วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

โปรโมชั่นเปิดศูนย์ปูแดง รายได้ดี มั่นคง

โปรโมชั่นเปิดศูนย์ปูแดง รายได้ดี มั่นคง คลิกที่นี่

โปว์ชัวร์ปุ๋ยปูแดง (สารปรับปรุงดิน)

โปว์ชัวร์ปุ๋ยปูแดง (สารปรับปรุงดิน)

http://www.thepoodang.com/vcd1/puipoodang/puipoodang.zip

วิธีโปรโมทเว็บคุณให้ดังและได้ผล

เทคนิคและวิธีโปรโมทเวบให้คนรู้จัก วิธีโปรโมทเวบให้ได้ผล
http://www.thtfreeweb.com/promotetechnic.html


วิธีโปรโมทเว็บให้ดัง
http://www.thtfreeweb.com/aticle6.html


การแจ้งชื่อเว็บไชต์ของเราไว้ที่ Search Engine
http://www.thtfreeweb.com/searchengine.html

ไคติน-ไคโตซาน สารมหัศจรรย์จากธรรมชาติ

มหัศจรรย์จากธรรมชาติ
ไคติน-ไคโตซาน สารมหัศจรรย์จากธรรมชาติเมื่อพูดถึงไคติน สิ่งที่คุณผู้อ่านนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ ก็คือความอ้วน และเชื่อว่าคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายที่มีหุ่นตุ้ยนุ้ยจนละม้ายคล้ายโอ่งมังกรหลายๆ คนคงเคยลองใช้ผลิตภัณฑ์ไคติน-ไคโตซานมาแล้ว นอกจากจะช่วยควบคุมน้ำหนักแล้ว ไคตินยังมีสรรพคุณอีกสารพัดสารเพที่เรียกได้ว่าแทบจะบรรยายไม่หมดเลยทีเดียว ทั้งดักจับคราบไขมันและโลหะหนัก เป็นอาหารเสริมสุขภาพ และเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง

ไคตินคืออะไร
ไคตินเป็นพอลิเมอร์ชีวภาพชนิดหนึ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อ เป็นองค์ประกอบในโครงสร้างต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตมากมายหลายชนิด ไคตินเป็นพอลิเมอร์ชีวภาพที่มีมากเป็นอันดับสองของโลก และเนื่องจากไคตินเป็นพอลิเมอร์ที่พบในธรรมชาติ เราจึงมักพบไคตินในรูป สารประกอบเชิงซ้อนที่อยู่รวมกับสารอื่นๆ ไคตินเป็นสารประกอบพวกคาร์โบไฮเดรตเช่นเดียวกับเซลลูโลสและแป้ง รูปร่างของไคตินจะเป็นเส้นสายยาวๆ มีลักษณะคล้ายลูกประคำที่ประกอบขึ้นมาจาก น้ำตาลโมเลกุลเล็กๆ ที่มีชื่อว่า เอ็น-อะซิทิลกลูโคซามีน(N-acetylglucosamine)

ไคติน-ไคโตซาน ดาวรุ่งพุ่งแรง
เมื่อพูดถึงไคติน อีกคำที่มักจะพ่วงมาด้วยคือ ไคโตซาน ไคโตซานคืออนุพันธ์ตัวหนึ่งของไคติน รูปร่างหน้าตาของมันก็จะละม้ายคล้ายกับไคติน ไคโตซานจะได้จากปฏิกิริยาการดึงส่วนที่เรียกว่า หมู่อะซิทิล (acetyl group) ของไคตินออกไป เรียกว่า ปฏิกิริยาดีอะซิทิเลชัน (deacetylation) ทำให้จากเดิมโมเลกุลเดี่ยวของไคตินที่เคยเป็นเอ็น-อะซิทิลกลูโคซามีน ถูกแปลงโฉมใหม่เหลือแค่ กลูโคซามีน (glucosamine) เท่านั้น จากที่เคยเรียกว่าไคตินก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็นไคโตซาน

การหายไปของหมู่อะซิทิล ทำให้ไคโตซานมีส่วนของโมเลกุลที่แอคทีฟ และพร้อมที่จะทำ ปฏิกิริยาอย่างว่องไวอยู่หลายหมู่ หมู่ที่เด่นๆ เลยก็คือ หมู่อะมิโน (-NH2) ตรงคาร์บอนตัวที่ 2 หมู่แอลกอฮอล์ (CH2OH) ตรงคาร์บอนตัวที่ 6 และหมู่แอลกอฮอล์ที่คาร์บอนตัวที่ 3 และเพราะหมู่ที่อยากทำปฏิกิริยานี้เองที่ทำให้ไคโตซานมีโอกาสได้ฉายแววรุ่งโรจน์ในหลายๆ วงการ

ไคติน-ไคโตซานทำงานได้อย่างไร

ไคติน-ไคโตซานจะทำงานเป็นตัวสร้างตะกอนและตัวตกตะกอน ตัวสร้างตะกอนจะกระตุ้นให้เศษของเสียที่แขวนลอยๆ ในน้ำเกิดการรวมกันเป็นกลุ่มก้อน ใหญ่ขึ้นๆ และพอใหญ่มากเกินก็ตกเป็นตะกอนลงมา ส่วนตัวตกตะกอน ก็จะทำงานคล้ายๆ กันคือจะไปจับกับสารแขวนลอยในน้ำแล้วตกตะกอนลงมา โดย-ไคโตซานจะทำหน้าที่ทั้งสองแบบ ซึ่งทำได้ดีเนื่องจากมีหมู่อะมิโนที่สามารถแตกตัวให้ประจุบวกมาก จึงทำให้พวกประจุลบอย่างโปรตีน สีย้อม กรดไขมันอิสระ คอเลสเทอรอล (ในร่างกาย) ต้องเข้ามาเกาะกับประจุบวกของไคโตซาน ส่วนโลหะหนักซึ่งเป็นประจุบวกอยู่แล้ว จะจับกับอิเล็กตรอนจากไนโตรเจนในหมู่อะมิโนของไคโตซานทำให้เกิดพันธะเคมีที่เรียกว่า พันธะเชิงซ้อนขึ้นมา และจากการทดลองพบว่าหมู่อะมิโนในไคโตซานจะสามารถจับกับโลหะหนักในน้ำ ได้ดีกว่าหมู่อะซิทิลของไคติน

ประโยชน์ของไคติน-ไคโตซาน
ไคติน-ไคโตซานเป็นตัวอย่างของการจัดการกับกากของเสียที่ชาญฉลาด ซึ่งตอนนี้ถูกนำไปใช้ ประโยชน์หลายๆ อย่างได้อย่างน่าทึ่งในแทบทุกวงการเลยทีเดียว ทั้งการแพทย์ การเกษตร อุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อม

ในทางการแพทย์
ไคตินสุดไม่ก่อให้เกิดการต่อต้านจากร่างกาย ไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายทั้งยังช่วยส่งเสริมการเจริญของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อคนอีก ไคติน-ไคโตซานก็เลยได้รับความสนใจเป็นอย่างมากที่จะได้รับการพัฒนาไปใช้ในทางการแพทย์อย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ส่งเสริมการเจริญของแบคทีเรียในลำไส้ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ ต่อต้านมะเร็ง ช่วยลดสารพิษและยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียที่เป็นอันตรายอย่างเชื้อซัลโมเนลลา
ใช้ทำผิวหนังเทียมที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานให้กับผู้ถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือพวกประสบอุบัติเหตุที่มีแผลลึกๆ

ในทางการเกษตร
ไคโตซานสามารถก่อตัวเป็นฟิล์มบาง ใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เคลือบผิวเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาผลผลิตทางการเกษตรและเมล็ดพันธุ์ และยังมีการนำเอาอนุพันธ์ของไคตินและไคโตซานไปเป็นสารต่อต้านเชื้อรา ไวรัสและแบคทีเรียบางชนิด ซึ่งมันสามารถทำงานได้อย่างกว้างขวาง เช่น ยับยั้งโรคโคนเน่าจากเชื้อรา โรคแอนแทรกโนส และโรคอื่นๆ

ไคติน-ไคโตซานสามารถใช้เป็นสารเสริมผสมลงในอาหารสัตว์บก เช่น สุกร วัว ควาย เป็ด ไก่ ช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในทางเดินอาหาร ช่วยลดอาการท้องเสียของสัตว์ได้ และลดอัตราการตายของสัตว์วัยอ่อนอันเนื่องมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดในทางเดินอาหาร

ในด้านความสวยความงาม
ไคติน-ไคโตซานสามารถลดความอ้วน ได้ดีสุดยอดอย่างที่เราไม่อยากจะเชื่อ เมื่อไคตินนั้นได้กลายเป็นไคโตซานแล้ว ประจุบวกอันมหาศาลของไคโตซาน จะเป็นที่ดึงดูดใจมากของเหล่ากรดไขมันอิสระ และคอเลสเทอรอลที่มีประจุลบ ดังนั้นเจ้าตัวต้นเหตุของความอ้วน ทั้ง 2 ตัว ก็จะเกาะติดแจกับไคโตซาน และคนไม่สามารถย่อยไคติน-ไคโตซานได้ทั้งหมดจึงถูกขับออกมาพร้อม กับอุจจาระโดยที่มีคอเลสเทอรอลและไขมันส่วนเกินตามออกมาด้วย ไคโตซานมีประจุบวกอย่างล้นเหลือทำให้มันสามารถเกาะกับประจุลบของผิวหนังและเส้นผมได้เป็นอย่างดี จึงถูกนำไปใส่ในเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ธรรม ชาติที่เราคงคุ้นชื่อกันดีว่ากรดแอลฟาไฮดรอกซี หรือ AHA ไงครับ กรดพวกนี้จะกระตุ้นให้ผิวหนังเก่าหลุดลอก เพื่อสร้างผิวใหม่ ทำให้ผิวคุณดูอ่อนเยาว์ขึ้น ส่วนในการบำรุงเส้นผม ไคโตซานจะก่อตัวเป็นฟิล์มเคลือบเส้นผมไว้ ทำให้เส้นผมคงสภาพนุ่มสลวยไม่เสียง่าย

ในด้านสิ่งแวดล้อม
ไคโตซานคือสุดยอดนวัตกรรมที่เกิด มาจากเทคโนโลยีการใช้กากของเสียให้เป็นประโยชน์ เป็นทางออกที่ดีทั้งต่อมนุษย์และต่อสิ่งแวดล้อม ในการจัดการเปลือกกุ้งมากมาย ที่ถูกทิ้งจากอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ บทบาทที่สำคัญทางด้านสิ่งแวดล้อมของไคโตซานที่เรารู้ๆ กันก็คือการบำบัดน้ำทิ้ง น้ำเสีย นอกจากการบำบัดน้ำเสียแล้ว ไคโตซานยังมีความสามารถในการจับกับของแข็งแขวนลอยได้ดี และจับกับอะตอมของ โลหะหนัก รวมทั้งมีการนำไปจับกับสารกัมมันตรังสีอย่างพลูโตเนียมและยูเรเนียมด้วย ส่วนการจับกับคราบไขมันนั้น กลไกการจับก็คล้ายๆ กับการจับกับไขมันในทางเดินอาหาร และบทบาทที่คนไม่ค่อยจะรู้กันประการหนึ่งก็คือ มีการใช้ไคโตซานผสมกับพลาสติกเพื่อผลิตพลาสติก ที่สามารถย่อยสลายได้

ในภาคอุตสาหกรรม
ไคตินและไคโตซาน มีประโยชน์อย่างมากมายใน อุตสาหกรรมอาหาร เช่น ใช้เสริมใยอาหารธรรมชาติในผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้ง ใช้เพิ่มความเหนียวแน่นให้กับ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ ใช้เพิ่มกลิ่นรสให้ดีขึ้นกับผลิต ภัณฑ์เนื้อสัตว์ อุตสาหกรรมเส้นใย กระดาษ สิ่งทอ ก็มีการใช้ไคโตซาน เช่น ใช้ทำภาชนะบรรจุที่ย่อยสลายได้ในธรรมชาติ ทำฟิล์มถนอมอาหารที่สามารถรับประทานได้ ใช้ในการผลิตผ้าที่ย้อมสีติดทนนาน ใช้ในกระบวนการผลิตกระดาษ ที่มีคุณสมบัติทางกายภาพสูง ทนทานต่อการฉีกขาด หรือผลิตกระดาษที่ซับหมึกได้ดีเพื่อการพิมพ์ที่ต้องการคุณภาพสูง

อาการขาดธาตุอาหารของพืช‏

อาการขาดธาตุอาหารของพืช‏

1) ไนโตรเจน การเจริญเติบโตจะหยุดชะงัก และใบมีสีเหลืองซีดจากการขาดคลอโรฟิลล์
โดยเฉพาะบริเวณใบแก่ ใบอ่อนจะยังคงมีสีเขียวนานกว่า ในพืชพวกข้าวโพดและมะเขือเทศ
ลำต้น ก้านใบ ผิวใบด้านล่างเปลี่ยนเป็นสีม่วงได้ อาการเป็นพิษ : พืชมีสีเขียวเข้มร่วมกับอาการเฝือใบ ระบบรากถูกจำกัด ในมันฝรั่งจะมีหัวเล็กลง การออกดอกออกผลของพืชจะช้าลง (พืชแก่ช้า)

2) ฟอสฟอรัส: พืชจะแคระแกร็นและมีสีเขียวเข้ม มีการสะสมสารสีของแอนโทไซยานิน
อาการขาดเบื้องต้นจะเกิดในใบแก่และทำให้พืชแก่ช้า: บางครั้งอาการที่ปรากฏจะคล้ายกับอาการขาดธาต
ุทองแดงและสังกะสี หากได้รับฟอสฟอรัสมากเกินไป

3) โพแทสเซียม: ในเบื้องต้นสังเกตได้ที่ใบแก่ในพืชใบเลี้ยงคู่ ใบจะมีสีซีด ในระยะต่อมาจะพบจุดสีเข้ม
ที่เนื้อใบตายกระจายเป็นจุด ในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวหลายชนิดบริเวณปลายใบและเส้นใบ จะตายก่อน
อาการขาดโพแทสเซียมในข้าวโพด ลำต้นจะอ่อนแอเนื่องจากพืชมักจะดูดใช้โพแทสเซียมมากเกินไป ในส้ม
ผลส้มจะมีผิวหยาบ เมื่อพืชดูดใช้โพแทสเซียมที่มากเกินไปจะชักนำให้พืชมีอาการขาดแมกนีเซียมและ
เป็นไปได้ว่าจะขาดแมงกานีส, สังกะสี และเหล็ก

4) กำมะถัน ไม่ค่อยจะพบมากนัก แต่ถ้าเกิดอาการขาดโดยทั่วไปใบมักจะมีสีเหลือง โดยเกิดที่ใบอ่อนก่อน
ลดการเจริญเติบโตและขนาดของใบ ซึ่งยากต่อการสังเกต บางครั้งพบว่าใบเหลืองหรือใบไหม

5) แมกนีเซียม เกิดอาการซีดในพื้นที่ใบที่อยู่ระหว่างเส้นใบ ในขณะที่เส้นใบยังคงเขียวอยู่
อาการซีดจะเกิดที่ใบพื้นที่บริเวณใกล้เส้นกลางใบก่อนแล้วลามไปที่ปลายใบ โดยเกิดใน ใบแก่ก่อน
มีข้อมูลน้อยมาก เนื่องจากยากต่อการสังเกต

6) แคลเซียม การพัฒนาของตายอดจะชะงักการเจริญเติบโต และปลายรากจะตาย จะเกิดในใบอ่อนก่อนใบแก่
และเส้นใบจะบิดเบี้ยว มีจุดแห้งตายของใบ: ยากต่อการสังเกต มักเป็นร่วมกันกับอาการเป็นพิษจากคาร์บอเนต

7) เหล็ก อาการซีดคล้ายกับอาการขาดแมกนีเซียมแต่เกิดขึ้นในใบแก่ ในสภาพธรรมชาติมักไม่พบชัดเจนนัก
แต่เมื่อมีการพ่นเหล็กกับพืชทดลองว่าปรากฏเป็นเนื้อเยื่อมีลายเป็นจุด ๆ

8) คลอรีน ใบมีอาการเหี่ยวแล้วค่อย ๆเหลืองแล้วตายเป็นลำดับหรือบางครั้งมีสีบรอนด์เงินรากจะค่อยแคระแกรน
และบางลงใกล้ปลายราก: ปลายใบหลังเส้นใบไหม้ เป็นสีบรอนด์ ใบเหลืองและใบร่วงและลางครั่งซีด
ขนาดใบเล็กลงอัตราการเจริญเติบโตลดลง

9) แมงกานีส อาการแรกมักจะซีดตรงระหว่างเส้นใบในใบอ่อนหรือแก่ขึ้นอยู่กับชนิดพืชแผลเนื้อเยื่อตาย
และใบร่วงในเวลาต่อมา คลอโรพลาสต์ไม่ทำงาน บางครั้งมีสีซีดๆ อาการคล้ายกับขาดธาตุเหล็กในสับปะรด คือ
คลอโรฟิลล์ไม่กระจายตัวการเจริญเติบโตลดลง

10) โบรอน อาการผันแปรตามชนิดของพืชลำต้นเนื้อเยื่อเจริญปลายรากมักตาย ปลายรากมักบวมมีสีซีดในเนื้อเยื่อพืชมักมีสีซีดไม่ทำงาน(โรคใบเน่าของพีท) ส่วนใบแสดงอาการต่าง ไปประกอบด้วยใบบาง แตกง่าย(ผุ)ใบหงิก เหี่ยวเฉาและเป็นจุดสีซีดปลายใบเหลืองตามด้วยเนื้อเยื่อใบตายจากปลายใบหรือเส้นใบไปยังแกนใบ

11) สังกะสี ข้อปล้องของพืชสั้นและขนาดของใบเล็ก เส้นใบมักปิดหรือย่นบางครั้งซีดระหว่างใบ เกิดอาการซีดจากเหล็กเป็นพิษในพืช

12) ทองแดง การขาดทองแดงในสภาพธรรมชาติหายากใบอ่อนมีสีเขียวแก่และปิดหรือผิดรูปไปและมักพบจุดแผลตายบนใบ: การเจริญเติบโตลดลงตามด้วยสีซีดจากเหล็กเป็นพิษ แคระแกรน ลดการแตกพุ่ม รากมีสีเข้ม และยางผิดปกติ

13) โมลิดีนัม สีซีดในพื้นที่ระหว่างเส้นกลางใบหรือทั้งเส้นกลางใบในใบแก่ คล้ายกับอาการขาดไนโตรเจนบางครั้งแกนใบไหม้เกรียม: ยากต่อการสังเกตใบมะเขือเทศจะมีสีเหลืองทอง กล้ากะหล่ำดอกจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงสด

แมลงดี / ร้ายในนาข้าว

แมลงดี / ร้ายในนาข้าว

โดยปกติในนาข้าวจะมีศัตรูธรรมชาติจำพวกแมลง แมงมุม และโรคแมลงต่าง ๆ จำนวนมาก คอยทำลายแมลงศัตรูข้าว แมลงศัตรูธรรมชาติที่มีประโยชน์เหล่านี้ คอยควบคุมจำนวนแมลงศัตรูข้าวให้อยู่ในสมดุลย์ที่จะไม่ทำลายข้าวให้เสียหาย โดยเฉพาะในนาข้าวที่ไม่มีการใช้สารเคมี ฆ่าแมลง จะทำให้แมลงศัตรูธรรมชาติมีชีวิตและเจริญพันธุ์ต่อไปได้ ถ้าปราศจากแมลงศัตรูพืชเหล่านี้ แมลงศัตรูข้าวจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำความเสียหายให้แก่ข้าวในนาได้อย่างมาก แมลงศัตรูข้าวและแมลงศัตรูธรรมชาติมีจำนวนมากมายหลายชนิด เกษตรกรจึงควรทำความรู้จักว่า อะไรคือแมลงศัตรูข้าว อะไรคือแมลงศัตรูธรรมชาติที่ควรอนุรักษ์ให้มีอยู่ในนาข้าว ในที่นี้ได้หยิบยกมานำเสนอเพียงอย่างละ 10 แมลง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งแมลงดีและแมลงร้าย
ในนาข้าวนั้น มีอีกมากมายหลายชนิด

แมลงร้ายในนาข้าว

เพลี้ยไฟ เป็นแมลงขนาดเล็กมาก ตัวแก่ของเพลี้ยไฟมีลำตัวเรียว ยาว 1-2 มม. มีทั้งที่มีปีกและไม่มีปีก ถ้ามีปีกจะมีด้านละสองปีก มีลักษณะเป็นก้านยาว มีขนกระจายไปทั่วคล้ายขนไก่ ตัวอ่อนมีสีเหลืองนวล ตัวเต็มวัยมีสีน้ำตาลดำ เพลี้ยไฟระบาดในระยะต้นกล้า โดยการดูดกิน น้ำเลี้ยงจากใบข้าว ใบข้าวจะเหี่ยวที่ปลายใบ และจะม้วนจากขอบใบเข้ามากลางใบ ถ้ามีการระบาดของเพลี้ยไฟมากจะทำให้ต้นกล้าแห้งตายทั้งแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะฝนทิ้งช่วง อากาศแห้งแล้ง และขาดน้ำ

เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ตัวเต็มวัยจะมีสีน้ำตาล หรือสีน้ำตาลปนเทา มีความยาวประมาณ
3 มม. กว้าง 1 มม. หนวดตั้งอยู่ด้านข้างของหัว อยู่ใต้ขาหลัง มีหนามที่เคลื่อนไหวได้ ตัวโตเต็มวัย
มี 2 แบบ คือ แบบที่มีปีกยาว และแบบที่มีปีกสั้น ตัวเมียวางไข่ที่กาบใบหรือก้านใบ ไข่จะฟักเป็นตัวอ่อน 7-9 วัน ตัวอ่อนจะลอกคราบ 5 ครั้งภายใน 13-15 วัน ตัวเมียมีอายุ 15 วัน ตัวผู้มีอายุ 13 วันตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้นข้าว ทำให้ต้นข้าวมีอาการใบเหลืองแห้ง คล้ายน้ำร้อนลวก ที่เรียกว่า "hopper burn" เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลยังนำเชื้อวิสามาสู่ต้นข้าว ทำให้เกิดโรคเขียวเตี้ย โรคจู๋ และโรคต้นเตี้ยแล้วเหี่ยว

เพลี้ยจักจั่นสีเขียว เพลี้ยจักจั่นสีเขียวเป็นแมลงปากดูดขนาดเล็ก ตัวแก่มีความยาว 3-5 มม. สีเขียวสด มีรอยสีดำที่กลางปีกและปลายปีก วางไข่ไว้ในก้านใบของแผ่นใบ มีการเจริญเติบโตโดยการลอกคราบ 5 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งจะมีสีแตกต่างกันออกไป ตัวเต็มวัยมีอายุประมาณ 10 วัน เพลี้ยจักจั่นสีเขียวสร้างความเสียหายให้แก่ต้นข้าว ทั้งโดยทางตรงด้วยการดูดน้ำเลี้ยงจากต้นข้าว และโดยการเป็นพาหะนำโรควิสา ทำให้ต้นข้าวเป็นโรคต้นเตี้ย ทำให้ผลผลิตข้าวลดลง

บั่ว ตัวแก่ของบั่วจะมีขนาดและลักษณะเหมือนกับยุง มีขนาดประมาณ 3-4 มม. ส่วนท้องจะมีสีส้ม ส่วนหนวดและขาจะมีสีดำ ตัวแก่จะว่องไวมากในเวลากลางคืน บั่วจะวางไข่ไว้บริเวณด้านล่างของแผ่นใบข้าว ตัวหนอนของบั่ว เมื่อฟักออกจากไข่แล้วจะคืบคลานเข้าไปแทรกตัวอยู่ในบริเวณยอดอ่อนของต้นข้าว และกัดกินยอดอ่อนเป็นอาหาร ในขณะที่หนอนกัดกินหน่ออ่อน ข้าวจะสร้างหลอดหุ้มตัวหนอนเอาไว้ จากนั้น ตัวหนอนจะเจริญเติบโตและเข้าดักแด้ภายในหลอดบั่ว ซึ่งมีลักษณะคล้ายต้นหอม หลอดบั่วจะโตขึ้นเรื่อย ๆ จนส่วนของหลอดโผล่พ้นกาบใบ มองเห็นจากภายนอกได้ชัดเจน ต้นข้าวที่เป็นหลอดจะไม่ออกรวง ทำให้ผลผลิตข้าวลดลง

หนอนกอแถบลาย ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืน สีของปีกคล้ายสีรำข้าว ปลายปีกตัด เป็นมุม 90 องศา ที่ขอบปีกมีจุดสีดำเล็ก ๆ เป็นจุด ๆ ส่วนปีกคู่หลังเป็นสีน้ำตาลอ่อน ตัวหนอนมีแถบสีน้ำตาล 5 แถบ พาดไปตามความยาวของลำตัว แถบที่ผ่านข้างลำตัวจะผ่านรูหายใจ ตัวหนอนเมื่อฟักออกจากไข่ใหม่ ๆ จะกัดเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อของต้นข้าว ทำลายท่อน้ำท่ออาหาร และเข้าดักแด้อยู่ภายในปล้องของต้นข้าว ทำให้ต้นข้าวแห้งตายและเมล็ดลีบในขณะที่เป็นตัวหนอนกัดกินใบ เมื่อต้นข้าวตายก็จะย้ายไปต้นข้างเคียง

หนอนกอสีครีม ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืน สีของปีกเป็นสีครีมอ่อน ตรงกลางปีก คู่หน้ามีจุดสีดำปีกละจุด ตัวเมียที่ปลายสุดของส่วนปล้องท้องมีขนเป็นพู่สีน้ำตาลคลุมไว้ ตัวหนอนเป็นหนอนผีเสื้อ ลำตัวมีสีขาวหรือสีครีม ลำตัวยาว หัวท้ายเรียวแหลม หัวมีสีน้ำตาลหรือสีส้มแกมเหลือง หนอนที่ฟักออกจากไข่จะเจาะเข้าไปในลำต้น หรือเจาะจากด้านนอกของกาบใบ ผ่านเข้าลำต้นบริเวณข้อของปล้อง ซึ่งเป็นส่วนที่มีเนื้ออ่อน ประมาณ 4 วันใบและต้นจะเหี่ยวและแห้งตาย หรือทำให้เมล็ดข้าวลีบขาวในขณะที่ข้าวออกรวง

หนอนกอแถบลายสีม่วง ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืน มีขนาดเล็ก ปีกคู่หน้ามีสีน้ำตาล สีฟางข้าว ปลายปีกมีลวดลายสีสนิมเหล็ก ตัวผู้ที่กลางปีกรูปคล้ายตัว Y ตัวหนอนมีหัวสีน้ำตาลดำ มีแถบสีม่วงแกมน้ำตาล 5 แถบ พาดไปตามความยาวของลำตัว บริเวณด้านบนลำตัวมีเส้นพาดกลางสีเหลือง หนอนกอแถบลายสีม่วงจะเข้าทำลายในช่วงปักดำจนถึงระยะแตกกอ หนอนที่ฟักออกจากไข่ใหม่ๆจะกัดกินใบอ่อน เมื่อหนอนโตขึ้นจะกัดกินเข้าไปในลำต้นและปล้อง ทำให้ยอดเหี่ยวและแห้งตาย การทำลายในช่วงระยะข้าวตั้งท้องหรือระยะข้าวออกรวงจะทำให้เมล็ดข้าวลีบ และเมล็ดข้าวหรือรวงข้าวที่แตกรวงออกมามีสีขาว หรือที่เรียกว่า ข้าวหัวหงอก

หนอนกระทู้กล้า ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืนสีเทาปนน้ำตาล ความกว้างเมื่อกางปีกออก ประมาณ 35-40 มม. ตัวหนอนเมื่อโตเต็มวัยมีความยาวประมาณ 40 มม. ด้านบนของตัวหนอนมีสีน้ำตาลแก่ และมีลายตามความยาวของลำตัว 3 เส้น ด้านล่างของตัวหนอนมีสีน้ำตาลอ่อนหนอนกระทู้กล้าจะเข้าทำลายต้นข้าวในระยะที่ต้นข้าวยังเล็ก และระยะกล้าในระยะแรกจะกัดกินผิวใบ เมื่อตัวหนอนโตขึ้นจะกัดกินทั้งใบ เหลือไว้แต่ก้าน และกัดกินที่โคนต้นกล้าระดับพื้นดิน ทำให้มีลักษณะเหมือนควายกิน จึงเรียกกันว่า หนอนกระทู้ควายพระอินทร์

หนอนห่อใบข้าว ตัวหนอนมีสีขาวใส หัวมีสีน้ำตาลอ่อน เมื่อหนอนมีขนาดโตขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว และมีไหมหุ้มตัว หนอนจะใช้ใบข้าวห่อเป็นหลอดและอาศัยอยู่ภายใน เมื่อตัวหนอนโตเต็มที่จะเปลี่ยนสีเป็นสีเขียวปนเหลือง หัวมีสีน้ำตาลเข้ม ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืนขนาดเล็ก มีสีน้ำตาลอ่อน ปีกจะมีสีเหลืองปนน้ำตาล มีแถบสีน้ำตาลเข้ม 2-3 แถบ พาดขวางปีกทั้งคู่ ตัวหนอนกัดกินผิวใบเป็นทางสีขาว แล้วแห้งเป็นสีน้ำตาล เมื่อตัวหนอนมีอายุมากขึ้นจะชักใยให้แผ่นใบม้วนเข้าหากันเป็นหลอดตามความยาวของใบข้าวเพื่อห่อหุ้มตัวหนอน ทำให้ผลผลิตข้าวลดลง

แมลงสิง ตัวเต็มวัยเป็นแมลงปากดูด ลำตัวเรียวยาวประมาณ 15 มม. ด้านบนของลำตัวมีสีน้ำตาล ด้านล่างมีสีเขียว หนวดเป็นปล้อง มีขาและหนวดยาว ตาทั้งสองข้างมองเห็นได้ชัดเจน ตัวอ่อนและตัวแก่มีกลิ่นฉุน ทั้งตัวอ่อนและตัวแก่จะใช้ปากแทงเข้าไปในเมล็ดข้าวเพื่อดูดกินน้ำเลี้ยง หรือน้ำนมจากเมล็ดข้าวในระยะออกรวง ทำให้ข้าวมีเมล็ดเหี่ยวย่นและลีบ แต่ถ้าแมลงสิงดูดกินในระยะที่เมล็ดข้าวเริ่มแข็งตัว จะทำให้คุณภาพเมล็ดข้าวไม่ดี เมื่อนำไปสีเมล็ดข้าวจะหักมาก

แมลงดีในนาข้าว

ด้วงดิน ด้วงดินเป็นแมลงตัวห้ำที่แข็งแรงและว่องไว ทั้งตัวหนอนซึ่งมีสีดำเป็นมัน และตัวเต็มวัยสีน้ำตาลแดงซึ่งจะกินหนอนห่อใบข้าว ด้วงดินจะพบได้ในใบข้าวที่ถูกห่อไว้โดยหนอนห่อใบ ตัวอ่อนของด้วงดินเข้าดักแด้ในดินตามคันนาข้าว นาสวน หรือในดินท้องนาข้าวไร่ กินหนอนห่อใบได้วันละ 3-5 ตัว ตัวเต็มวัยของด้วงดินนอกจากจะกินหนอนห่อใบแล้ว ยังกินเพลี้ยกระโดดอีกด้วย

จิ้งหรีดหางดาบ จิ้งหรีดหางดาบพบได้ในนาข้าวสภาพนาสวนและข้าวไร่ มันจะกระโดด จากข้าวต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่งเมื่อถูกรบกวน ตัวเต็มวัยของจิ้งหรีดหางดาบมีสีดำ ตัวอ่อนมีสีอ่อน และมีแถบสีน้ำตาล ตัวเต็มวัยส่วนใหญ่ปีกหลังจะหลุดเมื่อเข้ามาอยู่ในนาข้าว ตัวอ่อนเมื่อโตขึ้นมีปุ่มปีก อวัยวะวางไข่ของจิ้งหรีดชนิดนี้มีลักษณะเหมือนดาบ ใช้สำหรับสอดใส่เข้าไปตามกาบใบข้าวหรือหญ้า ตัวเมียตัวหนึ่งวางไข่ได้ 40-60 ฟอง ตัวเต็มวัยและตัวอ่อนจะกินไข่แมลงศัตรูข้าว เช่น ไข่ของหนอนผีเสื้อต่าง ๆ เช่น หนอนกอแถบลาย หนอนกอแถบลายสีม่วง หนอนห่อใบ หนอนกระทู้ ไข่ของแมลงวันเจาะยอดข้าว นอกจากนี้ ยังกินหนอนตัวเล็ก ๆ และตัวอ่อนของเพลี้ยกระโดดและเพลี้ยจักจั่น

มวนเพชฌฆาต มวนเพชฌฆาตเป็นตัวห้ำที่อยู่เดี่ยว ๆ พบได้ในสภาพนาสวนและข้าวไร่ ตัวเต็มวัยมีสีน้ำตาล มีหนามแหลม 3 อันที่หลัง มวนเพชฌฆาตพบอยู่ตามกอข้าว คอยล่าเหยื่อที่เป็นหนอนผีเสื้อ มันสามารถล่าเหยื่อที่ตัวใหญ่กว่ามันมากได้โดยใช้ปากแหลมคมเหมือนเข็มแทงและปล่อยพิษ ทำให้เหยื่อไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ และดูดกินจนแมลงศัตรูพืชแห้งตาย

ด้วงเต่า ด้วงเต่ามีหลายชนิด ซึ่งมีขนาดและมีสีสันแตกต่างกันออกไป เช่น ด้วงเต่าลายจุด ด้วงเต่าลายขวาง ด้วงเต่าลายหยัก ด้วงเต่าแดง เป็นต้น ด้วงเต่าเป็นตัวห้ำ ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะกินเพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง เพลี้ยกระโดด เพลี้ยหอย แมลงหวี่ขาว และไร เป็นอาหาร ด้วงเต่ามักจะอยู่ทางส่วนบนของกอข้าวในสภาพข้าวไร่และข้าวนาสวน ตัวเต็มวัยและตัวอ่อนของด้วงเต่ากินเพลี้ยกระโดด หนอนตัวเล็ก ๆ หรือไข่แมลงที่ไม่มีสิ่งห่อหุ้มเป็นอาหาร

มวนจิงโจ้น้ำเล็ก มวนจิงโจ้น้ำเล็กมีขนาดเล็ก เคลื่อนไหวเร็ว พบมากในนาข้าวที่มีน้ำขัง ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยอยู่บนผิวน้ำ มีส่วนอกกว้าง มีทั้งแบบมีปีกและไม่มีปีก มวนจิงโจ้น้ำเล็กมีความแตกต่างจากมวนที่มีอยู่ในน้ำชนิดอื่นตรงที่มีขนาดเล็ก และขาหน้ามีข้อเท้าเพียงปล้องเดียว ตัวเมียวางไข่ 20-30 ฟองในต้นข้าวเหนือระดับน้ำ การเจริญเติบโตใช้เวลา 1-2 เดือน ตัวเต็มวัยที่มีปีกจะบินแพร่กระจายไปที่อื่นภายหลังการเก็บเกี่ยว ตัวเต็มวัยของมวนจิงโจ้น้ำเล็กจะอยู่กันเป็นกลุ่มกินตัวอ่อนของเพลี้ยกระโดดที่ตกไปในน้ำ ส่วนตัวอ่อนกินเพลี้ยกระโดด และแมลงขนาดเล็กที่มีลำตัวอ่อนนุ่ม มวนชนิดนี้เป็นตัวห้ำที่มีประสิทธิภาพเมื่ออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และกินเหยื่อที่เป็นตัวอ่อนระยะแรกได้ดี มวนจิงโจ้น้ำเล็กตัวหนึ่ง ๆ สามารถกินเหยื่อได้ 4-7 ตัวต่อวัน

แมลงหางหนีบ แมลงหางหนีบมีลักษณะที่เด่นชัด คือ ที่ปลายท้องมีอวัยวะคล้ายคีมยื่นออกมาคู่หนึ่ง สำหรับใช้ในการป้องกันตัวมากกว่าที่จะใช้ไว้ล่าเหยื่อ แมลงหางหนีบมีตัวสีดำเป็นมัน และมีแถบสีขาวตรงรอยต่อของแต่ละปล้องท้อง รวมทั้งมีจุดสีขาวที่ปลายหนวดแต่ละข้าง ส่วนใหญ่พบในนาสภาพข้าวไร่ โดยอยู่ในดินบริเวณโคนกอข้าว ต้องขุดลงไปจึงจะพบตัว ตัวเมียวางไข่ครั้งละ 200-350 ฟอง และคอยเฝ้าไข่ ตัวเต็มวัยมีชีวิตอยู่นาน 3-5 เดือน แมลงหางหนีบเป็นตัวห้ำที่สำคัญ มันกินไข่และตัวหนอนของผีเสื้อหลายชนิด เช่น เข้าไปตามรูในต้นข้าวที่หนอนกอเจาะเอาไว้เพื่อหาหนอนกอกิน บางครั้งมันไต่ขึ้นไปตามใบข้าวกินหนอนห่อใบ สามารถกินเหยื่อได้ 20-30 ตัวต่อวัน

ตัวเบียนของหนอนห่อใบข้าว แตนเบียนชนิดนี้มีขนาดเล็ก ตัวยาว และปลายปล้องแหลม โคนขาที่ติดอยู่กับลำตัวเป็นแผ่นใหญ่ ตัวมีสีดำ และท้องสีดำสลับแดง พบทั่ว ๆ ไปในนาข้าวทุกสภาพ โดยทำลายหนอนห่อใบข้าว มันจะวางไข่ 1-2 ฟองในตัวหนอนห่อใบแต่ละตัว ตัวอ่อนของแตนเบียนชนิดนี้ค่อนข้างดุร้าย กินตัวอ่อนตัวอื่นที่เจริญเติบโตในหนอนห่อใบตัวเดียวกัน ตัวเต็มวัยจะออกมาจากดักแด้หรือหนอนห่อใบ และมีชีวิตอยู่ได้ 2-4 วัน

