วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

10 คำถามที่ต้องตอบ

1. หากทำ MLM โดยไม่เจริญสติ คุณจะพบว่าแม้คุณจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว คุณก็จะยังไม่สามารถหยุดได้ เพราะความสำเร็จในลำดับขั้นถัดไป ยังมีรางวัลล่อใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเงินทองที่เพิ่มขึ้น เกียรติยศชื่อเสียงในวงการ หรือการท่องเที่ยวต่างประเทศ

ยากนะครับ ที่จะทำ MLM ได้อย่างมีสติ หรือสามารถควบคุมสติได้ว่า อย่าโลภ เพราะอะไรถึงกล่าวเช่นนั้น เพราะการอยู่ในบรรยากาศของ MLM คุณไม่ต้องวิ่งไปหาความโลภ หรือความอยากได้ อยากมี อยากเป็น แต่สิ่งเหล่านั้นจะวิ่งมาหาคุณถึงข้างหู

เพราะในบรรยากาศที่ประชุมของ MLM เค้านำเสนอกันในเรื่องของรายได้จำนวนมหาศาล บ้านราคาหลายล้าน รถเบนซ์ ล้วนแล้วแต่เป็นของล่อกิเลส ที่อยู่ภายในใจของทุกคนทั้งสิ้น ความอยากได้ ความอยากมี ความอยากเป็น ของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุดหากไม่รู้จักควบคุมครับ


Ans : หากจะให้ตอบตามความรู้สึกผมเห็นด้วยกับคุณ megamix100 นะครับที่ว่าหากเราไม่สามารถควบคุมสติได้ เราก็จะถูกความโลภครอบงำ ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด ซึ่งเมื่อทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด ผลที่ตามมาอาจจะทำให้เรา และคนรอบๆข้างเดือดร้อนไปด้วย ดังนั้นผมจึงบอกเสมอครับ ไม่ว่าจะเป็น mlm หรือพนักงานบริษัท ทุกอย่างมันต้องอยู่บนพื้นฐานของความพอดี

สมมติเพื่อนๆเป็นเซลล์แมนคนหนึ่ง บริษัทก็จะหากลวิธีต่างๆเพื่อนมาเป็นแรงจูงใจไม่ว่าจะเป็นค่าคอมมิชชั่นให้เพื่อนๆสร้างยอดขายให้กับบริษัท หากเพื่อนๆเป็นพนักงานบริษัท บริษัทก็จะเสนอโบนัสงามๆให้ปลายปีเพื่อเป็นแรงผลักดันให้เพื่อนๆทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นคำว่าความโลภที่ถูกกระตุ้นนั้น มันไม่เกี่ยวกับธุรกิจหรอกครับ แต่มันอยู่ที่จิตใจของคนมากกว่า ว่าคุณสามารถเจริญสติของตัวเองได้หรือไม่ครับ

สิ่งนี้เป็นข้อสำคัญมากข้อหนึ่งที่ผมพยายามเน้นในสังคม ABD ครับ ผมเข้าใจว่าทุกคนอยากมีอยากได้เสมอ (หากเราสามารถที่จะมีมันได้) แต่อยากที่จะให้เรารู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ อย่าให้อำนาจของเงินทอง มาบดบังความดีที่ควรจะทำครับ


2. หลายคนที่ทำ MLM พยายามพูดว่า MLM เป็นการช่วยเหลือคนอื่น เพราะเราต้องช่วยให้คนอื่นสำเร็จก่อน แล้วตนเองจึงจะสำเร็จ เป็นไปได้ยากนะครับ (ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ หรือญาติพี่น้อง) ที่จะมีคนคิดถึงคนอื่น หรืออยากช่วยคนอื่นก่อน ทั้งที่ตนเองยังไปไม่ถึงไหน

ในทางพระพุทธศาสนา มนุษย์ทุกคนมีพื้นฐาน คือเอาดีเข้าตัว จึงอาจจะสรุปได้ว่า การช่วยเหลือผู้อื่นให้สำเร็จก่อนตนเองในระบบ MLM เป็นวาทกรรมอย่างหนึ่ง วาทกรรมที่จะทำให้ผู้พูด และคนฟังรู้สึกดีกับตัวธุรกิจ

Ans : คำถามหรือความคิดเห็นนี้ผมขอคิดต่างนะครับ เนื่องจากคำว่า เราต้องช่วยให้ผู้อื่นสำเร็จก่อน แล้วเราเองจึงจะสำเร็จ อันนี้ในความรู้สึกของผมน่าจะเขียนใหม่ว่า ตราบใดที่องค์กรเราไม่ประสบความสำเร็จ เราก็อย่าไปเพ้อฝันว่าเราจะสำเร็จครับ เพราะ mlm หรือแอมแวย์เป็นธุรกิจที่อาศัยเครือข่ายผู้บริโภคมาอยู่ร่วมกัน รายได้ที่เกิดขึ้นมาทางแอมแวย์ก็จะนำผลกำไรกลับมาคืนสู่ผู้บริโภค (อันนี้เกือบทุกท่านคงเคยฟังจนเบื่อไปแล้ว) ดังนั้นหากไม่มีเครือข่ายที่เข้มแข็ง (หมายถึงบุคคลอื่นในองค์กร) เราก็ไม่มีทางเข้มแข็งได้ครับ ดังนั้นเรื่องที่เราต้องทำให้คนในองค์กรเราสำเร็จ นั่นเพราะว่าหากเค้าไม่ทำให้สำเร็จเราก็ไม่ได้อะไรเลยเหมือนกันครับ

