วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การตัดสินใจทางธุรกิจ

ไม่ว่าคุณจะผ่านร้อนผ่านหนาว ในการทำงานมากเท่าใด? หรือ ว่าจะเป็นเพียงแค่การต้องการหารายได้เสริม ทำงานที่บ้านไม่ว่าจะอย่างไร ….คุณจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลสำคัญๆเพื่อใช้ในการตัดสินใจในธุรกิจของคุณ โดยอาจตั้งคำถามต่างๆเหล่านี้

--------------------------------------------------------------------------------

มีธุรกิจใดที่คุณสามารถทำได้โดยไม่กระทบเวลางานประจำ ? มีช่องทางธุรกิจอื่นใด ที่น่าสนใจกว่านี้? ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย มีความเสี่ยงมากน้อยเเค่ไหนที่จะนำเงินจำนวนมากไปลงทุน คุณได้ค้นพบว่า รูปแบบธุรกิจแบบเดิมๆนั้น ในการเริ่มต้น ต้องใช้เงินทุนมาก ใช้เวลานานมาก รวมทั้งใช้เวลาในการฝึกฝนเรียนรู้และที่ สำคัญที่สุด คือ ความเสี่ยงสูง

ธุรกิจเครือข่าย เหมาะแก่การลงแรงลงเวลาหรือไม่ ในการที่จะทำหรือเริ่มทำธุรกิจนี้หรือคุณควรเดินหน้าทำต่อไป? บริษัทธุรกิจเครือข่ายนี้มีอยู่ทั่วไปมี บริษัทไหนบ้างดีที่สุดและเหมาะกับเราที่สุด? ผู้แนะนำของเราควรเป็นแบบไหน อะไรคือสิ่งที่เราควรจะได้รับจากพวกเขา? และในทางกลับกัน ผู้แนะนำคาดหวังอะไรจากเรา(สมาชิก)บ้าง? ปัจจุบันนี้บริษัท ผู้นำธุรกิจ MLM ควรจะเป็นเช่นไร?

ถ้าคุณกำลังอยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณา ตัดสินใจ ในการเลือกทำธุรกิจส่วนตัว หรือโอกาสทางธุรกิจ ลิงค์ด้านล่างต่อไปนี้จะ ช่วยเป็นแนวทางให้คุณพิจารณาในการตัดสินใจ

"สิ่งที่ควรคิดพิจารณาเกี่ยวกับNetwork Marketing"

"การตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจเครือข่ายนี้ เหมาะสมกับคุณเเล้วหรือ?"

"อะไรคือสิ่งที่คุณควรคาดหวังจากผู้เเนะนำธุรกิจ หรือ Sponsor ของคุณ?"

"อะไรคือสิ่งที่...ที่ปรึกษาธุรกิจของคุณ คาดหวังจากคุณ?"

"วิธีการพิจารณาเลือกเข้าร่วมกับบริษัทธุรกิจเครือข่าย"

"ตัวอย่างวิเคราะห์บริษัทธุรกิจเครือข่ายที่น่าสนใจ"


นอกจากนี้ ผมขอแนะนำให้คุณอ่าน "สิ่งที่ควรคิดพิจารณาเกี่ยวกับNetwork Marketing" ก่อนที่คุณจะยอมรับหรือ ปฏิเสธ ในส่วนตัวผมแล้วผมมีความมั่นใจว่า ธุรกิจเครือข่าย เป็นเหมือนคลื่นลูกใหม่ของโอกาสทางธุรกิจในอนาคต

ในนิตยสาร Fortune เรียก ธุรกิจขายตรงว่า “the best kept secret in business world”และ ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ธุรกิจเครือข่ายนี้ คือ การรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย นั้นเอง

ผู้คนจำนวนมาก เบื่อหน่ายกับสนามแข่งหนู เกิดความกังวล, การถูกลอยแพ เลิกจ้างงาน จากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ตกต่ำ พวกเขาจำนวนมาก หันมา ให้ความสนใจ มาทำ ธุรกิจเครือข่าย หรือ work at home, หารายได้เสริม, อาชีพเสริมกัน เป็นจำนวนมากอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

สำนักข่าว CNN รายงานว่า ในสหรัฐ มีนักธุรกิจอิสระ หน้าใหม่ เกิดขึ้นทุกๆ 11 วินาที ธุรกิจทำงานที่บ้านนี้ เป็นคลื่นลูกใหม่ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และ ธุรกิจเครือข่ายนั้นเป็นหนึ่งในโอกาสทางธุรกิจอิสระ ที่ร้อนแรงที่สุดในขณะนี้

"ตัวอย่างวิเคราะห์ธุรกิจเครือข่ายที่น่าสนใจ" คลิ๊ก link ด้านล่าง
-บริษัทชั้นนำ
-บริษัทน้องใหม่
-บริษัทการบริการโฮสติ้ง(website)
-ธุรกิจเครือข่ายสายพันธ์ใหม่ (จริงหรือลวง)

ใครคือปีศาจสูบเงินจากบัญชีของคุณทั้งในปัจจุบันและอนาคต?

ปีศาจตัวแรก ตัวเเสบที่สุด การเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจ (อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ ฯ)
ปีศาจตัวที่2 ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ เพราะเราจะมีอายุยืนยาวขึ้น
ปีศาจตัวที่3 ภาระที่เพิ่มขึ้นในการดูแลผู้สูงอายุ
ปีศาจตัวที่4 ปัญหาสุขภาพ และ ค่ารักษาพยาบาล
ปีศาจตัวที่5 ความเสี่ยงจากหน้าที่การงาน
ปีศาจตัวที่ 6 ความเสี่ยงจากการออมเงินในธนาคาร

ปีศาจตัวแรก ตัวเเสบที่สุด การเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจ (อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ ฯ)ในปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ได้รับนั้น ต่ำกว่า อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งหมายความว่า มูลค่าเงินฝากที่คุณเก็บออมไว้ หรือ แม้ กระทั้งการปรับเงินเดือนประจำปี หรือรายได้ขั้นต่ำนั้น มีมูลค่าเพิ่มขึ้นไม่ทันกับราคาสินค้าที่แพงขึ้น ดังนั้นความมั่งคั่งของคุณกำลังถูกปีศาจตัวนี้ ค่อยๆดูดกินเงินในบัญชีไปโดยไม่รู้สึกตัว จากสถิติของประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2508-2546 มูลค่าของเงินของคุณ จากจำนวน 100 จะเป็นอย่างไรเมื่อเวลาผ่านไป

จากกราฟ คุณจะเห็นว่าถ้าหากคุณเก็บเงินก่อนแรกเมื่อตอนเรียนจบ เมื่ออายุ 22 ปี จำนวน 100 บาทรวมดอกเบี้ยที่คุณได้จากการออม เมื่อเวลาผ่านไป 40 ปี เงินของคุณจะมีมูลค่าเหลือไม่ถึง 20 บาทเท่านั้น เพราะว่าสินค้าทุกประเภทที่จำเป็นต่อการครองชีพ ได้แพงขึ้นจากเดิมไม่น้อยกว่า 5 เท่าตัว ซึ่งจากสถิตินี้ ยังไม่รวมถึง วิกฤตพลังงาน น้ำมันแพง และ สินค้าทุกอย่างปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เงินออมที่ต้องการเพื่ออยู่อย่างพอเพียงดังนั้นถ้าคุณไม่เห็นว่าความรู้ทางการเงินมีความจำเป็นอะไร เพียงแค่ หาเงินมาพอเหลือเก็บก็เอาเงินไปฝากธนาคาร กินดอก ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าคุณคิดอย่างนั้นอยู่อีกไม่นานคุณคงหนีไม่พ้นต้องกลายเป็น “กบแป๊ะซ่ะ” แน่ๆๆ ถ้าพูดถึงดอกเบี้ยเงินฝากใน ปัจจุบันนี้ ด้วยแล้ว ทุกคนคงส่ายหน้า ดอกเบี้ยออมทรัพย์ปัจจุบัน ที่ลดลงมาเหลือ 0.75% อัตราเงินฝากประจำ 2.25% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3.5-4% เจอเข้าอีแบบนี้ ก็ขาดทุนเสียแล้ว
--------------------------------------------------------------------------------
ปีศาจตัวที่สอง ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ เพราะเราจะมีอายุยืนยาวขึ้น
โอ้วช่างเหมือนจะเป็นข่าวดีที่ปัจจุบันคนเรามีอายุยื่นยาวขึ้น จากตัวเลขการประมาณของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติและสังคมแห่งประเทศไทย แสดงให้เห็นว่า ในอีก 20 ปี ข้างหน้า อายุขัยของชายไทยจะมีอายุ 75 ปี และ หญิงไทย 80 ปี นั่นหมายความว่า คุณจะต้องมีชีวิตหลังเกษียณยาวนานถึง 15-20 ปี แล้วคุณจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่มีการวางแผนการเงินเพื่อใช้ชีวิตหลังเกษียณ

--------------------------------------------------------------------------------
ปีศาจตัวที่สาม ภาระที่เพิ่มขึ้นในการดูแลผู้สูงอายุ
นอกจากแนวโน้มของอายุขัยที่สูงขึ้นแล้ว ขนาดครอบครัวของสังคมไทยในปัจจุบันยังลดขนาดลงอีกด้วยขนาดของครอบครัวลดลง แล้วมันเกี่ยว กันตรงไหนหล่ะ?? เกี่ยวกันเต็มๆ

คนสมัยรุ่นปู่ย่าตาทวด นั้น ยังสามารถอาศัยลูกหลานจุนเจือได้ เพราะสังคมไทยแต่เดิมนั้นอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ในระยะ สิบกว่าปีที่ผ่านมา แนวโน้มขนาดครอบครัวไทยมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ แต่ในขณะที่ สวัสดิการที่คนชราจะได้รับจากรัฐบาลนั้น หวังพึ่งไม่ได้ อย่างที่เราๆรู้กันดีอยู่ การที่แต่ละครอบครัวมีลูกน้อยลงนั้น และการแยกออกไปประกอบอาชีพต่างพื้นที่ ดังนั้น การจะพึ่งพาลูกหลานจึงเป็นสิ้งที่คาดหวังได้ยาก

สภาพสังคมเมืองปัจจุบันนี้ แต่ละครอบครัวมักมีลูกเพียง 1-2 คน ดังนั้น การเลี้ยงดูพ่อแม่ จึงเป็น 1:1 ( ลูกสองคนช่วยกันเลี้ยงดูพ่อแม่) หรือ 1:2 (ลูกหนึ่งคนเลี้ยงดูพ่อแม่สองคน)ดังนั้น จากสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันนี้ คุณจะเห็นได้ว่า เพียงแค่เงินเดือนเลี้ยงตัวเพียงลำพัง ยังจะแทบหมุนเดือนชนเดือนอยู่แล้ว ใน อีก 20ปี ข้างหน้า ถ้าคุณไม่ได้วางแผนทางการเงินแล้ว การหวังพึ่งลูกหลานนั้น เลือนรางเต็มที เพราะเพียงลำพังตัวของพวกเขาเองแล้วแทบจะเอาตัวไม่รอด

เฮ้อ!! คิดแล้ว เครียด ไม่รู้จะ สงสารลูกหลาน หรือ สงสารตัวเอง ไม่รู้จะสงสารใครดี
--------------------------------------------------------------------------------

ปีศาจตัวที่สี่ ปัญหาสุขภาพ และ ค่ารักษาพยาบาล

เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง มลพิษและสารปนเปื้อน ต่างๆ ปัญหาสุขภาพย่อมตามมา หากเกิดปัญหาสุขภาพ เฉพาะโรคจากกลุ่มระบบไหลเวียนโลหิต ที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูง จากสถิติประชากรป่วยในกลุ่มโรคนี้ มีมากกว่า 10ล้านคน เช่น โรคหัวใจหรือโรคมะเร็ง หรือ โรคแห่งความเสื่อมเรื้อรังเกิดขึ้นกับตัวคุณ ไม่ว่าก่อนหรือหลังเกษียณ การออมเพื่อการเกษียณของคุณจะต้องประสบปัญหาอย่างแน่นอน

แม้โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยโรคดังกล่าวจะไม่ต้องนอนโรงพยาบาล แต่ในกรณีที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนั้นจะต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาล ค่าใช้จ่ายสำหรับการผ่าตัดเพื่อขยายหลอดเลือดหัวใจนั้นอาจสูงถึง 1 ล้านบาท และถ้าจำเป็นต้องขยายเวลาในการเข้ารับการรักษาในห้อง ไอ ซี ยู อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกหลายร้อยหลายพันบาท ต่อคืน ทั้งหมดนี้ยังไม่ต้องกล่าวถึงบุคคลที่คุณจะต้องดูแล >>>(อ่านต่อเพิ่มเติม) เมื่อคุณหมอไม่รู้จักอาหารเสริมบำบัดโรคการรักษาอาจฆ่าคุณ

แม้การประกันสุขภาพจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค แต่นโยบายของบริษัทประกันชีวิตส่วนใหญ่จะไม่ทำสัญญากรมธรรม์ให้กับผู้ที่วัย 65 ปีขึ้นไปทั้งที่เป็นวัยที่ต้องการการประกันสุขภาพมากที่สุด อาจมีนายจ้างบางส่วนที่ทำประกันชีวิตกลุ่มให้แก่ลูกจ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วมักไม่เป็นเช่นนั้น

ดังนั้น หากนายจ้างของท่านมิได้มีนโยบายการทำประกันสุขภาพ ก็เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ท่านจะต้องทำประกันสุขภาพเอง แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะสูงก็ตาม นอกจากนี้ ประกันชีวิตมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการออมเพื่อการเกษียณ คุณจะรับมือกับปีศาจตัวนี้อย่างไร? หรือจะปล่อยให้มัน ทำให้คุณหรือครอบครัวของคุณ ต้องตกอยู่ในสภาวะล้มลาย

--------------------------------------------------------------------------------

ปีศาจตัวที่ห้า ความเสี่ยงจากหน้าที่การงาน
ในยุคของการค้าเสรี โลกที่ไร้พรมแดน ปัจจัยที่เกิดกับประเทศหนึ่ง ย่อมส่งผลกระทบไปยังประเทศต่างๆได้อย่างกว้างขวาง จากตัวอย่าง พิษเศรษฐกิจค่าเงินบาท ปี 40 บริษัทต่างๆต้องปิดตัวอย่างใบไม้ร่วง และการที่ธุรกิจมีการแข่งขันที่สูงขึ้น ย่อมทำให้บริษัทห้างร้านต่างๆปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และแน่นอน กลยุทธ์ ที่ทุกบริษัทใช้กันยามเกิดภาวะวิกฤตคือ การลดขนาดองค์กร ดังนั้น ความมั่นคงทางอาชีพของคุณ ที่ว่าแน่นอน อาจไม่แน่นอนในวันหนึ่งก็ได้

--------------------------------------------------------------------------------
ปีศาจตัวที่6 ความเสี่ยงจากการออมเงินในธนาคาร

เป็นงง ละซิ?ฝากเงินในธนาคารจะเสี่ยงได้อย่างไร?ความเสี่ยงนี้ยังไม่เฉพาะผลกระทบ จากอัตรา เงินเฟ้อ ที่สูงกว่าอัตรา ดอกเบี้ย หลายคนคิดว่าการฝากเงินกับธนาคารไม่มีความเสี่ยงเพราะในเมื่อ รัฐบาลบอกว่า รัฐค้ำประกันให้ทั้งต้นทั้งดอก 100%

แต่คุณทราบหรือไม่ว่า สภาวะการเปลี่ยนเเปลงของเศรษฐกิจโลก กำลังไล่ล่าคุณ……ในขณะนี้ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งรัฐยังคงกดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากให้ต่ำติดดินไปอีกนาน เพื่อบีบให้ผู้ฝากเงินนำเงินออกไปลงทุน

และคุณทราบหรือไม่ว่า ขณะนี้ พรบ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ได้ผ่านการ อนุมัติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และสถาบันประกันเงินฝากนี้ จะทำหน้าที่แทนการค้ำประกันโดนรัฐบาล ซึ่ง สถาบันดังกล่าวจะไม่ค้ำประกันเงินฝากเต็มจำนวน 100% เหมือนกับอดีตที่ผ่านมา แล้วคุณจะรับมือกับ เกมส์การเงินนี้อย่างไรหล่ะ!!!ถ้าคุณไม่รู้จักมันเลย …………………………..


จากที่กล่าวมานี้ คุณอาจเริ่มรู้สึกวิตกกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นใครก็ตามที่มัวแต่ปิดกั้นความคิดอยู่แต่ในโลกของตนเอง ทำงานกินเงินเดือนไปวันๆ ย่อมตามไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงอันน่าสะพรึงกลัว และไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆนี้ได้ และในที่สุด ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงกับเหตุการณ์อันน่าหวาดผวาในอนาคตที่จะต้องเกิดขึ้นกับคุณในไม่ช้า

Internet + Network Marketing

ธุรกิจหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งคือ ธุรกิจเครือข่าย ด้วยการอาศัยเทคโนโลยีเครือข่ายอินเตอร์เนตนั้น ทำให้ธุรกิจนี้เติบโตสวนกระแสสภาวะเศรษฐกิจซบเซาได้ อย่างน่าประหลาดใจ ธุรกิจเครือข่ายนั้น ถูกออกแบบให้กับคนธรรมดาๆ ผู้ทำงานประจำและไม่มีเงินทุนมากได้ใช้ความรู้ความสามารถของตนเองดำเนินธุรกิจนี้ให้เจริญเติบโต และยั่งยืนได้

Network Marketing & MLM

ธุรกิจเครือข่าย เปรียบเสมือนการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เฉกเช่น แฟรน์ไชส์อื่นๆทั่วๆไป ธุรกิจเครือข่ายเป็นการลงทุนที่ยั้งยืน ถ้าลองพิจารณาดูถึงระบบเครือข่ายคุณจะพบว่า ไม่ว่า ธุรกิจ ห้างร้าน บ้านของคุณ หรือ โจรจะปล้นบ้านคุณ แต่ทั้งหมดนี้ไม่สามารถทำร้ายคุณได้ เนื่องจาก เครือข่ายที่คุณได้สร้างขึ้น และได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อนๆสมาชิกธุรกิจของคุณไว้ในตอนเริ่มต้นนั้น ยังคงจะส่งผลให้รายได้แก่คุณทุกๆเดือนตลอดไป

ถ้าคุณลองสังเกตถึงข้อผิดพลาด ของคนที่ทำธุรกิจเครือข่ายหรือ คนทำ MLM ทั้งนอกเน็ทและบนเน็ทส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเนื่องจาก ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิด เกี่ยวกับ สิ่งที่ตนเองทำอยู่ เเละ ทำการตลาด กันผิดหลักกัน อ่ะครับ จะไม่ผิดได้อย่างไรจริงไหมครับ สาเหตุใหญ่ๆ คือ เมื่อธุรกิจเครือข่ายถูกออกเเบบมาเพื่อคนธรรมดา ซึ่งส่วนมากไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การทำตลาดเเละการทำธุรกิจ เเละมักบอกต่อวิธีการกันมาผิดๆ

"เมื่อคนที่ไม่รู้บอกต่อแก่คนใหม่ที่ไม่เป็น ก็ผิดกันต่อๆไปเรื่อยๆ"

ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว มักจะสอนกันให้ ตะบี้ตะบันหา downline กันอย่างเดียว และไม่เข้าใจถึง ความแตกต่างระหว่าง ธุรกิจขายตรง(Direct sale) กับ ธุรกิจเครือข่าย นอกจากนี้ยังมองข้ามหัวใจสำคัญที่สุดของการทำ เครือข่ายธุรกิจ ….. นั่นก็คือ ……… “การให้ความรู้แก่ downline ให้เค้าสามารถหา downline ได้เอง และ ให้ทำให้เค้าสามารถส่งมอบความรู้แก่ downline ที่เค้าหามาได้ ให้สามารถออกไปหา downline ต่อได้เองอีก ”

ยกตัวอย่างเช่น ผมรับคุณมาเป็น downline ของผม โดยผมจะสอนให้คุณสามารถหาสมาชิกให้ได้ 3 คน…… และ บอกให้คุณไปสอนวิธีที่ผมสอนให้อันนี้ กับสมาชิก 3 คนที่คุณหามาได้ ……ดังนั้นถ้าทุกคน ที่อยู่ในทีมของผม สามารถทำตามแผนของผมได้ คือ ทุกคนสามารถหาสมาชิกได้ 3 คนเหมือนกันหมด ….

