วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สร้างเสน่ห์ เพิ่มแรงดึงดูดของบุรุษ 10 ประการ หญิงสาวต้องการ

1) ความมั่นใจในตัวเอง
จริงอยู่ถ้าหน้าตาหล่อเหลา ความมั่นใจในตัว เองย่อมเพิ่มมากเป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่หล่อละ จะมั่นใจกับเขาไม่ได้เชียว หรือ ถ้าคุณเป็นผู้ชาย คุณต้องบอกกับตัวเองเสมอว่า คุณก็ดูดี มีความมั่น ใจในตัวเองสูง ทำได้ทุกอย่างที่คนอื่นทำกัน และต้องพิสูจน์ว่าคุณทำ ได้จริงๆไม่ใช่ดีแต่ปาก พอเอาเข้าจริงกับไม่ได้เรื่อง การสร้างความมั่นใจ ในตัวเองมีหลายอย่าง เช่นหมั่นหาความรู้เสริมพิเศษให้ตัวเอง หัดยิ้มกับ ตัวเองในกระจก ทำอะไรหลายๆอย่างให้สำเร็จได้จริงๆเป็นรูปเป็นร่าง


(2) แรงดึงดูดทางเพศ
ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Sex Appeal ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความหล่อหรอกนะ มีผู้ชายเยอะแยะที่หน้าตาหล่อ แต่ไม่มีแรงดึงดูดที่ว่านี้เลยมีถมไป แรงดึงดูดทางเพศไม่ได้หมายถึงคุณเป็นคนลามก แต่หมายความว่าคุณเป็นคนสง่างาม จนคนรู้สึกว่าหาก อยู่ใกล้คุณคงเร้าร้อนทนไม่ไหว อะไรทำนองเนี่ย หรือที่วัยรุ่นเรียกว่าพวก ไม่หล่อแต่เร้าใจ


(3) ควรมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
คือแม้ว่าคุณจะดูไม่ดีตราบที่คุณอยาก มีคู่ควงเป็นหญิงสาวสวยแล้วละก็ คุณต้องสร้างเอกลักษณ์ของคุณมาให้ โดดเด่นจงได้ อาจจะเป็นเรื่องของเสื้อผ้า อาจจะเป็นเรื่องของน้ำหอม หรืออาจเป็นเรื่องของการเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ที่ใครเขา ได้ยินเสียงหัวเราะจะนึกถึงคุณขึ้นมาทันที ทำอย่างไรที่จะยกระดับให้ตัว เองดูมีเอกลักษณะเฉพาะตัว แม้ว่าคุณจะใบหน้าตี๋ก็ตาม เอานาตี๋หล่อก็มีเยอะแยะไป


(4) ต้องมีความเป็นแมน
ความเป็นแมนนี่ดูเหมือนง่าย แต่พอทำจริงๆ มันยากเหลือเกิน ก่อนอื่นความเป็นแมนไม่ได้หมายความว่า คุณต้อง มีขนที่หน้าอกที่ดูเซ็กซี่ ไม่ได้หมายความว่าคุณมีกล้ามเป็นมัดๆ แต่ความ เป็นแมนหมายถึง คุณต้องมีนิสัยเป็นผู้ชาย ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิง ไม่ใช่คนคิดจุกจิก น่าเบื่อ น่ารำคาญ พูดง่ายคือ มีความเป็นผู้นำ อยู่มากในตัวคุณ ความเป็นแมนสร้างได้ไม่ยากนักหรอก เพียงแต่ต้องใช้เวลาและความ อดทนปรับปรุงตัวเองพูดจาเป็นผู้ใหญ่ พยายามสร้างขึ้นมาจากธรรมชาติ ที่อยู่ภายใน ถ้าเปรียบกับนักแสดง ก็เรียกว่าอินเข้าไปในบทละคร ทำนองนั้น


