แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปูแดงไคโตซาน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปูแดงไคโตซาน แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทำอย่างไร ให้นักขายเหมือนนักซื้อ

ทำอย่างไร ให้นักขายเหมือนนักซื้อ

แท้ที่จริงแล้วคุณสมบัติทั้ง 2 ข้อคือการเป็นนักขาย และการเป็นนักซื้อนั้นมีอยู่ในจิตวิญญาณของทุกคนอยู่แล้ว เพราะในชีวิตประจำวันของคนเราทุกคน จะต้องเกี่ยวข้องกับการซื้อๆ ขายๆ อยู่เป็นประจำ สัมผัสได้ทุกวันแต่คนส่วนใหญ่พอบอกให้ไปซื้อจะรู้สึกว่ามีความกระตือรือร้นขึ้นมาในทันที แต่พอบอกให้ของไปขายสินค้าอะไรสักอย่างจะรู้สึกถึงความห่อเหี่ยวขึ้นมาทัน ที ทั้งๆ ที่ทั้ง 2 คุณสมบัตินั้นมีผลลัพธ์อันเดียวกัน หรือบรรลุวัตถุประสงค์ เดียวกัน นั่นคือการเคลื่อนย้ายสินค้าจากผู้หนึ่งไปสู่อีกผู้หนึ่ง หรือผู้บริโภคเป็นต้นคนส่วนใหญ่ชอบที่จะเป็นผู้ซื้อ เพราะคิดว่าตัวเองนั้นมีอำนาจต่อรองได้ และอยู่เหนือกว่านักขายเสมอ โดยที่คุณสมบัติเหล่านี้ไม่ต้องมีการฝึกฝน หรือฝึกอบรมเลยแม้แต่น้อย เรียกว่าเป็นคุณสมบัติที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด

จะเห็นได้ว่าเด็กก็สามารถเป็นผู้ซื้อได้ ซื้อเป็น ไม่เชื่อลองให้สตางค์ ซึ่งเด็กจะรู้จักจัดการกับสตางค์ที่ได้รับมาเรียบ ร้อย คือหมดทุกครั้ง ทั้งๆ ที่เด็กยังหาเงิน ไม่เป็นเลย และพอซื้อของได้รู้สึกจะมีความสุขดี เพราะได้ขนมมา ที่นี้เรามองในมุมของคุณสมบัตินักขายบ้างหลายๆ

คนถึงกับประกาศออกมาว่า ขายไม่เป็นขายไม่ได้ หรือบ้างคนกว่าจะทำให้ขายได้จะต้องใช้เวลาฝึกฝนอยู่นาน บางคนเมื่อไม่สำเร็จแล้วก็มีอคติที่ไม่ดีต่องานขายไปเลย ใครอย่าได้พูดถึงงานขายเลยจะเกิดอาการต่อต้านทันที ไม่เปิดใจเลยอ้างคำเดียวว่าขายไม่เป็น

ผู้เขียนเคยเขียนบทความมาครั้งหนึ่งว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาก็เป็นนักขายแล้ว ขนาดพูดยังไม่ได้ก็ขายเป็นแล้ว ขายอะไรล่ะ ขายตัวเองไงล่ะ เพราะคนทุกคนเป็นนักขายด้วยกันทั้งนั้นไม่ว่าจะมีอาชีพอะไรก็ต้องขาย หรือว่าไม่จริงลองคิดทบทวนให้ดีตั้งแต่ยุคโบราณมาแล้วตั้งแต่มนุษย์ยังไม่รู้จักการใช้เงินในการซื้อขายเสียด้วยซ้ำไป ในสมัยก่อนเขาซื้อขายกันอย่างไรล่ะ เขาก็ซื้อขายกันด้วยการแลกเปลี่ยนของที่ตัวเองมีอยู่คิดเป็นมูลค่า เพื่อนำมาแลกของอีกอย่างที่ตัวเองต้องการ เช่น นำอาหารมาแลกเครื่อง นุ่งห่ม เป็นต้น

นี่คือการซื้อขายไงล่ะ พอในยุคปัจจุบันผู้นำประเทศต่างๆ ต่างก็ออกเดินทางออกไปประชุมไปเปิดสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ เพื่ออะไรก็เพื่อการขายสินค้าที่ประเทศของตัวเองผลิตได้หรือ

บางทีก็มีการแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกัน นี้ไม่ใช่การขายหรือยิ่งถ้าเป็นระดับผู้นำประเทศ อย่างประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย ก็จะพยายามขายเทคโนโลยีหรืออาวุธที่ทันสมัยให้กับประเทศต่างๆเพื่อนำเงินมาเข้าประเทศของตัวย่อให้เล็กลงอีกนิดนักขายก็เช่นกันต้องพยายามขายสินค้าที่ตัวเองขายอยู่เพื่อนำเงินเข้าบริษัทหรือองค์กรที่ตัวเองทำงานอยู่บริษัทต่างๆ ที่เปิดดำเนินงานมาทั้งหลายเปิดมาเพื่ออะไรถ้าไม่ใช่เปิดมาเพื่อขายสินค้าและบริการที่ตัวเองมีอยู่

ทีนี้ลองมาวิเคราะห์ดูว่าแล้วทำไมพอบอกให้คนไปซื้อสินค้าคนจะดีใจที่ได้ไปช็อปปิ้งแต่พอบอกให้ออกไปขายสินค้าหลายคนเป็นกังวลไม่สบายขึ้นมาทันทีทั้งที่ตัวเองเป็นทั้งผู้ซื้อและผู้ขายในคนเดียวกันอยู่แล้วเวลาเราจะขายสินค้าอะไรสักอย่างเรามักจะคำนึงถึงว่าใครจะมาเป็นลูกค้าของเราให้ลองนึกถึงตอนที่เวลาเราเป็นนักซื้อสักนิดสักเสี้ยววินาทีว่าเวลาเราจะซื้อของสักอย่างอะไรคือแรงจูงใจถ้าไม่ใช่ความต้องการคำว่าความต้องการของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด คนที่มีเงินล้านบาทก็ต้องการมีสิบล้านบาท มีรถโตโยต้า ก็อยากมีเบนซ์

ดังนั้น ถ้านักขายค้นหาความต้องการหรือความอยากลองของลูกค้าได้ก็จะขายได้แบบไม่ต้องเหนื่อยมากนักอย่าลืมว่านักขายก็เป็นนักซื้อเหมือนกันและบ้างที่ซื้อมากกว่าขายเสียอีกจึงเป็นเหตุของคำว่ามีหนี้สินเกิดขึ้นถ้านักขายทุกคนขายได้มากกว่าที่ตัวเองซื้อก็ถือว่าเป็นนักขายที่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นอย่าไปกลัวการขายเลยอย่างไรคุณก็หลีกหนีมันไม่พ้นอยู่แล้วเพราะมันอยู่ในตัวคุณนั้นเองลองหันมาค้นหาความได้เปรียบในตัวคุณเองตั้งแต่วันนี้ว่าคุณมีความได้เปรียบอย่างไรระหว่างการเป็นนักขายกับการเป็นนักซื้อแล้วนำมาปฏิบัติให้เกิดผลกับตัวเองให้มากที่สุดดีกว่าปฏิเสธว่าคุณขายไม่เป็นซื้อเป็นอย่างเดียวอย่างนี้ก็เจ๊งนะสิ

คิดบวก ชีวิตบวก

คิดบวก ชีวิตบวก
การคิดแต่ในสิ่งที่ดี คิดในแง่บวก ไม่เพียงแต่ทำให้เรามีจิตใจผ่องใส คลายความเครียดกับปัญหาที่กำลงเผชิญอยู่ลงได้ และยังสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส เปิดให้เราเห็นมุมมองอีกด้านที่มีค่ายิ่งใหญ่ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเราเองในยามที่ตกอยู่ในห้วงของความทุกข์ได้อีกด้วย เหมือนตัวอย่างที่ได้อ่านกันต่อนี้

เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ

เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต


เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)

เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ


เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย

เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต


เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี

เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง

เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

เวลาเจอคนที่ใช่ แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง

เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด

เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบททดสอบที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"

เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"

เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต


เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์

จะไม่มีเชื้อโรคใดเจาะผ่านภูมิคุ้มกันของเราได้ หากมีจิตใจที่คิดแต่สิ่งดี ภายในวิกฤตที่เลวร้าย หากใช้สติและเหตุผลพิจารณาอย่างรอบคอบ เราอาจจะได้เห็นด้านดีๆ ของชีวิต ที่ซ่อนอยู่ก็ได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ทำดีดอทเน็ต
โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

แผนล้ม 'ปูแดง' แค่คิดก็แพ้แล้ว

แผนล้ม 'ปูแดง' แค่คิดก็แพ้แล้ว
ตลาดขายตรงสินค้าเกษตรเดือดพล่าน ค่ายเล็กงัดเกม"ไม้จิ้มฟัน"เปิดศึก"แค้นฝังหุ่น"พลิกแผนจ่ายผลตอบแทนสูง อ้างแผนตลาดเหนือชั้นกว่า แถมยังใช้ชื่อตระกูล"แดง"เหมือนกัน ดันสินค้าทั้ง"ดาวปูแดง-บัวแดง"ออกมา หวังตีท้ายครัว ตบกินสมาชิก โค่นล้มบัลลังก์"ปูแดง ไคโตซาน"เจ้าตำรับขายตรงสินค้าเกษตรขนานแท้ ด้าน"เสี่ยสมปอง แซ่ตั้ง"ลั่นไม่หวั่น ชี้"อมตะปูแดง"แข็งโป๊ก แถมหนักแน่นเหมือน"ไม้ซุง"งัดเท่าใดก็ไม่ระคายเคืองผิวหนัง พร้อมแนะทางคู่แข่ง เลิกโจมตี หากินกันแบบทางใครทางมันดีกว่ามั๊ง เกษตรกรตัดสินใจได้ของใครดี

เข้มข้นทีเดียว สำหรับตลาดขายตรงสินค้าเกษตร หรือตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพืช หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ปุ๋ยขายตรง" ที่มีหลากหลายบริษัทเครือข่ายขายตรง ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่กระโดดเข้ามาประลองยุทธ์ในสนามธุรกิจขายตรง โดยมีเจ้าตลาดหลักเพียงบริษัทเดียว ที่เป็นแชมป์อมตะอยู่ ก็คือ บริษัท เบทส์ 59 จำกัด หรือที่รู้จักกันในนาม "ปูแดง ไคโตซาน" สินค้าเกษตรอันดับ 1 ของ "เสี่ยสมปอง แซ่ตั้ง" ประธานกรรมการ นั่งครองบัลลังก์อยู่ ด้วยยอดขายถล่มทลายต่อเดือนเฉลี่ยกว่า 200 ล้านบาท

เมื่อเป็นแชมป์ ก็ต้องมีการท้าล้มแชมป์ ถือเป็นเรื่องธรรมดาของการแข่งขันทางธุรกิจ แต่ดูเหมือนว่า คู่ท้าชิงแชมป์แต่ละรายของ "ปูแดงไคโตซาน" ยังเดินเกมห่างชั้นอยู่หลายขุมทีเดียว โดยเฉพาะบริษัทขายตรงสินค้าเกษตรหน้าใหม่ ที่เกิดขึ้นมาราว 2-3 บริษัท ทั้งที่ได้รับการจดทะเบียนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจขายตรง จากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แล้ว และที่ยังต้องรอรับใบอนุญาตอยู่ ก็ยังต้องใช้เวลาไต่เต้าอันดับขึ้นมาชิงแชมป์อีกยาวไกล ทำให้ "ปูแดงไคโตซาน"ของ "เสี่ยสมปอง แซ่ตั้ง"ยังคงลอยติดลมบน บินมาเหนือเมฆ ชนิดที่เรียกว่า ยากยิ่งที่คู่แข่งจะตามทัน แม้ว่า คู่แข่งรายใหม่จะงัดสารพัดกลยุทธ์ อาทิ การใช้ชื่อหรือแบรนด์สินค้าขายตรงเกษตรคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็น "ดาวปูแดง" หรือ "บัวแดง" พร้อมทั้งการชูแผนตลาด ที่อ้างว่า มีความโดดเด่นเหนือกว่า และมีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนที่เหนือกว่าแผนตลาดของ "ปูแดง ไคโตซาน" แถมยังมีการโจมตีเรื่องผลิตภัณฑ์ แต่นั้นก็เป็นเพียงกลยุทธ์ "ไม้จิ้มฟัน" หรือเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง และวิธีการขยับเท้า หวังงัด "ไม้ซุง" หรือต้องการล้มแชมป์ก็เท่านั้น แต่ทว่า กลับไม่มีกำลังเพียงพอที่จะงัด "ไม้ซุง" หรือมีผลงานดีพอที่จะให้เกษตรกรไทยคล้อยตาม เพราะสินค้าเกษตร ถ้าคุณภาพไม่ดีจริงๆ ใช้แล้วไม่เห็นผลชัดเจน หลอกเกษตรกรได้เพียงครั้งเดียว!