แตนเบียนของหนอนกระทู้ แตนเบียนชนิดนี้มีขนาดเล็กและปีกใส ปีกหน้ามีเซลปิด ตามีขน หนวดยาวเท่ากับความยาวตัว ชอบอยู่ในนาสภาพข้าวไร่ มันทำลายหนอนกระทู้โดยตัวเมียจะวางไข่ 3-5 ฟอง ในตัวหนอนกระทู้แต่ละตัว ตัวอ่อนแตนเบียนกัดกินอยู่ภายในตัวหนอน เมื่อโตเต็มที่แล้วจะออกมาชักใยสร้างรังดักแด้สีน้ำตาลหุ้มอยู่ที่ข้างตัวหนอนที่มันกัดกิน หลังจากนั้น 4-8 วัน ตัวเต็มวัยของแตนเบียนจึงออกมา และมีชีวิตอยู่ 6-8 วัน



แตนเบียนของหนอนกอข้าว แตนเบียนชนิดนี้มีขนาดกลาง ปีกหน้ามีเส้นลายปีกขวาง 2 เส้น ส่วนปีกหลังมีช่องว่างเป็นเซลยาว มีสีแดงสลับดำ และมีแถบสีขาวที่ปลายท้อง แตนเบียนชนิดนี้พบมากในสภาพนาสวน ทำลายหนอนกอข้าวชนิดหนอนกอสีครีมและสีขาว โดยมันจะวางไข่ไว้ในหนอนกอข้าวฟองละตัว เมื่อฟักเป็นตัวอ่อนจะกัดกินอยู่ข้างในตัวหนอน จนหนอนตายจึงออกมาจากซากตัวหนอน มาเข้าดักแด้อยู่ภายในโพรงต้นข้าว

แมลงปอเข็ม แมลงปอเข็มมีปีกแคบและบินไม่เก่งเหมือนแมลงปอชนิดอื่น ตัวเต็มวัยมีสีเขียวแกมเหลืองและดำ ส่วนท้องยาวเรียว ตัวผู้มีสีสดใสกว่าตัวเมีย ตัวอ่อนของแมลงปอเข็มอยู่ในน้ำ จะไต่ขึ้นมาบนต้นข้าวเพื่อหาเหยื่อจำพวกตัวอ่อนของเพลี้ยกระโดดและเพลี้ยจักจั่น ส่วนตัวเต็มวัยชอบบินอยู่ใต้พุ่มข้าว เพื่อหาเหยื่อซึ่งเป็นแมลงที่กำลังบิน และเพลี้ยจักจั่นที่เกาะอยู่บนต้นข้าว



ที่มา ศูนย์สารสนเทศ กรมส่งเสริมการเกษตร

ติดเทอร์โบให้ชีวิต Turbo You Life

ติดเทอร์โบให้ชีวิต Turbo You Life

01 แนะนำขั้นตอนการติดเทอร์โบให้ชีวิต 4.44

02 ฝึกเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อเพิ่มพลังชีวิต 4.05

03 ฝึกหายใจเพื่อเพิ่มพลังงาน 3.44

04 สำนึกคุณต่อสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต 5.01

05 จินตนาการภาพความสำเร็จ 3.52

06 พูดตอกย้ำสิ่งที่ดีกับตัวเอง 4.16

07 ออกกำลังกาย 11.51

08 สัมผัสกับช่วงเวลาพิเศษในชีวิต 3.03

09 ฉลองให้กับวันนี้ที่ยอดเยี่ยม 2.58

คลิกดาน์วโหลดไฟล์ได้ที่นี่

"สร้างพระ" ใหญ่กว่าใคร?

"สร้างพระ" ใหญ่กว่าใคร?

--------------------------------------------------------------------------------

แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะตกต่ำ แต่โครงการสร้าง พระพทธรูปขนาดใหญ่ ทั้งที่สร้างด้วยเนื้อปูน และเนื้อโลหะผสม ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ “คม ชัด ลึก” ได้รวบรวมข้อมูลการสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมา พบว่า มีการจัดสร้างหลายองค์ โดยมีวัตถุประสงค์ในลักษณะเดียวกัน คือ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ตอบแทนคุณพระพุทธศาสนา ตอบแทนคุณแผ่นดิน ให้พุทธศาสนิกชนทั่วไปได้สักการบูชา และเพื่อเฉลิมพระเกียรติถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประกอบด้วย


๑. พระพุทธ ราษฎรศีล ๕ ขนาดหน้าตัก ๑๒.๓๔๕ เมตร หล่อด้วยโลหะผสม ประดิษฐาน ณ วัดราษฎร์สโมสร ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส จัดสร้างโดยนายสมคิด ตั้งธนชัย เจ้าของคำพูด "ทำบุญเพื่อบุญ" และ "ทำบุญโดยไม่ต้องหักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น" ทั้งนี้ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๕ และดำเนินการก่อสร้างมาอย่างเงียบๆ ท่ามกลางกระแสข่าวความวุ่นวายทางภาคใต้ แต่ไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด

๒.พระปางประทานพรใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๑ เมตร ๘๙ เซนติเมตร สูง ๑๗ เมตร จัดสร้างโดย พระครูสิริศุภกิจ เจ้าคณะตำบลหนองพลับ เจ้าอาวาสวัดหนองพลับ หมู่ ๒ ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

๓.พระสังกัจจายน์ยืน องค์ใหญ่ แกะสลักด้วยหินทรายทั้งองค์ ความสูง ๑๙.๓๙ กว้าง ๕.๙๙ เมตร โดยมีฐานล่างสุดเป็นทรงกลมสูง ๗ เมตร น้ำหนักประมาณ ๖๐๐ ตัน จัดสร้างโดย พระใบฎีกาบุญชู หรือหลวงพ่อชู เจ้าอาวาสวัดเกาะหงส์ ต.ตะเคียนเลื่อน อ.เมือง จ.นครสวรรค์

๔.พระพุทธมงคลชัย ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย (ปางชนะมาร) ก่ออิฐถือปูน ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๙ เมตร องค์ใหญ่ที่สุดใน จ.นนทบุรี จัดสร้างโดย หลวงพ่อเปรื่อง เขมปัญโญ พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง วัดบางจาก ต.คลองพระอุดม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และคณะศิษย์

๕.หลวงปู่ทวด ปางยืนธุดงค์ องค์ใหญ่ที่สุดในโลก หล่อด้วยโลหะผสม ขนาดความสูงรวมฐาน ๒๙ เมตร จัดสร้างโดย พระใบฎีกาเทียนชัย สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ ต.ทาเหนือ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ และ นายสมพงษ์ กันภัย (อ.หนู กันภัย) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอักขระ-เลขยันต์

๖.พระร่วงเจ้า หรือ พระพุทธอสีติวัสสามหาบพิตร ขนาดความสูง ๓๒ เมตร กว้าง ๘.๙ เมตร ประดิษฐานภายในซุ้มประภามณฑล ณ ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาและเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดสังฆาราม ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย จัดสร้างโดยคณะสงฆ์จังหวัดสุโขทัย โดยมี พระครูวิชานวรวุฒิ รองเจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย เป็นประธานอำนวยการฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชน โดยมี พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานอำนวยการฝ่ายคฤหัสถ์

๗.พระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก ความสูงจากพื้น ๑๘ เมตร หน้าตักกว้าง ๑๕ เมตร โดยจะได้ทำการหุ้มองค์พระแก้วมรกตทั้งองค์ด้วยหยกเขียวอิตาลี ซึ่งได้สั่งซื้อนำเข้ามาจากประเทศอินเดีย จัดสร้างโดยหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม และประธานมูลนิธิส่งเสริมคุณธรรมและคุณภาพชีวิต บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ

๘.พระปกเกล้าปกแผ่นดิน ซึ่งเป็นพระนาคปรก ๙ เศียร เนื้อโลหะองค์ใหญ่ที่สุดในโลกฐาน ๓๒ เมตร สูง ๖๐ เมตร ความหมายเลข ๙ ของพระนาคปรก หมายถึง พระบารมี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ที่ปกเกล้าปกกระหม่อมคุ้มครองพสกนิกร และประเทศไทย ให้มีความสุขร่มเย็น จัดสร้างโดย วัดอ้อน้อย มูลนิธิธรรมอิสระ อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม

๙.พระพุทธศรีสวรรค์ พระประธานประจำพุทธอุทยานนครสวรรค์ หน้าตักกว้าง ๑๘ เมตร หล่อด้วยโลหะผสม ประดิษฐานอยู่บนอาคารขนาดใหญ่ ซึ่งใช้เป็นสถานที่ดำเนินกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ความสูงขององค์พระรวมอาคาร ๔๕ เมตร จัดสร้างโดย คณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ โดย พระราชปริยัติ เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ พร้อมข้าราชการ พ่อค้าประชาชนชาวจังหวัดนครสวรรค์


บุญสร้างพระ
สำหรับอานิสงส์และบุญการสร้างพระพุทธรูป มีมากมายหลายประการเหลือที่จะนับจะประมาณได้ ทั้งนี้ พระเทพสิงห์บุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี จะขอยกมาแสดงไว้ในที่นี้แต่พอเป็นตัวอย่าง หรือพอเป็นแนวทางเท่านั้น คือ

๑.ผู้สร้างพระพุทธรูป ชื่อว่าได้บำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ เช่น ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน หมายความว่า ผู้นั้นต้องเอาพระพุทธรูปไปถวายพระสงฆ์ไว้ในวัดใดวัดหนึ่ง เพื่อให้ภิกษุสามเณร หรืออุบาสกอุบาสิกา ได้กราบไหว้สักการบูชา และก่อนที่จะได้ถวาย ตัวเองก็ต้องบริจาคเงินสร้าง หรือเช่ามาแล้วนี้ เป็นทานมัยกุศลชั้นต้น

ต่อมาก็มีการเฉลิมฉลองอีก ตัวเองก็บริจาคจัตุปัจจัยไทยทานถวายพระ ทำบุญ นี้เป็นทานมัยกุศลชั้นที่ ๒ ถึงแม้ว่าจะสร้างไปไว้ที่บ้าน เพื่อสักการบูชา ก็ต้องปฏิบัติในทำนองเดียวกันนี้ ดังนั้น ผู้สร้างพระพุทธรูปจึงเชื่อว่า ได้บำเพ็ญทานมัยกุศลไปด้วย
ศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล หมายความว่า ก่อนแต่จะทำการถวายทาน หรือถวายพระพุทธรูป เจ้าภาพก็ต้องสมาทานศีลเสียก่อน ศีลที่สมาทานคราวนี้ เกิดขึ้นเพราะการสร้างพระพุทธรูปเป็นปัจจัย

ดังนั้น ผู้สร้างพระพุทธรูป จึงชื่อว่า ได้บำเพ็ญศีลมัยกุศลไปด้วย และภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
คำว่า ภาวนา นั้นมีสองอย่าง คือ สมถภาวนา ๑ วิปัสสนาภาวนา ๑ การได้เห็นพระพุทธรูปด้วยตา ได้กราบได้ไหว้ด้วยกาย ได้เปล่งวาจาระลึกถึงพระพุทธคุณ ใจก็น้อมนึกไปตาม ว่าผู้นั้นได้เจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน จัดเป็นสมถกรรมฐาน เป็นมหากุศล ตายด้วยจิตดวงเดียว อย่างต่ำต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ อย่างกลางสามารถไปเกิดในสวรรค์ อย่างสูงสามารถไปสู่พระนิพพานได้

เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"
จาก..คมชัดลึก :วันที่ 14 กรกฎาคม 2552

"สร้างพระ" ใหญ่กว่าใคร?

"สร้างพระ" ใหญ่กว่าใคร?

--------------------------------------------------------------------------------

แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะตกต่ำ แต่โครงการสร้าง พระพทธรูปขนาดใหญ่ ทั้งที่สร้างด้วยเนื้อปูน และเนื้อโลหะผสม ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ “คม ชัด ลึก” ได้รวบรวมข้อมูลการสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมา พบว่า มีการจัดสร้างหลายองค์ โดยมีวัตถุประสงค์ในลักษณะเดียวกัน คือ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ตอบแทนคุณพระพุทธศาสนา ตอบแทนคุณแผ่นดิน ให้พุทธศาสนิกชนทั่วไปได้สักการบูชา และเพื่อเฉลิมพระเกียรติถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประกอบด้วย


๑. พระพุทธ ราษฎรศีล ๕ ขนาดหน้าตัก ๑๒.๓๔๕ เมตร หล่อด้วยโลหะผสม ประดิษฐาน ณ วัดราษฎร์สโมสร ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส จัดสร้างโดยนายสมคิด ตั้งธนชัย เจ้าของคำพูด "ทำบุญเพื่อบุญ" และ "ทำบุญโดยไม่ต้องหักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น" ทั้งนี้ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๕ และดำเนินการก่อสร้างมาอย่างเงียบๆ ท่ามกลางกระแสข่าวความวุ่นวายทางภาคใต้ แต่ไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด

๒.พระปางประทานพรใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๑ เมตร ๘๙ เซนติเมตร สูง ๑๗ เมตร จัดสร้างโดย พระครูสิริศุภกิจ เจ้าคณะตำบลหนองพลับ เจ้าอาวาสวัดหนองพลับ หมู่ ๒ ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

๓.พระสังกัจจายน์ยืน องค์ใหญ่ แกะสลักด้วยหินทรายทั้งองค์ ความสูง ๑๙.๓๙ กว้าง ๕.๙๙ เมตร โดยมีฐานล่างสุดเป็นทรงกลมสูง ๗ เมตร น้ำหนักประมาณ ๖๐๐ ตัน จัดสร้างโดย พระใบฎีกาบุญชู หรือหลวงพ่อชู เจ้าอาวาสวัดเกาะหงส์ ต.ตะเคียนเลื่อน อ.เมือง จ.นครสวรรค์

๔.พระพุทธมงคลชัย ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย (ปางชนะมาร) ก่ออิฐถือปูน ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๙ เมตร องค์ใหญ่ที่สุดใน จ.นนทบุรี จัดสร้างโดย หลวงพ่อเปรื่อง เขมปัญโญ พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง วัดบางจาก ต.คลองพระอุดม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และคณะศิษย์

๕.หลวงปู่ทวด ปางยืนธุดงค์ องค์ใหญ่ที่สุดในโลก หล่อด้วยโลหะผสม ขนาดความสูงรวมฐาน ๒๙ เมตร จัดสร้างโดย พระใบฎีกาเทียนชัย สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ ต.ทาเหนือ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ และ นายสมพงษ์ กันภัย (อ.หนู กันภัย) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอักขระ-เลขยันต์

๖.พระร่วงเจ้า หรือ พระพุทธอสีติวัสสามหาบพิตร ขนาดความสูง ๓๒ เมตร กว้าง ๘.๙ เมตร ประดิษฐานภายในซุ้มประภามณฑล ณ ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาและเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดสังฆาราม ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย จัดสร้างโดยคณะสงฆ์จังหวัดสุโขทัย โดยมี พระครูวิชานวรวุฒิ รองเจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย เป็นประธานอำนวยการฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชน โดยมี พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานอำนวยการฝ่ายคฤหัสถ์

๗.พระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก ความสูงจากพื้น ๑๘ เมตร หน้าตักกว้าง ๑๕ เมตร โดยจะได้ทำการหุ้มองค์พระแก้วมรกตทั้งองค์ด้วยหยกเขียวอิตาลี ซึ่งได้สั่งซื้อนำเข้ามาจากประเทศอินเดีย จัดสร้างโดยหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม และประธานมูลนิธิส่งเสริมคุณธรรมและคุณภาพชีวิต บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ

๘.พระปกเกล้าปกแผ่นดิน ซึ่งเป็นพระนาคปรก ๙ เศียร เนื้อโลหะองค์ใหญ่ที่สุดในโลกฐาน ๓๒ เมตร สูง ๖๐ เมตร ความหมายเลข ๙ ของพระนาคปรก หมายถึง พระบารมี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ที่ปกเกล้าปกกระหม่อมคุ้มครองพสกนิกร และประเทศไทย ให้มีความสุขร่มเย็น จัดสร้างโดย วัดอ้อน้อย มูลนิธิธรรมอิสระ อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม

๙.พระพุทธศรีสวรรค์ พระประธานประจำพุทธอุทยานนครสวรรค์ หน้าตักกว้าง ๑๘ เมตร หล่อด้วยโลหะผสม ประดิษฐานอยู่บนอาคารขนาดใหญ่ ซึ่งใช้เป็นสถานที่ดำเนินกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ความสูงขององค์พระรวมอาคาร ๔๕ เมตร จัดสร้างโดย คณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ โดย พระราชปริยัติ เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ พร้อมข้าราชการ พ่อค้าประชาชนชาวจังหวัดนครสวรรค์


บุญสร้างพระ
สำหรับอานิสงส์และบุญการสร้างพระพุทธรูป มีมากมายหลายประการเหลือที่จะนับจะประมาณได้ ทั้งนี้ พระเทพสิงห์บุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี จะขอยกมาแสดงไว้ในที่นี้แต่พอเป็นตัวอย่าง หรือพอเป็นแนวทางเท่านั้น คือ

๑.ผู้สร้างพระพุทธรูป ชื่อว่าได้บำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ เช่น ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน หมายความว่า ผู้นั้นต้องเอาพระพุทธรูปไปถวายพระสงฆ์ไว้ในวัดใดวัดหนึ่ง เพื่อให้ภิกษุสามเณร หรืออุบาสกอุบาสิกา ได้กราบไหว้สักการบูชา และก่อนที่จะได้ถวาย ตัวเองก็ต้องบริจาคเงินสร้าง หรือเช่ามาแล้วนี้ เป็นทานมัยกุศลชั้นต้น

ต่อมาก็มีการเฉลิมฉลองอีก ตัวเองก็บริจาคจัตุปัจจัยไทยทานถวายพระ ทำบุญ นี้เป็นทานมัยกุศลชั้นที่ ๒ ถึงแม้ว่าจะสร้างไปไว้ที่บ้าน เพื่อสักการบูชา ก็ต้องปฏิบัติในทำนองเดียวกันนี้ ดังนั้น ผู้สร้างพระพุทธรูปจึงเชื่อว่า ได้บำเพ็ญทานมัยกุศลไปด้วย
ศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล หมายความว่า ก่อนแต่จะทำการถวายทาน หรือถวายพระพุทธรูป เจ้าภาพก็ต้องสมาทานศีลเสียก่อน ศีลที่สมาทานคราวนี้ เกิดขึ้นเพราะการสร้างพระพุทธรูปเป็นปัจจัย

