วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วิธีสังเกตยาที่เสื่อมคุณภาพ

วิธีสังเกตยาที่เสื่อมคุณภาพ




















ทราบหรือไม่ว่า ยาแต่ละชนิดจะเสื่อมคุณภาพเมื่อไหร่

วิธีสังเกตยาที่เสื่อมคุณภาพ

- ยาเม็ด สังเกตว่าเม็ดยาจะแตกร่วน สีเปลี่ยนไป มีจุดด่าง ขึ้นรา หรือหากเป็นยาเม็ดเคลือบน้ำตาล เม็ดยาอาจเยิ้มเหนียวมีกลิ่นหืนหรือกลิ่นผิดไปจากเดิม

- ยาแคปซูล สังเกตว่าแคปซูลจะบวม พองออก หรือจับกัน ผงยาในแคปซูลเปลี่ยนสี เช่น ยาเตตราซัยคลินที่เสียแล้ว ผงยาจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นอันตรายต่อไตมาก

- ยาน้ำแขวนตะกอน เช่น ยาลดกรด ยาคาลาไมน์ทาแก้คัน หากเสื่อมสภาพตะกอนจะจับกันเป็นก้อน เกาะติดกันแน่น เขย่าแล้วไม่กระจายตัวดังเดิม มีความเข้มข้น กลิ่น สี หรือรสเปลี่ยนไป

- ยาน้ำเชื่อม เช่น ยาแก้ไอ หากหมดอายุ ยาจะมีลักษณะขุ่นมีตะกอน ผงตัวยาละลายไม่หมด สีเปลี่ยน มีกลิ่นบูดเปรี้ยวหรือรสเปรี้ยว

- ยาขี้ผึ้งและครีม ถ้าพบว่าเนื้อยาแข็งหรืออ่อนกว่าเดิม เนื้อไม่เรียบ เนื้อยาแห้งแข็ง หรือสีของยาเปลี่ยนไป

วิธีการดูว่ายาหมดอายุ คือ ดูวันหมดอายุของยาที่ระบุไว้บนฉลากยา และถ้ายานั้นไม่มีวันบอกหมดอายุ อาจดูจากวันเดือนปีที่ผลิต ซึ่งโดยปกติ ถ้าเป็นยาน้ำจะเก็บไว้ได้ประมาณ 3 ปีนับจากวันผลิต และหากเป็นยาเม็ดจะเก็บไว้ได้ 5 ปี และถ้าเป็นยาหยอดตาหากเปิดใช้แล้วเก็บไว้ได้เพียงหนึ่งเดือน

ครั้งหน้าถ้าจะรับประทานยา อย่าลืมสังเกตดูวันหมดอายุก่อนรับประทานยากันด้วย.

เรื่องจริงของผู้ชายที่ต้องเปลี่ยนไป

เรื่องจริงของผู้ชายที่ต้องเปลี่ยนไป
















ผู้ชายเปลี่ยนไปได้ยังไง ขึ้นอยู่กับเวลาครับท่าน ผู้ชายจะพูดอย่างนี้

เริ่มที่คำว่ารัก

หลังจากผ่านไป 6 สัปดาห์ “ผมรักคุณ ผมรักคุณ ผมรักคุณ”

หลังจากผ่านไป 6 เดือน “อ๋อ..แน่นอน ผมยังรักคุณอยู่เสมอ”

หลังจากผ่านไป 6 ปี “ถามได้ ถ้าผมไม่รักคุณ แล้วผมจะมาแต่งงานกันคุณหาพระแสงของ้าวทำไมฟะ”

กลับจากทำงาน

หลังจากผ่านไป 6 สัปดาห์ “ที่รัก ผมกลับมาบ้านแล้ว”

หลังจากผ่านไป 6 เดือน “กลับแล้ว”

หลังจากผ่านไป 6 ปี “นี่..ทำกับข้าวหรือยังเนี่ย”

รับโทรศัพท์ให้

หลังจากผ่านไป 6 สัปดาห์ “ที่รักจ๊ะ มีคนอยากคุยกับคุณนะ”

หลังจากผ่านไป 6 เดือน “นี่คุณ โทรศัพท์คุณนะ”

หลังจากผ่านไป 6 ปี “รับโทรศัพท์ซะทีซิฟะ”

ทำกับข้าว

หลังจากผ่านไป 6 สัปดาห์ “ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคุณทำกับข้าวได้อร่อยขนาดนี้”

หลังจากผ่านไป 6 เดือน “แล้วเย็นนี้เราจะกินอะไรกันเนี่ย”

หลังจากผ่านไป 6 ปี “กินของเก่าอีกแล้วหรือฟะ”

ชุดใหม่

หลังจากผ่านไป 6 สัปดาห์ “ว้าว..คุณดูสวยยังกะนางฟ้าตอนสวมชุดนี้เลยนะนี่”

หลังจากผ่านไป 6 เดือน “คุณซื้อชุดใหม่อีกแล้วหรือนี่”

หลังจากผ่านไป 6 ปี “ซื้อมาเท่าไหร่ละเนี่ย”

โทรทัศน์

หลังจากผ่านไป 6 สัปดาห์ “ที่รักจ๊ะ..คืนนี้เราจะดูรายการอะไรกันดี”

หลังจากผ่านไป 6 เดือน “ผมชอบหนังเรื่องนี้”

หลังจากผ่านไป 6 ปี “ผมจะดูแผ่นผี ถ้าคุณไม่ชอบก็ขึ้นไปนอนซะ ผมจัดการ เองได้”

การเมคเลิฟ

หลังจากผ่านไป 6 สัปดาห์ “ที่รักจ๊ะ..คืนนี้ผมอยากนอนกอดคุณจัง”

หลังจากผ่านไป 6 เดือน “ไว้วันหลังก็แล้วกันนะ ผมเหนื่อยมากแล้ว”

หลังจากผ่านไป 6 ปี “นี่ขยับไปฝั่งโน้นได้ไหม เหม็นเบื่อจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว”.
คุณเลือกได้ ตายแล้วจะไปไหน
--------------------------------------------------------------------------------
















พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

ท่านกล่าวไว้ในหนังสือตายแล้วไปไหน ตายแล้วไม่สูญ ถึงทาง ๕ สาย
ที่ทุกคนต้องไป เมื่อตายจากโลกนี้ (สรุปย่อจากหนังสือ)

๑. อบายภูมิ ได้แก่เกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน
๒. เกิดเป็นมนุษย์
๓. เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์
๔. เกิดเป็นพรหม
๕. ไปพระนิพพาน


ท่านที่ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าทรงตรัสบอกเหตุที่จะไปเกิดไว้ครบ
ถ้วนตามกฏของกรรม คือการกระทำ ได้แก่ความประพฤติดีหรือชั่วในสมัยที่
เกิดเป็นมนุษย์นี่เอง กฏของกรรมหรือการทำดีหรือชั่วที่จะพาไปเกิดในที่ใด
ที่หนึ่งในทาง ๕ สาย ดังนี้

แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นผลจากการประพฤติชั่ว
จากการละเมิดศีล ๕ คือ
๑. ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
๒. ลักขะโมยของบุคคลอื่น
๓. ละเมิดบุตร, ภรรยา, สามี และคนในปกครองของคนอื่น
๔. พูดโกหกทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
๕. ดื่มสุราเมรัย

แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์ คนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้
ต้องเป็นคนมีศีล ๕ กรรมบท ๑๐

แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์ คนที่ตายแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดา-นางฟ้า
ได้ ต้องเป็นคนที่มี หิริ-โอตัปปะ คือละอายต่อความชั่ว ไม่ทำความชั่วในที่
ทุกสถาน และเกรงกลัวต่อผลของความชั่ว จะทำให้เกิดความเดือนร้อน
ทำความดีทุกอย่าง บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา

แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก คนที่ตายแล้วไปเกิดในพรหมโลกได้ท่าน
ว่าต้องเป็นนักเจริญกรรมฐานและมีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตายเป็นอารมณ์
จิตที่ทรงฌานที่เรียกว่าเข้าฌานตาย

แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน คนที่ตายแล้วไปพระนิพพานได้ ต้องตัด
สังโยชน์ ๑๐ สังโยชน์ แปลว่ากิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมอยู่ในวัฏฏะสงสาร
๑๐ อย่างคือ

๑. สักกายะทิฏฐิ มีความเห็นว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้เป็นเรา
เป็นของเรา เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเรา

๒. วิจิกิจฉา สงสัยผลของการปฏิบัติ สงสัยในพระธรรมคำสอนของ
พระพุทธเจ้า และไม่เคารพในพระรัตนตรัยด้วยความจริงใจ

๓. สีลัพพตปรามาส ถือศีลไม่จริงไม่จัง สักแต่ว่าถือตามๆ เขาไป
รักษาศีลได้ไม่บริสุทธิ์

๔. กามราคะ มีความกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ คือ รูปสวย เสียงเพราะ
กลิ่นหอม รสอร่อย และยินดีในการถูกต้องสัมผัสกับเพศตรงข้าม

๕. ปฏิฆะ มีความไม่พอใจกับอารมณ์ที่มากระทบ อันนี้เป็นโทสะแบบเบาๆ

๖. รูปราคะ พอใจในรูปธรรม คือความพอใจในวัตถุ หรือรูปฌาณ

๗. อรูปราคะ พอใจในอรูป คือเรื่องราวที่กล่าวถึง หรืออรูปฌาณ

๘. อุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน คิดนอกลู่นอกทาง

๙. มานะ ความถือตัวถือตนโดยมีความรู้สึกว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา
เราเสมอเขา

๑๐. อวิชา ความโง่ คือหลงพอใจในกามคุณ ๕ และกำหนัดยินดีในกามคุณ

สังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อนี้ ถ้าท่านปฏิบัติพระกรรมฐานแล้ว พิจารณาจนจิตละ
สังโยชน์ทั้ง ๑๐ อย่าง โดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านผู้นั้นเป็นผู้บรรลุอรหัตผล
เมื่อตายแล้วก็เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน เป็นแดนเอกันตบรมสุข ไม่ต้องเวียนว่าย
ตายเกิดในวัฏฏะสงสารอีกต่อไป

ท่านจะเลือกว่าท่านจะไปทางสายใด ท่านก็ต้องสร้างเหตุด้วยการประพฤติ ปฏิบัติตาม
พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านต้องการความสุข ท่านก็ต้องบำเพ็ญทาน
รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา ถ้าต้องการความทุกข์ ท่านก็ทำแต่ความชั่ว
ทานไม่ต้องทำ ศีลไม่ต้องรักษา ท่านจะพบแต่ความทุกข์แน่นอน แล้วท่านจะเลือกทางสายไหน

คุณเลือกได้ ตายแล้วจะไปไหน

14 กลเม็ด เกร็ดไม่เคยรู้ของการออกกำลัง

14 กลเม็ด เกร็ดไม่เคยรู้ของการออกกำลัง
--------------------------------------------------------------------------------



















1. วิธีออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างน้อย 1 ใน 6 ส่วนของร่างกายอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยใช้หลัก F.I.T F-Frequency 1 สัปดาห์ ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง 3 วัน อย่างมาก 6 วัน I-Intensity ความหนักในการออกกำลังกาย ใช้อัตราการเต้นของชีพจรเป็นเกณฑ์ให้ได้ประมาณระหว่างร้อยละ 70-90 ของอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ ซึ่งสามารถคำนวณได้จากการนำอายุไป ลบออกจากเลข 220 คูณ 70 ถึง 90 หาร 100 ตัวอย่างเช่น : อายุ 20 ปี จะใช้ความหนักในการออกกำลังกาย (220-20) x 70 ถึง 90 หาร 100 เท่ากับ 140 ถึง 180 ครั้งต่อนาที และ T-Timeช่วงเวลาในการออกกำลังกายแต่ละวัน อย่างน้อย 10-15 นาที ใน 6 วัน อย่างมาก 30-45 นาที ใน 3 วัน
2. ดื่มนมช็อกโกแลตคลายเมื่อยล้า ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยนอร์ตัมเบรีย อังกฤษ (UK) ศึกษาพบว่า นมช็อกโกแลตช่วยให้ปั่นจักรยานได้นานกว่าเครื่องดื่มบำรุงกำลังหลังเล่นกีฬา 51% และนานกว่าเครื่องดื่ม เกลือแร่ 43% การศึกษานี้สอดคล้องกับการศึกษาอื่นๆ คือ นมไขมันต่ำช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวหลังออกแรง-ออกกำลังได้ดีกว่าเครื่องดื่มชนิดอื่น เพราะอาหารที่มีโปรตีนช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวหลังออกกำลัง น้ำตาลนม หรือแล็กเทส (Lactate) ในนมช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ทำให้ระดับของเสีย (Lactate) ในกล้ามเนื้อลดลง จึงคลายอาการปวดเมื่อย
3. อิ่มแล้วออกกำลัง ช่วยให้ผอม คณะนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ และอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ร่วมกันรายงานผลการศึกษา ในวารสารวิชาการแพทย์ ‘ต่อมไร้ท่อวิทยา’ ว่าการออกกำลังทันทีหลังจากกินจนอิ่มช่วยให้อดอาหารได้นานขึ้น และผอมลง เพราะร่างกายจะขับฮอร์โมนสะกดความหิวในขณะ ถูกใช้งาน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ผู้ที่ออกกำลังกายอยู่ประจำ ปกติจะรู้สึกไม่สู้หิวหลังออกกำลังเสร็จใหม่ๆ และ จะยังคงเป็นอยู่ จนถึงเวลากินมื้อหน้า และนี่นับเป็นการค้นพบ รูปแบบชีวิตที่มั่นคงและถูกสุขลักษณะที่กำลังเกรียวกราวในวงการสุขภาพ
4. อย่าออกกำลังกายทันทีที่ตื่นนอน เวลาที่เราเพิ่งตื่น ร่างกายจะยังปรับตัวเข้ากับ สภาพแวดล้อมได้ไม่เต็มที่ ถ้าออกกำลังกายอาจจะบาดเจ็บ
5. ไม่ออกกำลังตอนเช้ามืด ผู้เชี่ยวชาญศึกษาพบว่า ก่อนดวงอาทิตย์จะขึ้น ต้นไม้จะยังคงขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
6. ดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนออกกำลังกาย 6-8 ชั่วโมง ที่เราหลับ ความเข้มของเลือดจะเพิ่มขึ้นและผิวหนังก็คายน้ำออกมาตลอดเวลา จึงควรดื่มน้ำอย่างน้อยหนึ่งแก้ว ก่อนออกกำลัง เพื่อป้องกันอาการหน้ามืด
7. ไม่ออกกำลังตอนหมอกลง หมอกมักเกิดพร้อมความดันอากาศต่ำ ทำให้มีมลพิษในอากาศมากกว่าปกติ คนที่อยู่ท่ามกลางหมอกถึงมักจะหายใจได้ไม่สะดวก และเป็นโรคปอดได้ง่าย ถ้าออกกำลังกลางหมอก
8. อย่าอาบน้ำทันทีขณะออกกำลัง รูขุมขนจะเปิดเพื่อขับเหงื่อ ถ้าถูกน้ำราดลงมา เส้นเลือดก็จะหดตัวลงทันที ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง ทำให้เป็นหวัดกันได้ง่ายๆ ระบบ การหายใจติดขัดจนอาจช็อกได้
9. ไม่ดื่มน้ำเย็นจัดหลังออกกำลังกาย การน้ำเย็นจัดๆ ดื่มหลังจากจ๊อกกิ้งมาหมาดๆ จะทำให้กระเพาะหดตัวเฉียบพลัน และอาจจะปวดท้องหรือท้องเสียได้
10. ไม่กินอาหารทันทีหลังออกกำลัง ขณะออกกำลัง เลือดลมจะสูบฉีดไหลเวียน ไปทั่วตัว ทำให้กระเพาะและน้ำย่อยมีประสิทธิภาพต่ำ การกินอาหารทันที หลังออกแรง อาหารจะถูกย่อยช้า จนเกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
11. ตรวจก่อนอุ่นใจกว่า ถ้ามีอายุมากกว่า 35 ปี ควรตรวจสุขภาพว่ามีโรคหัวใจหรือไม่ก่อนการออกกำลังกาย
12. ไม่สบายไม่ฝืน ควรงดการออกกำลังกาย ในขณะเจ็บป่วย มีไข้ พักผ่อนไม่พอ
13. ออกกำลังในอุณหภูมิปกติ ควรหลีกเลี่ยงสภาพอากาศที่ร้อนจัดหนาวจัด ฝนฟ้าคะนอง มลภาวะมาก และสวมเสื้อผ้าที่เหมาะสม
14. หยุดเมื่อมีสัญญาณเตือน ควรพักหากมีอาการแน่นหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน และไปพบแพทย์