ยกตัวอย่างนะครับ 7-11 ขายเฟรนไชส์ ให้กับเพื่อนๆ ถามว่า 7-11 อยากให้เพื่อนประสบความสำเร็จยอดขายดีรึป่าวครับ คำตอบคืออยากครับ ไม่ว่าเค้าจะหวังอะไรจากเพื่อนๆก็ตาม แต่เค้าต้องอยากให้เพื่อนๆประสบความสำเร็จครับ เพราะนั้นหมายถึงรายได้จากค่าลิขสิทธิ์ รายได้จากยอดขาย แล้วแถมบางครั้งอาจจะได้ศึกษาทำเลจากสาขาของเพื่อนๆไปแบบฟรีๆด้วยครับ ดังนั้นผมอยากจะสรุปว่า หากเพื่อนๆคิดจะทำธุรกิจแอมแวย์ เพื่อนๆไม่ควรมองด้านบนของเพื่อนๆครับ อยากให้มองแค่ด้านล่าง ว่าเพื่อนๆสามารถบริหารองค์กรของเพื่อนๆยังไงมากกว่า ส่วนเรื่องพระพุทธศาสนา ผมไม่ขอชี้แจงนะครับ เพราะผมไม่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนจะพยายามเอาดีเข้าตัวเพียงด้านเดียว อาจจะมีเอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่น หรือเอาดีเข้าตัวแล้วนำไปแบ่งปันให้คนอื่นครับ...

ผมขอสรุปว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆหรอกครับ เพื่อนๆต้องจ่ายค่าตอบแทนออกไป และนั่นต้องถามใจเพื่อนๆแล้วล่ะครับว่าสิ่งที่จะต้่องจ่ายมันคุ้มกับสิ่งที่จะได้กลับมารึป่าว...


3.มีบางคนที่ไปฟัง MLM แล้วไม่สนใจเรื่องเงินทองมากนัก ผู้นำ MLM บางกลุ่ม ก็หันมาเน้นในเรื่องของความกตัญญู เค้ามักจะบอกว่า ถ้าทำ MLM ประสบความสำเร็จ จะทำให้พ่อแม่ หรือคนที่เรารักหมดห่วงได้เร็วกว่าทำงานอย่างอื่น ซึ่งนั่นก็ทำให้คนใหม่ที่เข้าไปฟัง หลายคนต้องน้ำตาตก และตัดสินใจทำ MLM

หลายคนที่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย ไม่ต้องการให้บุตรของตนทำ MLM ผู้นำก็มักจะบอกว่า ให้อดทนทำ เมื่อเราสำเร็จ พ่อแม่ก็จะชื่นชมเราเอง ผู้นำบางคน ถึงขนาดบอกให้ลูกโกหกพ่อแม่ เพื่อมาทำ MLM การโกหก และการทำให้พ่อแม่เสียใจ เสียน้ำตา นี่จะเรียกว่าเป็นความกตัญญุได้อีกหรือ ผลตอบแทนของ MLM ถือเป็นสัญญาอนาคต ที่ยังจับต้องไม่ได้

พวกผู้นำรับรองได้หรือ ว่าจะประสบความสำเร็จแน่นอน แล้วจะรับผิดชอบได้หรือ หากมีพ่อแม่ของดาวน์ไลน์ เครียดที่ลูกไม่เชื่อฟัง เส้นเลือดในสมองแตกตายไปก่อนที่ลูกตนเองจะประสบความสำเร็จ ใน MLM คือการฝากชีวิตไว้กับอนาคต ที่ไม่มีความแน่นอน


Ans : ข้อนี้ผมเห็นด้วยแบบไม่มีเงื่อนไขครับ เป็นความจริงที่ว่านักธุรกิจมักมองหาจุดอ่อนของคู่เจรจาเสมอด้วยหลัก SWOT แต่เค้าเหล่านั้นลืมคำว่าจริยธรรมไปครับ มันจะมีประโยชน์อะไรหากเพื่อนๆ ชวนคนมาด้วยการหลอกลวงแล้วหวังจะให้เค้ามาเข้าใจเราทีหลัง...

ดังนั้นในธุรกิจนี้ไม่ีมีใครสามารถรับรองได้ว่าเพื่อนๆจะมีเงินแสนภายในกี่เดือน หรือกี่ปี (จริงๆผมคิดว่าก็เป็นทุกธุรกิจนะครับ ) แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าเอาความโลภ หรือความกตัญญูของคนอื่นมาใช้เป็นเครื่องมือครับในการหาสมาชิกครับ

ดังนั้น ABD จึงเป็นเหมือนสังคม mlm หรือแอมแวย์ที่ได้ฉีกกฎที่ล่วงละเมิดสิทธิเหล่านั้นออกไป ABD ต้องการให้เพื่อนๆมองธุรกิจ เหมือนกับไม่ใช่ธุรกิจ อย่าทำเพราะต้องการเงินเพียงอย่างเดียวครับ แต่อยากจะให้เพื่อนๆทำเพราะต้องการมีรายได้แบบยั่งยืน (แม้จะไม่หวือหวา) เมื่อถึงจุดๆหนึ่งเพื่อนๆสามารถทำในสิ่งที่ชอบได้โดยที่ไม่เดือดร้อนใคร เท่านั้นเองครับ