ดังนั้น ผู้สร้างพระพุทธรูป จึงชื่อว่า ได้บำเพ็ญศีลมัยกุศลไปด้วย และภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
คำว่า ภาวนา นั้นมีสองอย่าง คือ สมถภาวนา ๑ วิปัสสนาภาวนา ๑ การได้เห็นพระพุทธรูปด้วยตา ได้กราบได้ไหว้ด้วยกาย ได้เปล่งวาจาระลึกถึงพระพุทธคุณ ใจก็น้อมนึกไปตาม ว่าผู้นั้นได้เจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน จัดเป็นสมถกรรมฐาน เป็นมหากุศล ตายด้วยจิตดวงเดียว อย่างต่ำต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ อย่างกลางสามารถไปเกิดในสวรรค์ อย่างสูงสามารถไปสู่พระนิพพานได้

เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"
จาก..คมชัดลึก :วันที่ 14 กรกฎาคม 2552

วิธีโปรโมทให้มีผู้พบเห็นเว็บไซต์ของเรา

วิธีการโปรโมทประชาสัมพันธ์ให้มีผู้พบเห็นเว็บไซต์ของเรา
คงไม่ต้องอธิบายละเอียดละออกันมากนักนะครับ สำหรับคำว่า โปรโมท หรือคำว่า ประชาสัมพันธ์ หมายความว่าอย่างไร แต่เราจะว่ากันถึงช่องทางการโปรโมทหรือการประชาสัมพันธ์ให้มีผู้รู้จักและเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรากันเลยดีกว่า คงจะแปลกดีนะครับถ้าคนๆหนึ่งลงทุนลงแรงแข่งกับเวลาจัดทำเว็บไซต์ขึ้นมาแล้วเก็บซ่อนใว้เปิดดูคนเดียว คงไม่ต่างอะไรกับการทำสมุดพก สมุดบันทึก หรือไดอารี่ส่วนตัว แล้วเก็บซ่อนใว้ใต้หัวเตียง รอเพียงให้ใครมาพบได้โดยการบังเอิญเท่านั้น ดังมีคำกล่าวว่า สมุนไพรสรรพคุณอันล้ำเลิศ ตำราเหาะเหิรเดินอากาศ เพชรเม็ดโตเท่าลูกมะพร้าว ไม่ต่างอะไรกับก้อนหินที่ถูกทับถมใว้ในถ้ำลึกกลางหุบเขา หากไร้ใครพบเห็นหรือไม่มีใครได้อรรถะประโยชน์จากมัน การพูดกล่าว เล่าขาร บอกต่อในสิ่งที่ตนรู้ เห็น สัมผัส ประทับใจ ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นการโปรโมท ประชาสัมพันธ์ ทั้งนั้น เพียงแต่ต้องรู้จักใช้ สื่อ ช่องทาง สถานที่ สถานภาพ และสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับเหตุการณ์หรือข้อมูลเท่านั้นเอง

การประชาสัมพันธ์ในทางภาคพื้นดิน ที่เราเห็นกันจนชินชา เช่น บัตรหรือการ์ด ใบบลิว โบว์ชัวร์ สติ๊กเกอร์ จดหมาย ป้ายโฆษณา ไปจนถึง หนังสือพิมพ์ หนังสือรายวัน รายปักษ์ รายสัปดาห์ และสื่อโฆษณาทางทีวี วิทยุกระจายเสียง ดังนี้เป็นต้น แต่ไม่ว่าเราจะเลือกวิธีใหนอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับ ภูมิรู้ เงินทุน กลุ่มเป้าหมาย และประสิทธิภาพผลลัพธ์ หรือความคุ้มค่าคุ้มทุนนั่นเอง

ในระบบอินเตอร์เน็ต ถือได้ว่าเป็นสื่อช่องทางที่ทรงประสิทธิภาพสูงสุด และลงทุนต่ำสุดเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆในภาคพื้นดิน มีคนนับล้านคนในแต่ละชั่วโมงทั่วโลกวนเวียนเข้ามาในระบบอินเตอร์เน็ต และเป็นสื่อช่องทางที่ไร้พรหมแดน ไร้สถานที่ ไร้กาลเวลา ไม่เลือกเชื้อ ชาติ ชนชั้นวรรณะ เพศหรือวัยเพียงมีคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นแบบพกพาหรือตั้งโต๊ะ โทรศัพท์มือถือ ก็สามารถเข้าใช้อินเตอร์เน็ตได้ และยังเป็นชุมชนของโลกที่ไม่มีเวลาหลับ ระบบอินเตอร์เน็ตนับว่าเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต้องมีในชีวิตประจำวันของมนุษย์โลกไปซะแล้ว และยังมีผู้สังเกตุการณ์ว่า มีกระแสร์เม็ดเงินไหลเวียนอยู่ในระบบอินเตอร์เน็ตนับพันนับหมื่นล้านดอล่าร์ในแต่ละวันที่ใครๆก็สามารถตักตวงเอาได้ตามแต่ภูมิปัญญาของแต่ละคนๆไป

เครื่องมือสื่อสารหลักทางอินเตอร์เน็ตประกอบไปด้วย อีเมล เว็บไซต์ โดยมีเซิร์ชเอ็นจิ้นเป็นตัวกลางหลักให้ อีเมล์ และเว็บไซต์สื่อสารได้ ดังนั้นการที่จะให้ใครๆพบเห็นเว็บไซต์ของเราก็เห็นจะหนีไม่พ้น อีเมล์ เว็บไซต์ และ เซิร์ชเอ็นจิ้นนั่นเอง

ขณะนี้เรามีเว็บไซต์แล้ว ดังนั้นเราจะมาพูดถึงการใช้เครื่องมือสื่อสารให้มีผู้พบเห็นข้อมูลข่าวสาร สินค้าและบริการในเว็บไซต์ของเรา ดังนี้ อีเมล์&เว็บไซต์ เว็บไซต์&เว็บไซต์ และเว็บไซต์&เสิร์ชเอ็นจิ้น

การโปรโมท อีเมล์ & เว็บไซต์ ปัจจุบันใครไม่มีอีเมล์แอดเดรสเป็นของตัวเองก็จัดได้ว่า ดักดานตัวเองได้เยี่ยมมาก เพราะเด็กอนุบาลส่งการบ้านให้คุณครูโดยทางอีเมลกันแล้วครับ ดังนั้นเราก็สามารถใช้อีเมล์แอดเดรสของเรานี่แหละส่งข้อมูลข่าวสารไปยังที่อยู่อีเมล์ของเพื่อนๆหรือคนที่เรารู้จัก ไม่ว่าคุณจะส่งงาน ข่าวสาร ธุระอะไรก็แล้วแต่จะดีไม่น้อยถ้าคุณพิมพ์ชื่อโดเมนเนมของคุณลงท้ายไปด้วย เช่น gmail สามารถตั้งค่าทุกครั้งที่เราส่งข้อความออกเราสามารถใส่ลายเซ็น (ข้อความที่เราโฆษณาแฝงสั้น ๆ ใส่เว็บไซต์ของเราเข้าไปด้วย) เมื่อเมล์ถูกส่งออกไป อีเมล์ปลายทางก็อาจจะเป็นลูกค้าหรือสมาชิกของคุณ หรือตั้งค่าตอบกลับเมื่อมีเมล์ส่งที่อีเมล์ของคุณ ระบบเมล์จะตอบกลับไป เราก็ใส่ข้อความโฆษณาเป็นข้อความตอบกลับ เช่น ขอบคุณครับที่ส่งข้อมูลมาให้ ผมอยากให้คุณดูเว็บนี้จังเลยน่าจะทำงานให้เงินไหลเข้าบัญชีของคุณเดือนละแสนก็ได้
อีเมลแอดเดรสที่นิยมใช้กันทั่วโลกและเป็นสากลก็คงจะหนีไม่พ้น 3 ยักย์ใหญ่นี้ครับ

Gmail สมัครเปิดบัญชีผู้ใช้ที่นี่
Yahoo! สมัครเปิดบัญชีผู้ใช้ที่นี่
Hotmail สมัครเปิดบัญชีผู้ใช้ที่นี่

ควรสมัครเปิดลงทะเบียนใว้หลายๆบัญชีครับเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน เช่นควรแยกประเภทอีเมลสำหรับการใช้งานดังนี้ สำหรับกลุ่มเพื่อนๆ สำหรับสมัครสมาชิกทั่วไป สำหรับติดต่อลูกค้า สำหรับเกี่ยวกับธุรกรรมธนาคารและการเงิน สำหรับติดต่อสำนักงาน ดังนีเป็นต้น และควรจดบันทึกพาสเวิร์ดใว้ต่างหากเพื่อกันลืมและไม่ควรให้คนอื่นทราบรหัสล๊อกอินเข้าบัญของเราทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย

การโปรโมท เว็บไซต์ & เว็บไซต์ คือการใช้ประโยชน์จากเว็บไซต์อื่นๆหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โพสต์กระทู้เว็บบอร์ดนั่นเอง โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่มีผู้คนเข้าเยี่ยมชมมากๆหรือเว็บบอร์ดสาธารณะซึ่งมีอยู่ในระบบเว็บไซต์มากมาย เราก็เพียงแต่ไปทำการโพตส์ข้อความ เนื้อหาที่เราต้องการโปรโมทประชาสัมพันธ์ใว้ในเว็บบอร์ดของเว็บไซต์นั้น พิมพ์ชื่อโดเมนเนมหรือแทร็กลิ้งค์กลับมายังหน้าเว็บไซต์หรือหน้าสินค้าและบริการของเรา ควรระมัดระวัง กฏกติกามารยาทของเว็บอบร์ดนั้นๆด้วยว่า มีกฏข้อห้ามอะไรบ้างเพราะบางแห่งอาจไม่อนุญาติให้โปรโมทโฆษณาด้วยการใส่ลิ้งค์ มิเช่นนั้นแล้วข้อความของท่านอาจดถูกลบทิ้ง หรืออาจถูกเจ้าของเว็บไซต์ฟ้องร้องได้ นอกจากนี้แล้วบางเว็บไซต์จะมีบริการให้ทำการ AddUrl เข้าไปในไดเร็กทอร์รี่ได้ด้วย ยิ่งเราได้ทำการแอดยูอาร์แอลเว็บไซต์ของเราเข้าไปใว้กับผู้ให้บริการมากรายเท่าใหร่ก็จะทำให้เว็บไซต์ของเรามีโอกาสค้นพบจากผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจากแหล่งอื่นๆได้ง่ายขึ้นเราควร ทำการแอดให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้เพราะยังงัยก็ฟรี

เราจะรู้ได้อว่างไรว่าจะไปโพสต์ที่เว็บไหน ง่าย ๆ ครับ ให้เข้าไปที่ http://www.google.com/ ค้นหาคำว่า "ประกาศฟรี โฆษณาฟรี ร้านค้าออนไลน์ หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องที่เราอยากรู้ เมื่อเราค้นหาเสร็จก็เลือกคลิ๊กไปที่เว็บไซต์นั้น ๆ มีเว็บไซต์มากมายให้คุณเลือกลงประกาศ เช่น http://www.sanook.co/ http://www.pantipmarket.com/ เมื่อเข้าไปที่เว็บไซต์สิ่งแรกที่ต้องทำคือ หาเมนูที่เขาเปิดให้เราโฆษณาฟรี หาง่ายครับ เมื่อคลิ๊กที่เมนูก็จะมีแบบฟอร์มให้เรากรอกข้อความที่เราจะโฆษณา ให้เราใส่รายละเอียดให้ครบถ้วนทำตามขั้นตอนที่เว็บไซต์นั้น ๆ แนะนำ

สร้างจุดเด่น เรียกร้องความสนใจ นี่คือ ข้อความที่คุณต้องเขียนมันออกมาเพื่อดึงดูดความสนใจให้คนดูประกาศของคุณและคลิ๊กเข้าไปที่เว็บไซต์ของคุณ ดูตัวอย่างข้อความโฆษณาจากเมนูที่เรทำเห็นต้นแบบไว้ให้

การลงโฆษณา Banner ตามเว็บไซด์ต่างๆ ส่วนใหญ่ที่เป็นชุมชน เว็บสาธารณะ เว็บเหล่านี้มักจะเปิดพื้นที่เพื่อขายโฆษณาให้กับเรา เริ่มต้นตั้งแต่ 300 - 2,000 บาท/เดือน หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับอัตราของแต่ละเว็บไซด์ ให้เราพิจารณาจากสถิติของเว็บว่าปริมาณต่อวันที่คนเข้าเว็บคุ้มค่าที่จะซื้อโฆษณาหรือไม่

การโฆษณาที่ Hi5 ปัจจุบัน Hi5 นับว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทุกวัย นี่ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่คุณจะโปรโมทเว็บได้เช่นเดียวกัน ลองดูตัวอย่างที่นี่ครับ ผมทำตัวอย่างไว้นิดหน่อย ใครมีไอเดียก็เต็มที่เลยครับ http://tongkhao2008.hi5.com

การลงโฆษณากับ Google สำหรับวิธีนี้ จะได้ทีมงานและลูกค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย สำหรับค่าใช้จ่าย จะคิดต่อการ click 1ครั้ง อาจจะเริ่มต้นที่ 1.00 บาท/คลิก ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับคำค้นหาแต่ละคำ เรามีทีมงานคอยให้ความช่วยเหลือครับ เพียงคุณมีงบประมาณก็ทำได้ง่าย ๆ
การนำ URL ไปเพิ่มในเว็บไซด์ต่างๆ เพื่อAdd url Free, เพิ่มชื่อ url, เพิ่มชื่อ, เพิ่มรายชื่อ, เพิ่มชื่อเว็บ, addsite ฟรี หลังจาก ที่ทำเว็บไซต์ แล้ว และต้องการให้ Search Engine อย่าง Google, Yahoo, MSN เข้ามาค้นเว็บไซต์เรา โดยการเพิ่มชื่อ url หลัก เข้าไปให้ระบบค้นหาของ Google ทำ Index และเป็นส่วนหนึ่งในหมวดหมู่ของ เว็บต่างๆ

คุณอาจจะเคยคลิ๊กดูโฆษณาของคนอื่น แต่วันนี้คุณกำลังจะโฆษณาให้คนกว่า 20 กว่าล้านคนในประเทศไทยที่ใช้อินเตอร์เน็ตเข้ามาดูเว็บไซต์ของคุณ ถ้าพิมพ์ใบปลิวแจกสัก 100,000 ใบ ต้นทุนคุณ 0.50 สตางค์ ก็มีต้นทุนแล้ว 50,000 แต่ในอินเตอร์เน็ต คุณแจกใบปลิว 20 ล้านใบค่าใช้จ่ายคุณอยู่ที่ 500 บาทต่อเดือน (ค่าอินเตอร์เน็ตรายเดือน) แต่ 20 ล้านคนอาจจะมีหลายพันคนที่สนใจทำงานกับคุณและเขาเหล่านั้นกำลังจะทำเช่นเดียวกับคุณ เงินจะไหลเข้ากระเป็ของคุณแน่นอนหากคุณโปรโมทเว็บไซต์ได้ดี

ร่วมสร้างบุญบารมี พระมหาเจดีย์สมเด็จฯ

มหานิสงส์การสร้างพระมหาเจดีย์

ผู้มีจิตศรัทธาร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างพระมหาเจดีย์ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนี้ จักมีผลให้ผู้ประกอบ การบุญการกุศลนี้เอง และผู้ชักนำให้ผู้อื่นร่วมประกอบการบุญการกุศลด้วย เจริญด้วยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และ พระนิพพานสมบัติ มีมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ได้มาก ดังที่ท่านพระมหากัสสปเถระผู้เป็นพระอรหันต์ ได้กล่าวถึงประวัติและผลบุญของท่านไว้ ความว่า

"ในครั้งที่พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระได้นิพพานแล้ว ท่านได้ชักชวนหมู่ญาติและประชาชน ให้มาร่วมกัน
สร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า ทุกคนมีจิตเลื่อมใส ปีติอิ่มเอมใจ จึงได้ช่วยกันสร้างเจดีย์
สูง ๑๐๐ ศอก สร้างปราสาทสูง ๑๖๐ ศอก สูงตระหง่านจรดท้องฟ้า เมื่อท่านสิ้นชีวิตแล้ว ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์ มีปราสาทหนึ่งหลัง สร้างด้วยทองคำ ทั้งยังมีอำนาจเหนือเทวดาทั้งปวง ในกัปที่ ๖๐,๐๐๐ ได้เป็นกษัตริย์ที่
ยิ่งใหญ่ พระนามว่า อุพพิทธะ ครอบครองทวีปทั้ง ๔ ในภัทรกัปนี้ ก็ได้เป็นกษัตริย์เช่นนั้น ๓๐ ครั้ง เป็นพระเจ้า
จักรพรรดิผู้มีกำลังมาก สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ ประชาชนมีความสุขสำราญดังเทพ
นคร สิ้นชีวิตแล้วได้ไปเกิดเป็นเทวดา และชาติสุดท้ายได้มาเกิดในสกุลพราหมณ์ที่ร่ำรวย แต่ก็ได้สละทรัพย์ออกบวช
จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ผู้เลิศด้วยปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖"

คลิกดูรายละเอียดที่นี่

อานิสงส์การทำบุญต่างๆและแก้กรรม

ในวัฏฏสงสารอันกำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้นี้ ทุกๆชีวิตที่เกิดมาจะเป็นไปตามยถากรรมของตน ต้องเกิดชาติแล้วชาติเล่า บุคคลที่ไม่ได้เห็นภพชาติในอดีตของตน ย่อมจะไม่เบื่อหน่ายในเส้นทางอันยาวไกลสายนี้ บุญเปรียบเหมือนเสบียงในการเดินทางไกล ท่านแม่ชีได้ระลึกย้อนอดีตให้แก่ผู้คนที่เข้ามาหา บางคนก็เกิดมามีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้ไม่อยากตายจากโลกนี้ไปเลย แต่บางคนแทบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่แม้อีกเพียงวันเดียว นั่นเป็นเพราะแต่ละคนมีเสบียงมาไม่เท่ากัน แถมซ้ำยังสร้างเวรกรรมมาไม่เหมือนกันอีก ทำให้ชีวิตทุกรูปนามไม่มีใครที่เหมือนกันเลย แต่สิ่งเดียวที่ทุกๆคน ปรารถนาเหมือนกันก็คือ มีความสุข มีความบริบูรณ์ในชีวิต และพ้นจากความทุกข์ที่มีอยู่ในที่สุด ท่านแม่ชีได้ชี้แนะผู้คนถึงวิธีการสั่งสมบุญ เพื่อที่จะเป็นเสบียงติดตัวไป ส่วนผู้ที่ติดกรรมก็สอนให้เขาได้ทำบุญที่มีอานิสงส์แก้กรรมที่เขาติดอยู่ อานิสงส์ของบุญต่างๆ มีดังนี้