บางบริษัทคู่แข่งรายใหม่ ยังใช้วิธีการโจมตีสารพัด เหตุเพราะยังมีรอย "แค้นฝั่งหุ่น"ที่ดูเหมือนจะโกรธเคืองกันมายาวนาน หลังรับออเดอร์ผลิตสินค้า"ปูแดง ไคโตซาน"ให้กับบริษัท เบสท์ 59 จำกัดแล้ว กลับผลิตให้ไม่ทันกับความต้องการของผู้บริโภค เหตุเพราะ "ปูแดง ไคโตซาน"ขายดิบขายดีเกินกำลังการผลิต จน "เสี่ยสมปอง แซ่ตั้ง"ต้องยกเลิกการผลิต แล้วหันมาตั้งโรงงานผลิตเอง...ทำให้ผู้รับจ้างผลิตออกอาการไม่พอใจ ถึงขนาดตั้งบริษัทขายตรงขึ้นมา พร้อมเปิดฉากขนสินค้าขายตรงเกษตรแบรนด์ "แดง"เหมือนกันออกมาแข่งขันในตลาด ส่งผลให้ตลาดขายตรงสินค้าการเกษตรมีการแข่งขันดุเดือดเลือดพล่านยิ่งนัก นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

แต่ทว่า ความเป็นแชมป์อย่าง "ปูแดง ไคโตซาน" ยังเหนือชั้นอยู่มาก เพราะผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 7 ปี มีวีรกรรมกับเกษตรกรไทยทั่วทั้งประเทศ เหตุเพราะผู้บริโภคให้ความนิยมอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญ "ปูแดง"มียอดสมาชิกโทรศัพท์เข้ามาขอสมัครผ่านรายการทีวีต่อวันไม่ต่ำกว่า 300 สาย (ไม่รวมกับที่แม่ทีมและสมาชิกชักชวนอีกหลายร้อยคนต่อวัน) อีกทั้งยอดขายในแต่ละเดือนก็โหมเฉลี่ยกันไปกว่า 200 ล้านบาท เรียกว่า สนามขายตรงสินค้าเกษตร ชื่อชั้นของ"ปูแดง ไคโตซาน"แข็งดุจหินผา

ปูแดง!เหนือเมฆ

นายธนพัทธ์ กิจใบ รองประธานกรรมการ บริษัท เบทส์ 59 จำกัด เปิดเผยถึงการแข่งขันในตลาดขายตรงสินค้าเกษตรว่า ปูแดงไม่เคยคิดว่า ในธุรกิจขายตรงไม่มีค่ายไหนเป็นคู่แข่งขัน และที่สำคัญนายสมปอง แซ่ตั้ง ประธานกรรมการบริษัท ก็ให้นโยบายชัดเจนที่ไม่ต้องการให้สมาชิกคนใด ใช้วิธีการตอบโต้คู่แข่งขันทางธุรกิจ ด้วยเพราะเชื่อมั่นว่า ธุรกิจปูแดงเดินทางมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับไปโจมตีคู่แข่งขันรายอื่นแล้ว โดยให้ถือว่า การแข่งขันทางธุรกิจขายตรง ก็เสมือนหนึ่งเป็นการทำมาหากิน แบบทางใครทางมัน

"ธุรกิจขายตรง"ปูแดง"ณ วันนี้...หากจะบอกว่า "บินมาเหนือเมฆ"หรือเติบโตแบบก้าวกระโดดได้อย่างเหลือเชื่อ...เมื่อ"ใครได้ฟัง ใครได้ยินแล้ว"...ก็อาจจะถามว่า"โม้หรือเปล่า"...แต่ด้วยความเป็นจริงแล้ว...กลับเป็นอย่างนั้นจริงๆ" หากจะถามว่า การเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจขายตรง"ปูแดง"มีอะไรมาเป็นตัวชี้วัด นายธนพัทธ์กล่าวว่า ดูได้จากการที่บริษัทได้ย้ายเข้ามาอยู่สำนักงานแห่งใหม่ ย่านถนนแจ้งวัฒนะ ปากทางเข้าเมืองทองธานี ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ปรากฏว่า บรรดาผู้นำหรือแม่ทีม รวมทั้งมวลหมู่สมาชิก ก็ได้มองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรปูแดง ในการทุ่มทุนสร้างอาคารสำนักงานใหญ่ 4 ชั้น ในเนื้อที่รวมลานจอดรถแล้วกว่า 7 ไร่ ด้วยเงินสดกว่า 250 ล้านบาท จากความมั่นใจเต็มร้อยที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม กลับยิ่งทำให้ผู้นำหรือแม่ทีม และบรรดาสมาชิกมีความมั่นใจในธุรกิจปูแดงเพิ่มขึ้นอีกเป็นร้อยเท่าพันเท่า

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุนซื้อเครื่องจักร และสร้างโรงงานเป็นของตัวเอง ด้วยงบประมาณ ที่ได้จ่ายเป็นเงินสดอีกกว่า 200 ล้านบาท เพื่อการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของปูแดงทุกชนิดทุกรายการให้มีคุณภาพ และได้มาตรฐานตามที่บริษัทต้องการ เพราะก่อนหน้านี้ ผลิตภัณฑ์บางชนิด บริษัทได้จ้างเขาผลิต ทำให้ไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้...แต่ ณ วันนี้บริษัทสามารถผลิต ควบคุมการผลิต และควบคุมคุณภาพได้เองทั้งหมด

ฉะนั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความมั่นคงอีกแล้ว...ณ วันนี้ สมาชิกมีหน้าที่เพียงอย่างเดียว คือ ทำให้อย่างไรให้เกษตรกรไทยรู้จักปูแดงให้มากที่สุด หรือทำอย่างไรให้คนเข้ามาร่วมโครงการชุบชีวิตเกษตรกรไทยให้มากที่สุด เพราะหากพูดถึงการเติบโตแล้ว ธุรกิจขายตรง"ปูแดง"เติบโตเกิน 100% ทุกเดือน

โดยพิจารณาจากดัชนีชี้วัดหลายๆอย่างประกอบ อาทิ
1.การจัดประชุม หรือจัด OPP ที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวันอาทิตย์ จากที่เคยจัดรอบเดียว ช่วงบ่ายโมง ก่อนหน้านี้ ณ ห้องประชุมชั้น 2 ของอาคาร ที่สามารถบรรจุสมาชิกได้ประมาณ 600-700 คน พบว่า สมาชิกแห่เข้ามาร่วมประชุมกันล้นห้อง จนต้องขยายการจัดประชุมออกไปเป็น 2 รอบ โดยรอบเช้า 10.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 4 ของอาคาร บรรจุสมาชิกได้กว่า 1,200 คน ปรากฏว่า สมาชิกเข้าฟังล้น เก้าอี้ไม่พอ ต้องยืนฟัง พอรอบ 2 ตอนบ่าย 12.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 2 สมาชิกไม่ได้ซ้ำหน้ากัน ก็เข้ามาประชุมล้นอีก เรียกว่า ยืนแออัดยัดเหยียดเต็มบรรจุ 700 คน ซึ่งภาพบรรยากาศอย่างนี้ ปรากฏให้เห็นมาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมาแล้ว

2. การจัดประชุม หรือจัด OPP สัญจรไปตามต่างจังหวัด โดยบริษัทจะจัดเอง ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวันเสาร์ โดยเวียนกันจัดประชุมไปตามภูมิภาค ตามจังหวัดต่างๆ เรียกว่า จัดประชุมครั้งใด สมาชิกแห่ทะลักล้นทุกครั้ง ไม่ว่า จะใช้ห้องประชุมโรงแรมที่ใหญ่ที่สุด หรือใช้สถานที่ที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัด ก็ยังไหลทะลักเข้ามาล้น ชนิดที่เจ้าของสถานที่ต้องตกใจ ฉะนั้น "ปูแดง"ณ วันนี้ ไม่ได้เป็นห่วงเรื่องของคนที่จะเข้ามาประชุม เพราะไปจัดประชุม ณ สถานที่ใด คนก็แห่เข้ามามาก...แต่ปัญหาสำคัญ ณ วันนี้ คือ ปูแดงหาสถานที่จัดประชุมไม่ได้ หมายถึงห้องที่จะรองรับคนจำนวนมาก แทบจะหาไม่ได้เลย

อย่างล่าสุดจัดประชุมที่อำเภอหาดใหญ่ โรงแรมใหญ่ไม่มี จำต้องไปใช้หอประชุมโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย ซึ่งบรรจุได้ 1,200 คน แต่คนแห่กันเข้ามาล้นอีก เก้าอี้โรงเรียนหมด ต้องหามาเสริม ทั้งๆที่ฝนตก แต่คนก็ยังหลั่งไหลเข้ามา เรียกว่า ภาพบรรยากาศอย่างนี้มีเหมือนกันทุกครั้งที่จัดประชุม ไม่ว่า จะเป็นการจัดประชุมที่จังหวัดเชียงใหม่ หรืออุดรธานี...ล้น เต็ม เก้าอี้หมด ต้องนั่งกับพื้น เรียกว่า ทำขายตรงมากว่า 16 ปี ไม่เคยเห็น...ถึงได้บอกว่า "ปูแดง"เป็นสุดยอดธุรกิจขายตรง ที่กำลังได้รับความนิยมสูงสุดจริงๆ

3. การทุ่มเทการผลิตรายการผ่านสื่อทีวี...ทุกวันนี้ มีคนดูทีวี ดูรายการที่ปูแดงผลิตแล้วออกอากาศค่อนข้างมาก วัดได้จากโทรศัพท์ที่โทรเข้ามา มีไม่ต่ำกว่า 300 สายต่อวัน จนผู้นำและแม่ทีม ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำธุรกิจปูแดง ทำงานง่ายๆ ทำธุรกิจง่ายๆ แบบง่ายไม่รู้จะง่ายอย่างไรแล้ว

4. ผลสำเร็จจากโครงสร้างแผนการตลาด พบว่า มีสมาชิกประสบความสำเร็จเยอะมาก...บางคนไม่มีประสบการณ์ แต่สามารถสร้างรายได้หลักแสนต่อเดือน ทั้งๆที่เพิ่งจะเข้ามาทำธุรกิจปูแดงได้แค่ 2 เดือน ส่วนที่มีรายได้แตะหลักหมื่นต่อเดือน ก็มีมากจนนับไม่ถ้วน...และหากจะวัดระดับความสำเร็จแล้ว พบว่า มีผู้ประสบความสำเร็จ ตามโครงสร้างแผนการตลาดเพียงอย่างเดียว โดยมีรายได้หลักล้านต่อเดือน ประมาณ 9 คน ผู้นำสูงสุดมีรายได้อยู่ที่กว่า 3.5 ล้านบาทต่อเดือน และหลักแสนต่อเดือนมีเกือบพันคน ส่วนหลักหมื่นต่อเดือนนั้น ไม่ต้องถามถึง เพราะมีจำนวนเยอะมากทั่วประเทศ "นั่นคือ ดัชนีชี้วัดว่า ทำไม!ธุรกิจขายตรงปูแดงถึงเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้จริงๆ"

หัวใจ คือ บุคลากร
นายธนพัทธ์ ยังกล่าวอีกว่า ความสำเร็จของการทำธุรกิจเครือข่าย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ที่สำคัญ คือ สินค้าต้องมีคุณภาพ แผนตลาดหรือแผนจ่ายผลตอบแทนที่เป็นธรรม มีการบริหารจัดการดี และผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ต้องเข้าใจจริง และรู้จริงในการดำเนินธุรกิจเครือข่าย โดยเฉพาะความเข้าใจในเรื่องของคน บริษัทจึงได้ให้ความสำคัญเรื่องของคนมาเป็นอันดับหนึ่ง
ด้วยเพราะการทำธุรกิจเครือข่าย หัวใจสำคัญ คือ การพัฒนาคน หมายถึง พัฒนาให้คนที่เข้ามาทำธุรกิจมีอาวุธติดตัว ที่เรียกว่า อาวุธทางปัญญา เพื่อการขับเคลื่อนธุรกิจจากคนสู่คน หรือที่เรียกว่า P to P (People to People) และเมื่อเกิด P to P แล้ว ก็จะเกิด B to B หรือ Business to Business ตามมา หมายถึง ธุรกิจต่อธุรกิจ เรียกว่า การทำธุรกิจก็จะเกิดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ ฉะนั้นนโยบายหลักสำคัญของบริษัท คือ การพัฒนาบุคลากร ซึ่งในปีนี้บริษัทตั้งเป้าสร้างผู้นำระดับมืออาชีพให้ได้ถึง 10,000 คน

สำหรับการพัฒนาบุคลากร หรือผู้นำธุรกิจนั้น นายธนพัทธ์ กล่าวว่า ได้แบ่งการฝึกอบรมออกเป็น 4 หลักสูตร ประกอบด้วย หลักสูตร

ขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นหลักสูตรการอบรมให้ความรู้ขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ แผนการตลาด และการทำธุรกิจเครือข่ายแบบง่ายๆ โดยมุ่งเปลี่ยนแนวคิดสมาชิก จากที่เคยทำงานประจำ หรือเคยทำธุรกิจอื่นๆมาก่อน ให้มีความเข้าใจว่า ธุรกิจเครือข่ายเป็นอย่างไร สามารถสร้างเงินแสนเงินล้านได้อย่างไร โดยหลักสูตรพื้นฐาน บริษัทจะจัดอบรม 1 ครั้งต่อเดือน และแต่ละครั้งมีสมาชิกเข้าอบรมกว่า 1,000 คน

ส่วนหลักสูตรที่ 2 จะพัฒนาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เป็นการอบรมผู้นำ หรือพัฒนาคนกลุ่มแรก ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรพื้นฐานแล้ว โดยจะอบรมเดือนละ 2 ครั้ง 2 รุ่นๆละประมาณ 300-400 คน เน้นการให้ความรู้ การเก็บรวบรวมรายชื่อกลุ่มเป้าหมาย การคัดคนเข้ามาเป็นสมาชิก หรือเข้ามาทำธุรกิจเครือข่าย การลอกเลียนแบบผู้นำที่ประสบความสำเร็จ รวมถึงการทำกิจกรรมร่วมกัน โดยหลักสูตรนี้ จะอบรม 2 วันต่อครั้งต่อเดือน

หลักสูตรที่3 ผู้เข้าอบรมจะต้องผ่านหลักสูตรที่ 2 มาก่อน เรียกว่า จะข้ามขั้นตอนการอบรมไม่ได้ โดยบริษัทจะบันทึกและลงทะเบียนทำประวัติสมาชิกไว้ทั้งหมด ส่วนการอบรมจะเน้นในเรื่องของการพูดในที่ชุมชน การพัฒนาบุคลิกภาพ การยืน การเดิน การถือไมค์ เรียกว่า ทำอย่างไรให้ผู้นำสามารถนำเสนอธุรกิจบนเวทีได้

ส่วนหลักสูตรสุดท้าย เรียกว่า การพัฒนาผู้นำไปสู่จุดสูงสุดของการเป็นนักพูด หมายถึง ต้องโมติเวทได้ ต้องโน้มน้าวจิตใจคนได้ หรือพูดอย่างไรให้คนคล้อยตามได้ พูดอย่างไรให้คนเชื่อได้ ซึ่งหลักสูตรนี้ จะอัดความรู้ใหม่ๆเข้ามาเยอะมาก และจะจัดอบรมรุ่นละไม่เกิน 30 คนเท่านั้น

"หัวใจธุรกิจ คือ การพัฒนาบุคลากร เพราะหากไม่พัฒนาคน ก็จะไม่มีผู้ทำธุรกิจแบบมืออาชีพ การทำธุรกิจก็จะไม่เกิด ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่สามารถต่อยอดการทำเครือข่ายให้กว้างไกลได้ หลังจบหลักสูตรที่ 4 แล้ว ปูแดงจะมีผู้นำที่มีความสามารถครบเครื่องเพิ่มขึ้นอีกรุ่นละ 30 คนเท่านี้ก็ถือว่า คุ้มค่าแล้ว"

คุมเกมภาคสนามเฉียบ
นอกเหนือจากการอบรมบุคลากรแล้ว การควบคุมเกมในภาคสนาม ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญรองลงมา เพื่อการสนับสนุนให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ แม้ว่า บริษัทจะไม่มีผู้นำกระจายอยู่ครบทุกจังหวัด ทุกอำเภอก็ตาม แต่การทำงาน ก็จะใช้ในลักษณะของการควบคุมโซน โดยการสร้างคณะทำงานขึ้นมาดูแล 4-5 คน ทำหน้าที่สร้างเครือข่าย สร้างองค์กร ในแต่ละโซน ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก เพื่อการช่วยเหลือในการทำธุรกิจของสมาชิก เช่น โซนจังหวัดขอนแก่น ก็จะรวมจังหวัดในละแวกใกล้เคียง อาทิ มหาสารคาม กาฬสิน ร้อยเอ็ด เข้ามาอยู่ในโซนเดียวกันด้วย

โดยบริษัทจะให้การสนับสนุนการจัดประชุม การจัดอบรม และการจัดกิจกรรมอื่นๆที่เป็นประโยชน์แก่สมาชิก ซึ่งจะให้การสนับสนุนเหมือนกันทุกโซน เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง และแสดงให้เห็นว่า ปูแดงใส่ใจดูแลสมาชิกเสมือนหนึ่งเป็นครอบครัวเดียวกัน
"นั่นคือ ความเป็นจริงที่ปูแดง ถามว่า ณ วันนี้ เราต้องหวั่นไหวกับการแข่งขันหรือไม่ เราตอบได้เลยว่า เรามองไกลไปกว่านั้น ด้วยเพราะคู่แข่งขันที่แท้จริง ไม่ใช่แข่งขันในตลาดขายตรง แต่กลับเป็นการแข่งขันกับสินค้าเกษตรในธุรกิจค้าปลีกต่างหาก"

รางวัลการันตี'ปูแดง'
นายธนพัทธ์ กล่าวอีกว่า จากความโดดเด่นในเรื่องของผลิตภัณฑ์ "ปูแดง ไคโตซาน"ที่สามารถตอบโจทย์เกษตรกรไทยได้จริง หลังเกษตรกรใช้ "ปูแดง ไคโตซาน"แล้ว สามารถเพิ่มผลผลิต และมีรายได้เพิ่ม ปลดหนี้สินได้จริง ทำให้กลุ่มเกษตรกรได้ให้การยอมรับกับผลิตภัณฑ์ขายตรงเกษตร"ปูแดง ไคโตซาน"มานานร่วม 7 ปีแล้ว ทำให้ "ปูแดง ไคโตซาน" โดยบริษัท เบทส์ 59 จำกัด ได้รับการยกย่องให้เป็นบริษัทขายตรงดีเด่น ประจำปี 2552 ประเภท "ชุบชีวิตเกษตรกรไทย ด้วยเกษตรอินทรีย์ขนานแท้" จากสมาคมช่างภาพสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย พร้อมกับการรับโล่เกียรติยศจาก ฯพณฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา

"ปูแดงดำเนินธุรกิจขายตรงมา 7 ปี มีสินค้าขายตรงเกษตร "ปูแดง ไคโตซาน" ทำตลาด หากไม่ดีจริง ไม่มีคุณภาพจริง เราคงไม่ประสบความสำเร็จ แต่ที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึง"นายธนพัทธ์กล่าวทิ้งท้าย

ที่มา : หนังสือพิมพ์ตลาดวิเคราห์ ฉบับที่ 253 ประจำวันที่ 16-31 กรกฎาคม 2552

ส่วนประกอบสารปรับปรุงดินปูแดง

















วิธีการสมัครสมาชิกปูแดงไคโตซาน

วิธีการสมัครสมาชิกปูแดงไคโตซาน
ลงทะเบียนธุรกิจตามกฎของ สคบ. 300 บาท และซื้อสิ้นค้าครบ 1000 คะแนน ได้ 1 รหัสธุรกิจ เป็นสมาชิกสมบูรณ์ สมัครสมาชิกแบบ 1 รหัส 2 รหัส 3 รหัส หรือ 4 รหัสธุรกิจ ก็ได้

รหัสธุรกิจ หมายถึง รหัสธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ตามแผนการตลาดของบริษัทได้
รหัสซื้อซ้ำ หมายถึง รหัสธุรกิจที่ไม่สามารสร้างรายได้ตามแผนการตลาดของบริษัทได้
รหัสสินค้า B หมายถึง ต้นทุนสินค้าต่อหน่วยระดับสูง ยกตัวอย่าง B1 ปูแดง 500 ซีซี ราคา ขวดละ 195 บาท
รหัสสินค้า *B หมายถึง ต้นทุนสินค้าต่อหน่วยระดับกลาง ยกตัวอย่าง *B2 ปูแดง 500 ซีซี ราคา ขวดละ 175 บาท
รหัสสินค้า**B หมายถึง ต้นทุนสินค้าต่อหน่วยต่ำ ยกตัวอย่าง **B3 ปูแดง 500 ซีซี ราคา ขวดละ 150 บาท

แบบ 1 รหัสธุรกิจ
ลงทะเบียนธุรกิจตามกฎของ สคบ. 300 บาท
เลือกซื้อสินค้ารหัสไหนก็ได้ ที่คะแนน 1000 คะแนน เริ่มต้นต่ำสุดที่ 3,500 บาท

แบบ 2-3 รหัสธุรกิจ
ลงทะเบียนธุรกิจตามกฎของ สคบ. 300 บาท ทุกรหัส
รหัสแรก เลือกสินค้ารหัสไหนก็ได้ ที่ 1000 คะแนน เริ่มต้นต่ำสุดที่ 3,500 บาท
รหัสที่ 2 และที่ 3 จะต้องซื้อสินค้าที่รหัส **B เท่านั้นถึงจะได้รหัสธุรกิจ
ถ้าซื้อสินค้ารหัสอื่นจะเป็นรหัสซื้อซ้ำไม่สามารถทำธุรกิจในรหัสนั้น ๆได้
(ไม่แนะนำ เพราะคุณต้องจ่ายค่าสมัคร 300 บาททุกรหัส และต้องสั่งซื้อสินค้าชุด **B เท่านั้น)

แบบ 4 รหัสธุรกิจ (VIP)
ลงทะเบียนธุรกิจตามกฎของ สคบ.300 บาทรหัสเดียว และซื้อสินค้า 4000 คะแนน ได้ 4 รหัสธุรกิจ
เลือกสินค้ารหัส B ครบ 4000 คะแนน เริ่มต้นต่ำสุดที่ 14,000 บาท
เลือกสินค้ารหัส **B ครบ 4000 คะแนน เริ่มต้นต่ำสุดที่ 16,400 บาท ถึง 19,000 บาท อยู่ที่เราเลือกว่าจะเอารหัสไหน
เลือกสินค้ารหัส ** B ครบ 4000 คะแนน เริ่มต้นต่ำสุดที่ 21,600 บาท ถึง 24,200 บาท อยู่ที่เราเลือกว่าจะเอารหัสไหน
(แนะนำให้สมัคร แบบ VIP เพราะจ่ายค่าสมัคร 300 ครั้งเดียว ได้สินค้าครบทุกชนิด และได้ต้นทุนสินค้าถูกที่สุด)

หมายเหตุ
สมัครแบบ VIP รหัส **B คุณได้ของแถมสินค้า ปูแดงพืชแบบแกลลอน 6 ลิตร หรือ 5 ลิตร จำนวน 1 หรือ 2 แกลลอน ตามโปรโมชั่นของทางบริษัท และสมัคร VIP รหัสสินค้าไหนก็ได้ครบ 4000PV โดยสินค้าทุกชุดของบริษัทตั้งแต่รหัส B1–B45 มีคะแนนเท่ากันคือ 1000PV. คลิกดูรายละเอียดที่นี่ http://www.poodang.com/member.pdf
รายได้และผลตอบแทน การเปิดศูนย์จำหน่ายปูแดงไคโตซาน

ศูนย์พัฒนาบุคลากรฯ ประเภท ก (มาตรฐาน)

คุณสมบัติ
1. เป็นนักธุรกิจอิสระเบสท์ 59 ปูแดงไคโตซาน
2. มีรายได้ในระบบแผนการตลาดอย่างต่ำ 40,000./เดือน ขึ้นไป
3. มีองค์กรภายใต้สายงานอย่างน้อย 100 คน ขึ้นไป
4. ต้องได้รับการรับรองจากคณะกรรมการสโมสร

เงื่อนไข
1. เปิดสินค้ากลุ่มปูแดง 100 รหัส (**B..เท่านั้น)
2. เปิดสินค้าสารปรับปรุงดิน 15 ตัน
3. วางเงินมัดจำ 400,000 บาท (สี่แสนบาทถ้วน)
- บริษัทฯลงสินค้า ปูแดงให้อีก 100 รหัส (ตามที่บริษัทฯกำหนด)
- บริษัทฯ ลงสินค้า สารปรับปรุงดินให้อีก 15 ตัน

สิ่งที่ได้รับ
1. รายได้จับคู่ 65,100+6,300 = 71,400 บาท
2. รายได้โบนัทอินฟินิตี้ 4,950 บาท
3. รายได้ค่าบริหารสารปรับปรุงดิน คืนทันที 25,000 บาท
4. แถมปูแดงไคซาน 6 ลิตร จำนวน 92 แกลลอน มูลค่า 101,200 บาท
5. ค่าบริหารสินค้าปูแดง ชุด *B=40 บาท/รหัส และ ชุด **B=80 บาท/รหัส
6. ค่าบริหารสารปรับปรุงดิน 1,700 บาท/ชุด/ตัน

ศูนย์พัฒนาบุคลากรฯ ประเภท ข (ย่อย)

