วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

http://www.dongjinasia.co.th/

http://www.dongjinasia.co.th/

"ปลุกยักษ์"โค้ชสิริลักษณ์ ตันสิริ จากซุปเปอร์ซิ้ม สู่โค้ชนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ในรายการ สุริวิภา

"ปลุกยักษ์" รายการ สุริวิภา : โค้ชสิริลักษณ์ ตันสิริ (TV/Busy Day) ซุปเปอร์ซิ้ม สู่โค้ชนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ

โค้ชสิริลักษณ์ ตันสิริ จากซุปเปอร์ซิ้ม สู่โค้ชนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ในรายการ สุริวิภา ออกอากาศทางช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี โค้ชสิริลักษณ์ ตันสิริ

ตอนที่2 http://www.youtube.com/watch?v=-2ZrpJgN02A&feature=related

ตอนที่3 http://www.youtube.com/watch?v=qnXeiFzv-5s&feature=related

ตอนที่4 http://www.youtube.com/watch?v=d0qO3U1ezJc&feature=related

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กลยุทธ์การเพิ่มยอดขาย โดยโค้ชสิริลักษณ์

"กลยุทธ์การเพิ่มยอดขาย" โดยโค้ช สิริลักษณ์

Part I

Part II

Part III

อะไรคืองานสำคัญที่เราต้องทำ?

อะไรคืองานสำคัญที่เราต้องทำ?

“Work Harder on Yourself than You Do on Your Job!!!”

“ทำงานกับตัวคุณเองให้มากกว่าการทำงานทั่วไป!!!”


ประโยคนี้ได้เปลี่ยนชีวิตของ จิม โรห์น กูรูระดับโลกมาแล้ว!!! เมื่อพิจารณาดูก็เห็นจริงตามนั้น คนส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ช้า หรือ ไม่ค่อยมีความสุขเท่าที่ควร เพราะเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเนื่องภายนอกตัว ซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ

คนที่เป็นวิศวกร ก็พยายามศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ คนทำบัญชี ก็พยายามเรียนรู้เรื่องภาษีให้มากที่สุด นักขาย ก็พยายามศึกษาสินค้าหรือบริการที่ตัวเองต้องนำเสนอ พวกเขาหารู้ไม่ว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสำเร็จเท่านั้น สิ่งสำคัญมากกว่านั้นก็คือ เรื่องที่อยู่ภายในตัวของเขาเองต่างหากที่ทำให้ชีวิตของเขาก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น ประสบความสำเร็จได้มากขึ้น มีความสุขเพิ่มขึ้น

อะไรคืองานสำคัญที่ต้องทำกับตัวเราเอง? .. สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ พัฒนาความคิดของตัวคุณเอง ทัศนคติในการใช้ชีวิต ความเชื่อของคุณ อารมณ์ที่คุณมีในแต่ละวัน การกระทำของคุณ การสร้างสายสัมพันธ์ของคุณ การใช้เวลาในชีวิตของคุณ การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม บุคลิกภาพของคุณ การดูแลสุขภาพของคุณ ฯลฯ สรุปรวมแล้วก็คือ การพัฒนาตัวของคุณเองในทุกๆด้าน

เราจะเห็นหลักสูตรการบริหารหลากหลายอย่าง เช่น การบริหารการเปลี่ยนแปลง การบริหารความขัดแย้ง การบริหารความเสี่ยง การบริหารการเงิน ฯลฯ แต่เรากลับไม่ค่อยเห็นหลักสูตรการบริหารตัวเอง หรือ การบริหารชีวิต ใช่ไหมคะ?

นักขายหลายคนมีความรู้เรื่องสินค้าและบริการของเขามาก อธิบายได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ปัญหามันกลับไปอยู่ที่เขาไม่ออกตลาดไปขาย ซึ่งสาเหตุอาจจะมีหลากหลายอย่างเช่น เขาอาจจะกลัวคนปฏิเสธ หรือเขาอาจจะขี้เกียจ หรือเป็นโรคชอบผัดวันประกันพรุ่ง หรือเจอปัญหาอุปสรรคมาเยอะทำให้หมดกำลังใจฯ สารพัดสารพันเหตุผล ซึ่งมันเป็นการติดขัดที่ตัวของเขาเอง จริงไหมคะ?

ดิฉันเคยไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ดิฉันต้องการซื้อแท่นชาร์ตถ่านแบตเตอรี่แบบที่สามารถชาร์ตไฟกลับมาใช่ใหม่ได้ ซึ่งที่ร้านนั้นก็มีหลากหลายแบบมาก มีทั้งรุ่นชาร์ตแบบ 2 ชม. 5 ชม. และ10 ชม. ดิฉันก็ถามพนักงานขายซึ่งเป็นผู้ชายวัยรุ่นอายุประมาณ 20 ปีเศษว่าแต่ละแบบมันใช้งานแตกต่างกันอย่างไร? เขาก็อธิบายแบบรำคาญนิดๆ ดิฉันเหลือบไปเห็นถ่านสี่เหลี่ยมที่ใช้กับไมโครโฟน ดิฉันก็หยิบมาดูราคา พบว่าราคาที่ร้านนี้สูงกว่าที่ขายในร้าน 7-11อีก ทำให้ดิฉันพาลไปคิดว่าของทุกอย่างในร้านนี้อาจจะขายแพงกว่าที่อื่นก็ได้ ดิฉันจึงพูดกับคนขายว่า ทำไมถ่านที่นี่ถึงแพงกว่าที่ 7-11ล่ะ! ชายหนุ่มคนนั้น ไม่ตอบอะไร เขามองหน้าดิฉัน แล้วเมินหน้ามองไปนอกร้าน โดยไม่สนใจดิฉันเลย!! ดิฉันรู้สึกหน้าแตกมากที่โดนปฏิบัติแบบนี้กลับมา ดิฉันจึงวางของ แล้วเดินออกจากร้านนั้นไป แล้วไปซื้อที่ร้านอื่นแทน ซึ่งดิฉันซื้อไปเป็นพันบาท เพราะดิฉันมีถ่านรีชาร์ตหลายขนาด

ดิฉันโมโหมากและคิดในใจว่า น้องเอ๋ย เธอก็คงจะต้องยืนขายของอยู่อย่างนี้ไปอีกนาน ชีวิตจะก้าวหน้าได้อย่างไรถ้าทำงานแบบนี้ ปฏิบัติกับลูกค้าแบบนี้ คิดว่าตัวเองเป็นพนักงานขายของ ก็มีหน้าที่มายืนขายหน้าร้าน ตอบคำถามลูกค้าเท่านั้นหรือ? ไม่ได้รักงานที่ตัวเองทำเลยหรือไร? ไม่เคยสนใจอยากจะบริการให้ลูกค้าประทับใจเพื่อจะได้กลับมาซื้อใหม่ใช่ไหม? หรือว่าอารมณ์ไม่ดีในวันนั้น จึงไม่มีอารมณ์จะขายไปด้วย?

พอความโกรธในใจของดิฉันลดลงแล้ว ดิฉันก็มีสติกลับมาใหม่ แล้วพิจารณาตัวเองทันทีเลยว่า ฉันพูดอะไร ฉันทำอะไรไป ทำให้เขาปฏิบัติกับฉันแบบนี้? ดิฉันก็เห็นว่า อ๋อ เราคงใช้เวลาในการเลือกนานเกินไป และเราคงถามในสิ่งที่เขาคิดว่าเราน่าจะรู้ แต่เราดันไม่รู้ เขาจึงรำคาญ อีกอย่างหนึ่งคือ เราดันไปพูดทำนองต่อว่าว่าของเขาแพงกว่าที่อื่น เขาก็คงไม่พอใจเหมือนกัน .. เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว ก็บอกตัวเองว่า วันหลังถ้าจะซื้อของก็ให้พูดกับคนขายดีๆ อย่าไปพูดทำนองต่อว่าเขา เพราะไม่มีใครอยากโดนตำหนิหรอก และเขาก็คงไม่ได้เป็นคนตั้งราคาขายเองด้วย .. คิดได้แบบนี้ เราก็สบายใจขึ้น และรู้สึกว่าตัวเองจะได้พัฒนาทักษะที่ใช้สื่อสารไปอีกขั้น

สิ่งสำคัญที่ดิฉันอยากจะบอกก็คือ เราแต่ละคนต้องพิจารณาที่ตัวของเราเอง ถ้าเรามัวแต่ไปพัฒนาคนอื่น ตัวเราเองก็อาจจะถูกละเลยในการพัฒนาไป ทำให้ชีวิตของเราประสบความสำเร็จได้ช้า หรือไม่มีความสุขเท่าที่ควร

พิจารณาเลย เวลาที่โกรธ ทำไมถึงโกรธ? เวลาเครียด ทำไมถึงเครียด? เวลากลัว ทำไมถึงกลัว? เราคิดไม่ถูกเองหรือเปล่า? เราคาดหวังอะไรมากไปหรือเปล่า? เราฟุ้งซ่านหรือตีความอะไรไปเองหรือเปล่า? เรายึดติดกับอดีตมากไปหรือเปล่า? หรือเรากังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง?

วิธี ”ดึงดูด” สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

วิธี ”ดึงดูด” สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

ตอนนี้หนังสือชื่อ “The Secret” “เดอะ ซีเคร็ต” กำลังดัง มีคนสนใจหาซื้อมาอ่านกันมากมาย ในหนังสือเล่มนี้พูดถึงเรื่องของ The Law of Attraction “กฎของการดึงดูด” ซึ่งมีอยู่ว่ามีอยู่ว่า “สิ่งที่เหมือนกันจะมีแรงดึงดูดเข้าหากัน” ดังนั้นเวลาที่คุณคิดถึงอะไร คุณก็จะดึงดูดความคิดแบบเดียวกันเข้ามาหาคุณ!!

คุณคือแม่เหล็กขนาดใหญ่!! .. คุณจะดึงดูดสิ่งที่คุณคิดถึงมากที่สุดเข้ามา .. ความคิดของคุณจะกลายเป็นความจริง!!


อะไรก็ตามที่คุณกำลังคิดอยู่ในขณะนี้ กำลังสร้างชีวิตของคุณในอนาคต สิ่งที่คุณคิดถึงมากที่สุดและเพ่งสมาธิจดจ่อมากที่สุดจะปรากฏขึ้นเป็นชีวิตจริงของคุณ!! .. จงคิดถึงแต่สิ่งที่คุณต้องการ อย่าคิดถึงสิ่งที่คุณไม่ต้องการ!

ถ้าคุณคิดถึงสิ่งดีๆ สิ่งดีๆก็จะถูกดึงดูดให้เข้ามาหาคุณ ถ้าคุณคิดถึงความร่ำรวย ความร่ำรวยก็จะเป็นของคุณ ถ้าคุณคิดว่าชีวิตมันยากลำบาก คุณต้องดิ้นรนต่อสู้ คุณก็จะได้รับประสบการณ์ที่ยากลำบากต้องดิ้นรนต่อสู้ .. อย่าลืมว่า “คิดอย่างไร ได้อย่างนั้น!”

คนส่วนใหญ่ดึงดูดสิ่งต่างๆเข้ามาอย่างอัตโนมัติ เพราะเราปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ เราไม่ค่อย“มีสติ”ในการควบคุมความคิด และมันก็เป็นการยากที่เราจะคอยควบคุมความคิดของเราตลอดเวลา เพราะวันหนึ่งๆคนเราคิดประมาณหกหมื่นเรื่อง!!

มีวิธีตวจสอบความคิดของคุณแบบง่ายๆคือ “ดูอารมณ์และความรู้สึกของคุณ” เพราะอารมณ์บอกให้คุณรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไร ตอนนี้คุณรู้สึกดีหรือรู้สึกแย่ เวลาที่คุณรู้สึกดี แสดงว่าคุณกำลังคิดเรื่องดีๆอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะรู้สึกดีในขณะที่กำลังคิดอะไรแย่ๆ!! .. ให้รู้ไว้ว่า ขณะที่คุณรู้สึกดี คุณกำลังดึงดูดสิ่งดีๆที่จะทำให้คุณรู้สึกดีเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ดังนั้นถ้าเมื่อไรที่คุณรู้สึกแย่ คุณจะต้องรีบหาวิธีที่จะเปลี่ยนความรู้สึกนั้นให้เร็วที่สุด!! อาจจะเปิดเพลงเพราะๆฟัง หรือร้องเพลงโปรดของคุณ นึกถึงสิ่งสวยงาม คิดถึงเรื่องตลก นึกถึงคนที่คุณรัก หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณชอบไป ฯลฯ

ความรักเป็นอารมณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด! ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป หากคุณสามารถรักทุกสิ่งทุกอย่างและรักทุกคนได้ ยิ่งคุณส่งกระจายความรักออกไปมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งมีพลังอำนาจมากขึ้นเท่านั้น!

ชีวิตและทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตถูกสร้างขึ้นด้วยตัวของคุณเอง! กฎแห่งการดึงดูดคอยรับฟังคุณตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะคิด พูด หรือทำอะไร จักรวาลนี้จะเข้าใจว่าคุณทุกอย่างที่คุณคิด พูด และทำ คือสิ่งที่คุณต้องการ!

กระบวนการสร้างสิ่งที่คุณปรารถนา

ขั้นที่ 1 : ขอ .. จงขอต่อจักรวาล บอกให้จักรวาลรู้ว่าคุณต้องการอะไร เขียนสิ่งที่คุณต้องการลงไปในแผ่นกระดาษ เขียนในรูปปัจจุบันกาลด้วย

ขั้นที่ 2 : เชื่อ .. จงมีศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ยังมองไม่เห็น เชื่อว่าสิ่งที่คุณขอนั้นเป็นของคุณแล้ว คุณจะต้องคิด พูด และทำ ราวกับว่าคุณกำลังได้รับสิ่งนั้นอยู่ในตอนนี้ คนส่วนใหญ่ไม่ปล่อยให้ตัวเองนึกอยากได้สิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ เพราะมองไม่เห็นว่าสิ่งนั้นจะเป็นจริงขึ้นได้อย่างไร คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าทำอย่างไร สิ่งต่างๆจะปรากฏให้คุณเห็นเอง คุณจะดึงดูดหนทางเข้ามาหาตัวคุณเอง!!

ขั้นที่ 3 : รับ .. จงรู้สึกดี มีความสุข และปลาบปลื้มยินดีแบบเดียวกับที่คุณจะรู้สึกเมื่อเกิดสิ่งนั้นขึ้นจริงๆ การรู้สึกดีตั้งแต่ตอนนี้จะนำคุณเข้าไปอยู่ในคลื่นความถี่เดียวกับสิ่งที่คุณต้องการ

สิ่งสำคัญต่อไปที่คุณต้องทำก็คือ “การสำนึกคุณ”!!!

เวลาที่คุณให้สิ่งดีๆกับใครแล้วเขาขอบคุณคุณกลับมา คุณรู้สึกดีใช่ไหม? และคุณก็อยากจะให้สิ่งดีๆกับเขาเพิ่มมากขึ้นอีกใช่หรือไม่? เช่นเดียวกัน เวลาที่เราได้รับสิ่งดีๆที่จักรวาลมอบให้ แล้วเราขอบคุณต่อจักรวาล จักรวาลก็จะมอบสิ่งดีๆเพิ่มให้เราอีก ที่สำคัญก็คือ เวลาที่เราขอบคุณ ให้ใจของเรารู้สึกถึงความโชคดีที่เรากำลังได้รับสิ่งดีๆอยู่ แล้วเราก็จะดึงดูดสิ่งดีๆเพิ่มมากขึ้นอีก

ดังนั้นจงเริ่มสำนึกคุณในสิ่งที่คุณมีอยู่แล้ว! ไม่ใช่พร่ำบ่นถึงแต่สิ่งที่คุณยังไม่มี!!

อีกวิธีที่มีพลังมากคือ การขอบคุณล่วงหน้าราวกับว่าคุณได้รับสิ่งที่คุณต้องการแล้ว!!

สิ่งที่คุณต้องทำต่อไปก็คือ การสร้างมโนภาพในใจว่าคุณกำลังได้รับสิ่งที่คุณต้องการ คุณจะต้องให้ตัวเองสัมผัสกับ“ความรู้สึกดีๆ” ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความรัก ความสดชื่นรื่นรมย์ฯ จริงๆแล้วความรู้สึกต่างหากที่ก่อให้เกิดแรงดึงดูด ไม่ใช่แค่ภาพหรือความคิด!

ตกลงใจว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ เชื่อมั่นว่าคุณมีสิ่งนั้นได้ เชื่อมั่นว่าคุณสมควรได้รับสิ่งนั้นและมันเกิดขึ้นได้จริงๆ แล้วหลับตาลงเป็นเวลาหลายๆนาทีทุกๆวัน เพื่อสร้างมโนภาพว่าคุณมีสิ่งที่ต้องการแล้ว และจงรู้สึกถึงความรู้สึกแห่งการมีสิ่งนั้นอยู่ในครอบครอง จากนั้นก็ลืมตาขึ้น รวมศูนย์รวมความคิดไปยังสิ่งที่คุณรู้สึกสำนึกคุณอยู่ก่อนแล้ว ชื่นชมกับสิ่งเหล่านั้นจริงๆ จากนั้นก็เริ่มต้นวันโดยเปล่งคลื่นความคิดออกไปในจักรวาล ด้วยความเชื่อมั่นว่าจักรวาลจะต้องหาทางทำให้สิ่งที่คุณต้องการปรากฏขึ้นจนได้!!!

ถ้าอยากมั่งคั่งร่ำรวย ให้รวมศูนย์ความคิดไปที่ความมั่งมีศรีสุข จินตนาการว่าคุณมีเงินเท่าที่ต้องการแล้ว และให้รู้สึกมีความสุขตั้งแต่ตอนนี้ เพราะนี่คือทางลัดที่สุดที่จะชักนำเงินทองเข้ามาในชีวิตคุณ!!!

ดิฉันแนะนำให้คุณไปซื้อหนังสือ “The Secret” มาอ่าน และลงมือปฏิบัติตามที่หนังสือแนะนำด้วยนะคะ! แล้วคุณจะได้พบกับความมหัศจรรย์ค่ะ!!

เสียงสะท้อนของชีวิต

เสียงสะท้อนของชีวิต

เมื่อเร็วๆนี้ดิฉันได้รับ email ที่เพื่อนส่งมาให้ ชื่อเรื่องว่า “The Echo of Life .. เสียงสะท้อนของชีวิต” ซึ่งดีมากๆ ดิฉันจึงนำมาเล่าสู่คุณผู้อ่านในฉบับนี้ เรื่องมีอยู่ว่า ..

มีชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้าไปในป่ากับลูกชายของเขา จู่ๆลูกชายเกิดเจ็บแปล๊บขึ้นมาจึงตะโกนร้องออกไปว่า “โอ๊ย!” แล้วเขาก็รู้สึกประหลาดใจเพราะได้ยินเสียงดังออกมาจากภูเขาว่า “โอ๊ย..” ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงตะโกนถามไปว่า “คุณแป็นใคร?” แล้วเขาก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า “คุณเป็นใคร?..” เจ้าลูกชายรู้สึกโกรธมากจึงตะโกนด่าออกไปว่า “ไอ้คนขี้ขลาด!” แล้วเขาก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า “ไอ้คนขี้ขลาด..”

ลูกชายมองหน้าพ่อของเขาแล้วถามว่า “มันเกิดอะไรขึ้นครับพ่อ?” ผู้เป็นพ่อบอกว่า “ตั้งใจฟังให้ดีๆนะลูก” แล้วผู้เป็นพ่อก็ตะโกนออกไปว่า “ฉันชื่นชมคุณ” เสียงนั้นก็ตอบกลับมาว่า “ฉันชื่นชมคุณ” ผู้เป็นพ่อตะโกนออกไปอีกว่า “คุณสุดยอดมาก” เสียงนั้นก็ตอบกลับมาว่า “คุณสุดยอดมาก” แล้วผู้เป็นพ่อก็บอกกับลูกชายว่า “สิ่งนี้เขาเรียกว่า “เสียงสะท้อน” ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันก็คือ “ชีวิต”นั่นเอง”

ชีวิตจะ“ให้”ในสิ่งที่คุณได้“ให้”ออกไปเสมอ ชีวิตเป็นกระจกสะท้อนการกระทำของคุณ

ถ้าคุณ”ต้องการ”ความรัก “ให้”ความรักของคุณออกไปก่อน .. ถ้าคุณ”ต้องการ”ความเมตตากรุณามากกว่าเดิม คุณต้อง”ให้”ความเมตตากรุณามากขึ้น .. ถ้าคุณ”ต้องการ”ความเข้าใจและความเคารพนับถือ “ให้”ความความเข้าใจและความเคารพนับถือ .. ถ้าคุณ”ต้องการ”ให้คนอื่นอดทนและให้เกียรติคุณ คุณต้อง”ให้”ความอดทนและให้เกียรติผู้อื่น .. กฎของธรรมชาติข้อนี้ใช้ได้กับทุกแง่มุมของชีวิต

ชีวิตจะ”ให้”กลับคืนในสิ่งที่คุณได้”ให้”ออกมาเสมอ “ชีวิต”ไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ แต่”ชีวิต”เป็นกระจกสะท้อนสิ่งที่คุณได้ทำลงไป!

เป็นบทเรียนที่ดีมากเลยใช่ไหมคะ? ลองดูซิคะว่าตอนนี้ชีวิตของคุณเป็นอย่างไร? มีความสุขหรือมีความทุกข์มากกว่ากัน? คนอื่นเขาดีกับคุณหรือทำไม่ดีกับคุณ? งานของคุณก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้า? แล้วลองมองย้อนไปดูว่าคุณได้ทำอะไรไว้จึงได้รับผลที่ได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้?

ถ้าคุณมีความสุข แสดงว่าคุณเป็นคนมองโลกในแง่บวก ถ้าคุณมีความทุกข์ แสดงว่าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ลบ ถ้าคนอื่นเขาดีกับคุณ แสดงว่าคุณดีกับเขามาก่อน แต่ถ้าคนอื่นทำไม่ดีกับคุณ แสดงว่าคุณเคยทำไม่ดีกับเขาเอาไว้ (อาจจะทำไปโดยไม่รู้ตัว) ถ้างานของคุณก้าวหน้า แสดงว่าคุณเอาใจใส่ทุ่มเทเป็นอย่างดี ถ้างานของคุณไม่ก้าวหน้า แสดงว่าคุณยังเอาใจใส่ทุ่มเทไม่มากพอ! .. มันเป็นเช่นนั้นหรือไม่คะ?

ความจริงแล้วเราคงเคยได้ยินได้ฟังมาว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” .. “ใครทำกรรมใดไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น” .. “สร้างเหตุที่ดี แล้วผลที่ดีก็จะตามมาเอง” มันเป็นหลักการเดียวกันกับเรื่องเสียงสะท้อนของชีวิตที่เล่ามาข้างต้น ดังนั้นพวกเราน่าจะดีใจที่กฎธรรมชาติมันเป็นแบบนี้ เพราะว่า ถ้าเราอยากได้ผลลัพธ์อะไร เราก็สร้างเหตุของมันขึ้นมาได้เองเดี๋ยวนี้เลยจริงไหมคะ?