4. การบริโภคอาหารเสริม ในความเป็นจริงแล้ว ถือเป็นการสิ้นเปลือง เพราะไม่ว่าเราจะบริโภคมากเท่าไร หรือหมดเงินเป็นหมื่นต่อเดือนไปกับอาหารเสริม

อาหารเสริมก็ไม่ช่วยให้เราหนีพ้นความตายไปได้ ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ความกลัวของมนุษย์ ทำให้นักธุรกิจหลายต่อหลายคนร่ำรวยจากความกลัวเจ็บ ความกลัวตายของเพื่อนมนุษย์

กลัวไปกันทำไมครับ ถ้าเราไม่กลัว เราก็ไม่จำเป็นต้องบริโภคให้สิ้นเปลือง ระลึกถึงความตายไว้เถอะครับ ขณะนี้เราหายใจเข้า ถ้าไม่หายใจออก เราก็ตาย เราหายใจออก ถ้าไม่หายใจเข้า เราก็ตาย เอาเงินนั้นไปให้ แก่คนที่ ไม่มี จะดีกว่าหรือไม่

Ans : คำว่าอาหารเสริมทำไมถึงเริ่มมีบทบาทกับผู้คน...ในความคิดเห็นของผมนั้น เนื่องจากคนเราสมัยนี้เริ่มพึ่งพิงวิทยาศาสตร์มากขึ้น ใช้ชีวิตกับการทำงานหนักเพื่อหาเงินมากขึ้นมีความรู้จากสื่อต่างๆ เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตมากขึ้น...

ซึ่งคนเรานี่แปลกนะครับ ทั้งๆที่เรามีวิวัฒนาการที่เจริญขึ้นมาอย่างมากมาย แต่ชีวิตเรากลับห่างไปจากธรรมชาติมากขึ้นทุกที ดังนั้นเมื่อสังคมเป็นแบบนี้ ร่างกายเราจากที่เคยต้องใช้เพื่อทำงาน 100% แล้วเราก็รับประทานอาหารเข้าไปในปริมาณปกติ

ร่างกายเราก็จะกลับมาฟื้นสภาพได้ตามธรรมชาติ จริงมั้ยครับ? แต่ถามว่าคนแบบนั้นจะเหลืออยู่ในสังคมที่วุ่นวายแยยนี้ซักกี่เปอร์เซ็นครับ? ที่ผมพบเจอก็จะเป็นพนักงานออฟฟิศ การศึกษาดีระดับปริญญาตรี ปริญญาโท จากนอก เงินเดือนสูงๆ

แต่กลางวันได้กินข้าวกันตอนไหนไม่รู้ (บางครั้งอาจจะไม่ได้กินเลยด้วยซ้ำ) แล้วคุณภาพของสิ่งที่กินคืออะไรครับ ข้าวข้างตึก ศูนย์อาหารต่างๆซึ่งในความคิด มันแทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย...ดังนั้นคำว่าอาหารเสริมจึงถูกยกขึ้นมาเพื่อป้อนให้กับบุคคลประเภทนี้ครับ

ถ้าถามผมว่าเพื่อนๆจำเป็นต้องกินหรือไม่ ผมก็ขอตอบว่า แล้วแต่เพื่อนๆครับ ยกตัวอย่างผม ผมเข้าใจนะครับว่าอาหารเสริมมันจำเป็นกับคนประเภทที่ต้องทำงานหนัก และเวลาที่ไม่แน่นอน เวลาพักผ่อนไม่ค่อยเพียงพอ รับประทานอาหารหลักที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งผมก็อยู่ในข่ายนี้

แต่ถามผมว่าผมอยากซื้อมากินรึป่าว? ผมขอตอบว่าผมยังไม่สนใจที่จะกินครับ อาจจะด้วยวัยวุฒิ หรือพฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่ได้สนใจเรื่องสุขภาพมากนัก เพราะเป็นนักกีฬามาก่อนคิดว่าไปออกกำลังกายในวันว่าง และหาอาหารดีๆกินบ้าง ก็น่าจะช่วยได้ (ซึ่งจะช่วยได้จริงๆรึป่าว ไม่ขอฟันธงครับ )คนเราทุกคนหลีกเลี่ยงความตายไม่พ้นครับ แต่เราจะทำยังไงให้เราอยู่บนโลกใบนี้แล้วทำสิ่งดีๆให้มากที่สุดต่างหากครับ


5.เช่นเดียวกันกับเครื่องสำอาง ต่อให้คุณเสียเงินไปกับเครื่องสำอางมากเพียงใด คุณก็ไม่มีวันหนีความจริงข้อหนึ่งพ้น ผิวหนังของคุณต้องเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา คุณทำได้เพียงแค่ยืดเวลาออกไป หลอกตัวเองไปวันวันเท่านั้นล่ะครับ

ถ้าคุณไม่ได้มีอาชีพที่ต้องพบปะผู้คนจำนวนมาก คุณเอาเงินที่จะใช้ซื้อเครื่องสำอางราคาแพงแพง ไปบริจาคให้แก่คนยากคนจน จิตของคุณจะเปี่ยมสุขมากกว่าการสร้างภาพหลอกตัวคุณเองไปวันวันแน่นอนครับ

Ans : อันที่จริงเรื่องเครื่องสำอางนี่เป็นเรื่องที่ผมไม่อยากจะพูดถึงเลยครับ เพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนยังกะเรื่องการเมืองเลยทีเดียว หากให้พูดเรื่องเครื่องสำอางมันก็มาคู่กับผู้หญิงนะครับ

การตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางของผู้หญิงผมไม่ขอวิจารณ์ว่าซื้อด้วยเหตุผลอะไร แต่ผมจะไม่พยายามไปก้าวก่ายเด็ดขาดครับ เพราะคุณผู้หญิงทั้งหลายจะมีเหตุผลร้อยแปดพันเก้า ที่จะนำมา support ความคิดของตัวเองที่จะซื้อมัน

มันจริงครับที่ว่าไม่มีใครหนีความแก่ชราไปได้ แต่สำหรับมุมมองของผู้หญิง (ขอถือวิสาสะ เป็นผู้หญิงนิดนะครับ ) ผมคิดว่าเค้าก็อยากจะใช้สินค้าที่มีคุณภาพ เพื่อที่จะไม่ทำให้เค้าเกิดการแพ้ซึ่งผลที่ตามมาอาจจะทำให้เค้าต้องไปรักษาเสียค่ายาแพงกว่าค่าเครื่องสำอาง ก็เป็นได้ครับ

เหมือนเพื่อนผมบางคนต้องใช้เครื่องสำอางแพงๆ เพราะถ้าใช้ของถูกจะแพ้ (อันนี้อาจจะเกิดจากอุปทานก็ได้) แต่บางคนใช้ของถูกไม่แพ้ แต่ดันแพ้ของแพง ทั้งๆที่บ้านรวย...ดังนั้นเรื่องนี้ปล่อยให้หน้าใครเค้ารับผิดชอบกันไปเองเถอะครับ

6.เช่นเดียวกับสิ่งของอุปโภคบริโภคต่างๆ ถามตัวเองก่อนจะซื้อใช้เถิดครับ ว่าเรากำลังจะบริโภคคุณค่าแท้หรือคุณค่าเทียม

สมมติว่าตอนนี้คุณต้องการซื้อรถยนต์ เพื่อใช้ขับไปทำงาน หรือไปไหนมาไหน หากว่าคุณมีเงินเก็บสัก 5 ล้านบาท ถ้าคุณจะซื้อรถยนต์โดยมองไปที่คุณค่าแท้ของตัวสินค้า คุณก็จะหาซื้อรถเพียงแค่ให้มันขับพาคุณไปไหนมาไหนได้ ซึ่งนั่นก็จะทำให้คุณไม่ต้องใช้เงินถึง 5 ล้านบาทในการซื้อรถราคาแพง เช่น เบนซ์ ทั้งคุณยังมีเงินเหลือที่จะทำประโยชน์ให้สังคมได้อีก

แต่ถ้าคุณบริโภคด้วยคุณค่าเทียม คุณจะใช้เงินนั้นซื้อรถเบนซ์ เพื่ออะไรครับ เพื่อหน้าตา เพื่อชื่อเสียง เพื่อเกียรติยศ คิดดูให้ดีนะครับ มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน ล้วนแล้วแต่เสมอภาคกันที่ความตาย ตายไปก็เอาไปไม่ได้ครับ สมบัตินอกกาย คนเราเวลาตาย เราก็แบมือออก เป็นเครื่องหมายว่าเอาอะไรไปไม่ได้อยู่แล้ว


Ans : คำตอบของข้อนี้ขอยกมาจาก คุณพอดี หรือคุณดีพอกับ ABD แค่ไหน? แล้วกันนะครับนั่นคือมุมมองของการบริโภคสินค้าของคนเราไม่เหมือนกัน ซึ่งแน่นอน หากเพื่อนๆคิดว่าไม่ได้ชอบสินค้าของแอมแวย์เลย เพื่อนๆก็ไม่ควรจะสมัครเข้ามาในธุรกิจนี้ครับ

แต่หากเพื่อนๆยอมรับว่าสินค้าของแอมแวย์ดี (ไม่ว่าจะชิ้นหรือหลายชิ้น) และเพื่อนๆสามารถซื้อมันมาใช้โดยไม่เดือดร้อน ซึ่งมันจะดีมั้ยหากเราจะสร้างธุรกิจตัวหนึ่งขึ้นมาบนพื้นฐานบวก ไม่ใช่ทางด้านลบครับ

ส่วนเรื่องรถนี่ผมชอบมากเลยครับ ถ้าถามผมว่าหากผมมีเงินเก็บ 5 ล้านบาทผมจะสามารถเอาเงินนั้นไปซื้อรถคันนึงได้หรือไม่ ผมอาจจะไม่กล้าครับ แต่หากว่าซักสามล้านนี่ไม่แน่ครับ เพราะอย่างที่บอกครับคุณค่าของสินค้าของคุณ megamix100 กับผมมองไม่เหมือนกัน คุณ megamix100 อาจจะมองมันเป็นสิ่งของธรรมดา แต่ผมมองมันเป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝันมาแต่เด็ก แค่เรื่องนี้คุณค่ามันก็แตกต่างกันมากแล้วครับ

ส่วนเรื่องที่ว่าเหลือตังไว้บริจาค อันนั้นเป็นความคิดที่ดีครับ ผมก็บริจาคเงินให้องค์การ unicef ทุกเดือนถามว่าการบริจาคเราต้องใช้เงินทุกบาททุกสตางค์เราเลยเหรอครับ ผมคิดว่าไม่ใช่นะครับ อย่างน้อยมนุษย์ปุถุชนก็ยังอยากเสพกับความสุขของสิ่งที่เรียกว่าวัตถุอยู่บ้างไม่มากก็น้อยครับ จริงอยู่ที่ตายไปจะเอาอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากความดีและความชั่วที่ติดตัวไป แต่จากตัวคำถามผมคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกับบาปบุญนะครับ เราสามารถใช้ชีวิตที่สมบูรณ์ในแบบของเราพร้อมกับช่วยเหลือผู้อื่นไปพร้อมๆกันได้ครับ


