วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ธุรกิจเครือข่าย กับ แชร์ลูกโซ่

ธุรกิจเครือข่าย กับ แชร์ลูกโซ่
โดย ชาญวิทย์ จตุวีรพงษ์ เมื่อ 2009-03-02 11:24:14

ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ธุรกิจที่จะได้รับความสนใจ และมีแรงกระตุ้น นัยว่าจะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมง คงไม่หนีไปจากธุรกิจเครือข่าย ไม่ว่าจะชั้นเดียว หลายชั้น สองขา สี่ขา หรืออะไรก็ตาม ด้วยเหตุผลหลักเลยคือ ลงทุนน้อย ได้ผลตอบแทนตามความทุ่มเท ที่ให้ลงไป

แต่ในความสว่าง ก็มีความมืด ถ้าคุณไม่รู้จักความมืด จะรู้ได้อย่างไรว่ามันสว่าง พวกมิฉาชีพที่แทรกตัวอยู่ในวงการเหล่านี้ ก็จะฉวยโอกาสนี้ ดันแชร์ลูกโซ่ เข้าไป บางคนตัวเองพลาดไปร่วมด้วยแล้ว ก็เลยเอาละหลอกคนอื่นต่อ คงมีคนพลาดเหมือนเรา แต่บางคนไม่รู้เลยว่าตัวเองพลาดไปร่วมวงแชร์ลูกโซ่ ก็เลยทุ่มเท หาสายงานยังกับถูกล้างสมองมาว่ามันดี

ขอให้มีสติไว้ คิดอยู่เสมอว่า
อะไรที่มันดีเกินกว่าจะเป็นจริงได้มันหลอกลวง - Too Good to be TRUE is SCAM

ธุรกิจเครือข่าย ผลตอบแทนของคุณต้องมาจาก ยอดในทีมงานของคุณ การหาสายงานคือการสร้างทีมให้ใหญ่ขึ้น ไม่ใช่มีรายได้หลักมาจากการหาสายงาน (ค่าหัวคิว) ยังไงเสียมันก็คืองานขาย ต้องมีใครสักคนที่ขายของ คุณไม่ขาย ทีมงานของคุณก็ต้องขาย มาดูเป็นข้อๆ ไปนะครับ

  1. ค่าสมัครสมาชิก - Membership Fee
    ต้องไม่สูง มันควรจะเป็นเพียงค่าดำเนินการ เช่นสัก 100-200 บาท นี่ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
  2. โบนัสจากการหาสายงาน - Referral Fee
    ข้อนี้ต้องดูหลายๆ อย่างประกอบ สำหรับบางบริษัทเขาใช้มันเป็นแผนการตลาด ที่จะสร้างเครือข่ายขนาดใหญ่ แต่บางบริษัทมันเหมือนค่าหัวคิว ตัวอย่างเช่น
    • ถ้าค่าสมัครสมาชิกในข้อ 1 คือ 100 บาท
    • ถ้าคุณแนะนำนาย ข. มาสมัคร คุณได้ไปเลย 50-60 บาท แบบนี้เรียกค่าหัวคิว
    • แต่ถ้าคุณแนะนำนาย ข. มาสมัคร คุณได้ 50-60 บาทเหมือนกัน แต่มีเงื่อนไขว่า คุณ+ทีมงานของคุณ ต้องมียอดขายรวมกัน 1500 บาท อย่างนี้ผมเรียกว่าแผนการตลาด
    • หรือถ้าคุณแนะนำนาย ข. มาสมัคร คุณได้ 10 บาท ผู้แนะนำของคุณได้อีก 10 บาท สูงขึ้นไปสัก 4-5 ชั้น อย่างนี้ผมก็ยังเรียกว่าแผนการตลาด แม้มันจะมีช่องโหว่ให้สร้างทีมแนวดิ่ง เพื่อกินค่าหัวคิวก็ตาม
  3. ค่าบริการรายเดือน - Monthly Fee
    จะให้ดี มันไม่ควรจะมี เว้นแต่บริษัทเขาให้บริการบางอย่างกับสมาชิก ที่มันมีค่าใช้จ่ายสูงเกินกว่าบริษัทจะให้ใช้บริการฟรีได้ สรุปว่า คุณต้องไม่เสียเงินให้เปล่ากับบริษัททุกๆ เดือน ไม่งั้นมันก็จะกลายเป็นว่า ผลตอบแทนที่คุณได้ ก็คือเงินของคุณ และทีมงานของคุณ มองหน้าทีมงานไม่ติดเปล่าๆ เหมือนหลอกเขามาสมัคร แล้วมาขอเก็บเงินจากเขาทุกๆ เดือน
  4. มาก่อนมาหลัง ไม่สำคัญ - Everyone can SUCCEED
    ต้องไม่มีสายแรก ต้องไม่มีคำว่ามาก่อนโอกาสดีกว่า ทุกคนโอกาสเท่ากัน ไม่งั้นคุณจะไปหาสายงานได้อย่างไร จะบอกเขาว่า คุณมีโอกาสดีกว่าเขาหรือ
  5. ใครทำใครได้ - Pay per Performance
    ต้องไม่มีเสือนอนกิน ธุรกิจเครือข่ายใครทำคนนั้นต้องได้ผลตอบแทน ถ้าจะเป็นเสือนอนกิน ก็ไปซื้อหุ้นด้อยสิทธิ์ในบริษัท จะถูกต้องกว่า