ถ้าเราอยากให้คนอื่นยิ้มให้เรา เราก็ยิ้มให้คนอื่นก่อน ถ้าเราอยากให้คนอื่นพูดดีๆกับเรา เราก็พูดดีๆกับคนอื่นก่อน ถ้าเราอยากให้ทีมงานของเราขยัน เราก็ขยันให้เขาดูก่อน ถ้าเราอยากสำเร็จ เราก็ต้องมุ่งมั่นทุ่มเทก่อน!!! .. ว้าว! .. ชีวิตอยู่ในกำมือของเรานี่นา!!

ถ้าชีวิตอยู่ในกำมือเรา แล้วเราจะสร้างชีวิตของเราอย่างไรดีล่ะคะ? คุณอยากเห็นชีวิตของคุณเป็นแบบไหน? คุณอยากให้คนอื่นพูดถึงคุณว่าอย่างไร? คุณจะมีความรู้สึกอย่างไร ถ้าคุณทำได้ในทุกสิ่งที่คุณอยากจะทำ? เขียนมันออกมาเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า! .. เฮ้! .. ชีวิตที่ฉันปรารถนา!

เวลาที่คุณมีแรงบันดาลใจอะไรบางอย่าง อย่าปล่อยให้มันผ่านเลยไปนะคะ! ต่อไปนี้ขอให้คุณพกสมุดเล่มเล็กๆติดตัวไว้ เวลาที่คุณมีแรงบันดาลใจเรื่องอะไร หรือมีความคิดอะไรดีๆแว๊บขึ้นมา หรือประทับใจ หรือมีความสุขเรื่องอะไร ให้รีบจดบันทึกไว้! คุณรู้ไหมคะว่า “ปัญญาญาณ” จะเกิดตอนที่จิตใจเรานิ่ง สงบ เบาสบาย มีความสุข .. บางครั้งความคิด หรือไอเดียดีๆมันจะแว๊บขึ้นมา ถ้าเราไม่จดไว้มันก็จะหายไป!

นับจากวันนี้ไป ขอให้คุณตั้งใจมั่นกับตัวเองว่าจะ คิด พูด ทำ แต่ในสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่น เป็น”ผู้ให้”โดยไม่ต้องหวังสิ่งตอบแทน ช่วยเหลืออะไรใครได้ ขอให้ช่วยเท่าที่กำลังของเราทำได้ เราสามารถจะ”ให้”ได้มากมายหลายอย่าง เช่น ให้ความรัก ให้รอยยิ้ม ให้ความสุข ให้กำลังใจ ให้คำปรึกษา ให้เงิน ให้เวลา เราให้อะไรก็ได้ และการให้ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ให้อภัย! .. ให้อภัยแม้กระทั่งคนที่คุณเกลียด คนที่ทำไม่ดีกับคุณ และที่สำคัญคือ คุณต้องให้อภัยตัวเองด้วย! .. นี่คือสิ่งที่สุดยอดที่สุดแล้ว! .. โชคดีค่ะ!

จดหมายนี้สำหรับ..(ตอนที่ 2)

จดหมายนี้สำหรับ ... (ตอนที่ 2)

ดิฉันขอทบทวนจดหมายในตอนที่ 1 สักนิดนะคะ.. มีผู้ชายคนหนึ่งเขียนมาถามดิฉันว่าเขาจะปลุกใจตัวเองขึ้นมาได้อย่างไรถ้าชีวิตเขาเริ่มจากติดลบคือมีหนี้สินอยู่มาก? ดิฉันก็บอกว่าก่อนอื่นให้เขายอมรับหรือทำใจให้ได้ก่อนว่าเขามีหนี้สินอยู่จริง อย่ารู้สึกต่อต้านหรือหดหู่ใจ แล้วให้มองไปข้างหน้าว่าเขาจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น ประกาศความตั้งใจออกมาอย่างเข้มแข็งจริงจัง!! .. และนี่คือคำแนะนำที่ดิฉันมีให้กับเขาต่อไป ..

สิ่งที่ดิฉันแนะนำให้คุณลงมือปฏิบัติ มีดังนี้

1. มองไปข้างหน้าในอนาคต ในสิ่งที่จะทำต่อไปให้ดีขึ้น วางปัญหาให้อยู่กับอดีตไว้ก่อน นี่ไม่ใช่เป็นการหนีปัญหา แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เมื่อเราก้าวเดินไปข้างหน้า เราเริ่มมีรายได้เข้ามา ให้แบ่งบางส่วนไปชำระหนี้ แต่ ให้เจรจาจ่ายหนี้ให้น้อยที่สุด ขอยืดระยะเวลาออกไปให้ได้นานที่สุด ไม่ต้องรีบจ่าย ขอความเห็นใจเขา เพราะคุณจำเป็นต้องเก็บเงินบางส่วนไว้ลงทุนต่อไปอีก และอย่าเอาเงินไปซื้อของที่ไม่ก่อให้เกิดเงินกลับเข้ากระเป๋า เช่น บ้าน รถ ฯ อย่าคิดว่าคุณไม่อยากขึ้นชื่อว่าติดหนี้ใคร จึงอยากรีบๆใช้หนี้ให้หมดๆ เพราะมันไม่ใช่วิธีบริหารเงินที่ถูกต้อง จะขึ้นชื่อว่าเป็นหนี้ ก็ไม่เป็นไร คุณไม่ตายเพราะคำๆนี้หรอก แต่คุณจะอดตายถ้าไม่มีเงินใช้ เข้าใจไหมคะ?

และอย่าคิดเบี้ยวหนี้ด้วย เราต้องรับผิดชอบ แต่ขอให้เขาลดหนี้ลงให้เหลือน้อยที่สุด แสดงความจริงใจว่าเราจะพยายามใช้คืนให้ แต่ขอประนอมหนี้และยืดเวลาออกไป

2. ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา ให้ลุกจากที่นอนทันที (ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก แต่ถ้าคุณตั้งใจ

คุณทำได้แน่) ฉลอง “YES” ทันที บอกกับตัวเองว่า “ฉันทำได้” ด้วยน้ำเสียงที่มี

ชัยชนะและฮึกเหิม ลุกขึ้นจากเตียง แล้วให้ออกไปฝึกเดิน

3. ฝึกเดินแบบมีพลัง เดินยืดอกมั่นใจ ใส่พลังไปในทุกฝีก้าวที่เดิน เดินให้เร็วขึ้นๆ

ทำ 10 นาทีแล้วเริ่มพูด

4. ในระหว่างที่เดินให้พูดออกเสียงดังๆกับตัวเองว่า “ฉันมีพลัง ฉันเชื่อมั่น ฉันทำได้” “ฉันเก่งที่สุด ฉันเยี่ยมที่สุด ฉันรักตัวฉัน ฉันจะดูแลตัวฉันให้ดีที่สุด” คุณจะพูดอะไรก็ได้ที่เป็นการให้พลังกับตัวเอง สร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง ให้ทำ 10 นาที

5. ต่อไป ให้เริ่มเดินผ่อนคลาย ทำจิตใจให้โปร่งๆเบาสบาย แล้วเริ่มพูดขอบคุณทุกสิ่งที่อยู่ในชีวิตของคุณ ใส่ความรู้สึกเข้าไปสัมผัสจริงๆว่าคุณอยากจะขอบคุณ เริ่มจาก ...

ฉันขอขอบคุณต่อพ่อแม่ที่ให้กำเนิดฉันมา

ฉันขอขอบคุณต่อศาสนาที่ฉันยึดมั่น

ฉันขอขอบคุณต่อครอบครัวของฉันทุกคนที่น่ารักมาก

ฉันขอขอบคุณต่อร่างกายของฉันที่แข็งแรงสุดยอดมาก

ฉันขอขอบคุณต่อปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของฉัน

มันทำให้ฉันได้เรียนรู้ เติบโต และแข็งแกร่งมากขึ้น

ฉันขอขอบคุณต่อความมุ่งมั่นของฉัน ฉันจะทำให้ความฝันของฉันปรากฏเป็นจริง

ฉันขอขอบคุณต่อครูบาอาจารย์และโค้ชทุกคนของฉัน

ฉันขอขอบคุณต่อ ....... (แล้วแต่ที่คุณอยากจะขอบคุณ)

การสำนึกคุณ หรือ การขอบคุณ เป็นพลังด้านบวกที่ยิ่งใหญ่มากๆ เป็นพลังที่จะดึงดูดสิ่งดีๆทั้งหลายเข้ามาในชีวิตของคุณ เมื่อคุณรู้สึกสัมผัสได้จริงๆว่าคุณขอบคุณจากส่วนลึกของจิตใจ ข้างในใจของคุณจะเริ่มอิ่มเอม คุณจะรู้สึกว่าคุณเป็นคนโชคดี ที่คุณมีสิ่งดีๆต่างๆเหล่านี้ในชีวิต คุณจะมีความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมอยู่ข้างในใจ คุณจะใช้ชีวิตแบบมีความสมบูรณ์พร้อม มั่งคั่งในหัวใจ คุณจะรู้สึกว่าคุณเป็นคนโชคดี คุณยังโชคดีกว่าอีกหลายล้านชีวิตบนโลกใบนี้ คุณพร้อมจะเป็นผู้ให้ ข้างในใจของคุณจะไม่รู้สึกขาดแคลนอีกต่อไป คุณจะเริ่มรักชีวิตของคุณมากขึ้น คุณจะเริ่มสร้างสรรค์สิ่งดีงามมากขึ้น คุณจะเริ่มเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่แบ่งปันมากขึ้น และนั่นจะทำให้คุณมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม ไม่ว่าคุณจะมีเงินอยู่ในกระเป๋าเท่าไรก็ตาม นี่คือความมั่งคั่งที่แท้จริง!!!

6. ต่อไป ให้เริ่มจินตนาการหรือใส่ความรู้สึกถึงอนาคตที่คุณอยากให้มันเกิด คุณอยาก

เห็นภาพชีวิตของคุณ ภาพความสำเร็จของคุณในอนาคตอีก 1 ปี ข้างหน้าว่าเป็น

อย่างไร? นึกเห็นภาพให้ชัดเจน คุณอยู่กับใคร? คุณทำอะไร? คุณมีรายได้เท่าไร?

คนอื่นพูดถึงคุณว่าอย่างไร? เขาชื่นชมคุณว่าอย่างไร? ให้คุณเข้าไปสัมผัสกับอารมณ์

ความรู้สึกตรงนั้น ให้เสมือนจริงเลยว่าคุณกำลังมีชีวิตเช่นนั้นแล้วในขณะนี้ คุณยิ้ม

อย่างมีความสุขขนาดไหน? คุณมีความรู้สึกอย่างไร? ให้อยู่กับภาพและความรู้สึกนั้น

ประมาณ 10 นาที

7. ฉลองให้กับวันที่ดีที่สุดอีกวันหนึ่งในชีวิตของคุณ ฉลอง “YES” ให้กับตัวเอง กระโดด

โลดเต้น แบบสุดเหวี่ยง แบบสุดฤทธิ์สุดเดช ให้กับวันนี้ที่จะมาถึง YES YES YES !!!

เอาล่ะ .. เริ่มต้นเท่านี้ก่อน หวังว่าการโค้ชของดิฉันจะทำให้คุณมีชีวิตที่คุณปรารถนา แต่ทั้งหมดนี้ ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองเท่านั้น ที่จะทำให้มันปรากฏเป็นจริง!!!

คุณมีพลัง .. โค้ชเชื่อมั่น .. คุณทำได้ !!!

จดหมายฉบับนี้สำหรับทุกคนที่ต้องการกำลังใจ

จดหมายฉบับนี้สำหรับทุกคนที่ต้องการกำลังใจ ต้องการสติปัญญา ต้องการทำชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ .. จดหมายฉบับนี้สำหรับคุณด้วยค่ะ!!!

มีผู้ชายคนหนึ่งเขียน email มาหาดิฉันบอกว่า ...

“ผมเข้าอบรมกับอาจารย์เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.48 ประทับใจที่อาจารย์สอนมากครับ แต่มีข้อสงสัยคือ กรณีคนทั่วไปที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่มต้นจากศูนย์ การปลุกยักษ์ขึ้นมาอาจจะไม่ใช่เรื่องยากมากนัก แต่กรณีที่มีทุกข์อยู่มากๆ เช่น เรากำลังมีหนี้สินอยู่มากๆ เป็นต้น และคิดว่าตัวเองอยู่ในขั้นติดลบ ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ การปลุกใจตัวเองขึ้นมาเป็นเรื่องที่ยากมากเลยครับ พยายามที่จะทำอย่างอาจารย์สอนคือ เปลี่ยนจากความเจ็บปวดให้เป็นพลัง นั้นทำได้ยากมาก เพราะเราไม่มีหลักยึดเลย อยากถามว่ากรณีเช่นนี้ เราจะมีหลักคิดอย่างไรครับ เราจะพึ่งหรือวางความรู้สึกไว้ที่ใด จึงจะถีบตัวเองจากความรู้สึกที่ติดลบ และเกิดโมเมนตั้ม อย่างที่อาจารย์สอนได้ครับ ขอบพระคุณมากครับ”

ดิฉันตอบเขาไปว่า ...

ก่อนอื่นขอให้เราทำความเข้าใจในชีวิตของเราก่อนว่า แท้ที่จริงแล้วเราเกิดมาทำไม? และเราจะสร้างสรรค์อะไรให้แก่โลกใบนี้? ถ้าคุณเป็นชาวพุทธ คุณคงจะพอทราบว่า คนเรามีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ใครทำกรรมใดไว้ไม่ว่าจะดีหรือเลวก็ตาม ย่อมต้องได้รับผลกรรมนั้น เมื่อทราบเช่นนี้ เราคงต้องยอมรับต่อผลของกรรมที่เรากำลังได้รับอยู่นี้ เราอาจจะเคยทำกรรมไม่ดีเอาไว้ตั้งแต่ชาติก่อนก็ได้ ซึ่งถ้าเรายอมรับในสิ่งที่มันเกิดขึ้นว่าเราเป็นผู้ก่อไว้นานแล้ว ก็ O.K. ถ้าเรายอมรับได้เช่นนี้จิตใจของเราก็จะไม่ถูกบีบรัด ไม่เกิดความรู้สึกต่อต้าน หรือคร่ำครวญรันทดกับตัวเองว่า ทำไมถึงต้องเป็นเรา? (คำถามว่า “ทำไม” จะทำให้เราวกวนและจมอยู่กับปัญหา ซึ่งไม่ควรใช้คำถามกับตัวเองแบบนี้ เพราะไม่ก่อให้เกิดสติปัญญา)

เมื่อจิตใจปล่อยวาง ยอมรับในสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น จิตจะเริ่มนิ่ง ผ่อนคลาย และจะเริ่มมีพลังขึ้นมาใหม่ มันอาจจะทำใจได้ยากในตอนแรก แต่เราก็ต้องพยายามบอกตัวเองให้ยอมรับและปล่อยวาง เราเกิดมาเพื่อเป็นผู้ดูสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราเท่านั้น อย่าไปยึดว่านี่คือตัวเรา นี่คือชีวิตของเราที่แท้จริง ถ้าเราเป็นเพียงแค่ผู้ดูและผู้รู้ จิตของเราก็จะนิ่งขึ้น ไม่ว่าเกิดเรื่องดีผ่านเข้ามาในชีวิตเรา เราก็แค่ดู รับรู้ แล้วก็ผ่านไป ไม่ว่าเกิดเรื่องไม่ดีผ่านเข้ามาในชีวิตเรา เราก็แค่ดู รับรู้ แล้วก็ผ่านไป ดูและรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีละเหตุการณ์ทีละเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ อย่าไปคิดว่า “เรื่องนี้ไม่น่าเกิดขึ้นเลย เรื่องนั้นไม่น่าเกิดขึ้นเลย” เรื่องที่เกิดขึ้นก็คือเรื่องที่เกิดขึ้น แค่นั้น จบ.

เมื่อจิตเราไม่ถูกบีบรัดแล้ว จิตเราจะเริ่มนิ่ง ผ่อนคลาย เป็นกลางๆ โล่งๆ ว่างๆ หลังจากนั้น จิตเราจะเริ่มมีพลัง ให้เราเริ่มคิดว่า ตัวเราเองนั้นอยากจะเป็นคนแบบไหน? อยากจะเป็นคนมีนิสัยอย่างไร? (ก่อนที่จะไปคิดว่าเราอยากจะทำอะไร) เมื่อพิจารณาดีแล้ว ให้เขียนลงสมุดหรือบอกกับตัวเองอย่างจริงจังว่า “ฉันจะเป็นคนที่ .............. เช่น ขยัน มุ่งมั่น อดทน รับผิดชอบ กล้าหาญ มีเมตตากรุณา เต็มเปี่ยมด้วยความรักและความปรารถนาดีต่อผู้อื่น เป็นคนที่มีพลังชีวิต ฯลฯ” (ขอให้เป็นคนที่คุณอยากจะเป็นให้ได้จริงๆ ซึ่งไม่จำเป็นว่าตอนนี้คุณจะเป็นเช่นนั้นหรือยัง แต่เป็นตัวคุณในอุดมคติที่คุณอยากจะเป็น)

ต่อไปให้สำรวจชีวิตของคุณที่เป็นอยู่ และให้มองไปข้างหน้า แล้วเริ่มถามคำถามที่ก่อให้เกิดสติปัญญาว่า

เราอยากให้ชีวิตของเราในอนาคตเป็นอย่างไร?

เราจะทำอะไรให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้บ้าง?

มีใครที่เราพอจะไปขอความช่วยได้บ้าง? ใครจะช่วยสนับสนุนเราได้บ้าง?

เรามีความสามารถอะไรบ้าง? เราชอบหรือเราสนใจเรื่องใดเป็นพิเศษบ้าง?

เราจะหางาน หาเงินจากวิธีไหนได้บ้าง? หรือหาจากที่ไหนได้บ้าง?

ใครเป็นลูกค้าของเราได้บ้าง? ตลาดใหม่ๆของเราอยู่ที่ไหนบ้าง?

เรามีความสามารถอะไรที่พอจะช่วยเหลือคนอื่นได้บ้าง? (นำไปทำเป็นงานและเป็นเงิน)


ดิฉันไม่รู้ว่าคุณมีความมุ่งมั่นตั้งใจแค่ไหน ที่จะพัฒนาชีวิตของคุณให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ คุณมีความใฝ่ฝันอะไรในชีวิต? คุณอยากประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรบ้าง? คุณอยากให้คนอื่นพูดถึงคุณว่าอย่างไรบ้าง? ตอบคำถามเหล่านี้ให้ชัดเจนกับตัวเองก่อน ! คุณอยากได้มันจริงๆหรือเปล่า? คุณอยากได้มันอย่างแรงกล้าหรือเปล่า? คุณกล้าแลกที่ต้องฝืนตัวเองให้เริ่มทำในสิ่งที่คุณไม่เคยทำไหม? คุณยอมทุ่มเทให้กับการฝึกฝนตัวเองไหม? ถ้าคุณตั้งใจจริง ก็ให้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ โดยบอกกับตัวเองดังๆอย่างเข้มแข็งและหนักแน่นว่า “นับจากนี้ไป ฉันจะเป็นคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของความตั้งใจ ของความมุ่งมั่น ของความอดทน ของความพากเพียรพยายาม ฉันจะทำจนกว่า ความฝันของฉันเป็นจริง ฉันมีพลัง ฉันเชื่อมั่น ฉันทำได้!!!” ประกาศให้ยักษ์ที่ยิ่งใหญ่ในตัวคุณได้รับรู้ .. ลงมือทำทันทีเดี๋ยวนี้!!!

จดหมายฉบับนี้ยังไม่จบ เอาไว้ติดตามอ่านกันต่อไปในฉบับหน้านะคะ!

ชัยชนะเริ่มจากภายใน

ชัยชนะเริ่มจากภายใน

ท่านคิดว่า“ต้นไม้”ที่ออกดอกออกผลดกๆนั้น ส่วนไหนของต้นไม้ที่ต้องแข็งแรงที่สุด? คำตอบก็คือ “ราก” ใช่ไหมคะ? รากของต้นไม้เป็นสิ่งที่อยู่ใต้พื้นดินมองไม่เห็น แต่มันสร้างสิ่งที่มองเห็นคือผลไม้ ชีวิตของคนเราก็เหมือนกัน “ผลลัพธ์”ในชีวิตที่มองเห็นไม่ว่าจะเป็น เงินทอง ความสุข ความสำเร็จ และสายสัมพันธ์ที่ดี ก็มาจากสิ่งที่มองไม่เห็นคือ “ความคิด”

การที่เราจะสร้างผลลัพธ์ในชีวิตนั้น เราต้องเรียนรู้ขั้นตอนของมันก่อนว่าอะไรที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา เริ่มอันดับแรกคือ“ความคิด” ซึ่งมันจะส่งผลไปสู่ “อารมณ์หรือความรู้สึก” และเมื่อเรามีอารมณ์หรือความรู้สึกบางอย่างมันก็จะส่งผลไปสู่ “การกระทำ” และเมื่อเราได้ลงมือทำอะไรบางอย่าง “ผลลัพธ์” จึงเกิดขึ้น สรุปเป็นขั้นตอนได้ดังนี้คือ 1.ความคิด (thought) 2. อารมณ์/ความรู้สึก (emotion/feeling) 3.การกระทำ (action) 4.ผลลัพธ์ (result) ดังนั้น ถ้าเราต้องการเปลี่ยนผลลัพธ์ในชีวิต เราต้องเปลี่ยนที่“ความคิด”

เวลาที่เรามีอารมณ์หรือความรู้สึกอะไรบางอย่าง มันสะท้อนถึง“ความคิด”ของเรา และการที่เราลงมือทำหรือไม่ทำอะไร ก็มีต้นเหตุมาจาก“วิธีคิด”ของเราอีกเช่นกัน สมมติว่า เจ้านายมอบหมายงานชิ้นใหม่มาให้เราทำ เราคิดอย่างไรกับเรื่องนี้? ถ้าเราคิดว่า “เจ้านายใช้แต่เราอยู่คนเดียว แกล้งเราหรือเปล่าเนี่ย!” ถ้าเราคิดแบบนี้ อารมณ์ความรู้สึกของเราก็จะหงุดหงิด โกรธ ไม่พอใจ ไม่ชอบเจ้านายคนนี้ การทำงานของเราก็จะเบื่อ เซ็ง ซังกะตายทำ เพราะใจเราไม่อยากทำ ผลลัพธ์ก็คือ ผลงานออกมาไม่ดี ไม่เป็นที่น่าพอใจ ชีวิตไม่ก้าวหน้า แต่ถ้าเราคิดว่า “เจ้านายไว้วางใจเรา เห็นฝีมือเรา เราได้ฝึกฝนตัวเองมากขึ้น เรามีโอกาสได้สร้างผลงานเพิ่มขึ้น!” ว้าว! อารมณ์ความรู้สึกของเราก็จะแจ่มใส มีชีวิตชีวา เราก็จะกระตือรือร้นในการทำงาน ผลลัพธ์ก็จะออกมาดี ผลงานเป็นที่น่าพอใจของเจ้านาย ได้รับคำชม ชีวิตก้าวหน้า

ถ้าท่านสังเกตให้ดีจะพบว่า ชีวิตของเรา ผู้คนที่เราพบเจอ สถานการณ์ที่เราต้องเผชิญ จะดีหรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับ “มุมมอง” และ “วิธีคิด” ของเรา! ถ้าเราเจอปัญหาและอุปสรรคแล้วเราคิดว่า “เราโชคดี ที่ได้เรียนรู้ เราจะได้เติบโต และแข็งแกร่งมากขึ้น” เราก็จะมีความสุขและกล้าที่จะเข้าไปเผชิญกับมัน แต่ถ้าเราคิดว่า “เราโชคร้าย ทำไมชีวิตฉันถึงต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้” เราก็จะทุกข์ใจและอยากจะหนีไปให้ไกลๆจากปัญหาเหล่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว “สิ่งที่เกิดขึ้น“ ก็คือ “สิ่งที่เกิดขึ้น” มีแต่เราเท่านั้นที่เป็นคน “คิด” ว่า สิ่งนั้น“ดีหรือไม่ดี“ ทุกอย่างจึงอยู่ที่ “มุมมอง”และ”วิธีคิด” ของเราทั้งสิ้น! เราต้อง“ฝึกสติ”ที่จะดู“ความคิด”ของเรา และสอนตัวเราเองไปเรื่อยๆ เวลาที่เราเฝ้ามอง ให้ฝึกคิดต่อไปด้วยว่า ถ้าเราคิดแบบนี้ การกระทำ และผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร และถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดใหม่เป็นอีกอย่างหนึ่ง การกระทำและผลลัพธ์ของจะออกมาเป็นอย่างไร ขอให้ฝึกพิจารณาเรื่องของ “การสร้างเหตุ” และ “การได้รับผล” ไปด้วย ฝึกบ่อยๆ ปัญญาก็จะเกิด!