คุณสมบัติ
1. เป็นนักธุรกิจอิสระเบสท์ 59 ปูแดงไคโตซาน
2. ต้องได้รับการรับรองจากผู้แนะนำ/up line ที่เป็นคณะกรรมการสโมสร หรือชมรมนักธุรกิจมือทอง

เงื่อนไข
1. เปิดสินค้ากลุ่มปูแดง 55 รหัส (**B..เท่านั้น)
2. เปิดสินค้าสารปรับปรุงดิน 15 ตัน

สิ่งที่ได้รับ
1. รายได้จับคู่ 38,100+6,300 = 44,400 บาท
2. รายได้ค่าบริหารสารปรับปรุงดิน คืนทันที 25,000 บาท
3. แถมปูแดงไคซาน 6 ลิตร จำนวน 66 แกลลอน มูลค่า 72,600 บาท
4. ค่าบริหารสินค้าปูแดง ชุด *B=20 บาท/รหัส และ ชุด **B=50 บาท/รหัส
5. ค่าบริหารสารปรับปรุงดิน 1,700 บาท/ชุด/ตัน

เหตุผล 50 ประการที่ก่อให้เกิดความล้มเหลวของการทำธุรกิจเครือข่าย

เหตุผล 50 ประการที่ก่อให้เกิดความล้มเหลวของการทำธุรกิจเครือข่าย

1. การไม่มีจุดมุ่งหมายใดๆที่เขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้ไม่รู้เลยว่าเขาต้องการอะไรในชีวิต
2. ไม่มีทิศทาง วิสัยทัศน์ หรือความฝันใดๆ ทำให้สับสนและหลงทาง
3. ไม่มีการกำหนดให้มีพันธสัญญาอย่างเป็นทางการกับธุรกิจ ด้วยเหตุนี้ จะไม่ก่อให้เกิดการลงมือทำอย่างจริงจัง
4. เลิกล้มความพยายามเร็วเกินไป มักจะถอนตัวภายใน 90 วันแรก
5. เกียจคร้าน ต้องการจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากดาวน์ไลน์ของตนโดยไม่คิดจะทำอะไรเลย
6. ไม่จัดตั้งให้มีฐานการค้าปลีกในธุรกิจ
7. ไม่ทำงานอย่างสม่ำเสมอ
8. ไม่พอใจกับรายได้ของอัพไลน์ หยุดการขายเพื่อขัดขวางไม่ให้อัพไลน์ได้รับโบนัสจากผลผลิตของตน ถือเป็นทัศนคติที่ทำร้ายตนเองอย่างหนึ่ง
9. มักจะกล่าวโทษและหาความผิดกับบริษัท สินค้า แผนการตลาด การขาดการสนับสนุนจากอัพไลน์เป็นต้น โดยไม่ได้สำนึกว่าหากผู้อื่นประสบความสำเร็จภายใต้สถาณการณ์คล้ายๆกันนี้ เขาก็สามารถทำได้เช่นกัน
10. หวังลมๆ แล้วจากความพยายามเพียงเล็กน้อยที่ตนได้ทำไว้

11. มีความอดทนไม่เพียงพอ ต้องการเงินก้อนโตในระยะเวลาที่สั้นเกินไป โดยขาดความกระตือรือร้นในการทำในสิ่งที่จำเป็น
12. บ่นมากเกินไป และ ประพฤติตนคล้ายเด็กเล็กๆที่มักร้องให้โยเย เป็นนักขายที่ไร้ผลงาน
13. รับอิทธิพลในความคิดเห็นแง่ลบได้อย่างง่ายๆจากสมาชิกในครอบครัว ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง มิได้ฟังจากด้านบวก
คิดด้วยตัวเองไม่ได้
14. มักจะหาข้อแก้ตัวเสมอ
15. คิดว่าตนรู้ดีไปหมดทุกเรื่อง
16. มักจะย้ายบริษัทบ่อยๆโดยที่ยังไม่มีผลงานอะไรเลย ไม่เคยทำยอดขายสูงๆได้
17. ต้องการเพียงสนับสนุนนักขายที่มีผลงานดีเด่น แทนที่จะเรียนรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร จึงจะกลายเป็นเช่นเขาผู้นั้นได้ (หากได้รับการสนับสนุนจากยอดนักขายจะเป็นการดีกว่าที่จะไปสนับสนุนยอดนักขาย ด้วยวิธีนั้นคุณจะสามารถเรียนรู้ว่า นักขายดีเด่นเขาประสบความสำเร็จกันอย่างไร )
18. ไม่มีความเป็นระเบียบ เสียเวลามากมายในการหาเอกสาร โต๊ะทำงานรก
19. มีระบบการจดบันทึกข้อมูลที่ไม่ดี
20. ให้ความสนใจเพียงกำไรส่วนตัวเท่านั้น ไม่มีความเอาใจใส่ในความต้องการของลูกค้าและดาวน์ไลน์

21. ไม่ทราบวิธีประสบความสำเร็จในการตลาดแบบเครือข่าย และไม่สนใจที่จะเรียนรู้
22. ลูกค้าหรือดาวน์ไลน์เข้าหาได้ยาก
23. ไม่โทรกลับในทันที
24. พลาดในการรักษาข้อตกลงและนัดหมายและยังไม่ให้เหตุผลอีกด้วย
25. ไม่ติดตามผลผู้มุ่งหวังและลูกค้า ไม่แสดงความเอาใจใส่
26. เสียกำลังใจกับปัญหาและความไม่สะดวกเล็กๆน้อยๆ
27. พูดให้ร้ายบรืษัทอื่น ทำให้หมดความน่าเชื่อถือ
28. ไม่มีความจริงจังที่จะทำ
29. ขาดความเคารพนับถือในตนเอง มักขับรถรกๆสกปรกไม่ขัดเงา ไม่เคยสำนึกว่าผู้มุ่งหวังจะมองว่าคนๆนี้ไม่มีความเคารพนับถือในตนเองเลย
30. แจกจ่ายข้อมูลที่ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือ ยุ่งเหยิง และขาดคุณภาพ

31. นำเสนอตัวอย่างประโยชน์ของสินค้าที่ไม่ได้ความให้ลูกค้าฟัง
32. ไม่มีความเชื่อถือในตัวสินค้า
33. ไม่จัดการกับคำติชมของลูกค้าหรือดาวน์ไลน์
34. ไม่สนใจหรือไม่กล่าวคำชมความสำเร็จหรือผลการทำงานของดาวน์ไลน์ เห็นแก่ตัวมากเกินไป
35. มักจะอยู่ในสังคมที่มีทัศนคติในทางลบ แทนที่จะอยู่กับบุคคลที่สามารถทำยอดได้สูงสุด พึงระลึกไว้ว่านกประเภทเดียวกันมักจะอยู่ด้วยกัน
36. ไม่กระจายข้อมูลที่มีความเร่งด่วนไปสู่ดาวน์ไลน์ในทันที
37. ใช้เวลามากเกินไปในการจัดระเบียบ และใช้เวลาน้อยเกินไปในการพูดคุยกับผู้มุ่งหวังหรือลูกค้า ทำให้มีนิสัยที่หลีกเลี่ยงที่จะพบปะผู้คน
38. คาดหวังว่าจะได้รับสิ่งที่ดีพร้อมจากบริษัทที่เพิ่งเข้าไปทำงาน โดยปราศจากความสำนึกว่านั่นเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา
39. ไม่ใช้เวลาในการวางแผนเพื่อความสำเร็จทางธุรกิจ
40. ไม่มีบุคลิกลักษณะของมืออาชีพ

41. ไม่ติดตามข่าวหรือเหตุการณ์ในวงการธุรกิจเลย
42. ไม่มีความพร้อมทางร่างกาย
43. ไม่ฝ่าฟันที่จะทำให้ดีที่สุด
44. หูเบา เชื่อข่าวลือ ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ทำให้ถูกหลอกได้ง่ายๆ
45. อยู่ในโปรแกรมการตลาดที่ไม่ถูกต้อง
46. ไม่มีความเชื่ออย่างแท้จริงว่า “ผลที่จะเกิดขึ้น มาจากการกระทำของตัวเราเอง “
47. เข้าไปเกี่ยวข้องกับการตลาดแบบลูกโซ่แบบพีระมิดที่ผิดกฎหมาย และโครงการร้อยเล่ห์เพทุบายอื่นๆ
48. หวังพึ่งแต่กากเดนที่กระเด็นมาจากความพยายามของผู้อื่น ต้องการบางสิ่งบางอย่างโดยไม่ทำอะไรเลย
49. ไม่ต้องการเสี่ยง เช่นการลงทุนในการโฆษณา เฝ้าแต่รอคอยและดูสิ่งต่างๆเกิดขึ้นเอง แทนที่จะทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้น
50. เมื่อถูกปฏิเสธก็หมดความพยายามเอาดื้อๆ ไม่ยอมเป็นฝ่ายโทรหาคนอื่นก่อน

..... มีกลอนมาให้เป็นกำลังใจครับ ..... มาจากอ.พนม ปรีเจริญ เป็นผู้แต่งครับ (ผมชอบมาก ๆ เลย)

กว่าจะลุกหลายทีอาจมีล้ม...
กว่าจะจมหลายทีมีผุดบ้าง...
กว่าจะข้นหลายทีมีเจือจาง...
กว่าจะสร้างหลายทีมีทำลาย...
กว่าจะตื้นก่อนนั้นมันเคยลึก...
กว่าสำนึกก่อนนั้นมันเกือบสาย...
กว่าเกิดได้ก่อนนั้นมันเกือบตาย...
กว่ารวยได้ก่อนนั้นมันเคย...จน

การเปิดจุดจำหน่ายสารปรับปรุงดินและการแจงยอดสารปรับปรุงดิน

การเปิดจุดจำหน่ายสารปรับปรุงดินและการแจงยอดสารปรับปรุงดิน

เรียน ท่านนักธุรกิจอิสระบริษัท เบสท์ 59 จำกัด ทุกท่าน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2552 เป็นต้นไป การเปิดจุดจำหน่ายสารปรับปรุงดินและการแจงยอดสารปรับปรุงดินเป็นดังนี้

1. การเปิดจุดจำหน่ายสารปรับปรุงดิน 15 ตัน,สารปรับปรุงดิน 31 ตันที่สำนักงานใหญ่ นักธุรกิจอิสระทุกท่านต้องระบุสถานที่ส่งสารปรับปรุงดิน (บ้านเลขที่ ตำบล อำเภอ จังหวัด หรือแผนที่ เบอร์โทรศัพท์และชื่อผู้ติดต่อ) ทุกครั้ง

2. การแจงยอดสารปรับปรุงดิน

2.1 กรณีที่แจงยอดสารปรับปรุงดินผ่านจุดจำหน่ายสารปรับปรุงดินทั่วประเทศท่านนักธุรกิจอิสระต้องระบุชื่อเจ้าของจุดจำหน่ายให้ถูกต้อง (รหัสจุดจำหน่าย ชื่อจุดจำหน่าย ชื่อผู้แจงยอด เบอร์โทรจุดจำหน่าย) ให้เรียบร้อยก่อนยื่นใบสมัครหรือใบแจงยอดหน้าเคาน์เตอร์ชำระเงินหรือก่อนส่งแฟกซ์ หรือส่งอีเมล์มาที่สำนักงานใหญ่

2.2 กรณีที่แจงยอดสารปรับปรุงดินแล้วมีสินค้าปูแดงรวมเป็น VIP ของแถม VIP สองดอกจัน (**) ทางบริษัทฯจะจัดส่งพร้อมสารปรับปรุงดินที่ท่านแจงยอดครบ 15 ตันแล้วเท่านั้น

2.3 กรณีที่แจงยอดสารปรับปรุงดินแล้วมีสินค้าปูแดงรวมเป็น VIP แล้วจุดจำหน่ายสารปรับปรุงดินไม่ใช่ศูนย์ปูแดงท่านนักธุรกิจอิสระต้องรับสินค้าปูแดงที่สำนักงานใหญ่หรือคลังสินค้าของบริษัทฯ เท่านั้น (ขอนแก่น,พิษณุโลก,จันทบุรี,นครราชสีมา,ลำพูน,สุราษฎร์ธานี,สุพรรณบุรี)

จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
คุณโอภาส จารุเกียรติภิญโญ
ฝ่ายสต็อกสินค้าบริษัท เบสท์ 59 จำกัด

การเปิดศูนย์พัฒนาบุคลากรและบุคลิกภาพ (ศูนย์จำหน่ายปูแดงไคโตซาน)

การเปิดศูนย์พัฒนาบุคลากรและบุคลิกภาพ (ศูนย์จำหน่ายปูแดงไคโตซาน)

ศูนย์พัฒนาบุคลากรฯ ประเภท ก (มาตรฐาน)


คุณสมบัติ
1. เป็นนักธุรกิจอิสระเบสท์ 59 ปูแดงไคโตซาน
2. มีรายได้ในระบบแผนการตลาดอย่างต่ำ 40,000./เดือน ขึ้นไป
3. มีองค์กรภายใต้สายงานอย่างน้อย 100 คน ขึ้นไป
4. ต้องได้รับการรับรองจากคณะกรรมการสโมสร

