อมไม่รู้จักกัน เวลาที่อุปสมบทบรรพชานั้น บิดามารดาไม่ทราบ แต่บิดามารดาย่อมได้อานิสงส์นั้นโดยสมบูรณ์ การอุปสมบทบรรพชาจึงจัดว่าเป็นกุศลพิเศษ"

คำว่า "บบรพชา" หมายความว่า บวชเป็นเณร คำว่า "ปสมบท" หมายความว่า บวชเป็นพระ

ท่านที่บรรพชาในพระพุทธศาสนาเป็นสามเณร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ท่านผู้บรรพชาเอง คือ เณร ถ้าประพฤติปฏิบัติดีก็เป็นการลงทุนซื้อสวรรค์ ถ้าปฏิบัติเลว การบวชพระบวชเณรก็ถือว่าเป็นการซื้อนรก ท่านที่บวชเป็นเณรเข้ามาในพระพุทธศาสนาแล้วประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามระบอบพระธรรมวินัย

สำหรับท่านผู้เป็นเณรนั้นไซร้ ย่อมมีอานิสงส์ถ้าตายจากความเป็นคน ถ้าจิตของตนมีกุศลธรรมดาไม่สามารถจะทรงจิตเป็นฌาน ท่านผู้นั้นจะเสวยความสุขบนสวรรค์ได้ถึง 30 กัป ถ้าหากว่าทำจิตของตนเกือบเป็นฌาน ได้ฌานสมาบัติ ตายจากความเป็นคนจะเกิดเป็นพรหม มีอายุอยู่ถึง 30 กัปเช่นเดียวกัน

อายุเทวดาหรือพรหมย่อมมีกำหนดไม่ถึง 30 กัป ก็หมายความว่า เมื่อหมดอายุแล้วก็จะเกิดเป็นเทวดาใหม่ เกิดเป็นพรหมใหม่อยู่บนนั้นไปจนกว่าจะถึง 30 กัปหรือมิฉะนั้นก็ต้องเข้าพระนิพพานก่อน บิดามารดาของสมาเณร ย่อมได้อานิสงส์คนละ 15 กัป ครึ่งหนึ่งของเณร

องค์สมเด็จพระมหามุนีตรัสต่อไปว่า บุคคลผู้มีวาสนาบารมี คือมีศรัทธาแก่กล้า ตั้งใจอุปสมบทในพระพุทธศาสนาเป็นพระสงฆ์ แต่ว่าเมื่อบวชแล้วก็ต้องปฏิบัติชอบ ประกอบไปด้วยคุณธรรม คือ มีพระธรรมวินัยเป็นสำคัญ ท่านที่บวชเป็นพระด้วยตนเอง จะมีอานิสงฆ์อยู่เป็นเทวดาหรือพรหม 60 กัป บิดามารดาจะได้คนละ 30 กัป นี่เป็นอานิสงส์พิเศษ

แต่ทว่าภิกษูสามเณรท่านใดทำผิดบทบัญญัติในพระพุทธศาสนา ก็พึงทราบว่าเมื่อเวลาตายก็มีอเวจีเป็นที่ไปเหมือนกันอานิสงส์ที่พึงได้ใหญ่เพียงใดโทษก็มีเพียงนั้น

สำหรับผู้ที่ช่วยในการบวช การอุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนา คือบำเพ็ญกุศลร่วมกับเขา ด้วยจตุปัจจัยมากบ้างน้อยบ้าง ช่วยขวนขวายในกิจการงานในการที่จะอุปสมบทบ้าง อย่างนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดากล่าวว่า ท่านผู้นั้นจะมีอานิสงส์เสวยความสุขอยู่บนสวรรค์ หรือในพรหมโลกคนละ 8 กัป แต่ถ้าหากเป็นคนฉลาด อย่างที่วัดนี้เขาบวชพระกัน 42 องค์ เราก็บำเพ็ญกุศลช่วยในการบวชพระ ไม่เจาะจงเฉพาะท่านผู้ใดผู้หนึ่ง เรียกว่าช่วยทั้งหมดทั้ง 42 องค์ ก็ต้อง 42ตั้ง เอา 8 คูณ

อานิสงส์กุศลบุญราศีที่เราจะพึงได้สำหรับท่านผู้เป็นเจ้าภาพ ในฐานะคนที่บวชไม่ได้เป็นบุตรของเรา แต่ว่าเป็นผู้จัดการขวนขวายในการอุปสมบทบรรพชาให้ อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดากล่าวว่า ท่านผู้จัดการบวชจะได้อานิสงส์ 12 กัป จะมีผลลดหลั่นซึ่งกันและกัน

การที่นำเอาอานิสงส์บรรพชากุลบุตรกุลธิดาไว้ในพระพุทธศาสนามาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะเห็นว่าในเวลานี้ บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายยังไม่ค่อยจะมีความเข้าใจคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วในข้อนี้ อีกประการหนึ่ง การจะบวชลูกหลานเข้าไว้ในพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจจะเอาบุญ ถือทำกันตามประเพณีเป็นสำคัญ พอเริ่มการจัดงานก็มีการฆ่าไก่บ้าง ฆ่าปลาบ้าง ฆ่าหมูบ้าง ฆ่าวัวฆ่าควายบ้าง เอาสุราเบียร์เข้ามาเลี้ยงกันบ้าง ถ้าทำกันตามประเพณีแบบนี้ก็จะได้ชื่อว่า ไม่มีอานิสงส์กุศลบุญราศีอะไรเลย เพราะมีเจตนาชั่ว คือเริ่มต้นก็ทำบาปก่อนแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า ถ้าจิตเป็นอกุศล กุศลใดๆ ที่ตนคิดว่าจะทำมันก็ไม่ปรากฏ ฉะนั้น ในการใด ถ้าเราจะบำเพ็ญกุศลบุญ ราศีให้ปรากฏเป็นผลดี ก็ขอให้การนั้นเป็นการที่บำเพ็ญกุศลจริงๆ จงเว้นกรรมที่เป็นอกุศลเสียให้หมด งดสิ่งที่เป็นความชั่วทุกประการ ตั้งใจไว้เฉพาะบำเพ็ญกุศลบุญราศีเท่านั้น

กุลบุตรที่บวชในพระพุทธศาสนา ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ความผ่องใสของท่านผู้บวชก็มีขึ้น คือ จิตผ่องใสปราศจากอารมณ์ที่เป็นกิเลส ต่อมาปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ คือเจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน จนอารมณ์ชื่นบานเข้าถึงธรรมปีติ คำว่า ธรรมปีติ หมายความว่า ยินดีในการปฏิบัติความดีในด้านพระธรรมวินัยอย่างหนึ่ง ยินดีในการเจริญสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา อานิสงส์กุศลบุญราศีก็เกิด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปรียบเทียบไว้ว่า ผู้ใดอุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว วันหนึ่งทำจิตใจว่างจากกิเลสเพียงวันละชั่วขณะจิตเดียว

อานิสงค์จากการทำบุญ มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ

มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ

1. นั่งสมาธิ
อย่างน้อยวันละ 15 นาที(หรือเดินจงกรมก็ได้)
อานิสงส์ --- เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า
เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย
จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ
ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน
ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง
เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

2. สวดมนต์ ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน
อานิสงส์ --- เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า
เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว
แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา , พระคาถาชินบัญชร ,
พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น
เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

3. ถวายยารักษาโรค ให้วัด , ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์
อานิสงส์ - -- ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา
สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า
ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา

4. ทำบุญตักบาตร ทุกเช้า
อานิสงส์ --- ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร
ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆ เกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน
อานิสงส์ --- เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลา ภ ยศ
สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้
ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน

6. สร้างพระถวายวัด
อานิสงส์ --- ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุข
ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุท ธศาสนาตลอดไป

7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์ หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไป
อานิสงส์ --- ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่
ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร
สร้างปัจจัยไปสู่น ิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา
จิตเป็นกุศล

8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย
อานิสงส์ --- ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ
ต่อไปจะมีผู้คอ ยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษา
ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง

9.ปล่อยปลา ที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ
อานิสงส์ --- ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต
ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรท ี่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น
หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส
เป็นอิสระ

10. ให้ทุนการศึกษา , บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ , อาสาสอนหนังสือ
อานิสงส์ --- ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะ ฉลาดเฉลียวมีปัญญา
ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม

11. ให้เงินขอทาน , ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)
อานิสงส์ --- ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก
เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยา กจนในชาตินี้จะทุเลาลง
จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

12. รักษาศีล 5 หรือศีล 8
อานิสงส์ --- ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก
ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
กรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา

อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์

1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเค ี ยดแค้นในใจลงได้
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู ่ อบายภูมิ
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ

อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้ 1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มี คนคิดร้ายไม่สำเร็จ
3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ
6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ (เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน
7. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป
8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช
9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง
10. สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญอย่างเอนกทุกชาติของผู้สร้างที่เกิดจะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ

อานิสงส์การบวชพระบวชชีพรามณ์ ( บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ , อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร )

1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา
2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย
3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย
4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป
5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา
8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย
10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่างๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้าง คนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสา การให้คนได้บวช

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับจงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำแรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรกที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมีซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข้อแนะนำสำหรับข้าวนาหว่าน

ควรใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่สมบูรณ์ ใช้ข้าวปลูกไม่เกินไร่ละสองถัง เพราะจะทำให้พืชได้รับธาตุอาหารอย่างเพียงพอ และสามารถแตกกอได้อย่างเต็มที่ ทำให้แสงอาทิตย์เข้าถึงพื้นดินป้องกันการเกิดเชื้อราและโรครากเน่า

ทำให้รากพืชสามารถสร้างออกซิเจนและหาอาหารได้ดี กระตุ้นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดินให้ทำกิจกรรมได้ดีขึ้น ลดการวางไข่ของแมลงได้ดี พืชไม่เป็นเชื้อรา ช่วยระบบการหายใจ ได้ดีขึ้น ทำให้มีการสังเคราะห์แสงดี เจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ ดูแลรักษาง่าย จึงได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ เป็นที่ต้องการของตลาด

การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ปูแดงกับนาข้าว

สามารถใข้ปุ๋ยอินทรีย์ปูแดงร่วมกับปุ๋ยเคมีได้ในอัตราส่วน 1:3 ปุ๋ยเคมี 1 กระสอบ ปุ๋ยปูแดง 3 กระสอบ และผงชูรสพืช 2 กิโลกรัม คลุกเคล้าก่อนนำๆไปหว่าน จะทำให้ ท่านสามารถลดต้นทุน การใช้ปุ๋ยเคมี ลงได้ ทำให้สภาพดินของท่านมีความอุดมสมบูรณ์ ด้วยธาตุอาหารหลักอาหารรองอาหารเสริม ครบถ้วน และทำให้ดินโปรงร่วนซุยเหมาะสมกับการเพาะปลูก

ประโยชน์ของการใช้ปุ๋ยเคมีผสมปุ๋ยอินทรีย์ปูแดง
- ได้ธาตุอาหารครบถ้วน เช่น อาหารหลัก อาหารรอง อาหารเสริม
- ปรับสภาพดินให้ร่วนซุยโปร่งพรุนและปรับค่า ph ของดินให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช
- ทำให้ปุ๋ยเคมีละลายช้า ปลดปล่อยธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างเดียว ทำให้พืชเขียวทน เขียวนาน มีความสมบูรณ์ ป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันโรคพืชได้ดี สามารถเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้นและลดการใช้สารเคมีลงได้มากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็น

การใช้อาหารเสริมพืชทางใบตามระยะเวลาการเจริญเติบโตของข้าว

เมื่อมีการให้ปุ๋ยครั้งแรก หลังจากการให้ปุ๋ย 5-7 วัน
1.เทน้ำ 20 ลิตรลงในถังน้ำหรือภาชนะที่ใช้
2.เทไคโตซานพืชปูแดงตามลงไปเป็นอันดับแรก 20 cc
3.แล้วตามด้วยอินทรีย์ปูแดง 20 cc
4.แล้วสมุนไพรปูแดงอีก 20 cc
5.ฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณต้นข้าว ถ้าให้ผลดีควรฉีดพ่นทุกๆ 10-15 วัน

เมื่อข้าวอายุได้ 35-40 วัน
1.เทน้ำ 20 ลิตรลงในถังน้ำหรือภาชนะที่ใช้
2.เทไคโตซานพืชปูแดงตามลงไปเป็นอันดับแรก 20 cc
3.แล้วตามด้วยอินทรีย์ปูแดง 40 cc
4.แล้วสมุนไพรปูแดงอีก 40 cc
5.ฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณต้นข้าว
ข้อควรระวัง:ข้าวระยะนี้มีปัญหาเรื่องหนอนและแมลงรบกวน ควรมีการป้องกันระมัดระวังไว้ก่อน โดยการใช้สมุรไพรช่วยในการควบคุมและป้องกัน

เมื่อข้าวอายุได้ 55-60 วันหรือช่วงระยะตั้งท้อง (แล้วแต่พันธุ์ข้าวด้วยว่าเป็นพันธุ์ 3 เดือน 3 เดือนครึ่ง หรือ 4 เดือน)
1.เทน้ำ 20 ลิตรลงในถังน้ำหรือภาชนะที่ใช้
2.เทไคโตซานพืชปูแดงตามลงไปเป็นอันดับแรก 20 cc
3.ตามด้วยอินทรีย์ปูแดง 40 cc
4.สมุนไพรปูแดงอีก 40 cc
5.แล้วเพิ่มแคลเซียมโบรอนลงไป 20 cc
6.คนให้เข้ากัน
7.ฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณต้นข้าว

เมื่อข้าวออกรวงโผล่เผล่หรือข้าวแทงหางปลาทู
1.เทน้ำ 20 ลิตรลงในถังน้ำหรือภาชนะที่ใช้
2.เทไคโตซานพืชปูแดงตามลงไปเป็นอันดับแรก 20 cc
3.ตามด้วยอินทรีย์ปูแดง 40 cc
4.สมุนไพรปูแดงอีก 40 cc
5.แล้วเพิ่มแคลเซียมโบรอนลงไป 20-30 cc
6.คนให้เข้ากัน
7.ฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณต้นข้าว จะทำให้ข้าวออกรวงสุดไม่เป็นโรคจู๋เพราะว่าข้าวมีธาตุอาหารเพียงพอ ทำให้เมล็ดเต็ม ไม่ลีบ ไม่เป็นท้องปลาซิว

เมื่อข้าวสลัดเกสรแล้ว
1.เทน้ำ 20 ลิตรลงในถังน้ำหรือภาชนะที่ใช้
2.เทไคโตซานพืชปูแดงตามลงไปเป็นอันดับแรก 20 cc
3.ตามด้วยอินทรีย์ปูแดง 40 cc
4.สมุนไพรปูแดงอีก 40 cc
5.แล้วเพิ่มแคลเซียมโบรอนลงไป 20-30 cc
6.คนให้เข้ากัน
7.ฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณต้นข้าว จะทำให้ข้าวเมล็ดเยอะ รวงใหญ่ ได้น้ำหนักดี มีคุณภาพ ความชื้นต่ำ ขายได้ราคาดี
หมายเหตุ ถ้ามีการฉีดพ่นสารอาหารทางใบได้บ่อยเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะจะทำให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น เพราะว่าพืชมีความอุดมสมบูรณ์ การฉีดพ่นที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 4-6 ครั้งไม่ควรต่ำไปกว่านี้หรือ 15-20 วันต่อครั้งจะทำให้พืชแข็งแรงต้านทานโรคได้ดี

กรณีข้าวมีโรคหรือแมลงรบกวนให้เพิ่ม
- ไคโตซานพืชปูแดง 50 cc
- อินทรีย์ปูแดง 60 cc
- สมุนไพรปูแดง 60-80 cc
- ฉีดพ่นครั้งที่สองห่างห้าวันฉีดซ้ำอีกหนึ่งครั้ง ถ้าดีขึ้นแล้วให้ฉีดต่อไปทุกๆ 7 วัน

*ข้าวสามเดือน จะเริ่มตั้งท้อง เมื่ออายุได้ห้าสิบถึงหกสิบวัน
*ข้าวสี่เดือน จะเริ่มตั้งท้อง เมื่ออายุได้เจ็ดสิบถึงเจ็ดสิบห้าวัน

การใช้อาหารเสริมพืชทางใบปูแดงร่วมกับยาคลุมหญ้าในนาข้าว

วิธีที่ 1 ( หลังจากหว่านข้าวแล้วใช้ยาคลุมหญ้าภายใน 7 วัน )
1.เทน้ำ 20 ลิตรลงในถังน้ำหรือภาชนะที่ใช้
2.เทไคโตซานพืชปูแดงตามลงไปเป็นอันดับแรก 10 cc
3.แล้วตามด้วยอินทรีย์ปูแดง 20 cc
4.คนให้เข้ากันแล้วฉีดพ่นพร้อมยาคลุมหญ้า

วิธีที่ 2 ( หลังจากหว่านข้าวแล้วใช้ยาคลุมหญ้าภายใน 10-15 วัน )
1.เทน้ำ 20 ลิตรลงในถังน้ำหรือภาชนะที่ใช้
2.เทไคโตซานพืชปูแดงตามลงไปเป็นอันดับแรก 20 cc
3.แล้วตามด้วยอินทรีย์ปูแดง 20 cc
4.คนให้เข้ากันแล้วฉีดพ่นพร้อมยาคลุมหญ้า

ประโยชน์ที่ได้รับ : จะทำให้หญ้าตายดี ต้นข้าวเจริญงอกงามได้ตามปกติ ข้าวไม่ชะงัดงันและไม่เหี่ยวแห้ง ข้าวไม่หยุดการเจริญเติบโต