สรุปเนื้อหา พ่อรวย สอนลูก “ Rich Dad Poor Dad “

สรุปเนื้อหา พ่อรวย สอนลูก “ Rich Dad Poor Dad “ by โรเบิร์ต คิโยซากิ - Robert T. Kiyosaki คลิกที่นี่

สรุปเงินสี่ด้าน E-S-B-I คุณเป็นคนประเภทไหน ?

สรุปเงินสี่ด้าน - จากหนังสือ พ่อรวย สอนลูก RichDad PoorDad E-S-B-I คุณเป็นคนประเภทไหน ? คลิกที่นี่

สรุป The Secret กฏแห่งการดึงดูด ความลับของ The Law of Attraction

สรุป The Secret กฏแห่งการดึงดูด ความลับของ The Law of Attraction คลิกที่นี่

ธุรกิจเครือข่าย คืออะไร

ธุรกิจเครือข่าย คืออะไร "ในท่ามกลางที่มืด ย่อมมีแสงสว่างเสมอ"

ธุรกิจเครือข่ายคืออะไร ?
ธุรกิจเครือข่าย เป็นระบบธุรกิจการตลาดรูปแบบใหม่ที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถได้เป็นเจ้าของธุรกิจที่สร้างรายได้จำนวนมาก โดยไม่ต้องมีความเสี่ยงและไม่ต้องลงทุนเงินเป็นจำนวนมากเหมือนกับการทำธุรกิจทั่วๆไป เพียงเริ่มต้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดี และเมื่อเกิดความประทับใจในตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ก็ทำการแนะนำบอกต่อให้คนที่รู้จักได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีนั้นเหมือนกับตนเป็นการโฆษณาแบบปากต่อปาก เมื่อมีการซื้อผลิตภัณฑ์ใช้ตามคำบอกเล่าจากผู้แนะนำ ก็จะทำให้เกิดกระบวนการเคลื่อนย้ายสินค้าจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการโฆษณาและพ่อค้าคนกลาง เหมือนกับการตลาดแบบเดิม ที่การเคลื่อนย้ายสินค้าจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภคจะต้องผ่านระบบพ่อค้าคนกลางซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับกำไรถึง 60% จากการจัดส่งสินค้ามาสู่ผู้บริโภค

เมื่อเกิดกระบวนการเคลื่อนย้ายสินค้าจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคโดยตรง ทำให้บริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์สามารถประหยัดงบประมาณที่เป็นค่าโฆษณาได้มาก ซึ่งบริษัทจะนำงบค่าโฆษณาที่ประหยัดได้ไปใช้ทำการวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้นอีก ส่วนผลกำไร 60% ของพ่อค้าคนกลางที่ถูกตัดออกมานั้น บริษัทจะนำเงินส่วนนี้มาจัดสรรให้กับผู้บริโภคที่ใช้ดีแล้วทำการบอกต่อกับผู้อื่นเป็นลำดับชั้นตามสัดส่วนที่บริษัทกำหนดไว้

ซึ่งจะเห็นได้ว่าในระบบการตลาดแบบเครือข่ายนี้ จะทำให้ผู้บริโภคสามารถมีส่วนแบ่งของรายได้มากถึง 60% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ จากระบบการกระจายสินค้าสู่ผู้บริโภคแบบใหม่ นอกเหนือจากการที่จะต้องเป็นผู้จ่ายเงินซื้อสินค้าเพียงอย่างเดียวในระบบธุรกิจแบบเดิม โดยการตลาดแบบเครือข่ายผู้บริโภค ที่ใช้วิธีการแนะนำบอกต่อนี้จะมีลักษณะที่พิเศษกว่าการตลาดแบบทั่วๆไป คือ ความสามารถในการขยายตัวของจำนวนผู้บริโภคที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นได้แบบไม่จำกัดจำนวน โดยอาศัยเพียงการแนะนำผลิตภัณฑ์จากคน 1 คนแนะนำให้กับคน 2 – 3 คนและแต่ละคนของ 2 – 3 คนบอกต่อกับคน 2 – 3 คนต่อๆไป ก็จะเกิดการขยายตัวของจำนวนผู้บริโภค ในลักษณะพหุคูณเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด

ธุรกิจกิจเครือข่าย นี้คืออะไร ทำไมคนจึงหลั่งไหลเข้าสู่ธุรกิจนี้อย่างมากมาย ? ปัจจุบันมีรูปแบบวิธีการดำเนินธุรกิจใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ว่าแต่ว่าคุณจะปฏิเสธที่จะเรียนรู้มันด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยทราบมาก่อน หรือไม่ เมื่อพูดถึงการทำการค้า หลายคนนึกถึงว่าต้องใช้เงินทุนมาก, ต้องจ้างแรงงานจำนวนมาก, ต้องผลิตสินค้า, ต้องมีโรงงาน, ต้องมีทำเลหน้าร้าน ฯลฯ จึงจะทำให้พวกเราส่วนใหญ่ ไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเองสักที เพราะขาดเงินทุน ขาดคนมีฝีมือที่ไว้วางใจได้ ณ.วันนี้ธุรกิจที่ทุกคนมีสิทธิ์ทำให้ฝันของตนเป็นจริงได้เกิดขึ้นแล้ว เราเรียกว่า “ธุรกิจเครือข่าย”

โอกาสการเปลี่ยนแปลงชีวิตสู่การมีอิสรภาพทางการเงินและเวลา หนังสือชุดพ่อรวยสอนลูก เล่มที่ 2 “Cashflow Quadrant” หรือ “เงินสี่ด้าน” ของ Robert T. Kiyosaki ได้กล่าวไว้ว่า คนในโลกแบ่งตามที่มาของรายได้ที่เขาได้รับออกเป็น 4 ด้านคือ

ด้านที่ 1 ) ลูกจ้าง ( Employee ) คือผู้ที่มีรายได้จากค่าจ้าง, เงินเดือน
ด้านที่ 2 ) ธุรกิจส่วนตัว ( Self – employed ) เจ้าของกิจการขนาดเล็ก ( Small Business owner ) คือผู้ที่มีรายได้จากการทำงานของตนเองหรือกิจการของตนเองโดยเจ้าของกิจการจะต้องเป็นผู้ลงมือทำหรือดูแลด้วยตนเอง
ด้านที่ 3 ) เจ้าของกิจการขนาดใหญ่ ( Business owner ) คือผู้ที่มีรายได้จากทรัพย์สินของตน, โดยใช้เวลาและแรงงานของผู้อื่นสร้างรายได้ให้กับตน
ด้านที่ 4 ) นักลงทุน ( Investor ) คือผู้ที่ใช้เงินทำงานแทนตนเอง เพื่อสร้างผลตอบแทนหรือรายได้ให้กับตนโดยไม่ต้องทำเอง

โอกาสที่ดีที่สุดอยู่ที่การตัดสินใจเลือกทางเดินของคุณ

ในทุกๆเช้าของวันใหม่ที่เราตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเรายังต้องดำเนินชีวิตในรูปแบบที่เหมือนๆกับทุกๆวันที่ผ่านมา คือต้องตื่นแต่เช้า ออกจากบ้าน ผจญกับปัญหาจราจร เพื่อไปให้ทันเข้างาน ตอกบัตรเข้าทำงาน แล้วก็ทำงานตามภาระรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย พบเจอกับความเครียดต่างๆในการทำงาน ตอนเย็นเลิกงาน ตอกบัตรออก ผจญกับปัญหาจราจรอีกครั้ง กลับถึงบ้าน แล้วก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย และเตรียมพบกับวันใหม่ที่ดำเนินชีวิตในรูปแบบเดิมๆ เป็นวงจรซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน

เราเคยสังเกตบ้างหรือไม่เราทำสิ่งเหล่านี้เพื่ออะไร?
เพื่อที่จะให้สามารถดำรงชีวิตผ่านไปได้วันๆหนึ่งเท่านั้นเองหรือ ?
เราต้องการชีวิตที่เป็นแบบนี้จริงๆหรือ ?

ผมเชื่อมั่นว่าคนเราทุกคนมีความฝัน อยากจะมีชีวิตที่ดีกว่าที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน แล้วทำไมไม่ลองหาทางที่จะเปลี่ยนชีวิตของคุณไปสู่รูปแบบของการใช้ชีวิตแบบใหม่ในแบบที่คุณอยากเป็น มีสุภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เดินทางร้อยลี้ต้องมีก้าวแรก”

หากคุณต้องการเริ่มต้นสร้างความสำเร็จให้กับชีวิต ด้วยเส้นทางที่สามารถสร้างความฝันของคุณให้เป็นจริงได้ ภายในระยะเวลาที่ไม่ยาวนานเกินไป ธุรกิจเครือข่ายจะเป็นเส้นทางที่ดีที่สุดเส้นทางหนึ่ง ที่พร้อมจะเปิดโอกาสให้กับผู้ที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงเสมอ หลังจากนี้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ

เมื่อคุณได้มีโอกาสอ่านเอกสารฉบับนี้แล้ว และต้องการจะใช้โอกาสที่ดีนี้เพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงินและเวลาให้กับตัวคุณเองและคนที่คุณรัก ผู้ที่แนะนำคุณให้อ่านเอกสารฉบับนี้พร้อมเสมอที่จะช่วยคุณสร้างความฝันให้เป็นจริง เพียงคุณมีความเชื่อมั่นและเดินตามความเชื่อในหัวใจของคุณ ทุกสิ่งที่คุณปารถนาย่อมเป็นไปได้อย่างแน่นอน.

ที่มา : หนังสือพ่อรวยสอนลูก ชุดโรงเรียนสอนธุรกิจ

ธุรกิจเครือข่าย (MLM) ที่ดี การเลือกที่ครบ 7 องค์ประกอบของโอกาส

ธุรกิจเครือข่าย (MLM) ที่ดี การเลือกที่ครบ 7 องค์ประกอบของโอกาส

หลักในการเลือกว่าบริษัทไหนที่เราควรจะร่วมทำด้วย บริษัทนั้นจะต้องผ่านเกณฑ์การพิจารณาต่างๆ ดังที่ Mr.Peter Ducker ปรมาจารย์การตลาดของโลก ได้เขียนถึงหลักการเลือกธุรกิจ MLM ไว้ว่า ธุรกิจเครือข่ายที่ดี ที่ควรเข้าร่วมด้วย จะต้องมีคุณสมบัติพร้อมครบ 7 อย่างดังนี้















1. บริษัท (Company) บริษัทต้องมีความมั่นคง แข็งแรง ฐานะทางการเงินต้องมั่นคง
2. ผลิตภัณฑ์ (Products) ผลิตภัณฑ์ต้องมีคุณภาพที่ยอดเยี่ยม มีเอกลักษณ์จุดขายเหนือคู่แข่ง
3. แผนธุรกิจ (Plan) แผนรายให้ผลตอบแทนอย่างยุติธรรม และมีรายได้ที่คุ้มค่า มั่งคั่ง
4. แนวโน้ม (Trends) สินค้ามีแนวโน้มเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในปัจจุบันและอนาคต
5. จังหวะเวลา (Timing) ช่วงเวลาต้องอยู่ในช่วงที่เริ่มต้นไม่นาน และอยู่ในช่วงกำลังเจริญเติบโตอย่างยิ่งยวด
6. ทีมงาน (Team) ผู้นำมีีความเป็นมืออาชีพ จริงใจ และช่วยให้ท่านประสบความสำเร็จได้จริงๆ
7. ทีมผู้บริหาร (Management) ผู้บริหารมืออาชีพ วิสัยทัศน์ก้าวไกล มีประสบการณ์มายาวนานในด้านธุรกิจเครือข่าย

ทำไมคุณโรเบิร์ต ถึงแนะนำธุรกิจเครือข่าย

ทำไมคุณโรเบิร์ต ถึงแนะนำธุรกิจเครือข่าย (Network Marketing - MLM)ทำไมคุณถึงแนะนำธุรกิจเครือข่าย หรือ MLM ให้กับผู้อื่น?