(5) พยายามดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย
ฟังดูเข้าที แต่พอทำ จริงๆก็ยากอีกนั่นแหละ ถ้าไม่พยายามหรือมองแต่ว่ามันมีความยาก เกินกำลังแต่แรกก็เลิกเหอะ ความจริงการทำชีวิตให้เรียบง่ายได้ คุณ จะดูเท่และเก๋มาก คุณสังเกตดูผู้คนรอบๆตัวคุณดูสิ ทุกวันนี้มีกี่ชีวิตที่ เรียบง่ายบ้าง พยายามกินให้ง่าย นอนก็ง่าย แล้วคุณจะดูดีขึ้นทันที ใครด่าหรือนินทาคุณ คุณก็เฉยๆ เสีย


(6) สลัดความเหงาให้เป็น
มีผู้ชายขี้เหงามากมายบนโลก ความเหงา ทำให้จิตใจระส่ำไม่เป็นปกติร้อนรน ลุกลี้ลุกลนบอกไม่ถูก ผู้ชายต้องเข้มแข็งรับได้ทุกสภาพ ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะโน้มนำไปในทางทุกข์หรือสุข ก็ตาม บางคนทุกข์ก็เสียใจ ฟูมฟาย ตีโพยตีพาย พอสุขก็ดีใจ กระโดดโลดเต้นจนเกินเหตุ ทำให้ระงับอารมณ์ไม่อยู่ คนรู้ไส้รู้พุงหมดว่าคุณกำลัง เป็นอะไร มีบุคลิกที่แท้จริงเป็นแบบไหน จะต้องรู้จักการปล่อยวาง แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทีละเปลาะ


(7) เป็นคนรักงาน
ไม่ใช่บ้างาน คือทำงานเป็นระเบียบและมีระบบ ในการวางแผนจัดการงานที่ดี สะสางงานไปทีละชิ้น มีแผนการณ์ล่วงหน้า รวมทั้งสนุกกับการทำงานอย่างแท้จริง ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ หมายความ ว่าคุณต้องแบ่งเวลาเป็น เวลางานเป็นเวลางาน ไม่เล่นหยอกล้อ นอกเวลางานก็อย่าคิดในเรื่องงานอีก


(8) ต้องสร้างชีวิตให้โรแมนติก
ชีวิตที่โรแมนติกไม่ได้หมายความว่า มีแต่ดอกกุหลาบและคำหวานตลอดเวลา เพราะของพวกนี้ถ้ามีให้กัน มากๆ ดูเหมือนกลายเป็นเสแสร้งไปทันที ผู้หญิงมักจะเคลิบเคลิ้ม ปลาบปลื้มกับคำถามที่ผู้ชายแสดงความห่วงใยเสมอ อาการโรแมนติก ไม่ใช่การนั่งอยู่หน้าแสงเทียน ทำตาหวานซึ้งเข้าหากัน แค่นึกถึงเธออย่าง จริงใจ น้ำเสียง แววตา และการกระทำต่างหากที่จะเป็นปัจจัยบอกว่าคุณ เป็นคนโรแมนติกหรือไม่


(9) การสร้างอารมณ์ทางเพศในบางขณะ
จะช่วยให้ผู้หญิงมองคุณเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่ง ซึ่งไม่ได้หมายความว่า คุณต้องไปข่มขืนเธอ หรือขืนใจ หรือลวนลามเธอ อย่าไปทำอย่านั้นเด็ดขาด เพราะหล่อนจะขาด ความนับถือศรัทธาในตัวคุณทันที คุณต้องใช้สายตา วาจา และการแตะ กายเบาๆ โลมเล้าเธอแค่มองก็รู้สึกสะท้าน ไม่ต้องประกบริมฝีปาก แบบเมาท์ทูเมาท์หรอก


