the Pusruit of Happyness หนังที่สร้างมาจากเค้าโครงเรื่องจริงของ คริส การด์เนอร์ (Chris Gardner) ชายผิวสีที่ถูกพ่อทอดทิ้งไปตั้งแต่ยังไม่เกิด ส่วนแม่ก็ถูกสามีใหม่ใส่ความจนต้องติดตะราง ปล่อยให้เค้าต้องระเหเร่ร่อนไปอยู่บ้านนู้นบ้านนี้ตั้งแต่เด็ก พอได้มาอยู่กับแม่ ก็ต้องทนอยู่กับพ่อเลี้ยงขี้เมาที่ไม่เคยเห็น Chris เป็นลูกเลย พอเข้าวัยทำงาน ความกดดันในการหาเลี้ยงปากท้องก็มาถึงจุดสูงสุดเมื่อเค้าต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูชีวิตของลูกชาย ทำให้เค้าพยายามที่จะเป็น Broker เพื่อให้ชีวิตครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดี แม้ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยมาเลย Chris Gardner พลิกผันชีวิตตัวเองจากคนที่ไม่มีบ้านอยู่ เร่ร่อนนอนตามที่ต่างๆ มาเป็น Broker ระดับแถวหน้าและเจ้าของบริษัทพันล้านในปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าในหนังกับเรื่องจริงจะแตกต่างกันบ้าง แต่สิ่งที่หนังให้กับผู้ชมคือ การต่อสู้อย่างไม่ท้อถอย ถึงแมว่าจะล้มซักกี่ครั้ง ยังมีโอกาสให้เราแก้ตัวได้เสมอและหนังเรื่องนี้นี่เองทำให้ ผมสามารถฟันฝ่าช่วงที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตถึงขนาดอยากผูกคอตายเพื่อจบปัญหา แต่แล้ววันนึงผมได้ดูหนังเรื่องนี้ ทำให้ผมคิดว่าผมยังไม่เลวร้ายเท่าที่ในหนังเลย และลองสู้อีกครั้ง ก็ยังล้มอีก ล้มแล้วผมก็สู้อีก จนทุกวันนี้ ผมสามารถอยู่ได้อย่างไม่เดือดร้อนแล้ว จากเรื่องจริงในชีวิตตนเอง จึงอยากให้ใครก็ตามที่กำลังหมดหวังกับชีวิต มองไปทางไหนก็เจอแต่ทางมืดมน ลองมองผ่านหนังเรื่องนี้ซักครั้ง อาจจะมำให้คุณกลับมาผงาดอีกครั้งก็เป็นได้
ประโยคที่ผมจำได้ขึ้นใจทุกวันนี้และยึดปฏิบัติตลอดคือ ประโยคที่ คริส พูดกับลูกชาย "Don t ever let sombody tell you can t do someting , ..You got a dream , You Gotta protect it ... If you want someting , Go get it."
"อย่าให้ใครมาบอกเราว่าเราทำไม่ได้ เพราะคนที่ทำไม่ได้ มักจะบอกคนอื่นว่าทำไม่ได้ , ถ้าคุณมีความฝันจงรักษาความฝันนั้นไว้ และหากคุณต้องการสิ่งใด จงไข่วคว้ามันมาให้ได้"
ผมเป็นคนหนึ่งที่ประทับใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้มากๆ ยิ่งได้ดูในช่วงที่กำลังท้อถอยกับชีวิตยิ่งประทับใจ ปัจจุบันเวลาผมเจอปัญหา ผมมักจะหยิบหนังเรื่องนี้มาดูบ่อยๆ ดูแล้วฮึดสู้และทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าปัญหาของเรามันช่างเป็นเรื่องเล็กน้อยเสียนี่กระไร จะมานั่งบ่นทำไม คนอื่นลำบากกว่าเรามีเยอะแยะ โดยเฉพาะเจ้าของเรื่อง คือ Chris Gardner ช่างเป็นคนสู้ชีวิตจริงๆ แม้ยากลำบากขนาดไหนก็ไม่ถอย เป็นเราคงยอมแพ้ยกธงขาวไปเรียบร้อยเพราะมันสุดๆแล้วจริงๆกับสิ่งที่เค้าเผชิญ ขนาดเรานั่งดูเฉยๆยังรู้สึกเลยว่า อะไรมันจะลำบากขนาดนี้ เรื่องของเรื่องก็คือประทับใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้มาก และกำลังต้องการกำลังใจในการใช้ชีวิต และข้อคิดดีๆในการทำงานเพื่อประสบความสำเร็จ