เงื่อนไข
1. เปิดสินค้ากลุ่มปูแดง 100 รหัส (**..เท่านั้น)
2. เปิดสินค้าสารปรับปรุงดิน 15 ตัน
3. วางเงินมัดจำ 400,000 บาท (สี่แสนบาทถ้วน)
- บริษัทฯลงสินค้า ปูแดงให้อีก 100 รหัส (ตามที่บริษัทฯกำหนด)
- บริษัทฯ ลงสินค้า สารปรับปรุงดินให้อีก 15 ตัน


ศูนย์พัฒนาบุคลากรฯ ประเภท ข (ย่อย)

คุณสมบัติ
1. เป็นนักธุรกิจอิสระเบสท์ 59 ปูแดงไคโตซาน
2. ต้องได้รับการรับรองจากผู้แนะนำ/up line ที่เป็นคณะกรรมการสโมสรหรือชมรมนักธุรกิจมือทอง

เงื่อนไข
1. เปิดสินค้ากลุ่มปูแดง 55 รหัส (**..เท่านั้น)
2. เปิดสินค้าสารปรับปรุงดิน 15 ตัน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 083-0340025 (คุณหนึ่ง)

ลูบคมขุนกระบี่ไร้เทียมทาน 'สมปอง'

ลูบคมขุนกระบี่ไร้เทียมทาน 'สมปอง-นพรุจ'จากผู้นำสู่นักธุรกิจชั้นเซียน ฉบับที่ 253 ประจำวันที่ 16-31 กรกฎาคม 2552
ลูบคมขุนกระบี่ไร้เทียมทาน 'สมปอง-นพรุจ'จากผู้นำสู่นักธุรกิจชั้นเซียน
แกะรอยเส้นทางความสำเร็จ 2 ผู้บริหารขั้นเทพวงการขายตรง..."สมปอง-นพรุจ" ผู้สร้างตำนานธุรกิจขายตรงหน้าใหม่...พร้อมเปิดบทพิสูจน์ความจริงไม่ใช่เรื่องโม้ จากผู้นำธรรมดากลายมาเป็นนักธุรกิจเลื่องชื่อได้อย่างไร?...ชี้! รางวัลบริษัทดีเด่นประจำปี 2552 คือ เครื่องหมายการันตีความสำเร็จของทั้งคู่

วันนี้ "ธุรกิจขายตรง" หากจะให้พูดถึงคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ต้องบอกว่ามีนับไม่ถ้วน (เฉพาะผู้นำที่สำเร็จ) เท่านั้น...แต่หากจะให้พูดถึงคนที่เคยเป็น "ผู้นำ" แล้วผันตัวเองมาสู่ "นักธุรกิจ" จนประสบความสำเร็จ "สร้างชื่อเสียง" ได้อย่าง "กระหึ่ม" วงการขายตรงคงต้องบอกว่ามีน้อยมาก

แต่ ณ ชั่วโมงนี้ มีผู้ที่เคยเป็น "ผู้นำ" มาก่อน และกำลังสร้างความฮือฮาให้กับวงการขายตรง คงหนี้ไม่พ้นผู้บริหารทั้ง 2 ท่านนี้ นั่นคือ "สมปอง แซ่ตั้ง" ประธานกรรมการ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด เจ้าตำรับ "ปูแดง ไคโตซาน" และ "นพรุจ เวชกุล" ประธานกรรมการ บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด...เรียกได้ว่าผู้บริหารทั้ง 2 ท่านนี้ อาจจะมีธุรกิจที่ต่างกัน คือ อีกหนึ่งท่านทำธุรกิจเกี่ยวกับทางด้านเกษตรและอีกท่านหนึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพความสวยความงาม แต่บทสรุปความต่างที่มีคล้ายกันนั่นคือ..."ต้องการเห็นคนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น"...

...ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2552 ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งวันประวัติศาสตร์ของทั้ง "สมปอง-นพรุจ" เลยก็ว่า ที่ได้หอบเครื่องหมายการันตีความสำเร็จในการทำธุรกิจให้คนในวงการขายตรงได้ฮือฮาและอิจฉาตาร้อนไปตามๆ กันนั่นคือ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ "ปูแดง ไคโตซาน" ได้ขึ้นรับโล่เกียรติยศจากนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะบริษัทดีเด่นประจำปี 2552 ประเภท "ชุบเกษตรกรไทย ด้วยเกษตรอินทรีย์ขนานแท้"

ส่วน "บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด" รับโล่เกียรติยศบริษัทดีเด่นประจำปี 2552 ประเภท "สร้างงาน สร้างรายได้ ให้ประชาชนในอาชีพเครือข่าย"...ซึ่งทั้ง 2 รางวัลที่กล่าวมานี้นับเป็นอีกหนึ่งความภูมิภาคใจของทั้ง 2 ผู้บริหารนี้เลยก็ว่าได้ เพราะอาจเรียกได้ว่ามีน้อยคนนักที่จะก้าวมาถึง ณ จุดนี้ได้

หลายคนอาจจะสงสัยว่า "ผู้บริหาร" ทั้ง 2 ท่านนี้เป็นใครมาจากไหน?...ทำไมถึงก้าวขึ้นมาสู่ "นักธุรกิจมืออาชีพ" ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้...ปักษ์นี้ทีมข่าว "ตลาดวิเคราะห์" ขอย้อนเข็มทิศขั้นบันไดความสำเร็จตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงปัจจุบันของทั้ง "สมปอง-นพรุจ" มาให้ท่านทราบพอสังเขปดังนี้

ขอดเกล็ด'สมปอง แซ่ตั้ง'
ผู้พลิกตำนาน'ปูแดง'ปลดหนี้
...เริ่มต้นขอพลิกประวัติ "นักบริหาร" ท่านแรก "สมปอง แซ่ตั้ง" เขาผู้นี้เป็นคนอำเภอเบตง จังหวัดยะลา เกิดมาไม่ได้อยู่ในตระกูลผู้ดีมีเงิน ก่อนที่จะก้าวมาสู่ความสำเร็จในปัจจุบันได้ เคยทำงานมาสารพัดอย่างตั้งแต่ขายก๋วยเตี๋ยว รับจ้างขนของ ทำโรงงานรองเท้าแตะ เรียกว่า "ผ่านงานมาเยอะ เจ็บมาก็แยะ"

จนกระทั่งบังเอิญมีคนมาแนะนำให้ "สมปอง" ได้รู้จักธุรกิจเครือข่าย และบอกว่าเป็นธุรกิจที่สามารถพลิกชีวิตให้ดีขึ้นได้จริงๆ ด้วยเหตุผลนี่เองทำให้ "สมปอง" จึงได้ลองเสี่ยงเข้ามาวัดใจในธุรกิจเครือข่ายนี้ดู ผลปรากฏว่า ทำไปได้หลายปีชีวิตก็ยังไม่ดีขึ้นเสียที ต้องระหกระเหินจากค่ายนั้นค่ายนี้ เรียกว่าหาหลักแหล่งไม่เจอกันเลยทีเดียวในเวลาช่วงนั้น

และแล้วชีวิตใช่ว่าจะสิ้นหวังตลอด ได้มีเพื่อนที่รู้จักกันมาก่อน ซึ่งเป็นเจ้าของสูตรเปลือกกุ้งสกัดในนาม "ไคโตซาน" มานำเสนอสูตรดังกล่าวให้ดู และด้วยที่ช่วงนั้น ต้องบอกว่า "สมปอง" หลังพิงฝา จนตรอกจริงๆ ก็ต้องยอมเดิมพันด้วยเงินก้อนสุดท้ายกับธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรที่ชื่อ "ปูแดง ไคโตซาน" ด้วยการผันตัวเองให้เป็นผู้ประกอบการขายตรงรายเล็กๆ

สำหรับเส้นทางความสำเร็จของผู้ชายที่ชื่อ "สมปอง แซ่ตั้ง" นั้น ไม่ได้หมดเพียงเท่านี้ กว่าที่จะตั้งหลักปักฐาน สร้างชื่อเสียงของสินค้า "ปูแดง ไคโตซาน" ให้ดังกระฉ่อนได้นั้น ต้องบอกว่ากว่าที่จะขายได้แต่ละบาทเลือดตาแทบกระเด็น ส่วนใหญ่สินค้าจะเป็นการแจกจ่ายให้ทดลองใช้เสียมากกว่า

...จากวันนั้นถึงวันนี้ ชื่อของ "ปูแดง ไคโตซาน" เริ่มที่จะเข้ามานั่งอยู่ในใจของประชาชนคนไทยเกือบทั่วทั้งประเทศแล้ว สังเกตได้จากยอดขายเริ่มต้นเพียงไม่กี่แสน เริ่มไต่ระดับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็น 10 ล้าน เป็น 100 ล้าน เป็น 1,000 ล้าน ซึ่งหากใครที่เริ่มต้นทำธุรกิจที่ "ปูแดง ไคโตซาน" ก็จะสามารถเห็นพัฒนาการของบริษัทนี้ได้เป็นอย่างดี

"สมปอง แซ่ตั้ง" เรียกได้ว่า "ผ่านร้อน ผ่านหนาว" ตลอดการทำงานในธุรกิจปูแดงมาก็เยอะ จากที่บริษัทยังเล็กๆ เช่าตึกอยู่จนเติบโตขึ้นมาเป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีสำนักงานเป็นของตัวเอง มีคลังสินค้า มีจุดจำหน่ายที่พร้อมสรรพ...ซึ่งนี่ไม่ใช่โชคช่วยแต่เป็นความมุ่งมั่นที่ "สมปอง" มีอยู่ในตัวเองมาโดยตลอด

หากจะให้พูดถึงสาเหตุของความสำเร็จในวันนี้ คงจะเป็นในเรื่องของ "ความกล้าบ้าบิ่น" ของผู้ชายที่ชื่อ "สมปอง แซ่ตั้ง" ที่พร้อม "กล้าแลก กล้าเสี่ยง" บนความเป็นไปได้ของธุรกิจ...ซึ่งเขาผู้นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ปลุกกระแสสินค้าเกษตรให้กลับมาคึกคักมีชีวิตชีวาเลยก็ว่าได้...มิหนำซ้ำยังพลิกตำนานสร้างปูแดง ช่วยเหลือเกษตรกรไทยให้ได้"ปลดหนี้ ปลดสิน" กันไปหลายต่อหลายคนอีกด้วย

...และด้วยความที่เคยเป็น "ผู้นำ" มาก่อน ค่อนข้างที่จะรู้ว่าผู้นำมีความต้องการอะไร เจอปัญหาแล้วต้องแก้ไขแบบไหน ซึ่งด้วยปัจจัยนี่เอง จึงทำให้ใครที่มาอยู่ที่ "ปูแดง ไคโตซาน" ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า..."สมปอง แซ่ตั้ง คือ นักธุรกิจที่เข้าใจคนทำงานจริงๆ"....

นิยามความสำเร็จของ "ปูแดง ไคโตซาน" ภายใต้การบริหารงานของ "สมปอง แซ่ตั้ง" ไม่ใช่หยุดเพียงแค่นี้ วันนี้ต้องบอกว่าจากองค์กรที่เล็กๆ มีพนักงานเพียงไม่กี่คน วันนี้สามารถสร้างรากฐานธุรกิจให้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรแบบไม่น้อยหนาค่ายไหนๆ เลยทีเดียว และยิ่งเป้าหมายในปีนี้ที่ "สมปอง แซ่ตั้ง" เคยประกาศไว้ คือ ต้องการปั้นยอดขายให้ได้ 1,000 ล้านบาท/เดือน ก่อนสิ้นปี 2552 รวมถึงต้องการที่จะนำพานักธุรกิจปูแดง ให้รวยเป็นหมื่นเป็นแสนคนไปแบบพร้อมๆ กัน ซึ่งต้องบอกว่าฝันนี่คงไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ หากจะให้พูดถึงความภาคภูมิใจสำหรับการทำธุรกิจปูแดงไคโตซาน ของ "สมปอง" นั้น คงต้องบอกว่า น่าที่จะต้องภูมิใจที่สามารถช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรหลุดพ้นจากความยากจน ลืมตา อ้าปากได้จากการใช้ "ปูแดง ไคโตซาน"...ซึ่งสอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ของบริษัทที่ว่า "คุณภาพนำธุรกิจ สู่ชีวิตที่มั่นคง"

..."สมปอง แซ่ตั้ง"...นับได้ว่าเป็นผู้พลิกประวัติศาสตร์เกษตรกรไทยให้ร่ำรวยสมดั่งปรารถนา ถึงแม้จะไม่ทั่วทั้งประเทศไทย แต่เชื่อว่าอีกไม่นานชื่อของ "สมปอง แซ่ตั้ง" น่าที่จะเข้าไปนั่งในจิตใจของคนทั่วทั้งประเทศได้อย่างแน่นอนไม่เชื่อคอยดู!!

//ขอบคุณ หนังสือพิมพ์ตลาดวิเคราะห์
Poodang.com

รูปสติ๊กเกอร์ปูแดง สำหรับติดรถ

ใบรับรองและผลการทดสอบสินค้าปูแดง

รูป CD แนะนำธุรกิจปูแดงแผ่นใหม่

รูป CD แนะนำธุรกิจปูแดงแผ่นใหม่

ใบรับรองและผลการทดสอบสินค้าปูแดง

ใบรับรองและผลการทดสอบสินค้าปูแดง







โปรชัวร์ปูแดง ขนาดA4 แบบใหม่ (04/08/52)

โปรชัวร์ปูแดง ขนาดA4 แบบใหม่ (04/08/52)












วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

"ปลุกยักษ์"โค้ชสิริลักษณ์ ตันสิริ จากซุปเปอร์ซิ้ม สู่โค้ชนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ในรายการ สุริวิภา

"ปลุกยักษ์" รายการ สุริวิภา : โค้ชสิริลักษณ์ ตันสิริ (TV/Busy Day) ซุปเปอร์ซิ้ม สู่โค้ชนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ

โค้ชสิริลักษณ์ ตันสิริ จากซุปเปอร์ซิ้ม สู่โค้ชนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ในรายการ สุริวิภา ออกอากาศทางช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี โค้ชสิริลักษณ์ ตันสิริ

ตอนที่2 http://www.youtube.com/watch?v=-2ZrpJgN02A&feature=related

ตอนที่3 http://www.youtube.com/watch?v=qnXeiFzv-5s&feature=related

ตอนที่4 http://www.youtube.com/watch?v=d0qO3U1ezJc&feature=related

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฝึกตัวเองเพื่อความสำเร็จ (ฉบับที่ 133)

ฝึกตัวเองเพื่อความสำเร็จ (ฉบับที่ 133)

คนส่วนใหญ่ “รู้” ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จ แต่เขาไม่ได้“ทำ”ในสิ่งที่เขา“รู้” จึงเป็นเหตุให้เขายังไม่ประสบความสำเร็จ!!!

ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ เราจะต้อง “ฝึกตัวเอง” และในบางครั้งเราจะต้องฝึก “ฝืนใจของตัวเอง”

ไม่มีใครอยากให้ตัวเองเหนื่อย หรือเผชิญกับความยากลำบาก ความอึดอัดใจ ไม่มีใครอยากฟังเสียงปฏิเสธ หรืออยากให้ตัวเองพบกับความผิดหวัง เราอยากอยู่สบายๆ เราชอบทำอะไรตามใจตัวเอง เราติดกับความเคยชินเดิมๆ หรือที่เรียกว่า ติดอยู่ใน Comfort Zone

ชีวิตเต็มไปด้วยบททดสอบ . .การที่จะประสบความสำเร็จเหมือนกับการว่ายทวนกระแสน้ำ
เราจะต้องฝึกเอาชนะใจตัวเอง เอาชนะความอยากและความไม่อยากของตัวเอง เราจะต้องฝืนใจของตัวเองบ้างในบางครั้ง เราจะต้องมีความตั้งใจมั่น . .

อยากลดความอ้วน >> เราต้องอดใจ ฝืนตัวเองที่จะไม่กินของหวานหรือไอศรีม และกินพอประมาณเท่านั้น

อยากมีลูกค้าเยอะๆ >> เราต้องฝึกตัวเองให้เป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ฝึกทักษะการพูดโน้มน้าวจูงใจ ฝึกให้ใจยอมรับความผิดหวังจากเสียงปฏิเสธของลูกค้า

อยากประสบความสำเร็จ >> เราต้องฝึกความขยัน อดทน เอาชนะความขี้เกียจ ความรักสบาย

อยากรวย >> ฝึกการเก็บหอมรอมริบ ประหยัด ใช้ชีวิตเรียบง่าย เอาชนะความอยากได้ของหรูๆ กินอาหารแพงๆ และความฟุ่มเฟือยต่างๆ

อยากมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น >> ฝึกเอาชนะความมีทิฐิมานะของตัวเอง พ่อแง่แม่งอน ฝืนใจตัวเองไม่ให้วอกแวกไปชอบคนอื่น ให้เวลาและให้ความรักอย่างเต็มที่กับคนในครอบครัว

อยากสุขภาพดี >> ฝึกทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ทานผัก ผลไม้ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย ฝืนใจตัวเองให้เลิกกินเหล้า เลิกสูบบุหรี่

อยากอายุยืน >> ดูแลสุขภาพใจและกายของตัวเองให้ดี ฝึกปล่อยวางสิ่งที่ทำให้เครียด หรือสิ่งที่ทำให้วิตกกังวล

วิธีการฝึกก็คือ เราจะต้อง “มีสติ” คอยตามดู ตามรู้ ตามสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา!!!
คนที่ใช้ชีวิตแบบ”ไม่มีสติ” ก็จะปล่อยให้ตัวเองทำตามอารมณ์ หรือความอยากที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ ถ้าเราสังเกตุให้ดีจะเห็นว่า เรามักจะทำอะไรแบบอัตโนมัติ ตามความเคยชินเดิมๆ เช่น มีคนขับรถปาดหน้าเรา เราก็จะด่าเขาออกไปเลย แบบอัตนิมัติ!!

ถ้าคุณเคยฝึก“สติ” คือฝึกในการตามดูอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของตัวเราเอง คุณจะเห็นเลยว่า บางครั้งเราไม่สามารถควบคุมความคิดของเราได้ เช่น เราไม่อยากคิดถึงปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ เพราะมันทำให้เราเครียดและวิตกกังวล แต่เราก็ไม่สามารถหยุดความคิดนั้นได้ หรือ เราไม่อยากคิดถึงคนที่ทำให้เราเสียใจ แต่เราก็ยังคิดถึงคนๆนั้นอยู่ ใช่หรือไม่?

ถ้าเรา “มีสติ” ในการกิน เวลาที่เราจะกินของที่ไม่มีประโยชน์หรือของที่ทำให้อ้วน มันก็จะมีเสียงเล็กๆในหัวมาเตือนให้เราคิดว่า “ถ้ากินแล้วอ้วนนะ เธอจะกินหรือเปล่า?” เราจะได้พิจารณาว่า ถ้าอยากกินและ “เลือก” ที่จะกิน เราก็ต้อง “รับผิดชอบ” ต่อการเลือก และผลของการเลือกหรือผลของกระทำของเราเอง ถ้าเราอ้วน ก็ไม่ต้องบ่น เพราะเราเลือกเอง!!!

การทำงานก็เหมือนกัน เวลาที่เราออกไปขายของหรือออกไปพบลูกค้า ถ้าลูกค้าปฏิเสธ ยังไม่ซื้อของจากเรา เราก็อาจจะหงุดหงิด เสียใจ ผิดหวัง ท้อแท้ หมดกำลังใจ หรือเลิกทำงานนั้นไปเลยก็ได้ แต่ถ้าเรา ”มีสติ” เราก็จะเห็นตัวเองหมดแรง แล้วก็อาจจะมีความคิดแบบใหม่ว่า “มันเป็นธรรมดาที่มีคนซื้อบ้าง ไม่ซื้อบ้าง” หรือ “อย่างน้อยเราก็ได้รู้จักคนเพิ่ม” หรือ “ได้ฝึกพูด” ซึ่งมันจะทำให้เรากลับมามีพลังใหม่!!

เวลาที่เรา”มีสติ” ตัว”ปัญญา”ก็จะเริ่มเกิด เขาถึงเรียกว่า “สติปัญญา” !!!
“การฝึกสติ” มีคุณประโยชน์อย่างมหาศาล!! .. เราจะเข้าใจตัวเองมากขึ้น เราจะแยกแยะสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น เราจะปล่อยอารมณ์ด้านลบทิ้งได้เร็วขึ้น!! นั่นหมายถึงประสิทธิภาพในการทำงานจะสูงขึ้น และเราจะมีความสุข ความสงบในจิตใจมากขึ้น!!!

ดิฉันเห็นคนที่อยากประสบความสำเร็จ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเยอะแยะมากมาย . .
ดิฉันอยากบอกว่า เราสามารถประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วได้ ถ้าเราเก่ง 2 เรื่อง คือ
1.เก่งเรื่องตัวเอง (Personal Mastery)
2.เก่งเรื่องคนอื่น (People Mastery)


สัมมนา ”ปลุกยักษ์” ที่ดิฉันสอนนั้น เป็นการสอนให้เราเก่งเรื่องตัวเอง ส่วนสัมมนา ”จ้าวแห่งการสื่อสาร” เป็นการสอนให้เราเก่งเรื่องคนอื่น!!

ดิฉันเสียดายเวลาที่เห็นคนมีฝัน มีไฟ อยากประสบความสำเร็จ แต่เขาไม่มีทักษะในเรื่องของการสื่อสารโน้มน้าวจูงใจที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผลงานออกมาน้อยกว่าที่เขาควรจะทำได้!! นักขายพยายามเสนอขาย แต่ปิดการขายได้น้อยเกินไป!! ผู้บริหารหรือผู้นำบางคนมีความคิดอ่านและมีเจตนาที่ดี แต่สื่อสารไม่เป็น ทำให้ลูกน้องหรือทีมงานไม่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่!!


อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 6 ฉบับที่ 133 ปักษ์แรก ประจำวันที่ 1-15 มิถุนายน 2551

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิด ต่างๆ

วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิด ต่างๆ

อาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย


1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด นื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ ได้

2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่อง ท้อ

3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออนหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศ สัมพันธ์ > มีปัญหา เกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหล

4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหาร ปวด ตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง

5. มะเร็ง ปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้?หนักลดอย่าง ฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็ง ตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็ง สมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือ เป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึก ได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน
10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกัน แน่

13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
**** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิช ชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma ) คือ เนื้อ งอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ

ถึงท่าน ผู้โชคดี ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สร้างโบสถ์เป็นมหากุศลผลบุญที่ยิ่งใหญ่

บูรณะโบสถ์หลวงพ่อใหญ่
วัดบางระโหง ตำบลบางกร่าง อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี

**************************
วัดบางระโหง เป็นวัดราษฎร์สังกัดมหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ 44 หมู่9 ต.บางกร่าง
อ.เมือง จ.นนทบุรี บนเนื้อที่ 26 ไร่เศษ หลวงพ่อใหญ่เป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่ประจำอุโบสถหลังเก่า ทำด้วยศิลาแลงลงรักปิดทอง ขนาดหน้าตักกว้าง 69 นิ้ว สูง 89 นิ้ว เป็นพระพุทธปางมารวิชัย

หลวงปู่เหรียญอดีตเจ้าอาวาสวัดบางระโหง ที่มีความโด่งดังเรื่องพระปิดตา พญาไก่ เถื่อนและตะกรุดต่างๆ (มีร้านทองแห่งหนึ่งที่เยาวราชนำพญาไก่เถื่อนไปบูชา แล้วคืนหนึ่งมีโจร 3คนเข้ามางัดเพื่อหวังขโมยทองในร้าน ปรากฏว่าไม่สามารถออกจากร้านได้ จนเจ้าของร้านมาเจอใน สภาพนอนหมดสติอยู่หน้าพญาไก่เถื่อน

อีกเรื่องคือเด็กที่ใส่ตะกรุดพิศมรเกิดจมน้ำแถววัดบางระโหง หลวงปู่เหรียญก็ไปดึงเด็กขึ้นมาจากน้ำได้อย่างปลอดภัย) หลวงปู่เหรียญให้ความเคารพนับถือหลวงพ่อใหญ่เป็น อย่างมาก ท่านเคยบอกว่า มีอะไรเดือดเนื้อร้อนใจก็ให้ไปขอบุญบารมีหลวงพ่อใหญ่ช่วยเหลือ เคยมีชาย ท่านหนึ่งมาบนบานศาลกล่าวขอให้ขายที่ได้ในราคาที่ต้องการก็ขายได้ สมัยก่อนคนเก่าแก่เล่าว่า พ่อค้า พายเรือขายของเมื่อมาถึงหน้าอุโบสถหลวงพ่อใหญ่ก็จะยกมือไหว้แล้วกวักน้ำพรมสิ่งของ ของก็จะขายดี

ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ของหาย โรคภัยไข้เจ็บ การเกณฑ์ทหาร โชคลาภ หรือเรื่องต่างๆ ก็มีผู้คน จำนวนไม่น้อยที่มาบนบานศาลกล่าว แล้วได้รับบุญบารมีกันไป (แล้วแต่ความเชื่อ)

ปัจจุบันสภาพโบสถ์หลวงพ่อใหญ่มีความชำรุดทรุดโทรมมาก ลวดลายภาพและอักษรบนผนังโบสถ์เริ่มหลุด กร่อน โครงสร้างของโบสถ์อยู่ในสภาพที่ไม่มั่นคง สามารถพังทลายได้ทุกเมื่อ ทางพระครูกิตติสิทธิวัฒน์หรือหลวงพ่อเที่ยงเจ้าอาวาส ณ ปัจจุบัน จึงมีความต้องการที่จะบูรณะโบสถ์หลวงพ่อใหญ่ให้มีสภาพที่ มั่นคงถาวร โดยมีช่างผู้ชำนาญมาเสนองบการบูรณะไว้ประมาณ 9ล้านบาท (ยกโบสถ์ ซ่อมแซมโครง
สร้างและลวดลายที่ผนังทั้งหลัง)

จึงขอความอนุเคราะห์จากผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญสมทบทุนการปฏิสังขรณ์วิหารหลวงพ่อใหญ่วัดบางระโหง (สร้างโบสถ์เป็นมหากุศลผลบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด)

โบสถ์หลวงพ่อใหญ่


ชื่อบัญชี พระครูกิตติสิทธิวัฒน์ สาขาบางใหญ่
เลขที่บัญชี 268-1-27521-8 ธ.กรุงศรีอยุธยา สาขาบางใหญ่ จ.นนทบุรี

พระครูกิตติสิทธิวัฒน์ (หลวงพ่อเที่ยง)
วัดบางระโหง 44 หมู่9 ต.บางกร่าง อ.เมือง จ.นนทบุรี
โทร. 02-4474151, 02-4463636


กรุณาโทรแจ้งทางวัดหากมีการโอนเงินร่วมทำบุญ หรือท่านใดที่สามารถไปยังวัดบางระโหงได้ด้วยตนเอง จะเป็นการดีอย่างยิ่ง

ขอให้กุศลผลบุญนี้ส่งไปถึงตัวและครอบครัวของท่านที่ช่วยกันส่งข้อความนี้หรือช่วยทำบุญสมทบทุน ให้ท่านทั้ง หลายจงมีแต่ความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด.. สาธุ ผู้จัดทำ : ครอบครัวนาตนัฐนาคร

Amway ใครว่าของดี ?

Amway ใครว่าของดี

1 . แอมเวย์มีสมาชิก...ที่ยังคงอยู่ ประมาณ 7-8 แสนคน (แต่ไม่ต่อสมาชิกแล้วประมาณ 1 เท่าตัว) ซึ่งดูจากหมายเลขสมาชิกปัจจุบัน น่าจะประมาณ 2 ล้านกว่า ๆ โดยแอมเวย์ เก็บเงินค่าสมาชิกปีละ 900 บาท เมื่อคูณด้วยจำนวนสมาชิกราว ๆ 7 แสนคน ก็หมายความว่า แอมเวย์ได้เงิน "ค่าสมาชิก"ไปแล้วประมาณ 600 ล้านบาท การที่แอมเวย์ซื้อพันธบัตรรัฐบาลแค่ 1 ล้าน กับจ่ายเงินให้กองทุนต่าง ๆ เพื่อเอารูปมาลงเป็นการโฆษณา "ความดีงาม" ของตนเองสัก 80 ล้าน (จริง ๆ แล้วไม่ถึง 50 ล้าน) จึงถือว่าจิ๊บจ๊อยมากเมื่อเทียบกับ "เงินกินเปล่า" ที่เก็บไป

2. แอมเวย์ใช้วัสดุรีไซเคิลมาทำเป็นบรรจุห่อ เช่น ขวดต่าง ๆ หรือหลอดยาสีฟันก็ไม่ได้หมายความว่า แอมเวย์ช่วยกำจัดขยะหรือลดขยะ เนื่องจากพัสดุบห่อนั้น ๆ "มาจากอเมริกา" หรือหมายความว่า แอมเวย์ช่วยกำจัดขยะ "จากอเมริกา" ไปไว้ที่ต่าง ๆ ในโลก แอมเวย์ไม่มีโรงงานทำบรรจุภัณฑ์ หรือสั่งซื้อบห่อในประเทศอื่นครับ

3. แอมเวย์มักบอกว่าตัวเอง "ไม่มีโฆษณา" เพื่อลดต้นทุนส่วนที่ไม่จำเป็นให้ผู้ซื้อ แล้ว รูปสาวหน้าหมวย ๆ บีบยาสีฟันครึ่งหน้าของหนังสือพิมพ์หลายฉบับหลายวัน...แปลว่าอะไร โฆษณาใน TV...แปลว่าอะไรล่ะครับ

4. การโฆษณาของแอมเวย์เป็นซอฟท์เซลล์ สร้างความรู้สึกว่าคนใช้แอมเวย์เป็นคนประหยัด...เช่นซื้อรองเท้าเผื่อให้ลูก 1 เบอร์ เลือกเสื้อผ้าตัวใหญ่ ๆ ฯลฯ ...อยากถามว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็น"เฉพาะ"ผู้ใช้แอมเวย์หรือครับ อันที่จริงคนไทยเราก็ทำอย่างนี้มานานตั้งแต่ก่อนแอมเวย์เข้ามาเมืองไทยเสีย อีก เช่น เราใช้ยาสีฟันจนหยดสุดท้าย (แม้แต่แปรงสีฟันยี่ห้อนึงยังออกแบบมาให้ใช้ "รีด" ยาสีฟันได้เสียด้วยซ้ำ...ซึ่งแปรงสีฟันยี่ห้อนั้นก็ไม่ใช่ของแอมเวย์)...อันนี้อยากถามว่าแอมเวย์ "ฉกฉวย" วัฒนธรรมที่มีอยู่ก่อนเก่าไปเป็นของตัวเองรึเปล่า...ไม่มีปัญญาสร้างสรรความ คิดใหม่ ๆ จาก"แอมเวย์" เองบ้างรึไง ?

5. จำนวน "ผู้ประสบความสำเร็จ" คือตั้งแต่ระดับ DD ขึ้นไปในเมืองไทยมีกี่คน เอ้า...ผมให้ว่ามี 5 หมื่น (ซึ่งจริงแล้วผมรู้ว่ามีไม่ถึงหรอก) 5 หมื่นคน ใน 2 ล้านคน เป็นกี่เปอร์เซนต์ครับ คุณลองเทียบร้อยละหรือปัญญัติไตรยางศ์ดูได้เลยว่า ธุรกิจที่มีคนประสบความสำเร็จแค่ 2-3 เปอร์เซนต์น่ะ...ช่างน่าช่วยกันพัฒนาให้ "สวยงาม" ในประเทศชาตินักนี่ครับ

6. การจะเป็น DD ได้คุณต้องขายของได้เป้า 150,000 PV ใน 6 เดือน เป็นการขายให้ได้เป้าติดกัน 3 เดือน (performanced) ซึ่งหมายถึงว่าคุณต้องขายของให้แอมเวย์ประมาณ 2แสนบาท (รวมทั้งให้สายงานของคุณขายด้วยนั่นล่ะ) ต่อเดือน แปลว่าคุณต้องขายของได้อย่างต่ำ 1 ล้าน 2 แสนบาท ใน 1 ปี (ซึ่งปกติแล้ว...มากกว่านั้น) ...ถ้าคุณมีเซลล์ขายของให้ได้ 1 ล้านกว่าบาทแบบไม่เอาเงินเดือน 1 ปี.. เขาควรจะได้คอมมิสชั่นกว่าแสนบาท โดยในปีต่อ ๆ ไปเขาก็ขายให้ได้บ้าง...ไม่ได้บ้างเนื่องจากเขามี "ลูกค้าเก่า ๆ" สำหรับกิจการของคุณ ทำไมคุณไม่ควรตอบแทนอะไรให้เขาบ้างล่ะ ซึ่งแอมเวย์ก็ให้...ผมรู้ เขาให้เงินเดือน เดือนละประมาณ 18,000 บาทกับคุณ โดยที่คุณต้องเอาเงินนั้นจ่ายค่าน้ำมันรถของคุณเอง จ่ายค่าอบรมสัมมนาเอง (และยังต้องจ่าย "พิเศษ" มากกว่าคนที่ยังไม่เป็น DD) ด้วยเพื่อเลี้ยง "สายงาน" ฯลฯ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้...คุณยอมจ่ายง่ายจังเลยนะ ถ้าคนที่มีปัญญาขายของได้มากกว่าปีละ 1 ล้านบาท เอาเงินโบนัสหรือคอมมิสชั่นที่ได้เก็บไว้ทำเป็นทุน (ไม่ใช่หนี้) แล้วทำกิจการเอง...เขาอาจจะมี "ตัวตน" มากกว่าต้องไปหลบอยู่หลังเงาทะมึนของแอมเวย์...ทั้งตระกูล...ก็ได้

7. เจลอาบน้ำ ซึ่งมักเอามาเปรียบเทียบกับ "ครีมอาบน้ำ" ของ LUX แล้วพบความแตกต่างว่า...ครีมอาบน้ำของ LUX เกิดชั้นไขมัน หรือแตกตัวให้กลิ่นแอมโมเนีย เมื่อผสมกับสบู่ ความเป็นจริงแล้วก็คือ...เจลอาบน้ำ ไม่ใช้สบู่อาบน้ำหรือครีมอาบน้ำ สารตั้งต้นที่ใช้ผลิตต่างกันและวัตถุประสงค์ก็ต่างกันถ้าเอา "เจลอาบน้ำ" ยี่ห้ออื่นมาทดลอง...ก็เหมือนกับแอมเวย์นั่นล่ะ (แต่ราคาถูกกว่า) ในขณะเดียวกันถ้าเอา "สบู่" ของแอมเวย์มาละลายน้ำผสมกับ "เกลือ" (แอมเวย์ใช้แทนเหงื่อ...แต่ใช้ในอัตราเข้มข้นกว่าความเค็มของเหงื่อ จริง ๆ หลายเท่า) ครับ แล้วทดลอง...ก็ให้ผลแบบเดียวกับ LUX ...เรื่องนี้มีข้อขัดแย้งในตัวด้วยครับ เพราะเหงื่อที่คนเราขับออกมาจากร่างกายไม่ได้มีแต่เพียงเหงื่ออย่างเดียว โดยเฉพาะ คุณผู้หญิงด้วยแล้ว เหงื่อที่ขับออกมามี "ไขมัน"มากกว่าซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นตัว "เปรี้ยวๆ" อันเกิดจากการทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกับอากาศและการย่อยของแบคทีเรียบริเวณ ผิวหนัง กับ "กรดไขมัน" ที่ร่างกายขับออกมาพร้อมเหงื่อ คนไทยมีเหงื่อมากครับ...ซึ่งก็เป็นปกติ ส่วนการใช้เจลอาบน้ำเหมาะกับคนที่อยู่ในพื้นที่ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำเช่น ในเขตภูมิอากาศอบอุ่นหรืออากาศหนาว (และอยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน) เพราะเค้าต้องรักษาความชื้นที่ผิวหนังและปกติเค้าก็ไม่ค่อยมีเหงื่อครับ

8. ยาสีฟันกลิสเตอร์ "ข้นกว่า" และไม่มีสารขัดฟันหยาบ ๆ เมื่อเทียบกับ "พาโรดอนแท็กส์" เพราะ ว่ายาสีฟัน กลิสเตอร์เป็น "ครีมทำความสะอาด" ไม่ใช่ยา "สี(ขัดสี)ฟัน"ความข้นในตัวมันเองเกิดจากมวลสารที่มีขนาดเล็ก ๆ ซึ่งไม่แยกตัวง่าย ๆ เมื่อมีการให้พลังงานเข้าไปเฉกเช่นยาสีฟันที่ใช้ "สารขัดฟัน" เป็นหลักแล้วใช้โมเลกุลอื่น ๆ ที่เล็กกว่าเป็นตัวยึดเหนี่ยวหรือผสมผสานยาสีฟันกลิสเตอร์มักพูดถึงความเข้มข้น (ซึ่งความจริงแล้วคือ "การไม่แยกตัว") โดยทำเป็นลืม ๆ เรื่องคุณภาพการ "ขัดฟัน" โดยโยนให้เป็นเรื่องของแปรงกับวิธีการสีฟันของผู้ใช้แทน

9. น้ำยาล้างจาน LOC ยาสระผม ...ฯลฯ ของแอมเวย์ใช้สารตั้งต้นในหมู่อนุพันธ์ "Loreth sulfate"(คนไทยเรียก "หัวแชมพู") ซึ่งเป็นสารเคมีราคาถูก ๆ และกำลังอยู่ในขั้นวิจัยว่าเป็นส่วนก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ซึ่งแชมพูสระผมในเมืองไทยหลายยี่ห้อเลิกใช้ไปแล้ว

10. เครื่องกรองน้ำของแอมเวย์ แพงกว่าเครื่องกรองน้ำที่มีขายในเมืองไทย 2 เท่า โดยค่าอะหลั่ยก็แพงกว่า 3-4 เท่า แอมเวย์มักเอาเครื่องกรองน้ำของตนเปรียบเทียบกับสินค้าคุณภาพต่ำกว่า หรือ "ไม่ตรงจุดประสงค์" ของผู้ออกแบบ เช่นเอาสารกรองซึ่งก็คือ activated carbon ไปเปรียบเทียบกับ resin ทั้ง ๆ ที่ resin มีไว้เพื่อกำจัดความกระด้างของน้ำ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าที่คุณภาพสูงกว่า (และราคาถูกกว่า) เช่น เครื่องกรองน้ำระบบ RO ก็อ้างว่าน้ำจากระบบ RO" กรองทุกอย่างออกไปหมด" แม้แต่ "สารที่มีประโยชน์" โดยแอมเวย์ไม่ได้บอกว่า "สารที่มีประโยชน์" ที่เครื่องกรองน้ำแอมเวย์กรองไว้ไม่ได้มีอะไรบ้าง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว...เครื่องกรองน้ำแอมเวย์มีเพียงการกรอง 3 ขั้น ขั้นแรกเป็นการกรองแบบเลวมาก ๆ ด้วยชั้นกรอง PP บางจ๋อย จนเทียบกับไส้กรอง PP หรือไส้กรองเซรามิก ในท้องตลาดไม่ได้ ขั้นที่สองเป็นความภูมิใจของแอมเวย์และมักพูดกับผู้ซื้อราวกับแอมเวย์เท่า นั้นที่ ทำสิ่งนี้ (ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมีการคิดค้น-ใช้งานก่อนแอมเวย์ทำเครื่องกรองน้ำเอง หลายปี) คือ Activated carbon แต่เมื่อเทียบกับไส้กรอง AC ในท้องตลาดแบบมาตรฐาน...ซึ่งใช้กันทั่วไปแม้ในอเมริกา (ของกันนั่นล่ะ) จะพบว่าราคาของแอมเวย์แพงกว่า 3 เท่าตัวจนท่านสามารถซึ้อของยี่ห้ออื่นมาต่อ แบบอนุกรมได้ 2 เท่า...ซึ่งให้คุณภาพการกรองดีกว่า...ในราคาที่ต่ำกว่า ขั้นที่ 3 การกำจัดเชื้อ หรือระบบ Ultra violet สินค้าของแอมเวย์เป็นหลอดรังสีที่ให้ค่า Lux ต่ำกว่าของที่ขายยี่ห้ออื่น ๆ ...แต่อ้างว่าออกแบบให้มีการหมุนวนภายในระบบเพื่อเพิ่มระยะเวลา retaintion time ) ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วค่าเวลาดังกล่าว วัดจาก"อัตราการไหล" ที่ Input -Output เนื่องจากทางวิศวกรรมถือว่าเป็น " ระบบปิด" แล้วจึงวัดที่ขนาดของระบบ V= Q / A แม้ว่าภายในระบบจะจัดให้น้ำหมุนวนเป็น "กระแส" อย่างไรก็ตามถ้าลำของกระแสนั้นเล็กมาก ( A ต่ำ ) V หรือความเร็วในการไหล ก็จะสูงขึ้น เพราะ Q หรืออัตรา น้ำก็เท่า ๆ กัน ดังนั้นทำไมไม่เลือกตัวจ่ายรังสีที่เฉียบขาดกว่าในการฆ่าเชื้อล่ะ ? ...ถ้าแอมเวย์จะอ้างว่ารังสีมากก็อันตรายมาก...ก็พาไปหา "สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค"ได้เลย เพราะขนาดของรังสีที่ใช้ในสินค้ายี่ห้ออื่นก็ผ่านมาตรฐานทั้งนั้น (มักเป็นสินค้ากัน...เช่นเดียวกัน) นอกจาก นั้นแล้ว...เครื่องกรองน้ำของแอมเวย์ก็ใช้กรองน้ำบาดาลหรือน้ำกร่อยไม่ได้ ครับ...ใช้ได้แต่การกรองน้ำประปาที่ปกติก็ดื่มได้อยู่แล้ว...เท่านั้น

11. เครื่องฟอกอากาศของแอมเวย์ "แพงมาก ๆ" ราคาเท่ารถมอเตอร์ไซค์ 1 คันหรือแพงกว่า เครื่องปรับ อากาศขนาด 1 ตัน 2 เท่า ทั้งที่ระบบการกรองเป็นแบบ 3 ขั้นตอนที่ไม่มีเทคโนโลยี่อะไรมากมาย คือกรองหยาบด้วยตะแกรง กำจัดกลิ่นด้วย Activated carbon และดัก mist ด้วยไส้กรอง เฮพปา ตัวนี้ในเมืองไทยยังผลิตเองไม่ได้ แต่นำเข้ามาตัด พับได้ เช่น ของ 3M) ในท้องตลาดมีสินค้าที่ มีระบบ เช่นเดียวกันนี้ 2-3 ยี่ห้อ โดยราคาถูกกว่า 8-10 เท่า แม้ว่ามีอัตราการไหลผ่าน (ขนาด) เล็กกว่า ก็เล็กกว่าไม่ถึง 3 เท่า ดังนั้น...ซื้อตัวเล็ก ๆ สัก 3 ตัวก็ยังถูกตังค์กว่าเยอะปกติแล้วระบบฟอกอากาศที่ใช้กันทั่วไป มักเป็นระบบที่ใช้ไฟฟ้าสถิตย์ (ความเป็นจริงคือการใช้สนามไฟฟ้าในการดีด แล้วจับฝุ่นละออง) ซึ่งเราสามารถ "ถอดล้างทำความสะอาด" ได้ ไม่ต้องซื้อใหม่กันตะบี้ตะบัน คุณภาพการกำจัดฝุ่นของระบบ "EP" อยู่ที่ประมาณ 90 % ( ส่วนแฮพปา อยู่ที่ 95 % ) โดยวัดที่ "ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำกว่าความชื้นสัมพัทธ์ในเมืองไทย" และระบบแฮพปานั้นจะมีปัญหาทันทีถ้าความชื้นสัมพัทธ์สูงๆ ...ซึ่งก็หมายความว่าเครื่องฟอกอากาศของ แอมเวย์ใช้ได้เฉพาะในห้องแอร์ (เพื่อคงไว้ซึ่งคุณภาพตามคำบรรยาย) ...เท่านั้นครับ

12. เรื่องผงซักฟอก SA8 ของแอมเวย์ที่อ้างถึง "การรักษาสภาพแวดล้อม" เนื่องจากย่อยสลายได้... ผงซักฟอกทุกชนิด - ทุกยี่ห้อที่ขายในเมืองไทยต้องไม่ผสมสารที่ก่อให้เกิดฟอสเฟตในอัตราที่เป็น อันตรายครับ เนื่องจากผงซักฟอกเป็น "มาตรฐานบังคับ" ของสำนักงานมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) การกล่าวอ้างว่าผงซักฟอกอื่น "ทำลาย" สิ่งแวดล้อมจึงเป็นการสบประมาทเจ้าหน้าที่ (หรือกฎหมายของบ้านเมือง)ว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ (มาตรฐาน "บังคับ"เป็นมาตรฐานที่ "ต้อง" ทำให้ได้ ถ้าจะขายสินค้านั้น ๆ)...ถ้าพบใครพูดเช่นนั้นหรือทำนองนั้น...ก็บอกเค้าด้วยว่า...อาจเข้าข่าย หมิ่นประมาทครับ (จำคุก 1- 3 ปี...ถ้าผมจำไม่ผิด)

วิทยากรของทางแอมเวย์ส่วนใหญ่ล้วน สร้างประวัติของตนเท็จเพื่อสร้างความเชื่อมั่นไม่ว่าทั้งเรื่องการงาน การศึกษา และแรงจูงใจแก่ผู้ร่วมงานด้วยกัน (ไม่เชื่อลองไปเช็คดูได้)

ส่วนคนที่รักแอมเวย์ ก็คล้ายๆ คนโดนซื้อสิทธิ์ละครับ ได้ผลประโยชน์ได้จากเขามา แล้วก็ทำเป็นรักเขาโดยไม่มองภาพรวม อีกอย่างแอมเวย์เป็นจิตวิทยาที่ซับซ้อน คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในสังคมปกติ+ มีปัญหาอะไรบางอย่างทางด้านพื้นฐาน จะเป็นเหยื่อได้ง่ายมาก ตอนนี้แอมเวย์รุกกลุ่มใหม่แล้วคือนักศึกษา เหล่าคนที่อยากรวยแต่ไม่อยากทำอะไร+ไร้ประสบการณ์ เป็นขุมวัตถุดิบชั้นยอดของมันเลย แอมเวย์บางคนเกลี้ยกล่อม คนที่กำลังเขวว่า อย่าไปสนกระแสสังคม มันหมายความว่าไง คือ คนที่ข้ามจุดๆนึง ไป (เราเคยยืนจุดนั่นมาแล้วแต่ไม่ได้ข้าม) จะมีทัศนะคติที่ต่างไป ดังนี้

ในขั้นแรกที่สมัคร เขาจะบอกว่า ไม่ต้องเดินขาย ไม่ต้องง้อใคร อยู่ๆก็ได้เงินเองแค่สร้างเครือข่าย
หลังจากนั้น ก็จะพาเราไปอบรม จากวิทยากร + พบสังคมของเขา วันๆก็มีแต่ แอมเวย์ๆ โดยคนพาไป จะกระตุ้นตลอด พออบรมไประยะ ก็จะเกิดอารมณ์อยากทำ เห็นทางสว่าง เริ่มฝัน ทั้งๆที่ลืมตัวไป ว่าเราไปขาย+ชักจูงเสียแล้ว พอทำไประยะนึง ก็จะถึงจุดสำคัญ คือ ความคิดที่ว่า จะเอาต่อเป็นมนุษย์แอมเวย์ที่รวยแต่คนทั่วไปเจอแล้วรังเกียจ(เจ้าตัวไม่แคร์) หรือจะกลับไปเป็น มนุษย์ในสังคมปกติ

ในระยะนี้ จะมีการเสริมแรง ยุยงสารพัด ทั้ง CD เทป หนังสือ อบรมต่างๆ นานา สื่อเหล่านี้ล้วนนำนักจิตวิทยา มาพูดเพื่อให้เข้าถึงส่วนลึกของสมองหรือที่เรียกได้ว่าสะกดจิตนั่นเอง

คนที่เลือกข้ามไปเป็นมนุษย์แอมเวย์ ก็จะเริ่มเกิดอาการเข้ากระแสเลือด อยากอบรม อยากหาคน อยากขาย พอมีคนไปเตือนไปพูดก็จะยกคำคมมา ปัดป้องได้หมด ขนาดที่ว่า เป็นนายกยังสู้ขายแอมเวย์ไม่ได้ ผลที่ตามมาคือ แตกต่าง + ออกห่างจากสังคมปกติอย่างชัดเจน บุคลิก + ลักษณะ อารมณ์จิตใจเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แล้วยังจ่ายเงิน อบรมทีละ 1-3 พันบาทอย่างหน้าตาเฉย ขอชิ้นเป็นหมื่นๆก็ซื้อหน้าตาเฉย

บทสรุปของคนที่ข้ามไป ส่วนใหญ่เป็นเหยื่อให้คนบนๆ กิน กิน กิน + เสียความเป็นมนุษย์ แล้วก็จบลงด้วยการไม่เหลืออะไร แต่ก็ยังดันทุรังทำไม่หยุด ส่วนน้อย ผันตัวเอง เป็นวิทยากร + นักชักจูงตัวยง หรือแมลงสาบที่พวกเราๆรังเกียจนั่นเอง ส่วนที่แทบไม่ถึงส่วนน้อยมาก ประสบความสำเร็จ แต่ผมบอกตรงๆ คุณรวยคุณมี แต่ไม่มีใครยอมรับคุณ ก็แค่กลุ่มของคุณเท่านั้น


******ไม่ได้โจมตีครับ แต่อยากบอกความจริงให้รู้.......
ข้อมูลจาก Forword Mail

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คอร์ส 7 วัน วิธีการสปอนเซอร์

คอร์ส 7 วัน วิธีการสปอนเซอร์
"HOW TO MAGIC SPONSOR PRO"
เรื่องวิธีสปอนเซอร์ซึ่งคุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

วันที่ 1 ผู้มุ่งหวังของคุณไม่ได้เข้าร่วมกับโอกาสทางธุรกิจแต่เขาเข้าร่วมกับคุณ
วันที่ 2 ผู้มุ่งหวังของคุณคือใคร และจะสปอนเซอร์อย่างไรให้ไม่ถูกปฏิเสธ
วันที่ 3 คุณบอกผู้มุ่งหวังของคุณว่า "โปรดักส์ของเราดีกว่าของอีกบริษัทหนึ่ง" หรือว่า "แผนรายได้ของเราดีกว่าของอีกบริษัทหนึ่ง" ใช่ไหม
วันที่ 4 คุณวางตำแหน่งตัวคุณอย่างไร เป็น “คุณหมอ” หรือ “คนขายยา” เป็น “ผู้ถูกล่า” หรือ “ผู้ล่า”
วันที่ 5 "เหตุผลที่แท้จริงที่ผู้มุ่งหวังพูดว่า "ไม่" เหตุผลที่แท้จริงที่ผู้มุ่งหวังพูดว่า "ไม่"
วันที่ 6 โฆษณาอย่างไรให้ค่าใช้จ่ายเป็นศูนย์
วันที่ 7 วิธีการในการสปอนเซอร์นักธุรกิจต่างค่าย

อ่านเนื้อหาคอร์สนี้ทั้งหมด คลิกที่นี่