(10) คุณต้องสามารถสร้างอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาได้โดยธรรมชาติ
ธรรมชาติผู้หญิงทุกคนจะมีความอ่อนไหวระทวยระทดง่ายกว่าผู้ชาย ด้วยเหตุ แห่งสรีระ หรือ จิตใจก็แล้วแต่ แต่ถ้าคุณอยากมีเสน่ห์มัดหัวใจเจ้าหล่อน ละก็ ต้องจับอารมณ์ของเธอให้อยู่ เพราะอารมณ์ของเธอเปรียบกราฟ ตรีโกณมิติ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสลับขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา คุณ พยายามอ่านใจเธอให้ออก ซึ่งเท่ากับว่าคุณได้กำชัยชนะไว้ในมือแล้ว .....หมายความว่าคุณต้องมีความไวในอารมณ์ร่วมเร็วกว่าเจ้าหล่อน ถ้าจะให้ดีต้องทำเป็นแนบเนียน และไม่ให้เธอรู้ตัวว่าคุณถือไพ่เหนือกว่า

ในช่วงเวลาหนึ่ง เขามีความสุขกันยังไง

คนที่มีความสุข 1 วินาที คือคนที่คิดถึงหน้าคนรัก

คนที่มีความสุข 1 นาที คือคนที่เดินไปเข้าห้องน้ำหรือดื่มกาแฟ

คนที่มีความสุข 1 ชั่วโมง คือคนที่เลิกงานแล้วรีบกลับบ้าน

คนที่มีวามสุข 1 วัน คือคนวันนี้ไม่มาทำงาน

คนที่มีความสุข 1 สัปดาห์ คือคนที่ลาพักร้อน

คนที่มีความสุข 1 เดือน คือคนเพิ่งแต่งงาน(เพราะได้ไปฮันนี่มูน)

คนที่มีความสุขตลอดชีวิต คือคนที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก

ลองคิดดูว่าคุณอยากเป็นคนที่มีความสุขนานแค่ไหน?
ถ้าอยากมีความสุขตลอดชีวิต ก็ให้ทำงานที่ตัวเองรัก

เทคนิคปิ๊งไอเดียความคิดสร้างสรรค์

นอกจากความสวยงาม และรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นที่เป็นอาวุธสำคัญของผู้หญิงเราแล้วนั้น การที่เป็นสาวที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีไอเดียเก๋ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการคิดโปรเจ็คงาน เซอร์ไพรซ์วันเกิดเพื่อนๆ จัดปาร์ตี้สุดคูล ก็สามารถเพิ่มเสน่ห์ให้กับเราได้เป็นอย่างดี วันนี้เรามีเทคนิคสบายๆ ให้สาวๆ กลายเป็นนักคิด นักสร้างสรรค์ กันค่ะ

เทคนิคปิ๊งไอเดียความคิดสร้างสรรค์


• คิด คิด คิด แล้วก็คิด
คิดแล้วไม่ใช่ปล่อยเลยผ่านนะคะ แต่คิดแล้วต้องรู้จักตั้งคำถามกับสิ่งที่เราคิดด้วย เมื่อได้คำตอบแล้วก็ต้องหาเหตุผลที่เป็นไปได้มาสนับสนุนคำตอบนั้นๆ ให้น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นค่ะ

• คิดรอบคอบ รู้รอบด้าน
เพียงหนึ่งคำ ถาม อาจจะมีหลายคำตอบ สิ่งที่เราได้เรียนรู้มาในอดีต อาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายก็ได้นะคะ เพราะฉะนั้นอย่าไปตีกรอบ และเชื่อในแนวความคิดแบบเดิมๆ มากนัก ลองหาทางเลือกอีกทาง เท่านั้นไอเดียก็แล่นฉิวแล้วค่ะ

• ความคิดก็จัดระเบียบได้
การคิด อะไรไปเรื่อยเปื่อย จับโน่นมาชนนี่ จะทำให้เราปวดหัวมากกว่าจะคิดอะไรออกนะคะ ลองลำดับความคิดซะใหม่ให้เป็นระเบียบ ตั้งสมมติฐาน ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม เปรียบเทียบความคิดที่แตกต่าง ทดลองทำ แล้วก็จะได้คำตอบสุดท้ายที่ดีที่สุดเองค่ะ