ธุรกิจเครือข่ายทุกตัว เจ้าของบริษัทคำนวนไว้หมดแล้วว่า เขาต้องจ่ายเท่าไร กี่เปอร์เซนต์จากยอดรายได้ของเขา ไม่ว่ามันจะใช้แผนการตลาดแบบใด ลองอ่านบทความเรื่อง ทำธุรกิจ MLM แล้วใครรวย ได้ในกลุ่มบทความ MLM นะครับ

มีคำถาม มีความเห็นต่าง หรืออยากเพิ่มเติมอะไร ก็เขียนเข้ามาได้ทางหน้า ถาม-ตอบ นะครับ

ที่มา : เขียนโดย นายชาญวิทย์ จตุวีรพงษ์ (MR.GETPAI

กระบวนการทำงานของธุรกิจเครือข่ายหรือ MLM

กระบวนการทำงานของธุรกิจเครือข่ายหรือ MLM

1. เริ่มต้นคุณต้องสมัครเป็นสมาชิกของบริษัทก่อน เสียค่าสมัครมากน้อยตามเงื่อนไขของบริษัทนั้น ๆ

2. เมื่อคุณสมัครและเสียค่าสมัครสมาชิกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บางบริษัทต้องซื้อสินค้าก่อน ถึงจะได้รับค่าคอมมิชมั่น

3. เมื่อคุณซื้อใช้สินค้าหรือบริการแล้ว นำมาใช้ ใช้ดีแล้วบอกต่อ หรือแนะนำผู้อื่นให้มาเป็นผู้บริโภคในเครือข่าย

4. ต้องแยกให้ออกนะครับธุรกิจเครือข่ายกับลูกโซ่ บางทีมันอาจจะคล้าย ๆ กัน ดูความแตกต่างระหว่างธุรกิจเครือข่ายและลูกโซ่

5. คุณต้องใช้ความอดทน+ความขยัน+เรียนรู้มากๆ ไม่ท้อนะครับ ความสำเร้จมันขึ้นอยู่กับตัวคุณเองและทีมงานของคุณนี่แหละ