การใช้ปูแดงเคลือบเมล็ดพันธุ์ข้าวมีด้วยกัน 2 วิธีให้เลือก

วิธีที่ 1 แช่เมล็ดพันธุ์ (เป็นวิธีการที่ดีที่สุด)
1.เทน้ำ 20 ลิตรลงในถังน้ำหรือภาชนะที่ใช้
2.เทไคโตซานพืชปูแดงตามลงไปเป็นอันดับแรก 40 cc
3.แล้วตามด้วยบิ๊กปูแดง 40 cc
4.คนให้เข้ากัน
5.เทน้ำที่ผสมเรียบร้อยแล้วลงไปในถังที่ใส่เมล็ดพันธุ์ใ้ห้มิด
6.เมื่อเสร็ตเรียบร้อยแล้วแช่ทิ้งไว้ 1 คืน

วิธีที่ 2 ราดในกระสอบ
1.แช่ข้าวทิ้งไว้ในบ่อน้ำหรือคลองเป็นเวลา 1 คืน
2.พ้น 1 คืนแล้วให้นำข้าวขึ้นมาผึ่งแล้วทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
3.เทน้ำ 20 ลิตรลงในถังน้ำหรือภาชนะที่ใช้
4.เทไคโตซานพืชปูแดงตามลงไปเป็นอันดับแรก 40 cc
5.แล้วตามด้วยบิ๊กปูแดง 40 cc
6.เปิดปากกระสอบแล้วราดน้ำที่ผสมแล้วให้ทั่วกระสอบ
7.เมื่อเสร็จแล้วร้อยแล้วก็ปิดปากกระสอบ แล้วทิ้งไว้ 1 คืน

ประโยชน์ที่ได้รับ : จะทำให้เมล็ดพันธุ์มีความแข็งแรง สะสมอาหารเพียงพอต่อการเจริญเติบโต ทำให้รากเดินได้ดีและแตกต้นได้ไว เติบโตได้เร็ว ทนทานต่อโรคแมลง และ โรคพืชได้เป็นอย่างดี

การปูแดงปรับสภาพดินให้เหมาะสมต่อการเพาะปลูกข้าว

1.เทน้ำ 40-50 ลิตรลงในถังน้ำหรือภาชนะที่ใช้
2.เทไคโตซานพืชปูแดงตามลงไปเป็นอันดับแรก 250 cc
3.แล้วตามด้วยผงชูรสพืชปูแดง 1 กิโลกรัม
4.ผสมให้เข้ากันแล้วนำไปฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณพื้นที่แปลงนา 1 ไร่

กรณีดินเสียมากหรือค่า ph ต่ำกว่า 5
1.ให้ไถกลบหน้าดินก่อน
2.เทน้ำ 100 ลิตรลงในถังน้ำหรือภาชนะที่ใช้
3.เทไคโตซานพืชปูแดงตามลงไปเป็นอันดับแรก 500 cc
4.แล้วตามด้วยผงชูรสพืชปูแดง 500 กรัม
5.ผสมให้เข้ากันแล้วนำไปฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณพื้นที่แปลงนา 1 ไร่

ประโยชน์ที่ได้รับ : เพื่อกระตุ้นจุลินทรีย์ในดินให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นและฮิวมิคแอซิดในผงชูรสพืชปูแดงจะช่วยเพิ่มธาตุอาหารที่พืชต้องการและพืชสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ดียิ่งขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"โรคซีวีเอส" หรือ"คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม"

"โรคซีวีเอส" หรือ"คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม" (computer vision syndrome) คือ อาการของคนที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เช่น เกินสองถึงสามชั่วโมง มักจะมีอาการปวดตา แสบตา ตามัว และบ่อยครั้งที่จะมีอาการ ปวดหัวร่วมด้วย อาการทางสายตาเหล่านี้เกิดจากการจ้องดูข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ติดต่อ กันเป็นเวลานานเกินไป อาการเหล่านี้พบได้ถึงร้อยละ 75 ของบุคคลที่ใช้คอมพิวเตอร์

สาเหตุการเกิดโรค เนื่องจากว่าผู้ใช้คอมพิวเตอร์ไม่ค่อยกระพริบตา ปกติแล้วเราทุกคน จะต้องกระพริบตาอยู่เสมอ เป็นการเกลี่ยน้ำตาให้คลุมผิวตาให้ทั่วๆ โดยมีอัตราการ กระพริบ 20 ครั้งต่อนาที หากเราอ่านหนังสือหรือนั่งจ้องคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบ จะลดลง โดยเฉพาะการจ้องคอมพิวเตอร์การกระพริบตาจะลดลงกว่าร้อยละ 60 ทำให้ ผิวตาแห้ง ก่อให้เกิดอาการแสบตา ตาแห้ง รู้สึกฝืดๆ ในตา

1. แสงจ้า และแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ ทำให้ตาเมื่อยล้า ทั้งแสงจ้าและแสงสะท้อน มายังจอภาพ อาจเกิดจากแสงสว่างไม่พอเหมาะ มีไฟส่องเข้าหน้าหรือหลังจอภาพโดยตรง หรือแม้แต่แสงสว่างจากหน้าต่างปะทะหน้าจอภาพโดยตรง ก่อให้เกิดแสงจ้าและ แสงสะท้อนเข้าตาผู้ใช้ ทำให้เมื่อยล้าตาง่าย

2. ระยะทำงานที่ห่างจากจอภาพให้เหมาะสม ควรจัดจอภาพให้อยู่ในระยะพอเหมาะที่ตา มองสบายๆ ไม่ต้องเพ่ง โดยเฉลี่ยระยะจากตาถึงจอภาพควรเป็น 0.45 ถึง 0.50 เมตร ตาอยู่สูงกว่าจอภาพโดยเฉพาะผู้ที่ใช้แว่นสายตาที่มองทั้งระยะใกล้และไกล จะต้องตั้ง จอภาพให้ต่ำกว่าระดับตา เพื่อจะได้มองตรงกับเลนส์แว่นตาที่ใช้มองใกล้

3. รายงานการศึกษาวิจัยเมื่อปี2004 พบว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดโรคซีวีเอสคือ มุมของระดับสายตา กับจอคอมพิวเตอร์ อาการต่างๆ จะหายไปเมื่อมุม ดังกล่าวมากกว่า 14 องศา ส่วนปัจจัยอื่นๆ จากการวิจัยพบว่าไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

อาการของ"โรคซีวีเอส" หรือ"คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม" มีอะไรบ้าง?
ตาเมื่อยล้า, ตาแห้ง, แสบตา, ตาสู้แสงไม่ได้, ตาพร่ามัว, ปวดศีรษะ, ปวดเมื่อยบ่า ไหล่ คอ หรือปวดหลัง

เราจะมีวิธีป้องกัน หรือแก้ไขอาการเล่านี้หรือไม่?
สำหรับการแก้ไขขั้นต้น ควรเริ่มจากการปฏิบัติตัวเองเสียใหม่ เช่น อย่าให้กล้ามเนื้อตาล้าเกินไป ด้วยการอย่านั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ให้พักสายตาทุก 15 นาที ด้วยการมองออกไปไกลๆ จะทำให้ดวงตาไม่เกิดอาการล้า พร้อมปรับแสงหน้าจอ คอมพิวเตอร์ให้แสงพอเหมาะ อย่าขยี้ตา หากรู้สึกอ่อนล้าให้นวดคลึงเบาๆ และควรบริหาร ดวงตาเพื่อคลายความตึงเครียด ด้วยการกลอกตาไปรอบๆ เป็นวงกลม สัก 5-6 รอบ ใช้นิ้วนางทั้ง 2 นิ้วแตะที่หัวตาแต่ละข้าง คลึงเบาๆ แบบกดจุดนาน 1-2 วินาที

โครงการอุปสมบทหมู่ 100,000 รูปทุกหมู่บ้านทั่วไทย

โครงการอุปสมบทหมู่ 100,000 รูปทุกหมู่บ้านทั่วไทย
รวมพลังฟื้นฟูศีลธรรมโลก โดยคณะสงฆ์ทั้งแผ่นดิน

http://dmc.tv/pages/scoop/บวช%20%20ช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของลูกผู้ชาย.html

http://dmc.tv/pages/scoop/1sMonks.html

บันได 5 ขั้น สู่ชีวิตใหม่ ที่มีค่าและเป็นสุข

บันไดขั้นที่ 1 มองตัวเองว่าดีและมีค่าทุกวัน

ใน แต่ละวันให้นึกถึงความดี และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ให้นึกถึงความดีของตนเอง ที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่ายๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดีๆ และให้นึกซ้ำๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตต่อไป และต้องอวยพรตัวเองเสมอๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ

บันไดขั้นที่ 2 มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี


ขั้น นี้คุณจะต้องมองว่า ทุกๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน ตามความเป็นจริงของเขา ซึ่งไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่งมีกันทุกคน) ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะเป็นคนที่มองอนาคน และชีวิตดี มีความหวังที่ดีในชีวิตตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้าคุณทำเป็นนิสัย คุณจะพบว่า โลกนี้มีสิ่งที่ดีๆ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นสุขนิยมทั้งชีวิต

บันไดขั้นที่ 3 ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

คือ การอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่าจะสมใจ หรือไม่สมใจก็ตาม จงชื่นชมในความตั้งใจ ทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่า ในอนาคตจะต้องทำให้ดีกว่านี้ นอกจากนั้น คุณต้องเลิกจดจำ หรือนึกถึงเรื่องที่ไม่ดีที่เกิดกับคุณในอดีต เพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ และจะทำให้คุณเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันคุณไม่มีความสุข และกลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำๆ อีก

บันไดขั้นที่ 4 มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอ

ความ หวัง ความเชื่อ เกิดจากความคิดถึงบ่อยๆ หรือได้ยินบ่อยๆ จงนึกและบอกกับตัวเองเสมอว่า อนาคตจะดีขึ้นอีกเรื่อยๆ จะส่งผลให้เกิดกำลังใจมากขึ้น อยากพบเห็นสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตโดยไม่กลัว มีอารมณ์ขัน และไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก แต่จะมีความหวังที่ดีๆ (Good Hope) อยู่เสมอ แต่อย่ามีความคาดหวัง (Expectation) กับชีวิต เพราะถ้าคาดหวังกับชีวิต เรามักจะกลัว หรือกังวลว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์ดังความคาดหวัง หรือเมื่อได้มาแล้วก็มักไม่พอใจ จึงอาจทำให้เกิดทุกข์ได้

บันได้ขั้นที่ 5 ปรับปรุงตัวเองเสมอ

โดยปรับปรุง 4 ส่วนที่มีความสำคัญต่อชีวิต คือ


1.การงาน ให้มีความขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัว และกล้าลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ควรทำ จะทำให้มีการลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตได้เรื่อยๆ และปรากฏเป็นผลงานที่ชัดเจน

2.ครอบครัว จะต้องยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกันคือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน ไม่นอกใจ รู้จักการให้และการอภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน

3.สังคม หมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพูดจากันแบบปิยะวาจา

4.ตนเอง ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ และมีกำลังใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงประทานพระพรปีใหม่ 2553 ให้แก่ประชาชนชาวไทย

ความว่า

“โลกจะมีสันติภาพเพราะเมตตายิ่ง
ปีใหม่แล้ว ทุกคนขอให้เริ่มแก้ที่ตัวเองก่อน
แก้ที่ใจวุ่นวาย เร่าร้อนด้วยอำนาจจิตของกิเลส
ให้กลับเป็นใจที่สงบเย็นบางเบาจากกิเลส
ที่เคยโลภมาก ก็ให้ลดลงเสียบ้าง
ที่เคยโกรธแรง ก็ขอให้โกรธเบาลง
ที่เคยหลงจัด ก็ขอให้พยายามใช้สติปัญญา
ตนเองจะเป็นผู้สงบเย็นก่อน
ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดความสงบเย็น
กว้างขวางออกไป อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
โลกเย็น เพราะเมตตายิ่ง
โลกร้อน เมตตาหย่อน
นี้เป็นความจริงที่ควรยอมรับและควรแก้ไข
อันการแก้นั้นก็ต้องไม่ไปแก้ผู้อื่น
ต้องแก้ที่ตัวเอง แก้ตัวเองให้ยิ่งด้วยเมตตา
หรือให้มีเมตตายิ่งขึ้นนั่นเอง
เมื่อมีเมตตาอย่างจริงใจแล้ว จะเป็นเหตุให้เกิดผลงานมากมาย
เป็นคุณทั้งแก่ผู้รับ และเป็นคุณทั้งแก่ผู้ให้"

ขออำนวยพร
วัดบวรนิเวศวิหาร

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กลูตาไธโอน ช่วยให้ขาวได้จริงหรือ

สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่เซลล์ในร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วนโดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย เช่น ตัวยาหรือสารพิษที่ไม่ละลายน้ำ เมื่อรวมตัวกับสารกลูตาไธโอน จะช่วยให้ละลายน้ำได้และถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ในที่สุด สารพิษจำพวกโลหะหนักหรือสารกำจัดแมลง สามารถถูกขจัดออกจากร่างกายได้โดยการทำงานของกลูตาไธโอนร่วมกับตับ

สารกลูตาไธโอนยังมีหน้าที่สำคัญอีกมากมายในร่างกาย เช่น สังเคราะห์โปรตีน ช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง ช่วยเร่งการซึมผ่านของสารอาหารเข้าสู่เซลล์ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งนั่นเอง

โดยสรุปสารกลูตาไธโอน จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีกำลังสูงเมื่อเปรียบเทียบกับวิตามินซีหรือวิตามินอี เมื่ออายุคนเรามากขึ้นปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายจะลดน้อยลง มีผลทำให้เซลล์และอวัยวะทุกส่วนเสื่อมโทรมลง ในทางตรงกันข้าม นักวิจัยพบว่าผู้ที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรง มักจะตรวจพบสารกลูตาไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด


การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์
สารกลูตาไธโอนมีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบเส้นประสาทบกพร่อง เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยได้รับการรับรองให้ใช้เป็นยามามากกว่า 30 ปี การรักษามักจะให้โดยการฉีดเข้าเส้นหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ อาการข้างเคียงของยาดังกล่าวตอนนี้ยังไม่พบ แต่อย่างไรก็ตามพบว่า สารกลูตาไธโอนมีผลข้างเคียงในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ผลข้างเคียงนี้จึงทำให้มีการแตกตื่นและนำกลูตาไธโอนมาเตรียมเป็นยาเม็ดเพื่อใช้เป็นอาหารเสริม เพื่อชะลอวัย และหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู


ยาเม็ดกลูตาไธโอน ได้ผลจริงหรือ ?
ในวงการของอาหารเสริม มีการนำสารกลูตาไธโอนมาทำเป็นยาเม็ดในขนาดความแรงต่างๆ กัน เพื่อใช้ในการรับประทานเป็นอาหารเสริม โดยหวังผลว่า จะสามารถเสริมและทดแทนปริมาณกลูตาไธโอนที่ร่างกายมีไม่พอหรือบกพร่องไป อันเนื่องมาจากสาเหตุของโรคต่างๆ

จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า สารกลูตาไธโอนจะไม่สามารถถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหารได้ เพราะจะถูกย่อยสลายและขับออกทางลำไส้ ดังนั้นการรับประทานยาเม็ดกลูตาไธโอนจึงไม่ได้รับประโยชน์เลย ไม่ว่าจะกินครั้งละหลายๆ เม็ดหรือในขนาดที่สูงมากๆ ก็ตาม


กลูตาไธโอนช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือ?
ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น อาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ของการใช้ยากลูตาไธโอนคือ การยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ผิวหนัง รวมทั้งการเปลี่ยนเม็ดสีที่สร้างขึ้นจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว จึงมีการคิดนำเอาสารชนิดนี้มาใช้เป็นอาหารเสริมโดยหวังว่า จะสามารถเสริมและเพิ่มความเข้มข้นของกลูตาไธโอนในกระแสเลือดให้มากๆ เพื่อหวังผลให้ผิวหน้าขาวอมชมพู แต่ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมนั้น ทานมากเท่าไหร่ก็จะไม่ได้ผล เพราะสารชนิดนี้จะถูกย่อยสลายและกำจัดออกจากร่างกาย ไม่ถูกดูดซึม แพทย์หลายสำนักจึงได้มีการดัดแปลงโดยทำการฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้ามเนื้อเช่นเดียวกับการรักษาโรคต่างๆ อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงของผิวขาวเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้น จึงไม่ควรใช้ยานี้ในทางที่ผิด


ภาวะที่ร่างกายขาดกลูตาไธโอน

เนื่องจากสารดังกล่าวร่างกายสร้างได้เอง แต่สภาวะที่ร่างกายอาจขาดหรือมีกลูตาไธโอนไม่เพียงพอ เช่น เมื่อร่างกายมีโรคแทรกซ้อน ทำให้กลูตาไธโอนลดน้อยลงด้วยสาเหตุการถูกทำลายด้วยยารักษาหรือด้วยตัวโรคเอง หากร่างกายขาดหรือมีกลูตาไธโอนน้อย จะมีผลทำให้เกิดโรคตับอักเสบง่าย ทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ มีโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจ โรคหืด ผู้ที่มีกรรมพันธุ์เกี่ยวกับความบกพร่องของกลูตาไธโอนมักจะมีปัญหาโรคแทรกซ้อนทางระบบประสาท ผู้ที่ป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ ปริมาณกลูตาไธโอนในระบบเลือดจะต่ำมากๆ ผู้ที่สูบบุหรี่จัดก็เช่นกัน ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย

กลูตาไธโอนในธรรมชาติ
พบมากในผลไม้ ได้แก่ แตงโม สตรอเบอรี่ องุ่น ผลอโวกาโด ส่วนในผักพบมากใน หน่อไม้ฝรั่ง สำหรับเนื้อสัตว์จะพบได้ใน ปลา และเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ดังนั้นควรเลือกรับประทานจากธรรมชาติดีกว่าที่จะหลงไปใช้สารนี้อย่างผิดๆ และขาดความเข้าใจ