นอกจากเรื่อง“ความคิด”แล้ว “อารมณ์และความรู้สึก”ของเราก็มีอิทธิพลต่อการ “ลงมือทำ” ของเราเช่นกัน จำไว้ว่า “มนุษย์ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์” ถ้าเรามีสภาวะอารมณ์ที่ดี มันจะส่งผลให้เรามีการกระทำที่น่าจะเป็นบวก แต่ถ้าเรามีอารมณ์ที่ไม่ดี มันจะส่งผลให้เรามีการกระทำที่อาจจะเป็นลบ .. “อารมณ์”คือกระจกที่สะท้อนถึง“ความคิด”ของเรา .. ดังนั้น เราต้องหมั่นสังเกตดู อารมณ์และความรู้สึกของเราอยู่เสมอ แล้วค้นหาถึงต้นตอ คือ“ความคิด”ว่า เราคิดอะไร เราถึงมีอารมณ์เช่นนี้

ถ้าเรามีอารมณ์ที่เป็นลบ เราจะต้องรีบ“ปล่อยวาง” และอย่าสับสนนะคะ “ปล่อยวาง ไม่ใช่ ปล่อยปละ .. ละวาง ไม่ใช่ ละเลย .. ยอมรับ ไม่ใช่ ยอมแพ้” กรุณาแยกแยะให้ดีๆ บางคนได้ยินคำว่า “ปล่อยวาง” ก็ทิ้งงานไปเลย ไม่สนใจแล้ว อันนี้ไม่ใช่ การปล่อยวางนะคะ! เวลาที่เราบอกว่า ให้ปล่อยวาง มันมีความหมายในวงเล็บต่อท้ายว่า “ปล่อยวาง (อารมณ์ลบ)” การปล่อยวาง เป็นศิลปะชั้นสูงที่จะต้องอาศัยการฝึกฝนเป็นอย่างมาก และเราสามารถที่จะปล่อยวางได้ ถ้าเรารู้“วิธีคิด” คนส่วนใหญ่จะเป็น“โรคเครียด”กันเยอะ และมันก็จะพาลไปกระทบถึงสุขภาพทางร่างกายด้วย โดยเฉพาะผู้บริหารที่มีภาระความรับผิดชอบสูง “โรคเครียด” ก็จะสูงตามไปด้วย ถ้าใครสนใจจะเชิญดิฉันไปบรรยายในหัวข้อ “ศิลปะการปล่อยวาง” ก็ได้นะคะ!

ส่วนที่สำคัญมากๆๆๆอีกอย่างในการสร้างผลลัพธ์ก็คือ “การลงมือทำ” .. คนส่วนใหญ่อยากจะได้ผลลัพธ์ที่ดี อยากก้าวหน้า อยากประสบความสำเร็จ อยากมีความสุข แต่เรามักจะขาดในเรื่องของ “การลงมือทำ” .. บางคน“ทำ”น้อยเกินไป แต่หวัง”ผลลัพธ์”ซะเยอะเชียว บางคนก็ “ทำ”แบบเดิมๆ แต่คาดหวัง”ผลลัพธ์”แบบใหม่ๆ มันจะเป็นไปได้อย่างไรคะ! .. จำไว้นะคะ “ถ้าเราต้องการผลลัพธ์แบบใหม่ เราต้องทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากเดิม!”

เมื่อเร็วๆนี้ดิฉันได้มีโอกาสไป “ปลุกยักษ์” ให้กับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทซีพี เซเว่น อีเลเว่น จำกัด ซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีผู้บริหารเข้าร่วมสัมมนาเกือบ 200 ท่าน ตอนแรกก็กังวลอยู่เหมือนกัน เพราะทราบว่าผู้บริหารกลุ่มนี้เป็นระดับท็อปๆทั้งนั้น วัยวุฒิและคุณวุฒิสูงมาก คงผ่านการเรียนรู้ และมีประสบการณ์ทำงานมามากมาย ไม่รู้ว่าจะสนใจรับฟังสิ่งที่เราจะถ่ายทอดหรือเปล่า? น้ำจะเต็มแก้วไหม? แต่พอถึงเวลาที่ดิฉันได้บรรยายแล้ว ดิฉันรู้สึกผ่อนคลาย สนุก และมีความสุขมาก เพราะทุกท่านน่ารัก ให้ความเป็นกันเอง ตั้งใจฟัง ร่วมกิจกรรมทุกอย่าง แสดงออกถึงพลัง ความรัก ความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มิน่าล่ะ บริษัทของเขาถึงยิ่งใหญ่ เพราะมีผู้บริหารที่สุดยอดนี่เอง! ดิฉันชื่นชมและประทับใจจริงๆเลยค่ะ!!!

คุณโปรแกรมตัวเองไว้แบบไหน?

คุณโปรแกรมตัวเองไว้แบบไหน?

คุณรู้หรือไม่คะว่า “คุณเป็นคนอย่างที่คุณคิดตลอดเวลา!” เช่น ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นคนไม่เก่ง คุณก็จะเป็นคนไม่เก่งในโลกของคุณเอง คุณจะขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง คุณจะกังวลว่าจะทำได้ไหม? สิ่งที่คุณทำไปมันดีพอหรือยัง? ..

เวลาที่คุณทำอะไรได้ดี มันก็จะผ่านเลยไป แต่เวลาที่คุณทำได้ไม่ดี คุณก็จะตอกย้ำกับตัวเองว่า “ฉันเนี่ยมันไม่ได้เรื่องเลย ฉันไม่มีความสามารถ!” ใช่ไหมคะ? คุณมีประสบการณ์และข้อพิสูจน์หลายต่อหลายครั้งว่า คุณไม่เก่ง แล้วมันก็กลายเป็นความจริงในโลกของคุณ!?!

นับจากนี้ไป .. ระวังสิ่งที่คุณคิดให้ดีๆ เพราะสิ่งที่คุณคิดบ่อยๆ พูดบ่อยๆ เห็นบ่อยๆ ทำบ่อยๆ มันจะกลายเป็นการโปรแกรมตัวคุณเองแบบอัตโนมัติโดยที่คุณไม่รู้ตัว!

หลักการทำงานของสมองและจิตใต้สำนึกมีอยู่ว่า “สิ่งที่ใส่เข้าไปเท่ากับสิ่งที่ออกมา” “Input=Output” คุณใส่อะไรเข้าไปในสมองหรือความคิดของคุณ ผลลัพธ์มันก็จะออกมาเป็นแบบนั้น

ในเมื่อเรารู้หลักการทำงานของสมองและจิตใต้สำนึกแบบนี้แล้ว ทำไมเราไม่โปรแกรมตัวเองให้ดีๆล่ะคะ?!? แทนที่เราจะปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแบบอัตโนมัติโดยที่เราไม่รู้ตัว หรือพูดง่ายๆก็คือ เราไม่เคยฝึกตัวเองที่จะ“มีสติ”กำกับความคิด คำพูด และการกระทำของเรา

สิ่งที่เราต้องใช้สติในการโปรแกรมตัวเอง หรือใส่ Input ดีๆได้แก่ 1. ความคิด 2. คำพูด 3. ภาพที่เราเห็นด้วยตาหรือเห็นจากการจินตนาการก็ได้ 4. การแสดงออกหรือการใช้ร่างกายของเรา

ในงานสัมมนา “ปลุกยักษ์” คุณจะได้เรียนรู้วิธีการพลิกความคิดใหม่ว่าทำอย่างไร? เรียนรู้วิธีการสื่อสารกับตัวเองแบบใหม่ทำอย่างไร? วิธีการใช้ภาพหรือจินตนาการทำอย่างไร? วิธีเปลี่ยนการเคลื่อนไหวร่างกายใหม่ที่จะทำให้ระดับพลังชีวิตและระดับความเชื่อมั่นในตัวเองสูงขึ้นว่าทำอย่างไร? คุณจะได้ทำ Workshop เยอะมาก..ก..ก และขอบอกว่า .. เด็ดๆมันส์ๆทั้งนั้น!.. ว้าว!

ดิฉันอยากเล่าทฤษฎีอื่นให้คุณฟังอีก เขาเรียกว่า “กฎของการดึงดูดชักนำพา” มีคนเขาทดลองเอาส้อมเสียง .. โด เร มี ฟา ซอล ลา ที .. ไปตั้งกระจายไว้ในห้องหลายๆอัน แล้วเขาก็เคาะส้อมเสียง “โด” ปรากฏว่า มีส้อมเสียง “โด” อีกอันที่อยู่หลังห้องมันสั่นรับขึ้นมา ในขณะที่ส้อมเสียงอื่นอยู่นิ่งๆแบบเดิม เขาเลยคิดค้นและได้บทสรุปว่า “คลื่นพลังงานอะไรก็แล้วแต่ที่ใกล้เคียงกันจะดึงดูดกัน”

ต่อมามีการทดลองเอาคนที่มีความสุข เบิกบานใจแบบเข้มข้น ไปวัดคลื่นพลังงานที่ออกจากสมอง ปรากฏว่าเป็นคลื่นพลังงานบวกที่สูงมาก คลื่นนี้มีพลังแรงมาก ขนาดเขาเอากล้องไปถ่าย ยังเห็นภาพคลื่นพลังงานผ่านทะลุกำแพงออกไปได้ด้วย เขาได้ติดตามดูชีวิตคนพวกนี้ ก็พบว่าคนที่มีความสุขเบิกบานใจเหล่านี้ จะได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ เช่น ได้ไปเจอคนดีๆ ได้พบกับเหตุการณ์ดีๆฯลฯ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาปล่อยคลื่นพลังงานบวกไปดึงดูดคลื่นประเภทเดียวกันเข้ามาในชีวิต

นอกจากนี้ ยังมีการทดลองเอาคนที่ซึมเศร้า ห่อเหี่ยว ท้อแท้ รันทดกับชีวิต ไปวัดคลื่นพลังงาน ปรากฏว่า ได้คลื่นพลังงานที่เป็นลบ คลื่นเหล่านี้ก็จะไปดึงดูดคลื่นประเภทเดียวกันเข้ามา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนเหล่านี้ก็มักจะพบแต่เหตุการณ์ร้ายๆอยู่เป็นประจำ!

คุณจะเห็นได้ว่าทุกทฤษฎีนั้นสอดคล้องสัมพันธ์กันหมด เช่น ถ้าใครคิดหรือพูดไม่ดี Input ลบ ก็เท่ากับว่าเขากำลังปล่อยคลื่นพลังงานลบออกมาด้วย ซึ่งมันจะไปดึงดูดสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิต

สิ่งที่คุณคิด พูด เห็น หรือทำบ่อยๆ จะกลายเป็นนิสัย ยิ่งสภาวะอารมณ์ที่คุณมี เข้มข้นเท่าไร มันจะยิ่งลงสู่จิตใต้สำนึกได้เร็วและเป็นการโปรแกรมตัวเองแบบเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น!

จำได้ไหมคะ ก่อนหน้านี้ดิฉันอธิบายถึงเรื่องการแยกแยะ ระหว่าง 1. สิ่งที่เกิดขึ้น กับ 2. สิ่งที่เราตีความ/คิด/ปรุงแต่ง ดิฉันอยากบอกคุณอีกครั้งว่า สิ่งที่คุณคิดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นการตีความและการให้ความหมายต่อสิ่งต่างๆด้วยตัวคุณเองทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่เป็นความจริงหรอกค่ะ!

ถ้าคุณบอกว่าโลกนี้สวยงาม ชีวิตของคุณโชคดี คุณก็จะรู้สึกมีความสุขและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตใช่ไหมคะ? แต่ถ้าคุณบอกว่า โลกนี้โหดร้าย ชีวิตของคุณมีแต่ปัญหาและอุปสรรค คุณก็คงเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและหมดแรงจริงไหมคะ? โลกก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง มีแต่มนุษย์เราเท่านั้นที่ไปตีความหรือให้ความหมายกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้!

ก็ในเมื่อเราเป็นคนที่ให้ความหมายกับทุกสิ่งทุกอย่างเอง แล้วทำไมเราไม่ตีความหรือให้ความหมายดีๆ ที่ให้พลังกับชีวิตของเราล่ะ จริงไหมคะ? ต่อจากนี้ไป ให้คุณเริ่มใส่ Input หรือโปรแกรมตัวเองให้ดี ด้วยความคิด คำพูด ภาพที่เห็น และการกระทำหรือการแสดงออกที่ดี

เริ่มบอกกับตัวเองทุกวันได้แล้วว่า “ฉันเป็นคนโชคดี!” เมื่อสิ่งดีๆเกิดขึ้น แม้จะเล็กน้อย ก็ให้บอกตัวเองว่า“โชคดีจัง!” แล้วคอยดูว่า คุณเริ่มดึงดูดความโชคดีเข้ามาในชีวิตมากขึ้นหรือเปล่า?

เปลี่ยนความคิด..ชีวิตเปลี่ยน!

เปลี่ยนความคิด..ชีวิตเปลี่ยน!

ชีวิตที่เปลี่ยน .. เกิดจากการกระทำที่เปลี่ยน .. การกระทำที่เปลี่ยน .. เกิดจากความคิดที่เปลี่ยน .. และความคิดที่เปลี่ยน .. ก็เกิดจากความเชื่อที่เปลี่ยน! .. ถ้าเราเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็จะเปลี่ยน .. คุณเห็นด้วยไหมคะ?

คุณรู้ไหมคะว่า 60%-80% ของความสุขและความสำเร็จมาจากการที่เรามีระบบความคิด (Mind Set) ที่ดี ส่วนความรู้หรือทักษะความชำนาญเกี่ยวกับงานที่ทำมีความสำคัญน้อยกว่า

คนที่ยังไม่สำเร็จไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้วิธีการอธิบายว่าธุรกิจของเขาดีอย่างไร ให้ผลตอบแทนแบบไหน สินค้ามีจุดเด่นอะไรบ้าง ความจริงแล้ว เขาสามารถอธิบายได้ดีมากเลยแหละคะ แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า เขาไม่ออกไปทำงาน ไม่ไปติดต่อลูกค้า ไม่ไปแนะนำสินค้า ไม่ไปนำเสนอธุรกิจ ไม่ไปรีครูตคนเข้ามาร่วมงาน หรือทำก็น้อยมากเลย ใช่ไหมคะ? .. อันนี้รวมถึงคุณด้วยหรือเปล่าคะเนี่ย?

คุณคิดว่าอะไรทำให้เขาไม่ออกไปทำงานล่ะคะ? มันมี “ความคิด” อะไรบางอย่างที่มาหยุดยั้งการลงมือทำใช่ไหมคะ?

ทำไมบางคนเจอคำปฏิเสธ เจอปัญหาอุปสรรคก็ยังเดินหน้าต่อ แต่บางคนล้มเลิก หยุด ไม่ทำแล้ว?!? ทำไมบางคนสร้างฐานะขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ในขณะที่บางคนผ่านไปเกือบหมดชีวิตก็ยังไม่มีอะไรเลย!?! .. ทำไมบางคนมีความสุขกับชีวิต แต่บางคนเศร้าใจ หงุดหงิด เครียด และกังวลตลอดเวลา?

คนที่ประสบความสำเร็จ กับ คนที่ยังไม่สำเร็จ มี “ความคิด” อะไรที่แตกต่างกัน?

คนที่มีความสุข กับ คนที่มีความทุกข์ มี “ความคิด” อะไรที่ต่างกัน?

คนสำเร็จบอกว่า “ฉันนี่แหละ ที่กำหนดชะตาชีวิตของฉันเอง” .. คนไม่สำเร็จบอกว่า “ดวงฉันไม่ดี ไม่มีคนให้ความช่วยเหลือ”

คนสำเร็จ “แสวงหาโอกาสให้ตัวเอง” .. คนไม่สำเร็จ “รอคอยให้โอกาสเดินเข้ามาหา”

คนสำเร็จบอกว่า “ชีวิตของฉันผ่านปัญหาและอุปสรรคมาเยอะ มันหล่อหลอมให้ฉันเป็นคนเข้มแข็งอดทน ฉันถึงประสบความสำเร็จจนทุกวันนี้” คนไม่สำเร็จบอกว่า “เพราะชีวิตของฉันเต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรค ชีวิตฉันถึงได้ย่ำแย่แบบนี้”

คนสำเร็จบอกว่า “ฉันจะช่วยงานหัวหน้า ฉันจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกทีมเห็น ฉันจะหาจุดเด่นของสินค้ามานำเสนอ” คนไม่สำเร็จบอกว่า “หัวหน้าไม่ช่วย ลูกทีมไม่ขยัน สินค้าสู้คนอื่นไม่ได้

คนมีความสุขบอกว่า “ขอบคุณสิ่งต่างๆที่ฉันมีในชีวิต ฉันเป็นคนโชคดีจริงๆ” คนมีความทุกข์บอกว่า “ทำไมฉันยังไม่มีเหมือนคนอื่นเขา ฉันมันคนไร้บุญวาสนา ฉันโชคร้ายจริงๆ

คนมีความสุข “ตีความกับสิ่งต่างๆแบบให้พลังกับตัวเอง” .. คนมีความทุกข์ “ตีความแบบลดพลังของตัวเอง

เห็นไหมคะว่า “ความคิด” ของคนสองประเภทนี้ต่างกันมาก! ถ้าคุณอยากสำเร็จ ให้คิดแบบคนสำเร็จ .. ถ้าคุณอยากมีความสุข ให้คิดแบบคนมีความสุข! .. “เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน!”

คิดติดกรอบ?

คิดติดกรอบ?

คนส่วนใหญ่รู้ว่าถ้าเราต้องการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เราต้อง “คิดนอกกรอบ”!!! แต่คุณเชื่อไหมคะว่า น้อยมากที่คนจะรู้ว่า “กรอบความคิด” ของเขาอยู่ตรงไหน???

คำว่า “คิดนอกกรอบ”ในที่นี้ดิฉันไม่ได้หมายถึงแค่ ความคิดสร้างสรรค์ หรือไอเดียใหม่ๆเท่านั้น แต่ดิฉันอยากให้พิจารณาถึงวิธีคิดและวิธีการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วย “ข้อจำกัด” และ “กรอบ” ที่ปิดกั้นสิ่งที่เราอยากทำ อยากมี หรืออยากเป็น

เราใช้ชีวิตกับความคิดเดิมๆ การกระทำเดิมๆ มานานมาก เราทำซ้ำๆกันเป็นรูปแบบ(Pattern) เดิมๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว เหมือนปลาที่อยู่ในน้ำ มันจะไม่เคยเห็นน้ำอย่างชัดเจน ถ้าเราจับมันขึ้นออกมาจากน้ำแล้วให้มันดู ปลามันคงตกตะลึงว่า ..ว้าว! นี่หรือน้ำที่ฉันใช้ชีวิตแหวกว่ายอยู่ทุกวัน!

เหมือนกันกับเราที่เป็นมนุษย์นี่แหละ เราจะทำทุกอย่างโดยอัตโนมัติ คิด..พูด..ทำ..จากอดีตที่สมองบันทึกไว้ แล้วเราก็โต้ตอบกับผู้คนและสถานการณ์ต่างๆไปตามสัญชาติญาณการเอาตัวรอดโดยอัตโนมัติ ขอเน้นอีกครั้งว่า “โดยอัตโนมัติ” .. ถ้าใครทำไม่ดีกับเรา เราก็โต้ตอบกลับไป .. ใครว่าเรา เราก็ว่ากลับไป บางคนก็โต้ตอบด้วยการนิ่งเฉย .. เราทำโดยที่เราไม่รู้ตัว . . เหมือนเราเห็นจระเข้ เราไม่ต้องคิดเลยว่าเราจะวิ่งหนีดีหรือเราจะสู้ดี เราจะวิ่งหนีโดยอัตโนมัติเลยใช่ไหมคะ?

เรามีรูปแบบ (Pattern) ในการคิด พูด ทำ แบบอัตโนมัติเดิมๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยว่า มันได้กลายเป็น “กรอบ” และเป็น “ข้อจำกัด” ในการใช้ชีวิตของเรา!

ถ้าเราอยากจะ “คิดนอกกรอบ” ก่อนอื่นเราต้อง “เห็นกรอบ” ของเราซะก่อน!