มีคนถามผมเสมอว่า ทำไมผมจึงแนะนำธุรกิจเครือข่ายให้กับคนทั่วไป ทั้ง ๆ ทีผมก็ไม่ได้ร่ำรวยขึ้นมาจากธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายสักหน่อยครับ ผมมีเหตุผลอยู่หลายประการที่ทำเช่นนี้ และนี่แหละครับคือที่มาของหนังสือเล่มนี้

โอกาสที่ 1 : โอกาสในการเรียนรู้ธุรกิจที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณไม่ใช่เรื่องเงิน” พวกเขามักจะเล่าถึงคนที่สามารถทำเงินได้ถึงหนึ่งแสนเหรียญต่อเดือน จากธุรกิจของเขาให้ฟังอย่างตื่นเต้น และผมก็ได้เคยพบกับคนเหล่านั้นจริง ๆ มาแล้วด้วย ผมจึงไม่มีความสงสัยในศักยภาพของการสร้างรายได้มากมายจากธุรกิจเครือข่ายเลย

โอกาสที่ 2: โอกาสในการเปลี่ยนมาอยู่ด้านขวาของเงินสี่ด้าน แทนที่จะเป็นแค่เพียงเปลี่ยนงานคุณเคยได้ยินคนพูดประโยคต่อไปนี้บ่อยแค่ไหน
1. “ผมอยากจะหยุดทำงานเสียที”
2. “ฉันเบื่อแล้วกับการเปลี่ยนงาน”
3. “ผมอยากจะมีรายได้มากกว่านี้ แต่ผมก็ไม่อยากลาออกจากงานและเริ่มต้นใหม่อีก แล้วผมก็ไม่อยากกลับไปเรียนหนังสือเพื่อศึกษาวิชาชีพใหม่ ๆ อีก”
4. “ทุกครั้งที่เงินเดือนขึ้น ภาษีก็ขึ้นตามทุกที”
5. “ผมทำงานหนักมากแต่เจ้าของบริษัทรวยอยู่คนเดียว”
6. “ผมทำงานหนักมาก แต่ผมก็ยังมีปัญหาเรื่องการเงินอยู่ผมคงต้องวางแผนเรื่องการเกษียณของผมใหม่”
7. “ฉันกลัวว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะทำให้ฉันเป็นคนล้าสมัยไปเสียแล้ว”
8. “ฉันแก่เกินไป แล้วก็ไม่สามารถทำงานหนักเช่นนี้ต่อไปได้อีกแล้ว”
9. “ผมเรียนจบทันตแพทย์ แต่ผมก็เบื่อที่จะเป็นทันตแพทย์แล้ว”
10. “ผมเพียงแต่ต้องการหาอะไรใหม่ ๆ ทำและได้มีโอกาสพบกับคนกลุ่มใหม่ ๆ บ้าง ผมเบื่อที่จะต้องทำงานกับคนที่ไม่มีความกระตือรือร้นและก็ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ผมเบื่อที่จะต้องทำงานกับคนที่ทำงานไปวัน ๆ แบบเช้าชามเย็นชามและไม่อยากที่จะทำงานกับบริษัทที่จ่ายเงินให้กับเราเพียงแค่ทำให้เราพออยู่ได้เท่านั้น”

โอกาสที่ 3 : โอกาสที่จะเข้าสู่ด้าน B(เจ้าของกิจการ) ด้วยต้นทุนในการเริ่มต้นและการดำเนินการต่ำกว่า
ในระหว่างที่ผมได้รับเชิญให้ไปบรรยายเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจและการลงทุนให้กับผู้ฟังกลุ่มหนึ่งที่โบสถ์ ก็มีคนคนหนึ่งถามผมขึ้นว่า “ถ้าด้าน B ดีกว่าด้านอื่นมากถึงขนาดนี้ ทำไมคนส่วนใหญ่จึง ไม่มีเริ่มต้นกันที่ด้าน Bเสียเลย”
มันก็คงจะไม่ใช้เรื่องง่ายเลยที่จะตอบคำถามนี้ และถ้าจะตอบเอาแบบง่าย ๆ ว่า “เพราะต้นทุนมันสูง” คำตอบนี้ก็อาจจะไม่ได้ให้ความหมายถึงเรื่องต่าง ๆ อีกหลายเรื่องที่ครอบคลุมกว้างกว่าเรื่องของเงินมากที่เดียว มีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากที่จะต้องทุ่มเทเข้าไปเพื่อสร้างธุรกิจในด้าน B นี้

โอกาสที่ 4 : โอกาสที่จะไดลงทุนในธุรกิจประเภทเดียวกันกับที่คนรวยทำ“ช่วยแนะนำผมหน่อยได้ไหมครับว่าจะมีวิธีลงทุนในอสังหาริม-ทรัพย์อย่างไรโดยที่ไม่ต้องใช้เงินดาวน์”?

โอกาสที่ 5 : โอกาสในการสร้างความฝันให้เป็นจริง พ่อรวยของผมเคยพูดว่า “มีคนเป็นจำนวนมากที่ไม่มีความใฝ่ฝันอะไรเลย”

“เพราะอะไรเหรอครับ” ผมถาม “ก็เพราะว่าความฝันเป็นสิ่งที่มีต้นทุน”
จุดประกายความใฝ่ฝัน คิมภรรยาของผมและตัวผมเอง ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสังสรรค์ที่ผู้นำระดับสูงในธุรกิจเครือข่ายท่านหนึ่งจัดขึ้นที่คฤหาสน์ของเขาซึ้งมีพื้นทีถึง 17,000 ตารางฟุต ในโรงรถของเขาก็มีรถจอดอยู่ถึง 8 คัน และหนึ่ง ในนั้นก็เป็นรถลิมูซีน นอกจากนี้ในโรงรถของเขาก็ยังมีบรรดาของเล่นของเขาเก็บอยู่ด้วย ตัวบ้านและของเล่นของเขาเป็นสิ่งที่ประทับใจผมที่เดียว แต่สิ่งที่ประทับใจผมมากที่สุดก็คือ ชื่อถนนที่บ้านเขาตั้งอยู่เป็นชื่อถนนโดยใช้ชื่อสกุลของเขา เขาตอบว่า “ง่ายมาก ผมบริจาคเงินสร้างโรงเรียนประชาบาล สร้างห้องสมุด ทางการก็เลยตั้งชื่อถนนให้เป็นเกียรติกับผม” คำตอบนั้นเองทำให้ผมรู้ว่าความฝันของเขานั้นใหญ่กว่าของผมมาก ผมยังไม่ เคยมีความฝันที่จะมีชื่อสกุลของผมเป็นชื่อถนน หรือบริจาคเงินเพื่อสร้างโรงเรียน สร้างห้องสมุดแบบนี้เลย เมื่อกลับจากบ้านของเขาในคืนวันนั้น ผมตระหนักดีว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องเพิ่มขนาดความฝันของผมสักที