รู้จักตัวเอง กับโลกออนไลน์

รู้จักตัวเอง กับโลกออนไลน์

ปัจจุบันการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วมาก เราสามารถค้นหาข้อมูลได้ทั่วโลก อยากจะได้อะไร หาได้ทุกอย่างบนโลกออนไลน์ คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องอินเตอร์เน็ทนะครับ เพราะทุกคนย่อมรู้จักกันดี แม้แต่พี่ป้าน้าอาทั้งหลาย แม้แต่เด็กอนุบาลยันวัยสูงอายุก็รู้จักกัน แต่ทุกอย่างย่อมแฝงด้วยธุรกิจครับ สมัยเริ่มมีอินเทอร์เน็ตในไทยกันใหม่ ๆ ธุรกิจออนไลน์ยังไม่เป็นที่แพร่หลายกันมากนัก การซื้อสินค้าออนไลน์ด้วยระบบธุรกิจ e-commerce หลายคนยังกล้า ๆ กล้ว ๆ กันอยู่ เนื่องจากระบบความปลอดภัยยังพัฒนาไปได้ไม่ไกลพอ แต่ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปตามยุค ตามสมัยครับ เดี่ยวมีเว็บไซต์มากมายหลายที่ที่ให้คุณสามารถเปิด เปิดร้านค้าออนไลน์ กันได้อย่างฟรี ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่เราจะเปิดร้านค้า online ขึ้นมาสักแห่งหนึ่ง เราก็คงจะต้องมีตัวสินค้าก่อนใช่ไหมล่ะครับ บางคนก็คิดไม่ออกว่าจะขายอะไรกันดีล่ะ แล้วเราจะไปหาสินค้าจากไหนมาขายดีล่ะ ผมมีทางออกให้กับทุกคน ด้วยการทำธุรกิจแบบ affiliate program ก่อนอื่นผมอยากให้ทุกคนรู้จักตัวเองกับโลกออนไลน์กันก่อนว่าเราคุ้นเคยมันมากขนาดไหน



1. ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์

ถ้าอยากทำธุรกิจออนไลน์ ก็จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องมากมายหรอกครับ สามารถใช้โปรแกรม microsoft office เช่น word,exel เป็น สมัครอีเมล์และใช้งานอีเมล์เป็น ท่องอินเตอร์เน็ตเป็น โดยเฉพาะสุดยอดเว็บค้นหาข้อมูลอย่างพี่ google เท่านี้ก็เพียงพอแล้วครับ เพราะยังไงเราก็ต้องใช้ ใครที่พอมีความรู้ในระดับสร้างเว็บไซต์เองได้ก็เป็นการดีเลยครับ สมัยนี้มีโปรแกรมและเครื่องมือทำเว็บไซต์ให้เราได้ใช้กันได้อย่างฟรี ๆ อย่างมากมาย

2. ความรู้ด้านภาษาอังกฤษ

ธุรกิจออนไลน์มีให้เลือกทำมากมาย ทั้งของไทยและต่างประเทศ ถ้าคุณทำกับต่างประเทศความรู้ด้านภาษาอังกฤษต้องอยู่ในระดับดีพอสมควร แต่ทุกอย่างก็มีทางออกครับ บางตัวมีคนนำมาแปลเป็นเป้นภาษาไทยให้คุณเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ว่าคุณจะสนใจหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นธุรกิจออนไลน์ของไทยเอง ก็สบายเลยครับ

3. เครื่องมือประกอบอาชีพ

พูดง่าย ๆ ได้ว่าเป็นเครื่องมือหากินนั่นเอง เราจะทำธุรกิจออนไลน์ได้เราก็ต้องมีเครื่องมือหากิน ดั่งเช่นอาชีพช่างทั้งหลาย เราก็ต้องมีครับ คือคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ท ใครมีอินเตอร์เน็ทที่บ้าน ยิ่งดีใหญ่ เพราะสมัยนี้ค่าบริการรายเดือนก็ถูกแสนจะถูก ความเร็วก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้ว

4. ใช้เงินลงทุนมากน้อยแค่ไหน

อันนี้แล้วแต่ประเภทของธุรกิจออนไลน์ ธุรกิจประเภท affiliate program ส่วนใหญ่จะสมัครทำได้ฟรีคัรบ ธุรกิจเครือข่ายหรือ mlm ส่วนใหญ่แล้วต้องเสียค่าสมัครสมาชิกและซื้อสินค้าใช้เองก่อน แต่สมัยนี้บางตัวใช้เงินลงทุนไม่มากเหมือนแต่ก่อนแล้วครับ อ้อ ลืมบอกไปว่า ต้องลงทุนแรงกายและสมองด้วยนะ

คุ้มมากไหมที่จะลองทำดู ไม่ลองทำเองไม่รู้หรอกครับ ผมเองก็ต้องลองผิด ลองถูก เหมือนกัน สมัยมีเว็บไซต์ที่แนะแนวการทำธุรกิจออนไลน์กันเยอะแล้ว เราสามารถหาข้อมูลใหม่ ๆ มาศึกษากันได้ ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ยังล้าสมัยอยู่