• ตาดู หูฟัง ปากถาม สมองคิด
การ ใช้สมองคิดอยู่อย่างเดียว อาจจะปิดกั้นไอเดียดีๆ ที่ซ่อนอยู่ก็เป็นได้นะคะ ลองเปิดโลก ค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ ถามผู้รู้ ท่องโลกไซเบอร์ เข้าห้องสมุด แชร์ความคิดกับเพื่อนๆ เท่านี้ก็พร้อมเป็นนักคิดได้เลยค่ะ

• ทำตัวเป็นช่าง
ช่างสังเกต ช่างจดจำ ช่างคิด เปิดใจ เตรียมพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ อัพเดทเทคโนโลยีใหม่ๆ ตามติดรันเวย์แฟชั่น หรือข่าวสารบ้านเมือง เก็บเป็นข้อมูลเอาไว้เผื่อนำมาใช้เป็นประโยชน์ได้ทุกสถานการณ์

• ระดมสมอง ประลองปัญญา
หลากหลายความคิดดีๆ เกิดขึ้นได้ เมื่อได้แชร์ความคิดสร้างสรรค์ซึ่งกันและกัน แถมยังได้เรียนรู้วิธีคิด ความคิดรวบยอดของแต่ละคน เพื่อนำมาเป็นประสบการณ์และนำมาสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ ได้อีกมากมาย

• ความคิดไร้ขีดจำกัด
อย่าหยุดที่จะพัฒนาความรู้ความสามารถของตนเองนะคะ ความคิดดีๆ จะเกิดขึ้นได้ ถ้าเราฝึกคิดอยู่ตลอดเวลา อย่าหยุดค้นหาวิธีการใหม่ๆ อยู่เสมอ เท่านี้ความสำเร็จก็อยู่แค่เอื้อมแล้วล่ะค่ะ

โรคบ้างาน ภัยสำหรับคนทำงานออฟฟิค

ท่ามกลางการแข่งขันของสังคมไทยในยุคปัจจุบันทำให้คนเราต้องทำงานหนักมากขึ้น เพื่อให้มีรายได้ที่พอเพียงสำหรับการเลี้ยงดูครอบครัว โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัวหรือสร้างครอบครัวใหม่บางคนถึงกบต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว เพราะมีความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น บ้าน รถ ฯลฯ และจากการทำงานที่หนักขึ้นอาจกำลังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพกายและใจได้โดยไม่ รู้ตัวจนส่งผลให้บุคคลนั้นมีอาการของ "โรคบ้างาน"

โรคออฟฟิศซินโดรม หรือ โรคบ้างาน ปัจจุบันโรคนี้จะพบมากขึ้นในคนไทยซึ่งแต่เดิมที่จะพบแค่ในผู้ชายญี่ปุ่เท่า นั้นซึ่งเรียกว่าโรค Workaholic หรือโรคติดงาน

คนที่ชอบทำงานหนัก หากได้ยินชื่อโรคนี้อาจจะตื่นตระหนกได้ แต่ความจริงแล้วโรคออฟฟิศซินโดรมหรือบ้างานนี้ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงและน่ากลัวอย่างที่คิด เป็นแค่เพียงภาวะทางจิตอย่างหนึ่งเท่านั้นแต่ถ้าไม่ได้รับการดูแลอาจจะก่อให้เกิดโรคทางร่างกายตามมา

นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โรคออฟฟิศซินโดรมหรือโรคบ้างาน เดิมทีจะพบมากในผู้ชายญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ทุกวันนี้พบในสังคมไทยแล้วและจากการสำรวจประชากรวัยแรงงานหรือวัยทำงานของประเทศไทยพบว่ามีจำนวนถึงร้อยละ 67 ของจำนวนประชากรทั่วประเทศซึ่งจะส่งผลให้โรคนี้มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น และอาจกลายเป็นภัยที่คุกคามสุขภาพได้ หากใช้ชีวิตในวัยทำงานอย่างไม่ระมัดระวัง ซึ่งโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้สามารถพบได้ทั้งชายและหญิง เพราะทุกวันนี้ผู้หญิงไทยออกไปทำงานนอกบ้านกันมากขึ้น เนื่องมาจากสังคมไทยมีการแข่งขันกันสูง การให้ฝ่ายชายไปทำงานนอกบ้านฝ่ายเดียวอาจจะไม่พอรายจ่ายภายในครอบครัว โรคบ้างานจะพบได้มากโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีบุคลิกเป็นคนสมบูรณ์แบบ เจ้าระเบียบ ชอบแข่งขัน มีความทะเยอทะยาน เอาจริงเอาจังในทางจิตวิทยาเกิดจากพฤติกรรมของคนที่ชอบทำงานเยอะและมีความสุขจากการทำงานซึ่งจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของการเสพติดงาน มีจิตใจคิดวนเวียนอยู่กับการทำงาน