ทีมของผมจะขยายขนาดได้แบบไม่มีขีดจำกัดเลยครับ คิดเสียว่าทุกคนไม่ค่อยจะมีเวลากัน ช่วงเวลากันสอนเเละการเรียนรู้ ให้กันไปเลย สามเดือน

เดือนที่ 1-3 จาก 1 กลายเป็น 3
เดือนที่ 4-6จาก 3 กลายเป็น 9 +3
เดือนที่ 7-9จาก 9 กลายเป็น 27+9+3+……
เดือนที่ 10-12จาก 27 กลายเป็น 81 +27+9:…..
เดือนที่ 13-15จาก 81 กลายเป็น 243+81+27+…..
เดือนที่ 16-18จาก 243 กลายเป็น 729+243+81+…..
เดือนที่ 19-21จาก 729 กลายเป็น 2187+729+243+…..

จะสังเกตุได้ว่าไม่ถึงสองปี ผมสามารถทำงานเหนื่อยเพียงแค่ช่วงเเรกเท่านั้น นั่นคือการสอนคุณ จนเข้าใจถึงหลักการวิธีการหาสมาชิก และ แน่ใจ ว่า คุณจะสามารถ นำไปสอนต่อคนอื่นได้ ….ทีนี้เพื่อนๆคงถามว่า จะมั่นใจได้ไง ว่า downline ทุกคน จะสามารถทำตามแผนได้ และ นำไปสอนต่อๆกัน เป็นลูกโซ่ได้ ??

โชคดีจริงๆครับ ที่ตอนนี้เรามีเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ท เราสามารถที่จะทำสื่อการสอนแบบ e-learning ได้ …… หรือ อาจจะทำเป็น ebook ให้สมาชิก ในทีมของเราทุกคนได้โหลดไปอ่าน และ วิธีเทคนิคอื่นๆทำตามกันไปเรื่อยๆ ได้ …..อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพเพื่อนๆจะเห็นว่า ความจริงแล้วเราแค่สอนคนให้รู้จักทำธุรกิจและการตลาดเป็นเราก็สามารถหยุดได้ แต่….เพื่อนๆจะพอใจกับรายได้นั้นหรือเปล่าล่ะ ครับ….

ดังนั้นงานของธุรกิจนี้ คือ สอนธุรกิจ ขายความรู้ทางธุรกิจ แบบ แฟรนไชส์ ทั้งหลายทำกัน(7/11, pizza hut, แม็คโดนัล และอื่นๆ)พอจะเห็น concept กันบ้างมั้ยครับ ??

ดังนั้นถ้าเรามัวตะบี้ตะบันหาสมาชิก หา downline ด้วยตัวเองอย่างเดียว โดยไม่ได้ใส่ใจว่า สมาชิก ที่เข้ามาเป็นสมาชิก ว่าจะกำไรหรือขาดทุนอย่างไร ไม่สนใจว่าเค้าจะหา มีความสามารถหาสมาชิก ต่อได้หรือไม่ ……. ท้ายสุดสมาชิกธุรกิจของคุณ ก็จะท้อใจ ขาดทุน และเลิกเป็นสมาชิกกับเราที่สุด ……..ถ้าเรานั่งหาสมาชิกด้วยตัวคนเดียวแบบนี้ เราอาจหาสมาชิกได้เองวันละ 3 คน …….แต่ในทางตรงกันข้าม ก็จะมี downline เลิกเป็นสมาชิกกับเราวันละ 3 คนเช่นกัน …..ถ้าเราไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองทำเเล้ว....

ทำให้ตาย ….. ทีมก็ไม่โตครับ……แล้วธุรกิจเครือข่าย ที่ออกแบบสำหรับคนธรรมดาๆ ให้ประสบความสำเร็จทางด้านการเงิน ด้วย การลงทุนที่ต่ำที่สุดความเสี่ยงทางธุรกิจน้อยที่สุด ก็ไม่ต่างอะไรไปจาก แชร์ลูกโซ่ หรือ การขายตรงอันน่าสยดสยอง เลยครับ
สุดท้ายนี้ สิ่งหนึ่งที่ผมมักสังเกตุเห็น ผู้คนส่วนใหญ่(ที่ประสบปัญหาด้านการเงินนั้น) มักไม่กล้าที่จะตัดสินใจทำอะไร เพราะพวกเขามักยึดติดกับ ความสามารถของตนเอง หลายคนบ่นว่า "ทำธุรกิจทางอินเตอร์เนตเนี๊ยะ น่าสนใจนะ เเต่ ฉันไม่มีความรู้เรื่องการทำเว็บไซด์เลย ฉันไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย.......

ผู้คนส่วนมากมัก พะวงเกี่ยวกับการปรับปรุงสมรรถภาพ ความสามารถของตัวเอง จนกระทั่งสิ่งเหล่านั้นกับเป็นตัว ฉุดรั้งให้พวกเขา สูญเสียโอกาสดีๆไปเป็นจำนวนมาก พวกเขากลับลืมคำนึงถึง ศักยภาพเเละวิธีการที่มีประสิทธิภาพ ทรัพยากรต่างๆรอบตัวมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงเเก่ตัวเอง.....หลายคนมักรอที่จะต้องให้เรียนรู้ศึกษาปรับปรุงให้ตนเองเก่งเสียทุกอย่างก่อน เเล้ว จึงจะเริ่มลงมือ

เส้นทางรอด ในยุคข้าวยากหมากแพง (ช่องทางรายได้ ไมโครแฟรนไชส์)

ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ วิกฤตยุคข้าวยากหมากแพง ในขณะนี้ เป็นเหตุให้หลายคนจะต้องดิ้นรนเอาตัวรอดและ หารายได้เสริม ในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน การนำเงินออมไปลงทุนเป็นจำนวนมาก ย่อมมีความเสี่ยงมากเช่นกัน / เเนวคิดการลงทุนที่ปราศจากความเสี่ยง

แต่ในปัจจุบันเรามี อินเตอร์เนต ซึงเปิดโอกาสให้เรา สามารถสร้างรายได้ด้วย เงินลงทุนจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับ การลงทุนในแบบดั้งเดิม ผู้คนจำนวนมาก เบื่อหน่ายกับสนามแข่งหนู เกิดความกังวล, การถูกลอยแพ เลิกจ้างงาน จากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ตกต่ำ พวกเขาจำนวนมาก หันมา ให้ความสนใจ มาทำ ธุรกิจเครือข่าย หรือ work at home, หารายได้เสริม, อาชีพเสริม กัน เป็นจำนวนมากอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

สำนักข่าว CNN รายงานว่า ในสหรัฐ มีนักธุรกิจอิสระ หน้าใหม่ เกิดขึ้นทุกๆ 11 วินาที ธุรกิจทำงานที่บ้านนี้ เป็นคลื่นลูกใหม่ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และ ธุรกิจเครือข่ายนั้นเป็นหนึ่งในโอกาสทางธุรกิจ อาชีพอิสระ ที่ร้อนแรงที่สุดในขณะนี้ ในส่วนตัวผมแล้วผมมีความมั่นใจว่า ธุรกิจออนไลน์ หรือ ธุรกิจเครือข่ายโดยเฉพาะ เป็นเหมือนคลื่นลูกใหม่ของโอกาสทางธุรกิจในอนาคต เมื่อผนวกกับการทำงานบนอินเตอร์เนต เมื่อรวมพลังขึ้นมาเเล้ว จะสามารถต่อกร กับทุน ค้าปลีกข้ามชาติได้อย่าง สบายๆ

ในนิตยสาร Fortune เรียก ธุรกิจขายตรง ว่า“the best kept secret in business world”และ ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ธุรกิจเครือข่ายนี้ คือ การรับมือกับ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย นั้นเองหมายความว่า ธุรกิจเครือข่าย เป็นธุรกิจที่ จะสวนกระแสการเติบโต กับ ภาวะ เศรษฐกิจถดถอยเสมอ มีคนอีกเป็นล้านที่คอยหาวิธีการการที่สามารถให้เขา ทำเงินจากบ้าน และ อะไรที่นักตลาดที่ดีจะต้องทำ? ขณะที่พวกเขาต้องการหาทางออกในการแก้ไขปัญหา สิ่งที่คุณควรทำคืออะไรล่ะ?

สรุปรวมความสั้นๆ หมายความว่า “มีเม็ดเงินจำนวนมากกองอยู่ตรงหน้า รอผู้ที่เหมาะสมที่จะครอบครองเท่านั้น”……..เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเพื่อนๆรู้จะนิ่งเฉยอยู่ไหมล่ะ????ถ้ามีโจทย์ให้ผมคิด ให้บอกว่ามีช่องทางไหน หรือ มีโอกาสธุรกิจอันไหน ที่ยอดเยี่ยม และ เจ๋งกว่า โอกาสธุรกิจบนอินเทอร์เน็ท หรือ หาเงินผ่านเน็ต หรือ ธุรกิจเครือข่าย อีกไหม ?? ให้บอกตามตรง คิดไม่ออกจริงๆครับ ว่าจะมีธุรกิจอันไหนอีก ที่ลงทุนต่ำมากๆ ( บางคนบอกว่า แทบไม่ต้องลงทุนเลย ) แต่สามารถที่จะสามารถเข้าถึง ตลาดได้ทั่วทุกภูมิภาค แบบไม่มีวันหยุดราชการ !

ช่วงสิบกว่า ปีที่ผ่านมา มีเศรษฐีเกิดใหม่ในวงการ Internet มากมายจนนับจำนวนไม่ไหว เราคงไม่ต้องมายกตัวอย่าง แบบเจ้าของ Amazon , Ebay หรือ Google กันอีก ยกกันมาจนน่าเบื่อ ……… นอกจากนี้ในอดีตนั้นเศรษฐีต่างๆจะต้องลงทุนลงแรงอย่างหนัก และใช้เวลานานในการก่อร่างสร้างตัว ถึงแม้อัตรา การแข่งขันจะน้อยกว่าปัจจุบัน แต่ในทางกลับกัน กับภาวะปัจจุบันที่อัตราการแข่งขันสูง แต่ผู้ประสบความสำเร็จทางการเงิน แต่กลับใช้เวลา ในการก่อร่างสร้างตัว น้อยกว่า สมัยก่อนมาก

ดังนั้น ขอยืนยันได้ว่า ……. ไม่มี "โอกาสธุรกิจ "ไหนที่ยอดเยี่ยมและวิเศษไปกว่าโอกาสธุรกิจเครือข่ายโดยทำงานผ่านอินเตอร์เน็ทอีกแล้ว ……..

นอกจากนี้ อย่างที่เราทราบว่า อินเตอร์เนตคือเทคโนโลยีเครือข่าย เมื่อคุณสร้างธุรกิจของคุณ ร้านค้าออนไลน์ มาประยุกต์ ใช้กับ ธุรกิจเครือข่าย เพื่อหาเป็น รายได้เสริม ซึ่งใช้เงินทุนน้อยมากเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่คุณจะได้รับ เมื่อ อาชีพเสริม ของคุณมีรากฐานที่มั่นคงแล้ว เพื่อนๆ สามารถเก็บดอกผลได้ แม้ในขณะ ท่องเที่ยวอยู่กลางทะเล หรือ เจ็บป่วยนอนอยู่โรงพยาบาล

ในการเลือกเข้าร่วม กับ บริษัทธุรกิจเครือข่าย ก็เช่นเดียวกัน คุณไม่ควรจะมองแต่ว่า เป็นบริษัทน้องใหม่มีโอกาสเป็นต้นสาย…. สิ่งที่เราควรคำนึง ถึงคือ กลุ่มเป้าหมายของสินค้าของบริษัท การสนับสนุนด้านการตลาดให้แก่สมาชิกอย่างสม่ำเสมอ เเละ ความเป็นธรรมทั้งด้านราคาเเละรายได้ เป็นต้น

สิ่งหนึ่งที่สำครัญ คุณจะต้องคำนึงถึงอัตราการเจริญเติบโตของบริษัท ….การได้รับการยอมรับของลูกค้า แผนตอบแทนรายได้ ที่อำนวยแก่การทำขยายธุรกิจของคุณ ราคาของสินค้า เพราะในเมื่อใดคุณมีความเข้าใจและกลยุทธ์ทางการตลาดแล้ว คุณย่อมเลือกสมัครกับบริษัทที่มีความมั่นคงและความพร้อม ดีกว่า จริงไหมครับ ของมันง่ายกว่า สบายกว่าจะมาเป็นผู้บุกเบิกอยู่ทำไม เเละนอกจากนี้ยังเป็นการ ลดความเสี่ยงจาก ความไม่มั่นคงของบริษัทเกิดใหม่ หรือ เเม้กระทั้ง การถูกนำสินค้าลอกเลียนเเบบมาขายตัดราคา อย่างที่ต้องตามจับกันไม่รู้จักจบจากสิ้น และท้ายสุด

ในกรณีของคุณ คุณสามารถ สร้างระบบธุรกิจเครือข่ายของคุณเองได้ อย่างผสมผสานเพื่อเพิ่มช่องทางรายได้ ของคุณเอง
ดั่งที่….มีคำกล่าว คำหนึ่งของนักการตลาดผู้หนึ่งกล่าวว่า

" You don't want the merchant to screw anything up. Given the chance, they usually will. This is your business."

“อย่ายอมให้กลุ่มธุรกิจใดๆเป็นเจ้าของคุณ หาทางเปิดโอกาส ที่คุณจะไม่ถูกครอบงำในกรอบนั้นๆ พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเป็นเจ้าของความมุ่งมั่นตั้งใจของความเป็นเจ้าของธุรกิจของคุณได้”

การที่คุณ ออกแบบรูปแบบธุรกิจของคุณ และ นำไปสอนต่อและช่วยเหลือผู้อื่นให้สามารถสร้างรายได้ นั้น ก็ไม่ต่างอะไรจาก การที่คุณขายระบบแฟรนไชส์ของคุณเอง การที่คุณสร้างอิสระภาพและ เสถียรภาพของธุรกิจคุณนั้น ด้วยการทำการตลาดนั้น……… สิ่งนี้เป็นสิ่งที่บริษัทของคุณ ก็ต้องการเช่นเดียวกัน เเต่ เนื่องจาก พรบ กฏหมาย ขายตรง....การทำตลาดด้วยการโฆษณาของสมาชิก จึงถูกจำกัด ซึ่งเปรียบเสมือนการมัดเเขน นักธุรกิจอิสระ ให้ว่ายน้ำข้ามฝั่งด้วย เเขนข้างเดียว

ครับ!!

ดังนั้น สมาชิกบริษัทธุรกิจขายตรงต่างๆ ไม่สามารถนำผลิตภัณฑ์ ของบริษัทไปโฆษณา ทำการตลาดได้ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการดำเนินธุรกิจ สิ่งที่สมาชิกธุรกิจทำได้อย่างเดียวคือ เดินขายสินค้า หรือ ถ่ายทอด การ สาธิตบรรยายสินค้า ให้เเก่ลูกค้าของคุณ
มันเป็นกฎที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้า จริงๆนะครับ แน่นอน คุณคงไม่ต้องการให้พวกเขามาทำให้คุณอึดอัดปวดหัวใช่ไหมครับ….