ที่มาจาก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

ทำงานและทำตัว ให้ถูกใจหัวหน้างาน

คิดว่าหลายคนต้องเคยมีประสบการณ์ ที่กำลังจะพูดถึงในสัปดาห์นี้แน่นอน ประสบการณ์ที่เป็นเหมือนฝันร้าย หรือฝังอยู่ในใจของคน ที่เพิ่งเริ่มรับงานใหม่ หรือต้องมาทำงานที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน แม้ว่าจะตั้งอกตั้งใจทำอย่างไร ก็ไม่เป็นที่พอใจของผู้บังคับบัญชา เอาซะเลย จนทำให้รู้สึกหมดกำลังใจ หรือน้อยอกน้อยใจอยู่บ้าง เพราะได้ทุ่มเททั้งกำลังกาย และกำลังใจมุ่งมั่นที่จะสร้างผลงานนั้น ด้วยความตั้งอกตั้งใจมาโดยตลอด แต่เจ้านายคนดี กลับมองข้ามความสามารถของคุณ หรือ มองมองไม่เห็นถึงความพยายามของคุณ อย่าเพิ่งท้อแท้ชิงลาออกไปก่อนนะคะ ปัญหาทุกปัญหามีทางออกอยู่เสมอ เพียงแต่ต้องให้เวลาเป็นตัวคลี่คลาย ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณเองก็ต้องพยามยามทำงานต่อไป และต้องพิจารณาหาข้อเสียของตัวเอง แล้วนำปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นด้วยเหมือนกัน

ลองทำตามข้อแนะนำเหล่านี้ดู เผื่อว่าสักวันหนึ่ง คุณจะทำงานได้ถูกใจหัวหน้าเหมือนคนอื่นๆ เขาบ้าง

พยายามสร้างผลงานต่อไป
ความดีย่อมเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว แม้ว่าวันนี้หัวหน้าของคุณจะยังมองไม่เห็น แต่นานวันผ่านไปสิ่งดีๆ ที่คุณกระทำต้องเข้าตากรรมการแน่นอน พยายามทำตัวเป็นลูกน้องที่ดี มาทำงานตรงเวลา สิ่งเหล่านี้ใครๆ ก็รู้ใครๆ ก็เห็น หลักฐานก็อยู่ในบัตรตอกเวลา และผลงานของคุณเองค่ะ

อย่าเป็นคนแข็งจนเกินไปนัก
อย่าคิดว่าการพูดจาเอาอกเอาใจหัวหน้า จะเป็นการเลียแข้งเลียขาเสมอไป คุณสามารถเลือกชม เลือกพูดให้ตรงกับใจคุณก็ได้ เพียงแต่เลือกพูดเฉพาะสิ่งดีๆ เท่านั้น อย่างเช่น ถ้าวันนี้คุณรู้สึกว่า สร้อยคอเส้นใหม่ของหัวหน้า ดูเก๋ไก๋เสียเหลือเกิน คุณก็เพียงแต่พูดมันออกมา ใครๆ ก็ชอบให้มีคนชมทั้งนั้นละค่ะ โดยเฉพาะ เมื่อซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายใหม่ๆ มาก็อยากให้มีคนช่วยบอกว่าดีหรือไม่ดี

พยายามขอคำแนะนำ หรือปรึกษาปัญหากับหัวหน้าบ้าง ในเรื่องการทำงาน
เมื่อคุณไม่ชัวร์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับงาน การปรึกษากับหัวหน้า จะทำให้เขาภาคภูมิใจ และรู้สึกว่าตัวเองสำคัญ เพราะถือว่าได้มีส่วนร่วมกับผลงานชิ้นนั้น

สังเกตว่าเจ้านายของคุณชอบให้แต่งตัวหรือไม่
ประมาณว่า แต่งให้ถูกใจหัวหน้า ว่างั้นเถอะ เพราะถ้าไม่ชอบแล้วละก็ คุณควรลดการแต่งกาย ลงมาอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม จริงอยู่คุณมีอิสระ ที่จะเป็นตัวของตัวเอง แต่ถ้าลดมันลงมานิดหน่อย แล้วชีวิตของคุณจะดีขึ้นกว่าเก่า แล้วละก็ ลดมันลงมาเถอะค่ะ

อย่าทำตัวรู้มากเกินคนอื่น
เมื่อคุณอยู่ร่วม ในหัวข้อสนทนาใดๆ โดยเฉพาะเมื่อมีหัวหน้าร่วมวงด้วย ควรรับฟังสิ่งที่คนอื่นพูด มากกว่าที่จะเป็นฝ่ายเสนอความเห็น แต่ถ้ามั่นใจว่าสิ่งนั้นคุณรู้จริงๆ ก็แสดงออกมาให้คนอื่นได้เห็นกันเลยว่า ที่นั่งเงียบๆ อยู่น่ะใช่ว่าคุณจะไม่รู้อะไร เพียงแต่คุณไม่อยากหักหน้าใครๆ เท่านั้นเอง

อย่าพยาบาททำตัวเลียนแบบ เข้ากลุ่มพวกที่ชอบตามหัวหน้าต้อยๆ เด็ดขาด
เป็นตัวของคุณเองให้มากเข้าไว้ เพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่า หัวหน้าของคุณใช่จะไม่รู้อะไรเลย เขาอาจรู้ว่าใครเป็นยังไง เพียงแต่ไม่อยากทำให้ใคร เสียความรู้สึกก็ได้ จึงทำเหมือนพึงพอใจในสิ่งที่ลูกน้องเหล่านั้น พยายามยัดเยียด เมื่อคุณกลายเป็นคนพิเศษ ที่ทำอะไรเหมาะสม หัวหน้าของคุณมีหรือจะไม่แอบนิยมคุณอยู่ในใจบ้าง แต่ถ้าหากหัวหน้าของคุณ เกิดเป็นประเภท ชอบให้คนอื่นตามมาพะเน้าพะนอเอาใจ คุณก็ต้องเอ่ยชมแต่พอดี หรือในบางโอกาสก็พอ ที่เหลือต้องรอเวลาให้ผลงานของคุณ พิสูจน์ตัวของมันเองค่ะ

หากคุณโชคร้ายได้หัวหน้าประเภทขี้โมโหเอาแต่ใจตัวเอง
คุณควรพยายามเรียนรู้ว่า อะไรที่ทำให้เขาหรือเธอไม่พอใจ และเลี่ยงให้ไกลจากมันมากที่สุด ทำงานของคุณไปตามสเตปที่หัวหน้าวางไว้ โดยไม่ลืมที่จะระวังไม่ให้ใครทำอะไรให้เป็นที่ขุ่นเคืองด้วย เพราะผลกระทบย่อมตกอยู่ที่คุณด้วยเช่นกัน

เมื่อถึงเวลาต้องพรีเซนต์ คุณต้องพร้อมเสมอ!แม้ว่าคุณจะเป็นคนเก่งสักแค่ไหน แต่หากเก็บงำมันไว้เงียบๆ คนเดียว คงไม่มีวันที่ใครๆ จะรับรู้ถึงความสามารถของคุณแน่นอน คุณต้องรู้จักแสดงออก กล้าพูด กล้าทำ

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แม้ว่าบางข้ออาจดูเหมือนไม่ได้เกี่ยวกับ การสร้างผลงานเอาเสียเลย แต่คุณควรจะรู้ไว้ว่า บุคลิกภาพคือ ส่วนที่ช่วยสนับสนุนให้ภาพลักษณ์ของคุณ ดูดีในสายตาของคนรอบข้าง หากคุณเป็นใครสักคนที่ไม่น่าสนใจ อาจถูกมองข้ามไปได้ง่ายๆ ฉะนั้น พยายามสร้างความประทับใจ ให้ซึมซับเข้าสู่หัวใจหัวหน้าของคุณซะบ้าง ยังไงเสีย คนทำดี ย่อมได้ดี(สักวัน) !!

สาหร่ายเถ้าเแก่น้อย ต็อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์

ตามติดถนนสายชีวิตของ " เถ้าเแก่น้อย "

ลองจินตนาการดูว่าหากคุณกำลังเข้าสู่วัยรุ่นในวัย 24 ปี คุณกำลังทำอะไรอยู่หรือหากคุณอยู่ในวัยนั้นแล้วคุณจะเป็นอย่างไร คุณจะยังเป็นเพียงเด็กกะโปโลคนหนึ่งที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างโลกของความเป็นจริงกับโลกของหนังสือเรียน หรือคุณยังสนุกกับการเพลิดเพลินใช้ชีวิตไปวันๆก่อนจะสยายปีกทยานไปบนถนนแห่งชีวิต

แต่สำหรับ ต็อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ใน วัย 24 ปีของเขา กลับเป็นวัยที่น่าจดจำ เพราะถนนสายชีวิตที่เขากำลังโลดแล่นอยู่นั้น เรียกได้ว่าไปไกลหรือเกือบจะถึงเส้นชัยแล้วก็ได้ ในขณะที่คนรุ่นราวคราวเดียวกันเพิ่งจะออกสตาร์ทเครื่องเท่านั้น

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจคิดว่าเป็นการพูดเกินจริง งานนี้เลยต้องพิสูจน์ด้วยภาระหน้าที่ของหนุ่มน้อยวัย 24 ปีคนนี้ เพราะปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งเป็นถึงประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด หรืออาจจะเรียกสั้นๆว่า “เถ้าแก่น้อย” ก็คงไม่ผิดนัก

รู้สึกยังไงกับการเป็นเถ้าแก่น้อย ?
ผมคิดว่ามันสองแง่มุมครับ ด้านหนึ่งก็รู้สึกว่ามันทำให้เราทำอะไรได้ไม่เต็มที่ คือ บางทีคนคิดว่าเราเป็นแบรนด์อิมเมจ ทำให้เราไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวพอให้กับตัวเอง ไม่มีเวลาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าต้องทำงานมาก เพราะทำงานมากไม่เป็นไร แต่บางครั้งบางเวลาเราอยากออกไปเดินเล่นบ้างอะไรบ้าง แต่บางครั้งคนอื่นก็จำเราได้ ซึ่งผมมองว่านั่นก็เป็นข้อเสียด้านหนึ่ง แต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อดี เพราะ ถ้าพูดถึงข้อดีแน่นอนว่ามันตามมาอีกเยอะ แต่ส่วนหนึ่งที่ผมรู้สึกแบบนี้ เพราะจริงๆ แล้วส่วนตัวผมเป็นคนที่ค่อนข้างสันโดษ ชอบความเป็นส่วนตัวสูง

มองว่าทุกวันนี้เราประสบความสำเร็จในชีวิตหรือยัง ?
ผมคิดว่ายัง คือตอนนี้เพิ่ง 5 ปีเอง ที่ผมเข้ามาทำธุรกิจแบบจริงจัง ถ้าเป็นเด็กก็เหมือนเริ่มวิ่งได้ ส่วนตัวผมคิดว่าสิ่งที่ได้มาภายใน 5 ปีนี้ มันยังไม่ใช่ความสำเร็จ มันเหมือนกับแค่เราโชคดีทำในสิ่งที่ถูกจุด แต่ถ้าถามว่าความสำเร็จของผมคืออะไร ผมคิดว่าผมสามารถรักษามันได้ในวันที่ผมเดินออกมาแล้ว คือเมื่อไหร่ที่ผมรีไทร์ ผมยังสามารถรักษาธุรกิจนี้ไว้ได้ ผมถือว่ามันหมดช่วงเวลาของผมแล้ว และผมทำได้ดีที่สุดแล้ว นั่นแหละคือความสำเร็จ ผมเชื่อว่าชีวิตคนเรามันมีขึ้นมีลง เหมือนที่คุณพ่อของผมเคยสอนไว้ว่า เวลาที่ชีวิตขึ้นอะไรมันก็ดีหมด แต่เวลาที่ชีวิตลงสำคัญคือเราต้องอยู่กับมันให้ได้ ถ้าอยู่กับมันไม่ได้เราก็ไม่ไหว

รู้สึกกดดันจากการถูกคาดหวังหรือไม่ ?
แน่นอน ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมถูกคาดหวังจากคนรอบข้าง แต่ผมเป็นคนที่แปลกอย่างหนึ่ง คือเป็นคนที่มีแรงขับดันในตัวเอง ผมคิดว่าลึกๆผมอาจจะมีความหวังบางอย่าง คือ ผมเป็นคนที่มีความฝัน บางครั้งผมว่ามันก็ดีนะ เพราะบางครั้งความฝันทำให้เรามีแรงที่จะตื่น เราไม่ง่วงนอนตอนเช้า

ถ้าถามถึงอาชีพในฝันตอนยังเป็นเด็ก ?
ตอนเด็กๆ ผมก็ฝันอยากเป็นนักธุรกิจนัก แต่พอ ม.1-2 เริ่มอยากเป็นนักร้อง (หัวเราะ) จน ม. 6 ผมก็อยากกลับมาเป็นนักธุรกิจเหมือนเดิม ทุกวันนี้ก็ถือว่าโชคดีที่เราได้ทำงานตามที่เราฝัน ซึ่งผมไม่ได้หวังว่าอาชีพนี้จะทำให้ผมร่ำรวย แต่ผมอยากสร้างอะไรที่เป็นอาณาจักรเป็นโลกของเรา มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสร้างขึ้นมาด้วยมือเราเอง

มีหลักการทำงานและสูตรความสำเร็จอย่างไร ?
ธรรมดามากเลยครับ พยายามๆๆ มองไกลๆๆ พัฒนาๆๆ อดทนๆๆ แต่ส่วนที่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น สำหรับกรณีของผม ผมบอกว่า เพราะผมมีและรู้ข้อมูลบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ แต่ผมรู้เหมือนกับบิล เกตต์ ที่รู้ว่าต้องทำวินโดว์แล้วจะดี ผมก็รู้ว่าสาหร่ายมีคนชอบทานเยอะ เพียงแต่เอามาปรับรูปร่าง แพ็คเกจ รีแบรนด์ดิ้งเท่านั้นเอง คือ คนที่จะสำเร็จหรือไม่ต้องดูว่าเค้าได้ข้อมูลมาถูกที่หรือเปล่า ที่สำคัญคือเอาข้อมูลนั้นมาใช้มั้ย บางคนรู้ข้อมูลแล้วไม่เอามาทำก็ไม่เกิดประโยชน์ ทั้งนี้เราก็ต้องตรวจสอบข้อมูลที่เราได้รับมา แต่จะตรวจยังไงอันนี้ก็ต้องลงมือทำลองผิดลองถูก เพราะไม่มีอะไรบอกคุณได้ว่าสิ่งไหนถูกหรือผิด นอกจากเราทำแล้วเรียนรู้จากมัน

เวลาที่ต้องเจออุปสรรค มีวิธีรับมืออย่างไร ?
ผมจะนึกถึงหน้าคุณแม่ เพราะผมเคยเห็นภาพของท่านตอนแม่ร้องไห้ ผิดหวัง ซึ่งผมจะคิดเสมอว่าไม่อยากเห็นภาพนั้นอีก ดังนั้นเวลาที่เราเจอปัญหาก็ต้องพยายามอดทน และดึงตัวเองกลับมา หรือออกมาจากความผิดหวังให้ได้ คิดเสมอว่าทุกวันนี้ที่เราทำ เราทำเพื่อคุณแม่และเพื่อครอบครัว

เคยรู้สึกว่าต้องแบกภาระเกินวัยรุ่นคนหนึ่งหรือไม่ ?
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าสนุกกับชีวิต เพราะผมคิดว่าเพื่อนหรือคนรุ่นเดียวกับผม ซึ่งคงจะมีที่มาเจออะไรแบบผม แต่คงจะน้อยยิ่งโอกาสที่จะได้เจอเรื่องสนุกๆ แบบนี้มันคงจะแทบไม่มีสำหรับคนอายุ 24 การที่จะได้เจอเรื่องท้าทาย ซึ่งผมคิดว่ามันสนุก ผมสามารถแก้อะไรยากๆ ในขณะที่ผู้ใหญ่บางคนทำไม่ได้ ซึ่งผมคิดว่ามันท้าทายสำหรับผม

ทำงานหนักแบบนี้ทำให้ไม่ได้รับประสบการณ์ตามวัยหรือไม่ ?
อย่างที่บอกผมเป็นเด็กเกเรมาก่อน ก่อนหันมาทำธุรกิจจริงจัง ผมคิดว่าตัวเองก็ใช้ได้เหมือนกัน ก็ผ่านประสบการณ์แบบสุดๆ มาเหมือนกัน ทำให้เรารู้ว่าความสนุกตรงนั้นมันเป็นยังไง แต่ก็ไม่ใช่เราละทิ้งมันนะ แต่เราเอาเป็นแค่ช่วง relax ของเรา คือ ผมทำงานหนักก็จริง แต่ผมก็มีช่วงที่ relax มีช่วงที่สนุกแบบคนทั่วไปได้ มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ขาดไป เพียงแต่ผมควบคุมมันได้ และรู้ว่าควรทำมันตอนไหน เวลาไหนควรทำอะไร ใช้การแบ่งเวลามากกว่า

ไลฟ์สไตล์ประจำวันเป็นอย่างไร ?
ผมทำงานทุกวัน อย่างผมมาเที่ยวเดินเล่นพารากอน ถามว่าทำงานไปด้วยมั้ย ผมก็ทำ ผมสังเกตผมดูไลฟ์สไตล์คน อย่างแคมเปญแจกบีบี (โทรศัพท์มือถือยี่ห้อแบล็ค เบอร์รี่) ล่าสุด มันก็เกิดมาการที่ผมมาเดินห้างและเห็นคนทั่วไปใช้บีบีกันเต็มไปหมด ซึ่งผมเชื่อว่าในจำนวนนั้นมีคนจำนวนหนึ่งที่ยังอยากได้บีบี ผมเลยคิดว่าแคมเปญนี้ก็น่าจะเข้าท่า เลยเอาทำเป็นโครงการใหม่ของบริษัทสำหรับผม ผมถือว่าเที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วย ขณะเดียวกันก็เที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วยเช่นกัน เพราะผมคิดว่าคนเราทำงาน หรือเจ้าของกิจการต้องมองว่าการทำงานคือการเที่ยวเล่นของคุณ อย่าไปมองว่ามันเป็นการทำงานมันจะหดหู่ ต้องมองว่ามันเป็นเรื่องสนุกจะดีกว่า คนเราจะสุขหรือไม่สุขอยู่ที่วิธีคิด

ความสุขสำหรับเถ้าแก่น้อยคืออะไร ?
หลายอย่างครับ การได้ทำธุรกิจและเห็นสิ่งที่ผมทำมันไปได้ คนรักคนชอบในสิ่งที่ผมทำ บางคนอาจไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยสัมผัสแต่สำหรับผมมันสุขยิ่งกว่ายาเสพติดอีก

มองอนาคตของตัวเองอย่างไร ?
ผมยังไม่ได้วางแผนชัดเจน แต่เลือกที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกาลเวลา เพราะถ้าเรามัวมากำหนดอนาคตตั้งแต่ปัจจุบันก็ทำให้เครียดเปล่าๆ

แม้จะเป็นเวลาไม่นานสำหรับการพูดคุยกับหนุ่มหน้าใสวัย 24 ปีคนนี้ แต่ "เถ้าแก่่น้อย" ก็สร้างความประทับใจได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นมุมมองความคิดทั้งเรื่องงาน หรือเรื่องการใช้ชีวิต เอาเป็นว่าขอยกนิ้วซูฮกในความสามารถให้ เถ้าแก่ต็อบ แห่งสาหร่ายเถ้าแก่น้อยแล้วกัน...