การที่คุณจะ“เห็นกรอบ”ได้ คุณต้องถอนตัวเองออกมาเป็น “ผู้ดู” .. ดูตัวอัตโนมัติของคุณว่ามันทำงานอย่างไร? เหมือนดึงปลาออกมาจากน้ำ จะได้เห็นน้ำที่ชัดเจนสักทีหนึ่ง และวิธีการที่คุณจะดึงตัวเองออกมาเป็น “ผู้ดู” ก็คือ คุณต้อง “มีสติ” ในการดูในการแยกแยะ และการที่คุณจะ “มีสติ” ได้นั้น คุณต้อง“ฝึกสติ”! คอยจับตาดูอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด คำพูด และการกระทำของคุณเองว่า มันเกิดอะไรขึ้น มันมีที่มาจากไหน? . . ถ้าคุณกลัว ทำไมถึงกลัว คุณมีความคิดอะไรที่ทำให้คุณกลัว? . . ถ้าโกรธ ทำไมถึงโกรธ ความคิดที่ทำให้คุณโกรธคืออะไร? อันที่จริงแล้ว มันไม่ใช่ว่า “ใคร” ทำให้คุณโกรธ แต่คุณมี “ความคิด” อย่างไรที่ทำให้คุณโกรธต่างหากล่ะ?

อย่างที่กล่าวถึงข้างต้นว่า คนเราจะมีรูปแบบความคิดและการกระทำซ้ำๆแบบเดิมๆ ซึ่งคำว่า “แบบเดิม” ก็มีที่มาจาก “อดีต” . . เราใช้ชีวิตโดยมี “ข้อจำกัดจากอดีต” เยอะมาก และนี่คือ “กรอบ” ของเรา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเคยเสนอความคิดเห็นอะไรบางอย่าง แล้วเจ้านายไม่เห็นด้วยกับเรา ต่อไปเราอาจจะไม่เสนอความคิดของเราแล้วก็ได้ บางครั้งมีเรื่องใหม่เข้ามา ซึ่งเรามีไอเดียที่บรรเจิดมาก แต่เราก็อาจจะไม่เสนอ เพราะเราคิดว่า “เดี๋ยวเจ้านายก็คงไม่เห็นด้วยกับเราเหมือนเดิม (เหมือนในอดีต) นั่นแหละ ไม่รู้จะเสนอไปทำไม” .. ถ้าคิดแบบนี้ แล้วสิ่งใหม่ๆมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร! .. นี่แหละคือ “ข้อจำกัด” และ “กรอบ”ในการใช้ชีวิตของเรา!

ดิฉันเชื่อว่า เวลาที่คุณสปอนเซอร์หรือรีครูตคนให้เข้ามาร่วมงานกับคุณ คุณคงได้รับคำตอบประเภทที่ว่านี้เยอะเลยใช่ไหมคะ? เช่น “โอ๊ย ฉันพูดไม่เก่ง ฉันทำงานแบบนี้ไม่ได้หรอก” “ฉันรู้จักคนน้อย ฉันทำไม่ได้หรอก” “ฉันเรียนมาน้อย ไม่มีใครเชื่อถือฉันหรอก” . . ถ้าถามคนเหล่านี้ว่าเขาเห็นโอกาสไหม? เขาอาจจบอกว่าเห็น ถ้าถามว่าเขาอยากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมไหม? เขาก็คงบอกว่าอยาก แต่ถ้าจะให้เขาทำงานแบบนี้ เขาคงทำไม่ได้หรอก .. เพราะ “คิด” ว่าคนที่ทำงานขายต้องพูดเก่ง ต้องรู้จักคนเยอะ ต้องเรียนสูงหน่อยคนถึงจะเชื่อถือ! .. เห็นไหมคะว่า คนเราจะติดอยู่กับ “ข้อจำกัด” และ “กรอบความคิด” ของตัวเองเยอะมาก..ก..ก! ทำให้โอกาสดีๆหลุดลอยไป หรือรายได้ที่เขาสามารถสร้างได้นั้นผ่านเลยไป!

ขอถามหน่อยค่ะว่า คุณกลัวการเสนอขายลูกค้ารายใหญ่ไหมคะ? .. ถ้ากลัว ทำไมถึงกลัวล่ะคะ? คุณ “คิด” แบบนี้หรือเปล่าคะ? . . “เขารวยขนาดนี้ เขาจะมาฟังเราเหรอ” “เรามันคนละชั้นกับเขา เขาไม่ฟังเราหรอก” “พวกเศรษฐี เขาไม่สนใจคนอย่างเราหรอก” . . ถ้าคุณ “คิด” ทำนองนี้ ดิฉันอยากจะบอกว่า คุณก็กำลัง “ติดกรอบความคิด”ของตัวเองอยู่ ทำให้คุณไม่กล้าเสนอขาย!!! ความจริงก็มีแค่ “เขามีเงินมากกว่าคุณ” เท่านั้นแหละ! ปล่อยวางความคิดเดิมๆของคุณซะ แล้วใช้คาถาของดิฉัน .. “1 .. 2 .. 3 .. ลุย!” เอ่ยปากขายทันทีเลย O.K.ไหมคะ?

อย่าลืมที่จะ “ฝึกสติ” แล้วสำรวจตัวเองบ่อยๆว่า “เราคิดติดกรอบ” มากแค่ไหน???

ขอพูดถึงงานสัมมนา “ปลุกยักษ์” สักนิดนะคะ . . วันก่อนเจอผู้นำท่านหนึ่งที่พาดาวน์ไลน์ใหม่ๆเข้า เขาบอกว่า “เวิร์คมากเลยค่ะ อาจารย์ .. แต่ละคนกลับไปมีความกล้ามากขึ้น มุ่งมั่นมากขึ้น!” .. ดิฉันเจอแม่ทีมใหญ่ท่านหนึ่งเขาบอกว่า “ถ้าผมอยากให้ยอดขายขึ้น ผมแค่ส่งทีมงานไปเข้าปลุกยักษ์เยอะๆ ยอดก็ขึ้นแล้ว!” .. มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า เขาเพิ่งเคยสัมผัสกับพลังที่ยิ่งใหญ่ในตัวเอง! .. น้องผู้ชายคนหนึ่งโทรมาหา พูดไม่หยุดเลยเพราะตื่นเต้นกับผลงานที่ตัวเองทำได้แบบเหนือความคาดหมาย! .. สามีภรรยาคู่หนึ่งพาทีมงานมาเกือบ 20 คน บอกว่าเขาอยากเข้าปลุกยักษ์มาก เขาตื่นเต้นที่เพื่อนของเขามีผลงานแบบก้าวกระโดด จากยอดขายที่เคยทำได้หมื่นต้นๆ กลับไปทำได้ 300,000กว่าบาท! .. ว้าว! สุดยอดมาก!

ที่ดิฉันเล่าให้ฟังเพราะอยากให้คุณได้มีโอกาสสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ในตัวเอง และถ้าคุณมีทีมงาน ก็ควรพาพวกเขาเข้า “ปลุกยักษ์” ให้มากที่สุดเท่าที่คุณสามารถทำได้ เพราะทีมงานของคุณมีศักยภาพอยู่ข้างในมากมายที่เขายังไม่ได้เอาออกมาใช้!

อย่าตกหลุมพราง!

อย่าตกหลุมพราง!

คุณมีความฝันอะไรคะ? คุณอยากทำอะไร? คุณอยากมีอะไร? คุณอยากเป็นอะไร? แล้วตอนนี้คุณกำลังเดินหน้าทำความฝันของคุณให้เป็นความจริงอยู่หรือเปล่าคะ? คุณตั้งเป้าหมายที่จะทำอะไรให้สำเร็จ? มันมีกำหนดเส้นตาย(deadline)เมื่อไร? และคุณใช้วิธีการอะไรอยู่?

ก่อนอื่นดิฉันจะอธิบายและ”แยกแยะ”ให้คุณเห็นอย่างชัดเจนก่อน ระหว่าง 1.ความฝัน 2.เป้าหมาย และ 3.วิธีการ ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงคนหนึ่งอ้วนมากเลย “ความฝัน” ของเธอก็คือการมีหุ่นผอมเพรียวลม สวยเซ็กซี่! เธอ ”ตั้งเป้าหมาย” ไว้เลยว่า เธอจะต้องลดน้ำหนัก 10 กิโลให้ได้ภายใน 5 เดือน แล้ว “วิธีการ” ที่เธอเลือกก็คือ การวิ่งรอบหมู่บ้านตอนเย็นวันละ 1 ชั่วโมงทุกวัน แต่ปรากฏว่า เหมือนสวรรค์แกล้ง! เธอวิ่งไปได้ 2 อาทิตย์ ฝนก็ตกลงมาทุกวัน ทำให้เธอวิ่งไม่ได้! ฮือ!..ฮือ!.. เธอบอกว่าเธอคงจะลดน้ำหนักไม่ได้แล้วหล่ะ! .. คุณเห็นด้วยกับเธอหรือเปล่าคะว่าเธอคงทำไม่ได้แล้วจริงๆ เพราะฝนมันตกทุกวันเลยนี่นา จะวิ่งได้อย่างไร?

ถ้าคุณคิดแบบเดียวกับเธอ คุณก็ “ตกหลุมพราง” แล้วล่ะค่ะ! มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตกหลุมพรางเช่นนี้! ลองคิดดูซิคะ มันยังมีอีกมากมายหลากหลาย “วิธีการ” ที่เธอสามารถลดความอ้วนได้ .. เข้าฟิตเนสไปวิ่งสายพานได้ไหมคะ? เต้นแอโรบิคได้ไหมคะ? ตีแบตได้ไหมคะ? ว่ายน้ำในร่มได้ไหมคะ? ยังมีอีกสารพัดวิธีใช่ไหมคะ?

ถ้าให้คนๆหนึ่งเดินทางจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ เขาสามารถเดินทางด้วยวิธีไหนได้บ้างคะ? เดินเท้าได้ไหม? วิ่งไปได้ไหม? ขี่จักรยานหล่ะ? ขี่มอร์เตอร์ไซด์? ขับรถยนต์? พายเรือ? ขึ้นเครื่องบิน? คำตอบก็คือได้ทุกวิธีนั่นแหละค่ะ! .. ถ้าเขารู้ว่ามันมี “วิธีการ” มากมายที่สามารถทำให้เขาไปถึงเชียงใหม่ได้ เขาก็สามารถที่จะ”เลือก” เดินทางด้วยวิธีไหนก็ได้จริงไหมคะ?

คราวนี้เราลองมาดูวิธีที่คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตกันนะคะ เวลาที่คนๆหนึ่งมี”ความฝัน”ว่าอยากจะมีเงินเยอะๆ ต้องถามเขาต่อว่า ถ้าเขามีเงินเยอะๆแล้วเขาจะเอาเงินไปทำอะไร? บางคนอาจจะตอบว่า ซื้อบ้านใหม่ให้ครอบครัว บางคนก็อยากมีรถ บางคนก็อยากไปเที่ยวต่างประเทศฯ (“เงิน”เป็นแค่ตัวแปรที่จะทำให้เรามีในสิ่งที่เราอยากมีเท่านั้น) ซึ่งแต่ละคนก็ “เลือก” อาชีพแตกต่างกันไป

สมมติว่า มีบางคน”เลือก”ที่จะทำ MLM พอกระโดดเข้าไปทำ MLM ก็”ตั้งเป้า”เลยว่า ฉันจะต้องเป็น”ตำแหน่ง”นี้ๆ ให้ได้ภายในกี่ปี แล้วก็เดินหน้าทำงานอย่างจริงจัง ปรากฏว่าทำไปตั้งหลายปีแล้วก็ยังไม่สำเร็จสักที แต่ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาทำต่อไป ไม่เคยมองทางเลือกอื่นๆเลย!

นี่เป็น “หลุมพราง” ที่ใหญ่โตมหึมามากๆเลยค่ะ! คนเราส่วนใหญ่มักจะ”ตกหลุมพราง”ในเรื่องของ “วิธีการ” ที่จะทำให้เราได้รับในสิ่งที่เราปรารถนา! ฟังให้ดีๆนะคะ.. “ความฝัน”ของเขาก็คือ การมีบ้านใหม่ให้ครอบครัว การมีรถใหม่ ฯ “เป้าหมาย”ก็คือจะมีบ้านและรถใหม่ภายในกี่ปี แล้วการที่ไปทำ MLM ก็เป็น “วิธีการ” ที่เขาคิดว่าจะหาเงินมาทำให้ความฝันของเขาเป็นความจริงได้ แต่พอเข้าไปทำ MLM ก็ไป”ตั้งเป้าหมาย”ว่าจะเป็น”ตำแหน่ง”อย่างนั้นๆ อันนี้แหละ “หลุมพรางขนาดใหญ่”! .. “ตำแหน่ง” ที่ตั้งเป้าอยากจะเป็นนั้น มันก็เป็นแค่ ”เป้าหมายย่อย” ที่อยู่ใน ”วิธีการ” ที่เราเลือกเท่านั้น! ถ้ามี”ตำแหน่ง”ที่ตั้งเป้าแล้ว แต่ว่าไม่มี”เงิน” ตำแหน่งเหล่านั้นยังสำคัญอยู่หรือไม่คะ? มันไม่ใช่ “ตำแหน่ง” ที่จะทำให้ฝันเราเป็นจริง แต่ “เงิน” ต่างหากที่จะเปลี่ยนความฝันของเราให้เป็นจริงได้! “อย่าตกหลุมพราง”นะคะ!

ความจริงเรามี “วิธีการ” มากมายที่จะทำให้เรามี “เงิน” และทำ ”ความฝัน” ให้เป็นความจริงได้! เราทำธุรกิจส่วนตัวที่เราชอบก็ได้ ทำประกันบริษัทไหนก็ได้ ทำMLMบริษัทไหนก็ได้ ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ได้ เราทำอะไรก็ได้จริงไหมคะ? เพียงแต่เราต้องพิจารณาว่า”วิธีการไหน” หรือ “ทางเลือกไหน” เหมาะสำหรับเรา แต่ถ้าเรา “ไม่เห็นทางเลือก” เราก็จะติดอยู่กับ “ข้อจำกัด” ในการใช้ชีวิตของเราเอง!

ถ้าคุณทำงานมาตั้งหลายปีแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จ ขอให้คุณสำรวจอย่างตรงไปตรงมา พิจารณาตามข้อเท็จจริงที่มี สิ่งสำคัญอย่างแรกที่คุณต้องสำรวจคือ “ตัวคุณเอง”! ดูว่าคุณได้ทำอย่างเต็มที่สุดกำลังหรือยัง? ถ้าคุณยังทำไม่เต็มที่ นั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณยังไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ต้องไปโทษสิ่งอื่น! แต่ถ้าคุณทำเต็มที่แล้ว ก็ให้ดูปัจจัยต่างๆเหล่านี้อย่างละเอียด งานที่คุณเลือกนั้น คุณเลือกได้ดีพอหรือยัง? บริษัทที่คุณเลือกเป็นอย่างไร? ตลาดและโอกาสยังเปิดกว้างอยู่ไหม? สินค้าของคุณเป็นที่ยอมรับและเป็นที่นิยมในวงกว้างหรือเปล่า? ราคาสูงไปทำให้กลุ่มลูกค้ามีจำกัดหรือเปล่า? ระบบสนับสนุนดีหรือไม่? การได้ผลตอบแทน”คุ้มค่า”กับ”กำลังและเวลาที่ทุ่มเท”ไปหรือเปล่า? ข้อดีข้อด้อยเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่นแล้วเป็นอย่างไร? คุณมีความสุขและสนุกกับงานที่คุณทำหรือเปล่า?

ลอง”เปิดโอกาส”ให้ตัวเองได้พิจารณา”ทางเลือกอื่นๆ”ด้วย อย่าปิดกั้นทางเลือกใหม่ๆ เมื่อคุณพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว คุณค่อยทำการ”เลือก”อีกครั้ง มันอาจจะเป็นคำตอบเดิม หรือทางเลือกเดิมก็ได้ ซึ่งคุณก็จะมีพลังในการเดินหน้าต่อไป แต่ถ้าทางเลือกเดิมมันไม่เวิร์ค คุณก็แค่เปลี่ยนมันใหม่เท่านั้น! ให้คุณ”มีอิสระ”และ”มีพลัง”ในการเลือกของคุณ!

ดิฉันมักจะให้กำลังใจให้คน ”ยืนหยัด” ที่จะทำ ”ความฝัน” ของเขาให้เป็นความจริงด้วยประโยคที่ว่า “ผู้ชนะไม่เคยล้มเลิก ผู้ที่ล้มเลิกไปก่อนไม่เคยชนะ!” แต่ขอให้ ”แยกแยะ” ว่า เราจะ “ไม่ล้มเลิก” กับ “ความฝัน” ของเรา แต่เราจะ ”ยืดหยุ่น” และ “ปรับเปลี่ยนวิธีการ” จนกว่ามันจะสำเร็จ! โอเคไหมคะ?

คุณผู้อ่านที่รักคะ .. ฝันในสิ่งที่คุณอยากจะฝัน .. ไปในที่ที่คุณอยากจะไป .. เป็นคนที่คุณอยากจะเป็น .. เพราะว่า .. คุณมีแค่เพียงชีวิตเดียว ที่จะทำในสิ่งที่คุณอยากทำ!

กินยาก่อนอาหารและหลังอาหาร? กินยังไงให้ถูกวิธี

กินยาก่อนอาหารและหลังอาหาร? กินยังไงให้ถูกวิธี

1.ยาก่อนอาหาร : ให้รับประทานยาก่อนอาหาร (รวมทั้งนม ขนม ฯลฯ) ประมาณ 30-60 นาที

2.ยาพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที : ให้รับประทานอาหารครึ่งหนึ่งแล้วรับประทานยา แล้วรับประทานอาหารต่อจนอิ่ม หรือหลังจากรับประทานอาหารคำสุดท้าย แล้วตามด้วยการรับประทานยาทันที

3.ยาหลังอาหาร : ให้รับประทานยาหลังอาหาร ประมาณ 15-30 นาที

4.ยาระหว่างมื้ออาหาร : ให้รับประทานยาก่อนหรือหลังอาหาร 1-2 ชั่วโมง โดยถ้าเลือกรับประทานเป็นยาก่อนอาหาร (หรือหลังอาหาร) แล้ว ครั้งต่อไปก็ต้องรับประทานก่อนอาหาร (หรือหลังอาหาร) ทุกครั้งของการรักษาคราวนั้นๆ

5.ยาก่อนนอน : รับประทานยาก่อนเข้านอน ประมาณ 15-30 นาที

6.ยาตามอาการต่างๆ : เช่น รับประทานยา ครั้งละ 2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมงเวลาปวด หมายความว่า รับประทานครั้งละ 2 เม็ดเมื่อมีอาการปวด ถ้าต่อมามีอาการปวดอีก แต่ยังไม่ถึง 4-6 ชั่วโมง ก็ยังไม่ควรรับประทานยานั้นซ้ำอีก เพราะอาจเกิดพิษเนื่องจากรับประทานยาเกินขนาดได้ ต้องรอให้ครบอย่างน้อย 4 ชั่วโมง จึงจะรับประทานยาครั้งต่อไป

หมายเหตุ : การลืมรับประทานยาครั้งหนึ่ง ให้รีบรับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่ถ้าใกล้ถึงเวลามื้อต่อไปแล้ว ให้ข้ามมื้อที่ลืมไปเสีย อย่าเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า ในมื้อต่อไปเป็นเด็ดขาด

และเพื่อให้อาการป่วยนั้นหายแบบฉับพลัน คุณควรรับประทานยาตามกำหนดเวลาที่แพทย์หรือเภสัชกรณ์สั่งอย่างเคร่งครัด...

ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้

ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้

ข้อคิดดี ๆสำหรับเพื่อน ๆ อยากให้อ่านแล้วบอกต่อ ๆกันด้วยนะครับ เพราะอะไร...

วัยเยาว์
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันยังเด็กเกินไปที่จะคิด
ชีวิตฉัน เพิ่งเริ่มต้น ทุกวันนี้ยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่
และฉันไม่เหลือพอที่จะเก็บ ฉันกำลังเล่นสนุก
วันหนึ่งเมื่อฉัน โตขึ้น ฉันจะเก็บเงิน

วัยรุ่น
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันยัง เรียน หนังสืออยู่
พ่อแม่ให้เงินสำหรับพอใช้ในแต่ละวันเท่านั้น
ฉันยังเก็บเงินไม่ได้หรอก
นอกจากนั้นฉันยังมีเรื่องอื่นๆ
ที่ต้องใช้เงินอีกเมื่อฉันเรียนจบ
และถ้าฉัน หาเงินได้ เอง ฉันจึงจะเก็บ

วัย 20
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันเพิ่ง เรียนจบ
ขอเวลาฉันได้พักสมองบ้าง และฉันยังไม่พร้อมที่จะผูกมัดเรื่องนี้
ฉันยังต้องการแสวงหาความสนุก ในขณะที่ฉันสามารถทำได้
ยังมีเวลาเหลืออีกมากที่จะคิด
ถึงตอนนั้นเมื่อฉัน พร้อม ฉันก็จะเก็บ

วัย 30
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้
ฉันเพิ่ง มีครอบครัว และต้องรับผิดชอบหลายอย่าง
ค่าใช้จ่ายลูกเดี๋ยวนี้แพงเหลือเกิน
และฉันยังต้องผ่อนหนี้เงินกู้บ้านอีกด้วย
ทุกวันนี้แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว
ถ้าวันข้างหน้าฉันหาเงินได้ มากกว่านี้ และลูกๆ โตแล้ว ฉันจึงจะเก็บ

วัย 40
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ลูกฉันเริ่มเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย
เดี๋ยวนี้ค่าหน่วยกิตและค่าต่างๆ แพงมาก
ไหนยังต้องผ่อนหนี้เงินกู้ที่ซื้อรถยนต์ให้ลูกอีกฉันกลัวพวกเขาลำบาก
ตอนนี้ยอมรับว่า ค่าใช้จ่ายสูง จริงๆ
และเป็นเวลาที่ยากที่จะเก็บเงิน
แต่อีก สักระยะ เมื่อพวกเขาเรียนจบ การเงินคงจะคล่องตัวขึ้น
ถึงตอนนั้นฉันจึงจะเก็บ

วัย 50
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ตอนนี้ ลูกๆ เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลายคนกำลังจะแต่งงาน
ฉันอยากให้พวกเขาเริ่มต้นชีวิตที่ดี
นอกจากนี้ฉันยังต้องไปช่วย ญาติ บางคน
ซึ่งตอนนี้พวกเขากำลัง ต้องการความช่วยเหลือ
เหตุการณ์มันไม่ได้เป็นไปตามที่ฉันคิดไว้เลย มันติดขัดไปหมด
โชคดีเมื่อไหร่ ฉันคงจะเก็บเงินได้

วัย 60
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันนึกว่า สถานการณ์ น่าจะดีขึ้น ฉันอยากเกษียณอายุก่อน
แต่ฉันไม่สามารถทำได้
ฉันกำลังพยายามจ่ายเงินติดค้างจำนองบ้านที่เหลือและหนี้สินอื่นๆ
แต่ทุกอย่างยังประดังเข้ามา ไหนจะลูกเอยหลานเอย
ไอ้โน่นไอ้นี่มาลงที่ตัวฉันหมด ถ้า ภาระฉันหมด เมื่อไร
ฉันภาวนาว่าฉันน่าจะเก็บได้

วัย 70
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉัน แก่เกินไป ที่จะเก็บ
เงินบำนาญของฉันก็มีไม่มากพอ
บิลค่ายาและค่าดูแลรักษาพยาบาลระยะยาวทำให้ฉันเป็นห่วงอยู่
ฉันไม่อยากไปเป็นภาระของลูกๆ เขา
ฉันน่าจะเก็บตอนที่ฉันมีและควรเก็บได้

ตอนนี้
มันสายเกินไป......
ฉัน ไม่สามารถ เก็บเงินได้เดี๋ยวนี้จริงๆ.....