โอกาสที่ 6 : คุณค่าของธุรกิจเครือข่ายวัดด้วยอะไร
ในปี 1974 ซึ่งเป็นช่วงที่ผมกำลังทำงานอยู่กับบริษัทซีร็อกซ์ที่ฮาวาย ผมมีปัญหาเกี่ยวกับการขายเครื่องแฟกซ์ของซีร็อกซ์เพราะว่าทันเป็นสินค้าใหม่ และที่ยากไปกว่านั้นก็คือคำถามที่ว่า
กิจการทุกแห่งจะต้องมีเครื่องแฟกซ์อย่างน้อยหนึ่งเครื่อง คุณค่าของเครื่องแฟกซ์ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อเครื่องแฟกซ์เกิดโยงใยกลายเป็นเครื่องข่ายขึ้นมา และการขายก็คำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
“มีใครที่ซื้อเครื่องนี้ไปแล้วบ้าง ? พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ถึงคุณมีเครื่องแฟกซ์แต่ถ้าคนอื่นเขาไม่มีกัน ก็ไม่มีความหมายอะไร กล่าวคือคือเราจะต้องมีเครือข่ายของเครื่องแฟกซ์ แต่หลังจาก 10 ปีผ่านไป วันนี้มีผู้คนใช้เครื่องแฟกซ์ก็มีมากขึ้น

โอกาสที่ 7 : คุณค่าที่คุณประเมินตัวเองจะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่คุณเป็นได้อย่างไร
ระหว่างที่ผมกำลังบรรยายเรื่องการเริ่มต้นและการสร้างธุรกิจก็มีผู้เข้ารับการอบรมคนหนึ่งถามผมว่า
“ทำไมคุณค่าที่เราประเมินตัวเองจึงมีความสำคัญนัก?”
ผมเห็นว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่สำคัญผมจึงได้ให้เวลากับการตอบคำถามนี้มากหน่อย แล้วผมก็ตอบว่า
"ก็เพราะว่าคุณค่าที่เราประเมินตัวเองจะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่คุณเป็น"

โอกาสที่ 8 : โอกาสในการพัฒนาทักษะผู้นำของคุณ
ผมยังจำได้ดีสมัยที่ผมเป็นเด็ก เฝ้ามองพ่อจนของผมยืนพูดอยู่บนเวทีด้วยความมั่นใจและจริงใจเพื่อกล่าวต้องรับบรรดาคุณครูที่เพิ่มได้รับการบรรจุเข้ามาอยุ่เขตการศึกษาของท่านในแต่ละปี ผมมีความรู้สึกภูมิใจมากที่ได้เห็นว่าคุณครูทุกคนที่อยู่ในห้องนั่งฟังอย่างตั้งใจ
และหลายครั้งเช่นกัน ผมก็ได้มีโอกาสเฝ้าดูพ่อรวยของผมยืนพูดอยู่บนเวทีกับลูกจ้างนับร้อยในงานเลี้ยงสังสรรค์ของบริษัทของท่านนอกจากนี้ผมก็บยังเคยมีโอกาสนั่งอยุ่หลังห้องประชุมในขณะที่พ่อรวยของผมกำลังกล่าวคำปราศรัยเกี่ยวกับอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของธุรกิจของท่านต่อคณะกรรมการบริหารและบรรดาพวกผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทของท่าน
เหตุที่ทำให้ธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายยังคงเติบโตต่อไป

อนาคตของธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายดูออกจะสดใสมากยิ่งขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นในทุกวันนี้มีแนวโน้มที่จะช่วยผลักดันผู้คนให้เข้าสู่ธุรกิจ ขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
1. ผู้คนต้องการที่จะมีอิสรภาพมากขึ้น
2. ผู้คนต้องการความร่ำรวยมากขึ้น
3. กองทุนเงินเกษียณอายุกำลังจะถูกยกเลิก
4. ผู้คนจะตระหนักมากขึ้น
5. โลกก็จะตื่นตัวขึ้น
6. การตกต่ำอาจจะไม่เกิดขึ้น


เพื่อที่จะเปลี่ยนวิธีการคิดเกี่ยวกับเรื่องการเงินจากภายใน คำตอบของผมก็คือ “มีหลายวิธีด้วยกันที่เราจะหาพี่เลี้ยงให้กับตัวเองได้ สำหรับตัวผมเอง ผมมีพี่ เลี้ยงอยู่หลายคนด้วยกันและพี่เลี้ยงที่เยี่ยมที่สุดที่ผมได้พบก็คือ ห้องสมุดเทปของไนติงเกล-โคแนนต์”ในปี 1974 เมื่อลาออกจากกองทัพเรือและสมัครเข้าทำงานกับริษัทซีร็อกซ์ ผมตระหนักดีว่า ผมจำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะผู้นำแบบใหม่ ทั้ง ๆ ที่ทักษะผู้นำที่ผมได้เรียนรู้จากกองทัพเรือจะเป็นสิ่งที่มีค่าเหลือประมาณก็ตาม แต่มันก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้ในโลกของการดำเนินธุรกิจ

ที่มา : หนังสือพ่อรวยสอนลูก ชุดโรงเรียนสอนธุรกิจ

จุดเด่นของธุรกิจเครือข่าย (Networking Marketing - MLM)

จุดเด่นของธุรกิจเครือข่าย (Networking Marketing - MLM)
1. คือ Win - Win Business (ธุรกิจที่ชนะชนะ ) เมื่อคนที่ท่านแนะนำธุรกิจ (ลูกทีมของท่าน) สำเร็จ
ท่านในฐานะผู้แนะนำ.... จึงจะ.... สำเร็จด้วย

2. คือ No - Risk Business (ธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยง) ด้วยขนาดเงินลงทุนต่ำ แต่ใช้สัมพันธภาพสูง ใช้เวลาพอควร ท่านไม่ต้องลงทุนสร้างทรัพย์สิน อาคาร, อุปกรณ์, ที่ดิน (บนกองหนี้สินหรือเงินเรา้)
แต่ท่าน.... กำลัง....สร้าง ทรัพย์สินคือ เครือข่ายประชากร (People Assets) ที่.... ผูกโยง กันด้วยสัมพันธภาพ
และ.... ได้ผลตอบแทนจากทรัพย์สินบนบันทึกข้อตกลง ผลประโยชน์ร่วมกัน!
และ.... ผลตอบแทนนี้ได้มาจาก ผลรวมของทั้งเครือข่าย
บางคน.... เรียกผลตอบแทนนี้ว่า Passive Income
(รายได้ที่ไม่ต้องลงแรงด้วยตนเอง แม้ว่าคุณจะหยุดทำงาน แต่รายได้ ของคุณยัง เกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดเวลา)

3. เป็นธุรกิจที่ท่านสามารถเลือกเวลาทำงานตามใจปรารถนา ไม่ต้องตอกบัตรเข้างาน 8.00 น. ไม่ต้องตอกบัตรออกงาน 17.00 น. ไม่ต้องยื่นใบลากิจ, ลาพักร้อนกับใคร นอกจากขออนุญาติตัวเอง! เป็นเจ้านายงานในเวลาของตนเอง (Time Freedom) นั่นคือ... มีอิสระภาพทางเวลา!