17 ความต่างของวิธีคิดและการกระทำระหว่าง คนรวย คนจน และชนชั้นกลาง

17 ความต่างของวิธีคิดและการกระทำระหว่าง คนรวย คนจน และชนชั้นกลาง

1. คนรวยเชื่อว่า "ฉันกุมชะตาชีวิตของตนเอง" คนจนเชื่อว่า "ฉันถูกลิขิตให้เป็นอย่างนี้"

2. คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อเอาชนะ คนจนเล่นเกมการเงินเพื่อไม่ให้แพ้

3. คนรวยทุ่มเทเพื่อความรวย คนจนแค่อยากรวย

4. คนรวยคิดการใหญ่ คนจนคิดการเล็ก

5. คนรวยมุ่งความสนใจไปที่โอกาส คนจนมุ่งความสนใจไปที่อุปสรรค

6. คนรวยชื่นชมผู้ร่ำรวยปละประสบความสำเร็จคนอื่น ๆ คนจนชิงชังผู้ร่ำรวยและประสบความสำเร็จ

7. คนรวยคบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดีและประสบความสำเร็จ คนจนขลุกอยู่กับคนที่มองโลกในแง่ร้ายหรือไม่ประสบความสำเร็จ

8. คนรวยเต็มใจโปรโมทตัวเองและคุณค่าของตนเอง คนจนมองการขายและโปรโมชั่นในแง่ลบ

9. คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก คนจนมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่


ให้เงินทำงานแทนคุณสิ

10. คนรวยเป็นผู้รับที่ยอดเยี่ยม คนจนเป็นผู้รับที่ยอดแย่

11. คนรวยเลือกที่จะได้รับเงินตามผลงาน คนจนเลือกที่จะได้รับเงินตามระยะเวลาที่ทำงาน

12.คนรวยเลือก "ทั้งสองทาง" คนจนเลือก "ทางใดทางหนึ่ง"

13. คนรวยสนใจมูลค่าทรัพย์สิน คนจนสนใจแต่รายได้จากการทำงาน

14. คนรวยเก่งเรื่องการบริหารเงิน คนจนเก่งเรื่องการบริหารเงินแบบผิด ๆ

15. คนรวยให้เงินทำงานหนักเพื่อตัวเอง คนจนทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน

16. คนรวยมุ่งไปข้างหน้าแม้จะหวาดกลัว คนจนปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งตนเอง

17. คนรวยเรียนรู้และเติบโตอยู่ตลอดเวลา คนจนคิดว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว

ปัญหาทุกปัญหามีทางออกเสมอ เพียงแต่คุณมองไม่เห็น หรือเห็นแต่ไม่มองมัน สิ่งเดียวที่ขังคุณไว้ในปัญหาคือความคิดของคุณเอง คนแต่ละคนอาจจะมีไม่เท่ากัน แต่ทุกคนมีทุกอย่างพอในตัวเองที่จะมีชีวิตที่ดีที่สุด อย่างที่ชีวิตควรจะเป็น ชีวิตคนมีกายมีใจไม่ต่างกัน ความต่างอยู่ที่คนๆนั้นจะได้รับบทเรียนพอที่จะจริงใจกับตัวเองในการแก้ปัญหาและสร้างชีวิตใหม่หรือเปล่า หากคุณคือคนหนึ่งที่ต้องการสร้างชีวิตใหม่ กล้าที่จะเปลี่ยนความคิดใหม่ครับ "แค่เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยน"

แจกหนังสือและบทความให้คุณดาวน์โหลดไปอ่านกันได้อย่างฟรี ๆ เพื่อเสริมสร้างกำลังใจในการทำธุรกิจต่าง ๆ ครับ

1. เคล็บลับรวยโคตร ๆ จากมนุษย์มหัศจรรย์ที่ผ่านความจนมาอย่างโชกโชน

2. เด็กสลัมสู่มหาเศรษฐี ด้วยวิธีแห่งบุญ เผยเคล็ดลับการเป็นมหาเศรษฐีที่ทุกคนไม่ควรพลาด

3. 23 สุดยอดความคิด สำหรับธุรกิจใหม่

4. การออมเงินและการทำเงินให้งอกเงิน

5. 34 วิธีพูดว่า ไม่ ให้ประทับใจและได้ผล

6. 306 ยุทธบริหาร (The Warrior Class)