"อาการเริ่มต้นที่สังเกตได้จากโรคนี้ได้แก่ ปวดหัว ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดท้ายทอย สายตาพร่ามัว ปวดกล้ามเนื้อตา ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายจนกลายเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจ กระเพาะอาหาร และโรคร้ายแรงอื่นได้ และถ้าสังเกตภาวะอารมณ์ของผู้ที่มีอาการของโรคบ้างานจะกลายเป็นคนที่มองอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด เกี้ยวกราดกับเพื่อนร่วมงาน การพูดคุยไม่เหมือนเดิมจะให้ความสนใจแต่เฉพาะในเรื่องของการทำงานจนกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว

ส่วนสัญญาณเตือนของโรคบ้างานสามารถสังเกตตัวเองและคนใกล้ชิดว่าทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า และคอยสังเกตซึ่งกันและกันอยู่เสมอ เช่น การสังเกตการสื่อสารซึ่งกันและกัน การแสดงออกทางการพูดจา ว่ามีอาการชักสีหน้า อารมณ์ฉุนเฉียวเข้าหากันหรือเปล่าเหล่านี้ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนของโรคบ้างานได้"

"เมื่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในครอบครัวจากการทำงานซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสัญญาณเตือนภัยแล้วในเบื้องต้นต้องตระหนักรู้ด้วยว่าอาจจะต้องมีการปรับเป้าหมายในชีวิตใหม่ วางแผนในชีวิตใหม่ ชะลอความต้องการความอยากได้ไว้ก่อนและที่สำคัญที่สุดก็คือการตระหนักรู้ร่วมกันภายในครอบครัว เพื่อนำไปสู่แนวทางแก้ไขที่ดีสุด"

โรคออฟฟิศซินโดรมหรือโรคบ้างาน สามารถการป้องกันและรักษาได้ด้วยตนเองหากไม่มีการดูแลรักษาอาจจะนำไปสู่การเป็นโรคอื่นที่ร้ายแรงได้....

นพ.วชิระ ยังกล่าวอีกว่า โรคออฟฟิศซินโดรมหรือโรคบ้างานไม่ได้เป็นโรคที่น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ต้องดูแลรักษาหากไม่ตระหนักรู้ดูแลรักษาแล้วจะก่อให้เกิดโรคทางร่างกายตามมา อาทิ เช่น เบาหวาน ความดัน เก๊าท์ ไตวาย อัมพาต ถุงลมโป่งพอง ซึ่งโรคเหล่านี้เกิดจากพฤติกรรมการกินไม่มีเวลาออกกำลังกายเพราะมีภาระหน้าที่ต้องทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะมีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศทั้งหญิงและชาย โดยอาจเกิดขึ้นจากความเจ็บปวดของเส้นประสาท ทำให้ลดความรู้สึกลง หรือระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวอีกด้วย