อานิสงส์ของการปล่อยปลา
ส่งผลให้ต่ออายุให้เจ้าชะตาที่ป่วยหนัก หรือชะตาขาด สุขภาพไม่ดี เหมือนปลาที่ต้องถึงที่ตายแล้ว แต่เราได้ทำการต่ออายุให้เขาได้มีชีวิตอยู่ต่อไปการทำงานก็จะไหลลื่น มีทางออก มีทางไปทางมา ไม่ตีบตัน คล่องตัว ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีคนช่วยเหลือไม่ให้อับจนหนทาง
*ช่วยแก้กรรมให้กับผู้ที่ ชะตาขาด หมดอายุ ป่วยหนัก สุขภาพไม่ดี หรืออยู่ในสภาพที่อึดอัดถูกบีบคั้น มีความเครียดจัด ถูกคนทำร้าย ทำอะไรไม่ไหลลื่น ไม่มีทางออก

อานิสงส์ของการสร้างโรงครัวถวายวัด
ส่งผลให้เกิดภพชาติใดก็ไม่อดอยากหิวโหย มีของกินของใช้ไม่ขาดแคลน อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติมีกินมีใช้ตลอดปีตลอดชาติ ไปที่แห่งใดก็ปลอดภัย อิ่มจิต อิ่มใจ อิ่มกายมีหน้าตาผ่องใส
*ช่วยแก้กรรม ให้กับผู้ที่เกิดมาชาตินี้ ไม่ค่อยพอมีพอใช้ อดมื้อกินมื้อ หาเช้ากินค่ำ ทำเท่าไหร่ก็ไม่เหลือเก็บ หรือแม้แต่พวกที่ไม่ค่อยมีเวลาใส่บาตรตอนเช้า การที่เราทำโรงครัวให้กับวัดก็เหมือนกับการที่เราได้ใส่บาตรทุกวัน

อานิสงส์ของการเป็นเจ้าภาพบวชพระ/เณร
ส่งผลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรที่เคยถูกเราเคยฆ่า เคยทรมาน หรือกรรมที่เราทำหนักๆ ไว้กับคน และ สัตว์ อย่างเช่น ทำแท้ง จะช่วยส่งวิญญาณของลูกให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี ไม่มีความทุกข์ ความหม่นหมอง ปัญหาหนี้สินที่มีอยู่ก็จะคลี่คลายไปในทางที่ดี
*ช่วยแก้กรรมให้กับผู้ที่ เคยทำแท้ง เคยฆ่าคน เคยทรมานสัตว์ ซึ่งอานิสงส์การเป็นเจ้าภาพบวชนี้มีมากล้น ซึ่งสามารถทำให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ได้อาฆาตพยาบาตเรา จะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี ไม่พยาบาทจองเวรอีกต่อไป

อานิสงส์ของการซื้อท่อเพื่อต่อน้ำเข้าวัด
ส่งผลให้เกิดภพชาติไหนก็มีความร่มเย็นเป็นสุข ไม่คลาดแคลน ไม่หิวกระหาย จะทำให้เรามีจิตใจ ชุ่มเย็น จะไม่ได้พบกับความแห้งแล้ง มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ ผิวพรรณก็จะผ่องใส เกิดมาจะเป็นผู้ที่มีหน้าตางดงาม วาจาไพเราะ ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน ถ้าทำการค้า เงินทองจะไม่ติดขัดจะไหลมาเหมือนดังสายน้ำ
*ช่วยแก้กรรมให้กับผู้ที่ มีโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะโรคทางผิวพรรณ คนที่จิตใจเร่าร้อน ทำการค้าขายติดขัด หรือแม้แต่ผู้ที่ต้องใช้ชีวิตในแผ่นดินที่แห้งแล้ง

อานิสงส์ในการซื้อที่ดินถวายวัด
ส่งผลให้ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนแผ่นดินนั้นก็จะเจริญงอกงามด้วยเพราะอานิสงส์แห่งการถวายที่ดินให้แก่พุทธศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดภพชาติใดก็จะมีที่ดินเป็นของตัวเอง และเป็นที่ดินที่มีทำเลดี เป็นที่ต้องการของคนทั้งหลาย เราจะไม่ต้องเร่ร่อน ไม่อดอยาก เมื่อจากโลกนี้ไปแล้วจะมีวิมานที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล
*ช่วยแก้กรรมให้กับผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกิน ต้องเช่าเขา ถูกเขาโกงที่ หรือเกิดมาชาตินี้ต้องมาอยู่ที่แออัดคับแคบ แย่งกันอยู่ แย่งกันใช้

อานิสงส์ในการสร้างห้องน้ำถวายวัด
ส่งผลให้คนที่ทุกข์ใจมาก ก็จะคลายทุกข์ โศก โรค ภัย ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง จะทำให้ทุกข์หนักๆ หรือมีเจ้ากรรมนายเวรหนักๆ ที่โถมกระหน่ำเราอยู่ ก็จะคลี่คลายไปได้ด้วย ไปไหนมีแต่คนคอยช่วยเหลือเกื้อกูลมีแต่สิ่งที่ดีๆ ในชีวิตทั้งภพนี้และภพหน้า
*ช่วยแก้กรรมให้กับผู้ที่ มีความทุกข์หนัก ชาตินี้มีความทุกข์มาก ทำอะไรก็ลำบากยากเข็ญ มีความคับแค้นใจ ไม่สบายใจ

อานิสงส์ในการสร้างฐานโบสถ์
ส่งผลให้ครอบครัว และการงาน จะเป็นบึกแผ่น ไม่คลอนแคลน ไม่ล้ม เป็นฐานของบุญอันยิ่งใหญ่ครอบครัว และเครือญาติ จะมีความอบอุ่น รักใคร่ปรองดองกัน ไม่ว่าจะเกิดชาติใด ก็จะเป็นคนมีหลักฐานมั่นคง ไม่เป็นคนหลักลอย ชีวิตมีหลัก ทำสิ่งใดก็สัมฤทธิ์ผล จะมีฐานรองรับทรัพย์เพิ่มพูนมหาศาล เหมือนดั่ง ฐานโบสถ์ ที่รองรับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ฐานบุญของเรามีความมั่นคง สมบูรณ์ที่สุด
*ช่วยแก้กรรมให้กับผู้ที่ ครอบครัวแตกแยก มีชีวิตหลักลอย เปลี่ยนงานบ่อย ย้ายบ้านบ่อย ไม่มีหลักในชีวิต ผู้ที่รู้สึกเคว้งคว้าง คลอนแคลนในชีวิต

อานิสงส์ในการสร้างหลังคาศาลาปฏิบัติธรรม
ส่งผลให้สามารถทำงานที่ใหญ่โตได้สำเร็จโดยง่าย ไม่มีอุปสรรค จะมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต มีอำนาจ บารมี บริวารที่ดี มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ไม่ร้อนกาย ร้อนใจ เหมือนดั่งที่หลังคาคอยคุ้มแดด คุ้มฝนให้แก่ผู้คนที่มาปฏิบัติธรรม จะไม่มีคนคิดปองร้าย จะไม่ขาดแคลนปัจจัย 4 เกิดชาติไหนมีแต่คนนับหน้าถือตา และกิจการก็จะเจริญก้าวหน้าจนใหญ่โตเสมอ
*ช่วยแก้กรรมให้กับผู้ที่ ทำงานใหญ่โดยเฉพาะ ผู้ใดที่ทำงานใหญ่แล้วมีอุปสรรค ไม่มีอำนาจ บริวารช่วยเหลือ หรือ คนที่มีความร้อนอก ร้อนใจกระวนกระวายใจ มีคนปองร้าย หรือถูกให้ร้ายเสมอในชีวิต ไม่มีความร่มเย็นเป็นสุข

อานิสงส์ในการต่อไฟฟ้าเข้าวัด
ส่งผลให้เป็นผู้ที่ไม่เศร้าหมอง ทางเดินของชีวิตจะสว่างไสว ไม่มีทางตัน คิดนึกที่จะแก้ปัญหาได้ง่ายมีทางออกเสมอ จิตใจจะสว่างไสว สุขภาพร่างกายก็แข็งแรงตามไปด้วย ไม่ว่าเราจะไปตกทุกข์ได้ยากที่ไหน ก็จะมีสิ่งที่ช่วยเราให้มีทางออก พ้นจากความทุกข์ตรงนั้นได้ พ้นจากเคราะห์กรรม ตรงนั้นได้ เหมือนดั่งที่ไฟฟ้า ทำให้วัด สว่างไสว และยังมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย และเกิดชาติไหนก็จะมีสายตาดี ไม่มีความบกพร่องในการมองเห็นเลย เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้วก็จะมีวิมานที่สว่างไสวยิ่งนัก
*ช่วยแก้กรรมสำหรับผู้ที่ มีความเศร้าหมองในจิตใจ พบทางตันในชีวิต และพวกที่มีความบกพร่องในการมองเห็น

อานิสงส์ของการทำบุญโลงศพ
ส่งผลให้เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ สิ่งไม่ดีหมดไป เหมือนต่ออายุให้ตนเองอีกทางหนึ่ง เคราะห์ร้ายกลายเป็นดี เป็นการได้ช่วยศพที่ไม่มีญาติ ทำให้วิญญาณผีตายโหง ทั้งหลายอนุโมทนาบุญกับเรา ไม่ติดตามอาฆาตพยาบาทจองเวรเรา
*ช่วย แก้กรรมให้กับผู้ที่ มีเคราะห์หนัก มีเกณฑ์อุบัติเหตุ หรือผู้ที่มีวิญญาณผีตายโหงตามรังควาน นอนไม่หลับ นอนผวา

อานิสงส์ของการถวายระฆัง
ส่งผลให้เกิดภพชาติใดจะมีชื่อเสียงโด่งดัง ไปทั่วทุกสารทิศ ไปไหน ก็มีคนรู้จักเคารพนับถือ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็จะเจริญก้าวหน้า เป็นผู้มีวาจาดังกังวาน และคำพูดศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่น่าเกรงขาม น่าเชื่อถือ น่าเคารพ ยังส่งผลให้ติดต่อค้าขายเจรจาดีมาก มีความจำเป็นเลิศ อายุยืนยาว
*ช่วยแก้กรรมให้กับผู้ที่ทำงานที่ต้องใช้ชื่อเสียง หรือ เสียงอย่างนักร้อง ผู้ที่มีความบกพร่องทางเสียง พวกเสียงแหบ เสียงแห้ง ทั้งหลาย และคนที่ต้องติดต่อทำการค้า เจรจาต่อรอง

อานิสงส์ของการสร้างถนนเข้าวัด
ส่งผลให้มีลู่ทางในการทำมาหากิน มีช่องทางเสมอ เดินทางก็ปลอดภัยแคล้วคลาด ไม่มีอุปสรรค คล่องตัว สะดวกสบายขึ้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ติดขัด มีหนทางโล่งเตียน เหมือนดั่งถนนที่ช่วยให้สาธุชนทั้งหลายได้เดินทางกันมาทำบุญในวัดได้ง่ายดาย
*ช่วยแก้กรรมให้กับผู้ที่ ไม่รู้อนาคตตัวเอง ไม่รู้จะทำอะไรในชีวิต ชีวิตพบกับทางตัน มืดแปดด้าน ปัญหารุมล้อม

อานิสงส์การสร้างกุฏิถวายพระภิกษุ สามเณร แม่ชี
ส่งผลให้ไม่ว่าจะเกิดภพชาติใด มีบ้านเรือนเป็นของตนเอง ไม่ต้องไปเช่าบ้านอยู่หรือเร่ร่อนพเนจร มีความร่มเย็นเป็นสุข เหมือนดังกุฏิที่เราได้สร้างถวายย่อม คุ้มแดดคุ้มฝน เป็นที่พำนักพักพิงให้แก่ ภิกษุทั้งหลายและยังส่งอานิสงส์ใหญ่ให้แก่ญาติที่เสียชีวิตไปแล้วหรือแม้ตนเองเมื่อจากโลกนี้ไปก็จะมีวิมานทิพย์ เสวยสุขในภูมินั้นๆ
*ช่วยแก้กรรมให้กับผู้ที่ ไม่มีที่อยู่เป็นของตนเอง ระเหเร่ร่อน ต้องเช่าเขาอยู่ เช่าเขาทำมาหากิน บางครั้งก็ถูกเขาไล่ที่บ้าง ขึ้นค่าเช่าบ้าง หรือพวกที่โดนเขาโกงบ้าน โกงที่อยู่ ที่ทำมาหากิน
หากผู้ใดปรารถนาสิ่งใด ก็ขอให้เร่งสั่งสมบุญสิ่งนั้นไว้เป็นเสบียงที่จะติดตัวเราไว้เดินทางในสังสารวัฏนี้

ท่านซื้อลอตเตอรี่แล้วทำไมไม่ถูกรางวัล?

ทุกท่านเคยสงสัยบ้างไหมครับว่าเวลาท่านซื้อลอตเตอรี่แล้วทำไมไม่ถูกรางวัล กันบ้างเลย แต่ถ้าหากท่านเป็นคนช่างสังเกตุ ผมแน่ใจเลยครับ ว่าท่านที่คิดจะซื้อลอตเตอรี่ ครั้งต่อไป หรืองวดต่อไป ท่านจะมีโอกาสถูกลอตเตอรี่แน่นอน
มีคำแนะนำเล็กๆน้อยๆ จากผม ไม่รู้ว่าทุกท่านรู้อยู่แล้วหรือปล่าว หากบางท่านรู้อยู่แล้วก็ฟังอีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้ายังก็คิดเสียว่า เป็นความรู้หรือประสบการณ์ใหม่ๆก็แล้วกันครับ

เลขเบิ้ล 00 11 22 33 44 55 66 77 88 99
เลขตอง 000 111 222 333 444 555 666 777 888 999

เห็นตัวเลขก็อย่าพึ่งงง นะครับ ตัวเลขพวกนี้ คือเลขเงิน ที่จะทำให้ทุกท่านถูกหวยทุกงวด หากท่านช่างสังเกตุนิดหนึ้ง ตัวเลขพวกนี้ จะออกทุกงวด เหตุผล หรือครับ หากท่านเป็นคนออกเลขสลากและเป็นผู้พิมพ์และจำหน่าย เลขที่จะทำให้ท่านมีกำไรมากที่สุดคือเลขอะไรครับ หมายถึงท่านเป็นผู้จำหน่ายสลากเองนะครับ เลขที่ทุกคนมองข้าม คือเลขกลุ่มนี้แหละครับ ส่วนใหญ่เลขที่ออกมากในแต่ละงวดคือเลขเบิ้ลมากกว่าเลขตอง

วิธีการซื้อลอตเตอรี่ คือ เวลาซื้อทุกครั้งให้ซื้อติดเลขเบิ้ล ทุกครั้งหากไม่หวังรางวัลเลขท้าย 3 ตัวตัวอย่างเลขเบิ้ลที่ออกทุกงวด เลขอะไรก็ได้
00_ _ _ _ _ 11 _ _ _ _ _ 22 _ _ _ _ _33 _ _ _ _ _44

ความแม่นยำ 99.99 % จะออกมาก รางวัลที่ 3 , 4 , 5 มากที่สุด

สำหรับ รางวัลที่ 1 2 %
รางวัลที่ 2 5 %

กรุณาอย่าเชื่อผม โดยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ถ้าหากท่านมีเวลาว่างๆ ท่านหาใบตรวจผลสลาก นำมาเช็คอีกครั้งตั้งแต่รางวัลที่ 2 ถึงรางวัลที่ 5 นะครับ แล้วท่านจะพบคำตอบว่าทำไม ว่าท่านจะมีโอกาสถูกลอตเตอรี่ ในงวดต่อๆไป แล้วพบกันนะครับ สวัสดีครับ

ไหว้พระธาตุ ประจำปีเกิด เสริมดวง

ไหว้พระธาตุ ประจำปีเกิด

ปีชวด : หนู => พระธาตุศรีจอมทอง
วัดพระบรมธาตุศรีจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่
พระธาตุจอมทอง เป็นที่ประดิษฐานของพระทักษิณโมลีธาตุ (พระธาตุ ส่วนที่เป็น พระเศียรเบื้องขวาของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) มีขนาดโตประมาณ เมล็ดข้าวโพด สันฐานกลมเกลี้ยง สีขาวนวลเหมือน ดอกบวบ หรือ สีดอกพิกุลแห้ง ตามประวัติเล่าว่า พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นผู้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่ ดอยจอมทอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 218 ปัจจุบัน พระธาตุ ถูกบรรจุไว้ในพระโกศ 5 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่ภายใน พระวิหารจตุรมุข ก่ออิฐถือปูนทั้งองค์ มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส คล้ายพระเจดีย์ กว้าง 4 เมตร สูง 8 เมตร ตามประวัติว่าสร้างขึ้นโดย พระเจ้าดิลกปนัดดาธิราช หรือ พระเมืองแก้ว กษัตริย์ราชวงศ์มังราย เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2060

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)

นะโมพุทธายะ นะมามิ ติโลกะโมลี
โลหะกูเฎ ปะติฎฐิตัง ปูชิตัง สัพพะโลเกหิ
กิตติมันตัง มะโนหะ รัง อะหัง วันทามิ
อสัพพะทา อัง คะวะเย ปุเรรัมเมิโกวิลา
รัคคะปัพ พะเต สะหิเหมะคูหา คัพเภ
ทักขิณะโมลี ธาตุโย อะหัง วันทามิ สัพพะทา

ปีฉลู : วัว => พระธาตุลำปางหลวง

วัดพระธาตุลำปางหลาง อ.เกาะคา จ.ลำปาง
ประวัติพระธาตุลำปางหลวง ตามตำนานกล่าวว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระเถระสามองค์ได้เสด็จจาริกไปตามบ้านเมืองต่าง ๆ จนถึงบ้านสัมภะการีวัน (บ้านลำปางหลวง) พระพุทธเจ้าได้ประทับเหนือดอยม่อนน้อย มีชาวลัวะคนหนึ่งชื่อ ลัวะอ้ายกอน เกิดความเลื่อมใส ได้นำน้ำผึ้งบรรจุกระบอกไม้ป้างมะพร้าว และมะตูมมาถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ฉันน้ำผึ้งแล้วทิ้งกระบอกไม้ป้างไปทางทิศเหนือ แล้วทรงพยากรณ์ว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปจะมีชื่อว่าลัมพกัปปะนคร แล้วได้ทรงลูบพระเศียรได้พระเกศามาหนึ่งเส้น มอบให้แก่ลัวะอ้ายกอน ลัวะอ้ายกอนได้นำพระเกศานั้น บรรจุในผอบทองคำ และใส่ลงในอุโมงค์พร้อมกับถวายแก้วแหวนเงินทองเป็นเครื่องบูชา แล้วแต่งยนต์ผัด (ยนต์หมุน) รักษาไว้ และถมดินให้เรียบเสมอกัน แล้วก่อเป็นพระเจดีย์สูงเจ็ดศอกเหนืออุโมงค์นั้น ในสมัยต่อมาก็ได้มีกษัตริย์อีกหลายพระองค์ มาก่อสร้างและบูรณซ่อมแซม จนกระทั่งเป็นวัดที่มีความงามอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)
ยาปาตุภูตา อะตุลานุภาวาจีรัง
ปะติฎฐาสัมภะ กัปปะปุเร เทเวนะ
คุตตา อุตตะราภิทัยยา นะมามิหันตัง
วะระชินะธาตุง ฐะเปติ มะหา ฐาเน
เจติยัง ปูชิตา นะเะเทเวหิ
อะหัง วันทามิ ธาตุโย