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เก็บเงินทำได้...แถมง่ายนิดเดียว

สังคมทุนนิยมทำเอาหนุ่มๆ สาวๆ จับจ่ายเพลิดเพลินไปตามๆ กัน เผลอแป๊บเดียว เงินใน กระเป๋าก็หายวับไปกับตา เอ...แล้วจะทำยังไงดีนะ เงินเดือนน้อยๆ ก้อนนี้ถึงจะมีเงินเก็บนิดๆ อย่างคนอื่นเขาบ้าง

วิธีการและกลเม็ดต่างๆ จึงถูกนำมาบอกต่อให้เราๆ รู้จักอดออมเอาไว้บ้าง แต่เชื่อว่าทำก็แล้ว พยายามเก็บก็ แล้ว แต่ยังไง๊ ยังไง มนุษย์เงินเดือนก้อนเล็กอย่างเราๆ ก็เก็บเงิน (แม้เพียงนิด) ไม่ได้เสียที เอาล่ะ ถ้ายังไม่ได้ผล นักลองหันมาทางนี้ เรามีวิธีการออมเงินที่อยู่ใกล้ตัวจนแทบมองไม่เห็น นั่นก็คือการเปลี่ยนนิสัยการจับจ่ายบาง อย่างให้เคยชิน และหากทำได้ เราก็จะมีเงินเหลือเก็บอย่างแทบไม่น่าเชื่อ

จดค่าใช้จ่ายทุกครั้ง
เพราะจะทำให้เรารู้ว่าแต่ละเดือนเราต้องใช้อะไรไปบ้าง และเมื่อต้องออกไปซื้อของ ต้องซื้อตามที่จดไว้เท่านั้น! ห้ามวอกแวกปล่อยใจไปซื้อสิ่งที่ไม่ต้องการเป็นอันขาด อย่าลืมไปว่า ยิ่งซื้อก็ยิ่งหมายถึงเงินที่เราต้องเสียไปเท่านั้น

อย่าซื้อเป็นจำนวนมาก
ข้อคิดอีกประการคือยิ่งซื้อมาก ก็ยิ่งทำให้เราใช้ (ของ) อย่างไม่ยั้งคิด (เพราะคิด ว่ายังมีอีกเยอะ) เว้นไว้ก็แต่ว่า ของจำนวนนั้นจะช่วยประหยัดจากราคาปกติ และคุณจำเป็นต้องมีไว้จริงๆ

ใช้บัตรเครดิตเมื่อจำเป็น
เป็นเรื่องสำคัญที่สาวๆ นักช้อปทั้งหลายต้องจำให้แม่น เก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน จะดีกว่า เพราะยิ่งใช้เท่าไหร่ก็ยิ่งต้อง ใช้คืนเท่านั้น แล้วถ้ายิ่งจ่ายคืนไม่ตรงเวลาแล้วละก็ ดอกเบี้ยที่ตามมาก็ยิ่งทำ ให้คุณจ่ายมากขึ้นไปอีก (เพื่ออะไรกันล่ะ)

ดูโทรทัศน์ให้น้อยลง
ดูเหมือนไม่เกี่ยว แต่เรื่องนี้ข้องเกี่ยวอย่าบอกใคร เพราะเจ้าทีวีเครื่องเหลี่ยมนี่ แหละที่ทำให้เราอยากซื้อ อยากจ่าย และเป็นตัวเพิ่มกิเลสโดยที่เราไม่รู้ตัว

อย่าช้อปตอนเบื่อโลก
เพราะอาการเบื่อหน่าย ท้อแท้ และผิดหวัง จะทำให้เราอยากระบายผ่านการช้อป โดยที่ไม่รู้ตัวเช่นกัน ที่สำคัญยัง ช้อปกระหน่ำ จนทำให้คุณรู้สึกผิดภายหลังอีกต่างหาก

ตั้งงบเมื่อซื้อของ
ไม่ว่าจะเป็นของชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็ตามที เพราะการตั้งงบประมาณจะทำให้คุณรู้ว่า สามารถจ่ายได้เท่าไหร่ เหลืออีกเท่าไหร่ และถ้าเกินจากนั้นไป ก็เท่ากับเป็นการใช้เงินเกินความจำเป็น

ซื้อของแบรนด์เนมบ้าง
อย่าเพิ่งงุนงงว่าเรากำลังชวนเสียเงิน หรือเก็บเงินกันแน่ แต่การซื้อข้าวของดีๆ มีคุณภาพไว้บ้าง เช่น กระเป๋า หรือรองเท้า ก็จะทำให้ใช้ได้นาน และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายบางอย่าง โดยเฉพาะ การซื้อของซ้ำๆ (แต่เสียมากกว่า) ที่สาวๆ มักทำจนเป็นนิสัย

เลี่ยงการช้อปกับเพื่อนมือเติบ
ไม่ว่าเพื่อนที่มือเติบของแท้ หรือเทียมก็ตาม เพราะการช้อปปิ้งกับบรรดา เพื่อนผองกระเป๋าหนาเหล่านี้ มีส่วนอย่างมากที่จะให้คุณเสียสตางค์ตามไปด้วย เผลอๆ อาจเป็นสิ่งที่คุณไม่อยาก ได้ หรือมูลค่าอาจสูงเกินตัวไป เลือกไปกับเพื่อนที่ชวนกันประหยัดจะดีกว่า

อย่าไปกับเด็ก
เราหมายถึงเด็กเล็กนี่ล่ะ แถมลูกๆ หลานๆ ที่แสนจะน่ารักเหล่านี้ ยังเป็นสาเหตุตัวดีที่ทำให้ เราควักเงินจนแทบไม่ทันตั้งตัว เรารู้ว่าคุณใจดีและใจอ่อน แต่อย่าลืมไปล่ะ ว่านั่นก็เงิน นี่ก็เงินทั้งนั้น สอนให้เด็กๆ รู้จักคุณค่าของเงินไว้ก่อนจะดีกว่า

ถามตัวเองทุกครั้ง
ว่า "มันจำเป็นจริงๆ หรือเปล่า?" หรือ "ฉันต้องการจริงๆ หรือเปล่า?" เพราะเชื่อได้ ว่าการเสียเงินจำนวนมากที่ผ่านๆ มา คือการที่เราใช้จ่ายโดยไม่ทันยั้งคิด และเมื่อซื้อมาแล้วก็ใช้จริงเพียงไม่กี่ครั้ง ก่อนซื้อชิ้นใหม่ รู้อย่างนี้แล้วก็ควรหันมาถามตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ เสียที

ทำทุกอย่างที่ว่ามาให้ได้
เพราะแค่คิดคร่าวๆ ว่าหากปฏิบัติตามได้อย่างที่กล่าว ก็สามารถช่วยประหยัด เงินไปได้มากถึงหลักพัน หลักหมื่นบาท แล้วถ้าประหยัดได้อย่างนี้ทุกๆ เดือนล่ะ เราจะมีเงินเก็บอีกมากมายขนาด ไหน

เพราะของแบบนี้เงินใครก็กระเป๋าใคร ยิ่งเก็บได้มากเท่าไหร่ ก็รับประกันเรื่องฉุกเฉินใน อนาคตให้เราได้มากเท่านั้น

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต

1. ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน

2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็นบทเรียน

3. จงปฏิบัติตาม 3 Rs

3.1 เคารพตนเอง ( Respect for self )

3.2 เคารพผู้อื่น ( Respect for others )

3 รับผิดชอบต่อการกระทำของตน ( Responsibility for all your actions )

4. จงจำไว้ว่า การที่ไม่ทำตามใจปรารถนาของตนบางครั้งก็ให้โชคอย่างน่ามหัศจรรย์

5. จงเรียนรู้กฎ เพื่อจะทราบวิธีการฝ่าฝืนอย่างเหมาะสม

6. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย มาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของคุณ

7. เมื่อคุณรู้ว่าทำผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข

8. จงใช้เวลาในการอยู่ลำพังผู้เดียวในแต่ละวัน

9. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป

10. จงระลึกไว้ว่า บางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด

11. จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อที่ว่าเมื่อคุณสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับมาคุณจะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไปได้อีกครั้ง

12. บรรยากาศอันอบอุ่นในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต

13. เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรัก ให้หยุดไว้แค่เรื่องปัจจุบัน อย่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีต

14. จงแบ่งปันความรู้ เพื่อเป็นหนทางก้าวสู่ความเป็นอมตะ

15. จงสุภาพกับโลกใบนี้

16. จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณไม่เคยไป อย่างน้อยก็ปีละครั้ง

17. จำไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือความรักมิใช่ความใคร่

18. จงตัดสินความสำเร็จของตนด้วยสิ่งที่ต้องเสียสละ

19. จงเข้าใกล้ความรักด้วยการปล่อยวาง

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มือใหม่เริ่มต้นทำเว็บ ต้องทำอะไรบ้าง? E-commerce คืออะไร ?

คลิกที่นี่ http://www.pawoot.com/startup

มือใหม่เริ่มต้นทำเว็บ ต้องทำอะไรบ้าง? E-commerce คืออะไร ?

คลิกที่นี่ http://www.pawoot.com/startup

บันได 10 ขั้นสู่ความเร็จในการทำงาน

. ข้อแรกเลยที่จะทำให้คุณทำงานได้ดี คือ ต้องสนุกสนานกับงานที่ทำ เมื่อคุณทำงานด้วยความสนุก คุณจะมีแรงขับ ในการพยายามที่จะทำงานให้ได้ดีที่สุด และประสบความสำเร็จ
2. นอกจากสนุกสนานแล้ว ยังต้องใส่ความเอาจริงเอาจังมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จลงไปด้วย ความเพียรพยายาม จะนำพาคุณไปพบกับความสำเร็จในที่สุด
3. ความเชื่อมั่นในตนเองต้อง มีอยู่เสมอ เพราะนั่นจะทำให้คุณกล้าคิดกล้าทำ ซึ่งจะทำให้คุณได้เปรียบกว่าคนอื่น ๆ ที่มักทำตัวเป็นผู้ตามที่ดี ชอบทำตามที่คนอื่นคิด มากกว่าชอบแสดงความคิดเห็น
4. มีความคิดสร้างสรรค์ สิ่ง ประดิษฐ์หรือนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้จากความคิดสร้างสรรค์ ถ้าคุณเป็นนักคิด รับรองได้ว่า คุณจะเป็นที่ต้องการของทุกองค์กรอย่างแน่นอน แม้ว่าวันนี้ยิ่งที่คิดอาจจะยังไม่เวิร์ก แต่ถ้าคุณยังไม่หยุดคิด สักวันมันต้องเวิร์ก
5. เมื่อคนจากหลากหลายสังคมมาอยู่รวมกันในสังคมใหม่ สิ่งที่ต้องการคือการปรับตัวได้รวดเร็ว คุณอาจต้องเพิ่ม หรือลดพฤติกรรม หรือนิสัยบางอย่างของคุณ เพื่อให้เข้ากับสังคมในที่ทำงานให้ได้อย่างรวดเร็ว
6. มีทีท่าในทางบวก คนที่คิดบวกจะแสดงท่าทีในทางบวก ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค มีมนุษยสัมพันธ์ดี เป็นที่รักและชื่นชมของคนรอบข้าง
7. เรื่องความมีระเบียบวินัยเป็นสิ่งที่ทุกคนถูกสอนมาตั้งแต่เล็ก ๆ อยู่แล้วในการทำงานก็เช่นกัน ต้องมาทำงานตรงเวลา ส่งงานตรงเวลา ปฏิบัติตามกฎบริษัทอย่างเคร่งครัด
8. มีความซื่อสัตย์ และช่วยเหลือผู้อื่นให้ประสบความสำเร็จ คนดี มีน้ำใจ อยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรักเอ็นดู และคอยสนับสนุน ให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
9. กล้าหาญที่จะเสี่ยง แน่นอนว่าไม่มีงานใดที่จะราบรื่นไปเสียทุกงาน เมื่อพบเจอกับอุปสรรค คุณต้องกล้าพอที่จะเสี่ยง เพื่อก้าวข้ามพ้นอุปสรรคไปให้ได้
10. สุด ท้าย ถึงแม้ว่าที่กล่าวมาข้างต้นคุณจะมีดีพร้อมหมดแล้วทุกอย่าง แต่หากคุณไม่สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้น คุณจึงควรพัฒนาการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นอยู่เสมอ เพื่อให้คุณสามารถถ่ายทอดแนวคิดต่าง ๆ เข้าถึงทุกคนได้อย่างแม่นยำ


Credit : http://th.jobsdb.com

ทักษะ 10 อย่างที่นายจ้างยุคใหม่ต้องการ

1. ทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
งาน หลาย ๆ อย่าง ที่เราต้องทำกันอยู่ทุกวัน แม้บางงานจะเรียกว่าเป็นงานรูทีน แต่ในรายละเอียดนั้น เรามักจะต้องเจอกับปัญหานานาชนิดไม่เว้นแต่ละวัน ไหนจะปัญหากับเพื่อร่วมงาน ปัญหากับลูกค้า ดังนั้น เราควรจะฝึกฝนทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ใช่ว่าเจอเรื่องเล็กเรื่องน้อย ก็ฟ้องผู้จัดการ หรือปัดปัญหาไปให้คนอื่นเสียหมด
2. ทักษะการดูแลแก้ไขอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงานที่เราใช้อยู่เป็นประจำ
คงปฏิเสธไม่ได้ ในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศแบบนี้ อุปกรณ์ไฮเทค เข้ามาอยู่ในสำนักงานกันเต็มไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอมพิวเตอร์ ดังนั้น เราควรจะมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาง่าย ที่อาจเกิดขึ้นบ่อย ๆ ระหว่างที่เราใช้อุปกรณ์สำนักงาน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์แฮงค์ การลงโปรแกรม หรือแม้กระทั่งเครื่องถ่ายเอกสาร ที่ใช้เป็นประจำ กระดาษหมด กระดาษติด สามารถจัดการได้ โทรศัพท์มือถือที่ใช้งานอยู่ เกิดปัญหาเครือข่าย หรือฟังก์ชั่นการทำงานบางอย่างรวนไป ควรจะดูแลในเบื้อต้นได้
3. ทักษะทางด้านทรัพยากรมนุษย์
สำนักงานใหญ่ ๆ หลายแห่ง มีปัญหาในเรื่องของพนักงานไม่ถูกกัน ทำงานร่วมกันไม่ได้ ติดต่อกันไม่เข้าใจเป็นต้น ดังนั้นหากเราเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ รู้จักการบริการทรัพยากรมนุษย์ ในเบื้องต้น จะมีประโยชน์ต่อการทำงานมาก รู้วิธีการติดต่อ หรือจัดการเมื่อต้องทำงานร่วมกับบุคคลในประเภทต่าง ๆ
4. ทักษะทางด้านคอมพิวเตอร์
นอกจากว่าคุณจะต้องมีความสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างง่าย ๆ เช่น โปรแกรม word, excel , photoshop และโปรแกรมพื้นฐานอื่น ๆ แล้ว ควรจะสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูลข่าวสารจาก WWW การส่งอีเมล์ หรือการดาวน์โหลดโปรแกรมต่าง ๆ เป็นต้น ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ควรจะเรียนรู้การเขียนโปรแกรมง่าย ๆ บางอย่าง เช่น HTML
5. ทักษะที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นพิเศษ
ซึ่งทักษะดังกล่าวนี้ จะขึ้นอยู่กับว่าเราเรียนมาทางไหน และจะประกอบอาชีพอะไร เช่น ต้องการเป็นพนักงานขาย ก็ควรจะได้รับการฝึกอบรมในเรื่องการขาย การดูแลลูกค้า นักประชาสัมพันธ์ อาจจะได้รับการฝึกอบรมเพิ่มเติมในเรื่องของภาษา เป็นต้น
6. ทักษะทางวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์
จะเป็นการดียิ่งถ้าหากเราเป็นคนที่เก่งคณะศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่จะประกอบอาชีพเกี่ยวกับวิศวกรรม การแพทย์ หรือในสาขาที่มีความเกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ
7. ทักษะการจัดการด้านการเงิน
ผู้ที่มีการวางแผนทางด้านการเงินที่ดี จะได้เปรียบ ปัจจุบันนี้ คนในวัยทำงานจำนวนมาก คำนึกถึงเรื่องของการเก็บออมเพื่อใช้ในช่วงเกษียณกันแล้ว ถ้าหากว่า เราไม่รู้จักบริการการเงินให้ดี จนถึงขั้นต้องกู้หนี้ ยืมสินแล้ว จะกลายเป็นจุดด่างในการงานไปเลยก็ว่าได้
8. ทักษะในเรื่องของการจัดการข้อมูล
เนื่องจากว่ายุคนี้เป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร การจัดการข้อมูลของตนเองที่มีอยู่จึงเป็นเรื่องสำคัญ ในยุคนี้ ข้อมูลที่รวดเร็ว สามารถช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้อง ดังนั้น เราควรจะมีการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน ให้สามารถเข้าถึง เป็นหมวดหมู่ และค้นหาได้ง่าย
9. ทักษะในการบริหารธุรกิจ
เราอาจจะไม่ต้องถึงขนาดไปเรียน MBA เอาแค่ว่า เข้าอบรมระยะสั้น หรือหาตำราในการบริหารมาอ่านสักหน่อย ก็น่าจะไหว เราจะเห็นได้ว่า ธุรกิจใหญ่ ๆ ที่ประสบความสำเร็จ เขาจะมีระบบการจัดการและการบริหารที่ดีด้วย ถ้าหากเรามีความรู้ในเรื่องการบริการ เราก็จะสามารถเข้าใจในนโยบายการจัดการต่าง ๆ ของทางบริษัทได้ด้วย
10. ทักษะด้านภาษาต่างประเทศ
ถ้าเราสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว มักจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าหากเราสามารถพูดภาษาอื่น ๆ ได้อีกด้วย ก็ยิ่งจะเป็นที่น่าสนใจ ปัจจุบันนี้ มีบริษัทต่างชาติเข้ามาเปิดสาขาในเมืองไทยเยอะ ภาษาอังกฤษ แน่นอนว่ามีความสำคัญ แต่ถ้ายิ่งสามารถพูดภาษาของเจ้าของบริษัทได้อีกด้วยแล้วยิ่งดีใหญ่ อย่างเช่นภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ภาษาเยอรมัน เป็นต้น