4. เป็นธุรกิจที่กำลังอยู่ในทิศทางใหม่ของโลก เพื่อให้ท่านได้มีเวลา อยู่กับครอบครัวให้มากขึ้น (Home Based Business) เพราะ ธุรกิจนี้ทำบนโต๊ะอาหารภายในบ้านของท่าน และบ้านของคนใน เครือข่ายได้

5. เป็นระบบที่เสริมสร้างโอกาสให้ ได้ร่วมทำงานกับ คนหลากหลาย อาชีพ, หลากหลายประสบการณ์, หลากหลายวัฒนธรรม (Multi Experience - Multi Profession - Multi culture) บนความเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเป็นเจ้านาย-ลูกน้อง
ทุกคน คือ สมาชิกอิสระ (Distributor) ภายในระบบธุรกิจมีการ.... ถ่ายทอด.... องค์ความรู้ในวิชาชีพ
องค์ความรู้ในผลิตภัณฑ์.... จิตวิญญาณที่ปลุกพลังแห่งความสำเร็จ ลงไปเป็นชั้น ๆ ต่อ ๆ กัน ไม่รู้จบ

6. เป็นธุรกิจที่ต่อเชื่อมท่านเข้ากับธุรกิจ ข้ามชาติระดับโลกท่านไม่ต้องสร้างระบบใหม่ ด้วยตนเอง แต่ดำเนินตาม, ปฏิบัติตามแบบแผน ธุรกิจ (Business - format) ที่วางไว้อย่างดีเป็นแบบเดียวกันทั่วโลก (บางคนเรียกว่าเครือข่ายของแฟรนไชส์ ระดับเล็กๆ หรือระดับบุคคล มาผูกโยงเชื่อมกัน (Network of Micro or Personal Franchisee) แต่ไม่ต้องจ่ายค่ารอยัลตี้ (Royalty fee) ใดๆ เลย

7. เป็นระบบธุรกิจเดียวที่มีผลกำไรงอกเงย ขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง/วัน ตลอด 365 วัน/ปี แม้ท่านเองจะหยุดพักผ่อน, หยุดพักร้อน เพราะเวลาทำงานภายในเครือข่ายของท่าน อาจอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง
ซึ่งกำลังทำงานอยู่ในขณะที่ท่านนอนหลับ
ซึ่งกำลังทำงานอยู่ในขณะที่ท่านหยุดพักร้อน

8. เป็นระบบธุรกิจเดียวที่ผลงานแห่ง ความพากเพียร ของท่าน วันละ 2 ชั่วโมง สามารถทวีคูณไปเป็น วันละ 2,000 ชั่วโมง, 20,000 ชั่วโมง.... แปรผัน.... ตามความใหญ่โตของ เครือข่ายของท่าน
และ.... เมื่อท่านสามารถสร้างสินทรัพย์ (People Assets) เครือข่ายอย่างมีคุณภาพ ท่านก็สามารถทำงาน เต็มที่เพียง 3 - 5 ปี เพื่อรับบำนาญติดต่อกันไปตลอดชีวิต


หากท่านเป็นลูกจ้าง (Employee) มีรายได้จาก เงินเดือนเป็นหลัก ท่านอาจต้องทำงาน 35 ปี (60-25) เพื่อรอกินบำนาญเพียงเล็กน้อยต่อไป 5-15 ปี (หลังอายุ 60ปี)
หากท่านเริ่มงานด้วยเงินเดือนเริ่มต้น เดือนละ 7,000 บาท และโชคดีเงินเดือนของท่าน
ได้รับการปรับเพิ่มทุกๆ ปีๆ ละ 5-10%
เมื่อทำงานติดต่อกันถึง 35 ปี.... ท่านจะได้รับเงินจากผลงานทั้งชีวิต (420 เดือน)
รวมประมาณ 7 ล้านบาท


แต่ท่านทราบไหม? ว่า เงิน 7 ล้านบาทนี้ ท่านอาจสร้างขึ้นได้จากธุรกิจระบบเครือข่าย
(หากครบองค์ 5 : บริษัทมั่นคง, ผลิตภัณฑ์คุณภาพดี แผนธุรกิจดี, แนวโน้มเศรษฐกิจเอื้ออำนวย, อยู่ในเวลาและโอกาสอันเหมาะสม)
ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี หรือไม่ถึง 5 ปี

ลิขิต วันเกษียณอายุของคุณ เพื่อรับบำนาญ หลังจากนี้ ไม่เกิน 5 ปี....
ที่มา : หนังสือพ่อรวยสอนลูก ชุดโรงเรียนสอนธุรกิจ

เชื่อมั่น มั่นใจ ถึงจะสำเร็จในธุรกิจ MLM

เชื่อมั่น มั่นใจ ถึงจะสำเร็จในธุรกิจ MLM

โดย...ดร.กิตติพันธ์ ตัณฑะพงษ์
ความสำเร็จถาวรสำหรับธุรกิจขายตรง ระบบเครือข่ายหรือ MLM นั้น เกิดจากการสามารถชักชวนคนมาร่วมทำธุรกิจ และพัฒนาองค์ความรู้ ความสามารถในการทำงานจนกระทั่งทีมงานสามารถดูแล บริหารจัดการแทน โดยที่เราไม่ต้องลงไปทำเอง เปรียบเสมือนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

แม่ทีมส่วนใหญ่ก็จะพบปัญหาเกี่ยวกับลูกทีมใต้สายงาน สมัครแล้ว ไม่ลงมือทำธุรกิจอาจจะแค่ซื้อกิน ซื้อใช้เท่านั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการขาดความมั่นใจในธุรกิจ ซึ่งมีอยู่หลายด้านดังนี้

1. ขาดความมั่นใจในบริษัท

2. ขาดความมั่นใจเกี่ยวกับคุณภาพ และราคาสินค้า

3. ขาดความมั่นใจ เกี่ยวกับแผนการตลาด

4. ขาดความมั่นใจในตัวเอง

5. ขาดความมั่นใจในแม่ทีม ที่มาชักชวน


ตัวแทนจำหน่ายที่ตัดสินใจสมัคร แต่ไม่ตัดสินใจลงมือทำเป็นธุรกิจนั้น ส่วนใหญ่จะขาดความมั่นใจ
ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง หรืออาจจะหลาย ๆ ด้านดังที่กล่าวมาก็ได้

ตัวผมเองนั้น พบปัญหานี้มาตลอด ช่วงที่เริ่มทำธุรกิจใหม่ ๆ ชวนคนแล้วก็หลับ คนแล้วคนเล่า จนบางครั้งเล่นเอาท้อแท้เหมือนกัน สุดท้ายนำเรื่องเหล่านี้มาวิเคราะห์ว่า แต่ละรายมีปัญหาอะไร ถึงไม่ตัดสินใจทำธุรกิจเสียที และวางแนวทางแก้ไข ในแต่ละรายที่ดูแล หากเขาตัดสินใจทำ เขาคงจะเป็นผู้นำที่ดีได้ แล้วเริ่มทดลองทำ ทดลองแก้ไขในส่วนที่ผมมองว่า เขาน่าจะขาดความมั่นใจ จนหลายปีผ่านไป คนเหล่านั้น ก็กลายเป็นแม่ทีมที่ประสบความสำเร็จในระดับสูง ๆ ของบริษัทในปัจจุบันนี้