ดังนั้นเพื่อชัยชนะใน การทำธุรกิจ สิ่งที่จำเป็นของคุณคือ เรียนรู้ ที่จะ หาช่องว่างทางการตลาด ได้อย่างถูกต้อง เเละ ถูกทำนองครองธรรมในการเลือกเข้าร่วมบริษัทธุรกิจเครือข่าย จะมีปัญหาเรื่องการรักษายอดอยู่ ดังนั้น เพื่อนๆควร เลือกดูว่า บริษัทเพื่อนๆสนใจอยู่นั้น มีกลุ่มเป้าหมาย เดียวกันหรือไม่ มีการสนับสนุน ให้ คุณ ทำงานได้ง่ายขึ้นหรือไม่ สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจหรือไม่ จำไว้ว่า เมื่อเขาปิดทางคุณ ...คุณจะหาทางออกใหม่ๆเสมอ และนี่คือหน้าที่ ธุรกิจของคุณ และนี่คือที่มาของ การทำไมโครแฟรนไชส์ ธุรกิจเครือข่ายธุรกิจออนไลน์

สิ่งที่คุณควรจะได้รับจากที่ปรึกษาธุรกิจของคุณ

โรเบิตร์ คิโยซากิ นักธุรกิจ (ผู้เขียนหนังสือ พ่อรวยสอนลูก) กล่าวว่า “การเลือกผู้แนะนำธุรกิจ ได้ถูกต้องนั้น เป็นการตัดสินใจสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งที่คุณจะสามารถทำได้ ในธุรกิจเครือข่าย”

ผู้แนะนำธุรกิจของคุณนั้น เปรียบเสมือน กุนซือ ที่ปรึกษาของคุณ คุณจะเห็นได้ว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จหรือแม้แต่ผู้ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์นั้น ล้วนแล้วแต่มี กุนซือที่ดีทั้งสิ้น ซึ่งหมายถึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด ก่อนที่คุณจะเข้าร่วมธุรกิจกับบริษัทใดๆ

คุณจะต้องแน่ใจว่า ผู้แนะนำของคุณนั้น เป็นใคร มีความสามารถ และ จะช่วย คุณสนับสนุนจัดเตรียม ทรัพยากร แหล่ง เครื่องมือความรู้ต่างๆ ที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จได้หรือไม่

เมื่อใดคุณพิจารณาจะเข้าร่วมทีมใดๆนั้น มีคำอยู่สองคำที่ใช้กันประจำในธุรกิจนี้คือ

“ผู้แนะนำ” กับ “ที่ปรึกษา” ตามความหมายของศัพท์

ผู้แนะนำหมายถึง ผู้ที่แนะนำให้รู้เเค่ว่ามีโอกาสนี้อยู่เพียงแค่นี้เท่านั้น....แต่ในขณะที่ “ที่ปรึกษา”นั้นสามารถแนะนำทางให้แก่คุณ พร้อมที่จะให้คำปรึกษาช่วยเหลือคุณตลอดเวลาที่คุณมีปัญหา ดังนั้น ทั้งสองคำนี้ ความหมายไม่เหมือนกัน

ดังนั้นคุณควรถามตัวเองว่า คุณจะยอมให้ใครสักคน ที่เพียงเเค่เเนะนำคุณเกี่ยวกับธุรกิจนี้ เเล้ว เเต่ไม่เคยหรือรับผิดชอบที่คอยจะช่วยเหลือคุณ โดยไม่มีความสนใจใยดีว่า คุณจะเหนื่อยยากอย่างไร ....พวกเขาขอเพียงรับ%จากการทำงานการบริโภคของคุณเท่านั้นหรือ?

ทุกๆคนมักคุ้นเคยกับ ธุรกิจเครือข่าย หรือ ธุรกิจขายตรง แต่โดยมากมักจะเข้าใจว่า เป็นเพียงบุคคลผู้ซึ่งแสวงหาสมาชิกให้ได้จำนวนมาก มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และสามารถทำรายได้จากการเเนะนำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ผู้แนะนำธุรกิจ จะมองหาคน ที่ พวกเขาคิดว่า “สามารถทำเองได้ โดยเขาไม่ต้องเข้าไปช่วยเหลือใดๆ” แต่ ที่ปรึษา ธุรกิจจะมองหา หุ้นส่วนธุรกิจที่คุ้มค่าแก่การฝึกฝนช่วยเหลือ และแนะนำช่วยเหลือเมื่อหุ้นส่วนเกิดปัญหา

“คุณว่าทั้งสองคำนี้แตกต่างกันมากไหมล่ะ?”

"จงเรียนรู้ที่จะ แยกแยะ สิ่งที่เกินความเป็นจริง จาก เรื่องที่เป็นแก่นสาร "


ดังนั้น เมื่อใดก็ตาม ที่คุณกำลังมองหา บริษัท,ที่ปรึกษาธุรกิจ หรือ ทีม คุณควรเลือกสิ่งที่ควรค่าแก่คุณ คุณรู้สึกถูกใจไหมกับสิ่งที่คุณจะได้รับ ตั้งคำถามและสังเกตเพื่อที่จะคัดพลอยออกจากทราย จงมุ่งมั่นตั้งใจจริงในการเริ่มต้น ทำเพื่อตัวของคุณเอง ตัดสินใจ เเละ ลงมือเดี่ยวนี้ รางวัลแห่งความสำเร็จจากธุรกิจเครือข่าย มากมายรอคุณอยู่

ประเภทของรายได้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินพยายามอธิบายเพิ่มเติมอย่างน่าสนใจถึงการวัดปริมาณความร่ำรวย จากจำนวนวันที่เรามีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ โดยไม่ต้อ

ประเภทของรายได้

มีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินพยายามอธิบายเพิ่มเติมอย่างน่าสนใจถึงการวัดปริมาณความร่ำรวย จากจำนวนวันที่เรามีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ โดยไม่ต้องทำงาน ผู้ที่จะไปถึงจุดนั้นได้ หมายความถึง ผู้ที่สามารถบริหารกระแสเงินสดให้เป็นบวก (คือ มีรายได้อัตโนมัติมากกว่ารายจ่าย) นั่นเอง

เมื่อเราพินิจพิเคราะห์รายได้ของคนเราในแบบต่างๆ จะพบว่า รายได้มี 2 แบบ คือ

1. Active Income คือ รายได้ที่ได้มาจากการทำงาน ถ้าไม่ทำไม่ได้ เช่น รับเงินเดือน, เจ้าของร้านค้าขนาดเล็ก, นักแสดง, ผู้ใช้แรงงาน, ผู้ขายบริการ, พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด ฯลฯ

2. Passive Income หรือ Recurring income, Residual incomeคือ รายได้ที่มาจากทรัพย์สิน ไม่ได้เกิดจากการทำงานโดยตรง เช่น หุ้น, ตึกให้เช่า, สิทธิบัตร, ลิขสิทธิ์, ค่าการตลาด ฯลฯ รายได้นี้ถ้ามีมาอย่างต่อเนื่องและถ้ามีมากกว่ารายจ่าย จะทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงินและชีวิตมีอิสระขึ้น

ตัวอย่าง รายได้เเบบ Passive, Recurring income
1. ลงทุนเป็นหุ้นส่วนบริษัท(หรือลงทุนในตลาดหลักทรัพย์) ถ้ามีบริษัทดีๆ สักแห่ง สนใจเงินลงทุนของคุณ การใช้ "เงินทำงาน" แบบนี้ก็น่าสนใจ วิธีการไม่ยุ่งยากคุณไม่ต้องทำอะไรเลย ปล่อยให้ผู้บริหารอาชีพทำงานให้และคุณรอรับเงินปันผลทุกปีหรือคุณสามารถนำเงินของทุนไปลงทุนใน ตลาดหลักทรัพย์หรือตราสารการเงินต่างๆ

2.ขายลิขสิทธิ์ หากคุณมีไอเดียดีๆ คุณสามารถ มีรายได้ จากเปอร์เซนต์ การจำหน่าย สินค้า บริการ จากไอเดียคุณ โดยไม่คุณไม่จำเป็นต้องลงทุนเอง


3. สร้างอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าหากคุณเป็นเจ้าของที่ดินทำเลดี มีเงินในกระเป๋าสัก 5-20 ล้านบาท (หรือมีเครดิตกู้ธนาคารได้) ธุรกิจนี้น่าสนใจ อพาร์ทเม้นท์ที่สร้างเสร็จจะกลายเป็นทรัพย์สินที่ทำเงินสร้างรายได้ให้คุณ(โดยไม่ต้องทำงานประจำ) หน้าที่ของคุณเพียงบริหารจัดการตามปกติ (Routine) หรือจ้างผู้จัดการสักคน เท่านี้ก็เป็นอิสระ มีรายได้ยาวนานมั่นคงแถมเป็นมรดกให้ลูกหลานอีก

4. ซื้อแฟรนไชส์ มีแฟรนไชส์ดีๆมากมายทั้งขนาดใหญ่เเละเล็ก ใช้เงินที่ลงทุนประมาณ 300,000 ถึง 60 ล้านบาท ที่มีการบริหารจัดการ (Know How) ที่เป็นระบบแบบมืออาชีพ คุณเพียงแค่ลงทุน ศึกษาระบบให้เข้าใจและหาลูกจ้างมาทำงาน แค่นี้รายได้ก็จะหลั่งไหลเข้ามาเหมือนสายน้ำ โดยที่ไม่ต้องเหนื่อยด้วยตัวเอง

5.ทำการตลาดแบบเครือข่าย เป็นการตลาดรูปแบบใหม่ถือกำเนิดมาได้ประมาณ20ปีก่อนเป็นการทำตลาดที่มีการผสมผสานรูปแบบแฟรนไชส์ และ BUZZ Marketing เข้ากับการตลาดแบบหลายชั้น (Multilevel Marketing) เป็นรูปเเบบธุรกิจที่ออกเเบบให้กับผู้ที่มีงบลงทุนน้อย เเละธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่เรียกว่ามีความเสี่ยงต่ำเเต่มี ROI (Return of Investment)หรือผลตอบเเทนคุ้มค่าที่สุด อย่างหนึ่ง

วิธีการทำธุรกิจแบบนี้คือ ต้องมีการศึกษาจุดดีจุดเด่นของบริษัทธุรกิจและสินค้าก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงสร้างตลาดเครือข่ายผู้บริโภค.....โดยทั่วไปจะใช้การบอกต่อหรือการขายโดยตรงแล้วถ่ายทอดวิธีการ (Know how) ให้กับผู้ที่สนใจทำการตลาดในองค์กรเครือข่ายต่อเนื่องต่อไป เรียกว่าเป็นการใช้พลังของเครือข่ายแบบ

ไมโครแฟรนไชส์ ซึ่งมีข้อดีคือ เงินลงทุนต่ำและไม่จำเป็นต้องมีความรู้หรือประสบการณ์มาก่อน หลังจากสมัครเป็นสมาชิกในองค์เครือข่ายสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือที่ปรึกษาธุรกิจที่มีความรู้ความสามารถจริงๆมาช่วยเหลือถ่ายทอดวิธีการทำธุรกิจ (Know how) ให้จนประสบความสำเร็จ

ฟอร์บส์ ระบุว่า 40 อันดับเศรษฐีไทย คนที่รวยที่สุดของไทย มีดังนี้

อันดับ 1 นายเฉลียว อยู่วิทยา อายุ 76 ปี กลับมาเป็นบุคคลที่รวยที่สุดของไทยอีกครั้งหนึ่งหลังจากยอดจำหน่ายกระทิงแดง เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่นายเฉลียว ร่วมกับนายดีทริช มาเตสชิทซ์ นักธุรกิจออสเตรียเริ่มผลิตขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น ยอดขายเพิ่มจากปี 2547-2550 ถึงเกือบเท่าตัวเป็น 4,200 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด 4,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 136,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 500 ล้านดอลลาร์

อันดับ 2 นายเจริญ สิริวัฒนภักดี
ผู้ก่อตั้งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ เจ้าของธุรกิจวิสกี้และเบียร์ (เหล้าแม่โขง , เบียร์ช้าง ฯลฯ ) ที่เพิ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์เมื่อปี 2549 ทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการโรงแรมพลาซ่า แอทธินี่ และไอเอ็มเอ็ม อีกด้วย มูลค่าทรัพย์สินรวม 3,900 ล้านดอลลาร์

อันดับ 3 ตระกูล "จิราธิวัฒน์" มีกิจการหลายอย่างตั้งแต่ธุรกิจค้าปลีก (ห้างเซ็นทรัล),อสังหาริมทรัพย์ ,โรงแรม เป็นต้น มูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 2,800 ล้านดอลลาร์

อันดับ 4 นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) กิจการเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี.) อายุ 69 ปี มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2,000 ล้านดอลลาร์

อันดับ 5 นายกฤตย์ รัตนรักษ์ ประธานและซีอีโอของบริษัท บางกอก บรอดคาสติ้ง แอนด์ ทีวี (บีบีทีวี) และครอบครัว ทรัพย์สินรวมถึงหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา และปูนซิเมนต์นครหลวง มูลค่าทรัพย์สินรวม 1,000 ล้านดอลลาร์

อันดับ 6 คุณหญิงประณีตศิลป์ วัชรพล และครอบครัว เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ มูลค่าทรัพย์สินรวม 940 ล้านดอลลาร์

อับดับ 7 นายวิชัย มาลีนนท์ และครอบครัว เจ้าของกิจการ บีอีซีเวิร์ลด์ และไทยทีวีสีช่อง 3 มูลค่าทรัพย์สินรวม 880 ล้านดอลลาร์

อันดับ 8 นายจำนงค์ ภิรมย์ภักดี
ประธานบริษัทบุญรอด บริวเวอรี่ (เบียร์สิงห์) และครอบครัว มูลค่าทรัพย์สินรวม 820 ล้านดอลลาร์

อันดับ 9 ดร.สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเครือบริษัท ไทยซัมมิต ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ถือหุ้นส่วนหนึ่งอยู่ในเนชั่น มัลติมีเดียมูลค่าทรัพย์สินรวม 580 ล้านดอลลาร์

อันดับ 10 นายอนันต์ อัศวโภคิน ผู้ก่อตั้งบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮาส์ มูลค่าทรัพย์สินรวม 525 ล้านดอลลาร์

อันดับ 11 นายสรรเสริญ จุรางกูล ผู้ก่อตั้งบริษัท สามมิตมอเตอร์ ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ มูลค่าทรัพย์สินรวม 520 ล้านดอลลาร์

อันดับ 12 นายประยุทธ มหากิจศิริ และครอบครัว เจ้าของกิจการเหล็กกล้า ไทยน็อกซ์ สแตนเลส มูลค่าทรัพย์สินรวม 515 ล้านดอลลาร์

อันดับ 13 นายบุญชัย เบญจรงคกุล และครอบครัว ผู้ก่อตั้งบริษัทโทรคมนาคม ดีแทค มูลค่าทรัพย์สินรวม 475 ล้านดอลลาร์

อันดับ 14 นายอิสระ วงกุศลกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทมิตรผลและครอบครัว มูลค่าทรัพย์สินรวม 470 ล้านดอลลาร์

อันดับ 15 วิลเลียมอี. ไฮเนคกี้ และครอบครัว เจ้าของกิจการ ไมเนอร์ คอร์ป., ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ทำธุรกิจ อาทิ เอสปรี และธุรกิจภัตตาคาร,สปา,โรงแรม มากกว่า 800 แห่งในหลายประเทศ

อันดับ 16 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทรัพย์สินรวม 400 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย แม้ว่าจะถูกอายัดทรัพย์ และหมดยุคเรืองอำนาจ เพราะถูกกระทำรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 แต่ตัวเลขทางการเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงเพิ่มขึ้นกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 3,300 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน

อันดับ 17 นายวาณิช ไชยวรรณ
และครอบครัว เจ้าของกิจการไทยประกันชีวิต มูลค่าทรัพย์สินรวม 390 ล้านดอลลาร์

อันดับ 18 นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ เจ้าของกิจการพฤกษาเรียลเอสเตท มูลค่าทรัพย์สินรวม 380 ล้านดอลลาร์

อันดับ 19 น.ส.นิชิต้า ชาห์ อายุน้อยที่สุดคือ 28 ปี สาวโสด เพียงรายเดียวจากทั้งหมด สืบทอดกิจการ พรีเชียส ชิปปิ้งจากบิดา ก่อนขยายออกไปสู่วงการแฟชั่นและเสื้อผ้าสำเร็จรูป มูลค่าทรัพย์สินรวม 375 ล้านดอลลาร์

อันดับ 20 นางสุรางค์ เปรมปรีดิ์ กรรมการผู้จัดการบีบีทีวี (ช่อง7) มูลค่าทรัพย์สินรวม 335 ล้านดอลลาร์

อันดับ 21 นางนันทา ชินธรรมมิตร เจ้าของกิจการน้ำตาลขอนแก่น มูลค่าทรัพย์สินรวม 330 ล้านดอลลาร์

อันดับ 22 นายประเสริฐ ปราสาททองโอสถ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของกิจการบางกอกแอร์เวยส์ มูลค่าทรัพย์สินรวม 245 ล้านดอลลาร์

อันดับ 23 คุณหญิงประภา และนายวิทย์ วิริยะประไพกิจ ผู้บริหาร สหวิริยา สตีล อินดัสตรี้ มูลค่าทรัพย์สินรวม 210 ล้านดอลลาร์

อันดับ 24 นายนิธิ โอสถานุเคราะห์ ได้รับตกทอดหุ้นบริษัท โอสถสภามา 25% มีเงินลงทุนอยู่ในไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล และทำงานอยู่กับเมอร์ริลล์ ลินช์ มูลค่าทรัพย์สินรวม 200 ล้านดอลลาร์

อันดับ 25 นายเปรมชัย กรรณสูต ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง อิตาเลียน-ไทย มูลค่าทรัพย์สินรวม 195 ล้านดอลลาร์

อันดับ 26 นายวิชัย รักศรีอักษร ผู้ก่อตั้งบริษัท คิงพาวเวอร์ ดำเนินกิจการร้านค้าปลอดภาษี มูลค่าทรัพย์สินรวม 190 ล้านดอลลาร์

อันดับ 27 นายเฉลิม อยู่วิทยา เจ้าของกิจการสยาม ไวเนอรี่ ประธานบริษัทเรดบุล อังกฤษ และมีหุ้นอยู่ในบริษัท กระทิงแดง 2% มูลค่าทรัพย์สินรวม 185 ล้านดอลลาร์ อันดับ

อันดับ 28 นายเกษม ณรงค์เดช และครอบครัว ประธานกลุ่มบริษัท เคพีเอ็น ที่มีบริษัทอยู่ในเครือมากกว่า 24 บริษัท มูลค่าทรัพย์สินรวม 180 ล้านดอลลาร์

อันดับ 29 นายเอนก สิทธิประศาสน์ ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ในกิจการบิ๊กซี ซุปเปอร์มาร์เก็ต รองประธาน เซ็นทรัลพัฒนา กิจการอสังหาริมทรัพย์ในเครือ "จิราธิวัฒน์" มูลค่าทรัพย์สินรวม 177 ล้านดอลลาร์

อันดับ 30 นายเพชร และรัตน์ โอสถานุเคราะห์ มีหุ้นอยู่ในโอสถสภาคนละ 20 เปอร์เซ็นต์ รายหลังดำรงตำแหน่ง ซีอีโอของบริษัทอีกด้วย มูลค่าทรัพย์สินรวม 175 ล้านดอลลาร์

อันดับ 31 พรดี ลี้อิสระนุกูล สืบทอดกิจการในเครือกลุ่มบริษัทสิทธิผลจาก วิทยาผู้เป็นสามี มีหุ้นอยู่ในสิทธิผลมอเตอร์,ไทย สแตนเลย์ อีเลคทริค และบริษัทร่วมทุน อินูเอะ รับเบอร์ มูลค่าทรัพย์สินรวม 170 ล้านดอลลาร์