Credit : http://nationejobs.com

10 อาชีพทำเงิน (งานประจำ) ในปี 2010




1. Accounting & Finance
Average Salary: 10,000 - 300,000 THB
2. Engineering & Technical
Average Salary: 8,000 - 200,000 THB
3. Human Resources
Average Salary: 12,000 - 250,000 THB
4. Information Technology
Average Salary: 15,000 - 300,000 THB
5. Japanese Speaker
Average Salary: 15,000 - 250,000 THB
6. Marketing
Average Salary: 10,000 - 300,000 THB
7. Procurement
Average Salary: 15,000 - 250,000 THB
8. Sales & Customer Service
Average Salary: 8,000 - 350,000 THB
9. Secretarial
Average Salary: 12,000 - 120,000 THB
10. Administration & Office Support
Average Salary: 8,000 - 120,000 THB


Credit : http://jobs.aol.com

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ผงชูรสพืช ปูแดงเบสท์59

เป็นสารอาหารของพืชทุกชนิด ชนิดเข้มข้น สกัดจากธรรมชาติ ประกอบด้วยธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง ธาตุอาหารเสริม ฮอร์โมน ฮิวมิกแอซิด เป็นฟอสซิลที่มีอายุนับล้านปี เป็นผงละเอียด เป็นสารอินทรีย์วัตถุ เพื่อช่วยแก้ปัญหาเรื่องดินโดยเฉพาะ ปรับปรุงดินให้มีคุณสมบัติเหมาะแก่การปลูกพืชฟื้นฟูสภาพดินเหมือนป่าเปิดใหม่ นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนทั้ง 18 ชนิด และอาหารสูตรทางด่วนซึ่งเป็นสารอาหรครบถ้วนตามที่พืชต้องการ พืชสามารถนำไปใช้ได้เลย ทำให้สามารถลดการใช้ปุ๋ยได้มากกว่า 50 %

ประโยชนผงชูรสพืช
-เร่งการเจริญเติบโตของพืช เพิ่มคุณภาพผลผลิต เพิ่มปริมาณผลผลิตให้สูงขึ้น
-ช่วยปรับสภาพของดินให้ดูดซับน้ำได้ดีขึ้น ดินร่วนซุยขึ้น ทำให้สภาพดินเหมือนป่าเปิดใหม่
-เร่งการงอก รากเดินได้ยาวขึ้น ทำให้พืชหาอาหารได้มากขึ้น
-บำรุงรักษาตา ดอก ของพืชให้สมบูรณ์แข็งแรง
-ช่วยกระตุ้นเซลล์พืชให้มีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-ช่วยกระตุ้นการเปิดปากใบ พืชสามารถนำสารอาหารเข้าทางปากใบได้ดียิ่งขึ้น
-เสริมสร้างความแข็งแรงและความต้านทานโรคของพืช

วิธีการใช้
ผสมน้ำฉีดพ่นผิวดินเพื่อความสมบูรณ์ใช้ผงชูรสพืชตราปูแดงเบสท์59 1 กก. ต่อพื้นที่ 1 ไร่ หรือผสมน้ำ+ไคโตซานพืชฉีดพ่นทางใบ 20 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร

สอบถามเพิ่มเติม โทร.083-0340025 หรือ 080-1113591

ปุ๋ยอินทรีย์ปูแดงเบสท์59 (สารปรับปรุงดิน) สูตรพิเศษ ผสมไคโตซานและซิลิคอน

ประกอบด้วยธาตุอาหารที่สำคัญสำหรับพืชทุกชนิดประกอบด้วย
ธาตุอาหารหลัก : ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซี่ยม
ธาตุอาหารรอง : แคลเซี่ยม แมกนีเซียม กำมะถัน
ธาตุอาหารเสริม : แมงกานีส โมลิปตินัม สังกะสี คลอรีน โบรอน เหล็ก ทองแดง นิเกิล อินทรีย์วัตถุ ออแกนิคคาร์บอนด์

คุณสมบัติ
เป็นปุ๋ยอินทรีย์เชิงผสม ในระดับอุสาหกรรมผลิตจากมูลสัตว์ต่างๆประมาณ 30% อีก 70% เป็นบายโปรดักซ์ของโรงงานอุตสาหกรรม นำมาคลุกเคล้ารวมกันแล้วหมักกว่า 1 ปีจากนั้นมาบดเป็นผงละเอียด และ ผสมกับ ซิลิกอน และ ไคโตซาน แล้วทำการปั้นเม็ด ทำให้ธาตุอาหารครบทั้ง ธาตุหลัก ธาตุรอง ธาตุเสริม ฮอร์โมน และกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับพืช ปุ๋ยอินทรีย์ปูแดง เบสท์59ช่วยแก้เรื่องดินในบ้านเรา ซึ่งเป็นกรด เป็นด่างมาก ช่วยเพิ่มปริมาณ ธาตุอาหารต่างๆ ช่วยปรับโครงสร้างดินให้ร่วนซุยเป็นประโยชน์ต่อพืชทุกชนิด จึงทำให้พืชสมบูรณ์แข็งแรงโตไวโตเร็ว ใบเขียวเข้ม ขั้วเหนียว เพิ่มผลผลิต มีรสชาติดี สีสวย อร่อย ได้เกรด A ราคาดี เป็นที่ต้องการของตลาด

ประโยชน์ของปุ๋ยอินทรีย์ปูแดงเบสท์59
-ช่วยปรับโครงสร้างดิน ทำให้ดินร่วนซุย ดินโปร่ง สามารถซับน้ำความชุ่มชื้นได้ดี
-ช่วยให้จุลินทรีย์ในดินเจริญเติบโตและสร้างปริมาณมากขึ้น เพื่อทำงานที่เป็นประโยชน์แก่ดินและพืชที่ปลูก
-ช่วยดูดซับอาหารในดินไว้และยังทำหน้าที่ดูดซับปุ๋ยเคมีที่ใส่ในดินให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่ให้
-สูญหายหรือสลายไปเร็ว (เป็นปุ๋ยอินทรีย์ ที่มีะาตุอาหารครบ สามารถใช้เดี่ยวหรือใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีก็ได้)
-ช่วยประหยัดการใช้ปุ๋ยเคมีให้น้อยลง ไม่ทำให้ดินแข็งและเป็นกรดหรือด่าง เป็นการลดต้นทุนการใช้ปุ๋ย
-และการผลิตของเกษตรกรโดยตรง (การใช้เกษตรอินทรีย์ จำทำให้ดินดีเพิ่มผลผลิตขึ้นเรื่อยๆ)
-พืชสามารถนำอาหารไปใช้ได้ทันทีเพราะเป็นปุ๋ยเย็น มีธาตุอาหารหลัด รอง และ จุลธาตุครบ
-ใช้ได้ทั้งพืชผักสวนครัว พิชไร่ ไม้ผลต่างๆ และนาข้าว ข้าวโพด สวนปาล์ม สวนยางพารา
-มีส่วนผสมของฮิวมิกซ์แอซิส ไคโตซาน และสารซิลิกอน ทำให้ผนังเซลล์พืชแข็งแรงโดยเฉพาะข้าว ข้าวโพด
-เมื่อผนังเซลล์พืชแข็งแรงมากขึ้นสงผลให้ลำต้นแข็งแรงไม่หักโค่นง่าย
-ลดต้นทุน ทำให้พืชมีภูมิต้านทานโรค ลดการใช้ยา ปลอดภัยต่อสุขภาพ ช่วยเพิ่มผลผลิต รายได้เพิ่ม


รหัสสินค้า B32
สารปรับปรุงดิน ตราปูแดง 1 ตัน (40 กระสอบๆ ละ 25 กล.)ราคา
12,500 บ.(1,000PV)+ ค่าสมัคร 300 = 12,800 บ.
(ฟรีปูแดงพืช 6 ลิตร 2 แกลอน และราคานี้ใช้เปิดจุดจำหน่าย 15 ตัน หรือ 31 ตัน)

*ถ้ามารับปุ๋ยเอง ลดเป็นค่ารถให้ลูกค้า 1,200 บาท
** ราคาปลีก 390 บ./กระสอบ ราคาสมาชิกหลังจากลดแล้ว 290 บ./กระสอบ
*** แนะนำคนมาเปิดรหัสปุ๋ย 1 ตัน ได้ค่าแนะนำ 40% = 400 บ./1รหัส
**** แนะนำคนมาเปิดรหัสปุ๋ย 4 ตัน (VIP) ได้ค่าแนะนำ 50% = 2,000 บ./1รหัส


ปรึกษา/โทรสอบถาม 083-0340025

ใหม่! เม็ดประหยัดน้ำมัน (ปูแดง)

คลิกที่นี่ http://www.poodang.com/oil/oilpoodang.pdf

ซุปเปอร์สมุนไพรปูแดง

สารป้องกันและกำจัดแมลงคุณภาพเยี่ยม ทดแทนสารฆ่าแมลงที่นำเข้าจากต่างประเทศ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมปลอดถัยจากผู้ใช้และผู้บริโภค

เป็นสารชีวภาพ สกัดจากสมุนไพรร้อยกว่าชนิด เห็ดพิษสิบกว่าสายพันธุ์ หมักกลั่นด้วยเครื่องจักรและเทคโนโลยีชั้นสูง เพื่อให้ได้สมุนไพร ที่มีความบริสุทธิ์และประสิทธิภาพสูง ใช้หลักการพิษวิทยา นำสรพิษจากธรรมชาติมาทำลายหนอน แมลง เชื้อรา ให้ป้องกันและกำจัดหนอน แมลง เพลี้ย และ เชื้อราต่างๆโดยไม่ทำอันตรายต่อสัตว์เลือกอุ่นที่มีกระดูกสันหลัง มีสารจับใบในตัว ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยต่อผุ้ใช้และผุ้บริโภค ใช้ได้กับพืชทุกชนิด

ประโยชน์ซุปเปอร์สมุนไพรปูแดง
ไร้สารพิษตกค้าง ลดมลภาวะจากการใช้สารเคมี การสะสมสารพิษของเกษตรกร
ไม่มีแมลงเข้ามมรบกวนพืชที่ปลูก
เป็นสารจับใบในตัว
มีผลผลิตคุณภาพดี ผิวสวย เป็นที่ต้องการของตลาด
ได้ผลดีโดยเฉพาะพวกแมลง หนอนที่ดื้อยาฆ่าจากสารเคมี
ช่วยให้พืชฟื้นตัวเร็ว โดยเฉพาะพืชปลูกใหม่และพืชที่ระบบรากไม่ดี
ป้องกันและทำลายหนอน เพลี้ย แมลง และ เชื้อรา ได้ดีมากโดยไม่เป็นอันตรายต่อวัตว์เลือดอุ่นที่มีกระดูกสันหลัง

วิธีการใช้

ชนิดพืช ช่วงเวลา อัตราที่ใช้
พืชทุกชนิด ป้องกันก่อน การระบาดของโรคและแมลงต่างๆ 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
พืชทุกชนิด เมื่อเกิด การระบาดของโรคและแมลงต่างๆ 50 ซีซี ต่อน้ำ 50 ลิตร

หมายเหตุ
- ใช้ร่วมกับไคโตซานปูแดง จะได้ผลดียิ่งขึ้น
- ในกรณีที่เกิดการระบาด ใช้ฉีดพ่นซ้ำ 2-3 ครั้ง

ปูแดงไคโตซานพืช เข้มข้น

ไม่ใช่ปุ๋ย ไม่ใช่ยา ไม่ใช่ฮอร์โมน ไม่ใช่วิตามิน ไม่ใช่สารเคมี สารสกัดธรรมชาติ 100%

กระตุ้นการเจริญเติบโต เพิ่มผลผลิตพืช เหมาะสำหรับ พืชผัก พืชไร่ นาข้าว ไม้ผล ไม้ดอก และไม้ประดับสารอาหารเข้มข้นชนิดน้ำ เป็นไบโอโพลิเมอร์ชีวภาพสกัดจากธรรมชาติ 100% ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ผู้บริโภคไม่เป็นพิษตกค้าง

ประโยชน์ไคโตซานพืช
-ออกฤทธิ์เป็นตัวกระตุ้นเซลล์ของพืชให้กินอาหารได้ดีขึ้น
-เร่งราก ลำต้น ใบ ดอก และผล
-ทำให้พืชโตไว โตเร็ว ใบเขียวเข้ม ผลดอก ขั้วเหนียว
-เพิ่มผลผลิตสูง พืชแข็งแรง ทานต่อโรคแมลง และ ศัตรูพืช
-เคลือบเมล็ดป้องกันเชื้อรา ป้องกันและกำจัดโรคที่จะเข้าทำลายเมล็ดและต้นอ่อน
-เพิ่มเปอร์เซ็นการงอกของเมล็ด
-เร่งรากสำหรับกิ่งชำหรือกิ่งตอน แช่ปลายกิ่งชำ ทาน้ำยาเข้มข้นที่บริเวณรอยควั่น
-ป้องการและกำจัดแมลง กลิ่นเฉพาะของไคโตซาน แมลงมื่อได้กลิ่นจะบินหนี ทำให้พืช
-ผลิตน้ำย่อย ไคติเนส (chtinase)
-ป้องกันและกำจัดโรคพืช ช่วยเสริมให้พืชสร้างสารต่อต้านโรคพืช เช่นไฟโตอะเล็กซิน
-ไคติเนส มีผลให้เชื้อราอ่อนแอลงเนื่องจากสร้าง RNA ได้น้อยลง
-เป็นปุ๋ยให้แก่พืช เป็นธรรมชาติที่ไม่เสถียรย่อยสลายได้ง่าย ปลดปล่อยธาตุ ไนโตรเจนแก่ดิน
-ตรึงไนโตรเจน พืชได้รับกระบวนการตรึงในโตรเจนของไรโซเบียมในปมรากสามารถดูดซึม
-ธาตุอาหารพืชในดินหลายชนิด โปแตสเซียม แมกนีเซียม ฟอสเฟต แคลเซียม เหล็ก ไนเตรท
-ช่วยปรับสภาพดินให้ดีขึ้น ดินที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก PH5.5-6.3
-ฟื้นฟูจุลินทรีนย์ในดิน Effeetive micro-organisms,Actiomycetes. Sp Trichoderma spp.,Zymogenous. ลดปริมาณจุลินทรีย์ที่เป็นโณคพืช Furarium-Phythopthora spp

วิธีการใช้
ชนิดพืชและอัตราที่ใช้

ไม้ผล 10-20 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 10-15 วัน
พืชผัก พืชล้มลุก 5-10 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 5-7 วัน
พืชไร่ นาข้าว 15-20 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 7-10 วัน
ไม้ดอก กล้วยไม้ 5-10 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 5-7 วัน


สอบถามเพิ่มเติม โทร.083-0340025 หรือ 080-1113591

ฮอน์โมนอินทรีย์ ปูแดงเบสท์59

อาหารสูตรทางด่วน ผลดก ขั้วเหนียว ใบเขียมเข้ม
เป็นสารอาหารจากธรรมชาติชนิดน้ำ เข้มข้น ประกอบด้วย ธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง ธาตุอาหารเสริมฮิวมิค กรดอะมิโนอิสระ 18 ชนิด และวิตามินครบถ้วนตามที่พืชต้องการ โดยเฉพาะธาตุอาหารหายาก ที่พืชมักขาดจากการใช้ปุ๋ยทั่วไป พร้อมทั้งมีน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว พืชสามารุนำพาไปใช้ได้ทันที

ประโยชน์ฮอน์โมนอินทรีย์ ปูแดงเบสท์59
-เพิ่มธาตุอาหารให้พอเพียงต่อความต้องการของพืช โดยเฉพาะธาตุที่พืชมักขาด
-แก้ปัญหาโรคขาดธาตุของพืช
-เร่งให้ใบเขียวเข้มอละก้านอวบกว่าปกติ
-เพิ่มการสะสมอาหารเพื่อการออกดอกและติดผล
-เร่งให้ผลโตเร็ว เร่งเข้าสี เร่งน้ำหนัก ผลผลิตคุณภาพดี
-เพิ่มความแข็งแรงของขั้วผล ป้องกันผลร่วง ผลแตก
-ช่วยให้พืชฟื้นตัวเร็ว โดยเฉพาะพืชปลูกใหม่และพืชที่ระบบรากไม่ดี
-กระตุ้นการทำงานของพืช เช่น การสังเคราะห์แสง การดูดซับอาหารและน้ำของระบบราก
-ช่วยให้พืชแข็งแรง ป้องกันการเข้าทำลายของโรคและแมลง