7. ความสุข อยู่ที่ใจ ครับ ไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์สินเงินทอง หรือวัตถุสิ่งของภายนอก

Ans : ผมไม่แน่ใจว่านี่เป็นคำถาม หรือคำชี้แนะนะครับ แต่ผมเห็นด้วยบางส่วน และขอไม่เห็นด้วยบางส่วนครับ
เห็นด้วย...
- จริงครับ ความสุขที่แท้จริงตามหลักพุทธศาสนา เกิดขึ้นได้เมื่อใจเราสงบ เมื่อเราพิจารณาสิง่ที่เกิดและดับไป เราจะทราบว่าชีวิตไม่มีอะไรที่คงอยู่ตลอดไป เมื่อนั้นเราจึงมีสุข
- ต่อให้เพื่อนๆรวยเป็นอดีตท่านนายก (เอ่อ...ป๋มขอโทษที่พาดพิงคับ ) เมื่อตายไปก็ใช่ว่าเพื่อนๆจะเอาเงินนั้นไปใช้ต่อได้ สุดท้ายทุกคนก็กลายเป็นเถ้าถ่าน เป็นปุ๋ยในดิน

ไม่เห็นด้วย...
- ที่ไม่เห็นด้วยไม่ใช่เพราะประโยคนี้นะครับ แต่ไม่เห็นด้วยที่ว่า คนเราไม่ได้มีเพียงด้านเดียวนะครับ หากเพื่อนๆบอกว่าเพื่อนๆต้องการตัดขาดจากทางโลก หรือเป็นพวกไม่สนใจโลกภายนอกเลย อันนั้นผมจะไม่ขอขัดครับ ทั้งยังนับถือในความใจเด็ดของเพื่อนๆครับ ผมอยากทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ด้วยภาระหน้าที่ทั้งต่อตนเองและ ครอบครัวทำให้ไม่สามารถตัดสิ่งที่เรียกว่า ทรัพย์สินเงินทองออกไปได้ครับ ผมสังเกตุเอานะครับว่า คนที่ไม่เห็นความสำคัญของทรัพย์สินเงินทองมีสองประเภทครับ
1. คนที่รวยมากๆจนใช้ไม่หมดแล้วมาคิดได้ว่าต่อให้รวยยิ่งกว่านี้ ก็ไม่เห็นมันจะมีความสุข ดังนั้นเค้าจึงหันไปหาความสุขทางใจแทน
2. คนที่เข้าใจในหลักพุทธศาสนา และยอมตัดขาดจากทางโลกครับ
นอกนั้น ผมมั่นใจว่าทุกคนยังต้องการทรัพย์สินเงินทอง เพียงแต่ความต้องการนั้นอย่าให้ความโลภมาบงการให้อยากได้มากมาย ขอให้การอยากได้ทรัพย์สินเงินทองเป็นไปโดยที่ไม่ได้เบียดเบียนใครครับ


8. MLM ทำให้ได้เงินมากก็จริงครับ แต่ก็ทำให้ใช้เงินมากตามไปด้วย ไหนจะค่าสินค้า ค่าประชุม ค่าเซ็นเตอร์ ค่าสัมมนาต่างจังหวัด อย่ามองครับว่าคุณมีรายได้เท่าไร แต่อยากให้มองว่าต่อเดือนคุณเหลือเท่าไร

Ans : คำถามนี้ผมไม่ขอตอบนะครับ เพราะทาง ABD ไม่มีนโยบายให้เพื่อนๆต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนที่เป็นการประชุมต่างๆ อยู่แล้วครับ ส่วนเรื่องสินค้าก็อย่างที่บอกครับ ใครคิดที่จะเข้ามาสู่สังคมนี้ต้องยอมรับในตัวสินค้าแอมแวย์ก่อน ถ้าด่านแรกไม่ผ่าน ก็อย่าเสียเวลาเข้ามาเลยครับเพื่อนๆจะเสียทั้งเวลาและโอกาสครับ

9. คุณมีเวลาให้ครอบครัวบ้างไหมครับ หลายคนที่ทำ MLM มักจะบอกว่าทำเพื่อครอบครัว เพื่อให้ครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแต่ผมว่าคุณลืมคิดถึงความจริงข้อหนึ่งครับ

MLM แย่งเวลาที่คุณจะได้ใช้กับครอบครัวอย่างอบอุ่นไปมากกว่างานชนิดอื่นๆอัพไลน์ของผม เป็นแพลตตินัม และแม่ของอัพไลน์ก็เป็นไพลินสองผู้สถาปนา

แต่ไม่มีเวลาให้กับคนที่เค้าเรียกว่าคุณยาย และคุณแม่เพราะกว่าเค้าจะกลับจากไปหาดาวน์ไลน์ และเข้าเซ็นเตอร์ ก็ห้าถึงหกทุ่มแล้วปล่อยให้คนชรา นั่งหงอยเหงาอยู่ที่บ้านเพียงคนเดียวผมเคยได้ยินคุณยายของอัพไลน์ผมพูดว่า อยู่บ้านมั่งได้ไหม

บางทีคุณพ่อคุณแม่ ปู่ย่าตายาย หรือลูกหลานของคุณ ก็ไม่ได้ต้องการทรัพย์สินเงินทองอะไรมากมายหรอกนะครับสิ่งที่พวกเค้าต้องการคือ เวลา ที่คุณจะอยู่กับเค้า