อันดับ 32 วิชา พูลวรลักษ์ เจ้าของกิจการ เมเจอร์ ซีนีเพลกซ์ เครือข่ายธุรกิจโรงภาพยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มูลค่าทรัพย์สินรวม 165 ล้านดอลลาร์

อันดับ 33 นิจพร สรณจิต ผู้ถิอหุ้นใหญ่ในอิตาเลียน-ไทย พี่สาวของเปรมชัย กรรณสูต เป็นประธานโรงแรมโอเรียนเต็ล และมีหุ้นส่วนตัวอยู่ในเครือโรงแรมอมารี มูลค่าทรัพย์สินรวม 160ล้านดอลลาร์

อันดับ 34 วิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าของกิจการนิคมอุตสาหกรรม อมตนคร มูลค่าทรัพย์สินรวม 145 ล้านดอลลาร์

อันดับ 35 พรเทพ พรประภา และครอบครัว เจ้าของกิจการสยามกลการ มีหุ้นอยู่ใน เอพีฮอนด้า และเอสพี ซูซูกิ มูลค่าทรัพย์สินรวม 140 ล้านดอลลาร์

อันดับ 36 ไกรสร ชาญสิริ ประธานและผู้ก่อตั้ง ไทย ยูเนียน ฟรอซเซน กิจการทูน่ากระป๋องที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก มูลค่าทรัพย์สินรวม 115 ล้านดอลลาร์

อันดับ 37 ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกลุ่มจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ มูลค่าทรัพย์สินรวม 110 ล้านดอลลาร์

อันดับ 38 ปลิว ตรีวิศวเวทย์ เจ้าของกิจการบริษัทก่อสร้าง ช.การช่าง มูลค่าทรัพย์สินรวม 100 ล้านดอลลาร์

อันดับ 39 สุเมธ ตันธุวณิช ผู้ก่อตั้ง รีเจอนัล คอนเทนเนอร์ ไลน์ กิจการเดินเรือ มูลค่าทรัพย์สินรวม 85 ล้านดอลลาร์

อันดับ 40 มาลิณี กิตะพาณิช และครอบครัว สืบทอดสมบูรณ์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี บริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จากผู้เป็นสามี มูลค่าทรัพย์สินรวม 65 ล้านดอลลาร์

คิดแบบนี้...ถึงรวย เจริญ สิริวัฒนภักดี

เจริญ สิริวัฒนภักดีคนรวยแล้วยิ่งสมถะและใช้ชีวิตเรียบง่าย

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : คุณเคยสงสัยมั้ยว่า เราก็สู้อุตส่าห์อดออม ขยันทำงานตัวเป็นเกลียว ประหยัดเอวคอดเอวกิ่ว ไม่เคยข้องแวะกับความฟุ่มเฟือย พอมีเงินก็เอาไปต่อยอดให้มันออกดอกออกผล

เรียกว่า ทำทุกอย่างตามสูตรของการเป็นเศรษฐี ปฏิบัติทุกอย่างตามคัมภีร์แห่งความมั่งคั่ง แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่ได้เป็นเจ้าของสรรพนามคำว่าเศรษฐีอยู่ดี

ถ้าอย่างนั้น Fundamentals ฉบับนี้ จะพาไปแกะรอยไปดูว่าบรรดาเศรษฐีตัวจริง เขาคิดและมองกันอย่างไร ถึงได้มั่งคั่งอย่างยั่งยืนบนกองเงินกองทอง

ที.ฮาร์ฟ เอเคอร์ เจ้าของงานเขียน "เคล็ดลับทำใจให้เป็นเศรษฐีเงินล้าน: การคุมเกมสร้างความมั่งคั่ง" เชื่อว่า คนรวยคิดแตกต่างเกี่ยวกับเงิน และแต่ละคนมีแผนการเงินเฉพาะตัว ซึ่งคิดกำหนดขึ้นมาตลอดช่วงชีวิตในการลงทุนเกี่ยวข้องกับเงิน

ลองตามมาดูวิธีคิดและมุมมองแบบคนรวย ว่าเขาคิดกันอย่างไร

O คนรวยเชื่อว่าฉันสร้างชีวิตด้วยตัวเอง

พูดให้เข้าใจง่ายคือ คนที่จะรวยได้ต้องเริ่มคิดสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเอง ไม่คิดพึ่งพิงคนอื่น สังเกตว่าพวกที่ไม่ได้เป็นเศรษฐี มักคิดแค่ว่า เราช่างโชคดีเหลือเกินที่เกิดมาบนกองเงินกองทองที่พ่อแม่สร้างไว้ให้ ไม่ต้องทำอะไรก็มีมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่เอาไว้ให้ใช้อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องทำอะไร ก็อยู่ได้ไปชั่วชีวิต

จะเห็นได้ว่าเศรษฐีในบ้านเราหลายคน ไม่ว่าจะเป็น"เจริญ สิริวัฒนภักดี" หรือ "เฉลียว อยู่วิทยา" ก็ล้วนแต่สร้างและสั่งสมความร่ำรวยมาด้วยตัวเองแทบทั้งสิ้น กว่าจะนอนเกลือกกลิ้งบนกองเงินกองทองเศรษฐีพวกนี้เริ่มต้นจากศูนย์และสองมือเปล่า และเป็นคนที่มีพื้นฐานครอบครัวไม่รวย

กรณีของเฉลียว เขาไม่ได้เกิดมาในชาติตระกูลของผู้มีอันจะกิน แต่เกิดมาท่ามกลางครอบครัวยากจน ทำให้เขาต้องช่วยที่บ้านทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ ก่อนจะมาขายกระทิงแดงอย่างทุกวันนี้ เขาทั้งขายผลไม้ ขายยา และทำธุรกิจมากมายหลายอย่าง

Oมีหัวการค้าตั้งแต่เด็ก

กว่าจะมาเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศไทย เป็นเจ้าของเหล้าแม่โขง และเหล้าแสงโสม เบียร์ช้าง เศรษฐีแถวหน้าของเมืองไทยอย่างเจริญ เป็นคนที่มีหัวการค้าตั้งแต่เล็ก และเขาเชื่อเสมอว่า คนจะรวยได้ต้องทำการค้าเท่านั้น นั่นทำให้เขามุ่งมั่นกับการทำการค้ามาตั้งแต่เด็ก

ถึงแม้"บิล เกตส์"เจ้าของบริษัท ไมโครซอฟท์จะไม่ได้โตมาจากครอบครัวยากจน เพราะพ่อของเขาเป็นทนายและแม่เป็นอาจารย์ แต่เขาก็มีหัวการค้ามาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน ช่วงที่เรียนอยู่เขากับเพื่อนสนิทคิดหาช่องทางหาเงิน โดยรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำเงินให้เขาไม่ใช่น้อยเลยสำหรับเด็กในวัย 10 กว่าปี

หรือแม้กระทั่ง "วอร์เรน บัฟเฟตต์" เป็นคนที่ขยันหาเงินมาตั้งแต่เด็ก กว่าจะมาร่ำรวยระดับโลกแบบนี้ได้ บัฟเฟตต์ก็เคยเป็นคนที่รู้จักทำมาหากินมาตั้งแต่เด็ก เขาก็เคยหารายได้จากการขายของตามบ้านและเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์มาก่อน

O คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อชนะเท่านั้น


คนจนมักคิดแค่ว่าเล่นเกมการเงินหรือลงทุนก็ตามเพื่อไม่ให้แพ้ ตรงกันข้ามกับพวกคนรวยที่เมื่อเล่นเกมการเงินหรือลงทุน พวกเขามุ่งมั่นว่าต้องชนะเท่านั้น บิล เกตส์เป็นตัวอย่างของคนประเภทนี้ได้ดีที่สุด วิธีคิดของเขาคือ จะทำอะไรต้องชนะเท่านั้น นั่นเพราะในครอบครัวของเขาสอนให้มีนิสัยรักการแข่งขันมาตั้งแต่เด็ก

O คนรวยคิดการใหญ่ไม่มองเล็ก

ธรรมชาติของคนรวยมักจะคิดการใหญ่ แต่ถ้าเป็นคนจนจะคิดการเล็ก คนรวยไม่ได้คิดแค่เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆข้างทาง แต่พวกเขาคิดเลยเถิดไปถึงร้านอาหารใหญ่ๆที่อาจจะขายแฟรนไชส์ได้ในอนาคต หรืออาจจะโกอินเตอร์ไปเปิดในต่างประเทศ

ดูอย่างบิล เกตส์เป็นกรณีศึกษา ก็จะพบว่า เขาเป็นคนที่คิดการใหญ่มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น สมัยที่คอมพิวเตอร์ยังไม่ใช่ของใช้ประจำบ้าน คนมีวิสัยทัศน์อย่างบิล เกตส์กลับมองออกว่า คอมพิวเตอร์จะกลายมาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน เมื่ออ่านเกมขาด เขาจึงตัดสินใจที่จะทุ่มเทเข้ามาทำธุรกิจที่เกี่ยวพันกับคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งประสบความสำเร็จอย่างที่หลายคนไม่คาดคิด

O คนรวยมองหาโอกาสไม่สนใจอุปสรรค

คนจนมัวแต่โฟกัสไปที่อุปสรรคและจมดิ่งอยู่กับปัญหา แต่คนรวยแม้จะถูกรุมเร้าด้วยอุปสรรคและปัญหา แต่พวกเขาจะมักจะมองหาโอกาสโดยไม่สนใจกับอุปสรรค พูดให้ชัดขึ้นคือ คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก แต่คนจนมักจะมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งกว่านั้นคือคนรวยมักจะเป็นพวกตื่นตัวและความกลัวหยุดพวกเขาไม่ได้

O คนรวยชื่นชมผู้ประสบความสำเร็จ

ลองสังเกตดูให้ดีจะพบว่า คนรวยมักจะชื่นชมคนรวยและยินดีกับผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่คนจนเวลาเห็นคนรวยกว่าหรือเห็นคนอื่นได้ดีกว่ามักไม่ค่อยพอใจ

เมื่อบุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 2 คน อย่างบิล เกตส์ กับบัฟเฟตต์พบกันเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เขาต่างชื่นชมซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้พูดคุยกับบัฟเฟตต์เพียงไม่กี่ชั่วโมง บิล เกตส์กลายเป็นคนที่ศรัทธาในตัวบัฟเฟตต์อย่างมาก ฝ่ายบัฟเฟตต์เองก็นับถืออย่างบิล เกตส์เช่นกัน

O คนรวยสมาคมกับคนประสบความสำเร็จ&คิดบวก

โดยมากพวกคนรวยจะคบค้าสมาคมกับคนที่ประสบความสำเร็จ หรือคนที่คิดบวก เพราะบางทีในอนาคตอาจจะคิดหาทางเพื่อเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันในอนาคต ฝ่ายคนจนมักจะสมาคมกับคนคิดลบและคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เช่น กรณีของเจริญ เขาเป็นคนที่มีสายสัมพันธ์อย่างดีกับผู้คนในแวดวงการค้า การลงทุนในธุรกิจต่างๆ รวมไปถึง ข้าราชการ ไปจนถึงแวดวงนักการเมือง

O คนรวยเลือกทำเงินโดยไม่รอเวลา

อาจจะเป็นเพราะคนรวยมักจะคิดแล้วทำเลย ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่รอเวลา เมื่อจังหวะมีโอกาสมา พวกเขาก็จะลงมือทำงานทำเงินทันที ตรงกันข้ามกับคนจนที่มักจะรอเวลา และผัดวันประกันพรุ่งกับทุกเรื่อง ตัวอย่างของเจริญค่อนข้างชัดเจน เขาเป็นคนที่มีความคิดแตกฉานในเรื่องการทำธุรกิจ เมื่อจะลงมือทำอะไรเขาจะคิดก่อน เมื่อคิดอย่างถ่องแท้แล้ว เขาก็จะลงมือทำ เรียกว่าเป็นคนที่ตัดสินใจเร็ว ในการทำธุรกิจ

O คนรวยคิดแบบควบคู่ไม่ใช่แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง

ตัวอย่างของคนรวยหลายคน มักจะมีระบบคิดที่ไม่ใช่คิดแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่พวกเขาจะคิดควบคู่หลายเรื่องในเวลาเดียวกัน แต่ถ้าเป็นคนจนมักจะคิดวนอยู่เรื่องเดียว

ถ้ามองในแง่ของการทำธุรกิจ ก็จะเห็นได้ว่า เศรษฐีหลายคน อาจจะเริ่มต้นจากธุรกิจแขนงใดแขนงหนึ่ง แต่เมื่อเริ่มตั้งตัวได้ พวกเขาก็จะแตกไลน์ทำธุรกิจหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน

เช่นกรณีของเฉลียว ที่เมื่อพูดถึงชื่อเขา แน่นอนทุกคนคงนึกถึงกระทิงแดง แต่ทุกวันนี้เฉลียวไม่ได้ขายกระทิงแดงอย่างเดียว แต่แตกไลน์ขยายธุรกิจออกไปอย่างกว้างไกล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจยา เครื่องดื่ม อาหาร สนามกอล์ฟ ธุรกิจพัฒนาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์

O คนรวยเน้นหาความมั่งคั่งอื่นไม่ใช่แค่รายได้ประจำ

ข้อนี้อาจจะต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว อย่างที่บอกว่าคนรวยไม่ได้หวังแค่รายได้จากเงินเดือนประจำ แต่พวกเขาจะมองหาอย่างอื่นที่มาเติมความมั่งคั่งให้ตัวเองด้วย แต่คนจนหวังแค่รายได้ประจำ

O คนรวยบริหารเงินได้ดี-ใช้เงินเป็น

คนรวยมักจะบริหารเงินได้ดี แต่คนจนมักจะบริหารจัดการได้ไม่ดีเท่าไหร่ อย่างเจริญ เขาไม่ใช่คนที่ประหยัดเงินท่าเดียว แต่เขาเป็นคนที่ใช้เงินเป็น และมีระบบการบริหารเงินในบริษัทได้ดี

คำว่าบริหารเงินได้ดี อาจหมายรวมไปถึงการบริหารพอร์ตการลงทุนด้วย เช่นกรณีพอร์ตการลงทุนของบัฟเฟตต์เขาก็บริหารด้วยการกระจายไปในหุ้นหลายกลุ่มหลายตัวที่เขาคิดและมองเห็นแล้วว่าพื้นฐานกิจการดี และสามารถมองเห็นที่มาที่ไปของการสร้างรายได้

ส่วนการใช้เงินเป็นนั้น แม้เศรษฐีพวกนี้จะอยู่ในภาวะร่ำรวยล้นฟ้ากันแล้ว แต่ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่า พวกเขาหามาได้และใช้อย่างพอดี ไม่ได้ฟุ่มเฟือยกับกองเงินกองทองตรงหน้า แถมเศรษฐีแต่ละคน เมื่อรวยมาถึงระดับหนึ่งก็มักจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้ ด้วยการบริจาคเงินช่วยเหลือให้กับสังคมในรูปแบบต่างๆ

O คนรวยมีเงินช่วยทำงานไม่ใช่ทำงานหนักเพื่อเก็บเงิน

คนจนเอาแต่คร่ำเคร่งกับการทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเก็บ แต่คนรวยไม่ได้เป็นแบบนั้น เมื่อทำงานหนักได้เงินมา พวกเขาใช้ให้เงินทำงานแทนพวกเขา บัฟเฟตต์เองก็เช่นกัน จริงอยู่เขาเป็นคนที่ขยันทำมาหากิน หมั่นเก็บออมเงิน และเมื่อถึงจุดหนึ่งก็นำเงินมาลงทุนเพื่อให้เงินทำงาน ซึ่งเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะบัฟเฟตต์เริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และนับจากนั้น เขาก็ให้เงินทำงานหนักกว่าเขาหลายเท่า

O คนรวยเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา

คนจนมักจะคิดว่าฉันรู้หมดแล้ว ตรงกันข้ามกับคนรวยที่ขวนขวายหาความรู้ และมีนิสัยชอบเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าใครที่ติดตามหรือแกะรอยความรวยของบัฟเฟตต์ ก็จะพบว่า แม้จะร่ำรวยแล้วแต่เขาก็ยังเป็นคนที่เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง และยังแนะนำให้ทุกคนหมั่นศึกษาหาความรู้ใส่ตัว และฝึกฝนทักษะในเรื่องต่างๆอยู่ตลอด

Oคนรวยแล้วจะยิ่งสมถะและใช้ชีวิตเรียบง่าย

ข้อสังเกตอย่างหนึ่งของบรรดาเศรษฐีคือ ยิ่งรวยมากเท่าไหร่ ยิ่งมั่งคั่งมาก พวกเขายิ่งใช้ชีวิตอย่างสมถะและเรียบง่ายมากกว่าคนที่เพิ่งรวย

ถ้าจะให้เห็นชัดเจนที่สุดคงเป็นเจ้าพ่อกระทิงแดงอย่างเฉลียว อยู่วิทยา ที่แม้ว่าเขาจะร่ำรวยระดับโลกแล้ว แต่ทุกวันนี้เขายังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะเหมือนกับเมื่อตอนเริ่มต้นทำธุรกิจ ธรรมชาติของเขาคือความเรียบง่าย กินอยู่ง่ายๆแบบคนธรรมดาทั่วไป ใช้ข้าวของไม่ต่างจากตอนที่บุกเบิกธุรกิจ

ฝ่ายบัฟเฟตต์นั่นก็พอกัน ถึงจะมีกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างมหาศาลแค่ไหน แต่เขายังคงใช้ชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์เงินเดือนทั่วๆไป เขายังคงใช้รถคันเก่าๆเล็กๆคันเดิมแทนรถสปอร์ตสุดหรู อยู่ในบ้านหลังเก่าแทนที่จะเป็นคฤหาสน์หลังโต เงินทองและทรัพย์สินที่บัฟเฟตต์หามาได้นั้น เขาแทบไม่ได้เอามาปรนเปรอความสุขให้ตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อถึงจุดอิ่มตัวของชีวิต ความสุขของมหาเศรษฐีอย่างเขาคือการนำเงินไปบริจาค

ทั้งหมดที่ว่านี้ คือวิธีคิดและมุมมองของผู้ร่ำรวย คุณเองก็เป็นเศรษฐีได้ ถ้าลองหยิบแง่คิดเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับตัวเอง แค่พัฒนาความฉลาดทางการเงินของตัวเอง และเริ่มต้นคิดให้เหมือนกับตัวเองเป็นเศรษฐีเงินล้าน จะช่วยให้เงินไหลเข้ามาหาคุณได้เอง