แนวทางการป้องกันรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมสามารถนี้ทำได้เพียงแค่ "ปรับพฤติกรรมการทำงานเสียใหม่ โดยมีสัดส่วนเวลาการทำงานกับเวลาพักผ่อนให้สมดุลกัน ในเวลาทำงานควรมีการผ่อนคลายพักหาวิธีการผ่อนคลายเช่นหลับตา หายใจลึกสักพัก ระหว่างเวลาทำงาน 1 ชั่วโมง เราควรใช้สมอง 45 นาทีแล้วพัก 10-15 นาที ควรทำอย่างนี้ทุกชั่วโมง การปรับเวลาเหล่านี้ควรเป็นไปตามสัดส่วนที่ธรรมชาติร่างกายต้องการโดยไม่จำเป็นต้องไปปรึกษากับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก็ได้ แต่ถ้ารู้สึกว่าหนักไม่ไหวแล้วจริงก็สามารถโทรขอคำปรึกษาได้ที่ สายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือปรึกษาคลินิกคลายเครียดที่มีอยู่ในหน่วยงานในสังกัดกรมสุขภาพจิตได้ แต่ในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่พบรายงานว่ามีคนทำงานที่เป็นโรคบ้างานถึงขั้นเบรกแตก ควบคุมตัวเองไม่ได้ส่วนใหญ่จะรู้ตัวก่อน" นพ.วชิระ กล่าว

โรคออฟฟิศซินโดรมหรือโรคบ้างานเป็นภาวะทางจิตสามารถป้องกันรักษาโดยลดความเครียดจากการทำงานที่หนักเกินพอดีหากรู้ถึงสาเหตุของโรคที่เกิดจากการทำงาน และปรับปรุงให้เหมาะสม ปัญหาที่เกิดจากการทำงานก็ลดน้อยลงหรือพยายามมองชีวิตว่าไม่มีแต่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว ควรจัดเวลาในแต่ละวันให้มีกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง ให้ความสำคัญในเรื่องครอบครัวและเรื่องทำงานให้ควบคู่และสมดุลกัน และที่สำคัญคือต้องรู้ตัวเองและรู้ถึงสาเหตุของโรคที่เกิดจากการทำงานและ ปรับปรุงให้เหมาะสม ปัญหาที่เกิดจากการทำงานก็ลดน้อยลงซึ่งจะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคออฟฟิศซินโดรมหรือโรคบ้างานได้อย่างแน่นอน

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Getty Images

ช้าไปหรือไม่ถ้าจะเป็นนักขายตอนนี้?

คำตอบคือ ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับอาชีพนักขาย ที่เราจะเริ่มต้น อย่างที่กล่าวไว้ในตอนที่แล้วว่า การเป็นนักซื้อกับการเป็นนักขายมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน

เรียกได้ว่า คุณสมบัติทั้งสองประการนี้มีอยู่ในคนเราทุกคนมักจะแสดงออกจากการเป็นผู้ซื้อมากกว่า เนื่องจากทัศนคติเกี่ยวกับการขายนั้นยังไม่ดี ลองนึกดูเล่นๆ ว่าถ้าทุกคนเป็นนักซื้อหมดไม่มีนักขายเลยอะไรจะเกิดขึ้น

สินค้าต่างๆ คงต้องมาแย่งกันซื้อผู้ผลิตสินค้าหรือโรงงานก็เล่นตัว

ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วคนที่เป็นนักขายก็เป็นผู้ซื้อด้วย และคนที่เป็นนักซื้อก็เป็นนักขายด้วย (แต่ไม่รู้ตัวเท่านั้น)

ทำไมคนจึงชอบซื้อมากกว่าชอบขาย?

คำตอบง่ายๆ ก็คือ ความต้องการที่เกิดจากความจำเป็นต้องใช้สินค้านั้นๆ หรือความต้องการที่เกิดจากความอยาก หรือความต้องการที่เกิดจากการเอาอย่าง หรือความต้องการที่เพิ่มเสริมภาพพจน์ของตนเอง

สิ่งเหล่านี้จะไม่สิ้นสุด ตราบใดที่คนเรายังมีกิเลส หรือความอยากได้อยู่ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

ผมเองอาจเป็นคนล้าสมัยสักหน่อย คือ มีมือถือ ใช้เพื่อการติดต่อสื่อสาร เพื่อรับและส่งข้อมูลจากการใช้ทั้งโทร.ออกและรับสายก็เพียงพอแล้ว หากจะดูทีวีก็จะดูจอใหญ่ที่บ้าน ถ้าจะฟังเพลงก็จะฟังจากเครื่องเสียงที่บ้านจะไพเราะกว่า หรือหากจะถ่ายรูปก็ถ่ายจาก กล้องถ่ายรูปเพราะจะได้รูปที่สวยงามกว่าชัดมากกว่า