1. วิธีแก้ไขทีมงานที่ขาดความมั่นใจในบริษัท เขากลัวว่า บริษัทจะไม่มั่นคง หากปิดตัวลง เขาคงจะเสียเวลาฟรี ๆ ต้องพยายามพาไปเยี่ยมชม สำนักงานใหญ่ให้ได้ และนำประวัติความเป็นมาของบริษัท อัตราการเจริญเติบโตของบริษัท หรือเกียรติประวัติต่าง ๆ ที่บริษัทได้รับจากสังคมมาให้เขาเห็น อย่าเอาแต่พูด ๆ ๆ แต่จงพาเขาไปให้เห็น ๆ ๆ กับตา ถึงจะได้ผล “ต้องกล้าได้กล้าเสีย” ถ้าอยากจะได้แม่ทีมเก่ง ๆ ต้องเสียเวลาพาไปให้เห็นกับตา

2. วิธีแก้ไขทีมงานที่ขาดความมั่นใจเกี่ยวกับคุณภาพสินค้า และราคา แก้ไขโดยสาธิตเปรียบเทียบคุณภาพกับสินค้าที่เขาใช้อยู่เป็นประจำ หรืออาจจะให้เขาทดลองซื้อไปใช้ และกล้ารับรอง ถ้าไม่ดีจริง ยินดีคืนเงินให้ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับเขา ยิ่งสินค้าที่เห็นผลไว ยิ่งดี และอาจจะพาไปฟังคนที่มีประสบการณ์ในการใช้สินค้าแล้วพูดให้ฟัง ฟังหลาย ๆ คน หลาย ๆ ครั้ง ถ้าสินค้ามีคุณภาพจริง ๆ แล้ว ท้ายที่สุดเขาจะเปลี่ยนใจมายอมรับ และเกิดความมั่นใจในตัวสินค้า

3. วิธีแก้ไขทีมงานขาดความมั่นใจเกี่ยวกับแผนการตลาด ตัวแทนใหม่ ๆ จะไม่ค่อยเชื่อว่า ทำแล้วจะ
ได้เงินจริง กลัวเป็นหน้าม้าของบริษัท ต้องพยายามย้ำในแผนการตลาดให้เข้าใจ และอย่าลืมที่จะ
นำตัวอย่างผู้ที่ทำได้ตามแผนการตลาด ทั้งด้านตำแหน่ง หรือรายได้ที่ได้รับในปัจจุบันโชว์ให้เขา
เห็นจริง ๆ
และที่สำคัญคือ เวลาลงวันที่สมัครจนกระทั่งมาถึงจุดนั้น ใช้เวลา กี่เดือน กี่ปี หาก
ทำงานอื่น ๆ จะมีรายได้อย่างนี้ไหม รวมถึงชี้ถึงความยุติธรรมด้วยว่า ตำแหน่งและรายได้นั้น แซง
กันได้ ไม่ว่าจะสมัครก่อน หรือสมัครหลังไม่สำคัญ ใครขยายสายงานมากกว่าคนนั้นก็จะ ก้าวหน้าในธุรกิจ MLM

4. ขาดความมั่นใจในตัวเอง กลัวว่าตัวเองไม่มีความสามารถ ไม่มีประสบการณ์ พูดไม่เก่ง ฯลฯ คงจะทำไม่สำเร็จ แก้ไขโดยสร้างความไว้วางใจว่า เราและแม่ทีมนั้น จะคอยให้คำแนะนำต่อเนื่อง เสมือนเป็นพี่เลี้ยงหรือโค้ชไปเรื่อย ๆ จนเขาทำงานนี้ชำนาญ ขออย่างเดียว คือ ขอให้ตัดสินใจ ทดลองทำสัก 3 เดือน หรือ 6 เดือน เพื่อพิสูจน์ตัวเองก่อนสรุปว่า ทำไม่ได้ และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำคนเหล่านี้ไปร่วมงาน มอบวุฒิบัตร หรือประดับเข็มเกียรติยศ ที่บริษัทจัดขึ้น เพื่อให้เขาได้เห็นได้เปรียบเทียบว่า ผู้ประสบความสำเร็จในแต่ละระดับนั้น บางคนอาจจะมีความพร้อมด้านความรู้ วัยวุฒิ คุณวุฒิ หรือบุคลิกภาพต่ำกว่าเขาเสียอีก แต่สามารถทำงานนี้ได้สำเร็จ เป็นการสร้างแรงบันดาลใจ จากการเห็น และการเปรียบเทียบ เมื่อคนเกิดความมั่นใจในตัวเอง เมื่อไรก็จะตัดสินใจที่จะลงมือทำ ตัดสินใจที่จะประสบความสำเร็จ

5. วิธีแก้ไขทีมงานที่ขาดความมั่นใจในตัวแม่ทีม ทีมงานใต้องค์กรชั้นลึก ๆของท่าน อาจจะมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อแม่ทีมติดตัวเขา และไม่ยอมทำธุรกิจหรือหยุดทำธุรกิจไปแล้ว แก้ไขโดยท่านต้องลงไปแทรกแซงดูแลแทนทันที และพยายามปรับทัศนคติเขาใหม่ให้โฟกัสความคิดที่ว่า เขาควรทำธุรกิจเพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง ไม่มีใครหยุดความก้าวหน้าของเขาได้ แม้จะเป็นแม่ทีมติดตัว แล้วเสนอตัวเป็นพี่เลี้ยง หรือโค้ชแทน ดูแลเขาจนทำงานได้ด้วยตนเอง

สิ่งที่ผมยกตัวอย่างมานี้ เป็นสิ่งที่ผมพบบ่อย ๆ ในการสร้างและบริหารทีมในธุรกิจขายตรงระบบ MLM หากเขายังไม่เกิดความมั่นใจในธุรกิจ คงเป็นการยากที่จะชวนเขามาประชุมหรือเรียนรู้ แต่ถ้าท่านเปลี่ยนให้เขามั่นใจในธุรกิจนี้ได้ เขาจะตัดสินใจที่จะสำเร็จกับธุรกิจ และเริ่มลงมือทำโดยการมาประชุมเรียนรู้ ลองทำด้วยความกระตือรือร้นทันที แม่ทีมที่เก่ง ๆ ก็คือ แม่ทีมที่ทำให้องค์กรใต้สายงานเกิดความเชื่อมั่น บริษัท สินค้า แผนการตลาด และเชื่อมั่นว่า ตัวเขาเองประสบความสำเร็จได้ เมื่อเขาคิดว่า “เขาทำได้ “ เขาจะทำได้แน่นอน และท่านก็จะมีสายงานที่แข็งแกร่งเพิ่มอีกทันที ท่านเองก็ต้องเชื่อมั่นเช่นกันว่า “ท่านทำได้”