โดย กาญจนา หงษ์ทอง

อย.เตือนอีกแล้ว!กาแฟลดอ้วน อย่าหลงคารมโฆษณาโกหกทั้งเพ

ปราบไม่หมดกาแฟลดอ้วน!...ล่าสุด อย. ออกโรงมาเตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง โดยมีผลในการลดน้ำหนัก หรือทำให้หุ่นดี ชี้! กาแฟเป็นเพียงแค่อาหารไม่ใช่ยาลดความอ้วน มิหนำซ้ำหากดื่มมากแทนที่จะผอม กลับยิ่งอ้วนกว่าเดิมจากการเติมน้ำตาล วอนผู้บริโภคหากยังคงพบเห็นหรือฝ่าฝืน ขอให้ผู้บริโภคพิจารณาให้ดีอย่าได้หลงเชื่อเด็ดขาด

นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยถึงกรณีการพบ โฆษณาผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปจำนวนมากอวดอ้างสรรพคุณว่า วันนี้ อย. พบว่ามีการโฆษณาผลิต ภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปจำนวนมากที่อวดอ้างสรรพคุณว่ามีผลในการลดน้ำหนัก เช่น โฆษณาแสดงตัวอย่างบุคคลก่อนและหลังใช้ผลิต ภัณฑ์ว่า ทำให้น้ำหนักลดลงภายในระยะเวลาหนึ่ง หรืออ้างว่าเป็นโปรแกรมเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เช่น เดิมน้ำหนัก 80 กิโลกรัม เมื่อบริโภคผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปนี้แล้ว น้ำหนักจะลดลง 15 กิโลกรัม ภายใน 2 สัปดาห์ หรือการโฆษณาโดยใช้ผู้แสดงแบบเป็นผู้หญิงอ้วน หรือผู้หญิงรูปร่างดี แล้วทำให้เข้าใจผิดว่าผลิตภัณฑ์ของตนมีผลในการลดน้ำหนัก เป็นต้น

ซึ่งการโฆษณาดังกล่าวนั้น ถือเป็นการกล่าวอ้างและโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงเพื่อจูงใจให้ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ ก่อนการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กาแฟ ขอให้ผู้บริโภคอ่านฉลากให้ถี่ถ้วน โดยต้องมีฉลากภาษาไทยแจ้งส่วนผสม ระบุชื่อผู้ผลิตอย่างชัดเจน และมีเลขสารบบอาหารในกรอบเครื่องหมาย อย. ซึ่งแม้ว่าที่ฉลากจะมีการระบุส่วนประกอบว่ามีไฟเบอร์คอลลาเจน แอลคาร์นีทีน หรือโครเมียมก็ตาม

แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาวิจัยทางวิชาการยืนยันว่า สารดังกล่าวมีผลในการลดน้ำหนัก หรือทำให้ผิวสวย หรือเพิ่มความงาม ส่วนเลขสารบบอาหารที่แสดงบนฉลากอาหารเป็นเพียงการประเมินความปลอดภัยเบื้องต้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ สถานที่ผลิต และส่วนประกอบเท่านั้น ไม่ได้รับรองการโฆษณา แต่อย่างใด และ อย. ไม่อนุญาตให้กล่าวอ้างสรรพคุณลดความอ้วน

ในขณะที่หากดื่มมากอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ จากการเติมน้ำตาล ครีม หรือนมในกาแฟ อีกทั้งทำให้หัวใจทำงานหนัก เนื่องจากได้รับกาเฟอีนมากเกินไป โดยเฉพาะในรายที่มีความไวต่อกาเฟอีน และที่ร้ายไปกว่านั้นผู้บริโภคบางรายอาจได้รับอันตรายจากการเจือปนของยาบางชนิดที่ลักลอบใส่ในผลิตภัณฑ์ เช่น ยาไซบูทรามีน จะทำให้เกิดผลข้างเคียง คือ ปวดศีรษะ ปากแห้ง นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วขึ้น เป็นต้น

หาก อย.ตรวจพบการกระทำผิดของอาหารประเภทกาแฟ เช่น ลักลอบผสมยาแผนปัจจุบันจะจัดเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากเป็นการโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือโฆษณาสรรพคุณอันเป็นเท็จหรือหลอกลวงต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการที่กระทำผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติอาหารได้ในเว็บไซต์ http://www.fda.moph. go.th โดยเข้าไปที่หัวข้อ ข่าวผลการดำเนินคดี

อย่างไรก็ตาม อย.มีมาตร การในการเฝ้าระวังการกระทำผิดกฎหมายของผลิตภัณฑ์อาหาร พร้อมทั้งมีมาตรการในการแจ้งเตือนผู้ประกอบการ และอบรมให้ความรู้ เพื่อให้รับทราบและระมัดระวังเรื่องการโฆษณาให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากพบปัญหา อย.จะเชิญผู้ประกอบการมาพบรวมถึงการประชุมชี้แจง และขอความร่วมมือจากเอเจนซี่ สมาคมโฆษณาฯ และสื่อที่ลงโฆษณาด้วย

"ที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์กาแฟที่อ้างผลในการลดน้ำหนักมักจะมีราคาที่สูงมาก ซึ่งทำให้ผู้บริโภคที่ตกเป็นเหยื่อสิ้นเปลืองเงินทองโดยไม่จำเป็น ทั้งนี้ การลดน้ำหนักสามารถทำได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ด้วยการหมั่นออกกำลังกายอย่างเหมาะสมต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาที รับประทานอาหารให้หลากหลายครบทั้ง 5 หมู่ รวมถึงการพักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้แจ่มใส และหากผู้บริโภคพบเห็นการโฆษณาผลิตภัณฑ์กาแฟที่หลอกลวงและโอ้อวดเกินจริง หรือฉลากผลิตภัณฑ์ไม่ชัดเจน ไม่มีภาษาไทย หรือได้รับผลข้างเคียง ขอให้ร้องเรียนมายังสายด่วน อย. โทร.1556 ทันที"

นักขายตรง Twitter ทำเครือข่ายยุคใหม่ต้องไฮเทค

นักขายตรง Twitter ทำเครือข่ายยุคใหม่ต้องไฮเทค

ขายตรงหมดยุคแจกแผ่นปลิว สู่โลกยุคไอที เปลี่ยนวิถีนักขายตรงไทย ชี้ผู้นำหรือแม่ทีมยุคใหม่ต้องไฮเทค พลิกตำราสร้างเครือข่ายผ่านอินเตอร์เน็ต ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ทำง่าย และกระจายเครือข่าย-สินค้าได้เร็ว กว่า แค่ "คลิก" เดียวก็ขยายเครือข่ายได้แล้ว กว่าหลายร้อยหลายพันเท่า ยุคนี้!ใครไม่อินเทรนด์ ถือว่า "หลงยุค" ยันนักขายตรงรุ่นเก่าต้องเร่งปรับตัว หากมัวทำธุรกิจแบบเดิมๆ มีสิทธิ์นักขายตรงเลือดใหม่หัวใจ "Twitter" ไล่บี้ตกกระป๋องแน่

โลกไอที ทุกธุรกิจยุคนี้ต้องก้าวเดินให้ทัน เฉกเช่นเดียวกับธุรกิจเครือข่ายขายตรงที่ต้องเปลี่ยนแปลงวิถีการ ทำธุรกิจ จากวิธีดั้งเดิมสู่การทำธุรกิจขายตรงแนวใหม่ ที่ต้องใช้ไอทีหรืออินเตอร์เน็ตเป็นตัวช่วยในการทำ ตลาด หรือการขยายเครือข่าย...ทำให้ธุรกิจเครือข่ายขายตรง ณ วันนี้ ต้องหมดยุคของการทำธุรกิจด้วยวิธี การเดินแจกใบปลิว ชักชวนคน เข้ามาทำธุรกิจเครือข่าย แล้วหันมาใช้ไอที หรือ อินเตอร์เน็ต เพื่อการชักชวน คนเข้าร่วมธุรกิจขายตรงแทน...เพียงแค่ "คลิก" เดียว ก็ขยายเครือข่ายได้เร็วกว่าและมีจำนวนมากกว่า หลายร้อยหลายพันเท่า แบบว่า ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องเสียเวลา และไม่ต้องเดินทาง ก็ขยายเครือข่ายได้แล้ว

คนรุ่นใหม่ อย่างนักขายตรงคนหนุ่มไฟแรงหลายคนบอกตรงกันว่า ระบบไอที โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ต มีผลต่อการทำตลาด หรือการขยายธุรกิจเครือข่ายได้เป็นอย่างดี ด้วยเพราะอินเตอร์เน็ตเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่นักขายตรงสามารถสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงเป้าหมาย ถือเป็นเวทีแห่งการโฆษณา แนะนำตัว แนะนำแผน และแนะนำสินค้า ก่อนต่อ ยอดเพื่อการชักชวนให้เข้ามาร่วมทำธุรกิจเพียง "คลิก" เดียวก็ได้ผล

"โลกวันนี้ เป็นโลกไอที ที่นักขายตรงทุกคนต้องปรับตัวให้ทัน ถึงแม้ว่าการใช้สื่อโฆษณาผ่านทีวี หนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่การใช้การสื่อสารแบบปากต่อปาก หรือการบอกต่อกันไป จะยังคงใช้ได้ผลดี ในการทำธุรกิจเครือข่าย แต่ช่องทางไอที หรืออินเตอร์เน็ต ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยให้นักขายตรงสามารถสร้างเครือข่ายได้อย่างรวดเร็วขึ้น ง่ายขึ้น มีจำนวนมากขึ้น และประหยัดเวลามากขึ้น ทำให้ช่องทางการใช้อิน เตอร์เน็ต กลายเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่มีความได้เปรียบในการทำโฆษณา ซึ่งนักการตลาด นักธุรกิจหรือนักขายตรงต้องให้ความสำคัญ ต้องเรียนรู้ให้เข้าใจ และต้องก้าวตามให้ทัน ด้วยเพราะปัจจุบันคนทั้งโลกใช้อินเตอร์เน็ตสื่อสารระหว่างกัน และซื้อขายระหว่างกันเป็นจำนวนมาก

ซึ่งนักขายตรงที่มีความรู้ความชำนาญด้านไอที ก็จะมีความได้เปรียบในการขยายเครือข่าย สื่อสารข้อมูล หรือให้ข้อมูลลูกค้า และการรีครูท คนเข้าสู่ธุรกิจ หรือการสปอนเซอร์คนได้ง่ายขึ้น และมีความสะดวกรวดเร็วมากอาจจะเรียกว่า นักขายตรงหรือผู้นำคนใดปรับตัวเข้ากับไอทีก่อน ก็จะได้เปรียบในโลกธุรกิจเครือข่าย และช่องทางการสื่อสาร ก็ถือว่า สำคัญมากในทุกโลกธุรกิจ เพราะว่าสามารถสื่อสารได้เร็วกว่า และตลาดก็รับรู้เร็วกว่า ผิดกับเมื่อก่อนที่ต้องนั่งส่ง SMS กัน แต่ทุกวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว โดยเฉพาะเทรนด์ใหม่ที่มาแรง อย่างทวิตเตอร์ (Twitter) ซึ่งไปได้เร็วมาก และกำลังได้รับความนิยม

ถามว่า การใช้ไอที จะทำให้โอกาสการตัดสินใจของคน ในการเข้ามาทำธุรกิจขายตรงได้มากน้อยแค่ไหน...จริงอยู่!กลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มลูกค้าอาจจะไม่ตัดสินใจทันทีทันใด แต่การสื่อสารด้วยไอที ก็ถือเป็นการจุดประกายหรือจุดประเด็นไปก่อน ถือเป็นการสร้างความน่าสนใจให้กับลูกค้า ส่วนการปิดการขายหรือการชักชวน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องประสาน หรือพูดคุยกันกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะมาทีหลัง หากนักขายตรงรู้เรื่องไอที การสื่อสารก็จะเป็นประโยชน์กับนักขายตรงอย่างมาก ซึ่งนักขายตรงสามารถใช้ไอทีช่วยในการประชาสัมพันธ์ หรือโฆษณา หรือส่งข้อมูลให้กับลูกค้า ซึ่งลูกค้าหรือกลุ่มคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะอยู่ในเมือง หรือต่างจังหวัด ส่วนมากก็ใช้ไอทีเป็นด้วยแล้วทั้งนั้น

เมื่อก่อนนักขายตรงใช้แผ่นปลิวในการสื่อสาร หรือพูดคุย เพื่อการรีครูทคน ซึ่งใบปลิวต้องลงทุนมาก และเสียเวลาในการเดินแจก กว่ากลุ่มเป้าหมายจะรับรู้ได้ ก็มีจำนวนไม่กี่ราย แต่หากใช้อินเตอร์เน็ต การรับรู้มีจำนวนมากขึ้น คลิกเดียว หรือใช้เพียงข้อความเดียว ก็สามารถสร้างกา รับรู้ให้กับคนอีกจำนวนมาก ทั้งประหยัดต้นทุน ประหยัดค่าใช้จ่าย และไม่ต้องเสียเวลา

ที่สำคัญ...นักขายตรงยังไม่จำเป็นต้องมีสต็อกสินค้า เมื่อลูกค้าหรือสมาชิกมีการสั่งซื้อสินค้าเข้ามาแล้ว ก็ค่อยเบิกสินค้าไปให้เขา เหมือนกับเด็กสาว 2 คน ซึ่งปัจจุบันพวกเขามีรายได้รวมต่อเดือนกว่า 7 ล้านบาทเพียงแค่ขายเสื้อผ้าหลากหลาย ซึ่งตลาดเสื้อผ้าถือว่า เป็นตลาดที่ใหญ่มาก โดยการทำโฆษณาผ่านไอทีหรืออินเตอร์เน็ต และมีสินค้าให้เลือกหลายหมื่นชุด โดยไม่ต้องมีสต็อกสินค้า ไม่ต้องมีหน้าร้าน เมื่อลูกค้าสั่งซื้อสินค้าเข้ามา ก็ค่อยไปสั่งย่านประตูน้ำ แล้วก็จัดส่งให้กับลูกค้า คิดราคาขายตรงหรือขายปลีกก็ว่ากันไป ถึงวันนี้ พวกเขาก็สามารถสร้างรายได้ แบบรวยได้โดยไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย

ซึ่งการทำธุรกิจขายตรงก็ไม่แตกต่างกัน สามารถขยายธุรกิจได้ด้วยไอทีนอกจากนี้ การใช้ไอทีเป็นเครื่องมือ ยังไม่ต้องมีทำเลหรือที่ตั้ง เพราะทำเลอยู่หน้าเว็บ แถมไม่ต้องลงทุนสูงพนักงานไม่ต้องจ้าง การเบิกจ่ายก็สามารถทำผ่านอินเตอร์เน็ตได้ เรียกว่า ขั้นตอนทุกอย่างกลายเป็นเรื่องไอทีหมดแล้ว และคนจำนวนมากก็ตัดสินใจซื้อ เพราะคนส่วนใหญ่มักใช้เวลาอยู่กับอินเตอร์เน็ต ด้วยเพราะหลายคนว่างงาน ตกงาน อินเตอร์เน็ตจึงมีบทบาท เพราะไม่รู้จะไปพึ่งพาใคร ทำให้ต้องไปอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ สั่งซื้อสินค้าทางหน้าจอ สั่งของจากอินเตอร์เน็ต รวดเร็วกว่า และถูกใจกว่า ไม่ต้องเสียเวลาไปเดินเลือก ฉะนั้นไอทีจึงเป็นอีกหนึ่งช่องทาง ในการเปิดตลาด ซึ่งกำลังขยายความนิยมอย่างกว้างขวาง

การธุรกิจเครือข่ายขายตรง...นักขายตรงต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อการเปิดตัว ไม่จำเป็นว่า จะรู้จักใครหรือไม่แต่ทำอย่างไรให้เขารู้จักเรา อย่างอินเตอร์เน็ต ก็อาจทำได้ ด้วยการเปิดใน Google เพื่อให้คนคลิกเข้ามาแล้วเจอบริษัท หรือเจอเว็บนักขายตรง หรือหากลูกค้าคิดชื่อบริษัทไม่ออก ก็คลิกไปที่คำที่ต้องการค้นหาก็สามารถค้นพบบริษัทเรา หรือเว็บของเราได้ ซึ่งเขาก็จะเข้ามาดู พอเขาเจอสิ่งที่เขาต้องการ เขาก็อยากศึกษา และจะติดต่อเรากลับมา...ขอให้เชื่อเถอะว่า คน ป่วยบ้างครั้ง เขาไม่อยากบอกใคร หรือไปหาหมอ บางคนค้นหาคำ ตอบในการรักษาโรคโดยอินเตอร์เน็ต เมื่อเข้าอินเตอร์เน็ตแล้ว เขาพบ เขาเห็น เขาสนใจ
การตัดสินใจซื้อสินค้าก็จะตามมา

ไอทีกับธุรกิจขายตรง จึงเป็นของคู่กัน เรียกว่า นักขายตรงเลือดใหม่ หรือคนรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้เขาใช้ไอทีกันทั้งนั้น เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสาร ในการเข้าถึง ในการทำโฆษณา ในการทำ ตลาด และในการขยายเครือข่าย ซึ่งหากผู้นำหรือแม่ทีม หรือนักขายตรงคนใดยังใช้วิธีดั้งเดิมอยู่ บางทีอยากจะถูกคนรุ่นใหม่แซงหน้าไปไกลแล้วก็ได้ ฉะนั้น ต้องปรับตัวและต้องก้าวให้ทันอย่างทวิตเตอร์ (Twitter) ปัจจุบันกระแสความนิยมเพิ่มและแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในประ เทศ และต่างประเทศ ซึ่งกำลังถูกนำมาใช้ในการตลาดออนไลน์ online marketing กันอย่างมากมาย และนั่นเอง ก็เป็นช่องทางที่จะสร้างรายได้ให้กับคนที่เล่นTwitter.com เรียกว่า Twitter ทำให้เกิดสังคมของการตลาดออนไลน์ที่ใหญ่มาก และเปิดโอกาสให้นัก Twitter ทั้งหลายได้นำโฆษณา ไปโพสต์ใน Twitter ของตัวเอง หรืออาจจะเรียกว่า ไม่เคยมีสื่อใดที่ช่วยให้การส่งข้อความตรงถึงคนนับหมื่น นับแสน หรือแม้แต่นับล้านคนพร้อมกันในคลิกเดียว ไม่มีสื่อใดทำได้ง่ายเท่ากับบน Twitter เพียงพิมพ์ข้อความแล้วกดส่ง โดยไม่ต้องลงรูปสร้างอัลบั้ม ไม่ต้องสร้างระบบฐานข้อมูล และไม่ต้องออกแบบเว็บไซต์มารองรับ และที่สำคัญ คือ ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