วิธีการใช้
ชนิดพืช ช่วงเวลา อัตราที่ใช้
ไม้ผล
สะสมอาหารก่อนออกดอก 20 ซีซี
ขณะติดผล 40 ซีซี

พืชผัก/พืชล้มลุก
แช่เมล็ด 20 ซีซี
ระยะต้นกล้า 15 ซีซี
ระยะเติบโต 20 ซีซี

พืชไร่/นาข้าว
แช่เมล็ด 20 ซีซี
ระยะเติบโต 20 ซีซี
ระยะให้ผลผลิต 20 ซีซี
ก่อนเก็บเกี่ยว 30-40 ซีซี

หมายเหตุ : ใช้ตามอัตราที่กำหนดผสมน้ำ 20 ลิตร (ควรผสมไคโตซานพืชด้วย) ฉีดพ่น ทุกๆ 7-10 วัน สำหรับพืชที่แสดงอาการขาดธาตุอาหาร ใช้เพิ่มปริมาณเป็น 2 เท่า

อันตรายจากการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี

การใช้ปุ๋ยเคมีในปัจจุบันมีการใช้อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะสารเคมีที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่สิ่งแวดล้อมและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต จึงควรเรียนรู้ถึงอันตรายและผลเสียจากการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีในการปลูกพืชดังนี้

1. ดินเสื่อมสภาพ ไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของพืช
2. ใช้ต้นทุนในการผลิตสูง ขั้นตอนในการผลิตสลับซับซ้อน
3. มีสารพิษตกค้างในผลผลิต ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค
4. ผลผลิตเน่าเสียง่าย เก็บรักษาได้ไม่นาน รสชาตอไม่อร่อย คุณภาพต่ำ
5. ยาฆ่าแมลงมีพิษตกค้าง เป็นสารชักนำหรือสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งอื่น ๆ ได้
6. เป็นอันตรายต่อแมลงที่มีประโยขน์ต่อพืช เช่นแมลงที่ช่วยผสมเกสร

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ของขวัญจากพ่อแม่ถึงลูกในเทศกาลส่งความสุข

เมื่อถึงเทศกาลส่งความสุข คุณพ่อคุณแม่อาจกังวลใจว่าจะหาซื้ออะไรให้ลูกดี วันนี้ผู้เขียนมีของขวัญที่ไม่ต้องซื้อหามาด้วยเงินทอง แต่เป็นของขวัญมีค่าอย่างยิ่งกับลูก โดยมีวิธีทำง่ายๆดังนี้

1. บอกรักด้วยสายตา
สายตาที่คุณมองดูลูกน้อย สื่อความในใจของคุณถึงลูกได้ดีกว่าคำพูดใดๆ เริ่มต้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองดูลูกน้อยด้วยความชื่นชม พร้อมส่งยิ้มอย่างเบิกบานให้ลูกสักหนึ่งนาที เด็กทุกคนอยากให้พ่อแม่มองเขาอย่างชื่นชมเช่นนี้ทุกๆ วัน

2. วลีแห่งความรัก

วางมือจากทุกอย่างสักครู่ แล้วมองเข้าไปในดวงตากลมใสของลูก และพูดกับเขาว่า “แม่รักหนูมากขึ้นทุกวันเลย” หรือ “หนูเป็นเด็กที่น่ารักที่สุดในโลก” แม้จะเป็นคำพูดเดิมๆ แต่ถ้าถูกกลั่นกรองออกมาจากใจ คำพูดนั้นย่อมเป็นดั่งเสียงดนตรีอันไพเราะ ที่ชโลมจิตใจลูกน้อยให้สดชื่นเบิกบาน

3. เชื่อมความเห็นอกเห็นใจ
ในวันที่แสนวุ่นวาย หากลูกน้อยต้องการกำลังใจอย่างเร่งด่วน ก็อย่ารีรอที่จะปลอบโยนเขาด้วยความห่วงใย เช่น ถ้าลูกท้อแท้เพราะทำการบ้านไม่ได้ คุณอาจให้กำลังใจเขาว่า “การบ้านข้อนี้อาจยากไปสักหน่อย ลูกคงต้องใช้เวลาอีกนิด พ่อแม่รู้ว่าหนูหงุดหงิด แต่พยายามอีกนิดนะจ๊ะ หนูต้องทำได้แน่ๆ”

4. วางแผนร่วมกัน
ก่อนที่ลูกจะต้องจากคุณไปโรงเรียน หรือคุณจะต้องจากลูกไปทำงาน ให้บอกลูกล่วงหน้าถึงแผนการที่จะทำร่วมกันในตอนเย็นหรือในวันหยุดที่จะมาถึง ให้เขาได้มีส่วนร่วมในการวางแผนและแสดงความคิดเห็น แล้วเขาจะรอคอยเวลานั้นอย่างใจจดใจจ่อและมีชีวิตชีวา ข้อสำคัญคือพ่อแม่ก็ต้องรักษาคำพูดที่ให้ไว้ด้วย

5. นวดเบาๆ
การนวดเบาๆ ที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือส่วนต่างๆ ตามร่างกายลูกน้อย เป็นวิธีที่สามารถส่งผ่านความรักจากใจของคุณไปสู่ใจของลูกได้ นอกจากนี้ การนวดเบาๆ ยังช่วยบำบัดอาการเจ็บป่วยทางกาย และเยียวยาอาการทางใจได้ด้วย

6. ฟังอย่างตั้งใจ
พูดคุยและรับฟังลูกน้อยอย่างตั้งใจ เพราะบางครั้งเขาอาจอยากแบ่งปันความสุขที่มีอยู่ให้คุณได้รับรู้และร่วมมีความสุขไปกับเขา หรืออาจต้องการคำปลอบโยน และอยากให้คุณช่วยแบ่งเบาความทุกข์ที่อยู่ในใจ การรับฟังลูกน้อยอย่างตั้งใจ สามารถทำให้เขารับรู้ถึงความรักและความเอาใจใส่ที่คุณมีให้เขาอย่างแท้จริง

7. ให้กำลังใจ
ไถ่ถามทุกข์สุขของลูก ว่าเขามีเรื่องกังวลใจบ้างหรือเปล่า ถ้าลูกมีเรื่องทุกข์ใจ คุณควรให้กำลังใจลูกด้วยการพูด การสัมผัส หรือการส่งสายตา เพื่อบอกว่าคุณห่วงใยเขาเสมอ การทำเช่นนี้จะช่วยให้ลูกน้อยรู้สึกอุ่นใจว่ามีคนที่เขารักอยู่เคียงข้าง จะทำให้เขามีความมั่นใจยิ่งขึ้น สามารถฟันผ่าอุปสรรค และขจัดความกังวลใจให้หมดสิ้นไปได้

8. ผลงานที่ภาคภูมิใจ
นำผลงานศิลปะหรือชิ้นงานอะไรก็ได้ที่เป็นฝีมือของลูกน้อย มาติดโชว์ไว้ตามจุดต่างๆ ของบ้าน เช่น ติดไว้ที่ตู้เย็น หรือนำมาใส่กรอบวางไว้ในห้องรับแขก ให้ทุกคนได้ชื่นชม เมื่อลูกเห็นว่างานของเขาได้รับความสนใจ และคนในครอบครัวเห็นคุณค่า เขาก็จะมีกำลังใจอยากทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งช่วยส่งเสริมให้เขาเป็นเด็กที่กล้าแสดงออก และภาคภูมิใจในตนเอง

9. เล่นจั๊กจี้
ลูกน้อยจะหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างชอบใจ ถ้าคุณแกล้งจั๊กจี้พุง เกาฝ่าเท้า หรือเกาคอลูก แต่อย่าแหย่มากเกินไป เพราะการทำเช่นนี้จะเป็นการทรมานลูกมากกว่าที่จะแหย่ให้เขาสนุก แต่ถ้าคุณเล่นอย่างพอดี ลูกน้อยจะติดใจและมาขอให้คุณแกล้งจั๊กจี้เขาอีกอย่างแน่นอน

10. ขี่คอ
เด็กเล็กๆ จะพออกพอใจมากเมื่อได้ขี่คอผู้ใหญ่ ได้ชื่นชมทิวทัศน์รอบตัวจากมุมที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ลองให้ลูกน้อยขี่คอคุณ เขาจะเอื้อมมือไขว่คว้าไปในอากาศอย่างสนุกสนาน และจะภูมิใจมากที่ตอนนี้เขาตัวสูงกว่าใคร

11. วันแรกของหนู
เล่าให้ลูกน้อยฟังถึงความเป็นมาของเขา เช่น เล่าว่าตอนที่แม่ตั้งท้อง แม่มีความสุขมากแค่ไหน แม่พูดอะไรกับหนูบ้างตอนหนูอยู่ในท้อง เล่าว่าเขาเกิดที่ไหน เกิดกี่โมง และอาจพาเขาไปดูโรงพยาบาล หรือพาไปเยี่ยมจังหวัดบ้านเกิด เพื่อให้ลูกน้อยได้รู้ความเป็นมาของตัวเอง และได้รู้ว่าเขามีค่าสำหรับคุณเพียงใด

12. กระดานสื่อรัก
หากระดานไวท์บอร์ด หรือกระดานดำเล็กๆ มาสัก 1 อัน ติดเอาไว้ตรงที่ลูกจะมองเห็นได้ชัดเจน แล้วเขียนข้อความน่ารัก ๆ หรือคำชมเชยลงไปบนนั้น เช่น “แม่รักรอยยิ้มของหนู” “ผมหนูนุ่มเหมือนเส้นไหม” หรือ “ลูกพ่อหล่อที่สุด” อ่านออกเสียงให้เขาฟังด้วย เขาจะได้อ่านตาม และปลื้มไปกับข้อความนั้น จนต้องวนเวียนมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก

13. ล่าสมบัติบอกรัก
ชวนลูกน้อยเล่นเกมล่าสมบัติ ซึ่งก็คือการค้นหาคำบอกรักสั้นๆ นั่นเอง เช่น “พ่อแม่รักหนูที่สุดในโลก” โดยเขียนลายแทงหรือแผนที่ง่ายๆ ที่ลูกสามารถเข้าใจได้ จะเขียนเป็นภาษาสัญลักษณ์ หรือเขียนเป็นปริศนาให้ลูกตีความก็ได้ ให้ลูกเริ่มหาจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่ง จนพบข้อความบอกรัก กิจกรรมนี้ช่วยย้ำเตือนถึงความรักที่คุณมีต่อลูก อีกทั้งยังฝึกให้เขาได้สังเกต หัดตีความ ฝึกการแปลสัญลักษณ์เป็นคำพูด และฝึกเชาว์ปัญญาอีกด้วย รับรองว่าลูกน้อยจะรบเร้าขอเล่นเกมนี้อีกแน่นอน

14. กระจกมหัศจรรย์
เขียนข้อความบอกรักติดไว้ที่กระจกห้องน้ำ เวลาลูกน้อยแปรงฟันตอนเช้า เขาจะได้อ่านข้อความนั้นไปด้วย หรืออาจวาดรูปหัวใจสีแดงดวงใหญ่ ติดไว้ที่ประตูบ้าน ให้ลูกได้เห็นก่อนไปโรงเรียน เขาจะได้ไม่รู้สึกว้าเหว่เมื่อต้องจากคุณไปโรงเรียน และจะได้มั่นใจว่า เมื่อกลับถึงบ้าน จะพบคุณอีกแน่นอน

15. กอดรวมมิตร
ชวนเด็กๆ เข้ามากอด คุณปู่คุณย่า คุณตา คุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ พี่เลี้ยง( สมาชิกทุกคนในบ้าน) มากอดกันเป็นวงกลมนานๆ เพื่อถ่ายทอดความรักและความอบอุ่นให้แก่กันและกัน โดยที่คุณคลายอ้อมกอดจากลูกเป็นคนสุดท้าย ลูกน้อยจะรู้สึกว่าเขาได้รับความรักอย่างเต็มอิ่มทีเดียว

ของขวัญเหล่านี้เป็นของขวัญที่ไม่ต้องไปซื้อหามาด้วยเงินทอง แต่ก็เป็นของขวัญที่มีค่าซึ่งจะอยู่ในความทรงจำของเด็กไปนานแสนนาน หากคุณพ่อคุณแม่มีของขวัญอย่างอื่นที่มีคุณค่าต่อความรู้สึกของเด็กๆเช่นนี้ ก็สามารถเข้ามาแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมกันได้นะคะ

8 วิธีลดความเครียดให้แก่เด็ก

1. การให้เด็กได้ออกกำลังกาย การออกกำลังกายที่ให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกาย เช่น การกระโดด ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ไม่เพียงแต่จะส่งเสริมให้เด็กมีการเจริญเติบโตทางร่างกายเหมาะสมตามวัย แต่จะทำให้เด็กมีจิตใจสดชื่นและช่วยลดความตึงเครียดได้ เพราะขณะออกกำลังกายร่างกายจะได้รับออกซิเจนมากขึ้น การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น สมองได้หยุดคิดเรื่องที่เครียดชั่วคราว และภายหลังการออกกำลังกายแล้วร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ทำให้รู้สึกคลายความเครียด

2. การทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว ครอบครัวควรมีเวลาในการทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ เช่น อ่านหนังสือให้ลูกฟัง ปลูกต้นไม้ ให้ลูกได้ช่วยทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ หรือทำอะไรก็ได้ที่ครอบครัวชื่นชอบ ทำแล้วเพลิดเพลินมีความสุข ทำให้เด็กๆ ลืมเรื่องเครียดได้อีกทั้งยังทำให้เกิดความอบอุ่นในครอบครัวด้วย

3. การพูดอย่างสร้างสรรค์ พูดในทางบวก คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญกับการพูดจากับลูกให้มากคือการพูดในทางบวก การชมเชยลูก การให้กำลังใจ เช่น “เก่งจังเลย” “สวยจัง” “ทำได้เยี่ยมไปเลย” เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องสอนลูก ควรใช้คำพูดที่สุภาพ ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีและช่วยให้ความสัมพันธ์ของคุณและลูกมีความสุขมากขึ้น

4. การแสดงอารมณ์อย่างเหมาะสม การให้ลูกเรียนรู้ที่จะแสดงอารมณ์ออกมาอย่างเหมาะสมเป็นเรื่องจำเป็น เช่น ไม่ควรตามใจเด็กมากเกินไป อาจให้เด็กร้องไห้บ้าง แล้วเมื่อเด็กหยุดร้องไห้ ก็อธิบายเหตุผลให้เด็กได้ทราบถึงข้อดีข้อเสีย เพราะการร้องไห้เป็นการระบายความเครียดได้ดีอย่างหนึ่ง เด็กจะได้ไม่เก็บความเครียดไว้

5. พ่อแม่ควรมีความยืดหยุ่นในการทำกิจวัตรประจำวัน ไม่ควรทำกิจกรรมที่รีบเร่งหรือเร่งรัดเด็กเกินไป แต่ควรฝึกให้ลูกรู้จักวินัยและมีความรับผิดชอบ โดยพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการสอนเด็ก วันหยุดให้เด็กได้พักผ่อน ทำกิจกรรมที่เด็กชอบ การเรียนศิลปะ ดนตรีกีฬาที่พอเหมาะ จะทำให้เด็กมีความสุขมากขึ้น

6. การยอมรับในความสามารถของเด็ก และ ไม่ควรบังคับให้เด็กทำในสิ่งที่ยังไม่พร้อม เช่น การสอนให้คัด ก.ไก่ ข.ไข่ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 4 ปี การให้นั่งเรียนอยู่ที่โต๊ะเรียนเป็นเวลานานเกินไป เป็นต้น

7. เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นควรหาสาเหตุก่อนเพื่อทำการแก้ไข ก่อนที่จะลงโทษเด็ก ควรถามถึงเหตุผลที่เด็กกระทำสิ่งนั้นว่าคืออะไร? ทำไมจึงทำ? เมื่อเราทราบสาเหตุแล้วจะทำให้เราเข้าใจการกระทำของเด็ก ส่งผลให้เราสามารถพูดคุยและสอนเด็กได้อย่างถูกต้องและส่งเสริมให้เด็กได้แก้ไขในสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามีผลดีหรือเสียอย่างไร

8. การให้เด็กได้พบกับประสบการณ์การเรียนรู้ที่ไม่อันตราย การรู้จักความผิดพลาดบ้าง ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ รู้จักปรับตัว และรู้จักแก้ไขปัญหาได้

หลัก 5 ให้ สำหรับคุณพ่อยุคใหม่

สำหรับภาคปฏิบัติที่คุณพ่อยุคใหม่จะต้องใส่ใจและให้ความสำคัญ ก็คือการให้ ซึ่งมี 5 ข้อดังนี้

1. ให้ความรัก ความปรารถนาดี การที่เด็กจะรู้สึกว่าตนเองมีค่าเป็นการยากที่เกิดจากการคิดขึ้นได้เอง แต่จะเกิดจากท่าทีของคนใกล้ชิดที่แสดงออกต่อเขา ทั้งทางวาจาและน้ำเสียง สายตา ท่าทาง การถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ แสดงความเป็นห่วงเป็นใย เด็กจึงจะสามารถรู้สึกดีต่อตัวเองได้ รู้สึกว่าตนเองมีค่าได้ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของบุคลิกภาพและสุขภาพจิตที่ดี

2. ให้เวลา ความผูกพันของคนเรา ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งการปฏิสัมพันธ์นั้นต้องอาศัยเวลา ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยเพียงคำพูดว่าฉันรักเธอ แต่ไม่มีเวลามีกิจกรรมร่วมกันเลย พัฒนาการด้านจิตใจและร่างกายของลูกเป็นสิ่งที่รอไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับสิ่งที่จำเป็นในแต่ละช่วงวัย การพัฒนาก็จะไม่สมบูรณ์ เมื่อขาดแล้วก็จะผ่านเลยไปเหมือนสายน้ำ การจะย้อนกลับมาแก้ไขทำได้ยากมาก