ปีขาล : เสือ => พระธาตุช่อแฮ

วัดพระธาตุช่อแฮ อ.เมือง จ.แพร่
พระธาตุช่อแฮ เป็นเจดีย์บรรจุพระเกศาและพระบรมสารีริกธาตุพระศอกซ้ายของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปูชนียสถานที่ศักดิ์ศิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของเมืองแพร่มาแต่โบราณตามตำนานกล่าวว่าขุนลัวะอ้ายก๊อมเป็นผู้สร้าง ปรากฏหลักฐานการบูรณะปฏิสังขรณ์ระหว่าง พ.ศ. 1879-1881 ในสมัยพระมหาธรรมราชา(ลิไท) เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระมหาอุปราชครองเมืองศรีสัชนาลัย ลักษณะองค์พระธาตุเป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ศิลปะแบบเชียงแสนสูง 33 เมตร ฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 11 เมตร สร้างด้วยอิฐโบกปูน หุ้มด้วยแผ่นทองเหลือง ลงรักปิดทอง

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)
โกเสยยะ ธะชัคคะ
ปัพพะเต สัตตะมะโนรัมเม
พุทธะ เกสาธาตุ ปะติฎฐิตา
อะหัง วันทามิ สัพพะทา
อะหัง วันทามิ ธาตุโย
อะหัง วันทามิสัพพะโส


ปีเถาะ : กระต่าย => พระธาตุแช่แห้ง

วัดพระธาตุแช่แห้ง กิ่งอ.ภูเพียง จ.น่าน
จากพงศาวดารเมืองน่านกล่าวว่า พระยาการเมือง เจ้านครน่านได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากกรุงสุโขทัย มาประดิษฐานไว้ที่ดอยภูเพียงแช่แห้ง และตามตำนานกล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับสรงน้ำที่ริมฝั่ง แม่น้ำน่านทางทิศตะวันออก ที่บ้านห้วยไค้ และเสวยผลสมอแห้ง ซึ่งพระยามลราชนำมาถวาย แต่ผลสมอนั้นแห้งมาก พระพุทธเจ้าจึงทรงนำผลสมอนั้นไปแช่น้ำก่อนเสวย และทรงพยากรณ์ว่า ต่อไปที่นี่จะมีผู้นำพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐาน จึงเรียกพระสถูปที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุแห่งนี้ว่า พระธาตุแช่แห้ง

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)
ยาปาตุภูตา อะตุลานุภาวาจีรัง
ปะติฎฐิตา นันทะกัปปะเก
ปุเร เทเวนะ คุตตา วะระพุทธะธาตุง
จิรัง วันทามิหันตัง ชินะธาตุโย
โส ตะถาคะตัง
อะหัง วันทามิ สัพพะทา อะหัง วันทามิ ทูระโต


ปีมะโรง : งูใหญ่ => พระธาตุเจดีย์วัดพระสิงห์

วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อ.เมือง จ.เชียงใหม่
เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งซึ่งประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิเพชร ประดิษฐานอยู่ในวิหารลายคำ เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ชาวเมืองจะอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้แห่ไปตามถนนรอบเมืองเพื่อให้ประชาชนสรงน้ำโดยทั่วถึงกัน แต่เดิมที่ดินบริเวณวัดนี้เป็นตลาด เรียกชื่อว่า วัดลีเชียง (ลี หมายถึง ตลาด) จนถึงปี พ.ศ. 1888 พระเจ้าผายู กษัตริย์องค์ที่ 5 ในราชวงศ์มังรายทรงโปรดฯ ให้สร้างวัดนี้ขึ้น พร้อมทั้งสร้างพระเจดีย์สูง 24 ศอกองค์หนึ่ง เพื่อใช้เป็นที่บรรจุอัฐิพระราชบิดาของพระองค์ สถาปัตยกรรมสำคัญของวัดนี้ได้แก่ วิหารลายคำที่มีจิตรกรรมฝาผนังงดงาม พระอุโบสถ หอไตรที่มีปูนปั้นรูปเทวดาประดับ และเจดีย์ทรงกลมแบบล้านนา

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)
อิติ ปะวะระสิหิงโค อุตตะมะยโสปิ
เตโข ยัตถะ จิตโตโส สักกาโร
อุปาโท สะกาละพุทธะสาสะธัง โชตะยันโตวะ
ทีโป สุระนะเรหิ มะหิโต ธะระมาโนยะ
พุทโธติ นะมามิ สิหิงคะพิมพัง
สุวัณณาภิรัมมัง ลังกาชาตัง

ปีมะเส็ง : งูเล็ก => พระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์

วัดหนองบัว อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
อยู่ชานเมืองอุบลราชธานี ห่างจากตัวเมืองประมาณ 3 กิโลเมตรตามถนนเลี่ยงเมือง จะมีทางแยกจากถนนใหญ่เข้าไปประมาณ 700 เมตร ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ คือ พระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ครบรอบ 25 ศตวรรษ ของพุทธศาสนาในปี พ.ศ. 2500 โดยได้จำลองแบบมาจากเจดีย์ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย นับเป็นวัดเดียวในภาคอีสานที่มีเจดีย์แบบนี้ สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปเป็นป่าโปร่ง ร่มรื่น


คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)
ปะฐะมัง โพธิปัลลังกัง ทุติยัง
อะนิมิสสะกัง ตะติยัง จังกะมะ
เสฏฐัง จะตุตถะกัง ระตะนะฆะรัง
ปัญจะมัง อะชะปาละนิโคธัง
ฉัฏฐัง ราชายะตะนัง สัตตะมัง มุจ
จะลินทัง อะหัง วันทามิ ทูระโต

ปีมะเมีย : ม้า => พระบรมธาตุเจดีย์

วัดพระบรมธาตุ อ.บ้านตาก จ.ตาก
เป็นวัดเก่าแก่ สร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 ชาวบ้านเรียกว่า วัดพระเจ้าทันใจ เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ และมีตำนานว่าสร้างเสร็จในหนึ่งวัน พระเจ้าทันใจนี้ล่ำรือกันว่าศักสิทธิ์นัก จริงๆ แล้วพระเจ้าทันใจมีอยู่อีกหลายวัด แต่ที่เป็นที่นับถือมากที่สุดคือที่วัดพระบรมธาตุ พระครูพิทักษ์บรมธาตุ (ทองอยู่) เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุได้จดจำเอารูปทรงของเจดีย์ชเวดากองมาสร้างครอบเจดีย์องค์เก่า ซึ่งมีรูปทรงสมัยสุโขทัยไว้ และยังสร้างพระบรมธาตุองค์เล็กๆ 16 องค์ และเจดีย์ใส่พระพุทธรูปอีก 16 องค์ และโขงจุดไฟเทียนอีก 6 โขง ไว้รายรอบเจดีย์องค์ใหญ่ด้วย
ด้านซ้ายมือของเจดีย์จะเป็นทางเข้าวิหารเก่าครึ่งตึกครึ่งไม้และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองปางมารวิชัยภายในวิหารยังมีธรรมาสน์เก่าเป็นไม้แกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม ทางซ้ายของเจดีย์เป็นพระอุโบสถครึ่งตึกครึ่งไม้ มีประตูไม้แกะสลักรูปป่าหิมพานต์ หน้าบันและจั่วเป็นไม้แกะสลักไว้อย่างวิจิตร หน้าบันที่สวยมากจะอยู่ทางด้านหลังของพระอุโบสถ บานหน้าต่างเป็นภาพพระพุทธประวัติใช้ไม้แกะสลักปิดทองสวยงามมาก วัดพระบรมธาตุเป็นวัดที่กล่าวได้ว่า สวยงามที่สุดในจังหวัดตาก ในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีชาวบ้านเป็นจำนวนมาก นำดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา นอกจากนั้นยังมีงานประเพณีที่สำคัญอีกงานหนึ่ง คือ ประเพณีขึ้นธาตุเดือนเก้า

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)
สัมมาสัมพุทธะ นะลาตะ อัฏฐิ จะตุเกสาธาตุยา คันธะวะ รัง
ฐิตัง ปะระมา ธาตุ เจติยัง อะหัง วันทามิ สัพพะธา

ปีมะแม : แพะ => พระธาตุดอยสุเทพ

วัดพระธาตุดอยสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
พระบรมธาตุดอยสุเทพ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากือนาธรรมิกราช เจ้าเมืองเชียงใหม่องค์ที่ 9 โดยพระเจ้ากือนาทรงรับสั่งให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่พระมหาสุมนเถระ นำมาจากเมืองศรีสัชนาลัย ซึ่งได้ขุดพบจากนิมิตฝันของพระมหาสุมนเอง เมื่ออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาสู่เชียงใหม่แล้ว พระธาตุได้แยกเป็นสองส่วน พระเจ้ากือนาทรงเลื่อมใส ได้อัญเชิญบรรจุไว้ที่พระธาตุวัดสวนดอก
ส่วนองค์ที่สอง ได้อัญเชิญขึ้นบนหลังช้างเพื่อเสี่ยงทายว่า ช้างหยุดที่ใด ก็จะสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุที่นั่น แล้วปล่อยช้างไป ช้างได้มุ่งหน้าไปสู่ทิศตะวันตก ขึ้นไปยังดอยสุเทวะฤาษี หรือดอยสุเทพปัจจุบัน แล้วมาหยุดที่ยอดดอยสุเทพ พระเจ้ากือนาทรงรับสั่งให้สร้างพระเจดีย์ ณ ที่นั้น มีขนาดสูง 5 วา เมื่อ พ.ศ. 1916 ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2068 พระเจ้าเกษเกล้า กษัตริย์องค์ที่ 12 ของเชียงใหม่ ได้ทำการบูรณะพระเจดีย์ โดยได้นิมนต์พระมหาญาณมงคลโพธิ จากลำพูนมาเป็นประธานการบูรณะ โดยขยายพระเจดีย์ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม สูง 11 วา กว้าง 6 วา ที่ปรากฏทุกวันนี้

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)
สุวัณณะ เจติยัง เกสา
วะระมัตถะลุงคัง วะรัญญะธาตุง
สุเทวะนามะทัง
นะระเทเวหิ
สัพพะปูชิตัง
อะหัง วันทามิ สัพพะ

ปีวอก : ลิง => พระธาตุพนม

วัดพระธาตุพนม อ.ธาตุพนม จ.นครพนม
พระธาตุพนม เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ของภาคอีสาน ประดิษฐานบนเนินที่เรียกว่าภูกำพร้า ปัจจุบันเป็นบริเวณวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนมราว 52 กิโลเมตร พระธาตุพนมสร้างขึ้นแต่สมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ประมาณ พ.ศ. 8 โดยเจ้าเมือง 5 องค์คือ พระยาสุวรรณภิงคารนะ พระยาคำแดง พระยาอินทปัตถะนคร พระยาจุลนีพรหมทัต และพระยานันทเสน เพื่อบรรจุพระอุงรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้า ลักษณะพระเจดีย์เป็นเจดีย์ทรงบัวเหลี่ยม หรือทรงแจกัน ก่อด้วยอิฐมีลวดลายจำหลักลงไปในแผ่นอิฐ มีซุ้มคั่นด้านละซุ้ม ซ้อมกัน 3 ชั้น ลดหลั่นกันลงมาอย่างวิจิตร พระธาตุพนมได้รับการบูรณะเรื่อยมาตามกาลเวลา และในวันที่ 11 สิงหาคม 2518 องค์พระธาตุพนมได้หักโค่นลง ประชาชนชาวไทยทั่วทั้งประเทศได้ร่วมกันสละทุนทรัพย์ก่อสร้างขึ้นใหม่ และมีพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นบรรจุอีกครั้งในวันที่ 23 มีนาคม 2522

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)
ปุริมายะ ทักขิณายะ ปัจฉิมายะ อุตตะรายะ เหฎฐิมายะ อุปะริมายะ
ทิสายะ กะปะณะสิริส สะมิง
ปัพพะเต กัสสะเปนะ ฐาปิตัง
พุทธะอุรังคะธาตุง สิระสา นะ มามิ เสตะฉัตตัง สุวัณณะระชะตัง
ระตะนัง ปะณีตัง พุทธะอุรังคะเจติยัง
อะหัง วันทามิ สัพพะทา

ปีระกา : ไก่ => พระธาตุหริภุญชัย

วัดพระธาตุหริภุญชัย อ.เมือง จ.ลำพูน
พระธาตุหริภุญชัย เป็นปูชนียสถานสำคัญยิ่งแห่งหนึ่งในภาคเหนือ และเป็นมิ่งขวัญของชาวลำพูน ตั้งอยู่ในวัดพระธาตุหริภุญชัย ในกลางเมืองลำพูน ภายในวัดเป็นลานกว้าง มีวิหารหลายหลัง หอระฆังสวยงาม ปรากฏในตำนานว่า สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอาทิตยราช กษัตริย์นครหริภุญชัยราว พ.ศ.1586 ต่อมาได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุนี้อีกหลายครั้งในรัชกาลพระเจ้าติโลกราชเมื่อ พ.ศ.1986 ได้โปรดให้เสริมพระธาตุเป็น 23 วา ฐานกว้าง 12 วา 2 ศอก ยอดมีฉัตร 7 ชั้น
หลังจากนั้นพระเมืองแก้วได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์และสร้างระเบียงหอก ซึ่งเป็นรั้วล้อมพระธาตุ 500 เล่ม แล้วทรงสร้างวิหารหลวง และใน ปีพ.ศ.2329 พระเจ้ากาวิละได้ทรงทำการบูรณะพระบรมธาตุ และทรงสร้างฉัตรหลวงขึ้น 4 มุม และสร้างฉัตรยอดเจดีย์ด้วยทองคำเป็น 9 ชั้น ฐานพระธาตุเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างด้านละ 10 วา และสร้างรั้วทองเหลืองล้อมรอบองค์เจดีย์ด้านในองค์พระธาตุเป็นสีทองอร่ามเป็นที่ต้องตาต้องใจนักท่องเที่ยวต่างเมืองผู้มีโอกาสได้ไปเยือนยิ่งนัก ทางจังหวัดลำพูนได้จัดให้มีงานนมัสการประจำปีขึ้นในวันเพ็ญ เดือน 6 ซึ่งก็คือวันวิสาขบูชา

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)
สุวัณณะเจติยัง หะริ ภุญชะยัฎฐัง
วะระโมลีธารัง อุรัฎฐิ เสฎฐัง
สะหาอังคุลิฎฐิง
กัจจายะเน นะ ฐิตะปัตตัปปะการัง
สีเสนะ มัยหัง ปะระมามิธาตุง

ปีจอ : สุนัข => พระธาตุวัดเกตการาม

วัดเกตการาม อ.เมือง จ.เชียงใหม่
ตามพุทธประวัติ กล่าวไว้ว่าประดิษฐานพระทันตธาตุที่พระอินทร์นำมาจากพระบรมธาตุที่โทณพราหมณ์ได้แอบซ่อนไว้ เมื่อครั้งมีการแบ่ง พระบรม สารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าให้แก่เจ้าเมืองต่างๆ ด้วยเหตุที่ พระธาตุเจดีย์องค์นี้ มนุษย์ไม่สามารถเดินทางไปถึงได้ ดังนั้น นอกจากนมัสการด้วยการบูชารูปแล้วยังสามารถบูชา พระเจดีย์ ที่วัดเกตการาม เชียงใหม่ ซึ่งมีชื่อพ้องกับพระเกศแก้ว จุฬามณี เจดีย์วัดนี้ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำปิง ในเขตย่านการค้าของชาวต่างชาติ ตามประวัติ ว่าสร้างโดยพญาสามฝั่งแกน เมื่อ พ.ศ. 1971 แต่พระเจดีย์ได้พังทลายลง ในปี พ.ศ. 2121พระสุทโธรับ สั่งให้ สร้างขึ้นใหม่ให้เป็นเจดีย์ทรงลังกาแบบล้านนา นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีพระวิหารใหญ่ที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ และพิพิธภัณฑ์เก็บของใช้พื้นบ้านให้ชม (เปิด 08.00 - 16.00 น.) ที่ตั้ง บ้านวัดเกต ถ.เจริญราษฎร์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)
ตาวะติงสายะ ปุรัมเม เกสะจุฬา
มะณี สะรีระปัพพะตา ปูชิตา
สัพพะ เทวานัง ตังสิระสา ธาตุ
อุตตะมัง อะหัง วันทามิ สัพพะทา


ปีกุน : หมู => พระธาตุดอยตุง

ดอยตุง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
พระธาตุดอยตุง นับเป็นโบราณสถานอันเก่าแก่แห่งหนึ่งในภาคเหนือ ตามประวัติตำนานได้กล่าวไว้ว่า พระมหากัสสะปะเถระเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ได้อาราธนาอัญเชิญเอายังพระบรมสารีริกธาตุกระดูกไหปลาร้า(พระรากขวัญเบื้องซ้าย) ของพระพุทธเจ้า มามอบถวายแด่พระเจ้าอุชุตราชเจ้าผู้ครองนครนาคพันธ์โยนกชัยบุรี รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์สิงหนวติ เป็นประธานพร้อมด้วยมุขมนตรีเสวกอำมาตย์ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินของพระองค์ ได้นำเอาพระบรมสารีริกธาตุขึ้นมาบรรจุสร้างขึ้น ณ ที่ดอยดินแดง (คือดอยตุงปัจจุบัน) สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.1454 ต่อมาอีก 100 ปี มีพระอรหันต์องค์หนึ่งชื่อว่า พระมหาวชิรโพธิเถร ได้นำเอาพระบรมสารีริกธาตุมามอบถวายให้พระเจ้ามังรายะนะธิราช แล้วจึงได้พร้อมใจกันนำเอาพระบรมธาตุขึ้นบรรจุสร้างใหม่ขึ้นมาอีกองค์หนึ่งบนดอยตุง พร้อมได้ปฏิสังขรณ์องค์เดิม

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)
อิมัสสะมิง ภัททะกัปเป จะตุพุทธา พุชฌิต ตะวา กะกุสันธะโกนาคะมะนะ
กัสสะปะ โคตะ มะราชะเคเห จะระติ ปิณฑายะ มิถิลายะนะ คะเรสิ จะระติ
ปิณฑายะ อะตีตาพุทธาเน อิมัสมิง ฐาเนสีทิ สิริสุภะปะวะรัง มังคะลัง
ตะโมลากะถามุนิราชัง สาทะรัง นมามิหันตัง วะระชินาธาตุง อะหัง
วันทามิ สัพพะทานะตัง วะชิระ
ธาตุโย อะระหัง วันทามิ สัพพะทา

วิธีบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการแก้บน

การบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการแก้บน
________________________________________
การ ไปบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่เราได้ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาช้านาน ไม่มีวันเสื่อมคลาย จึงขอแนะนำ 9 สถานที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนทั่วไปนิยมไปบนบาน และยังคงอยู่ในความศรัทธาตลอดมา


วัดหลวงพ่อโสธร
เรื่องที่บน :การมีบุตร และโชคลาภ
วิธีบน : จุดธูป 16 ดอก และพวงมาลัย
วิธีแก้บน : แก้ตามคำกล่าว ถวายละคร หรือโดยการนำอาหารมาถวายท่าน


พระเจ้าตากสิน วงเวียนใหญ่
เรื่องที่บน : การค้าขาย การเรียน การงาน หนี้สินจากการค้าขาย
วิธีบน : ใช้ธูป 16 ดอก มาลัยดาวเรือง มาลัยมะลิดาวเรือง หากขอพรให้ใช้ธูป 9 ดอก
วิธีแก้บน : แก้บนตามคำกล่าว หรือนำอาหารมาถวายท่าน


ลานพระบรมรูปทรงม้า
เรื่องที่บน : การเรียน ขอให้มีสิทธิ์เรียนรักษาดินแดน
วิธีบน :จุดธูป 16 ดอก กุหลาบสีชมพู บนครั้งแรกจุดธูป 16 ดอก ครั้งต่อไป 9 ดอก
วิธีแก้บน :แก้บนตามคำกล่าว หรือน้ำมะพร้าวอ่อน กล้วยน้ำว้า ทองหยอด บรั่นดี ซิการ์ ข้าวคลุกกะปิ กุหลาบชมพู


กรมหลวงชุมพรฯ (เสด็จเตี่ย)
เรื่องที่บน : ส่วนมากจะเป็นเรื่องการขอ มากกว่าการบน
วิธีบน : จุดธูป 19 ดอก และกุหลาบแดง
วิธีแก้บน : แก้ตามคำกล่าว หรือถวายกุหลาบแดง จุดประทัด หมากพลู ผลไม้


ศาลหลักเมือง
เรื่องที่บน : ความมั่นคงในหน้าที่การงาน
วิธีบน : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ผ้าแพร 3 สี ดอกบัว
วิธีแก้บน : ถวายพวงมาลัย หรือผูกผ้า 3 สี


ศาลย่านาค วัดมหาบุศย์
เรื่องที่บน : โชคลาภ ความรัก การเกณฑ์ทหาร
วิธีบน : จุดธูป 9 ดอก
วิธีแก้บน : แก้ตามคำกล่าว หรือถวายผ้าถุง พวงมาลัย ของเล่นเด็ก


ท้าวมหาพรหมเอราวัณ
เรื่องที่บน : ค้าขาย การงาน การเรียน
วิธีบน : จุดธูป 12 ดอก ไหว้ทั้ง 4 หน้า
วิธีแก้บน : แก้ตามคำกล่าว หรือรำแก้บน


ศาลเจ้าพ่อเสือ
เรื่องที่บน : การค้าขาย เสริมวาสนาบารมี
วิธีบน : ธูป 18 ดอก ปัก 6 กระถาง เทียนแดง 1 คู่ มาลัย 1 พวง หรือถวายเงินเติมน้ำมันตะเกียง
วิธีแก้บน : แก้ตามคำกล่าว


พระตรีมูรติ
เรื่องที่บน : เกี่ยวกับความรัก
วิธีบน : เทียนแดง 1 เล่ม ธูปแดง 9 ดอก บนในช่วง 09.30-21.30 น.
วิธีแก้บน : แก้ตามคำกล่าว หรือน้ำผลไม้ กุหลาบแดง พวงมาลัยกุหลาบ รูปปั้นช้าง

บริจาคสิ่งของให้มูลนิธิวัดสวนแก้ว

คุณไม่ใช้เราขอ
19-02-2009 Views: 9326

ปัญหาที่สร้างความยุ่งยากพอควร คือการจัดการกับสัมภาระ

ที่ค่อนข้างจะสร้างปัญหามากดังนี้

เราจะเก็บของที่มากเกินไป....ไปทิ้งที่ไหน

เราจะนำของที่เก่าเกินไป......ไปทิ้งที่ไหน

เราจะรวบรวมของที่ชำรุดแล้ว......ไปทิ้งที่ไหน

เราจะรื้อบ้านเก่าบ้านพัง......ไปทิ้งที่ไหน

เราจะล้างสต๊อกสินค้า......ไปทิ้งที่ไหน

เราจะเก็บเสื้อผ้าไม่ใช้แล้ว .....ไปทิ้งที่ไหน

เราจะลากรถพังรถเก่า.......ไปทิ้งที่ไหน

เราจะจัดการของที่ไม่ใช้ทุกชนิด.....ไปทิ้งที่ไหน

หากท่านมีปัญหาตามที่กล่าวมานี้ เราแก้ไขได้

เพียงกดโทรศัพท์หมายเลข 02-921-5604 ต่อ 113-119

เพื่อความรวดเร็ว กรุณาโทรติดต่อเจ้าหน้าที่ "โดยตรง" เพื่อนัดหมาย วัน เวลา และสถานที่ ในการไปรับของบริจาค คลิกดูรายละเอียดที่นี่

อานิสงส์ของการออกบวช

อานิสงส์ของการออกบวช

พระเจ้าอชาตศัตรูทูลถามพระพุทธเจ้าว่า :

"บุคคลในโลกนี้เขามีอาชีพแตกต่างกัน เป็นทหาร เป็นข้าราชการ เป็นคหบดี มีอาชีพ
เป็นช่างต่างๆเป็นชาวนา เป็นชาวไร่ ชาวสวน หรืออาชีพช่างไม้ต่างๆบุคคลที่ประกอบ
อาชีพเหล่านี้ เมื่อประกอบอาชีพแล้วก็สามารถจะสร้างตัวได้ เลี้ยงตัวได้ในปัจจุบัน
แล้วก็มีเงินทองเลี้ยงดูบุตรภรรยาของตน และก็ทำบุญ ทำทาน ก็มีโอกาสไปเกิดบน
สวรรค์ อยากจะถามว่า ในพระพุทธศาสนานี้ พระองค์ตรัสความเป็นสามัญผล คือ
ผลที่จะได้จากการบวช ของกุลบุตรในศาสนานี้ไว้อย่างไรบ้าง? "

พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า : "ผู้ที่บวชเข้ามาในศาสนานี้ย่อมได้อานิสงส์ถึง ๑๔ ประการ"
สามัญญผล ๓ หมวด สามัญญผล หรือ ผลของความเป็นสมณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นี้ สามารถจัดออกได้เป็น ๓ หมวด คือ

หมวดที่ ๑ ทำให้พ้นจากฐานะเดิม
คือ พ้นจากความเป็นทาส เป็นกรรมกร เป็นชาวนา ได้รับการ
ปฏิบัติดีแม้จากพระมหากษัตริย์ นี้ คือ ผลข้อที ๑ และข้อที่ ๒

หมวดที่ ๒ เมื่ออบรมจิตใจเป็นสมาธิ เป็นเหตุให้ได้ฌานที่ ๑ ถึงที่๔ อันทำ
ให้กิเลสอย่างกลางสงบลงได้ คือ ผลข้อที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๖

หมวดที่ ๓ ทำให้ได้วิชชา ๘ เริ่มตั้งแต่ข้อที่ ๗ คือ ได้วิปัสสนาญาน จนถึงข้อ ที่ ๑๔ คือ อาสวักขยญาณในข้อแรก

พระพุทธองค์ตรัสถามพระเจ้าอชาตศัตรูว่า :
"ก็คนที่เป็นทาสกรรมกรของพระองค์ เคยรับใช้พระองค์อยู่ ตื่นก่อนนอนทีหลัง
ทาสกรรมกรเหล่านั้นมาพิจารณาว่า พระมหากษัติย์เจ้านายของเรานี้ทรงมี
บุญญาธิการ มีบุคคลแวดล้อม มีทรัพย์สินนานัปการ มีอำนาจยิ่งใหญ่ พระองค์ก็เป็น
มนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ เพราฉะนั้น เราจะต้องออกบวชเสียดีกว่า เมื่อออกบวชแล้ว
ประพฤติพรหมจรรย์ ต่อมาพระองค์ได้พบทาสกรรมกรของพระองค์นั้น พระองค์จะ
เรียกบุคคลนั้นให้มาทำงานรับใช้พระองค์ ให้ตื่นก่อนนอนทีหลังอีกหรือเปล่า? "

พระเจ้าอชาตศัตรูทูลตอบว่า :
"ไม่อย่างนั้น แต่ข้าพระองค์จะเคารพกราบไหว้ผู้นั้น ให้ความคุ้มครองตามธรรม"

พระพุทธองค์ตรัสว่า : นี่แหละคืออานิสงส์ของการบวชข้อที่ ๑ ที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันต่อจากนั้น

พระพุทธองค์ตรัสว่า : "มีคนที่ทำนาของพระองค์ มาพิจารณาว่า พระเจ้าแผ่นดินของ
เรามีอำนาจวาสนามีบุญใหญ่ พระองค์ก็เป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ ไฉนหนอ เราจึงจะ
ได้ออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ และในที่สุด ท่านผู้นั้นก็ได้ออกบวชประพฤติ
พรหมจรรย์ เมื่อพระองค์ทรงพบภิกษุที่เคยเป็นชาวนานั้นเข้า จะตรัสเรียกท่านผู้นั้นให้
มาทำนาให้แก่พระองค์อีกหรือ ?"

พระเจ้าอชาตศัตรูทูลตอบว่า :
"ไม่อย่างนั้น แต่ข้าพระองค์จะเคารพกราบไหว้ ให้ความคุ้มครอง ถวายปัจจัย ๔ ให้
การคุ้มครองด้วยความเป็นธรรมแก่ผู้นั้น"

พระพุทธองค์ตรัสว่า : นี่เป็นสามัญญผล คือ ผลที่เห็นได้ชัดจากการบวชข้อที่ ๒
พระพุทธเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า : คหบดีหรือ กุลบุตรในแว่นแคว้นของพระองค์นี้ มา
พิจารณาเห็นว่า พระเจ้าแผ่นดินของเรานั้นเพียบพร้อมไปด้วยความสุข มีความรุ่งเรือง
ก็เรานี้เห็นว่าการครองเรือนเต็มไปด้วยความทุกข์ เป็นที่คับแคบ ส่วนบรรพชาเป็นช่อง
ว่าง การที่อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์สะอาดดุจดั่งสังข์ขัดนั้นทำได้
ยาก เพราะฉะนั้น เขาจึงออกบวช ประพฤติพรหมจรรย์ สมบูรณ์ไปด้วยศีล

คือ จุลศีล มัชฌิมศีล และมหาศีล (คือ ศีลขนาดเล็ก ขนาดกลาง และศีลมาก) ต่อจาก
นั้นภิกษุนั้นสำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีสติสัมปชัญญะ ละบาปอกุศล
มีสันโดษ ยินดีด้วยปัจจัย ๔ ออกป่าบำเพ็ญสมาธิ ละนิวรณ์ ๕ ได้ ในที่สุดก็ได้
บรรลุฌานที่ ๑ ได้ประสบความสุขอันเกิดจากฌานนี้ คืออานิสงส์ของการบวช หรือสามัญญผล ข้อที่ ๓


ต่อจากนั้น ท่านผู้นั้นก็บำเพ็ญสมาธิจน
บรรลุฌานที่ ๒
ก็เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๔
บรรลุฌานที่ ๓
ก็เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๕
บรรลุฌานที่ ๔
ก็เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๖


ต่อจากนั้น
ท่านก็น้อมจิตไปเพื่อเจริญวิปัสสนา โดยพิจารณาพระไตรลักษณ์ จนจิตของตนเข้าถึง
วิปัสนาญาน แยกรูปแยกนาม พิจารณานามรูป เห็นตามความเป็นจริง ก็เป็นเหตุให้
ท่านผู้นั้นสามารถบรรลุญาณทัสสนะ อันเป็นวิปัสสนาญาน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า : นี้คือ อานิสงส์ของการบวชข้อที่ ๗


ต่อจากนั้น
ก็สามารถบรรลุ มโนมยิทธิ คือ ฤทธิ์ทางใจ นิรมิตกายอื่นจากกายนี้ได้
เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๘

ต่อจากนั้น
ก็ได้บรรลุ อิทธิวิธิ คือ แสดงฤทธิ์ เช่น น้อยคนทำให้เป็นมากคน ดำไปในดิน ดำไปใน
น้ำได้ก็เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๙

เมื่อปฏิบัติต่อไป
ก็สามารถได้ ทิพโสต คือ หูทิพย์ ได้ยินเสียงจากที่ไกลเกินวิสัยของหูมนุษย์ธรรมดา
เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑o

เมื่อปฏิบัติต่อไป
ก็สามารถได้ เจโตปริยญาน คือ รู้ใจคนอื่น คือ สามารถทายใจคนอื่นได้ (แม้ใน
ปัจจุบันก็มีพระบางรูปที่สามารถรู้ใจคนอื่นได้ เรียกว่า เจโตปริยญาน)
การได้เจโตปริยญาณ
เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑๑

บางท่านก็ระลึกชาติได้ ที่เรียกว่า บุพเพนิวาสานุสสติญาน คือ ระลึกชาติหนหลังได้
เป็นจำนวนมาก อาจจะเป็นจำนวนหลายๆชาติ หรือชาติจำนวนมากที่ผ่านมาในอดีต
การระลึกชาติหนหลังได้นี้
เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑๒

บางท่านก็ได้ทิพจักษุ หรือ จุตูปปาตญาณ คือ ญาณรู้จุติกำเนิดของสัตว์ทั้งหลาย คือ
สามารถรู้เห็นสัตว์ทั้งหลายที่เกิดและที่ตายด้วยตาทิพย์ การได้ทิพจักษุนี้
เป็นอานิสงส์ของการบวชข้อที่ ๑๓

ในที่สุดก็ได้บรรลุอาสวักขยญาณ คือ ทำกิเลสให้สิ้นไป
ก็เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑๔

พระพุทธองค์ทรงสรุป ในที่สุดแห่งทุกข้อว่า
เป็นผลแห่งความเป็นสมณะที่เห็นได้ในปัจจุบันว่าสูงกว่ากันไปตามลำดับ คือ ตั้งแต่
ขั้นแรกแล้วบรรลุสูงขึ้นๆ ไปตามลำดับ ซึ่งเป็นอานิสงส์ของการบวช ที่เห็นได้ชัดเช่น ผู้ที่
ได้บรรลุฌานที่ ๒ ก็ประเสริฐกว่าฌานที่ ๑ ได้บรรลุฌานที่ ๓ ประเสริฐกว่าฌานที่ ๒ ได้
บรรลุฌานที่ ๔ ประเสริฐกว่าฌานที่ ๓ และการบรรลุต่อๆ ไป ก็สูงขึ้นตามลำดับ

วิชชา ๘ คืออะไร?
วิชชา ๘ ก็คือ
๑. วิปัสสนาญาณ ญาณอันนับเข้าในวิปัสสนา

๒. มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ

๓. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้

๔. ทิพโสต หูทิพย์

๕. เจโตปริยญาณ รู้ใจคนอื่น

๖. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้

๗. ทิพจักขุ ตาทิพย์

๘. อาสวักขยญาณ ทำอาสวะ คือ กิเลสให้สิ้นไปได้


ผู้บวชย่อมได้อานิสงส์แห่งบุญจากการบวช ได้ฝึกฝน อบรมตนเองตามพุทธวิธี แม้
เพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถ นำพาชีวิตให้พบกับเป้าหมายอันสูงส่ง และย่อมได้
อานิสงส์ มากมาย ยากที่จะนับจะประมาณได้เพราะความตั้งใจอัน มั่นคงที่จะบวช

ฝึกฝนตนเอง ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติอย่าง เคร่งครัด ย่อมได้อานิสงส์ ดังนี้

๑.) เป็นผู้รู้จักบริหารเวลา คือรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เรียกว่า ความเป็นผู้รู้กาล
ซึ่งเป็นคุณธรรมข้อหนึ่งที่ทำให้ เป็นสัปบุรุษ

๒.) แม้ช่วงเวลาจะสั้น แต่ถ้าลงปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็จะได้ ลิ้มรสความสุข จากความ
สงบตั้งแต่ยังเยาว์

๓.) มีโอกาสได้ศึกษาหลักธรรมไว้กำกับความรู้ จะได้ใช้ ความรู้ ไปในทางที่ถูกที่ควร

๔.) ได้ฝึกวินัยและเข้าใจวัฒนธรรมในการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะถ้าบรรพชาแล้วตั้งใจ
ฝึกฝนอบรมตนเอง อย่างจริงจัง ต่อไปจะเป็นคนรักระเบียบวินัย

๕.) ได้ฝึกสมาธิ ทำจิตให้สงบ ซึ่งเป็นผลดีต่อการเรียน

๖.) เกิดความปลื้มปิติยินดีที่ได้ทำความดีตั้งแต่ยังเยาว์ความปิตินี้เองที่จะเป็นเครื่อง
หล่อเลี้ยงหัวใจอยู่เสมอ

๗.) ทำให้มีความอดทน ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆ

๘.) ทำให้รู้จักตนเองนั่นคือรู้ว่าตนเองมีความรู้ความสามารถคุณธรรมแค่ไหนเพียงใด
เพื่อที่จะได้พัฒนาปรับปรุง ตนเองให้ดียิ่งขึ้น

๙.)ได้ชื่อว่าเป็นผู้เริ่มถากถางหนทางไปพระนิพพาน

คาถาพระสีวลี พระอรหันต์แห่งโชคลาภ

คาถาบูชาพระสีวลี นโม ๓ จบ
สีวะลี จะ มหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
สีวะลี จะ มหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
สีวะลี เถระคุณัง เอตัง โสตถิ ลาภัง ภะวันตุ เมฯ

คำอธิฐานขอลาภจากพระสีวลี
(โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง)
สิวะ ลีมะหา เถรัง วันทามิหัง ( ๓ จบ )
มะหาสิวะลี เถโร มะหาลาโภ โหติ มะหาสิวะลี เถโร ลาภัง เม เท ถะ


คำบูชาขอลาภพระสิวลี (ประจำวัน)

วันอาทิตย์ ( ๖ จบ )
ฉิมพะลี จะ มหานามัง สัพพะลาภัง ภะวิสสะติ เถรัสสานุภาเวนะ สะทา โหนติ ปิยัง มะมะ ฯ

วันจันทร์ ( ๑๕ จบ )
ยัง ยัง ปุริโสวา อิตถีวา ทูเรหิวา สะมีเปหิวา เถรัสสานุภาเวนะ สะทา โหนติ ปิยัง มะมะ ฯ

วันอังคาร ( ๘ จบ )
ฉิมพะลี จะ มหาเถโร โสระโห ปัจจะยาทิมหิ เชยยะลาโภ มหาลาโภ สัพพะลาภา ภะวันตุ สัพพะทา ฯ