จากผลสำรวจ พบว่าอัตราการคลิกลิงค์บน Twitter นั้น อยู่ที่ราว 4% สูงกว่า การคลิกลิงค์ของแบนเนอร์โฆษณาทั่วไป ซึ่งเท่ากับ 0.4% ถึงสิบเท่า และสูงที่สุดในบรรดาเว็บ Social Network ทั้งหมด ทำให้นักการตลาด และภาคธุรกิจทั่วโลกต่างจับตามองและรีบลงมาเล่น เพราะดูเหมือนว่า Twitter เกิดมาเป็นเครื่องมือทางการตลาด ยิ่งกว่าเป็นเครื่องมือสื่อสารส่วนบุคคลเสียอีก รวมถึงหลายแบรนด์ในไทยที่ลงมาใช้งาน Twitter กันอย่างจริงจัง ถึงแม้ประมาณการผู้ใช้ Twitter ในไทยจะยังอยู่ที่ราวๆ ไม่กี่แสนคนแต่ก็มีอัตราการเติบโตสูงเด่นถึงเดือนละหลายเท่า และนั่นหมายถึงยอดผู้ใช้ Twitter ในไทย จะถึงหลัก
ล้านได้ไม่ยากภายในปีนี้

ที่สำคัญ ทุกแบรนด์ ทุกธุรกิจ ต้องพูดคุยแบบคนกับคน เพราะหากแบรนด์ไหน บน Twitter ที่พูดแต่เรื่องขายของเป็นประจำ ทำตัวไม่ต่างจากพื้นที่โฆษณา ต่อไปข้อความจากแบรนด์นั้น ก็จะถูกมองข้าม หรือที่สุดคือ ถูกผู้บริโภคเลิกคลิกดู ไม่ต่างกับการกดปิดโฆษณาบน เว็บทั่วไป Twitter จึงเหมาะที่จะใช้เป็นเครื่องมือการตลาดที่เจาะเฉพาะกลุ่ม เนื่องจากผู้บริโภคเลือกได้ว่า เขาจะติดตามแบรนด์นั้นๆ หรือไม่ หากผู้บริโภคสนใจ ก็จะตอบรับกลับมาเอง ไม่ใช่เป็นการหว่าน Marketing Message ออกไปกว้างๆ ซึ่งมีทั้งผู้ที่ไม่สนใจ และไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายด้วย

อย่างไรก็ตาม กระบวนการสร้างแฟนๆ ผู้ติดตามหรือที่เรียกว่า "Follower" นั้น ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง...การตลาดบน Twitter จึงเป็นความสัมพันธ์ระยะยาวหรือตลอดไปแบบ "Foreve rism" และต้องใกล้ชิด tweetข้อความอย่างสม่ำเสมอ ทั้งสองทางแบบ Interactive เป้าหมายต่างๆ ของการใช้ Twitter เพื่อการตลาดนั้นมีหลากหลาย แต่สามารถจัดแบ่งกว้างๆ ได้ 5 ข้อ ดังนี้
1. ใช้บอกว่า กำลังทำอะไรอยู่ เช่น ปล่อยข่าวสินค้ารุ่นใหม่ๆ ก่อนจะออก หรือข่าวเตรียมงานกิจกรรมต่างๆ, 2. ประกาศข่าวต่างๆ โดยอาจจะส่งหัวข้อข่าวพร้อมลิงค์ให้กดไปอ่านได้เต็มๆ อีกทีหนึ่ง,
3. เล่าบรรยา กาศกิจกรรมทางการตลาด หรือการประชุมสัมมนา โดยtweet ประเด็นหรือเล่าเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อให้ผู้ที่ไม่มีโอกาสเข้าร่วมงานได้รู้ด้วยว่ามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นบ้างแบบ Real Time
4. แสดงความคิดเห็น เพื่อให้ดูเป็นมนุษย์ และใกล้ชิดผู้อ่านมากขึ้น ดูเป็นตัวจริงจากแบรนด์จากองค์กรนั้นจริงๆ ไม่ดูเป็นแหล่งรวมข่าวประชาสัม พันธ์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ต้องเป็นความเห็นที่เหมาะสมกับสถานการณ์ และไม่ก่อความขัดแย้งเกินไป และ 5. สื่อสารและสร้างสัมพันธ์โดยตรงกับคนอื่นๆ ด้วย เช่นไป Follow และ Reply คนอื่นๆ ด้วย เพราะแค่เขียนหรือ tweet อย่างเดียว ย่อมดูไม่น่าสนใจ เป็น Feedข่าวทั่วๆ ไป และจะมีเพื่อนมา Follow น้อย หาเพื่อนใหม่ได้ยาก

หลายๆ แบรนด์ในไทย ลองใช้ Twitter มาระยะหนึ่งแล้ว และบุกอย่างจริงจังเต็มที่เมื่อมีกระแสการเมืองช่วยพาคนไทยให้เข้ามาเล่นหลักไม่กี่พันสู่หลายหมื่นคน และยังโตกว่านี้ได้อีกหลายเท่าอย่างรวดเร็ว โดยแต่ละองค์กรก็มีจุดประสงค์หลากหลาย ไม่ว่าการสร้างแบรนด์แบบบริษัท อสังหาริมทรัพย์อย่าง แสนสิริ,การสร้างแบรนด์ผ่านคอนเทนต์บันเทิงอย่าง อคาเดมี่ แฟนเทเชีย ให้มี Engagement ผูกพันบน twitter กับผู้ใช้ได้นานๆ และได้ทุกวันของ Pepsi ใน PepsiAF, การโปรโมทภาพ ยนตร์อย่างมีเทคนิคของบริษัทหนัง GTH ฯลฯ

แต่ละรายใช้เทคนิคเสริมที่หลากหลาย เช่น เกมตอบคำถามชิงรางวัลเพื่อดึงคนเข้าเว็บ การใช้ร่วมกับสื่ออื่นๆ ทั้งเฟซบุ๊ก, ยูทูบ, เว็บไซต์ และกิจกรรมอีเวนท์ภายนอก การกระ ตุ้นให้ผู้อ่านส่งข้อความมาเป็น Content ให้แบรนด์ กับอีกหลากหลายกลยุทธ์อื่นๆ เป็นฐานสำคัญให้ต่อยอดไปสู่กลยุทธ์การตลาดบนTwitter แบบอื่นๆ ได้อีกต่อไปไม่หยุดนิ่ง

ทั้งหมดนี้อาจยังไม่ใช่สูตรสำเร็จแน่นอน เพราะทุกรายยอมรับว่า อยู่ระหว่างทดลอง แต่ก็มีแง่มุมหนึ่งที่น่าสนใจ และเป็นกรณีศึกษาชั้นดีของการตลาดบน Twitter ในไทยได้ ซึ่งนักขายตรงไทยไม่ควรมองข้าม แต่ควรต้องศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้ เพื่อประโยชน์ในการขยายธุรกิจเครือข่าย

แนวคิดในการเลือกบริษัทขายตรง

ในปัจจุบันบริษัทขายตรงเปิดตัวกันมากขึ้นจนนับไม่ถ้วน ทั้งที่เปิดตัวแล้ว ไม่เปิดตัว จดทะเบียนแล้ว ไม่จดทะเบียน ขายตรงต่างชาติ ฯลฯ แล้วเราจะรู้เหรอว่าควรเลือกบริษัทไหนดี บริษัทไหนมั่นคง จึงได้เขียนแนวคิดบางอย่างให้ทุกท่านได้พิจารณา ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็อยู่ในดุลยพินิจของท่าน ซึ่งมันค่อนข้างจะแตกต่างกันในแต่ละท่าน เลยเขียนโดยรวมมาให้เป็นแนวคิดเท่านั้น (เพียงบางส่วน)

1. ให้พิจารณาสินค้าเป็นอันดับแรก
ทำไมผมจึงยกให้เป็นอันดับแรก เพราะคนเราต้องใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ส่วนมากแล้วจะเป็นผู้บริโภคเสียมากกว่าที่จะเป็นนักธุรกิจเครือข่าย (ขายตรง) ฉะนั้นบริษัทขายตรงจะอยู่ได้นานแค่ไหนขึ้นอยู่กับคุณภาพสินค้าเป็นหลัก คุณภาพสินค้าต้องดีได้มาตรฐาน และสม่ำเสมอ รวมไปถึงรสชาติ วิธีการรับประทาน (กรณีเป็นอาหาร หรือยา) ฉลากผลิตภัณฑ์ครบถ้วน ชัดเจน ถูกต้องหรือไม่ ราคาสินค้าที่ไม่แพงจนเกินความเป็นจริง ฯลฯ นอกจากนี้ต้องติดตามสินค้าด้วยว่ายังคงคุณภาพสินค้าหรือไม่ อย่างเกิดกรณีขายดีแล้วเร่งผลิต ลดคุณภาพ ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะผู้บริโภคเป็นคนตัดสินใจในการใช้สินค้า นอกจากจะคุณภาพดีแล้วบริษัทขายตรงนั้นต้องเพิ่มกลุ่มสินค้าให้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยคงคุณภาพเป็นหลัก ช่วงแรกอาจจะมีน้อย แต่ถ้าผ่านไปสัก 2-3 ปี ยังเท่าเดิม ก็น่าคิดอยู่ เพราะผู้บริโภคใช่ว่าจะใช้ของเดิมอยู่ทุกเดือน แต่ต้องมีเพียงพอที่จะจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันได้ให้หมุนเวียนใช้กันไปถึงจะไม่ครบทุกอย่างก็ตาม และที่สำคัญอีกอย่างคือศูนย์จำหน่ายสินค้าของบริษัทขายตรงนั้นๆ จะเปิดด้วยบริษัทเอง หรือนักธุรกิจก็ตามแต่ ควรจะมีให้ครอบคลุมเพื่อความสะดวกในการซื้อ หรือมีวิธีการที่ง่ายสำหรับการสั่งซื้อไม่ว่าจะเป็นทางอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์ เป็นต้น ข้อนี้ก็เป็นเครื่องการันตีได้ว่าบริษัทนั้นจะอยู่ไปได้ถึงชั่วลูกชั่วหลานของเราหรือไม่ สำหรับนักธุรกิจที่ทำเป็นอาชีพหลักและมอบมรดกให้ลูกหลานทำต่อไป (เพราะผู้บริโภคคือ อย. ตัวจริง)

2. แผนการตลาด เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง เพราะธุรกิจอยู่ได้ และขยายตัวออกไปสู่ผู้บริโภคขึ้นอยู่กับนักธุรกิจเครือข่าย (ขายตรง) เป็นหลัก ซึ่งเป็นผู้ทำการตลาดให้กับบริษัทขายตรงนั้น กำลังใจสำคัญคือรายได้ที่มาจากการขยายธุรกิจออกไปของนักธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นแผนการตลาดแบบไหนก็ตาม ให้พิจารณาจากความโปร่งใสของบริษัทในการแจ้งและจ่ายรายได้แก่นักธุรกิจ มีหลักฐานที่แน่นอน และตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นทางอินเตอร์เน็ต และทางเอกสารซึ่งควรจะมีให้นักธุรกิจด้วย เพราะนักธุรกิจใช่ว่าจะใช้อินเตอร์เน็ตเป็นกันทุกคน และแผนการตลาดไม่ปรับเปลี่ยนบ่อย จนทำให้นักธุรกิจขาดความเชื่อถือ หมดศรัทธาต่อบริษัท และไม่เอาเปรียบนักธุรกิจเกินไป อย่างเช่น บังคับรักษายอดมากเกินกำลังของนักธุรกิจในตำแหน่งนั้นๆ ซึ่งจะขายหรือจะซื้อใช้เองก็มากเกินไปจนทำให้นักธุรกิจทำการตลาดลำบาก ถ้าเป็นแผนการตลาดที่บังคับรักษายอด ซึ่งเป็นที่มาของนักธุรกิจขายตัดราคากันเพื่อระบายสินค้าออกไป ทำให้มีผลเสียกับบริษัทด้วย (สำหรับนักธุรกิจที่ไม่รักษากฎจรรยาบรรณ/กฎระเบียบของบริษัท) หรืออีกกรณีในเชิงบังคับรายได้จากตำแหน่ง (สำหรับแผนการตลาดที่ไม่ต้องรักษายอด) ถ้าตำแหน่งตกลงไป รายได้จะตกด้วย เงินปันผลต่างๆ ก็จะตกไปด้วย ซึ่งนักธุรกิจต้องทำยอดให้ได้ตามแผนการตลาดนั้น ในตำแหน่งที่เป็นอยู่ ทำให้นักธุรกิจต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์กรที่เราสร้างไว้ว่าจะมากน้อยแค่ไหน จะอยู่หรือจะทำกับเราจริงขนาดไหน (ขึ้นอยู่กับเราเป็นหลักในการใส่ใจสายงานในองค์กรของเรา) ถ้าแบบขาดๆ หายๆ ก็เป็นภาระของเราเอง ในการจะทำยอดให้ได้ตามตำแหน่งนั้นๆ ซึ่งก็เป็นที่มาของการกักตุนสินค้า หรือการกระจายสินค้าในรูปแบบต่างๆ ซึ่งบริษัทยากที่จะตรวจสอบหรือไม่ได้สนใจถึงวิธีการเหล่านั้น ก็ให้คิดจุดนี้ด้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกฎจรรยาบรรณของนักธุรกิจ และกฎระเบียบของบริษัทด้วยเช่นกัน

3. วิสัยทัศน์ และองค์กร ซึ่งต้องเปิดเผยให้นักธุรกิจรับทราบอย่างชัดเจน โปร่งใส เพื่อให้นักธุรกิจมั่นใจในการทำการตลาดให้บริษัทนั้นๆ สิ่งที่ต้องเปิดเผยให้นักธุรกิจทราบ เช่น ผู้บริหาร ผู้ก่อตั้ง นโยบายของบริษัท สำนักงาน แหล่งผลิตสินค้า ประวัติความเป็นมา ฯลฯ ซึ่งนักธุรกิจควรจะศึกษาก่อนตัดสินใจทำเป็นธุรกิจจริง วิธีการที่ง่ายที่สุด ก็คือ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อสำนักงาน หรือสำนักงานสาขา ซึ่งนักธุรกิจบางท่านก็ไม่ได้ใส่ใจ ควรจะโทรตรวจสอบให้แน่นอนก่อน แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับนักธุรกิจที่จะทำเป็นอาชีพหลัก ถ้าให้ชัดเจนไปเลย ก็ตามสื่อต่างๆ ที่บริษัทกระจายออกไป เช่น คู่มือต่างๆ สำหรับนักธุรกิจ ซีดี ดีวีดี อินเตอร์เน็ต หนังสือพิมพ์ ทีวี เป็นต้น ว่ามีหรือไม่ สม่ำเสมอไหม (เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ แล้วไม่ประชาสัมพันธ์ต่อ ไม่ต่อเนื่องกัน ในกรณีที่เป็นบริษัทใหม่ ก็ให้ติดตามด้วย) ป้องกันกรณีที่บริษัทเปิดตัวแล้วปิดตัว ย้ายสำนักงาน เปลี่ยนชื่อบริษัท หรือหายไปเลย ก็ให้คิดตรงนี้ไว้ด้วยว่าจะทำอย่างไร ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการทำการตลาดของเราให้ง่ายขึ้น ถ้าไม่มีเลย ก็ให้คิดเลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จะอยู่ถึงลูกถึงหลานไหม สำหรับท่านที่จะยกมรดกให้ลูกหลานทำต่อไป

ทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมา ก็จะเป็นหลักในการสร้างแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์สินค้า หรือแบรนด์บริษัท ให้คนรู้จักกันทั่วไป ไม่ว่าจะสร้างแบรนด์โดยนักธุรกิจ โฆษณาต่างๆ เป็นต้น ก็แล้วแต่นโยบายของบริษัทขายตรงนั้นๆ ซึ่งสำคัญมาก และต้องทำต่อเนื่องด้วย

4. การต่ออายุสมาชิก หรือการต่ออายุนักธุรกิจ บางท่านอาจคิดว่าไม่จำเป็น แต่ให้คิดว่าในอนาคตอีก 20 ปี หรือ 30 ปี ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรถ้าไม่มีการต่ออายุ การต่ออายุเพื่อให้นักธุรกิจได้ตัดสินใจว่าจะทำต่อหรือไม่ หรืออาจจะสมัครใหม่ก็ได้ในกรณีที่ลืมต่ออายุและ/หรือไม่ได้ทำจริงจัง ก็สามารถมาเริ่มต้นใหม่ได้ เหตุผลที่ต้องให้มีการต่ออายุเพื่อให้บริษัทได้ตัดคนที่ไม่ทำหรือไม่ได้ใช้สินค้าออก และเพื่อความแน่ใจว่าเขายังทำกับบริษัทอยู่ นอกจากการต่ออายุแล้ว บริษัทขายตรงนั้นควรจะมีบัตรสมาชิก/นักธุรกิจให้ด้วย เพื่อใช้ในการทำตลาด ให้คนที่เราจะไปสปอนเซอร์ได้เห็นและเชื่อว่าเราทำอยู่จริง และการต่ออายุที่สำคัญอีกอย่างคือ บริษัทได้นำเงินไปทำวารสาร เอกสารต่างๆ แจ้งความเคลื่อนไหวให้นักธุรกิจทราบ หรือใช้ในการซื้อสินค้า ทั้งนี้บริษัทควรจะมีการแจ้งให้นักธุรกิจทราบว่าจะหมดอายุแล้ว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งที่บริษัทสะดวก เช่น ทางอินเตอร์เน็ต ใบแจ้งรายได้ในเดือนนั้นๆ เป็นต้น และควรจะยืดเวลาในการต่ออายุไปสักระยะอาจจะสัก 3 เดือน แล้วแต่ความเหมาะสม

5. การอบรมให้ความรู้แก่นักธุรกิจ เป็นสิ่งจำเป็นมากอย่างหนึ่ง เพราะบริษัทขายตรงไม่ได้โฆษณาสินค้า และสรรพคุณต่างๆ รวมทั้งแผนการตลาดให้ทุกคนทราบ เพราะเป็นการทำตลาดโดยนักธุรกิจ ฉะนั้นบริษัทขายตรงควรมีหลักสูตรในการฝึกอบรมนักธุรกิจพอเหมาะแก่จำนวนนักธุรกิจที่มีอยู่ทั่วประเทศ

6. รางวัลสำหรับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นรางวัลที่ให้กำลังใจแก่นักธุรกิจในการทำการตลาดต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว โบนัสประจำตำแหน่ง ประกาศเกียรติคุณ เป็นต้น ซึ่งนักธุรกิจจะได้นำความสำเร็จของตนไปถ่ายทอด บอกกล่าว ให้ผู้อื่นรับทราบ และได้ปฏิบัติตาม หรือใช้ในการสปอนเซอร์ผู้อื่นๆ ถึงความสำเร็จที่ตนได้รับ

7. ระเบียบ กฎข้อบังคับของบริษัท กฎจรรยาบรรณของนักธุรกิจที่บริษัทกำหนด สิ่งนี้เราได้นำพิจารณาว่าเหมาะสมกับตัวเราหรือไม่ เช่น เราใช้อินเตอร์เน็ตเป็นประจำ แต่กฎข้อบังคับห้ามทำการตลาดทางอินเตอร์เน็ต เป็นต้น ข้อนี้เราต้องพิจารณาด้วย

ฯลฯ

นี่เป็นความคิดเห็นแค่บางส่วน รายละเอียดอาจจะน้อยไปหรือมากไปในการเลือกบริษัทขายตรง แล้วแต่ละบุคคลที่จะนำไปคิดพิจารณาเอง (เลือกเอาเงินหรือความมั่นคง ?) แต่จะหาบริษัทที่สมบูรณ์แบบทุกอย่างคงจะยากตามที่เราปรารถนา

แนวคิดอื่นๆ ซึ่งอาจจะเป็นข้อดี แต่ให้ลองคิดดูดีๆ

1. ลงทุนครั้งเดียวจบ ไม่ต้องลงทุนเพิ่มอีก ซึ่งนักธุรกิจส่วนใหญ่จะชอบ เพราะคิดว่าลงทุนครั้งเดียว แล้วไม่ต้องลงทุนอีก จริงๆ แล้วการทำการตลาดนั้น ส่วนมากแล้วจะต้องนำสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ไปเสนอแก่ผู้อื่นในเบื้องต้น เพื่อเป็นการตัดสินใจในการที่จะเลือกซื้อใช้ หรือสมัครเป็นสมาชิก/นักธุรกิจ แต่ถ้าไม่มีสินค้าไปนำเสนอก็ยากที่เขาจะเชื่อถือในตัวสินค้า ที่สำคัญเราเองนั้นได้ซื้อกิน ซื้อใช้เองหรือเปล่า สามารถที่จะบอกความรู้สึกให้เขาได้รู้ไหมว่าเป็นอย่างไร ซึ่งอย่างที่กล่าวมาผู้บริโภคมากกว่านักธุรกิจ ฉะนั้นคงเป็นสิ่งที่ยากสำหรับการทำการตลาดโดยไม่ได้ซื้อกินซื้อใช้เอง หรือนำสินค้า/ผลิตภัณฑ์ไปแนะนำ ความจริงแล้วการซื้อกินซื้อใช้ก็ไม่ถือว่าเป็นการลงทุนหรอก เพราะเป็นของที่เราต้องใช้ในชีวิตประจำวัน หรือกรณีเจ็บป่วย เป็นต้น

2. สายงานโตข้างเดียว หรือมีแผนการตลาดที่ไม่ต้องรักษายอดแล้วมีรายได้ ซึ่งนักธุรกิจส่วนใหญ่จะชอบ เพราะคิดว่าจะหวังเอาแต่ผลประโยชน์อย่างเดียวคือรายได้ที่เข้ามา ความเป็นจริงแล้วถ้าคิดอย่างนี้กันส่วนใหญ่ในสายงาน หวังให้คนอื่นทำ ก็ยากที่จะมีรายได้กลับมา ถ้าได้ก็ได้น้อย เพราะแผนการตลาดส่วนมากแล้วจะยุติธรรมใครทำใครได้ ถ้าคิดจะไปหวังกอบโกยอย่างเดียว คงเป็นไปไม่ได้หรอก ส่วนมากจะสมัครทิ้งไว้แล้วไม่ทำกัน ซึ่งในที่สุดก็จะไม่มีรายได้กลับมาเลย อาจจะได้ในช่วงต้นๆ เท่านั้นเอง หรืออาจไม่ได้เลย

3. ใช้ชื่อคนอื่นทำธุรกิจแทน อาจทำหลายบริษัท หรือทำในบริษัทเดียวกันเพื่อเพิ่มรหัสในการรับรายได้ ซึ่งในกรณีทำหลายบริษัทนั้นคงจะยากที่จะสำเร็จ หรือการเพิ่มรหัสในบริษัทเดียวกันซึ่งอาจจะมาเพิ่มในภายหลังเพื่อรับผลประโยชน์ ซึ่งข้อนี้ก็มีนักธุรกิจทำกันอยู่มากพอสมควร จงคิดไว้ว่าในอนาคตถ้าเขารู้ ซึ่งอาจจะเป็นคนที่รู้จัก หรือไม่รู้จักก็ตามแต่ เขาจะยอมหรือ ถ้าเกิดมีรายได้หลักแสนขึ้นมา ก็ลองคิดดูแล้วกัน ยกเว้นจะทำให้เลยโดยที่ให้รายได้เขาด้วย ซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้มีพระคุณต่อผู้สมัครก็แล้วแต่นักธุรกิจผู้นั้นจะยินยอม

4. การทำธุรกิจโดยใช้อินเตอร์เน็ต หรือใช้สี่อโฆษณาเป็นหลัก สำหรับนักธุรกิจบางท่านจะชอบ เพราะคิดว่าได้ผล แต่ความเป็นจริงแล้วได้ผลน้อยมาก ถ้าจะใช้สื่อเหล่านี้ต้องกระจายสื่อให้มากที่สุด เช่น ทางอินเตอร์เน็ต ก็ต้องมีเว็บไซด์ของตนเอง และต้องลงทุนไปซื้อพื้นที่โฆษณาตามเว็บไซด์ต่างๆ ที่คนนิยมเข้ามาใช้บริการกัน เป็นต้น ก็ต้องลงทุนมากพอสมควรจึงจะได้ผล นอกจากจะใช้สื่อเหล่านี้แล้ว นักธุรกิจต้องมีความรู้ในเรื่องผลิตภัณฑ์/สินค้าและแผนการตลาดเป็นอย่างดี ในการอธิบายกับบุคคลอื่นๆ ที่ไม่รู้จักให้เชื่อถือในสินค้าและแผนการตลาด (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎระเบียบของบริษัทขายตรงนั้นด้วย) แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะโชว์รายได้เป็นหลักในการดึงผู้สนใจเข้าร่วมธุรกิจ

5. มีคนทำธุรกิจให้ เพียงแค่นำเงินมาลงทุนทำธุรกิจเท่านั้น นี่ก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้ที่จะมาสมัครด้วยกับเรา แต่ลองคิดดูให้ดีว่า คนที่จะมาช่วยเราเป็นอะไรกับเรา และเขาจะช่วยเราตลอดไปเหรอ ส่วนมากแล้วนักธุรกิจจะใช้ในการหาผู้ร่วมธุรกิจแค่นั้นเอง (ซึ่งผิดกฎจรรยาบรรณ) อาจจะช่วยในช่วงแรกและอาจจะมีรายได้ในช่วงแรกเท่านั้น เพราะการทำธุรกิจนั้น ผู้ที่สปอนเซอร์เราไม่ใช่ว่าจะมีเราที่ต้องรับผิดชอบเพียงคนเดียว ยกเว้นเราจะทำธุรกิจด้วยก็จะเป็นสิ่งที่ดี เพราะธุรกิจเครือข่าย (ขายตรง) จะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ตัวเราเองเป็นหลัก

6. เลือกผู้นำที่มีบารมี หรือมีศักยภาพในการนำท่านไปสู่ความสำเร็จจำเป็นไหม นี่ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะจะได้ช่วยเราในการสร้างสายงาน แต่ในเรื่องรายได้นั้นมันขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เพราะธุรกิจเครือข่าย (ขายตรง) จะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ตัวเราเป็นหลัก ผู้นำนั้นอาจจะช่วยในช่วงแรกเท่านั้น แต่ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีประโยชน์ที่เขาจะช่วยเราต่อไป เพราะแผนการตลาดส่วนใหญ่จะให้กับคนที่ทำเท่านั้น ถึงจะมีผู้นำที่ดี ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีประโยชน์ จริงๆ แล้วเราจะเริ่มทำกับใครก็ได้ที่อยู่ในบริษัทขายตรงนั้น ถ้าเราตั้งใจจริง ทำจริง เราก็สามารถสำเร็จได้ด้วยตัวเอง

ฯลฯ

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นแค่แนวคิดบางส่วนเท่านั้นเพื่อไว้พิจารณาในการเลือกบริษัทขายตรง หรือทำอาชีพเครือข่ายเป็นอาชีพหลัก ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของท่านที่จะนำไปคิดพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

ทำกับไม่ทำต่างกันอย่างไร ทำแล้วได้อะไร?

ทำแล้วได้อะไร?
1. สุขภาพที่ดีจากการใช้สินค้าขายตรง
2. ทำธุรกิจแล้วมีโอกาสรวย
3. สามารถแบ่งปันโอกาสให้กับผู้อื่นได้
4. มีอิสรภาพทางด้านการเงิน และเวลา
5. ได้พัฒนาตัวเอง

ไม่ทำแล้วเสียอะไร?
1. ทำงานประจำเหมือนเดิม
- เลือกเจ้านายไม่ได้
- เลือกเพื่อนร่วมงานไม่ได้
- เลือกเวลาทำงานไม่ได้
- เลือกรายได้เองไม่ได้
2. ไม่มีโอกาสรวย
3. วันนี้ถ้าไม่จ่ายน้อย วันหน้าก็ต้องจ่ายมากกว่านี้ ถ้าเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา
4. ตัดสินใจวันนี้หรือวันหน้าจ่ายเท่าเดิม ทำเร็วสำเร็จเร็ว
5. วันนี้ไม่ทำ คนอื่นก็ทำ ทำให้เราเสียโอกาส



ท่านคงจะคิดได้แล้วละว่า ท่านจะทำอย่างไรกับชีวิตของท่าน ผมให้ได้เฉพาะแนวคิดเท่านั้น ความสำเร็จอยู่ที่ตัวท่านต่างหาก “คุณสามารถลิขิตชีวิตได้”

แล้วธุรกิจเครือข่ายมีอะไรบ้าง ต้องทำอย่างไร และรายได้มาจากไหน

แผนธุรกิจขายตรงนั้นมีหลายแผนการตลาดแล้วแต่บริษัทขายตรงนั้นๆ จะเลือกแบบใดมาใช้ ขึ้นอยู่ความพร้อมและความต้องการของตลาดผู้บริโภค มาดูแผนการตลาดที่ได้รับความนิยมสูงสุดในอเมริกา ได้แก่
1. แผนการตลาดแบบไบนารี่ ความนิยม 58% ซึ่งปัจจุบันนี้ในประเทศไทย หลายบริษัทก็ได้นำระบบนี้เข้ามาใช้ในการทำตลาดหลายบริษัทเหมือนกัน
2. แผนการตลาดแบบยูนิลีเลเวล ความนิยม 18%
3. แผนการตลาดแบบแมทริก ความนิยม 10%
4. แผนการตลาดแบบไฮเบิร์ด ความนิยม 8%
5. แผนการตลาดแบบสแตร์ สเต็ป ความนิยม 6% ซึ่งแผนการตลาดแบบนี้ คนไทยจะรู้จักโดยส่วนมาก และประสบความสำเร็จหลายบริษัทที่รู้จักกัน
6. แผนการตลาดแบบปาร์ตี้แพลน ความนิยม 1%
ที่มาของข้อมูลจาก MLM Survey.com และหนังสือพิมพ์ตลาดวิเคราะห์ได้ตีพิมพ์ลงในหนังสือเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2546 เพื่อให้คนไทยได้รับทราบเกี่ยวกับแผนการตลาดที่มีอยู่
ซึ่งในประเทศไทย ณ ปัจจุบันมีการนำแผนการตลาดแบบไบนารี่ ยูนิลีเวล และสแตร์ สเต็ป เข้ามาใช้ แต่คนไทยยังไม่เข้าใจถึงระบบการตลาดที่แท้จริง



เรามารู้ก่อนว่า “ธุรกิจเครือข่ายเขาทำกันอย่างไร? จึงจะประสบความสำเร็จ”
เป็นเรื่องหนึ่งที่คนส่วนมากจะเข้าใจไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการทำธุรกิจเครือข่าย โดยส่วนใหญ่แล้วจะนึกถึงธุรกิจเครือข่าย คือ “การขายสินค้าเท่านั้น” นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจเท่านั้นเอง ที่จริงแล้วการทำธุรกิจขายตรงนั้นคือ การขยายเครือข่ายผู้บริโภคจากตัวเราเองไปสู่ญาติพี่น้อง เพื่อน คนรู้จัก และคนไม่รู้จักลำดับถัดไป

การขยายเครือข่ายผู้บริโภค คือการแนะนำให้ผู้ที่รู้จัก และไม่รู้จัก ให้มาใช้สินค้าบริษัทขายตรงของตน โดยวิธีการอาจจะนำไปเสนอขายในลำดับแรก และ/หรือการนำเสนอแผนการตลาดและความมั่นคงกับบุคคลเหล่านั้น จนเขาเกิดความประทับใจในสินค้า และ/หรือแผนการตลาด จนในที่สุดก็ได้เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกหรือนักธุรกิจกับเรา หลังจากนั้นบุคคลเหล่านั้นที่เราแนะนำก็จะทำเช่นเดียวกับเรา โดยการไปแนะนำให้กับบุคคลที่รู้จัก และไม่รู้จักต่อไป จนเกิดเป็นเครือข่ายผู้บริโภค
แล้วรายได้หละมาจากไหน

จะขอกล่าวไว้อย่างสั้นๆ ก่อนที่จะยกตัวอย่างแผนการตลาดอย่างละเอียด โดยจะแยกเป็น
แผนการตลาดแบบไบนารี่ จะจ่ายผลตอบแทนให้กับเรา โดยการที่เราไปแนะนำคนเพียง 2 คน เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกและได้ใช้สินค้า ตามแผนการตลาดจะกำหนดให้ผู้สมัครใช้สินค้าถึงระดับหนึ่ง (ตำแหน่งที่จะมีการจ่ายผลตอบแทนเป็นคู่ หรือการแนะนำ 2 คน โดยที่สมัครอยู่ข้างซ้าย และขวาของรหัสเรา) จะมีการจ่ายผลตอบแทนเป็นคู่ (2 คน ซ้าย-ขวา) โดยที่บริษัทอาจจะกำหนดการจ่ายเงินเป็นคู่ๆ ยกตัวอย่างคู่ละ 500 บาท หรือคู่ละ 1000 บาท แล้วแต่แผนการตลาดของบริษัทจะกำหนด นอกจากการจ่ายผลตอบแทนเป็นคู่แล้ว จะมีการจ่ายผลตอบแทนในการซื้อใช้สินค้าซ้ำในรหัสเดิม (หลังจากจ่ายเป็นคู่ไปแล้ว หรือตามแผนการตลาดของบริษัทนั้นจะกำหนด) ซึ่งจะจ่ายรายได้จากส่วนลดรายเดือนของยอดซื้อสินค้ารวมของรหัสที่อยู่ใต้รหัสของเราลงไปทั้งหมด (อาจจะไม่ซื้อซ้ำก็ได้แล้วแต่แผนการตลาดของบริษัทนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ส่วนลด 3% จากยอดซื้อสินค้าในเครือข่ายของเราทั้งหมด ซึ่งการจ่ายส่วนลดรายเดือนจะจ่ายเดือนละครั้ง ส่วนการจ่ายเป็นคู่ (2 คน ซ้าย-ขวา) จะจ่ายเป็นรายวัน หรือรายสัปดาห์ แล้วแต่บริษัทนั้นๆ จะกำหนด

แต่ในปัจจุบันได้มีการนำระบบแมชชิ่งเข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการจ่ายผลตอบแทน ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก บริษัทขายตรงส่วนใหญ่จะนำเอาระบบหลายระบบมารวมกัน เพื่อให้ผลตอบแทนต่อสมาชิกให้มากที่สุด เช่น จับคู่จ่าย+ยูนิลิเวล+แมชชิ่ง เป็นต้น
แผนการตลาดแบบสแตร์ สเต็ป จะจ่ายผลตอบแทนเป็นรายเดือนแล้วแต่บริษัทนั้นๆ จะกำหนด โดยการที่เราไปแนะนำคนมาต่อรหัสเรากี่คนก็ได้แล้วให้ซื้อสินค้าใช้ รายได้จะเกิดจากการรวมยอดของเราและยอดรวมของผู้ใช้สินค้าทั้งหมดที่อยู่ในเครือข่ายของเรา (ใต้รหัสเราลงไปไม่จำกัด) แล้วจะนำมาคิดเป็นส่วนลดรายเดือน โดยจะแบ่งการจ่ายผลตอบแทนเป็นขั้นๆ ไป เช่น 3%, 6%, 9%, 12%...... เป็นต้น ขึ้นอยู่กับการวางแผนการตลาดของบริษัทนั้นๆ

ความมั่นคงและข้อดีของธุรกิจเครือข่าย



1. เป็นเส้นทางลัดสู่ความสำเร็จโดยใช้เวลาน้อยที่สุด ถ้าท่านตั้งใจที่จะทำจริงๆ ก็สามารถที่จะสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น
2. เป็นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนสูงที่สุด โดยลงทุนเพียงไม่กี่ร้อยบาท ก็สามารถที่จะได้รับผลประโยชน์จากการขยายธุรกิจโดยมีรายได้ไม่จำกัด
3. ไม่มีปัญหาการจ้างงาน ไม่ต้องจ่ายเงินเดือนพนักงานเหมือนธุรกิจทั่วไป
4. มีพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือให้คำแนะนำในการสร้างธุรกิจ จากผู้สปอนเซอร์ จาก Center และการประชุมต่างๆ โดยที่เราไม่ต้องเหนื่อยในการอธิบายให้ผู้มุ่งหวังฟังก็สามารถทำได้
5. ขยายธุรกิจได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องสนใจทำเล จะทำที่ประเทศไหนก็ได้ที่มีธุรกิจขายตรงอยู่ ปัจจุบันมีอยู่ทั่ว
6. ไม่ต้องใช้ความรู้ขั้นสูง จบป.6 หรือด๊อกเตอร์ก็สามารถทำธุรกิจได้ โดยเข้ามาเรียนรู้ธุรกิจก่อนแล้วค่อยทำในภายหลัง ซึ่งมีผู้ให้ความรู้อยู่มากทั้งอัพไลน์ และนักธุรกิจขายตรงท่านอื่นๆ รวมทั้งเอกสารทางบริษัทขายตรง และการประชุมต่างๆ ที่จัดขึ้น
7. ไม่ต้องแลกด้วยการเลิกทำงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน จะทำเป็นอาชีพเสริม หรือเป็นพาร์ตทามก็ได้ โดยที่งานปัจจุบันก็สามารถทำได้ ไม่ต้องระบุเวลาทำ ทำตอนไหนก็ได้ที่มีเวลา กี่วันก็ได้
8. เป็นโอกาสในการสร้างธุรกิจของตนเอง เพราะการลงทุนทำธุรกิจอย่างอื่นต้องใช้ต้นทุนสูง และต้องลุ้นว่าจะสำเร็จหรือไม่
9. ธุรกิจสามารถเติบโตต่อไปได้ด้วยตนเอง เราสามารถขยายธุรกิจไปยังเครือข่ายผู้ซื้อ (เป็นสมาชิก) ผู้ขาย (ร้านขายของชำ) และผู้บริโภคทั่วไป ยิ่งหาเครือข่ายมามากก็มีรายได้มาก
10. มีโอกาสที่จะหยุดธุรกิจได้ แต่ยังมีรายได้อยู่ และอาจจะเพิ่มขึ้นจากเครือข่ายของเราที่มีอยู่
11. มีโอกาสในการท่องเที่ยวโลกกว้างกับธุรกิจขายตรงที่ท่านทำอยู่ ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวฟรีสำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย
12. เป็นมรดกตกทอด เมื่อเราเลิกที่จะทำธุรกิจ สามารถที่จะโอนธุรกิจให้กับลูกหรือหลานทำต่อไปได้ โดยที่ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ แต่ทำต่อจากเราไปได้ ซึ่งสามารถที่จะสะสมความสำเร็จได้
13. สามารถที่จะกำหนดรายได้ให้กับตนเอง โดยตั้งเป้าหมายไว้ แล้ววางแผนทำธุรกิจให้ถึงจุดที่เราต้องการ และสามารถที่จะปรับรายได้ใหม่ได้ ให้มากขึ้นตามที่ตัวเราต้องการ
14. ไม่ต้องกักตุนสินค้า หรือมีคลังสินค้าเอง และไม่ต้องจัดการทางด้านการเงิน หรืออื่นๆ บริษัทขายตรงจะเป็นผู้จัดการเองทั้งหมด


ทำไมธุรกิจเครือข่ายจึงให้รายได้กับเราโดยไม่จำกัด ลองมาดูธุรกิจขายตรงกับธุรกิจทั่วไป
ธุรกิจโดยทั่วไปจะมีการลงทุนในส่วนของโรงงาน 40% เมื่อผลิตสินค้าแล้วก็จะจัดส่งให้เอเย่นต์ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่าย ซึ่งส่วนนี้จะคิดราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอีก 20% หลังจากนั้นจะมีผู้จำหน่ายรายย่อยมาจัดซื้อตามร้านดังกล่าวไปจำหน่ายราคาสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นอีก 20% และร้านค้าย่อยจะมาซื้อไปจำหน่าย ราคาสินค้าก็จะเพิ่มอีก 20% กว่าจะมาถึงผู้บริโภคก็เป็นราคาเต็ม ผู้ได้รับประโยชน์จะได้แก่ เอเย่นต์ ค้าส่ง และค้าปลีก แบ่งตามสัดส่วนกันไป สำหรับธุรกิจในลักษณะที่ตัดเอาส่วนเอเย่นต์ ค้าส่ง และค้าปลีกออกไปจะได้แก่ เซเว่น แฟมมิลี่มาร์ท แมคโคร เป็นต้น แต่ธุรกิจลักษณะนี้ต้องลงทุนสูงมาก (หลักล้านบาท) ส่วนธุรกิจขายตรงก็คล้ายกับ เซเว่น พวกนี้ แต่ลงทุนทำธุรกิจไม่กี่ร้อยบาท ซึ่งถือว่าต่ำมากๆ และจะได้รับกำไรในส่วนนี้จากการทำธุรกิจถึง 60% ตามแผนการตลาดที่บริษัทขายตรงได้กำหนดไว้ แล้วแต่ความสามารถและความพยายามของเราเอง ซึ่งธุรกิจนี้ก็เป็นธุรกิจของเรานั่นเอง โดยบริษัทขายตรงจะเป็นผู้จำหน่ายสินค้าให้กับเราโดยตรง เราไม่ต้องมีการสต๊อกสินค้า ไม่ต้องจ้างคนงาน ไม่ต้องจัดการทางด้านการเงิน และอื่นๆ บริษัทขายตรงจะเป็นผู้จัดการให้หมด

รายได้และความฝันของท่านเป็นอย่างไร ?

บุคคลที่จะมีอิสรภาพในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จะต้องมีรายได้ตกประมาณเดือนละ 1-3 แสนบาท ซึ่งสามารถที่จะมีอิสรภาพทางด้านการเงิน ได้แก่ การซื้อรถ บ้าน ของใช้ในชีวิตประจำวัน ท่องเที่ยว เป็นต้น ท่านจะหารายได้จากไหนกันละ นอกจากจะทำธุรกิจส่วนตัวที่ประสบความสำเร็จ หรือเป็นนักธุรกิจเครือข่ายที่ประสบความสำเร็จ แล้วความฝันและรายได้ของท่านเป็นอย่างไรละ มีอิสรภาพในการใช้จ่ายหรือยัง?
ท่านจะหารายได้โดยวิธีใด ?
ลักษณะรายได้ที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป
- รายได้แบบรับครั้งเดียว เช่น ผู้รับเหมา
- รายได้แบบขั้นบันใด เช่น ข้าราชการ
- รายได้แบบถดถอย เช่น นักกีฬา
- รายได้ไม่แน่นอนขึ้นกับสถานการณ์ เช่น ธุรกิจที่ลงทุนทำแบบวัดดวง
- รายได้แบบทวีคูณ เช่น ธุรกิจส่วนตัวที่ประสบความสำเร็จ ธุรกิจเครือข่ายขายตรงที่ประสบความสำเร็จ
แล้วรายได้ของท่านเป็นแบบไหนละ ?


มาดูรายได้ทั่วไปจะมีรายได้ไม่ต่อเนื่อง เช่น พ่อแม่เป็นวิศวกร เมื่อพ่อแม่ตายลูกก็ไม่สามารถรับมรดกที่เป็นวิศวกรได้ก็ต้องมาเริ่มสร้างกันใหม่ สำหรับลูกต่อไปยังหลานก็เหมือนกัน ไม่ใช่เฉพาะวิศวกร อาชีพอื่นๆ ก็เหมือนกัน มรดกที่ได้ส่วนมากจะเป็นทรัพย์สิน แต่ไม่ใช่เป็นรายได้

สำหรับรายได้แบบทวีคูณ เช่น ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ธุรกิจเครือข่ายที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีความพิเศษตรงที่สามารถยกรายได้เป็นมรดกให้กับลูกหลานได้ กล่าวคือ เมื่อพ่อแม่ตาย มรดกก็จะตกทอดไปยังลูกหลาน และรายได้แบบนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้น เมื่อขยายธุรกิจให้เติบโตมากขึ้น

อะไรคือ “จุดหมาย” ปลายทางชีวิตของ “คุณ”
จุดหมายปลายทางของชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่สามารถเปลี่ยนได้ เพราะคุณสามารถลิขิตชีวิตของคุณได้ ไม่มีใครมาลิขิตชีวิตคุณได้ แต่คุณลิขิตเอง ฉะนั้นแล้วส่วนมากทุกคนต้องการที่จะมีเงินเยอะๆ มีอิสระภาพทางด้านเวลาในการใช้ชีวิต ซึ่งใครจะเลือกลิขิตตนเองทางด้านนี้ก็ควรจะทำธุรกิจเครือข่าย ซึ่งผมขอแนะนำให้ทำธุรกิจเครือข่าย

เปรียบเทียบรายได้ทั่วไปกับทำธุรกิจเครือข่าย


แล้วคุณละจะเลือกแบบไหน ?

องค์ประกอบของความสำเร็จ

เจ.พอลเกตตี้ มหาเศรษฐีของอเมริกา กล่าวไว้ถึงองค์ประกอบของความสำเร็จว่าต้องประกอบด้วย
1. เป็นเจ้าของธุรกิจของตนเอง และเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
2. จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้ มีสินค้าหลากหลาย
3. รับประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ 100%
4. ให้บริการลูกค้าเหนือกว่าคู่แข่ง
5. ให้รางวัลเฉพาะคนที่ทำงาน
6. ต้องสร้างความสำเร็จโดยการช่วยเหลือผู้อื่น

การที่จะรวยก็มีอยู่หลายทางด้วยกัน นอกจากที่จะทำธุรกิจเครือข่าย และเป็นเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว ได้แก่ เกิดเป็นลูกคนรวย แต่งงานกับคนรวย ถูกล๊อตเตอรี่หลายงวดติดต่อกัน แล้วคุณละเป็นอย่างไร ?

จากการสำรวจคนอเมริกาจำนวน 100 คน พบว่า 5% เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ส่วน 95% ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งต้องดิ้นรนทำมาหากินเลี้ยงชีพต่อไป แล้วคุณละจะอยู่ในกลุ่ม 5% หรือ 95%?

คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่า
1. ไม่รู้ว่าชีวิตลิขิตได้
2. ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอนาคต
3. เลือกแต่งานที่สบาย งานที่ชอบเท่านั้น
4. ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตนเอง
5. แข่งขันในกฎกติกาที่ไม่มีวันชนะ

เงื่อนไขสู่ความสำเร็จ
1. มีความใฝ่ฝัน มีความเชื่อ และมีความศรัทธา
2. มีความพยายาม ยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง
3. มีความขยัน และกระตือรือร้นตลอดเวลา
4. ทำในสิ่งที่จำเป็น ไม่ทำในสิ่งที่ชอบที่ทำให้เสียรายได้
5. เลียนแบบผู้สำเร็จ และเรียนจากผู้รู้
ท่านจะหารายได้โดยวิธีใด ?

ความฝันของท่านเป็นอย่างไร

คุณเคยฝันถึงสิ่งเหล่านี้บ้างไหม?
เป็นเจ้าของบ้านในฝัน....
ขับรถคันหรูที่อยากได้....
ท่องเที่ยวรอบโลก....
มีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น....
มีอิสรภาพทางการเงิน....
เป็นเจ้านายตัวเอง....
และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทุกวัน..
แน่นอน! เราทุกคนเคยฝันถึงความ สวยงามของชีวิต เคยมีความหวัง เป้าหมาย แรงบันดาลใจ แต่ลอง

มองดูตัวเองในขณะนี้



* เรามีรายได้อย่างที่ควรจะได้รับหรือไม่
* เรามีสิ่งที่เราเคยฝันเคยหวัง แล้วหรือยัง
* 3 ปีที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จอย่างที่เราตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่
* 3 ปีจากนี้ไป เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อีกมากน้อยแค่ไหน
* อีกเมื่อไหร่ เราจะรู้สึกถึงความสำเร็จในชีวิต เราเคยประหลาดใจใช่ไหม ทำไมคนอื่นจึงรายได้ดี ร่ำรวยกันจังบ้านเรือนใหญ่โตอย่างน่าอิจฉา ขับรถหรูหราราคาแพงสุดๆ เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศปีละหลายๆ ครั้ง ช๊อปปิ้งไม่เคยยั้ง ผู้คนเหล่านี้ทำงานอะไร เขามีอะไรที่เราไม่มี โชคหรือเปล่า ถูกกฎหมายหรือเปล่า หรือว่าเขาฉลาดกว่า หรือว่าเขาได้รับมรดก พวกเขามีความสุขไหม เขาต้องทำอะไรบ้าง เพื่อที่จะประสบความสำเร็จแล้วมันคุ้มค่าหรือเปล่า เราตั้งคำถามกับตัวเองต่างๆ นาๆ ใช่ไหม อย่าเพียงแต่เฝ้าฝันถึงชีวิตที่สวยงาม แต่จงสร้างฝันให้เป็นจริง ความจริงมีอยู่ว่า.....

"76% ของบุคคลที่ร่ำรวย เป็นเจ้าของธุรกิจ" สร้างกิจการของตนเองไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งและ ได้รับผลตอบแทนจากธุรกิจระยะยาวอย่างต่อเนื่อง และเขาเรียนรู้เคล็ดลับความสำเร็จบางอย่าง ที่เราไม่เคยรู้ เขาแตกต่างจากคนทำงานประจำ ที่ทุ่มเททำงานสร้าง ความสำเร็จให้ผู้อื่น มุ่งมั่นตื่นเช้าไปทำงาน เป็นลูกจ้างให้ ดีที่สุด ตอนเย็นกลับบ้านพักผ่อน เป้าหมายคือ สิ้นเดือน เงินเดือนออก แล้วพบกับปัญหาเงินเดือนไม่พอค่าใช้จ่าย รายได้ไม่คุ้มค่า หรือคอยกังวลว่าชีวิตมีความมั่นคงหรือไม่ จะต้องออกจากงานเมื่อไหร่ เปลี่ยนงานดีไหม จะได้เงินเดือนเพิ่มอีกเท่าไหร่ หรือไม่ก็ได้แต่คอยถอนหายใจกับความโชคร้าย หรือเบื่อหน่ายกับชีวิตของตนเอง และบอกกับตัวเองว่า ไม่มีเวลาสำหรับการเรียนรู้หรือทำสิ่งที่แตกต่างออกไป

ท่านอยู่ในกลุ่มใดต่อไปนี้

Robert T.Kiyosaki (ผู้เขียนหนังสือพ่อรวยสอนลูก) นักเขียนชื่อดังได้แบ่งเงินออกเป็น 4 ด้านด้วยกัน ซึ่งแต่ละด้านจะแตกต่างกันในเรื่องอิสรภาพทางการเงิน อิสรภาพในเรื่องของเวลา



1. E (Employee) เงินที่ได้มาจากการเป็นลูกจ้าง ซึ่งส่วนนี้จะมีอยู่มากสุด ประมาณ 80% คนในกลุ่มนี้ค่อนข้างจะทำงานหนัก ไม่มีเวลา ไม่มีเงิน ไม่มีอิสรภาพ และอยู่ในกลุ่มที่มีฐานะยากจน แต่ก็เป็นจุดเริ่มของการเลื่อนระดับชั้นไปอยู่อื่น เพราะคนส่วนมากเมื่อจบการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นปริญญาตรี หรืออะไรก็ตามก็ต้องเริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้าง แต่เราเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองได้ ถ้าเลือกงานและอาชีพที่ถูกก็สามารถที่จะมีอิสรภาพทางด้านการเงิน และเวลาได้

2. SE (Self Employ) เงินที่ได้มาจากการเป็นลูกจ้างตนเอง คนกลุ่มนี้ค่อนข้างจะทำงานหนัก ไม่มีเวลา ไม่มีอิสรภาพ แต่มีเงินจับจ่าย ได้แก่ กลุ่มคนที่เปิดกิจการเป็นของตนเอง แต่ต้องทำงานด้วยตนเอง บริหารงานเอง อาจจะมีลูกจ้างแต่ต้องดูแลกิจการอยู่ ซึ่งกลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มที่ยกระดับตัวเองจากลูกจ้าง มาเป็นเจ้านายตนเอง แต่ยังไม่มีอิสรภาพในเรื่องของเวลา ยังต้องพึ่งตัวเองอยู่ แต่เราก็สามารถที่จะยกระดับตนเองไปยังระดับที่สูงกว่าได้ด้วยการพัฒนากิจการของตนเองไปสู่เจ้าของธุรกิจ หรือเลือกอาชีพเสริมอื่นที่จะนำเราไปสู่อิสรภาพทางการเงินและเวลาได้

3. B (Business Owner) เงินที่ได้มาจากการเป็นเจ้าของธุรกิจ คนในกลุ่มนี้ค่อนข้างจะสบาย ไม่ต้องทำงานหนัก มีอิสรภาพทางด้านการเงิน และเวลา อยู่ในกลุ่มที่มีฐานะร่ำรวย ซึ่งตัวเราเองสามารถที่จะเข้ามาอยู่ในกลุ่มนี้ได้ เพราะธุรกิจเครือข่ายก็เป็นธุรกิจหนึ่งที่ถูกแบ่งให้มาอยู่ในกลุ่มนี้ เราสามารถที่จะเข้ามาอยู่ในกลุ่มนี้ได้ด้วยการทำธุรกิจเครือข่ายเป็นอาชีพเสริมในช่วงแรก ถ้าพูดถึงธุรกิจเครือข่ายแล้วจะให้รายได้กับเรา เหมือนกับเจ้าของธุรกิจทั่วไป สำหรับผู้ที่ทำธุรกิจเครือข่ายอย่างจริงจัง ก็สามารถยกระดับตนเองมาอยู่ในกลุ่มนี้ได้ด้วย

4. I (Investor) เงินที่ได้มาจากการเป็นนักลงทุน คนกลุ่มนี้จะมีอิสรภาพทางด้านการเงิน และเวลา อยู่ในกลุ่มที่ร่ำรวย แต่จะเป็นนักลงทุนได้นั้นต้องมีเงินทุนเยอะเป็นหลักหลายล้านบาท ซึ่งเราเองถ้าเป็นลูกจ้างอยู่ก็ยากที่จะยกระดับมาอยู่ในกลุ่มสังคมนี้
จากกลุ่มที่กล่าวมา เราสามารถที่จะยกระดับตนเองมาอยู่ในกลุ่มที่มีอิสรภาพทางด้านการเงินและเวลาได้ ด้วยการทำงานไปพร้อมๆ กัน เช่น ถ้าเป็นลูกจ้างก็สามารถที่จะเข้ามาทำธุรกิจเครือข่ายได้เป็นอาชีพเสริม เมื่อประสบความสำเร็จแล้ว ค่อยมาทำธุรกิจเครือข่ายเต็มเวลา แล้วเราจะได้รับอิสรภาพทางด้านการเงินและเวลา ทำให้ชีวิตสุขสบายขึ้นได้