7. บทเรียนแห่งความโง่เขลา

8. สงครามตราสินค้า 10 กฏทองของการสร้างตราสินค้าชื่อดัง BRAND WARFARE

9. ต้นแบบความล้มเหลวในการวางตลาดผลิตภัณฑ์ Classic Failures in Product Marketing

10. การขายไร้สัมผัส-คู่มือภาคสนามสนการทำการตลาดยุคใหม่ Selling The Invisible

ลองโหลดอ่านดูนะครับ รวบรวมมาจากหลายที่ อาจจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยและขอขอบคุณเจ้าของแนวคิด เจ้าของเว็บไซต์ http://www.skupload.com/ ด้วยนะครับ ที่ทำให้เราได้รับความรู้ดีๆเช่นนี้

ปูแดงจ่อฟ้องDSI พันล้านบาท หลังจากดีเอสไอและสำนักอัยการพิเศษ มีคำสั่งไม่ฟ้อง

ปูแดงจ่อฟ้องDSI พันล้านบาท ว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ หลังจากดีเอสไอและสำนักอัยการพิเศษ มีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัทเบสต์ 59 และปูแดงไคโตซาน ถือว่าปูแดงไม่มีความผิดทุกคดีและข้อกล่าวหาแล้ว

ปูแดงจ่อฟ้องDSIพันล้านว่าเป็นแชร์ลูกโซ่

ปธ.ปูแดง ที่ถูกดีเอสไอแจ้งข้อหาแชร์ลูกโซ่ เตรียมฟ้องกลับเรียกค่าเสียหายพันล้าน จาก ผบ.สำนักคดีพิเศษ ดีเอสไอ

นายสมปอง แซ่ตั้ง ประธานกรรมการบริษัทเบสต์ 59 และปูแดงไคโตซาน พร้อมทีมทนาย ได้เปิดแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักอัยการพิเศษ ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัทเบสต์ 59 และปูแดงไคโตซาน ในข้อหาแชร์ลูกโซ่ และฉ้อโกงประชาชน มีผู้เสียหายหลายหมื่นคน มูลค่าความเสียหายกว่า 2,400 ล้านบาท

โดยนายสมปอง ได้กล่าวว่า ตนได้ประกอบกิจการมาตั้งแต่ พ.ศ.2546 และมีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง กับทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในการประกอบธุรกิจแบบขายตรงสินค้าเกษตรกรรม แต่เมื่อเดือนมกราคม 2553 ที่ผ่านมาทางดีเอสไอ ได้เข้าตรวจค้นบริษัท พร้อมตั้งข้อหาดังกล่าว กระทั่ง ภายหลังทางอธิบดี ดีเอสไอ รวมถึงอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งที่ผ่านมา ทางปูแดง ไม่มีโอกาสได้ชี้แจงหรือออกมาโต้แย้ง เพราะคดียังอยู่ในชั้นศาล แต่เมื่อมีคำสั่งไม่ฟ้อง ตนจึงขอโอกาสออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงบ้าง

นายสมปอง เสริมว่า การจับกุมในครั้งนี้ เป็นเพราะทางเจ้าหน้าที่ไม่ทราบข้อเท็จจริง ว่าอะไรคือการขายตรง อะไรคือแชร์ลูกโซ่ หากปูแดงทำธุรกิจแบบแชร์ลูกโซ่จริง ทาง สคบ. คงไม่อนุญาตให้กลับมาดำเนินธุรกิจแบบเดิมอีกครั้ง ในนามบริษัทปูแดง 168 (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งมีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง การเข้าจับกุมของดีเอสไอ สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจของบริษัท เป็นอย่างมาก ขณะนี้ได้ให้ทีมทนายฟ้องดำเนินคดีทางอาญากับ พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้อำนวยการสำนักคดีอาญาพิเศษ ดีเอสไอ ในข้อหาหมิ่นประมาท และดูหมิ่นโดยการโฆษณา ต่อศาลอาญารัชดาไปแล้ว เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา ในส่วนของการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งนั้น ยังอยู่ในระหว่างการประเมินมูลค่าความเสียหาย ซึ่งเบื้องต้นจากการประเมิน มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

http://www.innnews.co.th/crime.php?nid=257327

**โปรดส่งข่าวดีนี้ให้ทีมงานทุกคนทราบ ต่อๆกันไปนะครับ