ขอให้เพื่อนโชคดี......มีเงินออมมาก ๆ ทุกคนนะครับ

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตของคุณจะเปลี่ยน .. นับจากวินาทีที่คุณตัดสินใจ!

ชีวิตของคุณจะเปลี่ยน .. นับจากวินาทีที่คุณตัดสินใจ!

ทำไมดิฉันจึงกล่าวเช่นนี้? .. ดิฉันอยากให้คุณลองนึกถึงภาพเรือเดินสมุทรลำใหญ่มากๆสักลำหนึ่ง ปกติแล้วเรือก็จะแล่นไปในทิศทางที่กัปตันกำหนดไว้ใช่ไหมคะ? ถ้ากัปตันตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางการเดินเรือใหม่ สมมติว่าต่างจากเดิมแค่ 3 องศา แน่นอนว่าในระยะแรกๆ เราจะยังไม่เห็นความแตกต่างอะไรที่ชัดเจน แต่ถ้าเวลาผ่านไป 1เดือน..1ปี..หรือ10ปี คุณคิดว่าทิศทางของเรือจะต่างจากเดิมมากไหมคะ? มากใช่ไหมคะ? .. ดังนั้น ชีวิตของคุณก็จะเปลี่ยน .. นับจากวินาทีที่คุณตัดสินใจเช่นกัน!

ในอดีตที่ผ่านมา .. คุณเคยตัดสินใจทำอะไรที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญบ้างไหมคะ? เช่น ตัดสินใจเปลี่ยนงาน ตัดสินใจแต่งงาน ตัดสินใจมีลูก ตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงนิสัยบางอย่างของตัวเอง ฯลฯ ก่อนที่คุณจะทำการตัดสินใจ คุณคงจะดูว่าชีวิตปัจจุบันของคุณเป็นอย่างไร? มันมีอะไรบางอย่างที่คุณอยากได้ในอนาคต ซึ่งคุณยอมที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ได้สิ่งที่คุณต้องการใช่ไหมคะ?

ก่อนอื่น เราลองมาดูซิว่า .. คุณต้องการอะไรในชีวิต?..อะไรคือความฝันของคุณ? มันสำคัญกับคุณจริงหรือเปล่า? คุณอยากได้มันอย่างแรงกล้าหรือไม่? ทำไมคุณจึงอยากได้มันนัก? คุณต้องการทำเพื่อใครและเพื่ออะไร? ขอให้คุณเขียนทุกคำตอบลงไปในกระดาษเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!

แล้วตอนนี้คุณได้ทุกอย่างที่คุณปรารถนาหรือยังคะ? มีอะไรที่คุณอยากทำ แล้วยังทำไม่ได้?..มีอะไรที่คุณอยากมี แล้วยังมีไม่ได้?.. มีอะไรที่คุณอยากเป็น แล้วยังเป็นไม่ได้?..ทำไมล่ะค่ะ?

ลองสำรวจดูซิคะว่า ทำไมคุณจึงทำไม่สำเร็จ? อะไรปิดกั้นหรือฉุดรั้งคุณอยู่? คุณกลัวอะไรคะ? .. เอ้า! .. เขียนคำตอบลงไปอีกค่ะ! .. ถ้าคุณไม่คิดหรือไม่สำรวจอย่างจริงจังคุณก็จะไม่รู้หรอกค่ะว่าอะไรที่มันหยุดคุณอยู่! . . ได้คำตอบหรือยังคะ? ..

อย่าเพิ่งอ่านต่อ .. เขียนก่อนค่ะ! .. ตอบทุกคำถามเลยนะคะ! .. Yes! เยี่ยมมากเลยค่ะ!

อย่าลืมนะคะว่าดิฉันเป็นโค้ชที่จะทำให้คุณได้ผลลัพธ์ในสิ่งที่คุณปรารถนา ดิฉันขอให้คุณทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากเดิมดูบ้าง .. ถ้าคุณยังคงทำทุกอย่างเหมือนเดิม คุณก็จะได้ทุกอย่างเหมือนเดิมจริงไหมคะ?

ดิฉันจะแบ่งปัน จุ ด ที่ พ ลิ ก ชี วิ ต ข อ ง ดิ ฉั น จ า ก “ซุ ป เ ป อ ร์ ซิ้ ม” เป็น “ซุ ป เ ป อ ร์ วู แ ม น” หน่อยนะคะ ..

อย่างที่ได้เล่าให้ฟังแล้วตั้งแต่บทความแรกที่ดิฉันเริ่มเขียนลงคอลัมน์นี้ว่า อดีตดิฉันเคยทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชี ที่วันๆอยู่กับตัวเลข พูดน้อย โลกแคบ เฉิ่มเชยสุดๆ เรียกได้ว่าเป็น “ซุปเปอร์ซิ้ม” แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งในชีวิตที่ดิฉันได้ลองทำธุรกิจ MLM ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ดิฉันทำงานอย่างอื่นเพิ่มเติมนอกเหนือจากงานประจำ ดิฉันได้อยู่ในกลุ่มคนที่มีไฟแรงและบางคนก็ประสบความสำเร็จด้วยความรวดเร็ว ดิฉันก็อยากสำเร็จบ้าง เพราะฉะนั้น ถ้ามีอะไรที่เป็นความรู้ ดิฉันจะเรียนหมดทุกอย่าง แต่ก็แปลกใจอยู่ว่า ทำไมยังไม่สำเร็จอย่างที่ใจเราคิดสักที!?! ..

ดิฉันเห็นบางคนเป็นแม่ค้าขายไส้กรอก ทำไมมียอดขายเยอะแยะ? .. บางคนทำงานร้านทำผม ดูศักยภาพน้อยกว่าดิฉันอีก แต่ทำไมมีทีมงานใหญ่โต? .. ดิฉันก็บอกตัวเองว่า “ก็เธอทำงานประจำนี่นา เธอมีเวลานิดเดียวเองในการทำธุรกิจเครือข่าย .. อ้าว .. เธออยู่ในโลกแคบมาก่อน เธอรู้จักคนน้อย .. เธอทำได้ขนาดนี้ก็ดีแล้วล่ะ” แต่พอดิฉันได้เรียนรู้ว่า .. การที่คนเราจะประสบความสำเร็จนั้น เราต้องยกระดับมาตรฐานตัวเองให้สูงขึ้นตลอดเวลา เราจะต้องเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองก่อน โดยการสำรวจความเป็นจริงว่า ตัวเราเองเป็นคนอย่างไรกันแน่? ทำไมเราถึงยังทำในสิ่งที่เราอยากทำไม่ได้? ถ้าคำตอบมันจะน่าเกลียดก็ต้องยอมรับ เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ!

คุณรู้ไหมคะ..พอดิฉันสำรวจตัวเองจริงๆจังๆแล้วดิฉันก็ได้พบความจริงที่น่าสะเทือนใจว่า .. ดิฉันเป็นคนที่อ่อนแอ เหลาะแหละ เหยาะแหยะ จับจด ไม่มุ่งมั่น ไม่เคยทำอะไรจริงจังในชีวิตสักทีหนึ่ง กลัวเสียงปฏิเสธ กลัวความผิดหวัง กลัวความล้มเหลว .. พอดิฉันเห็นตัวเองแบบนี้ ดิฉันเสียใจมากๆ ร้องไห้เป็นชั่วโมงเลย .. มิน่าล่ะ ชีวิตของฉันมันถึงไม่ไปไหนสักทีหนึ่ง .. ดิฉันตัดสินใจอย่างจริงจัง เด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นในวินาทีนั้นเลยว่า .. “นับจากนี้ไป ฉันจะเป็นคนที่เก่งสุดยอด! ฉันจะเป็นคนที่ อยากทำอะไร ต้องทำให้ได้! ไม่ว่าฉันต้องใช้ความพยายามหนักขนาดไหน ฉันต้องเปลี่ยนตัวเองให้ได้!”.. ชีวิตของดิฉันเปลี่ยนโฉมไปเลยตั้งแต่วินาทีที่ดิฉันตัดสินใจนั่นเอง!!!

แล้วคุณล่ะคะ .. เหตุผลที่คุณเขียนมามันใช่หรือเปล่า จริงๆแล้วคุณติดขัดกับสิ่งภายนอกตัว หรือคุณติดขัดอยู่กับตัวเองกันแน่!?! ถ้าคุณยังคงเป็นแบบเดิม คุณคิดว่าชีวิตของคุณในอนาคตจะเป็นอย่างไรคะ? ผู้คนรอบข้างในชีวิตของคุณจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง? คุณยอมที่จะเป็นแบบนี้ต่อไปหรือคะ? ขอให้คุณตัดสินใจเดี๋ยวนี้เลยว่า คุณจะเปลี่ยนแปลงอะไรเกี่ยวกับตัวคุณและชีวิตของคุณ? คุณจะเป็นคนใหม่แบบไหน? .. ลงมือเขียนเลยค่ะ!

เยี่ยมมาก!!! .. ให้คุณอ่านสิ่งที่คุณเขียนออกมาดังๆ อย่างหนักแน่น เข้มแข็ง และจริงจัง! ต่อจากนั้นให้พูดดังๆหรือตะโกนเลยก็ได้ว่า .. “ ฉันมีพลัง ฉันเชื่อมั่น ฉันทำได้! .. ฉันมีพลัง ฉันเชื่อมั่น ฉันทำได้! .. ฉันมีพลัง ฉันเชื่อมั่น ฉันทำได้! .. Yes I Can! .. Yes I Can! .. Yes I Can!” .. ว้าว! สุดยอดเลยค่ะ!

ขอให้คุณรู้ว่า คุณมียักษ์ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งรอรับใช้คุณอยู่ เพียงแต่คุณต้องปลุกมันขึ้นมาก่อนเท่านั้น และตอนนี้คุณก็ได้ปลุกยักษ์ที่ยิ่งใหญ่ในตัวคุณขึ้นมาแล้ว .. ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ!

ถ้าคุณยังไม่สามารถ“ปลุกยักษ์”ได้ด้วยตัวเอง ดิฉันก็ขอให้คุณตัดสินใจที่จะไป”ปลุกยักษ์” กับดิฉันในเดือนมีนาคมนี้นะคะ .. แล้วคุณจะได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณเอง!!!

การตัดสินใจ เป็นต้นกำเนิดของการกระทำ!

อนาคตที่เต็มไปด้วยอดีต !?!

อนาคตที่เต็มไปด้วยอดีต !?!

ดิฉันมีคำถามที่อยากให้คุณพิจารณาว่า การที่คุณเป็นคนในแบบที่คุณเป็นตอนนี้ หรือสิ่งที่ส่งผลกระทบมาสู่ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของคุณในปัจจุบันนั้น มันมีผลมาจากอดีต หรือว่าอนาคต? คุณคิดว่าอย่างไรคะ?

คนส่วนใหญ่มักจะตอบว่า.. “มาจากอดีต!” เช่น การศึกษา การเลี้ยงดู ครอบครัว สังคม สภาพแวดล้อมฯลฯ คุณเห็นด้วยหรือเปล่าคะ? แล้วถ้าดิฉันจะขอให้ลองพิจารณาดูใหม่ว่า มันเป็นไปได้ไหมคะที่คำตอบคือ “มาจากอนาคต!?! ”

ลองพิจารณาตัวอย่างนี้ดูนะคะ .. ถ้าพรุ่งนี้คุณกำลังจะไปเที่ยวชายทะเลอันแสนสวยกับคนรู้ใจ 1 อาทิตย์เต็มๆ.. ว้าว! .. ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรคะ? .. อารมณ์ดีใช่ไหมคะ? ทำงานไปอาจจะยิ้มไป ใครมาพูดจาไม่เข้าหูก็ไม่โกรธ ตั้งหน้าตั้งตารอว่าเมื่อไหร่จะถึงวันพรุ่งนี้สักที! .. แต่ถ้าวันสุดท้ายของการพักผ่อนมาถึง..ตอนนี้คุณเป็นอย่างไรคะ? .. อาจจะรู้สึกเหี่ยวเฉาลงเล็กน้อย ไม่อยากให้ถึงพรุ่งนี้เลยใช่ไหมคะ? .. ถ้าคุณรู้สึกเช่นนั้น แสดงว่า “อนาคต มีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของคุณในปัจจุบัน!?!”

ความจริงแล้วการที่บางคนตอบว่าอดีตก็ไม่ผิดหรอกคะ เพราะเราเป็นคนเอาอดีตไปรออยู่ในอนาคตเรียบร้อยแล้ว ลองดูซิคะว่า คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ไหม? ตัวอย่างเช่น คุณชวนแฟนของคุณไปเที่ยว แต่แฟนคุณไม่ไป วันหลังลองชวนใหม่เป็นครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 แฟนคุณก็ยังไม่ไปอีก คราวหน้าเวลาที่คุณอยากจะไปเที่ยว คุณก็อาจจะไม่ชวนแล้ว เพราะคิดว่า เดี๋ยวเขาก็คงปฏิเสธเหมือนเดิม ใช่ไหมคะ? (คำว่า “เหมือนเดิม” ก็แปลว่า “เหมือนอดีตที่ผ่านมา”)

บางคนไปหาลูกค้ารายที่ 1 แล้วถูกปฏิเสธมา พอไปหารายที่ 2 ก็ถูกปฏิเสธอีก ไปหารายที่ 3 ก็ถูกปฏิเสธอีก คราวนี้พอจะไปหารายที่ 4 ทำให้ไม่อยากไปแล้ว เพราะคิดว่า เดี๋ยวก็คงถูกปฏิเสธมาเหมือนเดิมอีกแน่ๆเลย .. เอาล่ะคะ พิจารณาความคิดอันนี้ดูดีๆนะคะว่า “ฉันกำลังจะไปหาลูกค้ารายที่ 4 ในอนาคต แต่ฉันคิดว่า เดี๋ยวรายที่ 4 ก็คงจะปฏิเสธเหมือน 3 รายในอดีตที่ผ่านมา” .. เราจะเอาเสียงปฏิเสธของลูกค้าในอดีตไปรออยู่ในอนาคตเรียบร้อยแล้ว

บางคนผิดหวังจากอดีต ทำให้ไม่กล้าตั้งเป้าหมายอีกต่อไป หรือ ตั้งเป้าเล็กลงเยอะ เพราะขาดความมั่นใจ .. บางคนไม่กล้าฝันด้วยซ้ำไปว่าจะรวยได้ เพราะเกิดมาพ่อแม่ก็ยากจน กว่าตัวเองจะทำงานแล้วเก็บเงินได้หลักแสนก็ยังยากเย็นแสนสาหัส แล้วจะเป็นเศรษฐีได้อย่างไร? .. บางคนเคยอกหักมาก่อน ทำให้ไม่กล้ารักใครเต็มร้อยอีก หรือปิดกั้นตัวเองไปเลย เพราะไม่อยากจะเจ็บปวดเหมือนในอดีต

เราจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าเรามีชีวิตที่ยึดติดกับ”อดีต”มากแค่ไหน!?! มันได้สร้างข้อจำกัดและส่งผลกระทบมหาศาลเพียงใดในการดำเนินชีวิตของเรา? เราไม่สามารถจะสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆได้ เพราะพื้นที่ในอนาคตของเรามันเต็มไปด้วยอดีตที่เราเอาไปใส่ไว้เองโดยที่เราไม่รู้ตัว

ลองคิดดูซิว่า ถ้าเราสามารถเอาอดีตออกจากพื้นที่ในอนาคต แล้วให้มันอยู่ในอดีตได้อย่างแท้จริง แล้วพื้นที่ในอนาคตของเราจะเป็นอย่างไรคะ? มันก็จะว่างเปล่าจากอดีตใช่ไหมคะ? แล้วถ้าอนาคตของเรามันว่างเปล่า อะไรจะเกิดขึ้นได้บ้างคะในความว่างเปล่า? อะไรก็ได้ใช่ไหมคะ? .. ขอเน้นว่า “อะไรก็ได้!” Anything and Everything!

ดิฉันจะยกตัวอย่างเรื่อง “ความมหัศจรรย์ของความว่างเปล่า” ให้ฟัง .. นึกภาพกระดานไวท์บอร์ดออกไหมคะ? ถ้ากระดานนี้ถูกเขียนจนลายเลอะเทอะไปหมดแล้ว มันก็จะมีที่ว่างน้อยมากๆเลยให้เราเติมตัวอักษรลงไป แต่ถ้าดิฉันลบกระดานนี้ให้สะอาดเลย กระดานนี้ก็จะว่างเปล่า ดิฉันสามารถที่จะเขียน “อะไรก็ได้” ลงไปบนกระดานแผ่นนี้ .. กขค ก็ได้, ABC ก็ได้, วาดรูปก็ได้ฯ

คนที่คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาบนโลกใบนี้ได้ เพราะพวกเขาไม่ยึดติดอยู่กับอดีต เขาไม่สนใจว่าอดีตจะเคยมีมาก่อนหรือไม่ เคยทำได้หรือไม่ได้ เขารู้แต่ว่าเขาอยากจะสร้างสรรค์อะไรลงไปในอนาคต .. “อนาคตที่ว่างเปล่าจากอดีตและเต็มไปด้วยความเป็นไปได้!!!”

มันน่ามหัศจรรย์ไหมคะที่ “เครื่องบิน” ซึ่งทำจากเหล็กที่หนาและหนักหลายพันตันจะลอยอยู่บนฟ้าได้! หรือ “ยานอวกาศ” สามารถลอยออกไปนอกโลกและไปร่อนลงดวงจันทร์ได้! “อินเตอร์เน็ท” สามารถติดต่อกับคนได้ทั่วโลกภายในเสี้ยววินาที! .. และยังมีสิ่งที่ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปได้อีกมากมาย!

ครั้งแรกที่คนพวกนี้บอกเพื่อนของเขาถึงสิ่งที่เขาคิดจะประดิษฐ์ขึ้นมานั้น พวกเพื่อนๆของเขาคงหัวเราะเยาะและไม่เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ เพราะในอดีตเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยมีมาก่อน เขาจึงคิดว่าสิ่งประดิษฐ์แบบนี้ เป็นไปไม่ได้!

ในงานสัมมนา“ปลุกยักษ์” ดิฉันจะให้ “คาถามหัศจรรย์” ซึ่งคุณสามารถจะใช้ทะลุทะลวงทะลายกำแพงที่ขวางกั้นหรือหยุดคุณ .. คาถามหัศจรรย์นี้คือคำว่า “มันเป็นไปได้” Anything is Possible! เวลาที่คุณเจอลูกค้าผู้มุ่งหวัง บางทีคุณอาจจะคิดว่า “เขาคงไม่สนใจที่จะซื้อสินค้าหรือมาทำธุรกิจกับเราหรอก” แล้วคุณก็จะผ่านคนนั้นไป ต่อไปนี้ให้เรียกคาถามาใช้บอกว่า “มันเป็นไปได้” แล้วให้เอ่ยปากขายหรือรีครูททันทีเลย โอเคไหมคะ? บางทีคุณอาจจะเคยไปขายหรือรีครูทไว้แล้ว แต่เขาบอกว่าขอคิดดูก่อน พอคุณกลับมา คุณก็จะไม่ติดตามแล้ว เพราะคิดว่าเขาคงไม่สนใจ ในกรณีนี้ก็ให้เรียกคาถามาใช้บอกว่า “มันเป็นไปได้” แล้วให้โทรติดตามผลทันทีเลย โอเคไหมคะ?

เรื่องของการทำเป้าซึ่งมีเส้นตายมากำหนดก็เหมือนกัน บางทีเวลาเหลือน้อยลง คุณอาจจะคิดว่า คงทำเป้าไม่ได้แล้ว ดิฉันขอให้คุณเรียกคาถา “มันเป็นไปได้” มาใช้ ให้คุณก็เดินหน้าต่อไปจนกว่าจะหมดเวลา โอเคไหมคะ? แล้วคุณจะพบความมหัศจรรย์จากคาถานี้จริงๆนะคะ!

ANYTHING IS POSSIBLE!

ระวังความคิดของคุณให้ดี!!!

ระวังความคิดของคุณให้ดี!!!

ดิฉันอยากให้คุณลองทบทวนดูว่า เวลาที่คุณคุยกับใครบางคน หรือ ได้พบเหตุการณ์อะไรบางอย่าง คุณมีความคิดเกี่ยวกับคนหรือเหตุการณ์นั้นๆอย่างไรบ้าง? คุณเคยสังเกตตัวเองไหมคะ?

ถ้าคุณโทรศัพท์ไปหาลูกค้า แล้ว ลูกค้าไม่ได้รับสาย คุณคิดว่าอย่างไรคะ? .. “ลูกค้าไม่อยากรับสายเรา” “ลูกค้าหลบหน้าเราแน่ๆเลย” “ทำไมเขาไม่รับสายเรา เขาไม่ชอบเราหรือเปล่า?” “สงสัยลูกค้าติดธุระอยู่” .. คำตอบอาจมีมากมายหลายอย่างแล้วแต่ความคิดของแต่ละคนใช่ไหมคะ?

ถ้าคุณไปขายของ แล้ว ลูกค้าเขายังไม่ซื้อ คุณคิดว่าอย่างไรคะ? .. “ทำไมเขาไม่ซื้อ(วะ)?” “ฉันนำเสนอไม่ดีหรือเปล่า?” “เขาไม่ชอบเรามั้ง?” “ฉันจะทำงานนี้ได้ไหมเนี่ย?” “ทำไมฉันขายไม่เก่งเหมือนคนอื่น?” “ดวงฉันไม่ดีเลยช่วงนี้” ฯลฯ .. โอ๊ย! มีสารพัดความคิดใช่ไหมะ?

มันเป็นการยากที่จะ “แยกแยะ” ระหว่าง 1.“สิ่งที่เกิดขึ้น” กับ 2.“สิ่งที่คุณคิดหรือตีความหรือปรุงแต่ง”!

เวลาที่เราเจอเหตุการณ์อะไรก็ตาม เราจะคิดหรือตีความแบบอัตโนมัติเลยโดยที่เราไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำไป! เพราะว่า .. “มนุษย์เป็นเครื่องจักรของการตีความ!”