ทำไมต้องมาเสียเงินซื้อโทรศัพท์ที่ราคาแพง ก็เพราะว่า ยังไงเสีย คนเรามักจะมีความสุขที่ได้จ่ายเงินหรือซื้อสินค้า แต่ถ้าบอกว่าให้ออกไปขายบ้าง คนมักจะนึกว่ามันฝืนความรู้สึกของเขาเพราะเขาคิดว่าการออกไปขายสินค้านั้น เหมือนกับว่าไปขอความช่วยเหลือจากลูกค้า

หรือบางคนอาจจะคิดว่าการเป็นนักขายนั้น เป็นคนไม่มีเกียรติมักจะถูกคนหรือลูกค้าขับไล่เหมือนหมู เหมือนสุนัข แต่ในความเป็นจริงแล้วการขายเป็นอาชีพหนึ่งที่มีรายได้แบบไม่จำกัดขึ้นอยู่กับความสามารถของเราเอง เพราะเป็นอาชีพที่สุจริตมีสังกัด ไม่เหมือนเมื่อก่อนถ้าย้อนหลังไปสัก 20 ปี

เพราะปัจจุบันการพัฒนาทั้งทางด้านความรู้ ด้านอุปกรณ์ช่วยขาย รวมทั้งสินค้ามีการพัฒนามากยิ่งขึ้น คือ สามารถสาธิตให้เห็นกันเหมือนเล่นมายากล อย่างไงอย่างนั้นแหละ

องค์ประกอบสำคัญ คือ ลูกค้าก็มีการพัฒนาทัศนคติที่ดีขึ้นด้วยเพราะสินค้าบางชนิดจากการขายโดยนักขายมักจะได้รับการบริการที่ดีกว่าการไปเลือกซื้อสินค้าที่ห้างต่างๆ เท่านั้นยังไม่พอถ้าใช้ดีแล้วมีการต่อหรือแนะนำให้เพื่อนใช้ด้วย ยังได้รายได้อีก สุดท้าย เครือข่ายของเราก็เติบโตโดยไม่รู้ตัว อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าถามว่าจะมาเริ่มต้นใหม่ถามว่าจะทันเพื่อนหรือไม่ คำตอบ ก็คือ จะเริ่มเมื่อไหร่ก็สามารถวิ่งทันกันได้ ไม่มีข้อแม้ คนที่มาทีหลังอาจวิ่งแซงได้ ขึ้นอยู่กับความตั้งใจมุ่งมั่น แล้วลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังเท่านั้น

ก็อย่างที่บอกคนซื้อมีมากมาย คนขายมีน้อยนิด เพราะมัวแต่ตั้งหลักอยู่นั่นเอง

10 สินค้ามาแรงสำหรับผู้ประกอบการยุคใหม

การทำธุรกิจวันนี้จะเดินตามแนวแบบเดิมๆ คงไม่ได้ เมื่อโลกเปลี่ยนไป รสนิยมของคนในสังคมก็เปลี่ยนตาม ยิ่งมีปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ปัญหาโลกร้อน ปัจจัยในการซื้อสินค้าก็เลยมีความสลับซับซ้อนกว่าในอดีตค่อนข้างมาก

เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจทำธุรกิจกับคนรุ่นใหม่ เลยมีช่องทางดีๆ สำหรับ 10 สินค้ามาแรงแห่งทศวรรษ นี้มาฝากกัน

1.สินค้าอเนกประสงค์ (All-In-One) คือสินค้าที่มีคุณสมบัติการทำงานที่หลากหลาย เช่น โทรศัพท์มือถือที่สามารถใช้เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา กล้องถ่ายรูปที่มีเครื่องเสียงในตัว ซึ่งราคาอาจจะแพงกว่าสินค้าทั่วไป แต่ด้วยคุณประโยชน์ที่หลากหลายจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่ากับการลงทุน

2.สินค้าที่ให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการประกอบ (Do it Yourself : DIY) เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องประดับที่ประกอบเองได้ โดยผู้บริโภคแต่ละคนสามารถออกแบบหรือเลือกวัสดุมาประกอบได้เองตามใจชอบ ทำให้มีรูปแบบไม่ซ้ำใคร

3.สินค้าย้อนอดีตที่ผสมผสานความทันสมัย (Retro Nova) ท่ามกลางความเจริญเติบโตของไฮเทคโนโลยีทำให้คนหันมาให้ความสำคัญกับอดีต ซึ่งสินค้าดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ด้านความทันสมัยของเทคโนโลยีแต่มีการย้อนภาพแห่งอดีต เช่น นาฬิกาที่มีรูปลักษณ์ย้อนยุคแต่กลไกเป็นไมโครชิปที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียงที่เลียนแบบวิทยุโบราณ แต่มีฟังก์ชั่นการใช้งานครบถ้วน เป็นต้น

4.สินค้าทำด้วยมือ (Handmade) เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันทำให้การผลิตสินค้าแทบไม่มีความแตกต่างกัน แต่สินค้าแฮนเมดสามารถสร้างจุดขายเฉพาะตัวได้มากกว่าสินค้าที่ผลิตครั้งละจำนวนมากๆ

5.สินค้าที่เน้นการออกแบบและบรรจุภัณฑ์ (Design & Packaging) ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งแรกที่ดึงดูดใจผู้บริโภคให้ตัด สินใจซื้อสินค้าคือรูปลักษณ์ภายนอกและบรรจุภัณฑ์ของสินค้า

6.สินค้าที่ปฏิบัติอย่างเป็นธรรม (Fair Trade) เช่นการแสดงให้เห็นว่าวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้านั้นซื้อจากเกษตรกร ในประเทศกำลังพัฒนาด้วยราคาที่เป็นธรรม อาทิ กาแฟ โกโก้ กล้วย น้ำตาล ฝ้าย น้ำผึ้ง ดอกไม้ เป็นต้น ไม่มีการกดขี่แรงงาน ไม่ใช้แรงงานเด็ก และสนับสนุนให้มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีขึ้น

7.สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Product) ผู้บริโภคจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนมากขึ้นในการเลือกซื้อสินค้าที่ใส่ใจ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถย่อยสลายหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ได้รับมาตรฐาน ISO 14000, Carbon Footprint เป็นต้น

8.สินค้าพร้อมรับประทาน (Ready-to-Eat) เนื่องจากผู้บริโภคยุคปัจจุบันต้องการความสะดวกรวดเร็ว มีความหลากหลายและอร่อย ทำให้อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารพร้อมปรุง ได้รับความนิยมอย่างมาก

9.สินค้าเพื่อสุขภาพ (Organic & Funtional Food) ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บและโรคระบาดที่รุนแรงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจกับสุขภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ผลิตโดยไม่ใช้สารเคมี หรือน้ำมันพืชที่ผลิตจากเมล็ดดอกทานตะวัน รวมทั้งตลาดเครื่องดื่มบำรุงร่างกายที่ช่วยควบคุมน้ำหนัก บำรุงสมอง ลดความเครียด ขยายความนิยมอย่างต่อเนื่อง

10.สินค้าที่คำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) ชาวยุโรปเชื่อว่า การดูแลให้สัตว์มีสวัสดิภาพที่ดีจะช่วยส่งผลให้อาหารมีคุณภาพดีตามไปด้วย ตั้งแต่วิธีการเลี้ยงที่ต้อง ไม่แออัด การขนส่งและการฆ่าที่ต้องไม่ให้สัตว์ทรมาน และไม่ให้สัตว์เกิดความตื่นตระหนก รวมถึงการห้ามใช้ยาปฏิชีวนะ บางรายการผสมในอาหารสัตว์ เป็นต้น