วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

อีกด้านหนึ่งกับผลกระทบจากชาวปูแดง

ทนายคลายทุกข์ขอนำอีกมุมมองหนึ่งของแชร์ลูกโซ่ปูแดงไคโตซาน สืบเนื่องจากสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) โดย นายนิโรจน์ เจริญประกอบ ได้สั่งเพิกถอนใบอนุญาติขายตรงของบริษัท เบสท์ 59 จำกัด และสำนักงานสืบสวนคดีอาญาพิเศษ (DSI) โดย พันเอกปิยวัฒน์ กิ่งเกตุ ได้สั่งปิดทำการ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด โดยการกระทำดังกล่าวของทั้งสองหน่วยงานทำให้มีข้อข้องใจเกิดขึ้นมากมายต่อกลุ่มพี่น้องชาวเกษตรกรผู้ใช้สินค้าของบริษัทเบสท์ 59 จำกัด กลุ่มพี่น้องนักธุรกิจอิสระและกลุ่มพี่น้องผู้มีใจรักในความยุติธรรมทุก ๆ ท่าน

สมาชิกชาวปูแดงส่วนใหญ่เกือบร้อยเปอร์เซนต์ จะเป็นชาวเกษตรกรหรือมีความเกี่ยวข้องกับภาคส่วนการเกษตร ฉนั้นตัวสินค้าที่ทางบริษัทผลิตและจำหน่าย พี่น้องชาวปูแดงต้องผ่านการใช้งานก่อน พิสูจน์แล้วเห็นว่าดีจริงจึงใช้ สมาชิกส่วนใหญ่พอใจมากเพราะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลิตได้จริง อีกทั้งทางบริษัทยังจัดส่งเสริมองค์ความรู้ในการใช้สินค้า และตรวจสอบปรับปรุงคุณภาพสินค้าอยู่สม่ำเสมอ ทุกกิจกรรมที่ทางบริษัทจัดทำล้วนสมเหตุสมผลสมาชิกปูแดงทุกท่านทราบดี ถ้าพูดถึงการทำการเกษตรเมื่อให้เปรียบเทียบระหว่าง “พี่น้องสมาชิกชาวปูแดงกับ สคบ. และ DSI เชื่อว่าฝีมือคนละชั้น” คนที่ผ่านการใช้งานด้วยตนเองย่อมจะรู้ดีกว่า แต่ถ้าในส่วนของข้อกฎหมาย พี่น้องชาวปูแดงคงจะเก่งสู้หน่วยงาน สคบ.และ DSI ไม่ได้

ข้อกฎหมายเรารู้น้อย ฉะนั้นขอกล่าวข้อข้องใจโดยอาศัยหลักของคุณธรรม จริยธรรม มโนธรรม และมโนสำนึกที่มนุษย์ทุกคนพึงมี ข้อข้องใจพอสรุปได้ดังนี้ การที่ สคบ.จะตรวจสอบบริษัท ควรจะต้องมีการร้องเรียนจากกลุ่มสมาชิกหรือผู้ที่ได้รับผลเสียหายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ทางบริษัทหรือการไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแบ่งผลตอบแทนตามที่บริษัทแจ้งเอาไว้ และหาก สคบ.ได้รับร้องเรียนจริงก็จะต้องทำการสืบสวน ตรวจสอบในเชิงลึกว่าผู้เสียหายเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด หากมีผลกระทบสมาชิกส่วนใหญ่ก็อาจเป็นเหตุให้เชื่อได้ว่าเรื่องร้องเรียนมีมูลความจริง แต่ถ้าหากผลกระทบเกิดขึ้นกับสมาชิกส่วนน้อยก็ต้องหาเหตุต่อไป เช่น ใช้สินค้าไม่ได้ผลเพราะอะไร ใช้ถูกวิธีไหม และทาง สคบ.ควรแจ้งให้บริษัทเข้าไปดูแลและทำความเข้าใจไม่ใช่สั่งปิดหรือเพิกถอนใบอนุญาติซึ่งเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ

มาถึงวันนี้ เป็นเวลา 8 วัน ทาง สคบ.และ DSI ยังไม่มีข้อชี้แจง ข้อข้องใจ ให้สังคมได้รับรู้ว่าการกระทำดังกล่าวทำไปเพราะเกิดจากความลุแก่อำนาจหรือทำไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องที่เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่แสดงตัวว่าเป็นที่พึ่งของประชาชน จะพึงกระทำ ซึ่งเราขอให้เป็นประการหลัง เพราะอย่างน้อยประชาชนอย่างเรา ๆ ยังพอได้อุ่นใจว่ายังมีหน่วยงานรัฐให้เราพึงพาได้ และสิ่งที่ สคบ.และ DSI ควรจะออกมาชี้แจงให้สังคมรับรู้ ก่อนที่ความศรัทธาและความไว้วางใจในหน่วยงานของท่านจะเสื่อมไป คือ
1.ใครเป็นผู้ร้องเรียนทางบริษัท และร้องเรียนเรื่องอะไร
2.คนที่ร้องเรียนหรือผู้ที่เสียหายที่เกิดจากทางบริษัท มีจำนวนเท่าไหร่ และเกิดความเสียหายจากอะไร และทางบริษัทปฏิเสธความรับผิดชอบต่อคนกลุ่มนี้ไหม
3.ความมั่นคงของทางบริษัทมีมากน้อยเพียงใด
4.ข้อมูลทั้งหมดของบริษัท

ตั้งแต่การผลิตสินค้า การจำหน่ายสินค้าในแต่ละเดือน กลุ่มสมาชิกที่ใช้สินค้า และข้อมูลเชิงลึกโดยละเอียดที่สมาชิกและสังคมควรรับรู้ ข้อมูลเหล่านี้ทาง สคบ.และ DSI ควรมีก่อนที่จะทำการตัดสินใจปิดหรือเพิกถอนใบอนุญาติทางบริษัท แต่วันนี้ทางสมาชิกปูแดงและสังคมยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน หากเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ซึ่งยังผลให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง พอสรุปความเสียหายได้ 3 ประเด็นหลัก คือ
1. สมาชิกภาคส่วนการเกษตรขาดสินค้าที่ดี ที่ไว้วางใจ ไว้ใช้งาน ซึ่งอาจมีผลต่อผลิตที่จะได้รับในแต่ละปี
2. สมาชิกที่เป็นนักธุรกิจอิสระซึ่งมีรายได้จากการกระจายสินค้าและองค์ความรู้เข้าไปดูแลปัญหา อีกทั้งยังเป็นตัวกลางประสานความรู้ให้พี่น้องในภาคการเกษตร ซึ่งรายได้จะได้รับจากบริษัทที่มีการกระจายสินค้าเพิ่มขึ้นต้องขาดรายได้หรือพูดง่าย ๆ คือตกงาน
3.ในการกระจายสินค้า สมาชิกเมื่อเห็นว่าใช้ดีก็จะบอกต่อไปยังคนที่รัก เช่น พ่อ แม่ พี่น้อง ญาติสนิท เพื่อนฝูง แต่ในการกระทำของ สคบ.และ DSI ครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง ความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ ของคนที่เรารักและรักเรา ทำให้ดูเหมือนว่าเราเป็นคนหลอกลวง นำสินค้าไม่ดีไปให้ ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นในข้อนี้ประเมินค่าไม่ได้

หากทาง สคบ.และ DSI ยังเพิกเฉยมิยอมชี้แจงข้อข้องใจหรือยังดื้อดึง ระงับไม่ให้ทางบริษัทดำเนินการได้ตามปกติ สมาชิกปูแดงที่ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายทุกคนจะแจ้งความเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ณ.เวลานี้ประชาชนคนรากหญ้า คนทำมาหากิน เดือดร้อน กันมาก อยากให้ผู้มีใจรักความเป็นธรรม ช่วยตรวจสอบ ด้วย

คลิกอ่านฉบับเต็ม http://www.decha.com/main/showTopic.php?id=5584