เอาล่ะคะ เราลองมาแยกแยะบางตัวอย่างดูนะคะ ..
1.สิ่งที่เกิดขึ้นคือ โทรศัพท์ไปหาลูกค้า แล้วลูกค้าไม่ได้รับสาย
2. สิ่งที่เราคิด/ตีความ/ปรุงแต่ง คือ ลูกค้าไม่อยากรับสายเรา ลูกค้าหลบหน้าเราแน่ๆเลยฯ

คุณรู้ไหมคะว่า สิ่งที่ “คุณคิด/ตีความ/ปรุงแต่ง” มันจะเป็น “ความจริง” อย่างมากเลยในโลกของคุณ .. ทำไมดิฉันพูดอย่างนี้หรือคะ? ลองดูนะคะ .. ถ้าคุณเป็นคนคิดลบและคำตอบของคุณเหมือนตัวอย่างข้างต้นนี้ คุณก็จะห่อเหี่ยวหมดแรงใช่ไหมคะ? .. และถ้ามันไม่ใช่ความจริงสำหรับคุณ ทำไมคุณถึงห่อเหี่ยวล่ะคะ?!? .. คุณ “หลงเชื่อ” ความคิดของคุณว่ามันเป็นความจริง “โดยที่คุณไม่รู้ตัว” เพราะฉะนั้น “ระวังความคิดของคุณให้ดี!”

ถ้าอย่างนั้น “ลูกค้าไม่ได้รับสายแปลว่าอะไร?” .. ก็แปลว่า “ลูกค้าไม่ได้รับสายหน่ะซิคะ!”

ดิฉันได้คุยกับพี่ท่านหนึ่ง เขาทำงานขายประกันชีวิต เขาบ่นให้ดิฉันฟังว่า “ช่วงนี้ผมเครียดมาก เป็นอะไรไม่รู้ขายไม่ค่อยได้เลย ตัวเลขตก สงสัยว่า ผมคงไม่เก่ง โชคทำไมไม่เข้าข้างผมเลย มันเป็นช่วงชีวิตที่ดิ่งเหวจริงๆหรือนี่!” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังวลมาก

ดิฉันก็บอกวิธีการแยกแยะข้างต้นให้เขาฟัง ..
1.สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ขายไม่ได้ ตัวเลขตก
2. สิ่งที่คิด/ตีความ/ปรุงแต่ง คือ ไม่เก่ง โชคไม่เข้าข้าง เป็นช่วงชีวิตที่ดิ่งเหว


พอเขาได้วิธีการแยกแยะที่ชัดเจนแบบนี้ เขาก็ถึงบางอ้อเลย! เขาบอกว่า เขาหลงปรุงแต่งเรื่องราวแย่ๆแบบนี้มาตั้งนาน อยากจะหา “ไวรัส” มาเขมือบไอ้ความคิดปรุงแต่งพวกนี้จริงๆ . . ดิฉันก็บอกเขาว่า พี่อยากได้ไวรัสหรือคะ? ถ้าอย่างนั้นฟังคำตอบให้ดีๆนะคะ .. ไวรัสที่จะเขมือบความคิดปรุงแต่งพวกนี้ก็คือ “สติ”

เขาบอกว่า “เอ้อ! จริงๆด้วย ผมต้องมีสติ! ดูซิเรื่องแค่นี้ยังคิดไม่ออก ผมนี่มันไม่เอาไหนเลย!” .. โอ๊ย! ดิฉันอยากจะบ้าตาย! พูดแค่นี้พี่เขายังตีความอีกว่า เขาไม่เอาไหนเลย.. เฮ้อ! .. มนุษย์นี่เป็นเครื่องจักรของการตีความจริงจริ๊ง!!!

ต่อจากนี้ไป เราต้องเริ่มฝึกที่จะมีสติ คอยจับความคิด อารมณ์ และความรู้สึกของเราให้ทันท่วงที เวลาที่เราเศร้า หงุดหงิด กังวล โกรธฯ แสดงว่าเรากำลังปรุงแต่งตีความอะไรบางอย่างอยู่ ให้เรามี “สติ” แล้วเรียกเอา “ปัญญา” มาพิจารณา “แยกแยะ” ระหว่าง 1. สิ่งที่เกิดขึ้น กับ 2. สิ่งที่เราปรุงแต่งตีความ หลังจากนั้นให้เราอยู่กับ “สิ่งที่เกิดขึ้น” เท่านั้น .. สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งสิ้น

ถ้าคุณมีเงินเก็บ 200,000 บาท ก็คือคุณมีเงินเก็บ 200,000 บาท หรือคุณมีหนี้ 500,000 บาท ก็คือคุณมีหนี้ 500,000 บาท มันไม่ได้หมายความว่า คุณเป็นคนจน คุณไม่มีความสามารถ คุณเป็นคนไม่ประสบความสำเร็จฯลฯ

ในด้านของสายสัมพันธ์ก็ต้องระวังเรื่องการตีความเหมือนกัน เช่น พ่อกำลังตื่นเต้นลุ้นฟุตบอลนัดสำคัญอยู่หน้าจอ TV สักครู่ลูกชายเดินมาหาเพื่อชวนพ่อไปเล่นด้วย พ่อก็บอกว่า “รอพ่อดูฟุตบอลจบก่อนนะ” ลูกชายเดินคอตกออกไปจากห้องพร้อมกับความเสียใจว่า “พ่อเห็นฟุตบอลดีกว่าเรา พ่อไม่รักเราแล้ว ฯลฯ” เห็นไหมคะว่า พ่อพูดแค่นี้ แต่ลูกไปตีความว่าอะไรบ้าง

เวลาที่คุณทำงานร่วมกันเป็นทีมก็ต้องระวัง ถ้าคุณชวนทีมงานของคุณไปร่วมงานประชุมที่สำคัญมาก แต่เขาไปไม่ได้ เพราะมีนัดกับแม่ คุณก็อาจจะคิดว่า “ดูซิ งานสำคัญขนาดนี้ยังไม่ยอมไป แล้วจะประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ได้อย่างไร ไม่สนใจงานของตัวเองเลยฯ” ถ้าคุณมีความคิดแบบนี้ วันหลังเวลามีงานประชุมอีก คุณอยากจะชวนเขาไหมคะ? ภาพพจน์ของเขาในสายตาของคุณเป็นอย่างไร?

ขอให้คุณฝึกการแยกแยะและอยู่กับ “สิ่งที่เกิดขึ้น” เท่านั้น พยายามจับตัวเองให้ทันหรือมีสติเตือนตัวเองให้ได้เวลาที่ “คุณคิด/ตีความ/ปรุงแต่ง” และนี่คือ “สุดยอดเคล็ดวิชา” ที่จะทำให้คุณคลายจากความเครียด ความเศร้า และความทุกข์ทั้งหลาย

อะไรปิดกั้นความสำเร็จของคุณอยู่?

อะไรปิดกั้นความสำเร็จของคุณอยู่?

คนเราจะมีความกลัวสารพัดอย่างที่ปิดกั้นและฉุดรั้งเราไว้จากความสำเร็จ เช่น กลัวว่าเราไม่เก่งพอ กลัวว่าเราคงทำไม่ได้ กลัวเสียงปฏิเสธ กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวความล้มเหลวฯลฯ

ถ้าคุณทำงานที่จะต้องมีการสร้างทีม แน่นอนว่าคุณต้องไปเฟ้นหาคนดีมีศักยภาพแล้วพูดชักชวนโน้มน้าวให้เขาเห็นว่า ธุรกิจที่คุณไปชวนเขาทำนั้นดีอย่างไร โอกาสสุดยอดแค่ไหน แล้วคุณก็บอกกับคนที่คุณชักชวนว่า คุณเชื่อมั่นว่าเขามีศักยภาพ เขาต้องทำสำเร็จได้แน่! .. เขาฟังแล้ว เขาอาจจะตอบคุณว่า .. ไม่เป็นไร เขาทำงานเดิมของเขาก็ดีอยู่แล้ว เขาไม่เคยทำงานที่ต้องไปพูดคุยกับคนเยอะๆ เขาทำไม่ได้หรอก!

ตัวอย่างที่ยกมานี่คุ้นๆ เพราะคุณเจออยู่เป็นประจำใช่ไหมคะ? เห็นไหมคะว่า บางคนกลัวการเปลี่ยนแปลงมาก เขาไม่กล้าทำในสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย อย่างนี้เรียกว่าติดอยู่ใน Comfort Zone หรือ ความสะดวกสบาย หรือ ความเคยชินเดิมๆ เช่น งานรูปแบบเดิมๆ คนเดิมๆ เส้นทางเดิมๆ ถ้าจะต้องให้ออกไปเผชิญกับสิ่งใหม่ๆที่ไม่คุ้นเคย มันไม่อยากที่จะต้องฝืนตัวเองออกไปทำ บางทีเขาก็ปิดโอกาสตัวเองเลย

บางคนทำงานก้าวหน้ามาได้ระดับหนึ่ง ก็จะมีขอบเขตของ Comfort Zone ที่ขยายออกไปจากเดิม แต่ก็จะไปติดกับพื้นที่สบายๆแห่งใหม่อีกแล้ว ถ้าจะเลื่อนตำแหน่ง แล้วต้องทำงานมากกว่านี้ ใช้ความพยายามหนักกว่านี้ รู้สึกว่าต้องฝ่าฟันความยากลำบากมากขึ้นอีก ก็จะบอกตัวเองว่าพอแค่นี้ รอเอาไว้ก่อนแล้วกัน เห็นไหมคะว่า ความสำเร็จของเขาก็จะมีกำแพงมากั้นอีกแล้ว

ถ้าเราไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า เราก็จะย่ำอยู่กับที่! .. จริงไหมคะ?

ดิฉันเคยไป “ปลุกยักษ์” ให้กับบริษัทประกันที่หนึ่ง แล้วได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมเยียนบริษัทนั้นในภายหลัง ผู้จัดการฝ่ายขายท่านหนึ่งพบดิฉัน เขาก็ยิ้มแย้มต้อนรับแล้วแซวดิฉันว่า “อาจารย์มาทำให้ผอ.ของผมเดือดร้อน เพาะตอนนี้คนขับรถของผอ.ลาออกมาเป็นตัวแทนประกันชีวิตแล้ว! ผมไปสัมภาษณ์เขาว่า .. พี่ขับรถมาให้ผอ.ตั้ง 6 ปีแล้ว นึกอย่างไรถึงเพิ่งจะมาลาออก เพื่อเป็นตัวแทนประกันชีวิต? พี่เขาบอกว่า วันก่อนฟัง “ปลุกยักษ์” แล้วบอกกับตัวเองเลยว่า เราต้องกล้าเปลี่ยนแปลง!” ดิฉันตกใจรีบถามผจก.ท่านนั้นกลับไปว่า “แล้วเขาขายได้ไหมคะ?” ผจก.บอกว่า “ขายได้..ขายเก่งด้วย..ตอนนี้ติดคุณวุฒิไปเที่ยวต่างประเทศแล้วด้วย!!!” ว้าว! ไม่อยากจะเชื่อเลย! เห็นไหมคะว่า ถ้าเราไม่กล้าที่จะทำอะไรบางอย่างให้แตกต่างจากเดิม เราก็จะไม่มีวันได้ผลลัพธ์ใหม่ๆหรอกคะ!!!

คนที่อยากประสบความสำเร็จ เป็นคนที่ต้องฝึก..ต้องฝืนตัวเองให้กล้าเผชิญกับความยากลำบากที่ไม่คุ้นเคย เอาตัวเองออกมาจาก Comfort Zone เพื่อขยายขีดความสามารถและระดับความสำเร็จของตัวเองออกไป!

บางคนกลัวกับการที่ต้องไปขายหรือรีครูทคนที่มีศักยภาพเหนือกว่าเรา! ไม่ทราบว่าอันนี้รวมถึงตัวคุณด้วยหรือเปล่าคะนี่? คุณอยากได้ “คาถาเอาชนะความกลัว” ไหมคะ? .. ฟังดีๆนะคะ! .. เวลาเจอคนมีศักยภาพมากกว่าเรา ให้คุณมีสติ จับตัวเองและยอมรับไปก่อนเลยก็ได้ว่า คุณกลัว (ถ้าเป็นเมื่อก่อน คุณก็จะเงียบ หรือไม่ก็เดินหนีไปเลยใช่ไหมคะ?) ให้คุณวางความกลัวไว้ข้างๆคุณก่อน แล้วเรียก “คาถาเอาชนะความกลัว” ของดิฉันมาใช้ โดยบอกกับตัวเองว่า “ 1 .. 2 .. 3.. ลุย!!! ” “สวัสดีค่ะ คุณลูกค้า.......” เอ่ยปากขายหรือเอ่ยปากรีครูทเลยโอเคไหมคะ? แล้วคุณจะช็อกกับความมหัศจรรย์ของคาถานี้!

หลังจากออกจากสัมมนา “ปลุกยักษ์” ไปไม่กี่วัน พี่ผู้หญิงท่านหนึ่งโทรศัพท์มาหาดิฉัน แล้วส่งเสียงด้วยความตื่นเต้นดีใจสุดขีดบอกว่า “อาจารย์.. พี่โทรมาบอกอาจารย์เป็นคนแรกเลยนะเนี่ย .. พี่เพิ่งเก็บเช็คมา 3 ล้านบาท! .. ก่อนหน้านี้พี่ไม่เคยกล้าขายเศรษฐีเล๊ย แต่พอนึกถึงอาจารย์ ก็บอกตัวเองว่า เอาวะ .. กล้าๆหน่อย .. ลุย!” แล้วก็ขายได้จริงๆด้วย! .. สุดยอดไหมคะ!?!

ความจริงแล้วความกล้ามันก็อยู่ในตัวเรานี่แหละ แต่เราไม่เคยเรียกมันออกมาใช้ แล้วคุณก็ไม่ต้องไปหาวิธีกำจัดความกลัวให้หมดไป เพราะความกลัวจะอยู่กับคุณตลอดชีวิต คุณไม่มีทางกำจัดมันได้ แต่ให้คุณอยู่กับความกลัว บางคนบอกว่า “ให้เราเต้นรำไปกับความกลัว”

คุณคิดว่าคนที่กล้าหาญเขาไม่มีความกลัวหรือคะ? เขากลัวคะ..แต่เขาก็ลงมือทำทั้งๆที่กลัว! นั่นแหละคือความกล้าหาญที่แท้จริง!!!

บางคนกลัวความล้มเหลว ทำให้ไม่กล้าตั้งเป้าหมาย หรือบางครั้งเขาก็เอาแต่คิดว่า ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จละ? ฉันจะทำได้หรือ? มันจะได้จริงหรือเปล่า? จะเสียเวลาและเสียแรงไปฟรีๆไหม? พวกนี้จะเอาแต่คิดๆๆ กังวลๆๆ ไม่กล้าที่จะลงมือทำ หรือ ลงมือทำก็ทำแบบกล้าๆกลัวๆ ไม่ยอมลงทุนลงแรงทำเต็มที่ เพราะกลัวจะขาดทุน กลัวจะล้มเหลว พวกเขาเล่นเกมแบบตั้งรับ ไม่ยอมเล่นเกมรุก เล่นแบบกันไม่ให้แพ้ .. คนที่ประสบความสำเร็จเขาจะลงมือทำอย่างเต็มที่ จริงจัง ทุ่มเทสุดๆ เขาเล่นเกมเพื่อที่จะชนะเท่านั้น!!!!

แล้วตัวคุณละคะ .. คุณกลัวอะไรอยู่คะตอนนี้ คุณเล่นเกมเพื่อที่จะชนะหรือเปล่า?

คนที่กล้าหาญคือคนที่ลงมือทำทั้งๆที่กลัว!

คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่เล่นเกมเพื่อที่จะชนะ!

คิดถึงสิ่งใด ดึงดูดสิ่งนั้น ฉบับที่ 159

คิดถึงสิ่งใด ดึงดูดสิ่งนั้น ฉบับที่ 159

นี่เป็นหลักการที่สำคัญของ “กฎการดึงดูด” The Law of Attraction เวลาที่เราคิด เรากำลังส่งกระแสคลื่นพลังงานออกไปดึงดูดสิ่งที่คิดเข้ามาในชีวิต ซึ่งมันจะส่งผลให้สิ่งที่คิดนั้นปรากฏขึ้นจริงเป็นรูปธรรม พูดง่ายๆก็คือ “เราจะดึงดูดสิ่งที่เราคิด”

คิดลบจะดึงดูดสิ่งลบ คิดบวกจะดึงดูดสิ่งบวก

สิ่งประดิษฐ์ ข้าวของ เครื่องใช้ต่างๆ เช่น รถยนต์ TV ตู้เย็น เก้าอี้ สะพาน คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ ทุกอย่างเกิดขึ้นครั้งแรกใน “ความคิด” ของใครบางคนที่ “อยาก”จะมีสิ่งนี้ ต่อมาก็“นึกถึงจินตนาการถึง”ว่าหน้าตามันจะเป็นอย่างไร มี”ใจจดจ่อ”อยู่กับมัน วาดรูปออกมา “พูด”คุยกับคนอื่นๆเกี่ยวกับมัน แล้วก็ลอง”ลงมือทำ”ดู ปรับแก้จนกว่าจะใช้ได้ดี และแล้วผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้นก็ออกมา”ปรากฏโฉม”อยู่บนโลกใบนี้!

เราซื้อรถก็เพราะเรา“อยาก”ขับรถ “นึกเห็นภาพ”รถในหัว กระดี้กระด๊า ถ้าได้ขับคงดีน่าดู เอาหนังสือรถมาดู “พูด”คุยถึงเรื่องรถ ไปที่โชว์รูมรถ ลองขับรถด้วยตัวเอง “ลงมือ”เก็บสะสมเงินทอง แล้วเราก็จะ“ได้”รถมาครอบครอง

ถ้าผู้ชายคนไหน”อยาก”มีแฟน คอยสอดส่ายสายตามองหาสาวๆ เจอคนไหนที่ ปิ๊ง! ก็จะ”คิดถึง”เขาบ่อยมาก “ลงมือ”ขอเบอร์โทรจากเพื่อน “ทุ่มเทเวลาให้” ไปรับไปส่ง พาไปเที่ยว ไปทานข้าว โทรศัพท์หาเขา 3 เวลาหลังอาหาร สุดท้ายชายหนุ่มคนนี้ก็จะ“ได้”เขาเป็นแฟน

เห็นหรือยังว่า ถ้าเรา “คิดถึง” สิ่งใด “เอาใจจดจ่อ”อยู่กับสิ่งใด และ“ลงมือทำ”ในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ สุดท้ายเราก็จะ “ดึงดูด” สิ่งนั้นเข้ามา

ถ้าอยากมีแฟน แต่ไม่คิดถึงแฟน จะมีแฟนไหม? .. ถ้าไม่ได้นึกถึงเขาเท่าไร ไม่มีเวลาให้ ไม่เคยโทรไปคุย ไม่เคยพาไปเที่ยว แล้วจะมีแฟนไหม?

คนจนที่ไม่รวยสักทีก็เพราะคิดถึงแต่ความยากจน ก็เลยยากจนอยู่อย่างนั้น

สมองคนเราคิดได้ทีละเรื่อง .. คิดอย่างไร ได้อย่างนั้น

ถ้าใช้เวลาส่วนใหญ่คิดถึงแต่ความยากจน หรือคิดถึงแต่ปัญหาอุปสรรคในชีวิต ก็เหลือเวลาอีกนิดเดียวในการมองหาโอกาสสร้างความร่ำรวย หรือแม้กระทั่งห่อเหี่ยว จิตตก หมดกำลังใจไปซะก่อน จนไม่มีกะจิตกะใจจะคิดหาทางร่ำรวย

ถ้าทำแบบนี้ แล้วเมื่อไรจะรวย?

ถ้าอยากรวย ก็ต้อง”คิดถึง”ความมั่งคั่งร่ำรวย “จดจ่อ”ถึงวิธีการสร้างความร่ำรวย

ลองคิดดูว่าจะทำอะไรได้บ้างที่จะทำให้เราร่ำรวย เปิดตาดู เปิดหูฟัง มองหาโอกาสที่อยู่รอบตัวเราเยอะๆ แล้ว”ลงมือทำ”ปรับแก้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะสำเร็จ ในที่สุดเราก็จะ“ได้”ความร่ำรวยเป็นผลลัพธ์ในชีวิต!!

ถ้าเรา “อยากได้” อะไร .. ให้เรา “คิดถึง” สิ่งนั้น .. มี “ใจจดจ่อ” อยู่กับสิ่งนั้น .. “พูดถึง จินตนาการถึง รู้สึกถึง” มันบ่อยๆ .. แล้ว “ลงมือทำ” ในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ .. สุดท้ายเราก็จะ “ได้” หรือ “ดึงดูด” สิ่งนั้นเข้ามา!!

เมื่อปีที่แล้ว โค้ชได้มีโอกาสบินไปเรียนกับสุดยอดปรมาจารย์ที่ประสบความสำเร็จสูงมากทางด้านการเงินท่านหนึ่งชื่อ T.Harv Eker ในหลักสูตรชื่อ Millionaire Mind Intensive ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ทรงพลังมากๆๆๆๆ !!

หลักสูตรนี้เขาสอนเรื่องระบบความคิดของคนที่จะเป็นระดับ “มหาเศรษฐี” ซึ่งคนส่วนใหญ่โดยทั่วไปยังมีระบบความคิดที่ปิดกั้นความมั่งคั่งร่ำรวยอยู่หลายอย่าง

T.Harv Eker ให้เราสำรวจ “พิมพ์เขียวทางการเงิน” Financial Blueprint / Money Blueprint ซึ่งมันจะฝังอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกของตัวเราเอง โดยผ่านการตอบคำถามต่างๆ เขาให้เราทบทวนชีวิตตั้งแต่ยังเป็นเด็กว่า เราเติบโตมาในสภาพครอบครัวแบบไหน เราอยู่แวดล้อมกับคนแบบไหน เรามีระบบความคิดด้านการเงินแบบไหน

โค้ชเคยแปลกใจอยู่เหมือนกัน โค้ชเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบสุดขั้ว มีชีวิตที่ก้าวกระโดด แต่มันก็เหมือนติดเพดานด้านรายได้อยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งโค้ชก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร พอโค้ชได้มีโอกาสเรียนหลักสูตรนี้ ได้ทำแบบสอบถาม ได้โปรแกรมตัวเองใหม่ ..

ว้าว! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ความคิดหลายอย่างของเราเกี่ยวกับเรื่องเงินและการสร้างความมั่งคั่งมันเปลี่ยนแปลงไป ทำให้โค้ชสามารถทะลุเพดานรายได้ที่เคยติดอยู่ออกไปได้ .. ซึ่งมันสุดยอดมาก..ก..ก!!

โค้ชจึงมีแรงบันดาลใจอยากจะถ่ายทอดให้ผู้คนได้ค้นหาข้อจำกัดที่ทำให้เราไม่ร่ำรวยอย่างเต็มที่สักที โค้ชจัดสัมมนาหลักสูตรชื่อ “ไขความลับสู่ความมั่งคั่ง” มาหลายครั้งแล้วเหมือนกัน ซึ่งแต่ละครั้งคนที่ได้เรียนกลับไปแล้วสามารถยกระดับชีวิตตัวเองด้านการเงินได้เลย!!