"พ่อจำนวนมากเมื่อลูกยังเล็กคิดว่าของสร้างเนื้อสร้างตัวก่อน เมื่อฐานะดีมั่นคงแล้ว ค่อยจะมาให้เวลากับลูกแต่ก็สายไปแล้ว เพราะหลายปัญหาที่เกิดขึ้น เงินทองช่วยแก้ไขไม่ได้ เช่น ลูกติดยาเสพติด เป็นคนไม่รับผิดชอบ ใช้ชีวิตไร้แก่นสารไปวันๆ"

3. ให้เกียรติ ถ้าเราต้องการให้ลูกเป็นคนนับถือตัวเอง เราต้องปฏิบัติต่อเขาแบบคนที่มีเกียรติ ให้ความเชื่อถือเขา ให้โอกาสเขาแสดงความคิดเห็น รับฟังความคิดเห็น ให้การยอมรับถ้ามีเหตุผล ถึงแม้จะเป็นเด็กก็ตาม ไม่ใช่ว่าจะใช้ความเป็นผู้ใหญ่ไปข่มขู่ บังคับ เป็นเผด็จการ

4. ให้โอกาสพัฒนา เด็กต้องมีโอกาสเรียนรู้ ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง จึงจะเกิดความกล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ ถ้าผู้ใหญ่กลัวลูกทำผิด ทำได้ไม่ดีก็เลยเทำให้เสียหมด เด็กก็จะไม่เกิดการพัฒนาเท่ากับเป็นการรักลูกผิดทาง

5. ให้กำลังใจ หมายความว่า ถ้าเด็กสามารถทำได้ดี ได้สำเร็จ ก็แสดงความชื่นชม ชมเชย เด็กก็จะเกิดความมั่นใจในตนเอง ขณะเดียวกันถ้าเด็กทำไม่สำเร็จ ล้มเหลวพ่ายแพ้ ก็ให้กำลังใจเด็ก และช่วยให้เรียนรู้ที่จะให้กำลังใจตนเองได้ ว่าไม่เป็นไร ลุกขึ้นศึกษาจุดบกพร่องของตนเอง แล้วลองดูใหม่ ต้องแก้ไขปัญหาได้

หลัก 5 รู้สำหรับพ่อยุคใหม่

1. รู้หลักการทั่วไปของการเลี้ยงลูก ซึ่งมีรายละเอียดมากมายแต่ถ้าจะพูดให้สั้นโดยสรุป คือ เป้าหมายหลักของการเลี้ยงลูกให้เป็นคนมีคุณภาพ สามารถดูแลรับผิดชอบตัวเองได้ เข้ากับผู้อื่นได้ ก็คือ ทำให้ลูกเป็นคนที่สามารถรู้สึกมั่นใจในคุณค่าของตนเอง ถ้าทำได้เขาจะมีพื้นฐานจิตใจแข็งแรง สามารถรับมือกับปัญหาที่จะต้องเผชิญในชีวิตได้ แต่การจะสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาสร้างเวลาขึ้นหลายเดือนหลายปี อาศัยการเรียนรู้จากเหตุการณ์และประสบการณ์ต่างๆในชีวิตมากมายจึงจะแกร่งได้

2. รู้ว่าเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกันเป็นโจทย์คนละข้อ ต้องการวิธีการเลี้ยงดูในรายละเอียดที่แตกต่างกัน นอกจากนี้เด็กคนเดียวกันแต่ว่าในแต่ละช่วงวัย เช่น เด็กทารก เด็กเล็ก เด็กโต เด็กวัยรุ่น ก็มีลักษณะเฉพาะตามธรรมชาติที่แตกต่างกัน วิธีการรับมือที่แตกต่างกัน เหมาะกับลักษณะเด็กแต่ละช่วงวัยจึงจะได้ผลดี

3. รู้ว่าจุดเด่นและจุดด้อยของลูกตัวเอง เพื่อที่จะเสริมจุดเด่นและแก้ไขจุดด้อยของเด็ก ในช่วงระยะเวลาที่ยังส่งเสริมหรือแก้ไขได้ เพื่อให้เด็กได้โตเต็มศักยภาพและมีจุดอ่อนน้อยที่สุด

4. รู้เท่าทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ การที่คุณพ่อจะเข้ากับลูกได้ เพื่อให้เกิดการใกล้ชิดสนิทสนม ไม่ให้เกิดช่องว่างมากนัก ในยุคข้อมูลข่าวสาร คุณพ่ออาจจำเป็นต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยีข้อมูลสมัยใหม่อยู่บ้าง เพื่อที่จะได้คุยกับลูกรู้เรื่อง

5. รู้จักเพื่อนๆ ลูก โดยเฉพาะพ่อที่มีลูกวัยรุ่น เพื่อที่จะได้รับรู้การเปลี่ยนแปลง ความเคลื่อนไหว เข้าใจวิธีคิดของลูก คุณพ่อจึงจะสามารถให้คำแนะนำ คำปรึกษาได้ถูก นอกจากนี้ธรรมชาติของวัยรุ่นมักจะให้ความสำคัญกับเพื่อนมาก เชื่อเพื่อนมาก หลายครั้งในการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมของลูกวัยรุ่น คุณพ่ออาจต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อนลูกในการพูดจาโน้มน้าวเปลี่ยนแปลงความคิดของลูก จึงจะสำเร็จได้

“8 ข้อสำคัญ”…คิดให้ดีก่อนจะมีลูก

เมื่อวินาทีแรกที่ลูกลืมตาคือช่วงเวลาที่คนเป็นพ่อเป็นแม่มีความสุขที่สุด แต่ทว่าหลังจากนั้น สิ่งที่มาพร้อมความสุขและสมาชิกใหม่ในครอบครัวคือภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่พ่อแม่ไม่สามารถปลดเกษียณตัวเองได้ตลอดชีวิตนั่นคือการดูแลเลี้ยงดูตั้งแต่แบเบาะ ซึ่งการเลี้ยงลูกวัยทารกนั้น นับเป็นสิ่งที่พ่อแม่และคนในบ้านทุกคนต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นอย่างมาก
ดร.สตีเฟน เทอร์เนอร์ กุมารแพทย์จาก ลอง ไอร์แลนด์ คอลเลจ ฮอสพิทอล ในบรูคลิน เผยว่า พ่อแม่มือใหม่ทุกคนควรทำความเข้าใจบางสิ่งหลังจากที่มีสมาชิกใหม่เป็นเจ้าตัวน้อยมาเพิ่มอีกหนึ่งคน เพราะถ้าไม่เข้าใจธรรมชาติของลูกและหน้าที่ของพ่อแม่ อาจก่อให้เกิดปัญหาในครอบครัวได้ อย่างไรก็ดี 8 ประการสำคัญที่ดร.สตีเฟน แนะนำนั้นมีดังนี้

1. เวลาแห่งการอดนอน
คุณทั้งสองคนต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า เจ้าตัวเล็กนั้นยังตื่นและนอนไม่เป็นเวลาเหมือนผู้ใหญ่ ลูกอาจร้องไห้โยเยกลางดึกเพื่อกินนม พ่อและแม่ก็ต้องตื่นขึ้นมาดู ดังนั้นเวลาที่คุณทั้งสองจะนอนหลับได้เต็มอิ่มก็เป็นไปได้ยากเต็มทน

ทั้งนี้ เด็กแรกเกิดจะใช้เวลานอนโดยเฉลี่ยประมาณ 16 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งรวมไปถึงช่วงเวลาการให้นมลูกด้วย โดยเขาอาจใช้เวลาในการดูดนมก่อนนอนประมาณ 2-3 ชั่วโมง ดังนั้นคุณควรใช้เวลาเหล่านั้นหาโอกาสพักผ่อนไปในตัว หากลูกหลับ เราก็พักได้สักช่วงหนึ่งก็ยังดีกว่า มิเช่นนั้นคงอดนอนจนร่างกายแย่กว่าเดิม

2. เสื้อผ้าเยอะมากขึ้นเป็นกอง
ไม่ว่าจะเป็นผ้าอ้อมที่ใช้ในแต่ละวัน เสื้อผ้าของลูกที่ต้องใช้มากกว่า 2 ตัวขึ้นไป มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่บ้านของคุณจะเต็มไปด้วยผ้าอ้อมและเสื้อผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อย ซึ่งบางคนอาจคิดว่ามีเครื่องซักผ้าช่วยผ่อนแรงอยู่คงไม่เป็นอะไร แต่จริงๆแล้ว ถ้าอยากจะถนอมซื้อผ้าของลูก และผ้าอ้อมให้ใช้ได้นานมากขึ้น ก็ควรซักมือแทนจะดีกว่า

3. เวลาที่เคยว่างกลับไม่ว่าง
อย่างที่กล่าวไว้ว่าพ่อแม่มือใหม่ต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กเล็ก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนอน การร้องหิวนม รวมไปถึงการร้องไห้โยเยด้วยเหตุผลอื่นๆ ที่ทำให้พ่อแม่ต้องอยู่กับลูก คอยดูแลตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน ทำให้เวลาส่วนใหญ่ที่จากเมื่อก่อนอาจอยู่กับกิจกรรม งานอดิเรกต่างๆ แต่ตอนนี้เวลาเหล่านั้นต้องหมดลงเพราะเฝ้าดูแลเจ้าตัวเล็กทันที

4.เผื่อเวลาล่วงหน้า
ถ้าคุณและครอบครัวอยากพาลูกออกไปเที่ยวข้างนอกเพื่อเปิดหูเปิดตา เปลี่ยนบรรยากาศแล้ว พ่อ-แม่ลูกอ่อนทั้งหลายควรเผื่อเวลาไว้ 30 นาทีล่วงหน้าในการเดินทาง เพราะกว่าจะเตรียมของให้ลูกไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ขวดน้ำ ขวดนม ฯลฯ ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร

5. ความรอบคอบที่ควรมีมากขึ้น
ในช่วง 2 เดือนแรก พ่อแม่ไม่ควรพาลูกออกไปเที่ยวข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะ ฯลฯ เด็ดขาดเพราะเชื้อโรคที่เรามองไม่เห็นค่อนข้างเยอะ อีกทั้งหากใครเป็นหวัดก็ยิ่งไม่ควรพาลูกเข้าไปในที่เหล่านั้นใหญ่เลย ดังนั้นพ่อแม่ควรรอบคอบเพิ่มขึ้นอีกสักนิด ก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะติดหวัด

6. ใส่ใจยาของลูก
ถ้าลูกไม่สบายขึ้นมา พ่อแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์ทันที เพื่อจะได้ทานยาตามแพทย์สั่ง พ่อแม่ไม่ควรซื้อยาให้ลูกทานเองเด็ดขาด อีกทั้งควรเคร่งครัดในเรื่องของการป้อนยาให้ลูก ในปริมาณที่แพทย์กำหนดไว้เสมอ

7. เสริมอาหาร อาหารเสริม
อาหารเสริมในที่นี้หมายถึงสารอาหารที่ได้นอกเหนือจากน้ำนมของแม่ ไมว่าจะเป็นน้ำส้ม ผักบด ฝักทองบด ซึ่งเหมาะกับเด็กในวัย 4-6 เดือนขึ้นไป ดังนั้น หากลูกอยู่ในวัยที่สามารถทานอาหารอ่อนๆได้บ้างแล้ว พ่อแม่ก็ควรสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องเป็นอาหารที่มีราคาแพงเสมอไป

8. อย่าลืมให้วัคซีนตนเอง
พ่อแม่ส่วนใหญ่มักใส่ใจเรื่องการพาลูกไปฉีดวัคซีนแต่กลับลืมไปว่า พ่อและแม่เองก็ควรได้รับวัคซีนเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนป้องกันโรคไอกรน วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่รวมไปถึงไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ด้วย

เรียบเรียงจาก ฟ็อกนิวส์

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

10 นิสัย ที่ไม่ควรเอามาใช้ กับคนรัก..

คน เราตอนรักกันใหม่ๆ อะไรๆ ก็ดีไปเสียหมด อย่างคำที่ว่า ยามรัก น้ำต้มผักก็ว่าหวาน แต่เมื่ออยู่กันไปนานๆ ความเป็นตัวของตัวเองกับความเคยชิน ก็เลยทำอะไรบางอย่าง ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งอาจจะรับไม่ได้ จนถึงขั้นต้องบอกเลิกรากันไป


1. เอาแต่ใจตัวเอง

2. ทำตัวเป็นเจ้าของมากเกินไป

3. หึงแบบไร้ขีดจำกัด

4. บอกเลิกทุกครั้งที่ทะเลาะ

5. ไปเจ๊าะแจ๊ะกับคนอื่น

6. เชื่อเพื่อนมากเกินไป

7. โกรธแล้วไม่พูดด้วย

8. นัดแล้วไม่เป็นนัด

9. พูดจาข่มกันต่อหน้าคนอื่น

10. โกหก

---------------------------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันสิ้นโลกในมุม...พุทธศาสนา

คติความเชื่อในพุทธศาสนาเชื่อกันว่า ในภัทรกัปนี้ โลกใบนี้เคยมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติแล้ว ๔ พระองค์ คือ
๑.พระกกุสันธะ
๒.พระโกนาคมนะ
๓.พระกัสสปะ
๔.พระโคดม (พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน)

ส่วนองค์ที่ ๕ จะอุบัติขึ้นหลัง พ.ศ.๕๐๐๐ คือ พระศรีอริยเมตไตรย ในยุคนี้จะมีต้นกัลปพฤกษ์เกิดขึ้นทั้งสี่มุมเมือง อันเป็นต้นไม้สารพัดนึก ทุกคนมีศีลธรรมเป็นยุคที่ศาสนารุ่งเรืองและมีความอุดมสมบูรณ์ นับว่าในยุคศาสนาของพระพุทธเจ้าพระศรีอริยเมตไตรยเป็นศาสนาที่คนพึงปรารถนาจะมาเกิดในศาสนานี้ หลังจากสิ้นยุคของพระศรีอริยเมตไตรย แล้ว โลกก็จะแตกพินาศไป เพราะไฟ (ดวงอาทิตย์เรียงกัน ๗ ดวง )

อย่างไรก็ตาม ใน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๖. พุทธปกิณณกกัณฑ์ เล่มที่ ๓๓ ข้อ ๑ หน้า ๗๒๑ ได้เขียนไว้ว่า โลกเสื่อมมี ๓ อย่าง คือ
๑.อาโปสังวัฏฏกัป (กัปที่เสื่อมเพราะน้ำ) หมายถึงกัปที่เสื่อมเพราะน้ำนับแต่ชั้นสุภกิณหพรหมลงมา
๒.เตโชสังวัฏฏกัป (กัปที่เสื่อมเพราะไฟ) หมายถึงกัปที่ไฟไหม้ นับแต่ชั้นอาภัสสรพรหมลงมา
๓.วาโยสังวัฏฏกัป (กัปที่เสื่อมเพราะลม) หมายถึงกัปที่ลมพัดทำลาย นับแต่ชั้นเวหัปผลพรหมลงมา หรือหมายถึงช่วงระยะเวลาที่เปลวไฟดับจนถึงมหาเมฆที่ให้กัปพินาศ

นอกจากนี้แล้วพระพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับโลกและจักรวาลไว้ในพระสูตรต่างๆ ในพระไตรปิฎกหลายพระสูตร เช่น
๑.อัคคัญญสูตร ว่าด้วยเรื่องกำเนิดของโลก กำเนิดของมนุษย์ และวรรณะทั้ง ๔ หน้า ๖๑ เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย
๒.จูฬนีสูตร ว่าด้วยเรื่องจักรวาล หน้า ๑๒๕ เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย
๓.สุริยสูตร ว่าด้วยเรื่องในอนาคต พระอาทิตย์จะเกิดขึ้นครบ ๗ ดวง และการพินาศของโลกหน้า ๘๓ เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย
๔.อุปสถสูตร ว่าด้วยสวรรค์ ๖ ชั้น หน้า ๑๙๕ เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เป็นต้น

"ในฐานะนักดาราศาสตร์ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน เพราะโลกอยู่มาตั้งหลายพันล้านปี มีสรรพสิ่งเกิดและดับสูญไปตามวัฏจักร วิตกกังวลไปก็เท่านั้น แต่สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด"

ชุดเครื่องครัว ยาสระผม 10 สิ่งที่ควรถวายพระ และสิ่งที่พระจำเป็นต้องใช้

นิตยสาร "ฉลาดซื้อ" ฉบับประจำเดือน พ.ย. เผย 10 อันดับรายการสินค้าที่ไม่จำเป็น จากการสำรวจชุดสังฆทาน ส่วน 10 รายการที่พุทธศาสนิกชนนึกไม่ถึงว่าพระต้องการ อาทิ ยาสระผม-ชุดเครื่องครัว

เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. มีรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข ถึงผลการสำรวจรายการสินค้าที่ไม่จำเป็นในชุดสังฆทานโดยนิตยสาร "ฉลาดซื้อ" ฉบับประจำเดือน พ.ย. ว่า จากการสอบถามความคิดเห็นของพระภิกษุสงฆ์ในการใช้ข้าวของที่บรรจุมาในชุด สังฆทาน พบว่าส่วนใหญ่เป็นของที่จำเป็นและมีประโยชน์น้อย โดย 10 อันดับรายการสินค้าที่ไม่จำเป็น ที่พบจากการสำรวจชุดสังฆทาน ประกอบด้วย

1.ใบชา พระสงฆ์ส่วนใหญ่ระบุว่า ปัจจุบันพระสงฆ์ไม่ค่อยฉันน้ำชา ควรเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้แท้ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพน่าจะดีกว่า เพราะน้ำผลไม้ส่วนใหญ่ที่อยู่ในถังสังฆทาน มักเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่มีคุณภาพ ส่วนใหญ่เป็นน้ำหวานแต่งกลิ่น รส หรือ ผงสมุนไพรห่อที่ไม่ค่อยมีคุณภาพนัก
2.ขิงผงสำเร็จรูป เป็นเครื่องดื่มที่คนส่วนใหญ่คิดว่า พระสงฆ์น่าจะชอบฉัน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่
3.ยาจุดกันยุง ส่วนนี้อาจจะจำเป็นสำหรับพระที่จำพรรษาในป่าหรือชนบทไกลๆ
4.นมข้นหวาน
5.กาแฟผงสำเร็จรูป
6.ถัง กล่องสบู่ ขวดน้ำ ขันพลาสติก จากการสำรวจพบว่า อุปกรณ์เหล่านี้ถูกกองไม่ได้ใช้ประโยชน์จนล้นวัด
7.บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
8.น้ำดื่มบรรจุขวด
9.ขนมคุ้กกี้ ขนมอบต่างๆและ
10.ธูป เทียน ไม้ขีดไฟ ที่ส่วนใหญ่มักอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้งานได้ ที่สำคัญของเหล่านี้มีจำนวนเกินพอแล้วในวัด

การสำรวจครั้งนี้ยังได้นำเสนอสิ่งของ 10 รายการที่พุทธศาสนิกชนอาจจะนึกไม่ถึงว่ามีความจำเป็นสำหรับการถวายสังฆทาน คือ

1.ยาสระผม คนมักคิดว่าพระไม่มีผมไม่จำเป็นต้องใช้ยาสระผมแต่จริงๆแล้วจำเป็นเพราะส่วน หนึ่งอาจมีคราบไคลและไขมันที่เกาะสกปรกตามหนังศรีษะอยู่บ้าง

2.มีดโกน ใบมีดโกน พระได้ใช้บ่อยแต่ไม่ค่อยมีคนถวาย

3.อุปกรณ์เครื่องครัว เช่นจาน กะทะ หม้อ ช้อน แก้วน้ำ ที่มีคุณภาพ พระสามารถใช้เป็นของส่วนตัวและเอื้อเฟื้อสำหรับญาติโยมที่มาทำบุญได้ด้วย

4.อุปกรณ์ช่าง ค้อน ตะปู ไขควง สว่าน ที่พระมีโอกาสได้ใช้ในการซ่อมแซมต่างๆในวัดและกุฏิ

5.อุปกรณ์ทำความสะอาด ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ไม้กวาดแข็ง ที่โกยขยะ เป็นอุปกรณ์จำเป็นแต่ไม่ค่อยมีคนถวาย

6.ข้าวสาร อาหารแห้ง เลือกที่คุณภาพดีไม่ใช่ที่บรรจุในถังสังฆทานที่มักใช้ไม่ได้ ส่วนนี้ จะได้ใช้ในการบริจาคหรือนำไปอุปการะผู้ยากไร้ที่มาพึ่งใบบุญ ของวัดได้ด้วย

7.เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ

8.หนังสือธรรมะ หรือหนังสือแนวทางการดูแลสุขภาพ

9.ผ้าสบง จีวร ผ้าอาบน้ำเลือกที่คุณภาพดี และ

10.ยาสมุนไพร ยารักษาโรค เลือกที่มีคุณภาพมาตรฐานในการผลิตหรือมีตรา องค์การอาหารและยา (อย.) รับรอง

สำหรับเครื่องสังฆทานถือเป็นสินค้าควบคุมฉลากที่ต้องระบุข้อความ วันเดือนปีที่หมดอายุ หากไม่มีการดำเนินการดังกล่าวอาจมีโทษถึงจำคุก 6 เดือน ปรับ 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

วิธีลดภาวะโลกร้อน

การลดภาวะโลกร้อนเป็นสิ่ง ที่ทุกคนจะต้องช่วยกันทำ เราทุกคนก็ต่างมีส่วนที่ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้น เพราะเพียงแค่เราหายใจอยู่เฉยๆก็ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาแล้ว ยังไม่รวมถึงกิจกรรมต่างๆมากมายที่เราทำอยู่ทุกๆวัน ถึงเวลาที่เราต้องเลิกคิดว่าภาวะโลกร้อนไม่ใช่ธุระของเรา แล้วหันมาร่วมมือกัน..มาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาโลกร้อนกันเถอะ

ถ้าท่านคิดว่าการลดภาวะโลกร้อนนั้น มันทำได้ยาก หรือคิดว่าท่านคนเดียวช่วยโลกไม่ได้ หรือว่าจะทำตอนนี้มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นแล้ว ท่านกำลังคิดผิด!! ทุกอย่างที่เราทำจะส่งผลดีต่อโลก และมันยังมีเวลาอยู่ ถ้าไม่เริ่มที่ตัวเราก่อนก็ไม่รู้จะให้ไปเริ่มจากตรงไหน แค่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างของเราทำอยู่ในวันๆหนึ่ง ก็สามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้แล้ว ผมจะยกตัวอย่างให้ดูซัก 10 ข้อ ผมเชื่อว่ามันใกล้ตัวทุกท่านมาก และสามารถลงมือทำได้เลยด้วยซ้ำ

1. ปรับ Desktop Wallpaper ของท่านให้เป็นสำเข้ม ยิ่งเป็นสีดำเลยยิ่งดี เพราะว่ามันจะประหยัดไฟมากกว่า รวมไปถึง Screen Saver ก็ให้ตั้ง Blank ไว้ มันจะเป็นหน้าจอดำสนิท ปิดคอมพิวเตอร์เมื่อไม่ได้ใช้งาน เช่น ตอนพักเที่ยง และตอนกลับบ้าน

2. พกผ้าเช็ดหน้า แทนที่จะใช้กระดาษทิชชู สมัยนี้มีกระดาษทิชชูห่อสวยๆพกง่ายๆออกมา หลายคนใช้มันแทนผ้าเช็ดหน้า เพราะว่ามันสะดวกและห่อมันก็น่ารักด้วย แต่กระดาษทิชชูผลิตมาจากต้นไม้ ยิ่งใช้มากก็ยิ่งต้องตัดมาก ถ้าไม่จำเป็นก็ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าดีกว่าครับ เก็บต้นไม้ไว้เป็นปอดให้กับโลกเราบ้างเถอะนะ

3. การชาร์ตแบตมือถือ การ ชาร์ตแบตมือถือของคนทั่วๆไปเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ถึง 95% เพราะว่ามักจะเสียบสายค้างไว้ทั้งๆที่แบตเต็มแล้ว ท่านรู้ไหมว่าถึงแบตจะเต็มแล้วแต่ว่าถ้าไม่ถอดออกมันก็จะยังกินไฟอยู่ ฉะนั้นเวลาแบตเต็มแล้วก็ให้ถอดสายออก แต่ถ้ายังเสียบหม้อแปลงกับเต้าเสียบค้างไว้มันก็ยังกินไฟอยู่ดี เพราะฉะนั้นก็ให้ถอดออกให้หมด

4. ประหยัดน้ำ อย่าใช้น้ำ แบบสิ้นเปลือง ถ้ามีโอกาสได้เปลี่ยนก๊อกที่บ้าน ก็ให้ใช้ก๊อกน้ำแบบเพิ่มฟองอากาศ น้ำที่ไหลออกมาจะมีฟองอากาศออกมาด้วยทำให้ดูเหมือนมีน้ำเยอะ แต่จะประหยัดกว่าก๊อกธรรมดาถึงครึ่งหนึ่ง ถ้านึกไม่ออกให้ดูห้องน้ำตามห้าง น้ำที่ไหลออกมาจะเป็นแบบนั้น และเวลาใช้น้ำที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านเราก็ควรจะประหยัดด้วย ไม่ใช่คิดว่าของฟรี หรือเวลาไปพักตามโรงแรมก็อย่าคิดว่าใช้ให้คุ้ม เพราะว่าทำแบบนี้แหละโลกถึงร้อน

5. ประหยัดไฟ ปิดเครื่องใช้ ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้และถอดปลั๊กด้วย รวมไปถึงหลอดไฟด้วย ถ้ามีโอกาสก็เปลี่ยนหลอดไส้เป็นหลอดประหยัดไฟ CFL ซะ ที่มันเป็นเกลียวๆ ถึงหลอดพวกนี้จะแพงกว่า แต่ก็ประหยัดไฟกว่ามาก แถมอายุการใช้งานก็ยาวกว่าเยอะ ซึ่งในระยะยาวก็จะคุ้มกว่าแน่นอน

6. ลดใช้ถุงพลาสติก ถุง พลาสติกทำให้เราสะดวกขึ้นก็จริง แต่มันเป็นภัยต่อโลกอย่างมากมาย กว่าถุงที่เราใช้จะย่อยสลายไป ตัวเรานั้นย่อยสลายก่อนมันไปนานแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ แต่ถ้าต้องใช้จริงๆก็ให้เก็บไว้เพื่อนำไปใช้ครั้งต่อไปได้อีก เวลาจ่ายตลาดก็ให้ใช้ถุงผ้าแทน ถุงผ้าสวยๆก็มีออกมาขายกันเยอะแยะ

7. ลดอาหารแช่แข็ง อาหารแช่ แข็งตอนนี้กำลังมีมากขึ้นเรื่อยๆ และก็เห็นมีคนนิยมบริโภคมากขึ้นเหมือนกัน แต่ท่านรู้ไหมว่าขั้นตอนการผลิตนั้นทำให้สิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก เพราะว่ากล่องที่ใส่ก็เป็นพลาสติก ขั้นตอนในการขนส่งก็ต้องเก็บไว้ในที่เย็นตลอดเวลา รวมไปถึงตอนที่อยู่ในร้านด้วย แม้กระทั่งตอนจะกินยังต้องใช้พลังงานในการอุ่นอีก เพราะฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นก็อย่ากินเลยครับ มันสิ้นเปลืองพลังงาน กินของสดอร่อยกว่าอีก

8. ใช้จักรยาน เวลาที่ท่าน ไปทำธุระใกล้ๆบ้าน อาจจะไปซื้อของ จ่ายตลาด นอกจากจะประหยัดน้ำมันในยุคที่น้ำมันแพงแล้ว ยังช่วยให้ท่านได้ออกกำลังกาย มีสุขภาพที่ดีอีกด้วย ไม่ต้องไปเสียเงินเข้าฟิตเนสแพงๆ

9. ลดการ Shopping หลายคน นั้นการ Shopping เป็นอะไรที่มีความสุขเหลือเกิน แต่ก็ขอให้ลดการซื้อแบบสิ้นเปลืองลงบ้าง บางทีก็ซื้อๆไปอย่างนั้นแหละ แต่ก็ได้ใส่แค่ครั้งสองครั้ง บางชิ้นอาจไม่ได้ใส่ด้วยซ้ำ แต่อยากซื้อ..อะไรที่คิดว่าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องซื้อหรอกครับ เอาแค่อันที่เราจะใส่จริงๆ เพราะว่ามันต้องใช้พลังงานมากมายในอุตสาหกรรมพวกนี้

10. ปลูกต้นไม้ มนุษย์ ทุกคนชอบธรรมชาติ เวลาที่เราได้เห็นสถานที่ที่มีธรรมชาติงดงาม ไม่ว่าจะเป็นป่าไม่ที่เขียวชอุ่ม น้ำใสๆ ชายหาดที่ขาวสะอาด เราจะรู้สึกสบายใจและชอบมัน แต่ว่าพวกเราก็ไม่ได้ช่วยกันรักษามัน เพราะฉะนั้นถ้ามีเวลาก็ให้ช่วยกันปลูกต้นไม้ อาจจะเป็นที่สวนหน้าบ้านได้ หรือมีเนื้อที่ตรงไหนก็ปลูกตรงนั้น ใส่กระถางไว้ก็ได้ นอกจากจะทำให้บ้านดูสวยขึ้นแล้ว ยังจะช่วยลดก๊าซพิษในอากาศได้อีกด้วย

กฎที่อ่านแล้วจะบอกว่า เออ...จริงว่ะ?

จริงเหรอ เหตุการณ์รอบตัวบ่อยครั้งทำให้นึกน้อยใจในโชคชะตาเพราะมันมักเลวร้ายกว่าที่ควร เช่น ขับรถมาเป็นสิบปีไม่เคยชนอะไรแต่พอถูกขอร้องให้ถอยรถ เพื่อนออกจากซอยไม่ถึง 30 เมตรกลับชนเสาไฟฟ้าโครมใหญ่เหตุการณ์เลวร้ายเกิดเหมือนสวรรค์แกล้งนี้ เกิดบ่อยกับทุกคน จนมีผู้ตั้งเป็นกฎไว้ เรียกว่า กฎของเมอร์ฟี่ ความว่า ถ้ามันเคยผิดพลาด มันก็จะผิดซ้ำอีก นอกจากกฎของเมอร์ฟี่ยังมีกฎอื่นๆที่มีผู้สังเกตพบมากมาย สมควรรวบรวมไว้ดังนี้

1.กฎความเป็นไปได้
ขนมปังทาเนยที่พลัดตกพื้น จะเอาหน้าด้านที่มีเนยคว่ำลงเสมอ และโอกาสที่เนยตกเปื้อนพรม จะมีมากขึ้นเป็นส่วนกับราคาของพรม

2.การดูดวง
หมอดูมักทายหลายเรื่องทั้งดีและเลวแต่เรื่องที่แม่นที่สุดคือเรื่องที่เลวที่สุด

3.กฎแห่งความแม่นยำ
หากขว้างก้อนหินสะเปะสะปะ มันจะพุ่งตรงเข้าหาวัตถุที่มีราคาแพงที่สุด

4.กฎของหาย
ของใช้ที่เราเห็นทุกวันจะหายต่อเมื่อเราต้องการใช้มัน

5.กฎของเมธี
เลขที่เราไม่ซื้อคือเลขที่จะออกงวดนั้นและหวยที่เราซื้อมักใกล้เคียงกับหวยที่ออกหากได้บวกลบคูณหารด้วยเลขอะไรสักตัว หรือกลับหน้ากลับหลังแต่ถ้าเราซื้อเลขกลับมันจะออกเลขตรงและถ้าเราซื้อทั้งสองแบบมันจะไม่ออกเลย

6.กฎแรงโน้มถ่วง
วัตถุ 2 ชิ้นน้ำหนักไม่เท่ากันจะตกถึงพื้นด้วยความเร็วขนาดที่ทำลายทรัพย์สินได้มากที่สุด เท่าๆกัน

7.ข้อพิจารณาในการเลือกซื้อหนังสือ
หนังสือปกสวย เนื้อในมักห่วย หนังสือปกขี้เหร่ เนื้อในห่วยกว่า

8.กฎห้ามพูด
คนไทยรู้จักกฎนี้ดี จนมีสุภาษิตว่า เข้าป่าอย่าเรียกหาเสือกฎมีว่า ทันทีที่คุณพูดแสดงความคาดหวังถ้าหวังสิ่งเลวสิ่งเลวจะมาหาและถ้าหวังสิ่งดี สิ่งเลวก็จะมาหา

9.กฎของโฮว์
มนุษย์ทุกคนมักจะทำอะไรไม่สำเร็จ

10.กฎของไซเมอร์กี้
ถ้าคุณรื้อชิ้นส่วนออกมาประกอบใหม่จะมีน็อตเหลือเสมอ

11.ข้อสังเกตของอีตัวร์
รถเลนข้างๆ มักเคลื่อนตัวดีกว่าเลนของเรา

12. กฎการแก้ปัญหา
ในปัญหาใหญ่ๆ ที่เป็นอุปสรรคให้เราแก้ มักมีปัญหาเล็กๆอยู่ภายในซึ่งพร้อมจะขยายตัวแทนที่ทันทีที่ปัญหาใหญ่ได้รับการ แก้ไขลุล่วง

13. กฎทอง
คนมีทองคือคนออกกฎ

14. ธรรมชาติของมนุษย์
มนุษย์เรามีสองประเภทประเภทแรก คือ คนที่ชอบแยกคนเป็นสองจำพวกประเภทที่สอง คือ คนที่รังเกียจพวกแรก

15. กฎยิ่งน้อยยิ่งดีของซีกัล
คนที่มีนาฬิกาเรือนเดียว จะรู้เวลาแน่นอน คนที่มีนาฬิกาเพิ่มมาอีกเรือน จะไม่แน่ใจว่า เวลาใดถูกต้อง

16.กฎการใช้เวลาเหลื่อมล้ำ
การเริ่มต้นงานเป็นสิ่งยากเพราะงาน 90 % แรก จะกินเวลาไปถึง 90% ของเวลาในโครงการ ส่วนงาน 10% ที่เหลือจะกินเวลาอีก 90% ของเวลาในโครงการ

17.กฎของโอ รีลลี
สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ คือ การทำโต๊ะทำงานให้สะอาด

18. กฎของลีเบอร์แมน
นักการเมืองทุกคนโกหก แต่ไม่เป็นไรเพราะไม่มีใครฟังใคร

19. กฎน้ำพริกถ้วยเก่า
เสื้อผ้าตัวเก่งจะเก่าซอมซ่อทันทีที่เราได้ตัวใหม่

20. ข้อเท็จจริงขององค์กร
ในทุกหน่วยงานมักมีพนักงานคนหนึ่งและคนเดียวที่มองเห ็นปัญหาที่แท้จริงขององค์กรและคนๆ นี้จะถูกไล่ออกเสมอ

21. กฎการโต้เถียง
คนที่พูดน้อยคือคนที่รู้มาก

22. กฎการทำงานเป็นทีม
เมื่องานยุ่งยาก ทุกคนผละหนี

23. กฎการมองโลก
มนุษย์ สามสิบคนในร้อยคน ชอบมองโลกในแง่ร้าย ที่เหลือมองร้ายกว่า

24. กฎการประกันภัย
เวลาขับรถ มักจะเจออุบัติเหตุรถชน ในวันที่ประกันชั้น 1 หมดอายุได้ 1 วัน

แถมอีกอัน ไม่รู้ทำไม เวลาหนังสือร่วงใส่เท้าต้องร่วงโดนใส่หัวแม่เท้าเสมอ ไม่เคยปรากฎว่าร่วงใส่นิ้วก้อยมั่ง
อีกอันนะ เสียงโทรศัพท์ กริ้งสุดท้ายคือจะดับไปก่อนที่เราจะรับทัน1ก้าวเสมอ
ขอบคุณบทความจาก ชุมชนการเรียนรู้