คุณอาจจะพูดว่า ถ้าทำ MLM ประสบความสำเร็จ จะมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากเสียจนไม่รู้จะเอาเวลาไปทำอะไรแต่ระยะเวลาที่คุณยังไม่ประสบความสำเร็จล่ะครับคุณก็ตอบไม่ได้ว่าจะสำเร็จเมื่อไรหรือคุณจะขโมยเวลาที่คุณควรมีให้พวกเค้าไปถึงเมื่อไรอาจจะ 1 ปี 5 ปี หรือสิบปีถ้าพวกเค้าตายไปก่อนล่ะครับ


Ans : นี่เป็นเหตุผลหลกว่าทำไมผมจึงอยากสร้าง Social Network ABD ขึ้นมา เพราะผมมั่นใจว่าผมกำลังสร้างองค์กรที่ให้ความสมดุลย์กับเพื่อนๆได้ครับ เพื่อนๆเพียงนำหลักการที่มีเหตุมีผลไปใช้ เพื่อนๆไม่ต้องเชื่อผมครับ เพียงแต่ใช้เหตุผลมองดูวิธีการ ผมเชื่อมั่นว่าด้วยหลักการนี้ แม้มันจะไม่หวือหวา มีคนซื้อสินค้าทำยอดกัน แต่มันจะเป็นก้าวเล็กๆทีละก้าวที่เดินไปอย่างมั่นคงครับ

10. การประสบความสำเร็จใน MLM จะทำให้คุณรู้สึกมั่นคงปลอดภัยในชีวิตมากขึ้นก็จริงครับแต่ความจริงที่สุดยิ่งกว่านั้นก็คือ คุณจะทำยังไง หรือคุณจะหาเงินทองได้มากแค่ไหน ชีวิตคุณก็ไม่มั่นคงครับ

ทำไมผมถึงกล่าวเช่นนั้น เพราะคุณไม่รู้ว่าคุณจะตายเมื่อไร คุณอาจจะตายเดี๋ยวนี้ก็ได้ อาจจะตายในอีกหนึ่งชั่วโมง อีกหนึ่งวัน อีกหนึ่งเดือน หรืออีกสิบปี

ถ้าใจของคุณไม่รู้จักคำว่าพอ ต่อให้คุณหาได้เท่าไร มันก็ไม่พอหรอกครับสุดท้ายคุณก็จะหาไปเรื่อยๆ ด้วยความกลัว กลัวว่ามันจะยังไม่มากพอที่จะประกันความมั่นคงปลอดภัยให้ชีวิต

เพราะสุดท้ายแล้ว คุณก็ไม่สามารถตอบได้ว่า มีเท่าไรถึงจะพอการอยู่ในธุรกิจ MLM เป็นเครื่องมือช่วยส่งเสริมอย่างดีกว่าการทำงานชนิดอื่นๆ เลยครับ

ส่งเสริมให้ใจคุณ ไม่รู้จักคำว่าพอ ถ้าคุณรู้จักคำว่าพอจริง คุณทำจนประสบความสำเร็จแล้ว ก็ไปบวชตลอดชีวิต ไม่ต้องสึก แบบที่อัพไลน์ของนักธุรกิจแอมเวย์ระดับตรีเพชรคนหนึ่งทำสิ

หากคุณทำได้แบบนั้น ผมถึงจะยกย่องคุณ ว่าคุณทำ MLM ด้วยความจริงใจ อยากช่วยเหลือคนอื่นให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง

Ans : ผมไม่อยากจะตอบคำถามนี้อีกเช่นกันครับ เพราะคำว่าพอในความหมายของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ดังเหมือนปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงของเรานั่นแหละครับ

ที่พระองค์ตรัสไว้ว่า...

“...ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียงความหมายคือ ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือทำจากรายได้ ๒๐๐-๓๐๐ บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น สามหมื่นบาท คนชอบเอาคำพูดของฉัน เศรษฐกิจพอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียง คือทำเป็น Self-Sufficiency มันไม่ใช่ความหมายไม่ใช่แบบที่ฉันคิด ที่ฉันคิดคือเป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขาต้องการดูทีวี ก็ควรให้เขามีดู ไม่ใช่ไปจำกัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู เขาต้องการดูเพื่อความสนุกสนาน ในหมู่บ้านไกลๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดูแต่ใช้แบตเตอรี่ เขาไม่มีไฟฟ้า แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย เปรียบเสมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัดสูทใส่ และยังใส่เนคไทเวอร์ซาเช่ อันนี้ก็เกินไป...” พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล ๑๗ มกราคม ๒๕๔๔

ดังนั้นหากเราพึงระลึกไว้ว่าเราไม่ได้กระทำการอันใดเพราะเกิดจากความโลภ ความไม่พอเพียง เพื่อนๆอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะครับ เพราะเพื่อนๆไม่ได้ทำให้ใครต้องเดือดร้อน ส่วนใครสำเร็จแล้วจะบวชผมก็ขออนุโมทนาบุญล่วงหน้าไว้ด้วยนะครับ

ปิดยอดขายปี 52 สำหรับธุรกิจเครือข่ายในบ้านเรา 10 อันดับบริษัทขายตรงเมืองไทย

1.แอมเวย์ 1.37 หมื่นล้านบาท
2.เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) หรือ มิสทิน 8.6 พันล้านบาท
3.กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ 4.6 พันล้านบาท
4.ซูเลียน (ประเทศไทย) 3.6 พันล้านบาท
5.คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล 2.6 พันล้านบาท
6.ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) 2.5 พันล้านบาท
7.เอม สตาร์ เน็ทเวิร์ค 2 พันล้านบาท
8.นีโอไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล 1.85 พันล้านบาท
9.แสงสุริยะฉัตร (2002) 1.8 พันล้านบาท
10.ไลฟ์สไตล์ แปซิฟิค ริม (ประเทศไทย) 1.5 พันล้านบาท

จับตา 3 บริษัทพันล้าน
1.นูสกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) 1.47 พันล้านบาท
2.จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น 1.2 พันล้านบาท
3.เอเจล เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) 1.1 พันล้านบาท

http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413342493

ทำไม แผน 2 ขา ถึงไม่ Success ในไทย

ส่วนใหญ่แผนการตลาดแบบ 2 ขามันก็คือลูกโซ่ไงครับ ง่ายจะตาย พอเป็นลูกโซ่มันก็ Overpay คนก็หนีครับ แต่ตอนหลังมีแผน 2 สายงานที่ไม่ Overpay ออกมาครับ ทำไมถึงไม่ Overpay ถ้าดูดีๆแล้วมันก็เป็น Binary - Stairstep น่ะครับ ซึ่งเอาแผนแบบ Binary ซึ่ง Overpay มาผสมกับแบบ Stairstep เพื่อดักไม่ให้ Overpay ดังนั้น Binary ยุคใหม่ก็จะไม่ค่อยมีการยกทีมหนีครับ ถามว่าแล้วมันมีไหม มันก้มีครับ ขออนุญาตบอกชื่อบริษัทนะครับ เพราะไม่งั้นให้ข้อมูลไม่ได้

คือคนที่ทำ Synergy ยกทีมหนีมา Agel สาเหตุเพราะอะไร...ไม่ทราบครับ อาจจะเป็นเพราะผู้นำคิดว่าอยากอยู่ต้นสาย หรือผู้นำเห็นว่ามีโอกาสที่ดีกว่า (ความคิดของเขานะครับ) หรืออื่นๆก็ว่าไป แต่ผมก้ยังเห็นคนทำ Synergy อยู่นิครับ มันก็ไม่ได้เจ๊งซะหน่อย

ทั้งนี้ทั้งนั้นเราไม่สามารถสรุปได้ว่า Binary จะไม่ Success ในไทยครับ แผน binary ยุคเดิมมันคือลูกโซ่ทีี่ไม่สามารถเอามารวมได้ ส่วนแผน Binary ยุคใหม่ที่มีการปรับแล้วมีโอกาสสูงที่จะเติมโตต่อเนื่องในไทย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับบรรดาผลิตภัณฑ์ด้วย สาเหตุที่คนจะหนีก็เพราะผลิตภัณฑ์มันไม่ดีอะแหละครับ แผนธุรกิจดีๆมันออกมาเรื่อยๆอยู่แล้ว พอคนเห็นของดีปุ๊บก็โดนชักจูงได้ง่าย ถ้าเขาเข้ามาเพราะแผนเพียงอย่างเดียว เขาจะอยู่ไม่ยืนครับ เขาก็แค่ยกทีมหนีไปทำอันใหม่ ที่เขาคิดว่าเป้นโอกาสที่ดีกว่า...

ว่าแต่ Binary ในไทยมันมีเยอะมากไหมอะครับ ผมรู้อยู่แค่ Synergy, Agel, Aim Star ในไทยมันมีอีกเยอะหรอครับที่เปิดแล้วปิดน่ะ เอาแผนกับผลิตภัณฑ์มาลงก็ได้นะครับ จะได้มาดูกันว่ามันปิดเพราะอะไร

เพิ่มเติม ความเห้นส่วนตัวผมว่าไอ้ที่ binary มันหยุดโต (ถ้าไม่เจ๊งอะนะ) ก็คงเพราะตลาดเต็มนั่นแหละครับ ถ้าผู้บริหารเขาไม่รู้จักขยายตลาดออกมันก็เต้มครับ แล้ว Binary ทำตลาดเร็วมาก ถ้าไม่วางแผนขยายดีๆก็จบเห่แน่นอน

มารู้จัก บริษัทเบสท์59 (ปูแดง) กันเถอะ

BEST 59 ปูแดง ไคโตซาน

ในนามของบริษัท เบสท์ 59 จำกัด ผมขอขอบคุณนักธุรกิจอิสระ เบสท์ 59 ทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจและมั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ “ปูแดง ไคโตซาน” ของบริษัทเรา ตลอดระยะเวลาที่ที่ผ่านมา จากประสบการณ์ของผมที่ได้ออกตลาดเองโดยให้ความใส่ใจกับลูกค้าทุกคน จนเกษตรกรได้เห็นความแตกต่าง และความเปลี่ยนแเปลงที่ชัดเจนกับการใช้ “ปูแดง ไคโตซาน” จนวันนี้ลูกค้าได้ให้ความไว้วางใจกับ “ปูแดง ไคโตซาน” ของเรา และที่ผมภูมิใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ บริษัท เบสท์ 59 ของเราได้มีส่วนทำให้เกษตรกร มีรายได้เพิ่มขึ้น และปลดหนี้สินได้ และคนไทยเราได้รับประทานพืชผัก ผลไม้ที่ปลอดสารพิษเพราะ “ปูแดง ไคโตซาน” ของเราเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ 100%

บริษัท เบสท์ 59 ของเรายังคงรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ “ปูแดง ไคโตซาน” 100% อย่างนี้ตลอดไป และเราจะไม่หยุดยั้งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ “ปูแดง ไคโตซาน” เพื่อนำผลิตภัณฑ์ที่ดี มีคุณภาพ และเพื่อนำคุณภาพชีวิตี่ดีสู่เกษตรกร เหมือนดังคำขวัญของบริษัทเราที่เราได้ยึดถือตลอดมา คือ

“คุณภาพนำธุรกิจ สู่ชีวิตที่มั่นคง”
ผมให้สัญญา ขอบคุณครับ
ด้วยความปราถนาดี

สมปอง แซ่ตั้ง
ประธานกรรมการ

คณะผู้บริหาร บริษัท เบสท์ 59
คุณสมปอง แซ่ตั้ง ประธานกรรมการ
คุณธนาพัทธ์ กิจใบ รองประธานกรรมการ
คุณนรพัจน์ ใจทัศน์ ผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรม
คุณสุรยุต ภูศรี ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
คุณเนตินันท์ ประดิษฐ์ชัย ผู้จัดการฝ่ายไอที-สารสนเทศ
อ.วิชาญ จำปาขาว ผู้ผลิต ปูแดงไคโตซาน
โรงงาน/ผลิต-ที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการ

บริษัท เบสท์ 59 จำกัด
ก่อตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 20 มีนาคม 2546 โดยคณะผู้บริหารชาวไทย 100% สำนักงาน ตั้งอยู่เลขที่ 18/37 ปฐมทองซิตี้ ถ.ทรงพล ต.ลำพยา อ.เมือง จ.นครปฐม คณะผู้บริหารมืออาชีพ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล บริหารด้วยคุณธรรม มีเป้าหมายเป็นบริษัทที่ช่วยเหลือเกษตรกร โดย ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ สร้างโอกาส มีวิสัยทัศน์ ตอบสนองความต้องการแห่งความสำเร็จในชีวิตของผู้คนทุกหนแห่ง มีสินค้าที่โดดเด่น คุณภาพสูง และ ราคาเหมาะสม เข้าได้ทุกกลุ่มผู้บริโภค แผนสร้างรายได้ ทำง่าย ผลตอบแทนสูง ถูกต้องตาม พรบ.ขายตรง
มีการวิจัยและพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพทันสมัยอยู่ตลอดเวลา และอย่างต่อเนื่อง มีการพัฒนาบุคลากรทุกระดับโดยทีมงานบริหารมืออาชีพ มีการพัฒนาระบบช่วยการทำงานเพื่อให้สมาชิกประสบผลสำเร็จเร็วขึ้น

ปณิธานบริษัท
เราจะส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นและปลดหนี้สินได้ นำคุณภาพชีวิตที่ดีสู่เกษตรกร พร้อมกับเป็นผู้ส่งเสริมให้ประชาชนได้รับประทานพืชผัก ผลไม้ที่ปลอดสารพิษ นโยบายบริษัทมุ่งมั่นสู่ความเป็นบริษัทที่พัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ให้มีชีวิตและความเป็นอยู่อย่างพอเพียงปลอดหนี้สิน และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรจากการใช้ผลิตภัณฑ์ “ปูแดง ไคโตซาน” และการเป็นสมาชิกนักธุรกิจอิสระของบริษัท เบสท์ 59 จำกัด

สโลแกนบริษัท
“คุณภาพนำธุรกิจ สู่ชีวิตที่มั่นคง” สิ่งที่เราตระหนักเสมอนอกจากเรื่องของบริการแล้ว เรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์เราจะให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งเสมอ เพราะทุกอย่างที่มีคุณภาพจะนำพาเราไปสู่ความยั่งยืนและมั่นคง บริษัท เบสท์ 59 ของเราจึงเป็นหนึ่งในเรื่องของคุณภาพ ขอให้ท่านจงเชื่อมั่นและมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของเรากับหุ้นส่วนของบริษัท

เป้าหมายการดำเนินงาน

เป้าหมายของบริษัทเป็นบริษัทที่ส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกพืช ผัก และผลไม้ปลอดสารพิษให้ได้มากที่สุดในทุกพื้นที่การเกษตร ของประเทศไทย

เป้าหมายด้านสมาชิก
สร้างฐานนักธุรกิจ เบสท์ 59 ให้มีรายได้มากพอกับการดำรงชีพ แม้ไม่มีอาชีพประจำและช่วยปลอดหนี้สิน โดยมีเศรษฐกิจพอเพียง
สร้างระบบการทำงานในธุรกิจเครือข่ายขายตรงหลายชั้นให้กับนักธุรกิจ เบสท์ 59 เพื่อนำสมาชิกก้าวสู่ความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ยั่งยืนและมั่นคง สร้างพลังความสามัคคี และความรู้สึกอบอุ่นให้กับนักธุรกิจ เบสท์ 59 ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

ศักยภาพของบริษัทและทีมงาน
ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ และประสบการณ์ เข้าใจในระบบธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายหลายระดับชั้น หรือ MLM อย่างลึกซึ้งทีมงานบริหารที่เป็นมืออาชีพ มีความเข้าใจในธุรกิจเครือข่ายที่ปรึกษาของบริษัทเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในแต่ละสาขาอาชีพ ที่สามารถให้คำปรึกษากับเราได้ตลอดเวลา
----------------------