หลายคนชอบเรื่อง “6 กระปุกเงิน” มาก เขาบอกว่าการบริหารเงินในกระเป๋ามันง่ายขึ้นเยอะเลย และรู้ว่าควรแบ่งสัดส่วนให้ความสำคัญกับเรื่องอะไรบ้าง

หลายคนได้ทำแบบสอบถาม 60 ข้อแล้วถึงกับอึ้งไปเลย เพราะมีระบบความคิดอีกเยอะมากที่ปิดกั้นความมั่งคั่งร่ำรวยอยู่!!

มา “ปลุกยักษ์” กันเถอะ ฉบับที่ 157

มา “ปลุกยักษ์” กันเถอะ ฉบับที่ 157

คนเรามีสิ่งที่อยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น มากมาย แต่ทำไมมีคนจำนวนไม่มากที่สามารถทำได้?

ในงานสัมมนา “ปลุกยักษ์” ของดิฉันนั้น จะมีผู้มาเข้าร่วมสัมมนาจำนวนหลายร้อยคน ซึ่งมากันทั่วทุกสารทิศ ทั้งภาคเหนือ ภาคอิสาน ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้ นั่งรถทัวร์มากันบ้าง เหมารถตู้มากันหลายคันรถบ้าง นั่งเครื่องบินมาบ้าง บางกลุ่มก็มากันที 20-30 คน

เวลาถามว่า “ใครอยากประสบความสำเร็จในชีวิตบ้าง?” ก็จะมีคนยกมือขึ้นพรึ๊บเกือบทั้งห้อง ยิ่งถามว่า “ใครอยากรวยบ้าง?” บางคนถึงกับยก 2 มือเลย!!

ถ้าเรามีแค่คำว่า “อยาก” สำเร็จ หรือ “อยาก” รวย แล้วทำให้เรา “สำเร็จ” หรือ “รวย” ป่านนี้คงมีคนรวยเดินชนไหล่กันเต็มท้องถนนไปหมดแล้ว ใช่ไหมคะ? .. มันไม่ง่ายแค่นั้นหรอกค่ะ เราต้องทำอะไรบางอย่างที่มากกว่าแค่คำว่า “อยาก”

และความจริงแล้วความ “อยาก” ก็มีตั้งหลายระดับ “อยากน้อย อยากมาก กับ โคตรอยาก” .. แล้วคุณล่ะ.. “อยาก” ระดับไหนคะ?

ดิฉันมักจะพูดอยู่เสมอว่า ชีวิตของคนเราเหมือนการไต่ขึ้นภูเขาที่ไม่มียอด เราสามารถประสบความสำเร็จได้มากขึ้นเรื่อยๆ มั่งคั่งร่ำรวยได้มากขึ้นเรื่อยๆ มีความสุขที่ลึกซึ้งได้มากขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งสำคัญอยู่ที่ เราต้องเป็นคนที่ “อยากไต่” อยากก้าวหน้า อยากสำเร็จ อยากร่ำรวย และเราจะต้องเป็นคนที่ “ลงมือไต่” ด้วยตัวของเราเอง!!

หลายคนอยากก้าวหน้า อยากประสบความสำเร็จมากกว่าเดิม แต่ไม่ยอมทำงานหนัก ต้องไปติดต่อลูกค้าไกลหน่อย ก็ไม่ไป ต้องเรียนรู้พัฒนาตัวเองเข้าสัมมนาบ้าง ก็ไม่เอา หนังสือไม่เคยอ่าน

คนส่วนใหญ่ชอบทำงานง่ายๆสบายๆ ไม่อยากให้ตัวเองต้องลำบากหรือเหนื่อยยากเกินไป บางคนก็ติดอยู่กับความเคยชินเดิมๆ งานเดิมๆ คนเดิมๆ เส้นทางเดิมๆ หรือเรียกว่าติดอยู่ใน Comfort Zone นั่นเอง!!

จำไว้นะคะว่า “ระดับความสำเร็จและระดับความมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ Comfort Zone ที่เรามี” ถ้าพื้นที่ความเคยชินของเรามีขนาดเล็กมาก เราก็จะประสบความสำเร็จได้น้อยมาก คนที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่คือคนที่ขยายขนาดพื้นที่ Comfort Zone ของตัวเองออกไป

คนที่ประสบความสำเร็จเขายินดีที่จะทำในสิ่งที่คนไม่สำเร็จไม่อยากทำ

คนที่ไม่สำเร็จประปล่อยให้อารมณ์ต่างๆเข้าครอบงำ เช่น ถ้าวันนี้รู้สึกขี้เกียจ ยังไม่อยากทำงาน ก็จะไม่ทำ
ในขณะที่คนสำเร็จจะ “ลงมือทำทั้งๆที่ไม่มีอารมณ์ทำ”!!

คนที่ไม่สำเร็จจะปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งเขาจากการลงมือทำสิ่งต่างๆ แต่คนที่สำเร็จจะ “ลงมือทำทั้งๆที่กลัว”!!

คนไม่สำเร็จจะปล่อยให้ตัวเองคิดลบ หมดพลังใจ ห่อเหี่ยวจิตตก แต่คนสำเร็จจะคิดบวก รักษาพลังใจของตัวเองไว้ จดจ่อที่จุดหมาย

คนไม่สำเร็จจะลังเล สงสัย ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่คนสำเร็จจะสร้างพลังความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในตัวของเขา

คนไม่สำเร็จจะยอมพ่ายแพ้ต่อปัญหาและอุปสรรคระหว่างทางที่เขาพบเจอ แต่คนสำเร็จจะ “ยืนหยัดจนกว่าจะสำเร็จ”!!

คนไม่สำเร็จจะปล่อยให้ “ยักษ์” ในตัวเองนอนหลับใหลขี้เซาต่อไป แต่คนสำเร็จจะ“ปลุกยักษ์” ในตัวเองให้ตื่นขึ้นมา

คนที่ประสบความสำเร็จเขาจะทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เขาปรารถนา เขาจะยอมลงทุน ทั้งเวลา เงินทอง แรงกาย แรงใจ ยอมเหนื่อย ยอมลำบาก ยอมอดทน เพื่อแลกกับความสำเร็จที่เขาใฝ่ฝัน

ดิฉันเองก็เคยเป็นคนที่เหลาะแหละ เหยาะแหยะ จับจด ไม่มุ่งมั่น และไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการ ดิฉันรู้สึกเสียใจและเจ็บปวดที่ตัวเองเป็นแบบนั้น ดิฉันจึงตัดสินใจที่จะ “ปลุกยักษ์” ที่ขี้เซา ขี้เกียจ ขี้กลัว ให้ “ตื่น” ขึ้นมามีพลังอย่างเต็มเปี่ยม!!

ดิฉันสามารถใช้พลังและศักยภาพภายในที่ซ่อนเร้นอยู่ได้มากขึ้นแบบน่ามหัศจรรย์ ดิฉันได้มีโอกาสสร้างแรงบันดาลใจ ถ่ายทอดวิธการ “ปลุกยักษ์” ในตัวเราเองให้กับผู้คนนับแสนมาแล้วทั่วประเทศ ดิฉันมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนที่เป็นเหมือนดิฉันสมัยก่อน ให้เขาสามารถลุกขึ้นมาสร้างผลลัพธ์แบบใหม่ในชีวิต มีความมุ่งมั่นในการลงมือทำสิ่งที่ฝันให้เป็นความจริง!!

ลองคิดดูซิคะ ถ้า “ยักษ์” ในตัวของเราตื่นขึ้นมา ชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็วมากขนาดไหน!!

เชื่อไหมคะว่ามีน้องผู้หญิงคนหนึ่งเขาได้เข้าสัมมนา “ปลุกยักษ์” แล้วบอกว่า “ยักษ์ในตัวหนูตื่นขึ้นมาแล้วค่ะ ขอบคุณอาจารย์มากๆ ขอบคุณจริงๆ!!”

รีบ “ปลุกยักษ์” ในตัวคุณให้ตื่นขึ้นมาเถอะค่ะ!!

แล้วคุณจะตื่นเต้นที่ได้พบกับตัวตนที่ยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่ภายในตัวของคุณเอง!!!

สร้างชีวิตที่ใฝ่ฝัน ฉบับที่ 155

สร้างชีวิตที่ใฝ่ฝัน ฉบับที่ 155

อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม อยากเป็นคนเก่ง อยากประสบความสำเร็จ อยากมีเงินทองใช้เยอะๆ . . แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร??? . .

ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร เก่งอะไรเป็นพิเศษ หรืออยากทำอะไรจริงๆ!?!

หลายคนใช้ชีวิตแบบไม่มีจุดมุ่งหมาย ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีมีชีวิตชีวา ไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่มีพลัง!! . .

บางคนอาจจะมีความฝันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำให้มันเป็นความจริงได้อย่างไร? . . เพราะไม่มีคนคอยชี้แนะ ไม่มีคนให้การสนับสนุน! . .

บางคนก็ไม่กล้าลงมือทำ เพราะขาดความมั่นใจ รู้สึกว่าตัวเองยังเก่งไม่พอ ยังดีไม่พอ! ..
บางคนไม่กล้าแม้แต่จะคิด ไม่กล้าแม้แต่จะฝัน เพราะรู้สึกว่ามันไกลเกินเอื้อม มันเป็นไปไม่ได้!
แล้วคุณล่ะคะ! . . ตอนนี้คุณอยู่จุดไหนของชีวิต?

กูรูที่เก่งๆทุกคนสอนเทคนิคที่ทรงพลังมากอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้เป็นหนทางลัดสั้น เพื่อนำพาเราไปสู่ความสำเร็จคือ การ Modeling หรือ “การลอกแบบ” ทำตามคนที่ทำสำเร็จแล้วในสิ่งที่เราอยากทำ

ถ้าอยากเป็นคนมีเสน่ห์ ลองมองหา “ต้นแบบ” คนที่เราชื่นชอบ คนที่เขามีเสน่ห์ในความรู้สึกของเรา แล้วสังเกตรูปแบบวิธีคิด วิธีการมองโลกของเขา สังเกตวิธีการที่เขาแสดงออก การปฏิสัมพันธ์กับผู้คน การพูดจา การใช้ภาษากายของเขา แล้วพยายามทำเลียนแบบเขา ฝึกไปเรื่อยๆ เราก็จะสามารถมีเสน่ห์เหมือนเขาได้เช่นกัน สมัยเป็นเด็กนักเรียน ดิฉันเคยใช้เทคนิค “การลอกแบบ” โดยที่ดิฉันไม่รู้ตัว!

ตอนที่ดิฉันเรียนมัธยมต้นอยู่ที่รร.สาธิตปทุมวัน ดิฉันเป็นเด็กนักเรียนที่ค่อนข้างจะเงียบๆ เรียบร้อย รู้สึกตัวว่าเป็นคนที่ไม่มีเสน่ห์ ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครเข้ามาหาเรา แล้วเราก็สังเกตเห็นเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาดูเป็นคนมีเสน่ห์ เพื่อนคนอื่นๆชอบเข้าไปคุยกับเขา

ดิฉันอยากจะมีเสน่ห์ อยากเป็นคนน่ารักแบบเขาบ้าง ดิฉันจึงเริ่มสังเกตวิธีการพูด วิธีการเดิน วิธีการยิ้ม และการแสดงออกอื่นๆของเขา

ดิฉันสังเกตเห็นว่าเขาเป็นคนมีชีวิตชีวา ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา เขาเดินเหินรวดเร็ว ดูเป็นคนกระตือรือร้นมาก เวลาพูดกับใคร เขาก็จะยิ้ม ตาเป็นประกาย สนอกสนใจคนที่เขาคุยด้วย

ดิฉันจึงเริ่มเปลี่ยนบุคลิกตัวเองใหม่ หัดยิ้มเยอะๆ หัดเดินให้เร็วขึ้น หัดเคลื่อนไหวร่างกายและทำสิ่งต่างๆอย่างกระตือรือร้น พูดกับใครก็จะสบตาเขาแล้วยิ้มไปด้วย ..

ว้าว! ดิฉันรู้สึกได้เลยว่า ดิฉันเป็นคนที่ดูมีชีวิตชีวาและมีเสน่ห์มากขึ้น!!

เเต่หลังจากที่เรียนจบบัญชีจุฬา แล้วบินไปต่อโทที่อเมริกา กลับมาเมืองไทยก็ทำงานบัญชีการเงินอยู่10 กว่าปี ทำให้ดิฉันกลายเป็นคนที่เงียบๆ เรียบร้อย เก็บตัว ชีวิตมีแต่บ้านกับออฟฟิศ เฉิ่มเชย จนมีฉายาว่า “ซูเปอร์ซิ้ม” แต่ปัจจุบันดิฉันเป็น “ซูเปอร์วูแมน” เป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจที่เดินสายไปสร้างพลังใจ ปลุกไฟในการทำงานมาแล้วทั่วประเทศ

ดิฉันได้มีโอกาสเรียนกับสุดยอดกูรูเก่งๆระดับโลกหลายท่าน จนสามารถพัฒนาศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในให้เอาออกมาใช้ได้มากขึ้น ดิฉันเข้าใจในสิ่งที่เขาสอนอย่างลึกซึ้ง

ดิฉันเรียนรู้และฝึกฝนตัวเองอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ดิฉันภาคภูมิใจกับตัวตนคนใหม่ที่ดิฉันเป็น ดิฉันรักในสิ่งที่ดิฉันทำมากๆ ดิฉันมีความสุขกับทุกวันในชีวิต เรียกได้ว่า “ตกหลุมรักชีวิตของตัวเอง”

หลายคนยังไม่ได้มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขอย่างเต็มเปี่ยม เพราะเขาไม่รู้วิธีการว่าเขาจะต้องทำอย่างไรบ้าง บางคนไม่เคยค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเลย แล้วเขาจะสร้างชีวิตที่เขาใฝ่ฝันได้อย่างไร?? ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม อยากประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน คุณจะต้องเริ่มต้นที่การค้นหาความฝัน และแรงบันดาลใจที่แท้จริงของตัวเอง

คุณต้องรู้ว่าคุณอยากเป็นคนแบบไหน คุณชอบทำอะไรสุดๆ คุณเก่งหรือมีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง หน้าตาชีวิตที่สมบูรณ์แบบในอุดมคติของคุณเป็นอย่างไร ฯลฯ

ความจริงดิฉันมีชุดคำถามเพื่อสืบค้นลงไปในตัวเองหลายข้อมาก ซึ่งปกติดิฉันจะให้ผู้ที่ได้เข้าสัมมนาหลักสูตร “ออกแบบชีวิตที่ใฝ่ฝัน” ได้ทำในเวลา 2 วันเต็มๆ เพื่อค้นหาความปรารถนาที่แท้จริงของชีวิตตัวเอง เราเกิดมาบนโลกใบนี้เพื่ออะไร อะไรคือคุณค่าในตัวเรา เราควรจะทำงานอะไรดี เพื่อประสบความสำเร็จและมีความสุขในระดับที่เรียกว่า “ไม่ธรรมดา” และมี “ชีวิตที่ใฝ่ฝัน”ได้อย่างแท้จริง!!

ดิฉันได้ถ่ายทอดเทคนิคและเคล็ดลับในการพัฒนาตนเองแบบก้าวกระโดดให้ผู้คนได้นำไปใช้เป็นทางลัดของชีวิตเอาไว้ในหนังสือ “เมื่อยักษ์ตื่น” ซึ่งเป็นหนังสือที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก วางตลาดไม่ถึงเดือน ก็ติดอันดับ Top 3 หนังสือขายดีที่ร้าน Se-Ed ด้วยความรวดเร็ว!!

ค้นหาตัวเองให้เจอ !! (ฉบับที่ 143)

ค้นหาตัวเองให้เจอ !! (ฉบับที่ 143)

หลายคนทำงานด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย ขาดแรงจูงใจในการทำงาน ห่อเหี่ยว ท้อแท้ใจ ไม่มีพลัง !?! หลายคนทำงาน เพราะจำเป็นต้องทำ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีรายได้ ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้ชอบงานที่ตัวเองทำอยู่เลยก็ได้ !?!

หลายคนยังค้นหาตัวเองไม่เจอ ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร หรือเก่งอะไร ไม่รู้เลยว่าอะไรคือความฝันและแรงบันดาลใจของตัวเอง !?!

หลายคนรู้แต่ว่าอยากจะมีชีวิตที่มีความสุขและประสบความสำเร็จ แต่พอให้อธิบายว่าชีวิตแบบนั้น หน้าตาเป็นอย่างไร ก็ตอบไม่ได้ !?!

หลายคนอยากรวย แต่พอถามว่า รวยเท่าไร? ก็ตอบไม่ได้ !?!

หลายคนต้องการมีรายได้เพิ่ม ก็จะมองหาโอกาสในสิ่งที่ได้พบเห็น เช่น เห็นคนเขานิยมเปิดร้านกาแฟ ก็เปิดร้านขายกาแฟกับเขาบ้าง หรือซื้อแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อมาทำธุรกิจ หรือเปิดบริษัทขายอุปกรณ์ IT หรือ เป็นตัวแทนประกันชีวิต หรือทำธุรกิจเครือข่าย MLM ฯลฯ

เวลาที่เขาทำไประยะหนึ่งแล้ว กลับพบว่างานนั้น “ไม่ใช่ตัวตนของเขา” เช่น มีคนมาชวนไปทำธุรกิจเกี่ยวกับการประหยัดน้ำมัน ซึ่งเขาก็รู้ว่า ในภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ คนต้องการหาวิธีการประหยัดค่าใช้จ่าย ก็น่าจะสร้างเงินได้ดี แต่ความจริงแล้ว เรื่องการประหยัดน้ำมันหรือการใช้พลังงานทดแทน ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขาเลย เขาชอบและให้ความสนใจในเรื่องของ รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ความงาม การมีบุคลิกดี ฯ

ดิฉันเชื่อว่า ถ้ามีใครชวนเขาไปร่วมธุรกิจที่เกี่ยวกับความสวย ความงาม เขาจะมีพลังและมีความสุขในการทำงานมากๆ และนั่นแหละเขาถึงจะมีโอกาสในการสร้างรายได้ที่ดีตามมา

เมื่อไม่นานมานี้ ดิฉันได้มีโอกาสคุยกับน้องผู้หญิงคนหนึ่ง เขาบอกว่า หลังจากกลับไปจากงานสัมมนา “ปลุกยักษ์” เขามีความเชื่อมั่นในตัวเองและมีพลังเพิ่มขึ้นมาก แต่ตอนนี้เขากำลังห่อเหี่ยวใจ ดิฉันก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เล่าให้ฟังว่า เขารับราชการ ซึ่งเงินเดือนน้อย จึงไปทำธุรกิจเครือข่ายอาหารสุขภาพ เพราะอยากมีรายได้เพิ่มขึ้น พอทำไประยะหนึ่งแล้ว เขารู้ตัวเองเลยว่าเขาไม่ได้ชอบงานแบบนี้ แต่เขาเรียนรู้มาว่า ถ้าอยากสำเร็จเขาต้องไม่ล้มเลิก ซึ่งเขาไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป จึงขอคำปรึกษาจากดิฉัน

ดิฉันก็ถามเขาว่า “ถ้าไม่ชอบงานแบบนี้ แล้วจริงๆชอบงานแบบไหนล่ะ?” เขาพูดตอบกลับมาทันทีด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใสมากเลยว่า “หนูอยากเป็นดีเจรายการวิทยุ” ดิฉันทึ่งมาก เพราะเขาตอบกลับด้วยความรวดเร็วและกระตือรือร้นยิ่งนัก น้ำเสียงเปลี่ยนจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง!!

เขาบอกว่า “ตอนเด็กๆ หนูอยู่บ้านญาติ ห่างไกลจากพ่อแม่ หนูก็เลยใช้วิทยุเป็นเพื่อน หนูฟังรายการวิทยุทุกคืน หนูชอบไปร่วมกิจกรรมเวลาที่เขาจัดงานพิเศษ หนูเป็นแฟนคลับเขาเลยแหละค่ะ” เขาเล่าอย่างมีความสุขมาก

ดิฉันถามว่า “แล้วทำไมไม่ไปทำงานเป็น ดีเจวิทยุล่ะ”
“หนูอยากทำมาก..ก..กค่ะ หนูเคยไปฝึกงาน ลองทำดู แต่ได้รายได้น้อยมากเลยค่ะ หนูอยากมีเงินใช้มากกว่าเงินเดือนประจำ หนูจึงมาทำ MLM เพื่อนที่ชวนหนูทำ เขาก็บอกว่าหนูพูดเก่ง หนูทำได้แน่นอน แต่หนูไม่ชอบงานแบบนี้เลยค่ะ” สาวน้อยคนนี้ตอบกลับมา

ดิฉันบอกว่า “เราเป็นคนที่โชคดีมากเลยรู้ไหม ที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรและอยากทำอะไร!! ในขณะที่คนจำนวนเยอะมาก ยังสบสนอยู่เลยว่า จริงๆแล้วตัวฉันชอบอะไรกันแน่ หรือฉันเก่งอะไร ยังหาตัวเองไม่เจอเลย!!!”

ดิฉันไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมน้องคนนี้ถึงกำลังท้อใจกับงาน MLM อยู่ เพราะจริงๆแล้ว เขาไม่ได้รักที่จะทำสิ่งนี้ มันไม่ใช่แรงบันดาลใจของเขา มันไม่ใช่ตัวตนของเขา!!!

ดิฉันบอกว่า “เราสามารถสร้างรายได้ ได้เยอะแยะมากมายจากการจัดรายการวิทยุ เช่น ขายโฆษณา หาสปอนเซอร์มาสนับสนุนรายการ จัดกิจกรรมต่างๆ พาทัวร์ ฯลฯ ซึ่งได้ทั้งเงิน และทำงานอย่างมีความสุขด้วย!! แต่ก่อนอื่นเราต้องเข้าไปศึกษาวิธีการทำธุรกิจด้านวิทยุว่าเขาทำกันอย่างไร จัดเวลาในชีวิตตัวเองให้ดี และอย่าเพิ่งลาออกจากงานประจำ ทำควบคู่กันไประยะหนึ่งก่อน แล้วค่อยพิจารณาจังหวะเวลาที่เหมาะสมต่อไป ใจเย็นๆ ค่อยๆทำไปทีละก้าว รวยได้แน่นอน!!”

คนส่วนใหญ่ไม่เคยตั้งหลักคิด ไม่เคยค้นหาตัวเองเลยว่าจริงๆแล้ว เราชอบอะไร? เราเก่งอะไร? เราอยากทำอะไร? เราอยากมีอะไร? เราอยากเป็นอะไร? เราเกิดมาทำไม? อะไรคือความฝันและแรงบันดาลใจของเรา? และเราต้องทำอย่างไรเพื่อทำให้ความฝันของเราเป็นจริง?