วันพุธ ( ๑๗ จบ )
ทิตติตถะ ภะเวราชา ปิยาจะ คะระตุเม เย สารัตติ นิรันตะรัง สัพพะสุขาวะหา ฯ

วันพฤหัสบดี ( ๑๙ จบ )
ฉิมพะลี จะ มหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ สัพพะทา ฯ

วันศุกร์ ( ๒๑ จบ )
ฉิมพะลี จะ มหาเถโร เทวะตา นะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ มหาลาภัง กะโรนตุ เม ลาเภนะ อุตตะโม โหติ สัพพะลาภะ ภะวันตุ สัพพะทา ฯ

วันเสาร์ ( ๑๐ จบ)
ฉิมพะลี จะ มหานามัง อินทาพรหมา จะ ปูชิตัง สัพพะลาภัง ปะสิทธิ เม เถรัสสา นุภาเวนะ สะทา สุขี ปิยัง มะมะ ฯ

หมายเหตุ -ในวงเล็บหมายถึงการให้ภาวนาจำนวน………จบ หรือสวดเพียงบทละ 3 จบก็ได้
-ถ้าจะขอลาภเป็นพิเศษ ก็ สวดคำบูชาพระสิวลี นำก่อน หลังจากนั้นจึงสวด คำบูชาขอลาภพระสิวลี (ประจำวัน) ที่จะขอลาภนั้น ตามกำลังวัน

พระสีวลี พระอรหันต์แห่งโชคลาภ เงินทอง

พระสีวลี พระอรหันต์แห่งโชคลาภ เงินทอง







พระสีวลี

เป็นเป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา ผู้เป็นพระราชธิดาของพระเจ้ากรุงโกลิยะ จำเดิมแต่พระราชโอรสมาถือปฏิสนธิในครรภ์พระมารดา ทำพระมารดาให้สมบูรณ์ด้วยลาภสักการะเป็นอันมาก แต่อยู่ในครรภ์พระมารดาถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน จึงประสูติ เวลาประสูติก็ประสูติง่ายที่สุด เปรียบประดุจน้ำไหลออกจากหม้อ ด้วยอำนาจแห่งพุทธานุภาพคือ เมื่อพระนางมีครรภ์แก่ครบกำหนดประสูติแล้ว ได้เสวยทุกขเวทนาลำบากมาก พระนางจึงให้พระสวามีบังคมทูลพระบรมศาสดา พระองค์ตรัสพระราชทานให้พรว่า พระนางสุปปวาสา ผู้เป็นพระราชธิดาของพระเจ้ากรุงโกลิยะ จงเป็นหญิงมีความสุขปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติพระราชบุตรผู้หาโรคมิได้เถิด พระนางสุปปวาสาก็ได้ประสูติพระราชบุตรพร้อมกับขณะที่พระศาสดาตรัสพระราชทานพร เมื่อประสูติแล้วพระญาติได้ขนานพระนามว่า สีวลีกุมาร ส่วนพระนางสุปปาวาสานึกถึงเหตุการณ์ที่เป็นมาแล้ว มีความปรารถนาจะถวายมหาทานสัก ๗ วัน จึงให้พระสวามีไปอาราธนานิมนต์พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานเพื่อรับภัตตาหารในบ้าน ๗ วัน พระราชสามีก็ไปตามความประสงค์ของนาง แล้วได้ถวายมหาทานตลอด ๗ วัน (สีวลีกุมารนั้น นับตั้งแต่วันที่ประสูติ ได้ถือธมกรกกรองน้ำถวายพระตลอด ๗ วัน)

บรรลุมรรคผล
เมื่อสีวลีกุมารเจริญวัยขึ้นแล้ว ได้ออกผนวชในสำนักของท่านพระสารีบุตร ได้บรรลุผลสมตามความปรารถนา คือ ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอเสขบุคลในพระพุทธศาสนา นัยว่าท่านได้บรรลุมรรคผลตั้งแต่เมื่อเวลาปลงผม คือ เมื่อเวลามีดโกนจรดลงศีรษะครั้งที่หนึ่งได้บรรรลุโสดาปัตติผล ครั้งที่สองได้บรรลุสกทาคามี ครั้งที่สามได้บรรลุอนาคามิผล ปลงผมเสร็จก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ตั้งต้นแต่นั้นมาท่านเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยปัจจัยสี่ ทั้งภิกษุทั้งหลายก็พลอยไม่ขัดข้องด้วยปัจจัยลาภเพราะอาศัยท่าน

เมื่อท่านอุปสมบทแล้วปรากฏว่า ท่านเป็นพุทธสาวก ที่มีลาภสักการะมากมาย ด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านที่สั่งสมมา ลาภสักการะเหล่านี้ได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์สาวกท่านอื่น ๆ ด้วย แม้พระบรมศาสดา เมื่อทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์ เสด็จทางไกลทุรกันดาร ถ้ามี พระสีวลี ร่วมเดินทางไปด้วย ความขาดแคลนอาหาร และที่พักอาศัย ในระหว่างทาง ก็จะไม่เกิดขึ้นแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เลย ดังเช่น ใน สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จำนวน 500 รูป ไปเยี่ยมพระเรวตะ ผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ ป่าไม้ตะเคียน เมื่อเสด็จมาถึงทาง 2 แพร่ง พระอานนท์เถระ ได้กราบทูลสภาพหนทางว่า.....

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสด็จไปทางอ้อม ระยะทางไกล 60 โยชน์ มีประชาชนอยู่อาศัยมาก พระภิกษุ ไม่ลำบากด้วยภิกขาจาร แต่ถ้าเสด็จไปทางลัด ระยะทางประมาณ 30 โยชน์ ไม่มีประชาชนอยู่อาศัย มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์อยู่อาศัย พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วยภิกขาจาร”

พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า:-
“ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมากับเราด้วยหรือไม่?”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสีวลีมากับเราด้วย พระเจ้าข้า”

พระพุทธองค์ ตรัสว่า:-
“ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงไปทางลัด ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลด้วยอาหารบิณฑบาต เพราะเทวดาทั้งหลาย ที่สิงสถิตอยู่ในป่าระหว่างทาง จะจัดสถานที่พักและอาหาร บิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลีผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกตน เราทั้งหลายก็จะได้อาศัยบุญของพระสีวลี นั้นด้วย”

เอตทัคคะ
เพราะเหตุนั้น พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายข้างผู้มีลาภมาก ท่านพระสีวลีนั้น ดำรงเบญจขันธ์อยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน

ความปรารถนาในอดีต

ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ในครั้งนั้น ท่านได้เกิดเป็นกษัตริย์ในพระนครหงสวดี ได้ยินพระพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งสาวกของพระองค์ชื่อสุทัสสนะ ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้มีลาภมาก ดังนั้น ทรงปรารถนาในตำแหน่งนั้นบ้าง จึงได้นิมนต์ พระชินสีห์พร้อมทั้งพระสาวก ให้เสวยและฉันถึง ๗ วัน ครั้น ถวายมหาทานแล้วก็ได้ตั้งความปรารถนาว่า ขอให้ท่านเป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีลาภในอนาคตกาล พระปทุมุตตระบรมศาสดา จึงทรงพยากรณ์ว่าความปรารถนาของท่านนี้จะสำเร็จในกัปที่แสนแต่กัปนี้ไป ท่านจะบังเกิดในนาม สีวลี ได้บวชในสำนักของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าโคตมะ ซึ่งสมภพในวงศ์ของพระโอกกากราช ดังนี้แล้ว เสด็จหลีกไป

ต่อจากนั้น ท่านก็กระทำกุศลจนตลอดชีวิต ครั้นสิ้นชีวิตแล้วก็ท่องเที่ยวไปกำเนิดในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ครั้นในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ในกาลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี ท่านได้ถือปฏิสนธิในหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลพระนครพันธุมดี ในสมัยนั้น ท่านเป็นคนโปรดปรานของสกุลหนึ่งในพระนคร และเป็นคนที่หมั่นขยันขวนขวายในกิจการงาน

สมัยหนึ่งหลังจากที่พระบรมศาสดาเสด็จเที่ยวจาริกไปในชนบท กลับมาสู่พระนครพันธุมดี ครั้งนั้น พระเจ้าพันธุมะซึ่งเป็นพุทธบิดา ได้ทรงเตรียมอาคันตุกทาน เพื่อภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ทรงปรารถนาจะทำมหาทานแข่งกับชาวเมือง ในวันใดที่พระราชาเป็นผู้ถวายทาน เหล่ามหาชนก็จะสังเกตดู และในวันรุ่งขึ้นก็จะเตรียมทานให้ยิ่งกว่านั้น และในวันถัดไป พระราชาก็จะถวายให้ยิ่งขึ้นไปอีก จนกระทั่งถึงวันที่ ๖ ซึ่งเป็นวันของชาวเมือง ชาวเมืองเหล่านั้นทั้งหมดได้จัดเตรียมสิ่งของไว้ทุกสิ่ง โดยตั้งใจจะไม่ให้มีสิ่งใดที่ขาดแม้สักสิ่งเดียว จึงได้ตรวจดูทานที่ตนได้เตรียมไว้ก็ไม่เห็นน้ำผึ้งสด มีเพียงน้ำผึ้งที่เคี่ยวแล้ว ชนเหล่านั้นจึงให้คนถือเอาทรัพย์คนละ ๑ พันกหาปนะแล้วส่งไปเฝ้ายังประตูพระนครทั้ง ๔ เพื่อขอซื้อจากผู้ที่มาจากชนบทนอกพระนคร

ในวันนั้นเอง ท่านเดินทางเข้ายังพระนครด้วยปรารถนาจะเยี่ยมนายบ้าน ในระหว่างทางท่านเห็นรวงผึ้งที่ปราศจากตัวอ่อน ขนาดเท่างอนไถ จึงไล่ตัวผึ้งให้หนีไป แล้วตัดกิ่งไม้ถือรวงผึ้ง ด้วยตั้งใจว่าจะนำไปให้แก่นายบ้าน ฝ่ายผู้ที่ชาวเมืองมอบเงินไปเพื่อหาซื้อน้ำผึ้ง พบท่านถือรวงผึ้งสดเข้ามาจึงขอซื้อในราคาหนึ่งกหาปนะ

ท่านเกิดความคิดว่า ธรรมดารวงผึ้งนี้ย่อมไม่ถึงค่าน้อยกว่าหนึ่งกหาปนะมาก แต่บุรุษนี้ให้ทรัพย์กหาปณะหนึ่ง เห็นจะมีเหตุเบื้องหลังอยู่ จึงตอบปฏิเสธไป บุรุษนั้นจึงขึ้นราคาให้เป็นสองกหาปนะ ท่านก็ยังปฏิเสธอีก บุรุษนั้นก็ขึ้นราคาไปเรื่อย ๆ จนถึงพันกหาปนะ

ท่านได้พิจารณาเห็นเป็นเรื่องผิดปกติมากที่ขอซื้อรวงผึ้งสดด้วยราคาถึงพันกหาปนะ จึงได้สอบถามถึงเหตุผล บุรุษผู้นั้นจึงให้เหตุผลว่า พวกชาวพระนครได้ตระเตรียมมหาทาน เพื่อถวายพระวิปัสสีสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีสมณะ ๖ ล้าน ๘ แสนเป็นบริวาร ในมหาทานนั้นยัง ไม่มีน้ำผึ้งดิบอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงขอซื้อ ในราคาเช่นนั้น.

ท่านเห็นเป็นโอกาสที่จะได้ทำบุญอันยิ่งใหญ่ จึงขอมีส่วนร่วมในมหาทานนั้น บุรุษนั้นไปบอกเนื้อความแก่ชาวเมือง. ชาวเมืองทราบในศรัทธาของเขาจึงอนุโมทนา ท่านจึงได้เอากหาปณะที่ตนเก็บไว้เพื่อเสบียงเดินทางจากบ้านไปซื้อเครื่องเทศ ๕ อย่างแล้ว ทำให้ป่น นำเอาน้ำส้มมาจากนมส้มแล้ว คั้นรังผึ้งลงในนั้น ปรุงด้วยจุณเครื่องเทศ ๕ อย่างแล้ว ใส่ลงในบัวตระเตรียมสิ่งนั้นเรียบร้อยแล้ว ถือไปนั่งในที่ไม่ไกลพระทศพล เมื่อมหาชนเป็นอันมากนำเอาสักการะไป เขามองดูวาระที่จะถึงแก่ตนในลำดับ รู้ช่องทางแล้วจึงเข้าเฝ้าพระศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักการะอันยากไร้นี้เป็นของข้าพระองค์ ขอพระองค์โปรดอาศัยความอนุเคราะห์ข้าพระองค์ รับสักการะนี้เถิด พระศาสดาทรงอนุเคราะห์เขา ทรงรับสักการะนั้นด้วยบาตรศิลา อันท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถวายแล้ว ได้ทรงอธิษฐานให้ไทยธรรมที่ถวายเพียงพอแก่ภิกษุ ๖,๘๐๐,๐๐๐ รูป ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า.น้ำผึ้งนั้นก็มีเพียงพอแก่พระสาวกทั้งสิ้น

ครั้นแล้วท่านถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้กระทำภัตกิจ เสร็จแล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ด้วยผลแห่งกรรมนี้ ขอข้าพระองค์ พึงเป็นผู้ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความเป็นผู้มีลาภ ในภพที่เกิดแล้ว ๆ ดังนี้ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกุลบุตร ความปรารถนาของท่านจงสำเร็จอย่างนั้น ดังนี้แล้ว ทรงกระทำภัตตานุโมทนาแก่เขาและชาวเมืองแล้วเสด็จหลีกไป.

บุรพกรรมที่นำไปสู่อเวจีและต้องอยู่ในครรภ์พระมารดา ๗ ปี ๗ วัน
เมื่อท่านได้สิ้นอายุในสมัยนั้นแล้ว ท่านก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวอยู่สิ้นกาลนาน ต่อมาในสมัยหนึ่งท่านได้จุติจากเทวโลก บังเกิดเป็นราชโอรสแห่งพระเจ้ากาสี (อรรถกถาบางแห่งว่า พระเจ้าพรหมทัต) ผู้ครองกรุงพาราณสี ต่อมาพระเจ้าโกศลทรงกรีธากองพลใหญ่มายึดกรุงพาราณสี ทรงปลงพระชนม์พระเจ้ากาสีและได้สถาปนาพระอัครมเหสีของพระราชานั้นให้เป็นอัครมเหสีของพระองค์. ฝ่ายพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสี ในเวลาที่พระบิดาถูกปลงพระชนม์ ได้ทรงหนีออกทางประตูระบายน้ำ รวบรวมญาติมิตรและพวกพ้องของพระองค์ไว้เป็นอันเดียวกัน รวมกำลังโดยลำดับแล้วเสด็จมายังกรุงพาราณสี ตั้งค่ายใหญ่ไว้ในที่ไม่ไกล ทรงส่งพระราชสาสน์ถึงพระราชาองค์นั้นว่า จะคืนราชสมบัติหรือจะรบ.

พระมารดาได้สดับสาสน์ของพระราชกุมารแล้ว จึงส่งพระราชสาสน์ลับแนะนำไปว่า จงอย่ามีการต่อสู้ จงตัดขาดการสัญจรทั่วทุกทิศ โดยการล้อมกรุงพาราณสีไว้ พวกคนในกรุงก็จะพากันลำบากเพราะหมด ไม้ น้ำและอาหาร และจะจับพระราชามาถวายเอง พระราชกุมารได้สดับสาสน์ของพระมารดาแล้ว จึงล้อมประตูใหญ่ทั้ง ๔ ด้านไว้ ๗ ปี.แต่การณ์ก็มิได้เป็นอย่างที่ทรงดำริ เนื่องจากพวกคนในกรุงพากันออกทางประตูเล็ก นำเอาไม้และน้ำเป็นต้น มาทำกิจทุกอย่าง.

ครั้นพระมารดาของพระราชกุมารทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว จึงส่งพระราชสาสน์ลับถึงพระโอรส ตำหนิพระโอรสว่า ลูกเราโง่เขลาไม่รู้อุบาย จงปิดประตูน้อยล้อมกรุงไว้. พระราชกุมารทรงสดับพระราชสาสน์ของพระมารดา จึงได้ทรงกระทำอย่างนั้นถึง ๗ วัน ชาวพระนครเมื่อออกไปข้างนอกไม่ได้ วันที่ ๗ จึงได้เอาพระเศียรของพระราชานั้นไปมอบแต่พระราชกุมาร พระราชกุมารได้เสด็จเข้ากรุงยึดราชสมบัติ.

ท่านได้กระทำกรรมนี้แล้ว ในกาลที่สุดแห่งอายุ ไปบังเกิดในอเวจี หมกไหม้อยู่ในนรกตราบเท่ามหาปฐพีนี้หนาขึ้นได้ประมาณโยชน์หนึ่ง

เพราะผลกรรมที่ล้อมพระนครไว้ถึง ๗ ปีในครั้งนั้น บัดนี้พระองค์จึงอยู่ในโลหิตกุมภี กล่าวคือพระครรภ์ของมารดา ๗ วัน. แต่เพราะล้อมกรุงไว้ถึง ๗ วันโดยเด็ดขาด จึงถึงความเป็นผู้หลงครรภ์ถึง๗ วัน. ส่วนในอรรถกถาชาดกท่านกล่าวว่า เพราะผลกรรมที่ล้อมกรุงยึดไว้ถึง ๗ วัน. พระองค์จึงอยู่ในโลหิตกุมภีถึง ๗ ปีแล้วถึงความเป็นผู้หลงครรภ์ถึง ๗ วัน. ก็พระองค์เป็นผู้เลิศด้วยลาภเพราะอานุภาพที่ถวายมหาทานแล้วตั้งความปรารถนาที่บาทมูลของพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ขอเป็นผู้เลิศด้วยลาภ และที่ถวายน้ำอ้อยและนมส้มมีค่า ๑,๐๐๐กหาปณะพร้อมชาวเมือง แล้วได้ตั้งความปรารถนาในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี. ฝ่ายพระนางสุปปวาสา อุ้มครรภ์อยู่ถึง๗ ปี หลงครรภ์อยู่ถึง ๗ วัน เพราะที่ส่งสาสน์ไปว่า พ่อจงล้อมพระนครยึดไว้. พระมารดาและบุตรเหล่านั้น ได้เสวยทุกข์เช่นนี้อันสมควรแก่กรรมของตน ด้วยประการฉะนี้.

แผนที่ไปบริษัทปูแดงไคโตซาน

แผนที่ไปบริษัทปูแดงไคโตซาน คลิกที่นี่

12 กลยุทธ์การโปรโมทเว็บ

12 กลยุทธ์การโปรโมทเว็บ คลิกที่นี่

รวมเว็บบอร์ดโฆษณาฟรี

ข้อมูลสรุปนี้ไม่พร้อมใช้งาน โปรด คลิกที่นี่เพื่อดูโพสต์