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ค้นหาตัวเองให้เจอ ทำในสิ่งที่เรารัก รักในสิ่งที่เราทำ ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด ทุ่มเทให้เต็มร้อย ทำในสิ่งที่ตลาดต้องการ สร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น เป็นคนดี หมั่นทำบุญทำกุศลด้วย เราจะมีความสุขและรวยแน่นอน !!!

ดิฉันเห็นปัญหาข้อนี้มากๆ จึงจัด สัมมนาชื่อ “Design Your Life” “ออกแบบชีวิต” เพื่อช่วยให้ผู้คนได้ค้นหาตัวเอง รู้จักตัวเองอย่าแท้จริง ค้นหาความฝันและแรงบันดาลใจของตัวเอง ชัดเจนกับชีวิต ออกแบบชีวิตของตัวเอง สร้างแผนที่การเดินทาง เพื่อทำความฝันให้เป็นความจริง (Road Map to Success)

วิธีเพิ่มศักยภาพงานขาย (ฉบับที่ 140)

วิธีเพิ่มศักยภาพงานขาย (ฉบับที่ 140)

นักขายหลายคนอยากประสบความสำเร็จ แต่เขาทำได้ช้ามาก เพราะเขา”ไม่รู้”ว่าเขาควรจะต้องฝึกฝนตัวเองอย่างไร!?! .. บางคนทำทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่เคยเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน แล้วจะสร้างผลลัพธ์แบบใหม่ได้อย่างไร!?!

บางคนอาจจะมีความสามารถอยู่แล้ว แต่อยากประสบความสำเร็จมากขึ้น แต่ยังหาหนทางไม่เจอว่าจะต้องเดินหน้าต่อไปอย่างไร

ชีวิตของคนเราเหมือนการไต่ขึ้นภูเขาที่ไม่มียอด เราสามารถจะปีนสูงขึ้นไปได้เรื่อยๆ .. หมายความว่า เราสามารถจะประสบความสำเร็จและมั่งคั่งร่ำรวยในระดับที่สูงขึ้นไปได้เรื่อยๆ

ไม่ว่าตอนนี้คุณอยู่จุดไหนของชีวิต เช่น คุณอาจจะเป็นสุดยอดนักขาย หรือคุณเป็นผู้บริหารระดับสูงแล้ว หรือคุณกำลังไต่เต้าอยู่ และไม่ว่าตอนนี้คุณทำงานมีรายได้เดือนละเท่าไร ให้คุณรู้ว่าว่าคุณสามารถไปได้ไกลว่านี้อีกเยอะ!!

นักขายจะต้องฝึกตัวเองให้เก่ง 2 เรื่อง คือ
1. Personal Mastery เก่งเรื่องการพัฒนาตัวเอง
เราต้องรู้จักตัวเองให้ดีและลึกซึ้งก่อนว่าเรามีจุดอ่อน จุดแข็งตรงไหน? เรามีความฝันอะไรบ้างในชีวิต เรามีความคิดหรือทัศนคติของความสำเร็จหรือยัง? เรามีความมุ่งมั่น ตั้งใจ มีไฟ มีพลัง อยู่ในระดับไหน? เราเรียนรู้และพัฒนาตัวเองบ้างหรือเปล่า? เรามีนิสัยของในการ “ลงมือทำ” Take Action มากน้อยแค่ไหน? เราใช้ศักยภาพของเราเต็มที่หรือยัง? ฯลฯ ตอนนี้คุณประสบความสำเร็จอยู่ในระดับใด?
2. People Mastery เก่งเรื่องผู้คน
เราจำเป็นต้องเชี่ยวชาญเรื่องจิตวิทยามนุษย์เยอะๆ เราต้องรู้ว่ามนุษย์ถูกโน้มน้าวและจูงใจด้วยเรื่องอะไรบ้าง เพราะถ้าเราอยากได้อะไร แล้วเราสามารถโน้มน้าวให้ผู้อื่นเห็นด้วยกับเรา อยากสนับสนุนเรา อยากซื้อของเรา อยากร่วมงานกับเรา เราก็สามารถมีได้ทุกอย่างที่เราอยากจะมี ใช่หรือไม่?

ดิฉันเสียดายทุกครั้งเวลาเห็น นักขายที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจอยากประสบความสำเร็จในงานขาย แต่ไม่รู้หลักจิตวิทยาการโน้มน้าวและไม่ได้ฝึก จึงทำให้อัตราเปอร์เซ็นต์ในการปิดการขายมีน้อยกว่าที่เขาควรจะทำได้ คุณมีความสามารถในการสื่อสาร โน้มน้าวจูงใจผู้อื่นมากน้อยแค่ไหน?

ดิฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบคนละขั้ว จากนักบัญชี “ซูเปอร์ซิ้ม” เป็น “ซูเปอร์วูแมน” ดิฉันใช้ศักยภาพตัวเองได้มากขึ้น ดิฉันได้เรียนกับสุดยอดกูรูระดับโลกหลายท่าน ทำให้ดิฉันประสบความสำเร็จสูงขึ้นแบบน่ามหัศจรรย์!!

ดิฉันมีแรงบันดาลใจที่จะถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์เหล่านี้ เพื่อเป็นทางลัดให้กับผู้อื่น!! ดิฉันจึงสร้างหลักสูตรที่ทรงพลังมากๆในการพัฒนาชีวิตของคนให้ประสบความสำเร็จได้แบบก้าวกระโดด ได้แก่ หลักสูตร “ปลุกยักษ์” และ “จ้าวแห่งการสื่อสาร”

หลักสูตร “ปลุกยักษ์” เน้นเรื่องการพัฒนาศักยภาพในตัวเองแบบก้าวกระโดด (Personal) ดิฉันจะสอนเรื่องวิธีการติดตั้งความคิดและทัศนคติแห่งความสำเร็จให้ สอนวิธีโปรแกรมสมองและจิตใต้สำนึกใหม่ดีๆเลยทำอย่างไร สอนวิธีการสื่อสารกับตัวเองแบบใหม่ที่สร้างพลังและความเชื่อมั่นในตัวเองให้ตัวเองได้ สอนทฤษฏี “กฎของการดึงดูด” The Law of Attraction ที่โด่งดังมากจาก The Secret ให้ผึกใช้จินตนาการ เพื่อดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

เวลาที่ทีมขายได้รับการ “ปลุกยักษ์” ยอดขายของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นให้เห็นทันตาแบบน่ามหัศจรรย์ จนดิฉันได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไวอากร้าของทีมขาย” !!!

หลักสูตรที่ 2 คือ “จ้าวแห่งการสื่อสาร” เน้นจิตวิทยาการโน้มน้าว (People) ดิฉันจะสอนศิลปะการพูดและการฟังที่มีทรงพลังมาก สอนให้ทำความเข้าใจกับลักษณะการรับรู้ของมนุษย์ สอนการสร้างความเชื่อมั่นที่เกิดจากภายในด้วยวิธีการเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่เรามองตัวเองใหม่ (Self Image) สอนหัวใจและเคล็ดลับในการโน้มน้าว ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งงานขาย และชีวิตส่วนตัว

มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งทำ MLM เข้าสัมมนาผ่านไป 10 กว่าวัน โทรศัพท์มาบอกว่ารายได้เพิ่มจาก 60,000 บาท ขึ้นไป 120,000 .. ว้าว!!!

ทั้ง 2 หลักสูตรนี้ ดิฉันมีกิจกรรม และ Workshop ให้ทำเยอะมาก ขอบอกว่าเด็ดๆมันส์ๆทั้งนั้น!!
คุณนักขายทั้งหลาย อยากประสบความสำเร็จมากกว่าเดิมและเร็วกว่าเดิมหรือไม่คะ? นี่ก็เหลืออีกไม่กี่เดือนจะหมดปีแล้ว รีบ Take Action เดี๋ยวนี้เลย!!

อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 6 ฉบับที่ 140 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 16-30 กันยายน 2551

สามเหลี่ยมของความสำเร็จ (ฉบับที่ 136)

สามเหลี่ยมของความสำเร็จ (ฉบับที่ 136)

ดิฉันมีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนาชื่อ Guerilla Business Intensive สอนโดย T.Harv Eker ที่ประเทศสิงคโปร์ ได้ความรู้ดีๆเยอะแยะมากมาย!!!

หลักสูตรนี้สอนเรื่องการทำธุรกิจและการตลาดโดยตรง ซึ่งปัจจุบัน T.Harv Eker เป็นกูรูที่มีชื่อเสียงมากในด้านนี้ ดิฉันกับเพื่อนคนไทยไปกันประมาณ 10 กว่าคน จากผู้เข้าร่วมสัมมนาเกือบ 2,000 คน เรียนกัน 5 วัน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 22-23 น. ทุกวัน ค่าเล่าเรียนเกือบแสน!!! ถึงแม้จะแพง แต่ก็คุ้มค่ากับการลงทุนจริงๆ!! (ดิฉันถือว่าเป็นการลงทุน ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย)Harv พูดถึง “สามเหลี่ยมของความสำเร็จ“ ได้อย่างน่าทึ่งมาก!!

การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น มีปัจจัย 3 อย่างที่ต้องแข็งแกร่ง
1. The Right “Knowledge”
ให้เราเลือกเรียนสิ่งที่เป็นประโยชน์โดยตรงกับงานของเราก่อน เรียนรู้และฝึกฝนเรื่องการพัฒนาตัวเองให้มากๆ เลือกเรียนกับคนเก่งและคนที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น เพราะเราจะสามารถย่นย่อระยะเวลาแห่งความสำเร็จลงได้!! . . กรุณา”ลงทุน”ในตัวคุณเอง อ่านหนังสือ เข้าสัมมนา เติมอาหารให้สมองบ่อยๆ!!!

2. The Right “Vehicle”
เลือกยานพาหนะ หรือเลือกธุรกิจที่เราจะทำให้ถูก ลองคิดดูว่า ถ้าคุณต้องการเดินทางไปยังเชียงใหม่ คุณสามารถเดินทางไปโดยวิธีอะไรบ้าง? นั่งรถทัวร์ไป ขับรถไปเอง นั่งเครื่องบินไป เดินไป นั่งเรือไป ขี่มอร์เตอร์ไซด์ ปั่นจักรยาน ขี่ช้าง ฯลฯ มีหลากหลายวิธีใช่หรือไม่? ถ้าคุณเลือกพาหนะถูก คุณก็ถึงจุดหมายได้เร็ว แต่ถ้าเลือกผิด ก็คงใช้เวลานานมาก!

เช่นเดียวกันกับชีวิตการทำงานของเรา ถ้าเราเลือกธุรกิจถูก เราก็จะประสบความสำเร็จและมั่งคั่งร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว!!!

วิธีเลือกว่าเราควรจะทำธุรกิจหรือทำงานอะไร ให้ดูปัจจัย 3 อย่างนี้
1. ทำในสิ่งที่เรารัก เพราะเราจะทำมันด้วยใจ และด้วยไฟแห่งความกระตือรือร้น
2. ทำในสิ่งที่เราเก่งหรือมีความชำนาญ เพราะเราสามารถที่จะสร้างผลลัพธ์จากการทำงานได้อย่างโดดเด่นและมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าเราทำในสิ่งที่เราไม่ชำนาญ ก็ยากมากที่เราจะสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม . . ลองเขียนหนังสือด้วยมือที่คุณไม่ถนัดดูซิ!!!
3. ทำในสิ่งที่อยู่ในความต้องการของคนส่วนใหญ่ ถ้าเราทำงานหรือทำธุรกิจที่เรารัก และเราก็มีความสามารถ แต่ . . ไม่มีใครต้องการใช้สินค้าหรือบริการของเรา แล้วเราจะขายใคร!?!

สิ่งที่จะทำให้คุณรวยคือ “คุณต้องเป็นนักแก้ปัญหา” พิจารณาดูว่าสินค้าหรือบริการของคุณช่วยแก้ปัญหาอะไรให้ลูกค้าได้บ้าง!! . . ยิ่งช่วยได้มากราย ยิ่งรวย!!!

4. The Right “YOU” สิ่งที่สำคัญที่สุดใน 3 ปัจจัยก็คือ “ตัวคุณเอง” . . คุณต้องเป็นมืออาชีพ หรือเป็น Expert ในสิ่งที่คุณทำ . . คุณถึงจะรวย !!! ทำไมลูกค้าต้องซื้อสินค้าหรือบริการจากคุณ อะไรคือจุดขายของคุณ คุณโดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร? (UPS = Unique Selling Point)

คุณสามารถทำตลาดกลุ่มลูกค้าให้แคบลงได้ เพื่อที่คุณจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นโดยเฉพาะ ซึ่งเรียกว่า Niche Market เช่น ตลาดเด็ก ผู้หญิงท้อง คนชรา ฯ ให้เราเป็น “ปลาตัวใหญ่ในสระน้ำที่เล็กๆ” (Be a Big Fish in a Small Pond)!!! แค่ไอเดียนี้ ก็ทำให้คุณรวยได้แล้ว!!!

ดิฉันนำไอเดียนี้มาประยุกต์ใช้กับงานของตัวเอง ก็เห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างได้ในทันที!! ดิฉันสร้างความชัดเจนว่า ดิฉันโดดเด่นและแตกต่างจากวิทยากรหรืออาจารย์ท่านอื่นอย่างไร?

ดิฉันบอกได้เลยว่า มีวิทยากรที่เก่งๆในวิชาการต่างๆมากมาย แต่ถ้าต้องการผู้ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจ ปรับเปลี่ยนความคิดของผู้คน ต้องการนักโมติเวท นักปลุกพลังใจ นักกระตุ้นยอดขาย ต้องมาหา “โค้ช สิริลักษณ์ ตันศิริ”

ดิฉันมีความสามารถโดดเด่นมากในเรื่องของการ “ปลุกยักษ์” ปลุกพลังใจ ปลุกศักยภาพ ปลุกความฮึกเหิม ให้แก่พวกฝ่ายขาย ถ้าดิฉันไป “ปลุกยักษ์” ที่ไหน ยอดขายที่นั่นจะขึ้นให้เห็นทันตา จนดิฉันได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไวอากร้าของทีมขาย”

ตั้งแต่ดิฉันชัดเจนกับจุดขายที่แตกต่างนี้แล้ว มีองค์กรเยอะแยะมากมายที่เชิญดิฉันไป “ปลุกยักษ์” ให้ทีมขายของเขา หรือแม้กระทั่งธนาคารยักษ์ใหญ่ ก็เชิญดิฉันไป “ปลุกยักษ์” ให้ทีมสินเชื่อของเขาเช่นกัน และยอดขายก็พุ่งพรวดขึ้นมาอย่างน่ามหัศจรรย์!!!

รีบสร้างตัวเองให้เป็น Expert และหาจุดขายที่โดดเด่น .. ความรวยรอคุณอยู่ค่ะ!!!

อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 6 ฉบับที่ 136 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 16-31 กรกฏาคม 2551

ฝึกตัวเองเพื่อความสำเร็จ (ฉบับที่ 133)

ฝึกตัวเองเพื่อความสำเร็จ (ฉบับที่ 133)

คนส่วนใหญ่ “รู้” ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จ แต่เขาไม่ได้“ทำ”ในสิ่งที่เขา“รู้” จึงเป็นเหตุให้เขายังไม่ประสบความสำเร็จ!!!

ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ เราจะต้อง “ฝึกตัวเอง” และในบางครั้งเราจะต้องฝึก “ฝืนใจของตัวเอง”

ไม่มีใครอยากให้ตัวเองเหนื่อย หรือเผชิญกับความยากลำบาก ความอึดอัดใจ ไม่มีใครอยากฟังเสียงปฏิเสธ หรืออยากให้ตัวเองพบกับความผิดหวัง เราอยากอยู่สบายๆ เราชอบทำอะไรตามใจตัวเอง เราติดกับความเคยชินเดิมๆ หรือที่เรียกว่า ติดอยู่ใน Comfort Zone

ชีวิตเต็มไปด้วยบททดสอบ . .การที่จะประสบความสำเร็จเหมือนกับการว่ายทวนกระแสน้ำ
เราจะต้องฝึกเอาชนะใจตัวเอง เอาชนะความอยากและความไม่อยากของตัวเอง เราจะต้องฝืนใจของตัวเองบ้างในบางครั้ง เราจะต้องมีความตั้งใจมั่น . .

อยากลดความอ้วน >> เราต้องอดใจ ฝืนตัวเองที่จะไม่กินของหวานหรือไอศรีม และกินพอประมาณเท่านั้น

อยากมีลูกค้าเยอะๆ >> เราต้องฝึกตัวเองให้เป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ฝึกทักษะการพูดโน้มน้าวจูงใจ ฝึกให้ใจยอมรับความผิดหวังจากเสียงปฏิเสธของลูกค้า

อยากประสบความสำเร็จ >> เราต้องฝึกความขยัน อดทน เอาชนะความขี้เกียจ ความรักสบาย

อยากรวย >> ฝึกการเก็บหอมรอมริบ ประหยัด ใช้ชีวิตเรียบง่าย เอาชนะความอยากได้ของหรูๆ กินอาหารแพงๆ และความฟุ่มเฟือยต่างๆ

อยากมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น >> ฝึกเอาชนะความมีทิฐิมานะของตัวเอง พ่อแง่แม่งอน ฝืนใจตัวเองไม่ให้วอกแวกไปชอบคนอื่น ให้เวลาและให้ความรักอย่างเต็มที่กับคนในครอบครัว

อยากสุขภาพดี >> ฝึกทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ทานผัก ผลไม้ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย ฝืนใจตัวเองให้เลิกกินเหล้า เลิกสูบบุหรี่

อยากอายุยืน >> ดูแลสุขภาพใจและกายของตัวเองให้ดี ฝึกปล่อยวางสิ่งที่ทำให้เครียด หรือสิ่งที่ทำให้วิตกกังวล

วิธีการฝึกก็คือ เราจะต้อง “มีสติ” คอยตามดู ตามรู้ ตามสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา!!!
คนที่ใช้ชีวิตแบบ”ไม่มีสติ” ก็จะปล่อยให้ตัวเองทำตามอารมณ์ หรือความอยากที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ ถ้าเราสังเกตุให้ดีจะเห็นว่า เรามักจะทำอะไรแบบอัตโนมัติ ตามความเคยชินเดิมๆ เช่น มีคนขับรถปาดหน้าเรา เราก็จะด่าเขาออกไปเลย แบบอัตนิมัติ!!

ถ้าคุณเคยฝึก“สติ” คือฝึกในการตามดูอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของตัวเราเอง คุณจะเห็นเลยว่า บางครั้งเราไม่สามารถควบคุมความคิดของเราได้ เช่น เราไม่อยากคิดถึงปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ เพราะมันทำให้เราเครียดและวิตกกังวล แต่เราก็ไม่สามารถหยุดความคิดนั้นได้ หรือ เราไม่อยากคิดถึงคนที่ทำให้เราเสียใจ แต่เราก็ยังคิดถึงคนๆนั้นอยู่ ใช่หรือไม่?

ถ้าเรา “มีสติ” ในการกิน เวลาที่เราจะกินของที่ไม่มีประโยชน์หรือของที่ทำให้อ้วน มันก็จะมีเสียงเล็กๆในหัวมาเตือนให้เราคิดว่า “ถ้ากินแล้วอ้วนนะ เธอจะกินหรือเปล่า?” เราจะได้พิจารณาว่า ถ้าอยากกินและ “เลือก” ที่จะกิน เราก็ต้อง “รับผิดชอบ” ต่อการเลือก และผลของการเลือกหรือผลของกระทำของเราเอง ถ้าเราอ้วน ก็ไม่ต้องบ่น เพราะเราเลือกเอง!!!

การทำงานก็เหมือนกัน เวลาที่เราออกไปขายของหรือออกไปพบลูกค้า ถ้าลูกค้าปฏิเสธ ยังไม่ซื้อของจากเรา เราก็อาจจะหงุดหงิด เสียใจ ผิดหวัง ท้อแท้ หมดกำลังใจ หรือเลิกทำงานนั้นไปเลยก็ได้ แต่ถ้าเรา ”มีสติ” เราก็จะเห็นตัวเองหมดแรง แล้วก็อาจจะมีความคิดแบบใหม่ว่า “มันเป็นธรรมดาที่มีคนซื้อบ้าง ไม่ซื้อบ้าง” หรือ “อย่างน้อยเราก็ได้รู้จักคนเพิ่ม” หรือ “ได้ฝึกพูด” ซึ่งมันจะทำให้เรากลับมามีพลังใหม่!!

เวลาที่เรา”มีสติ” ตัว”ปัญญา”ก็จะเริ่มเกิด เขาถึงเรียกว่า “สติปัญญา” !!!
“การฝึกสติ” มีคุณประโยชน์อย่างมหาศาล!! .. เราจะเข้าใจตัวเองมากขึ้น เราจะแยกแยะสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น เราจะปล่อยอารมณ์ด้านลบทิ้งได้เร็วขึ้น!! นั่นหมายถึงประสิทธิภาพในการทำงานจะสูงขึ้น และเราจะมีความสุข ความสงบในจิตใจมากขึ้น!!!

ดิฉันเห็นคนที่อยากประสบความสำเร็จ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเยอะแยะมากมาย . .
ดิฉันอยากบอกว่า เราสามารถประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วได้ ถ้าเราเก่ง 2 เรื่อง คือ
1.เก่งเรื่องตัวเอง (Personal Mastery)
2.เก่งเรื่องคนอื่น (People Mastery)


สัมมนา ”ปลุกยักษ์” ที่ดิฉันสอนนั้น เป็นการสอนให้เราเก่งเรื่องตัวเอง ส่วนสัมมนา ”จ้าวแห่งการสื่อสาร” เป็นการสอนให้เราเก่งเรื่องคนอื่น!!

ดิฉันเสียดายเวลาที่เห็นคนมีฝัน มีไฟ อยากประสบความสำเร็จ แต่เขาไม่มีทักษะในเรื่องของการสื่อสารโน้มน้าวจูงใจที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผลงานออกมาน้อยกว่าที่เขาควรจะทำได้!! นักขายพยายามเสนอขาย แต่ปิดการขายได้น้อยเกินไป!! ผู้บริหารหรือผู้นำบางคนมีความคิดอ่านและมีเจตนาที่ดี แต่สื่อสารไม่เป็น ทำให้ลูกน้องหรือทีมงานไม่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่!!


อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 6 ฉบับที่ 133 ปักษ์แรก ประจำวันที่ 1-15 มิถุนายน 2551

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิด ต่างๆ

วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิด ต่างๆ

อาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย


1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด นื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ ได้

2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่อง ท้อ

3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออนหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศ สัมพันธ์ > มีปัญหา เกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหล

4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหาร ปวด ตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง

5. มะเร็ง ปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้?หนักลดอย่าง ฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็ง ตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็ง สมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือ เป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึก ได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน
10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกัน แน่

13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
**** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิช ชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma ) คือ เนื้อ งอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ

ถึงท่าน ผู้โชคดี ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล