วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คำคมจาก ขงเบ้ง

ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่
ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย
เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส
เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย
ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะ ตน"


นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด
ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด
ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น


ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยว ใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว
เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร
เมื่อใครสักคนหนึ่งทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา
เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา
ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้



การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
ผู้ปกครองระดับธรรมดาใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น



เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ"
เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่"
เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูต
(เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร)


เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ"
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้"
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี
(เพราะสุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่ายๆ)



คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นคิ้วของตน
คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น
แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต

เรื่องของทัศนะคติ

เจอร์รี่เป็นผู้จัดการของร้านอาหารแห่งหนึ่งในอเมริกา

เขามักจะอารมณ์ดีอยู่เสมอและมักจะมีมุมมองต่อเหตุการณ์ต่างในแง่ดี
เวลาที่มีใครถามเขาว่าเขาทำอย่างนั้นได้อย่างไร
เขามักจะตอบว่า
"ถ้าผมสามารถเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ได้ ผมอยากจะมีฝาแฝด!"

พนักงานเสริ์ฟในร้านอาหารที่เขาทำงานอยู่หลายคนออกจากงาน
ไปพร้อมกับเจอร์รี่ เมื่อเขาย้ายงาน
เพื่อจะได้ติดตามเขาไปจากร้านหนึ่งไปยังอีกร้านหนึ่ง
สาเหตุทั้งหมดก็มาจากการเป็นคนมองโลกในแง่ดีและทัศนคติของเจอร์รี่
เขาเป็นผู้ผลักดัน เป็นคนที่ให้กำลังใจผู้อื่นได้อย่างดีเยี่ยม
ถ้ามีลูกน้องคนไหนเจอกับเรื่องแย่ๆมา เจอร์รี่จะอยู่กับเขาเสมอ
พร้อมทั้งแนะนำลูกน้องคนนั้น ให้ได้มองเห็นด้านดีๆหรือสิ่งที่เรา
สามารถเรียนรู้ได้จากเรื่องราวแย่ๆที่เกิดขึ้น

วันหนึ่งฉันถามเจอร์รี่ว่า
"ฉันไม่เข้าใจ! คนเราจะมองโลกในแง่ดีอยู่ตลอดเวลาได้ยังไง คุณทำได้ยังไงนะ"

เจอร์รี่ตอบว่า
" ทุกๆเช้า ผมตื่นขึ้นมา พร้อมกับบอกตัวเองว่า
ผมมีทางเลือกสองทางสำหรับวันนี้ ผมเลือกที่จะมีอารมณ์ดีตลอดทั้งวันก็ได้
หรือจะมีอารมณ์เสียๆ ตลอดทั้งวันก็ได้เหมือนกัน ซึ่งผมมักจะเลือกอารมณ์ดี
บางครั้งก็มีเหตุการณ์แย่ๆเกิดขึ้น เราก็สามารถเลือกได้นี่นาว่า
เราจะเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นั้น หรือว่าเลือกที่จะเรียนรู้มัน
ผมมักเลือกที่จะเรียนรู้ ทุกครั้งที่มีบางคนมาติมาบ่นอะไร
มีทางเลือกให้เราเลือกได้ว่าจะยอมรับเสียงเหล่านั้น
หรือว่าจะมองหาด้านดีของชีวิต ผมเลือกอย่างหลัง"

"แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ" ฉันแย้ง

"ใช่ ไม่ง่ายเลย"เจอร์รี่กล่าว

" ชีวิตล้วนเต็มไปด้วยทางเลือก
เมื่อคุณตัดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกไปแล้ว
ทุกสถานการณ์ต่างก็มีทางเลือกของมัน
คุณเลือกได้ว่าจะตอบสนองกับเหตุการณ์นั้นอย่างไร
คุณเลือกได้ว่าจะให้ผู้ครอบข้างมีผลกับความรู้สึกของคุณได้อย่างไร
คุณเลือกที่จะมีอารมณ์ดีหรือแย่ก็ได้
มันเป็นทางเลือกว่าคุณจะใช้ชีวิตของคุณอย่างไร"



หลายปีต่อมาฉันได้ข่าวมาว่า เจอร์รี่ได้ทำบางอย่างที่คุณคาดไม่ถึง
ว่ามันจะเกิดขึ้นในธุรกิจการทำร้านอาหาร
เขาลืมล็อคประตูด้านหลังของร้านในเช้าวันหนึ่ง
และถูกปล้นโดยโจรสามคนที่มีอาวุธ
ระหว่างที่เจอร์รี่กำลังพยายามเปิดเซฟ
มือของเขาสั่นเนื่องจากความตื่นเต้น ทำให้เกิดพลาด โจรพวกนั้นยิงเขา
โชคยังดีที่มีคนพบและนำเขาส่งโรงพยาบาลอย่างทันท่วงที
หลังจากการผ่าตัดที่ยาวนานถึง 18 ชั่วโมงและการดูแลรักษา
ในโรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด เจอร์รี่ก็ได้ออกจากโรงพยาบาล
พร้อมทั้งเศษกระสุนในร่างกาย
ฉันพบเจอร์รี่ 6 เดือนหลังจากเหตุการณ์นั้น
เมื่อฉันถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง

เขายังคงตอบว่า
"ถ้าผมเป็นอะรที่ดีกว่านี้ได้ ผมจะเป็นฝาแฝด อยากดูแผลเป็นของผมมั้ย"

ฉันตอบปฏิเสธ
แต่กลับถามเขาถึงสิ่งที่ผ่านเข้ามาในความรู้สึกเขาหลังจากที่โจรพวกนั้นออกไป

"อย่างแรกที่ผมคิด คือผมไม่ได้ล็อคประตูหลังของร้าน
และหลังจากที่โดนยิง และผมล้มลงบนพื้น
ผมก็ยังคงจำได้ว่าผมมีสองทางเลือกนี่นา
มีชีวิตต่อไปหรือว่าตายเสียในตอนนั้นผมเลือกที่จะอยู่ต่อไป"

"คุณไม่กลัวเหรอ" ฉันถาม

เจอร์รี่เล่าต่อ
เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยแพทย์ทำหน้าที่อย่างดีมาก
พวกเขาคอยบอกว่าผมจะปลอดภัย
แต่เมื่อพวกเขาเข็นผมเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
และผมได้เห็นความกดดันบนใบหน้าของหมอและพยาบาล
ตอนนั้นล่ะที่ผมเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ ในสายตาของพวกเขา
มันเต็มไปด้วยคำพูดที่ว่า "เขาตายแล้ว"
ผมรู้ทันทีว่าผมต้องทำอะไร
ผมต้องแสดงปฏิกิริยาอะไรซักอย่างให้พวกเขารู้ว่าผมยังอยู่

"คุณทำอย่างไร"

"อืม...มีนางพยาบาลคนนึงตะโกนถามผมว่าผมแพ้อะไรหรือเปล่า"
ผมตอบว่า มี...
นางพยาบาลและหมอต่างก็หยุดทำงานรอฟังคำตอบจากผม
ผมหายใจลึกๆและตอบว่า "กระสุน!" หลังจากที่พวกเขาหัวเราะ
ผมบอกพวกเขาว่า

"ผมเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ โปรดช่วยรักษาผมอย่างคนมีชีวิตไม่ใช่คนตาย"

เจอร์รี่ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกขอบคุณความสามารถของหมอ
แต่มันก็เป็นเพราะทัศนคติต่อชีวิตอันแสนจะน่าทึ่งของเขาด้วย
ฉันได้เรียนรู้จากเขาว่า ทุกๆวันคุณมีทางเลือกของชีวิต
คุณเลือกที่จะรักหรือว่าเกลียดชีวิตของคุณเองก็ได้
สิ่งเดียวที่เป็นของคุณจริงๆ และไม่มีใครสามารถนำมันไปจากคุณได้
ก็คือความคิดและทัศนคติของคุณเอง
เพราะฉะนั้นถ้าคุณสามารถใส่ใจกับมันได้
อย่างอื่นในชีวิตของคุณก็จะง่ายดายมากขึ้น

Rich & Poor รวย-จน

มหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่งสุดแสนจะภูมิใจที่ลูกชายวัยห้าขวบของเขา กำลังจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น จึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้

โดยส่วนตัวของเขาเองก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลกควบคู่ไปกับการ สอนทฤษฏีในโรงเรียน ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียวไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่อง ความยากจน เพราะเขามีความเชื่อว่าลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน

เขาจึงพาลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่งและพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมามหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่า ลูกชายได้อะไรบ้างจากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนา และพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า

....ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่ ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าท้องทำงานของชาวนา

อาหารที่ชาวนารับประทานสามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆบริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหาในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหารที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขาต้องกอดเอวพ่อให้แน่น เพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน แต่เขาเองต้อง นั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพังโดยมีคนขับรถพาไปทุกที

ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืนโดยไม่ขาดแคลน แต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน

...ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบลคนพื้นที่ไม่กี่ไร่ ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีดหิ่งห้อยนับร้อยนับพัน แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

เขาขอบคุณพ่ออีกครั้งที่ทำให้เขารู้คำตอบว่า.....จริงแล้ว.......เรายากจนกว่าชาวนามาก

ดังคำที่ว่า....ความสุขอยู่ที่ใจ....นั่นเอง...

เวลา (Time)

ในแต่ละวัน......ให้เริ่มต้นวันด้วยการยิ้ม ไม่ว่าเรื่องที่จะทำให้ยิ้มได้แต่เช้านั้น จะมีอยู่ไม่กี่เรื่อง

ในแต่ละวัน......ให้นึก"ขอบคุณ"อะไรก็ตามที่ดีต่อเราวันละ 1 อย่างหรือ 1 คน

ในแต่ละวัน......ให้จบทุกอย่างที่เป็นปัญหาไว้ที่ทำงาน ไม่ต้องแบกกลับมาที่บ้าน

ในแต่ละวัน......ให้ทำความรู้จักผู้คนเพิ่มขึ้นอย่างน้อยวันละ 1 คน แต่อย่าลืมบอกกับตัวเองว่า...ให้รักษาคนที่รู้จักให้อยู่กับเราได้นานๆ

คำว่า "ไม่มีเวลา" ที่พูดบ่อยจนติดปาก หรือได้ยินบ่อยจนติดหู ทำให้ความสัมพันธ์ของหลายคนปิดตัวเองลงอย่างเงียบๆ ค่อยเป็นค่อยไป พอรู้สึกตัวอีกที ก็ห่างเหินจนลืมสาเหตุไปซะแล้ว

สมองมนุษย์พยายามสร้างสรรค์ความสามารถทางการสื่อสารให้คนทั่วโลกมีโอกาสพูดคุยกัน ย่อโลกให้เล็กลง คุยกันได้แม้อยู่คนละซีกโลก แต่ลืมที่จะสื่อสารกับคนใกล้ตัว หรือแม้กระทั่งกับตัวเอง ยิ่งอยู่ใกล้กัน กลับคุยกันน้อยลง ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครชอบการเปลี่ยนแปลง

แต่ถ้า...เวลาเปลี่ยน อะไรๆก็เปลี่ยน เราก็คงต้องเปลี่ยนด้วยเช่นกัน อย่าลืมสำรวจตัวเองก่อนที่จะทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆว่า... ในช่วงเวลาที่ผ่านมา คุณทำใครหล่นหายไปจากชีวิตบ้างหรือเปล่า?

Risk (ความเสี่ยง)

การหัวเราะ คือ การเสี่ยงที่จะถูกมองว่าเป็นคนโง่
To laugh is to risk appearing a fool

การร้องไห้ คือ การเสี่ยงที่จะถูกมองว่าเป็นคนที่อ่อนไหว
To weep is to risk appearing sentimental

การเข้าไปหาผู้อื่น คือ การเสี่ยงที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้อื่น
To reach out for another is to risk involvement

การแสดงความรู้สึกให้ผู้อื่นรับรู้ คือ การเสี่ยงที่จะได้รับคำปฏิเสธ
To expose feeling is to risk rejection

การตั้งเป้าหมายต่อหน้าผู้อื่น คือ การเสี่ยงที่จะถูกหัวเราะเยาะ
To place your dreams before the crowd is to risk ridicule

การรักใครสักคน คือ การเสี่ยงที่จะไม่ได้รับความรักตอบแทน
To love is to risk not being loved in return

การก้าวเดินไปหนทางข้างหน้าที่เต็มไปด้วยสิ่งใหม่ๆ คือ
การเสี่ยงที่ต่อความผิดพลาด
To go forward in the face of overwhelming odds is to risk failure


แต่เราก็ควรที่จะเสี่ยงในสิ่งต่างๆเหล่านี้ เนื่องจากว่าอันตรายที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตคือการที่ไม่ยอมเสี่ยงสิ่งใดเลย
But risks must be taken, because the greatest hazard in life is to risk
nothing

บุคคลที่ไม่เสี่ยงสิ่งใดเลย, จะไม่ได้ทำสิ่งใดเลย, จะไม่มีสิ่งใดเลย และจะไม่ได้เป็นอะไรเลย
The person who risks nothing does nothing, has nothing, is nothing

เขาอาจจะหลีกหนีจากความทุกข์ยากและความเศร้าโศกได้หากแต่ว่าเขาจะไม่ได้เรียนรู้, ไม่ได้รู้สึก, ไม่ได้เปลี่ยนแปลง, ไม่ได้เติบโตและไม่ได้รู้จักความรักเลย
He may avoid suffering and sorrow, but he cannot learn, feel, change, grow
or love

เขาจะถูกล่ามโซ่ไว้ เขาจะกลายเป็นทาสให้กับสิ่งที่เขากังวลไม่กล้าเสี่ยงนั้น
Chained by his certitudes, he is a slave

จะมีเพียงแต่บุคคลที่กล้าเสี่ยงเท่านั้น ที่จะมีอิสระทำสิ่งต่างๆได้
Only a person who takes risks is free

จงคิดเชิงบวก

ครั้งหนึ่งมีกบตัวเล็กๆ ฝูงหนึ่ง ได้มาร่วมกันจัดการแข่งขันเพื่อปีนขึ้นไปบนยอดเสาไฟฟ้า กลุ่มชนชาวกบมากมายมารอ ชมและเชียร์การแข่งขันครั้งนี้ การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่มีกบตัวใดจะเชื่อว่า เจ้ากบตัวเล็กๆ เหล่านั้นจะปีนขึ้นไปจนถึงยอดเสาได้หรอก มีเสียงพูดลอยๆมาให้ได้ยิน เป็นต้นว่า

" เขาไม่มีทางจะขึ้นไปถึงยอดได้หรอกมันยากลำบากขนาดนั้น" หรือ "เขาไม่มีโอกาสจะประสบความสำเร็จหรอกเสามันสูงขนาดนั้น"เจ้ากบตัวน้อยๆเหล่านั้นก็เริ่มร่วงหล่นลงมาทีละตัวกบบางตัวส่งเสียงร้องตะโกนว่า "มันยากเกินไป ไม่มีใครทำได้หรอก" กบน้อยส่วนใหญ่จึงเริ่มเหนื่อยและยอมแพ้แต่มีกบตัวหนึ่งซึ่งยังคงปีนอย่างมุ่งมั่น สูงขึ้นและสูงขึ้น เจ้าตัวนี้ไม่มีทางยอมแพ้

และ เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน กบตัวอื่นๆ ต่างยอมแพ้หมด ยกเว้นกบตัวน้อยๆตัวนั้น ด้วยความพยายามสุดกำลัง มันสามารถปีนขึ้นสู่ยอดเสาได้กบทุกๆตัวอยากรู้จังว่า เจ้ากบตัวเล็กๆตัวนี้มีพลังในการปีนขึ้นไปสู่ยอดเสาอันเป็นเป้าหมายจนประสบความสำเร็จได้อย่างไร?เรื่องกลับกลายเป็นว่า....แท้จริงแล้ว เจ้ากบตัวผู้ชนะนั้นหูหนวก...???

ดังนั้น เพื่อเวลาจะทำงานใดๆ ให้ประสบความสำเร็จ บ่อยครั้งเราอาจต้องเป็นเหมือนกบตัวนั้น นั่นคือ ต้องทำตัวเป็นคนหูหนวกเสียบ้าง จงพยายามคิดเชิงบวก ความฝันทั้งหลายที่เรามีเราสามารถทำให้มันเป็นจริงได้ด้วยความพยายามอย่างสุดกำลังและด้วยการ ให้กำลังใจตนเองอยู่เสมอ อย่าคิดมากเวลาที่มีคนคอยบั่นทอนกำลังใจจงบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า

"ฉันทำได้ ฉันจะทำให้สำเร็จ" เป็นต้น

รายได้หกหลัก

ด้วยความทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจในการทำงานที่คุณทำอยู่ คิดว่าโอกาสจะมีรายได้หกหลักจะต้องใช้เวลาสักกี่ปีครับ?

คุณคิดว่าคนที่มีรายได้ถึงหกหลักในประเทศไทยมีจำนวนมากไหมครับ?

ได้มีการวิจัยว่า มีอยู่ห้าอาชีพที่สามารถมีรายได้หกหลักดังต่อไปนี้

อาชีพแรก คือ เป็นดารา นักร้องนักแสดง คุณคิดว่าสำหรับคุณเป็นไปได้ไหมครับ?

อาชีพที่สอง คือ วิชาชีพเฉพาะเช่นหมอ ทนาย วิศวกร ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนหลายปี คุณคิดว่าพร้อมจะเริ่มใหม่ ไหมครับ?

อาชีพที่สาม คือการเป็นผู้บริหารมืออาชีพ ค่อยๆไต่ตำแหน่งขึ้นไป แต่ก็ต้องมีการเล่นการเมือง และผู้ใหญ่ต้องชอบเราด้วย คิดว่ามีโอกาสบ้างไหมครับ?

อาชีพที่สี่ คือ เป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งจำเป็นต้องมีเงินต้นเพื่อลงทุนจำนวนมาก แต่เก่งอย่างเดียวไม่พอ ยังต้องเฮงอีกด้วย คุณคิดว่าอย่างไร?


และอาชีพสุดท้าย ก็คือ การเป็นนักขายที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่นขายอสังหาริมทรัพย์ หุ้น คอมพิวเตอร์ล็อตใหญ่ๆ และก็งานขายที่ผมทำอยู่คือการขายประกัน

การสร้างเครื่อข่ายผู้บริโภค ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าคุณเข้าใจ ตอนที่1

Marketing Tip

ตอนที่ 1

ก่อนอื่นผมต้องขออธิบายเกี่ยวกับระบบเครือข่าย MLM (Multi Level Marketing) ก่อน แน่นอนครับสมาชิกหลาย ๆ ท่านก็รู้จัก MLM กันอยู่แล้ว ไม่ว่ากันนะครับ เป็นการแชร์ประสบการณ์สำหรับสมาชิกที่ไม่คุ้นกับ MLM ผมขออธิบายพื้นฐานแบบง่าย ๆ นะครับ MLM ก็คือ การขายตรงแบบหลายชั้น หรือเครือข่ายผู้บริโภคนั่นเอง เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับการกระจายสินค้า ในปัจจุบันการกระจายสินค้าที่แพร่หลายมากที่สุดที่ทุกท่านคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เราเรียกว่า ธุรกิจค้าปลีก (Modern Trade)



จากภาพด้านบนจะสังเกตุได้ว่าในธุรกิจค้าปลีกนั้น พวกเราเป็นได้เพียงผู้บริโภคเท่านั้น นั่นหมายถึง เรามีหน้าที่จ่ายเงินซื้อสินค้าอย่างเดียวไม่มีส่วนได้รับผลตอบแทนจากธุรกิจเลย แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้วอิทธิพลที่เป็นตัวแปรที่สำคัญให้เราเลือกซื้อสินค้าในสมัยนี้ (ยุคที่ทุกอย่างแพงหมด) ก็คือเพื่อนหรือคนที่เรารู้จักที่มีประสบการณ์ในการใช้สินค้านั้นๆมาแนะนำให้เราใช้นั่นเอง เช่น ถ้าคุณกำลังจะเปลี่ยนยี่ห้อแชมพู คุณคิดว่าสามารถเลือกซื้อแชมพูจากการดูโฆษณาได้จริงหรือ ในขณะที่ในโฆษณามีแชมพูหลากหลายยี่ห้อมากๆ ผมของนางแบบก็สวยเหมือนๆกันหมดและอีกทั้งเราไม่สามารถดมกลิ่น และสัมผัสผมของนางแบบจากโฆษณาได้ คุณจะทราบได้อย่างไรว่าแชมพูที่โฆษณาแตกต่างกันอย่างไร แต่ในทางตรงข้าม ถ้าเพื่อนหรือคนที่เรารู้จักเคยใช้แชมพูยี่ห้อหนึ่งอยู่แล้วซึ่งมีคุณภาพดีมาก ผมก็นุ่มสลวย เงางามและหอมมาแนะนำสินค้าให้เราใช้ ซึ่งเราก็เห็นผลจากการใช้ของเพื่อนหรือคนที่เรารู้จักจริงๆ ถามว่า ตกลงเพื่อนคุณนั้นแหละเป็นผู้มีอิทธิพลในการเลือกซื้อแชมพูของคุณมากที่สุดใช่หรือไม่ แต่ในธุรกิจค้าปลีก เพื่อนคุณไม่มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจเลย

ในทางกลับกันในธุรกิจ MLM ซึ่งเห็นความสำคัญของเพื่อนคุณมากกว่าบริษัทโฆษณา ดังนั้นบริษัทจึงได้สลับค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและค่าเช่าชั้นวางสินค้าตามห้างร้าน มาเป็นรายได้ผลตอบแทนในการกระจายสินค้าให้แก่เพื่อนเราแทนและถ้าเราทำเหมือนเพื่อนเรา เราก็จะได้รับผลตอบแทนแบบเดียวกันกับเพื่อนเรานั่นเอง ดังนั้น ธุรกิจ MLM จึงเป็นธุรกิจที่ให้โอกาสเราสร้างรายได้จากการใช้สินค้าและบอกต่อ จึงเรียกว่า เครือข่ายผู้บริโภคนั่นเอง


หลายๆ ท่านคงเคยสงสัยว่า ในธุรกิจ MLM ทำไมไม่มีการโฆษณา ... นอกเหนือจากคำอธิบายที่ว่า เป็นเพราะบริษัทนำเอาค่าโฆษณามาเป็นผลตอบแทนให้แก่นักธุรกิจอิสระแล้ว ยังมีเหตุผลที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ในการที่จะสร้างเครือข่ายผู้บริโภคให้สำเร็จได้นั้น เราจำเป็นจะต้องทำให้ผู้บริโภคด้วยกันเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในการกระจายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคด้วยกันเองอย่างแท้จริง จากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าคุณจะสามารถรับทราบข้อมูลของสินค้า และธุรกิจจากเพื่อนคุณคนที่มีประสบการณ์เท่านั้น ดังนั้นถ้าคุณสนใจอยากทำแบบเพื่อนคุณบ้าง ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเพื่อนคุณเท่านั้น ดังนั้นเพื่อนคุณจึงสามารถสร้างเครือข่ายผู้บริโภคของเขาได้ ถ้าเขาพูดแนะนำสินค้าและธุรกิจเป็นนั่นเอง แต่ในทางตรงข้าม ถ้าบริษัทดำเนินการโฆษณาควบคู่ไปด้วยหมายความว่า คุณก็จะได้รับข้อมูลสินค้าและธุรกิจจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้นอกเหนือจากรับรู้จากเพื่อนของคุณ คุณก็จะมีทางเลือกว่าจะสมัครติดเพื่อนหรือบริษัท ถ้าเป็นดังนี้แล้วระบบเครือข่ายผู้บริโภคก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้นั่นเอง แต่ทั้งนี้การโฆษณาจะเข้ามาเกี่ยวข้องตอนที่ระบบเครือข่ายผู้บริโภคเกิดขึ้นแล้วกระจายเต็มพื้นที่แล้ว โดยจะมีการโฆษณาให้สมาชิกและนักธุรกิจอิสระรู้จักสินค้ามากขึ้น เป็นการกระตุ้นการใช้สินค้าทั้งระบบนั่นเอง


เป็นอย่างไรบ้างครับตอนนี้ผมเชื่อมั่นว่าสมาชิกที่เพิ่งเคยได้ยิน MLM ก็คงจะเข้าใจมากขึ้นนะครับ ทีนี้เราเห็นแล้วว่า หัวใจของระบบเครือข่ายผู้บริโภค ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเกี่ยวข้องกับการบริโภค ดังนั้น ถ้าเราจะตั้งใจสร้างเครือข่ายของเราให้ยั่งยืนในระบบ MLM ก็ต้องเน้นการสร้างผู้บริโภคให้เกิดในเครือข่ายเราเยอะนั่นเอง คำว่าผู้บริโภค ก็หมายความว่า การซื้อสินค้าเพื่อใช้บริโภค พอหมดและซื้อใหม่นั่นเอง ดังนั้นถ้าคนในเครือข่ายเราซื้อสินค้ามากกว่าการบริโภคเราก็ต้องดูดี ๆ ว่าเจตนาเขาคืออะไรกันแน่ ถ้าเขาซื้อเพื่อสร้างยอดขึ้นชั้นตำแหน่ง เราอย่าดีใจแสดงว่าเดือนต่อ ๆ ไปเค้าจะไม่ซื้อเท่าเดิมแล้ว และของที่เขาซื้อตุนไว้จะระบายอย่างไร ถ้าดูแลไม่ดีอาจจะทำให้เครือข่ายของเราล่มได้ง่าย ๆ นะครับ จะเห็นได้ว่าจริง ๆ แล้ว ถ้าเราสามารถสร้างยอดขายจากการใช้สินค้าจริงของผู้บริโภคได้ ยอดขายต่อคนจะน้อย แต่จะใช้จำนวนของผู้บริโภคมาก ๆ นั่นเอง อย่าลืมนะครับว่าประชากรไทยมีตั้งเกือบ 70 ล้านคน ขอให้มีแค่ 1,000 คนมาเป็นผู้บริโภคในเครือข่ายเราใช้คนละเพียง 2,000 บาทต่อคนต่อเดือน เท่านี้เราก็มียอดขายของกลุ่มเราถึง 2,000,000 บาทต่อเดือนแล้วนะครับ และถ้าเรามีผลตอบแทน (ส่วนต่างชั้นตำแหน่ง) 5% เท่านี้เราก็สามารถมีรายได้ประมาณ 100,000 บาทแล้วนะครับ แต่อย่าลืมละครับเราก็ซื้อสินค้าใช้แค่ 2,000 บาทต่อเดือนเหมือนกัน นี้แหละครับถึงเรียกว่า"ธุรกิจของคุณอย่างแท้จริง"

การสร้างเครื่อข่ายผู้บริโภค ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าคุณเข้าใจ ตอนที่2

สมาชิกก็ได้ทราบแล้วว่า ระบบเครือข่าย MLM (Multi Level Marketing) คืออะไร ซึ่งในคอลัมน์นี้เรามาทำความเข้าใจมากขึ้นถึงหัวใจที่จะทำให้ระบบเครือข่ายประสบความสำเร็จ (Key Success) เพราะถ้าเราสามารถเข้าใจถึงหัวใจของระบบ คุณเองก็จะสามารถที่จะสร้างระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนได้ไม่ยากเลย

แน่นอนครับ ธุรกิจเครือข่าย ในประเทศมีมากมายหลากหลาย แต่วัตถุประสงค์เดียวกันหมดก็คือ การกระจายสินค้าและผลิตภัณฑ์ ที่ตนเองมีสู่ผู้บริโภคให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเปลี่ยนสถานะของผู้บริโภคในระบบค้าปลีก(ซึ่งไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้นมีหน้าที่จ่ายเงินซื้อสินค้าเพียงอย่างเดียว) ให้มาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ (ได้รับค่าตอนแทนจากการใช้สินค้าและแนะนำให้คนอื่นทำตาม) แต่ไม่ใช้จะประสบความสำเร็จได้ทุกที่ เสมือน การเลือกคู่แต่งงานนั้นเอง ถ้าเราได้คู่ที่ศึกษากันมาดี (คบกันมานาน) เข้าใจกัน ก็จะมีความสุข และประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกันกับ การเลือกธุรกิจ ถ้าเราเข้าใจธุรกิจที่เราจะไปร่วมด้วยก็เป็นไปได้อย่างมากที่เราจะประสบความสำเร็จในธุรกิจนั้นๆ

สิ่งสำคัญอันดับที่หนึ่งก็คือ สินค้าและผลิตภัณฑ์ แน่นอนเนื่องจากรายได้หรือผลตอบแทนที่เราจะได้รับมาจากส่วนต่างจากการใช้สินค้าของเราและสายงาน ดังนั้นที่เหมาะสมกับระบบจะต้องเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป จะทำให้เราได้รับผลตอบแทนระยะยาว สินค้าและผลิตภัณฑ์ต้องมีหลากหลาย พัฒนาตลอดเวลา และที่สำคัญ สินค้าและผลิตภัณฑ์ นั้นๆ จะต้องมีราคาจำหน่ายที่สามารถแข่งขันได้กับ ระบบค้าปลีก (ตามร้านค้าปลีกทั่วไป) เพื่อให้ง่ายต่อการแนะนำและสร้างเครือข่าย (ถ้าสินค้าแพงกว่าท้องตลาดจะทำให้การสร้างเครือข่ายยาก)

สิ่งที่เป็นหัวใจที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จอีกอย่างหนึ่งก็คือ แผนการจ่ายผลตอบแทน ซึ่งเกี่ยวข้องอย่างมากที่จะเป็นแรงจูงใจให้คนในระบบเดินอย่างไร เช่น ถ้าแผนการจ่ายผลตอบแทนเน้นการจ่ายในแนวลึก คนในระบบก็จะสร้างเครือข่ายแนวลึก ซึ่งขาดความมั่นคง ในขณะเดียวกันถ้าแผนการจ่ายผลตอบแทนเน้นการจ่ายในแนวกว้างติดตัว คนในระบบก็จะสร้างสายงานในแนวกว้างซึ่งจะทำให้ได้จำนวนคนและความมั่งคงกว่าดังภาพข้างล่าง


แนวลึก แนวกว้าง


หัวใจที่จะประสบความสำเร็จลำดับที่ 3 ก็คือความมั่นคงของตัวธุรกิจเอง ไม่ใช้ทำธุรกิจสร้างเครือข่ายแล้วเสียเวลาไป 3 ปี 5ปีบริษัทดันมาปิดเสียแล้วเป็นต้นดังนั้นเราเองก็ต้องพิจารณาหุ้นส่วนของเราด้วยว่ามีความมั่งคงเพียงไรธุรกิจที่เราเสียเวลาเพียรสร้างมาจะเป็มมรดกตกทอดถึงลูกหลานได้จริงหรือเปล่าหรือจะเป็นเพียงไฟไหม้ฟางนะครับ


แน่นอนว่า ผลตอบแทนจากธุรกิจมาจาก จำนวนคนในเครือข่าย x ยอดสั่งซื้อต่อคน ดังนั้นถ้าเราอยากมีรายได้มากๆ ก็ต้องเพิ่มจำนวนคนในเครือข่ายให้มากๆ หรือเพิ่มยอดสั่งซื้อต่อคนให้เพิ่มขึ้น(ถ้าจะเน้นยั่งยืนยอดสั่งซื้อต่อคนต้องเป็นการซื้อใช้จริงๆ ไม่ใช้กักตุน) ดังนั้นสิ่งสุดท้ายที่สำคัญและจะเป็นตัวช่วยให้การสร้างเครือข่ายสำเร็จง่ายขึ้น ก็คือวิธีในการสร้างเครือข่ายนั้นเอง การที่เราจะสร้างจำนวนคนในเครือข่ายให้มากๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ ต้องเลือก เทคนิคการเปิดใจ จำนวนสินค้าที่ใช้เปิดใจ ที่ต้องสั้น ง่าย น่าเชื่อถือ ถ้าไม่แน่ใจว่าจะมาถูกทางหรือไม่ ให้ลองนึกดูว่า วิธีของเรานั้น สามารถเปิดใจ ได้ ทุกคน ทุกชนชั้น ทุกอาชีพ ทุกการศึกษา ทุกรายได้ และทุกอายุ หรือไม่ ถ้าไม่หรือยากเกินไปแสดงว่ายังไม่ใช่นะครับ หรือลองนึกถึงเกมส์บอกต่อดูนะครับสิ่งที่จะทำให้การบอกต่อประสบความสำเร็จคืออะไร

นอกเหนือจากที่ผมกล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น การสร้างวัฒนธรรมของเครือข่าย ความจริงใจ ความน่าเชื่อถือ และทัศนคติในเชิงบวก เป็นต้น ซึ่งสิ่งๆ ประกอบกันนี้จะเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้การสร้างองค์กรของสมาชิกทุกท่านประสบความสำเร็จ และผมก็เชื่อมั่นเป็นอย่างมาก เนื่องจาก ธุรกิจไออาร์ ของเรา มีหัวใจครบทุกดวงที่จะช่วยเบาแรงให้สมาชิกประสบความสำเร็จแล้วนั้นเอง อีกทั้งธุรกิจของเรายังเช้ามืดและเป็นต้นน้ำอยู่ ดังนั้นสมาชิกยังมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยากนะครับ ขอเพียงทุกท่านอย่าหยุดเดิน แล้วเราจะก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนพร้อมกันอย่างแน่นอนครับ

สวรรค์มีทั้งหมด ๖ ชั้น(ชั้นของเทพเทวดา)

สวรรค์มีทั้งหมด ๖ ชั้น(ชั้นของเทพเทวดา)โดยมีดังนี้ ......

๑. ชั้นที่ ๑ เรียกชั้น จาตุมหาราชิกา

มีอายุ ล้านปีมนุษย์

๒. ชั้นที่ ๒ เรียกชั้น ตาวติงสา หรือ ดาวดึงส์

มีอายุ ๓๖ ล้านปีมนุษย์

๓. ชั้นที่ ๓ เรียกชั้น ยามา

มีอายุ ๑๔๔ ล้านปีมนุษย์

๔. ชั้นที่ ๔ เรียกชั้น ตุสิตา หรือ ดุสิต

มีอายุ ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์

๕. ชั้นที่ ๕ เรียกชั้น นิมมานรตี

มีอายุ ๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์

๖. ชั้นที่ ๖ เรียกชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี

มีอายุ ๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์

แผนการจ่ายค่าตอบแทน MLM

แผนการจ่ายค่าตอบแทน MLM หรือที่เรียกว่า Compensation Plan หรือที่นิยมเรียกกันว่า แผนการตลาดขายตรง ถือเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่ง ที่ส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จ ความล้มเหลว การเติบโตและความยั่งยืนของบริษัท MLM โดยทั่วไป ระบบขายตรงหลายชั้น หรือระบบ MLM นั้นมีลักษณะที่สำคัญซึ่งทำให้ระบบเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็คือ การที่ผู้จำหน่ายอิสระได้รับค่าตอบแทนจากยอดขายโดยตรงของตนเองแล้ว นอกจากนี้ยังได้รับค่าตอบแทน หรือที่เรียกว่า Override จากยอดขายของผู้จำหน่ายอิสระที่ตนเองได้แนะนำให้เข้าร่วมธุรกิจและผู้ จำหน่ายอิสระที่เป็นดาวน์ไลน์ต่อๆลงไปด้วย จุดนี้นี่เองที่เป็นการเปลี่ยนแนวความคิดจากการที่ผู้จำหน่ายอิสระจะต้อง แย่งกันขายให้แก่ลูกค้า มาเป็นการช่วยกันขายเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างอัพไลน์และดาวน์ ไลน์ และยังช่วยกันแนะนำให้ลูกค้าที่ใช้สินค้าเข้ามาร่วมธุรกิจเป็นผู้จำหน่าย อิสระต่อในสายงานของตนต่อไปอีกด้วย

วัตถุประสงค์หลักของแผนการจ่ายค่าตอบแทนก็เพื่อใช้เป็นนโยบายในการจ่ายค่า ตอบแทนอย่างยุติธรรมให้แก่ผู้จำหน่ายอิสระ สมาชิกหรือบุคคลใดที่ได้ดำเนินกิจกรรมที่ทำให้เกิดยอดขาย และก่อให้เกิดการเจริญเติบโตของบริษัท MLM และการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายอิสระ โดยที่กิจกรรมที่ได้กล่าวแล้วนั้นจะเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการเจริญเติบโต อย่างยั่งยืนแก่บริษัทและเครือข่ายผู้จำหน่ายอิสระอย่างสมดุลและยุติธรรม

มีคำถามมากมายเกี่ยวกับแผนการจ่ายค่าตอบแทน ผู้คนอาจจะอยากทราบว่าแผนแบบใดเป็นแผนที่ดีที่สุด คำตอบก็คงเป็นคำตอบที่ตอบยากที่สุดเช่นกัน เพราะแต่ละแผนก็จะมีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ดี ลักษณะหรือรูปแบบของแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่สามารถสังเกตได้จากแผนต่างๆที่ พิจารณาแล้วว่าประสบความสำเร็จ สามารถนำมาสรุปเป็นหลักการกว้างๆที่เป็นปัจจัยหลักๆที่เป็นองค์ประกอบของแผน การจ่ายค่าตอบแทนที่ประสบความสำเร็จ เพื่อให้ท่านผู้อ่านทราบถึงหลักการในการวิเคราะห์แผนการจ่ายค่าตอบแทนที่จะ นำท่านไปสู่ความสำเร็จได้

เป้าหมายหลักของ แผนการจ่ายค่าตอบแทนคือการจ่ายค่าตอบแทนให้กับการดำเนินกิจกรรมต่อไปนี้คือ 1) การขายสินค้าแก่ผู้บริโภค (Sell) 2) การสร้างเครือข่ายผู้จำหน่ายอิสระ (Recruit) 3) การสร้างผู้ฝึกอบรม (Build Trainers) 4) การสร้างนักบริหารการขาย (Build Top Sales Executives) 5) การรักษาให้ผู้จำหน่ายอิสระที่ดีให้อยู่กับบริษัทได้อย่างยั่งยืน (Keep Good Distributors)

การจ่ายค่าตอบแทนให้กับการขายสินค้าแก่ผู้บริโภค (Sell) เป็นการจ่ายค่าตอบแทนแก่กระบวนการหลักในการผลักดันสินค้าจากบริษัทไปสู่ผู้ บริโภค หากไม่มีการขายสินค้าแล้ว ระบบ MLM ก็จะไม่เป็นระบบที่เหมาะสม (ควรตั้งข้อสงสัยว่าน่าจะเป็นแชร์ลูกโซ่ได้) โดยปกติกำไรจากการขายปลีกจะเป็น 25 % ของราคาขายปลีก หรือเป็น 33 % ของราคาขายส่ง หากสินค้าของท่านเป็นสินค้าที่มีสินค้าแข่งขันกันอยู่ในตลาด การตั้งราคาที่เหมาะสมก็เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง การกำหนดราคาที่สูงมากๆทำได้ในกรณีที่สินค้าของท่านเป็นสินค้าที่มีนวัตกรรม ยังไม่มีสินค้าทดแทนหรือคู่แข่งอยู่ในตลาด อย่างไรก็ดี การบังคับให้ผู้จำหน่ายอิสระต้องซื้อสินค้าเก็บไว้จำนวนมากๆ เพื่อให้ได้ผลประโยชน์จากผลต่างเพิ่มมากขึ้นนั้นทำได้ แต่ต้องสมเหตุสมผล คือบริษัทต้องไม่บังคับให้ซื้อสินค้าที่ขายไม่ออก มิฉะนั้นโอกาสที่จะทำให้บริษัทไปไม่รอดก็จะสูงไปด้วย เพราะผู้จำหน่ายอิสระ ก็ขายของไม่ออกด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อผู้จำหน่ายอิสระขายของไม่ได้ บริษัทก็อยู่ยาก ดังนั้นบริษัทจึงควรจะจ่ายค่าตอบแทนสำหรับกิจกรรมในการขายสินค้าแก่ผู้ บริโภคอย่างเหมาะสม

การจ่ายค่าตอบแทนให้กับการสร้างเครือข่ายผู้จำหน่ายอิสระ (Recruit) เป็นการจ่ายค่าตอบแทนสำหรับกิจกรรมหัวใจหลักในการขยายจำนวนผู้จำหน่ายอิสระ หรือการขยายทีมงาน การจ่ายค่าตอบแทนทำได้โดยการจ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายของกลุ่มหรือยอด ทีมใต้สายงานลงไป เพราะถ้าผู้จำหน่ายอิสระสร้างทีมงานเพิ่มมากขึ้นยอดขายของกลุ่มหรือทีมงาน ใต้สายงานของเขาก็จะมากขึ้นด้วยส่งผลให้ยอดคอมมิชชั่นของผู้จำหน่ายอิสระคน นั้นมากขึ้นตามไปด้วย

การสปอนเซอร์ การแนะนำ การสร้างทีมงานหรือการบอกต่อนั้น ในระยะเริ่ม 7 วันแรกนั้นผู้ที่สมัครเข้ามาใหม่จะรู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสทางธุรกิจที่รอ อยู่ข้างหน้าอย่างมาก มีความกระตือรือร้นที่จะทำงานหรือหาสายงานเพิ่ม หากผู้สมัครเป็นผู้จำหน่ายอิสระใหม่สามารถสร้างทีมงานเพิ่มได้ในช่วงนี้ก็จะ ทำให้การสร้างทีมงานเติมโตอย่างมาก เพราะยังมีความรู้สึกที่ดีอยู่มาก

หากผ่านระยะเวลาไป 1 เดือนผู้สมัครเป็นผู้จำหน่ายอิสระใหม่ยังไม่สามารถสร้างสายงานของตัวเองได้ ก็ยังคงมีความหวังอยู่บ้าง แม้จะไม่ตื่นเต้นเหมือนช่วงแรกแต่ก็ยังไม่หมดไฟ

หากผ่านระยะเวลาไป 2 เดือนหรือมากกว่า ผู้สมัครเป็นผู้จำหน่ายอิสระใหม่ยังไม่สามารถสร้างสายงานของตัวเองได้ ไปแนะนำใครก็ไม่มีใครสมัครเข้ามาเลย ความหวังก็คงริบหรี่เต็มที ถ้าไม่มีการกระตุ้นไฟก็คงหมด

ดังนั้นแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่ดีควรจ่ายให้แก่การแนะนำผู้จำหน่ายอิสระใหม่ๆ ให้ได้ในระยะที่เร็วที่สุดเพื่อให้สามารถรักษาความกระตือรือร้น และความสนใจในการสร้างสายงานของผู้จำหน่ายอิสระใหม่ให้มีความหวัง จึงเป็นการจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องจ่ายค่าตอบแทนสำหรับการแนะนะผู้แทน จำหน่ายอิสระรายใหม่ให้เร็วเมื่อเขาทำงานได้ตามเป้าหมายที่เป็นไปได้ (ไม่ยากจนเกินไป)ในระยะแรก เพื่อให้เขาเหล่านั้นสามารถความเติมโตของทีมงานของเขา นั่นก็หมายความถึงการเติมโตของบริษัทด้วยเช่นกัน

การจ่ายค่าตอบแทนให้กับการสร้างผู้ฝึกอบรม (Build Trainers) การสร้างผู้ฝึกอบรมคือการสร้างผู้แทนจำหน่ายอิสระที่สามารถฝึกอบรมเทคนิคการ ขายและเทคนิคการแนะนำ สปอนเซอร์ที่ดีให้แก่ผู้จำหน่ายอิสระใหม่ที่สมัครเข้ามาร่วมธุรกิจ หรือเป็นการเพิ่มพูนความรู้ความสามารถให้กับผู้จำหน่ายอิสระเก่าก็ได้ การเพิ่มความสามารถให้แก่ผู้แทนจำหน่ายอิสระเหล่านั้นให้สามารถทำงานซ้ำๆ โดยใช้เทคนิคที่เหมาะสมในการขยายสายงานและขายสินค้า เป็นการสร้างความเติบโตแก่ทีมงานโดยรวม

ดังนั้นการจ่ายค่าตอบแทนให้กับกิจกรรมการสร้างผู้ฝึกอบรมนั้น ควรจ่ายให้กับผู้แทนจำหน่ายจากยอดขายกลุ่มของเขาและจำนวนทีมงานที่เขาสามารถ แนะนำเข้ามาใหม่ หรือทั้งสองอย่างก็ได้

การจ่ายค่าตอบแทนให้กับการสร้างนักบริหารการขาย (Build Top Sales Executives) เมื่อผู้แทนจำหน่ายที่เป็นลูกทีมนั้นสามารถสร้างสายงานและมีรายได้พอสมควร แล้ว ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะสร้างให้ลูกทีมในสายงานเหล่านั้นเติบโตและสร้างสรรค์ ผลงานให้ได้เต็มศักยภาพของพวกเขาโดยการสนับสนุนให้เขาเหล่านั้นเติบโตยิ่ง ขึ้นไปอีก โดยการสอนเทคนิคการบริหารบุคคล บริหารทางการเงิน รวมถึงเทคนิคและแนวความคิดอื่นๆที่จำเป็นต่อการเติมโตขององค์กรด้วย การจ่ายค่าตอบแทนให้กับการสร้างผู้บริหารระดับสูงที่เก่ง มีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อจูงใจให้ผู้จำหน่ายอิสระที่เก่งๆพยายามถ่ายทอด ความรู้ของพวกเขาไปยังผู้จำหน่ายอิสระที่เป็นลูกทีมของเขาอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้เกิดกรณีที่พบบ่อยๆ คือสร้างให้เก่งแล้วก็ไม่ได้อะไร หรือสร้างให้เก่งแล้วก็หลุดไป

การรักษาให้ผู้จำหน่ายอิสระที่ดีให้อยู่กับบริษัทได้อย่างยั่งยืน (Keep Good Distributors) เป็นกิจกรรมที่สำคัญมาก ความยั่งยืนปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ผู้จำหน่ายอิสระที่เก่งๆมองหา เพราะเขาเหล่านั้นรู้ว่ามันไม่สนุกนักในการต้องไปเริ่มต้นทำสายงานใหม่อยู่ บ่อยครั้ง ถึงแม้ว่าจะมีลูกทีมที่เชื่อมั่นในความสามารถของแม่ทีมเก่งๆเหล่านั้นอยู่ แต่การเริ่มต้นใหม่ก็ยังเหนื่อยอยู่ดี การรักษาผู้จำหน่ายอิสระให้ยั่งยืนอยู่กับบริษัทได้ ก็ขึ้นอยู่กับการจ่ายค่าตอบแทนที่ยุติธรรม เหมาะสม และสามารถจ่ายได้อย่างยั่งยืน ไม่จ่ายเกินที่กำหนด ไม่ Over-pay ดังนั้นระบบจึงควรมีการรองรับการจ่ายค่าตอบแทนที่ยั่งยืนไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ก็จะเป็นสิ่งที่ควรทำมากที่สุด

หลักการอื่นๆที่สำคัญที่ควรคำนึงถึงเกี่ยวกับแผนการจ่ายค่าตอบแทน คือ ความง่าย และการไม่เปลี่ยนแผนบ่อย ความง่ายของแผนการจ่ายค่าตอบแทน เป็นสิ่งที่ทำให้การสื่อสารในเรื่องแผนง่ายไปด้วย บางบริษัทที่ใช้แผนที่สลับซับซ้อนมากๆ บางครั้งดูดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ส่วนใหญ่มักจะมีอะไรซ้อนอยู่ การอธิบายให้ผู้มุ่งหวังที่เราจะชัดชวนเข้ามาร่วมธุรกิจก็ทำได้ยาก จึงจำเป็นต้องใช้แผนที่ง่าย เข้าใจง่าย อธิบายง่าย ไม่ซับซ้อน จะดีกว่า

การเปลี่ยนแผนบ่อย ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้บริษัท MLM ดูไม่เป็นมืออาชีพ หรืออาจจะมองได้ว่าไม่ได้คิดให้รอบครอบมาก่อน ผู้แทนจำหน่ายอิสระหรือสมาชิกจะมีความรู้สึกไม่มั่นคง เพราะไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแผนอีกเมื่อไร แล้วจะกระทบกับผลประโยชน์ที่ควรจะได้หรือไม่ อันนี้เป็นเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บริษัท MLM ไม่ประสบความสำเร็จได้

แผนการจ่ายค่าตอบแทนมีลักษณะที่สำคัญ คือต้องมีทั้งความกว้างและความลึก ความกว้างนี้เป็นลักษณะของแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่ได้จากการขายสินค้าของผู้ แทนจำหน่ายอิสระเองและการแนะนำผู้จำหน่ายอิสระใหม่ด้วยตัวเอง พูดง่ายๆว่าเป็นการขายเองและสปอนเซอร์ด้วยตัวเอง เป็นการขยายทีมงานในแนวกว้าง ซึ่งเป็นลักษณะของนักขาย

ความลึกเป็นลักษณะของแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่มีการการช่วยเหลือกัน และการสนับสนุนกันในทางลึกเพื่อทำให้เกิดรายได้จากยอดขายที่อยู่ลึกลงไปจาก เรา และทำให้เกิดการช่วยเหลือกันทำงาน เป็นการสร้างผู้นำที่สามารถฝึกอบรมผู้แทนจำหน่ายอื่นๆ โดยการต่อสายงานให้กับลูกทีม แผนที่มีลักษณะแบบนี้คือแผนที่มีโครงสร้างองค์กรเป็นแบบจำกัดลูกทีมติดตัว หรือ Forced Matrix นั้นเอง ซึ่งทำให้เกิดการช่วยเหลือและสนับสนุนซึ่งกันและกันทำให้เครือข่ายขยาย และเติบโตได้ดี เพราะระบบจำกัดจำนวนผู้ที่จะนำมาติดตัว จึงเป็นการบังคับให้ผู้แทนจำหน่ายที่เราแนะนำมาแล้วเมื่อมีลูกทีมติดตัวเกิน จำนวนที่กำหนดเราต้องนำไปต่อให้กับลูกทีมของเราลงไปข้างล่าง ซึ่งเป็นการช่วยเหลือลูกทีมเราไปในตัว

แผนการจ่ายค่าตอบแทนที่พบในตลาด MLM นั้นมีแบบหลักๆ คือ 1) แผนเมทริกซ์ (แผนเน็ตเวิร์ก หรือยูนิเลเวล) 2) แผนไบนารี่ 3) แผนไตรนารี่ 4) แผนสแตร์สเต็ปเบรกอะเวย์ 5) แมทชิ่งโบนัส และ 6) กองทุนต่างๆ

แผนเมทริกซ์ Matrix Plan หรือแผนเน็ตเวิร์ก Network Plan หรือยูนิเลเวล Unilevel Plan เป็นแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่เก่าแก่แผนหนึ่ง เป็นแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่จ่ายค่าตอบแทนเป็นจำนวนร้อยละของยอดขายหรือคะแนน ในแต่ละชั้น ซึ่งจำกัดจำนวนชั้นที่จะจ่ายให้ลึกตามที่กำหนด หากไม่จำกัดจำนวนลูกทีมในชั้นที่หนึ่ง (หรือลูกทีมติดตัว หรือเรียกว่า Front line) เราเรียกว่า Unforced matrix คือเน็ตเวิร์กที่ไม่จำกัดจำนวนลูกทีมติดตัว (Front line) หรือที่เรียกว่า ยูนิเลเวล

แผนเมทริกซ์อีกแบบหนึ่ง ซึ่งจำกัดจำนวนลูกทีมติดตัว ที่เรียกว่า Forced Matrix เป็นแผนที่จ่ายค่าตอบแทนเป็นชั้นๆ โดยจำกัดจำนวนลูกทีมติดตัว หรือ Front line ตามจำนวนที่กำหนด เช่น มีลูกทีมติดตัวได้ไม่เกิน 5 คน เมื่อเราได้แนะนำผู้แทนจำหน่ายอิสระเข้ามาเป็นลูกทีมเราได้ครบ 5 คนแล้ว เมื่อแนะนำคนต่อไปก็จะไม่สามารถต่อติดตัวเราได้อีก ต้องนำไปต่อในชั้นที่ 2 ซึ่งก็จะเป็นลูกทีมของลูกทีมของเราอีกทีหนึ่ง เราเรียกลักษณะการต่อสายงานแบบนี้ว่า การล้นชั้น หรือ Spill over ตัวอย่างของแผนเมทริกซ์แบบ 5x10 ก็คือมีลูกทีมติดตัวได้สูงสุด 5 คนและมีรายได้ลึกลงไป 10 ชั้น

การ Roll-Up เป็นลักษณะการคำนวนอันหนึ่งของแผนเมทริกซ์ ซึ่งมีประโยชน์ในกรณีที่ลูกทีมบางคนไม่ทำงานหรือไม่ซื้อสินค้าให้มีคะแนน เพื่อรักษาคุณสมบัติในการรับคอมมิชชั่นหรือโบนัส (Commission Qualifying) อัพไลน์หรือแม่ทีมจะสูญเสียโอกาสในการได้รับคอมมิชชั่นจากลูกทีมคนนี้ เพราะเขาไม่ได้ซื้อสินค้า การโรลอัพนั้นเป็นการดึงเอาลูกทีมคนถัดลงไปในสายงานขึ้นมาให้อยู่ในชั้น เดียวกับลูกทีมที่ไม่ได้รักษายอด

จำนวนชั้นและเปอร์เซ็นต์ที่ผู้แทนจำหน่ายอิสระจะได้รับผลประโยชน์ตามแผนเมท ริกซ์อาจเป็นแบบ ตายตัว หรือแบบปรับตามตำแหน่ง หรือปรับตามยอดคะแนน ก็ได้ ทั้งนี้การปรับจำนวนชั้นและเปอร์เซ็นต์ที่จ่ายตามตำแหน่งหรือตามยอดคะแนนที่ ซื้อในรอบนั้น ก็เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้แทนจำหน่ายอิสระทำงานให้มากขึ้นเพื่อให้ได้ผล ประโยชน์มากขึ้นไปด้วย

แผนไบนารี่ Binary Plan เป็นแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่ได้รับความนิยมมากแผนหนึ่ง มีโครงสร้างที่กำหนดให้ผู้แทนจำหน่ายอิสระมีลูกทีมติดได้ไม่เกิน 2 คน ดังนั้นหากผู้แทนจำหน่ายอิสระแนะนำสมาชิกใหม่คนที่ 3 เข้ามาก็จะต้องนำไปต่อให้กับลูกทีมคนใดคนหนึ่งในชั้นลึกลงไป จึงมีลักษณะ Spill Over ซึ่งเป็นการช่วยเหลือให้ลูกทีมมีสายงานเพิ่มขึ้นด้วย ลูกทีมที่ติดตัวทั้งสองคนนั้นคนหนึ่งอยู่ด้านซ้าย และอีกคนหนึ่งอยู่ด้านขวา บางครั้งจะเรียกว่าทีมซ้ายและทีมขวาก็ได้ โดยปกติการให้ค่าตอบแทนจะนับคะแนนทีมซ้ายและทีมขวามาจับคู่ในจำนวนที่เท่าๆ กัน (หรือที่เรียกว่า Balanced Legs) แล้วคิดให้เป็นเปอร์เซ็นต์จากจำนวนคะแนน

การจ่ายค่าตอบแทนตามแผนไบนารี่นั้นมีลักษณะที่แบ่งออกได้เป็น แบบที่บังคับโครงสร้าง และแบบที่ไม่บังคับโครงสร้าง

แผนไบนารี่แบบบังคับโครงสร้างนั้นเป็นแบบที่กำหนดโครงสร้างลักษณะต่างๆไว้ เมื่อผู้แทนจำหน่ายอิสระสามารถสร้างทีมงานได้ตามโครงสร้างที่กำหนดก็จะได้ ค่าตอบแทนตามที่กำหนดไว้ในแผน เช่น หากสามารถสร้างทีมงานให้ได้ในชั้นที่ 4 และมีจำนวนลูกทีมที่อยู่ในทีมซ้ายและทีมขวาทีมละ 2 คน จะได้ค่าตอบแทน 1000 บาทเป็นต้น แผนแบบนี้อาจจะมีการเก็บคะแนนไว้ให้ตามโครงสร้างที่ทำได้ และไม่มีการตัดทิ้งคะแนนที่ได้เก็บไว้ให้แล้ว

แผนไบนารี่แบบไม่บังคับโครงสร้าง เป็นแบบที่ไม่กำหนดโครงสร้างที่จำเป็นต้องทำให้ได้คุณสมบัติ หรือกำหนดไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วให้มีการจับคู่หรือนับคะแนนที่เท่ากันของทีมซ้ายและทีมขวา โดยมีโควต้าให้ในแต่ละรอบการคำนวณจะนับคู่หรือนับคะแนนให้ได้ไม่เกินจำนวน ที่กำหนดไว้ในแผน คะแนนส่วนที่เกินในรอบการคำนวณนั้นๆ ก็จะถูกตัดทิ้งไป การตัดคะแนนทิ้งเรียกว่า Flush

แผนไบนารี่แบบ Weak – Strong เป็นแบบที่ไม่บังคับโครงสร้างเช่นกัน นับคะแนนจากทีมซ้ายและทีมขวา ทีมใดมีคะแนนมากกว่าในรอบการคำนวนนั้น ก็จะเรียกว่า ทีมแข็ง หรือ Strong Team และทีมใดที่มีคะแนนน้อยกว่าก็จะเรียกว่า Weak Team ในกรณีที่คะแนนเท่ากันทั้งสองทีมเราก็สามารถให้ทีมใดก็ได้เป็น Strong Team และ ทีมใดก็ได้เป็น Weak Team การจ่ายค่าตอบแทนก็จะจ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดขายทีมอ่อน แล้วนำคะแนนทีมอ่อนมาหัก คะแนนทีมแข็งออกไป เก็บคะแนนส่วนที่เหลือของทีมแข็งไว้ให้ก็ได้

การคิดคะแนนในระบบการคำนวณแบบไบนารี่นั้นอาจคิดจากยอด PV ของแต่ละทีม คือคิดเป็น PV หรือจะคิดเป็นจำนวนผู้แทนจำหน่ายอิสระ (จำนวนรหัส) ที่ครบตามคุณสมบัติต่างๆที่กำหนดไว้ก็ได้

แผนไบนารี่อีกลักษณะหนึ่งที่เป็นที่นิยมมากคือระบบ ที่มี Top-up หรือ Upgrade หรือที่เรียกว่าการเพิ่มจำนวนคู่หรือจำนวนคะแนนสูงสุดที่จะจับคู่ให้ได้ใน แต่ละรอบการคำนวณ เช่นโดยปกติการคำนวณธรรมดาอาจจะคิดให้ 5 คู่ในแต่ละรอบการคำนวณ หากผู้แทนจำหน่ายอิสระซื้อสินค้าเพิ่มเพื่อขึ้นตำแหน่งก็จะมีสิทธิในการจับ คู่ในแต่ละรอบการคำนวณเป็น 10 คู่ต่อรอบการคำนวณ เป็นต้น

แผนไตรนารี่ Trinary Plan เป็นแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นที่นิยมมากเช่นกัน โดยที่โครงสร้างขององค์กรผู้แทนจำหน่ายอิสระนั้นจะมีการจำกัดจำนวนลูกทีมที่ ติดตัวไว้เพียง 3 คน คือผู้แทนจำหน่ายอิสระใดๆจะมีลูกทีมติดตัวได้ไม่เกิน 3 คน เมื่อได้แนะนำผู้แทนจำหน่ายอิสระใหม่เข้ามาเป็นคนที่ 4 ก็จะต้องนำไปต่อให้ลูกทีมชั้นลึกลงไป จึงมีลักษณะ Spill Over ซึ่งเป็นการช่วยเหลือลูกทีม ทำให้เกิดการทำงานที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน การต่อสายงานผู้แทนจำหน่ายอิสระซึ่งเป็นลูกทีมคนแรกซึ่งอยู่ทางซ้ายมือสุด เราเรียกว่า ลูกทีมด้านซ้าย ลูกทีมที่อยู่คนถัดมา ซึ่งอยู่ตรงกลาง เราเรียกว่า ลูกทีมตรงกลาง และลูกทีมคนสุดท้ายที่อยู่ทางขวามือสุด เราเรียกว่าลูกทีมด้านขวา

การคิดค่าตอบแทนตามแผนไตรนารี่นั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกันแผนไบนารี่มาก เพียงแต่มีจำนวนทีมงานมากกว่าเท่านั้น ซึ่งจะมีลักษณะเป็นการจับคู่ตามรอบการคำนวณ (Balanced Legs) การจับคู่อาจเป็น คู่สอง ซึ่งหมายถึงการจับกันระหว่างคะแนนที่ได้จากทีมใดๆสองทีม ซึ่งอาจเป็นทีมซ้ายจับกับทีมกลาง ทีมกลางจับกับทีมขวา หรือทีมขวาจับกับทีมซ้ายก็ได้ ลักษณะการจับคู่อีกอย่างหนึ่งคือการจับคู่สาม คือการนับคะแนนหรือจำนวนรหัสจากทั้งสามทีม แล้วเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดคะแนนที่ได้เพื่อจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้กับผู้แทน อิสระ

การคิดแผนไตรนารี่นั้นเป็นได้ทั้ง แบบบังคับโครงสร้าง และไม่บังคับโครงสร้าง รวมทั้งสามารถมีลักษณะที่เป็น Top-Up หรือ Upgrade ได้ด้วยเช่นกัน

สแตร์สเตป Stair-step หรือที่เป็นที่รู้จักกันว่า แผนขั้นบันได เป็นลักษณะการคิดค่าตอบแทนให้กับผู้แทนจำหน่ายอิสระเป็นเปอร์เซ็นต์จาก ยอดคะแนนซื้อส่วนตัวและ/หรือยอดกลุ่มส่วนตัว หรือคิดเปอร์เซ็นต์ให้ตามตำแหน่งของผู้แทนจำหน่าย ณ เวลาที่คำนวณนั้น เมื่อลูกทีมได้รับผลประโยชน์เป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดคะแนนแล้ว ผู้ที่เป็นแม่ทีมจะสามารถได้รับผลประโยชน์จากยอดคะแนนเดียวกันนั้นก็ต่อ เมื่อแม่ทีมมีตำแหน่งสูงกว่าลูกทีม ตัวอย่างเช่น กำหนดให้ตำแหน่งมี 3 ตำแหน่งคือ Bronze, Silver, Gold และมีผลตอบแทนของแต่ละตำแหน่งเป็นเปอร์เซ็นต์คือ 10% 20% และ 30% ตามลำดับ โครงสร้างทีมผู้แทนจำหน่ายเป็นดังนี้ นาย ก. เป็นผู้แนะนำหรือเป็นผู้สปอนเซอร์ นางสาว ข. เข้ามาร่วมธุรกิจ และ นางสาว ข. เป็นผู้แนะนำหรือเป็นผู้สปอนเซอร์ นาย ค. เข้ามาร่วมธุรกิจ และ นาย ก. มีตำแหน่งเป็น Gold 30% นางสาว ข. มีตำแหน่งเป็น Silver 20% และนาย ค. มีตำแหน่งเป็น Bronze 10% หาก นาย ค. ซื้อสินค้ามีคะแนนในรอบการคำนวณนี้เป็น 1000 คะแนน นาย ค.จะได้เงินค่าตอบแทนเป็นเงิน 1000 คะแนน x 10% = 100 บาท และ นางสาว ข. จะได้ค่าตอบแทนเป็นเงิน (1000 คะแนน x 20%) – (ค่าตอบแทนที่ได้จ่ายให้กับ นาย ค. ไปแล้ว 100 บาท) = 100 บาท และ นาย ก. จะได้ค่าตอบแทนเป็นเงิน (1000 คะแนน x 30%) – (ค่าตอบแทนที่ได้จ่ายให้กับ นาย ค. และนางสาว ข. ไปแล้ว 200 บาท) = 100 บาท นับแล้วได้จ่ายเงินค่าตอบแทนเป็นจำนวน 30% ของยอดคะแนนของผู้แทนจำหน่าย ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงที่สุดที่จะจ่ายแล้ว ก็จะไม่ต้องจ่ายให้ให้ผู้แทนจำหน่ายใดๆอีกต่อไปในสายงาน เราอาจเรียกแผนแบบนี้ตามลักษณะการคำนวณได้ว่าเป็นการจ่ายตามผลต่างของ เปอร์เซ็นต์ตามตำแหน่ง หากผลต่างของเปอร์เซ็นต์ตามตำแหน่ง แม่ทีม – ลูกทีม มีค่าเป็น 0 หรือ ค่าลบ ก็จะไม่จ่ายค่าตอบแทนให้กับแม่ทีมคนนั้น ซึ่งก็หมายความว่าแม่ทีมนั้นมีตำแหน่งน้อยกว่าหรือเท่ากับลูกทีม กรณีที่ตำแหน่งหรือเปอร์เซ็นต์ของลูกทีมมากกว่าหรือเท่ากับแม่ทีมเรียกกัน ทั่วไปว่า ตำแหน่งชนกัน

การคิดผลต่างของเปอร์เซ็นต์หรือผลประโยชน์ที่ผู้แทนจำหน่ายจะได้รับนั้นมี วิธีคิดผลต่าง % ตามตำแหน่ง หรือ ผลต่าง % ตามยอดคะแนนของกลุ่ม ก็ได้

แผนเบรกอะเวย์ Breakaway หรือที่เรียกกันติดปากจนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของแผน Stair-step ไปแล้วนั้นแท้จริงเป็นแผน Unilevel ประเภทหนึ่ง ซึ่งคิดว่าผู้ที่มีคุณสมบัติครบคือผู้แทนจำหน่ายอิสระที่ได้ตำแหน่งสูงสุดใน ตารางของแผน Stair-step แล้วเท่านั้นจึงจะมีสิทธิที่จะได้รับค่าตอบแทนจากแผน breakaway นี้ โดยอาจคิดให้เป็นชั้นลึกจำกัดอาจจะเป็น 2-3 ชั้นแล้วแต่ความเหมาะสม

แผนแมทชิ่งโบนัส แท้จริงก็สามารถคิดเป็น Unilevel ชนิดหนึ่งซึ่งคะแนนที่ได้นั้นคิดจากรายได้ของลูกทีมเพื่อนำมาคิดเปอร์เซ็นต์ เป็นชั้นให้กับแม่ทีมลักษณะเดียวกับ Unilevel นั่งเอง เป็นการคิดค่าตอบแทนให้แม่ทีมที่ได้ช่วยเหลือลูกทีมให้มีรายได้ ซึ่งก็จะสนับสนุนให้แม่ทีมมียอดขายมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน คือเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกัน

กองทุน Pool เป็นการคิดเปอร์เซ็นต์ของคะแนนจากยอดขายโดยรวมทั้งบริษัท แล้วนำมาแบ่งให้กับผู้ที่มีคุณสมบัติครบโดยการหารเท่ากัน หรือจะหารเป็นสัดส่วนของยอดที่ทำได้ก็ได้ การให้กองทุนนั้นเป็นการทำให้ผู้ที่ได้ทำงานให้กับองค์กรมาเป็นระยะเวลานาน พอสมควรระยะหนึ่งและได้สร้างผลงานให้กับองค์กรได้มากเพียงพอจำนวนหนึ่งก็จะ มีสิทธิ์ได้รับเงินค่าตอบแทนจากกองทุน ในลักษณะที่เป็นการเกษียร หรือเป็นบำนาญ ก็ได้ หรือจะเป็นกองทุนเพื่อซื้อบ้าน รถยนต์ หรือกองทุนการศึกษาก็ได้ เป็นลักษณะการจ่ายค่าตอบแทนทางลึกอีกทางหนึ่ง

สินค้า MLM

สินค้าและบริการเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งของการตลาดขายตรงหลายชั้น MLM เพราะหากไม่มีสินค้าในการตลาดแบบ MLM นี้แล้ว ระบบก็จะไม่ต่างอะไรกับระบบปั้นเงินหรือนำเงินมาเล่นเป็นแชร์ลูกโซ่ โดยหลักการแล้วระบบการตลาด MLM นี้เป็นระบบการตลาดทางเลือกที่นำพาสินค้าและบริการต่างๆจากผู้ผลิตไปสู่ผู้ บริโภคโดยให้มีการจ่ายค่าตอบแทนในสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องและปฏิบัติหน้าที่ ของตนในกระบวนการนี้อย่างยุติธรรม ดังนั้นตัวสินค้าจึงเป็นปัจจัยชี้วัดได้ว่าระบบ MLM นั้นๆเป็นระบบ MLM ที่ถูกต้องจริงๆหรือไม่

สินค้าในระบบ MLM นั้นมีมากมายหลายชนิด จริงๆแล้วสินค้าแทบทุกชนิดก็สามารถนำมาเข้าระบบ MLM ได้แทบทั้งสิ้น ตัวอย่างสินค้าที่พบบ่อยในระบบการตลาดแบบขายตรง MLM ได้แก่

อาหาร/อาหารสำเร็จรูป

  • ข้าวสาร
  • บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
  • ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
  • ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ

สมุนไพร

  • โสม
  • กวาวเครือ

เครื่องอุปโภค/เครื่องใช้ในครัวเรือน

  • สบู่
  • ยาสีฟัน
  • อุปกรณ์ทำครัว

เครื่องสำอาง/อุปกรณ์เสริมความงาม

  • อุปกรณ์ออกกำลังกาย
  • อุปกรณ์ลดความอ้วน
  • อุปกรณ์เสริมสุขภาพ
  • เสื้อผ้า/เครื่องประดับ

อุปกรณ์การติดต่อสื่อสาร

  • บัตรเติมเงินโทรศัพท์ระหว่างประเทศ
  • Sim โทรศัพท์

การเกษตร/วัสดุและอุปกรณ์ทางการเกษตร

  • ปุ๋ย และสารสกัดชีวะภาพ

พลังงาน

  • อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน

รถยนต์

  • อุปกรณ์รถยนต์

เครื่องใช้ไฟฟ้า

  • เครื่องฟอกอากาศ

การท่องเที่ยว

  • โรงแรม
  • รีสอร์ท ที่พัก
  • ร้านอาหาร

การศึกษา/การฝึกอบรม

  • คอร์สการฝึกอบรม/การตลาด

ซอฟท์แวร์/คอมพิวเตอร์

ผลิตภัณฑ์ OTOP

การควบคุมคุณภาพสินค้าและการขอ อย.

สำหรับสินค้าที่เป็นสินค้าทั่วไปนั้นการควบคุมและคุ้มครองผู้บริโภคนั้นเป็น หน้าที่ของ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สคบ. (http://www.ocpb.go.th) แต่สำหรับอาหาร ยา เครื่องสำอาง วัตถุอันตราย เครื่องมือแพทย์ นั้นจำเป็นต้องการขอ อย. (http://www.fda.moph.go.th) ซึ่งสามารถติดต่อได้ที่
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
88/24 ถนนติวานนท์
อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000
โทรศัพท์ 0-2590-7000
หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด

การตั้งราคาสินค้า

การ ตั้งราคาสินค้าในระบบ MLM นั้น โดยทั่วไปแล้วก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการตั้งราคาสินค้าสำหรับระบบการตลาด ปกติทั่วไป คือคิดต้นทุน กำไร ค่าดำเนินการ การขนส่ง ค่าเก็บรักษาระหว่างการจำหน่าย และค่าการตลาด ฯลฯ การคิดราคาสินค้าในระบบ MLM นั้นก็เช่นเดียวกันกับการตั้งราคาสินค้าทั่วไป สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือจะมีคะแนนหรือที่นิยมเรียกกันว่า PV (ย่อมาจาก Personal Volume หรือยอดขายของผู้จำหน่ายอิสระ) สำหรับใช้ในการคิดค่าตอบแทนตามแผนการจ่ายค่าตอบแทน (หรือเรียกว่าแผนการตลาดนั่นเอง) ดังนั้นสินค้าในระบบ MLM นั้นจะมี PV น้อยกว่าราคาขายให้กับผู้แทนจำหน่ายอิสระ

องค์ประกอบของราคาสินค้าในระบบ MLM นั้นแบ่งออกเป็น 3 ส่วนดังนี้คือ 1) ส่วนต้นทุนและกำไร 2) ส่วนค่าดำเนินการต่าง และ 3) ส่วนคะแนน หรือ PV

ส่วนที่เป็นต้นทุนและกำไรของบริษัทผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการธุรกิจขายตรง นั้นจะแยกออกมาอย่างชัดเจนผู้ประกอบการจะมีรายได้จากส่วนนี้

ส่วนที่เป็นค่าดำเนินการนั้นอาจเป็นค่าขนส่ง หีบห่อ ค่าติดตั้งอุปกรณ์ และอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการจะต้องใช้ในการจัดส่งและติดตั้งสินค้าให้กับผู้บริโภคหรือ ผู้จำหน่ายอิสระ ส่วนนี้อาจจะแยกออกจากราคาสินค้าอย่างชัดเจนก็ได้

ส่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับราคาสินค้าในระบบขายตรง MLM นั้นก็คือ คะแนน หรือ PV นั่นเอง ส่วนนี้เองที่จะใช้ในการคำนวณการจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้จำหน่ายอิสระตามแผน การจ่ายค่าตอบแทน (แผนการตลาด)

การตั้งค่าคะแนนหรือ PV ไว้สูงก็เพื่อที่จะได้ตอบแทนผู้จำหน่ายอิสระได้สูง ซึ่งเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งในการจูงใจกระตุ้นให้ผู้จำหน่ายอิสระสร้างยอดขาย ได้สูงไปด้วย แต่ถ้าหากตั้งค่า PV ไว้สูงมากเกินไปก็จะทำให้เข้าข่าย หรือเรียกว่าเข้าใกล้ระบบแชร์ลูกโซ่มากเกินไป ก็อาจจะมีปัญหาตามมาได้ หากถูกตรวจสอบก็ได้

นอกจากคะแนน PV แล้วบริษัท MLM บางที่อาจจะมี BV หรือ Bonus Volume ซึ่งใช้ในการคำนวณแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่แตกต่างออกไปก็ได้ หรือบางที่อาจเรียกว่า CV หรือ Commissionable Volume แต่โดยทั่วไปแล้วก็หมายถึงคะแนนที่จะนำมาคิดในการคำนวณค่าตอบแทนตามแผนการ ตลาด หรือใช้ในการคำนวณการปรับตำแหน่งของผู้จำหน่ายอิสระก็ได้

การจัดโปรโมชั่น

การ จัดโปรโมชั่นโดยปกติจะเป็นสิ่งที่บริษัททั่วไปสามารถทำได้ โดยการแถมสินค้าเช่น ซื้อ 1 แถม 1 หรือซื้อสินค้าครบจำนวน PV ที่ตั้งไว้แล้วมีการแถมสินค้าโปรโมชั่นเพิ่มให้ โดยหลักการแล้วการทำโปรโมชั่นนั้นก็จะยังคงคิดคะแนน แยกจากราคาสินค้าเช่นเดียวกับการตั้งราคา คือใช้ส่วน PV มาคำนวณคอมมิชชั่นให้ผู้จำหน่ายอิสระ

ข้อกำหนดเกี่ยวกับสินค้า

สินค้า ที่จะขายในระบบ MLM นั้นเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลากตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 ดังนั้นฉลากจะต้องระบุ ชื่อประเภทหรือชนิดสินค้า ชื่อสินค้าหรือเครื่องหมายการค้า สถานที่ตั้งผู้ผลิตหรือนำเข้า แสดงขนาดหรือมิติ ปริมาตร น้ำหนัก แสดงวิธีใช้ ข้อแนะนำในการใช้ วันเดือนปีที่ผลิต ราคา และรายละเอียดสามารถดูได้จาก ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก เรื่อง ลักษณะของฉลากสินค้าที่ควบคุมฉลาก พ.ศ. 2541

การคืนสินค้า

การ คืนหรือเปลี่ยนสินค้าตามที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้กำหนดไว้นั้น ถ้าเป็นผู้บริโภคจะสามารถคืนหรือเปลี่ยนสินค้าได้ภายใน 7 วันนับจากวันที่รับสินค้าและผู้ประกอบการจะคืนเงินเต็มจำนวนที่ผู้บริโภค จ่ายภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือขอคืนสินค้า และหากเป็นจำหน่ายอิสระจะคืนสินค้าได้ภายใน 30 วันนับจากวันที่รับสินค้า และผู้ประกอบการจะซื้อคืนเต็มราคาที่ผู้จำหน่ายอิสระได้จ่าย ภายในระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ผู้จำหน่ายอิสระใช้สิทธิคืน

ระบบการตลาด MLM

ระบบการตลาด MLM เป็นกลไกทางการตลาดที่อาศัยกลไกของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (Laissez-Faire หรือ Capitalism) ซึ่งเป็นระบบที่ให้เสรีภาพแก่ภาคเอกชน ในการประกอบธุรกิจ ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ สามารถมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ปัจจัยการผลิต สามารถเลือกอุปโภคบริโภคสินค้า และบริการต่างๆได้อย่างเสรี ใช้ระบบการแข่งขันอย่างเสรี ใช้กลไกตลาดในการกำหนดราคา และจัดสรรทรัพยากรต่าง โดยภาครัฐเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม

ในระบบทุนนิยมนั้นจะอาศัยกลไกตลาดในการกระจายสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้ บริโภค โดยเริ่มจากผู้ผลิตจัดหาวัตถุดิบเพื่อการผลิตสินค้า ดำเนินการผลิตสินค้า และบรรจุหีบห่อพร้อมสำหรับการจัดส่ง การขายสินค้านั้นจำเป็นต้องสื่อสารให้ผู้บริโภครู้จักสินค้านั้นและเลือก ซื้อสินค้านั้นไปใช้ ดังนั้นการกระจายสินค้าไปสู่ผู้บริโภคจึงเกี่ยวข้องกับการตลาด การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การกระจายสินค้า การหาตัวแทนจำหน่าย การจัดจำหน่ายไปตามช่องทางที่ผู้บริโภคจะสามารถเข้าถึงและซื้อสินค้านั้นได้ สะดวก การตลาดแบบปกติผู้จัดจำหน่ายจะการกระจายสินค้าโดยอาศัยผู้ค้าส่ง และกระจายสินค้าต่อไปยังผู้ค้าปลีก และผู้บริโภคก็จะมาซื้อสินค้าจากผู้ค้าปลีกไปอีกต่อหนึ่ง

ผลกำไรจากการขายสินค้านั้นจะแบ่งให้กับผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก เป็นทอดๆตามสัดส่วนที่เหมาะสม และในบางครั้งยังแบ่งคืนให้กับผู้บริโภคที่ซื้อจำนวนมากๆในรูปของส่วนลดได้ อีกด้วย

ระบบ MLM ใช้สมาชิกเข้ามามีบทบาทในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การหาตัวแทนจำหน่าย การกระจายสินค้า การจัดส่ง รวมถึงการเป็นผู้บริโภคเองด้วย แต่ละส่วนก็จะได้รับผลประโยชน์จากค่าตอบแทนต่างๆ ตามแผนการจ่ายค่าตอบแทน (หรือที่มักเรียกกันติดปากว่า แผนการตลาด) เนื่องจากการให้ผลประโยชน์เป็นค่าตอบแทนในการทำหน้าที่ต่างๆในระบบ MLM นั้นเป็นการจ่ายค่าตอบแทนที่จ่ายให้กับสมาชิก MLM โดยตรง หัวใจของระบบ MLM อยู่ที่หลักการในการจ่ายค่าตอบแทนที่จ่ายจากผลงานของในการทำงานของเราเอง และจากผลงานของสมาชิกที่เราแนะนำเข้ามาสู่ระบบด้วย ทำให้รายได้ของสมาชิก MLM สูงมากและไม่มีขีดจำกัด เมื่อเทียบกับการทำหน้าที่คล้ายๆกันในระบบการตลาดแบบค้าส่งแล้ว ระบบ MLM สามารถสร้างรายได้ให้กับสมาชิกได้สูงกว่ามาก จึงเป็นแรงดึงดูดที่ทำให้บริษัทต่างๆ รวมทั้งผู้บริโภคต่าง หันมาสนใจระบบ MLM กันเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

ระบบการตลาด MLM มีองค์ประกอบที่สำคัญคือ ผู้ประกอบการ สินค้า แผนการจ่ายค่าตอบแทน เครือข่ายผู้จำหน่ายอิสระ และผู้บริโภค

ผู้ประกอบการ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการเริ่มต้นระบบ MLM ผู้ประกอบการอาจเป็นนิติบุคคล หรือบุคคลก็ได้ในกรณีเริ่มต้นธุรกิจ โดยปกติผู้ประกอบการ MLM จะจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดเป็นส่วนใหญ่ การประกอบธุรกิจขายตรงนั้นผู้ประกอบการจำเป็นต้องขอจดทะเบียนประกอบธุรกิจ ขายตรงกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในการเริ่มต้นนั้นบริษัท MLM อาจจะประกอบด้วย ผู้บริหาร คณะกรรมการ ฝ่ายบัญชี/การเงิน ฝ่ายคลังสินค้า ฝ่ายการตลาด(เครือข่าย) บริษัท MLM ใหญ่ๆอาจมีแผนกมากกว่านี้ก็ได้ หน้าที่หลักที่จำเป็นต่อการทำงานในระบบ MLM คือการบริหารงาน การจัดหาสินค้าและการส่งสินค้า การคำนวณและการจ่ายค่าตอบแทน และการขยายสายงานสมาชิก ในการเริ่มต้นฝ่ายต่างๆของบริษัท MLM อาจทำหน้าที่หลายอย่างเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณก็ได้ ผู้บริหารเป็นหัวใจสำคัญของบริษัท MLM ผู้บริหารจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าในการบริหารงานระบบ MLM ซึ่งเป็นระบบที่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว และมีความละเอียดอ่อนกว่าระบบการตลาดแบบอื่นๆ เนื่องจากมีผู้เข้ามาเกี่ยวข้องในระบบเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะสมาชิกของบริษัท หรือผู้จำหน่ายอิสระ จำเป็นต้องเข้าใจหลักการบริหารทรัพยากรบุคคลอย่างดี สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มผู้จำหน่ายอิสระที่เป็นผู้นำ (หรือที่เรียกกันติดปากว่า แม่ทีม)

สินค้า เป็น ส่วนหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับระบบ MLM สินค้าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ตัดสินว่าระบบ MLM ใดเป็นระบบขายตรงหลายชั้นที่ถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่ หากเรานำสินค้าที่ราคาถูกมากๆมาขายในระบบ MLM ในราคาที่แพงมากๆแล้วระบบ MLM ก็จะเป็นระบบที่ไม่ถูกต้อง หรือเข้าข่ายระบบลูกโซ่ หรือปิระมิด สินค้าในระบบ MLM นั้นสามารถเป็นไปได้หลากหลายตั้งแต่อาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภค ไปจนถึงการบริการต่างๆ สินค้าที่ได้รับความนิยมกันมากในระบบ MLM คือเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แม้จะไม่มีข้อกำหนดหรือข้อจำกัดใดเกี่ยวกับสินค้าที่ขายในระบบ MLM ควรเป็นสินค้าที่มีลักษณะพิเศษหรือมีลักษณะที่แตกต่างจากสินค้าประเภทเดียว กัน หากสินค้าเป็นสินค้าที่คุณภาพดีเป็นสินค้าที่ขายได้ด้วยตัวมันเอง ก็จะช่วยให้ระบบ MLM สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ผู้บริโภคจะซื้อใช้ซ้ำๆ นอกจากนั้นหากเข้ามาเป็นผู้จำหน่ายอิสระก็จะสามารถสร้างรายได้ให้ด้วย สินค้าใหม่ซึ่งยังไม่เคยมีในตลาดมาก่อน หรือสินค้านวัตกรรมนั้นเป็นสินค้าที่สามารถทำการตลาดในระบบ MLM ได้เป็นอย่างดี ระบบ MLM ใช้เป็นระบบในการแนะนำสินค้าเข้าสู่ตลาดอย่างได้เป็นอย่างดี และยังลดความเสี่ยงในการลงทุนโฆษณาสินค้าซึ่งเป็นการลงทุนที่สูง สินค้าที่เป็นสินค้ามีลิขสิทธิ์และมีสิทธิบัตรเป็นสินค้าที่ได้เปรียบในการ ป้องกันคู่แข่งเข้าสู่ตลาดได้ ก็เป็นสินค้าที่ใช้ระบบ MLM ได้เป็นอย่างดี

แผนการจ่ายค่าตอบแทน หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า แผนการตลาด เป็นวิธีการในการคิดค่าตอบแทนแก่สมาชิกหรือผู้จำหน่ายอิสระของบริษัท MLM จากการขายสินค้า การแนะนำสินค้า การหาสมาชิกเข้ามาร่วมธุรกิจ และการซื้อบริโภคเอง แผนการจ่ายค่าตอบแทนนั้นแบ่งได้หลายแบบเช่น ไบนารี่ ไตรนารี่ (ไตรนารี่ ซึ่งหมายความว่าเป็นเครือข่ายที่สามารถมีลูกทีมติดตัวได้ไม่เกิน 3 คน) สแตร์สเตป ยูนิเลเวล โบนัสแมทชิ่ง พูล และอื่นๆอีกมาก ซึ่งจะได้กล่าวโดยละเอียดต่อไป แผนการจ่ายค่าตอบแทนเหล่านี้ต้องสามารถจ่ายได้จริง และเป็นไปได้ ซึ่งก็หมายความว่าเมื่อคำนวณค่าตอบแทนให้กับสมาชิก MLM ทุกคนแล้ว จำนวนเงินที่จ่ายจริงไม่เกินจำนวนคะแนนทั้งหมดของระบบ หรือพูดง่ายว่ารายจ่ายที่จ่ายค่าตอบแทนให้ผู้จำหน่ายอิสระจะต้องไม่เกินราย รับของบริษัท หรือคะแนนที่กำหนด หรือรายจ่ายที่จ่ายค่าตอบแทนคิดเป็นจำนวนร้อยละที่จำกัด (คงที่) ต่อรายได้ที่บริษัทรับเข้ามา เมื่อจำนวนสมาชิกและยอดการสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น หรือที่เรียกกันว่า ต้องไม่ Over pay แผนการจ่ายค่าตอบแทนที่ดีนั้นควรมีลักษณะคือ มีรายได้จากทางความกว้าง มีรายได้จากทางลึก และมีรายได้จากโปรโมชั่นพิเศษอื่นๆอีก รายได้จากทางกว้างจะเป็นส่วนที่ช่วยผู้จำหน่ายอิสระที่ขยันสร้างรายได้จาก การทำงานส่วนตัวที่เก่ง ส่วนรายได้จากทางลึกนั้นเป็นส่วนที่สนับสนุนให้สมาชิกนั้นไปช่วยสายงานของตน ที่อยู่ลึกลงไปอีกเพราะเข้าจะได้รายได้ตอบแทนจากการช่วยลูกทีมในทางลึก และรายได้จากโปรโมชั่นพิเศษนั้นเป็นเหมือนตัวกระตุ้นให้สมาชิกโดยรวมให้มุ่ง มั่นทำงานให้เข้าหลักเกณฑ์ในการได้รับรางวัลพิเศษนั้น

เครือข่ายผู้จำหน่ายอิสระ เป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้ระบบ MLM มีแรงดึงดูดมหาศาล และมีเสน่ห์มากกว่าระบบการตลาดแบบอื่นๆ การขยายตัวของกลุ่มผู้จำหน่ายอิสระโดยการแนะนำ ฝึกฝน อบรม ฝึกสอนวิธีการชักจูง เทคนิคการขาย การนำเสนอที่จูงใจ การเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ และหลักจิตวิทยาอื่นๆที่ช่วยให้ผุ้จำหน่ายอิสระสามารถชักชวนผู้บริโภคต่างๆ ให้หันเข้ามาทำหน้าที่ผู้จำหน่ายอิสระด้วยนั้นเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการ เติบโตของเครือข่ายอย่างมหาศาล ประกอบเข้ากับแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่ยั่งยืน เป็นธรรม เหมาะสมแล้วจะทำให้การตลาดระบบ MLM นี้ไร้เทียมทานเลยทีเดียว เพราะเป็นการแบ่งปันรายได้ ความรู้ในการทำงาน และให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี การช่วยเหลือกันก่อให้เกิดพลังมหาศาล ทำให้เกิดการเติบโตอย่างรวดเร็ว

ผู้บริโภค เป็น องค์ประกอบที่จำเป็นที่สุด หากไม่มีผู้บริโภคแล้วระบบการตลาดใดๆก็จะสิ้นสุดลงทันที ดังนั้นผู้บริโภคจะเป็นตัวกำหนดว่าการขายนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ จะมีผู้สนใจซื้อสินค้านั้นสักเท่าใด การที่บริษัท MLM ต้องหยุดกิจการไปสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้บริโภคไม่ซื้อสินค้านั้นเอง

MLM คืออะไร และประวัติ Multi-level Marketing การตลาดแบบขายตรงหลายชั้น

MLM คืออะไร

การตลาดขายตรงหลายชั้น Multi-level Marketing หรือที่เรียกกันว่าการตลาดแบบเครือข่าย Network Marketing นั้นเป็นหลักการตลาดที่ให้ผู้คนจำนวนมากเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการกระจาย สินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค โดยผู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการต่างๆนั้นจะได้รับผลตอบแทนจากกิจกรรมที่ทำ เช่นแนะนำสินค้า การให้ผู้บริโภครายอื่นๆเข้ามาร่วมเป็นผู้จำหน่ายสินค้า โดยแบ่งเป็นผลตอบแทนจากการทำธุรกิจเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันไปตามเงื่อนไขของแต่ละแบบแผน ดังนั้นหน้าที่หลักในกระจายสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคตั้งแต่ การโฆษณาสินค้า หาตัวแทนจำหน่าย จัดจำหน่าย การขาย ขนส่งไปจนถึงผู้บริโภค จะมีผู้ร่วมธุรกิจเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นจำนวนมาก โดยทำหน้าที่ต่างๆกันไป ทำให้เกิดการขับเคลื่อนทางการตลาดที่มีศักยภาพสูงมากและมีความรวดเร็วในการ กระจายสินค้าสูง และเป็นธุรกิจที่มีต้นทุนในการเริ่มต้นที่ต่ำอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของ MLM

การขายตรงนั้นสามารถย้อนกลับไปยาวนานพอๆกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ก่อนจะมีการใช้เงินมนุษย์เราแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันโดยตรง อย่างไรก็ดีการขายในลักษณะขายตรงที่เป็นแม่แบบของการขายตรงยุคปัจจุบันนี้ เริ่มมาประมาณปี 1740 โดยสองพี่น้อง Edward และ William Pattison ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องใช้จากตะกั่ว ได้ทำการเร่ขายสินค้าไปตามบ้าน (ในลักษณะการขายตรง) โดยจะเดินทางในรถลากเล็กๆบรรทุกสินค้าไปขายให้กับผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งเรียกว่า Yankee Peddler

ในปี 1868 เกิดบริษัทขายตรงที่ขายสินค้าเครื่องเทศตามบ้านและสินค้าอาหาร ชื่อ Watkins Company

ปี 1855 บริษัท Southwestern Publishing Company ตั้งขึ้นเพื่อผลิตหนังสือและคัมภีร์ไบเบิล และในปี 1868 บริษัท ปรับปรุงบริษัทให้เป็นบริษัทขายตรง โดยให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยเข้ามาเป็นตัวแทนขาย

ปี1886 บริษัท Avon เริ่มต้นบริษัทแบบขายตรง โดย David McConnel เขาได้เริ่มด้วยการขายคัมภีร์ไบเบิลและแถมตัวอย่างน้ำหอมไปตามบ้าน น้ำหอมที่แถมนั้นปรากฏว่าเป็นที่นิยมอย่างมาก จนเขาได้ก่อตั้งบริษัท California Perfume Company ซึ่งภายหลังเปลี่ยนเป็นชื่อ Avon ในปี 1939 จนกลายเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange และได้พัฒนาแผนการจ่ายผลตอบแทนให้เป็น MLM ให้ที่สุด

ระบบการขายตรงสมัยใหม่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเมื่อปี 1906 โดย Alfred Fuller ซึ่งอยู่ที่เมือง New Britain ในมลรัฐ Colorado ได้ก่อตั้งบริษัท Fuller Brush Company ซึ่งเริ่มทำการขายตรงแบบ Door-to-door ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มรูปแบบการขายตรงสมัยใหม่ ภายหลังบริษัทได้ปรับปรุงแผนการตลาดของตนให้เป็นแบบ MLM แต่ก็ไม่ประสบความสพเร็จมากนัก เพราะเหล่าสมาชิกต่างมีความเป็นนักขาย (Salespeople) มากกว่าเป็นนักขยายเครือข่าย (Recruiters)

อย่างไรก็ดีก่อนปี 1950 การขายตรงส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะ Party Plan คือการตลาดผลิตภัณฑ์โดยการจัดแสดงและเป็นเจ้าภาพในงานปาร์ตี้หรืองานทาง สังคมต่างๆ โดยใช้งานสังคมต่างๆนั้นเป็นจุดแสดงและสาธิตสินค้า โดยให้ผู้ที่เข้าร่วมงานได้เห็นการสาธิตสินค้าและการทดลองสินค้าจริง แล้วก็รับรายการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าโดยตรง เพื่อจัดส่งสินค้าให้ต่อไป

ในปี 1950 เป็นยุคที่การตลาดแบบขายตรงหลายชั้นหรือการตลาดแบบเครือข่ายถือกำเนิดอย่าง แท้จริง เป็นยุคที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของวงการ MLM มากมายได้ถือกำเนิดขึ้น บริษัทเหล่านี้คือ Tupperware, Shaklee, Amway และ Mary Kay

ในปี 1945 Earl Tupper เป็นผู้บุกเบิกสินค้าที่ทำจากพลาสติกที่อ่อนตัว น้ำหนักเบา ไม่แตกหักง่าย และสามารถปิดผนึกได้อย่างมิดชิด เริ่มทำตลาดโดยการขายส่งปกติ แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก ในปี 1951 เขาได้เปลี่ยนมาใช้แผน Party Plan โดยการสาธิตสินค้าตามงานปาร์ตี้ และขายสินค้าแบบขายตรง และประสบความสำเร็จอย่างสูง

ในปี 1956 Dr. Forrest Shaklee ผู้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านสารอาหาร ทำงานร่วมกับ Casimur Funk ผู้ที่ค้นพบวิตามิน ได้ก่อตั้งบริษัท Shaklee ซึ่งเป็นผู้แนะนำวิตามินเข้าไปสู่อเมริกา และได้ก่อตั้งระบบขายตรงหลายชั้นขึ้น บริษัท Shaklee เป็นยักษ์ใหญ่ของวงการวิตามินและอาหารเสริม

ในปี 1959 Rich Devos และ Jay Van Andel ได้ก่อตั้งบริษัทจัดจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายโดยใช้รูปแบบ MLM หรือการตลาดขายตรงหลายชั้น ซึ่งต่อมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน MLM ที่เป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมาก มียอดขายทั่วโลกกว่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีตัวแทนจำหน่ายอิสระเป็นล้านคนทั่วโลก ปัจจุบัน Amway ถือเป็นบริษัท MLM ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในโลก

ในปี 1963 Mary Kay Ash ซึ่งเป็นนักขายตรงจากบริษัท Stanley Home Product และบริษัทขายตรงอีกหลายบริษัท ได้ก่อตั้งบริษัท Mary Kay ซึ่งเป็นบริษัทของผู้หญิงบริษัทแรกๆของโลก Mary Kay ขายสินค้าเครื่องสำอาง ซึ่งต่อมาให้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ในปี 1975 Federal Trade Commission ของสหรัฐฯ หรือ FTC ซึ่งเป็นหน่วยงานที่คุ้มครองผู้บริโภคและคุ้มครองการแข่งขันอย่างเสรี ได้ดำเนินคดีฟ้องร้องต่อศาล กล่าวหาว่า Amway ประกอบธุรกิจแบบปิระมิดที่ผิดกฎหมาย แต่หลังจากต่อสู้กันในศาลนานถึง 4 ปี ในปี 1979 ศาลสหรัฐฯ ก็ได้ตัดสินให้ Amway ชนะคดี โดยศาลได้ตัดสินให้ แผนการจ่ายค่าตอบแทนของ Amway ซึ่งเป็นการตลาดขายตรงหลายชั้นเป็นแผนการจ่ายค่าตอบแทนที่ถูกกฎหมาย ไม่ได้เป็นแบบปิระมิดซึ่งเป็นแบบที่ผิดกฎหมายสหรัฐฯ คดีดังกล่าวถึงเป็นกรณีตัวอย่างที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมขายตรงอย่างมากที่ สุดในประวัติศาสตร์เลยที่เดียว หาก Amway แพ้คดีนี้ ธุรกิจ MLM ในโลกนี้อาจไม่เกิดและเจริญเติบได้อย่างทุกวันนี้ การชนะคดีของ Amway เป็นการนำทางให้บริษัท MLM ติดตามมาอีกเป็นจำนวนมาก และแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆทั่วโลก

ปัจจุบันเป็นยุคที่ MLM ได้รับการยอมรับมากขึ้นมีบริษัทจำนวนมากหันมาใช้การตลาดแบบ MLM ซึ่งเป็นช่องทางการจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพมากสามารถขยายตลาดได้อย่างรวด เร็วและมีรายได้ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ดี ปัจจุบันก็มีบริษัทที่นำวิธีการทางการตลาดแบบ MLM ไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ได้มีการแพร่ระบาดของระบบที่เรียกว่า Pyramids หรือปิระมิด หรือการตลาดลักษณะที่เป็นแบบลูกโซ่ มีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะที่หลอกลวงผู้บริโภคโดยการรับสมัครคนเข้ามา สู่ระบบ และเสียเงินเพื่อการสมัคร มากกว่าการขายสินค้า ซึ่งในบางครั้งจะทำให้เป็นระบบที่เรียกว่า การเล่นเงิน Money game ซึ่งเป็นระบบที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค

แนวโน้ม MLM ในอนาคตจะเป็นระบบที่สามารถกระจายสินค้าจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคอย่าง ยุติธรรม และมีการพัฒนาไปสู่ระบบ MLM ที่สมบูรณ์ คือมีทั้ง ผู้ผลิต ผู้กระจายสินค้า และผู้บริโภคอยู่ในระบบเดียวกัน สามารถสลับหน้าที่กันได้อย่างสมบูรณ์และยุติธรรม ซึ่งจะได้กล่าวอย่างละเอียดในบทต่อๆไป

ข้อได้เปรียบของการเข้าร่วมแฟรนไชต์คืออะไร



ธุริจแฟรนส์เป็นธุรกจิที่ร่วมกันของบุคคล 2 ฝ่าย โดยที่ฝ่ายหนึ่งขาดซึ่งความรู้ ความชำนาญ คือ แฟรนไชซี่ และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ คือ แฟรนไชซอ หากแฟรนไชซอไม่สามารถสร้างให้แฟรนไชซี่ประสบความสำเร็จได้ ก็เป็นการยากที่แฟรนไชซอจะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน ในทางกลับกันหากแฟรนไชซี่ประสบความ ส้มเหลวก็ย่อมส่งผลกระทบถึงแฟรนไชซอได้เช่นกัน การให้เข้าร่วมแฟรนไชส์จึงน่าจะมีข้อได้เปรียบ ดังนี้

1. โอกาสแห่งความสำเร็จที่สูงขึ้น

ในการทำธุรกิจใดๆ ย่อมมีความเสี่ยงที่จะไม่ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ เนื่องจาก มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องมากมายแต่แนวคิดของการทำแฟรนไชส์ (franchisign) คือการดำเนินธุรกจิตามวิธีที่ได้ผ่าน กระบวนการพัฒนาของแฟรนไชซอมาเป็นระยะเวลาแรมปี แล้วยังสามารถดำเนินธุรกิจอยู่ได้โดย เป็นที่ยอมรับของตลาดซึ่งแสดงให้เห็นถึงความชำนาญและประสบการณ์ในการประกอบ การดังนั้น โอกาสของการประสบความสำเร็จในฐานะแฟรนไชซี่จึงนับว่ามีสูงกว่าการประกอบ ธุรกิจอิสระของตนเอง

2. ย่นระยะเวลาการเรียนรู้
แฟรนไชซอได้ทุ่มเทเวลาและเงินไปเป็นจำนวนไม่น้อยเพื่อที่จะสร้างและพัมนา ระบบ พร้อมกับได้บันทึกขั้นตอน ในการดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในระดับหนึ่งออกมาเป็นคู่มือ ซึ่งแฟรนไชซี่จะได้รับประโยชน์จากการถ่ายทอด ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ความรู้ที่ถูกรวบรวมไว้นี้จากแฟรนไชซอ ดังนั้นจึงเป็นการประหยัดเวลาในการเรียนรู้ถึงวิธีการดำเนินธุรกิจที่ประสบ ความสำเร็จมาแล้ว สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ในทันทีและมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้นเร็ว ขึ้นเนื่องจาก ไม่เกิดการลองผิดลองถูก

3. เครื่องหมายการค้าที่ได้รับการยอมรับ

เครื่องหมายการค้า/ บริการ เป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของทุกๆ ธุรกิจ และเป็นสิ่งที่อาจ จะเรียกได้ว่ามีค่าสูงสุดในบรรดาทรัพย์สินต่างๆ ยิ่งเมื่อธุรกิจนั้นประสบความสำเร็จ ทั้งนั้ก็เพราะเครื่องหมายการค้าเป็นเสมือนตัวแทนของธุรกิจต่อสายตาผุ้ บริโภค เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความมีคุณภาพ มาตรฐาน หรือความแตกต่างใดๆ ของสินค้าหรือบริการของแต่ละธุรกิจ ธุรกิจแฟรนไชส์ก็เช่นกัน เนื่องจากเครื่องหมายการค้าเป็นสิ่งจำเป็นที่ควบคู่ไปกับการใช้สิทธิ์ ดังนั้นเมื่อธุรกิจของแฟรนไชซอได้ผ่านการดำเนินการมา ระยะเวลาหนึ่ง ตราหรือเครื่องหมายทางการค้า/ บริการของแฟรนไชซี่ย่อมเป็นที่คุ้นเคยและยอมรับในระดับหนึ่งของผู้บริโภค ซึ่งแฟรนไชซี่ย่อมได้รับประโยชน์จากเครื่องหมายการค้า/ บริการ ที่ได้รับการยอมรับในตลาดแล้วไปด้วย ทำให้การเริ่มต้นธุรกิจของแฟรนไชซี่เป็นไปได้รวดเร็วกว่า เพราะไม่ต้องสร้างเครื่องหมายการค้าใหม่มาทำตลาดในพื้นที่ดังกล่าว

4. การประหยัดต่อขนาดจากการซี้อทีละมากๆ
ผู้ประกอบกิจการขนาดย่อมโดยทั่วไปมักพบว่าเป็นเรื่องยากที่ตนจะสามารถซื้อ สินค้าและบริการในราคาถูกเนื่องจากปริมาณใน การสั่งซื้อที่น้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการทำแฟรนไชส์ (Franchising) แฟรนไชซอสามารถรวบรวมความต้องการสั่งซื้อสินค้าของแฟรนไชซี่เข้าด้วยกันและ เพิ่มอำนาจต่อรองของตน ทำให้สามารถซื้อสินค้าและบริการในต้นทุนที่ถูกลง และแฟรนไชซี่ย่อมได้รับสินค้าหรือวัตถุดิบในราคาที่ถูกลงตามไปด้วยซึ่งเป็น ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน

5. การโฆษณาและสนับสนุนการขายร่วมกัน
โดยทั่วไปแล้วธุรกิจที่มีขนาดใหญ่เพียงพอเท่านั้นจึงจะสามารถ รองรับค่าใช้จ่ายในการโฆษณา โดยเฉพาะการโฆษณาที่อาศัยสื่อแพงๆ เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์ได้
ธุรกิจอิสระขนาดเล็กๆ เป็นจำนวนมากที่มีจำนวนสาขาไม่มาก เพราะเงินทุนไม่พอ การลงทุนค่าใช้จ่ายยิ่งเกิดขึ้นได้ยาก โดยเฉพาะการโฆษณาในระดับภาค หรือระดับประเทศ ดังจะเห็นตัวอย่างของร้านอาหารดังๆ ในจังหวัดต่างๆ ซึ่งก็เป็นผู้นำในตลาดมีผู้คนมากมายเป็นลูกค้า แต่ก็ไม่สามารถจะลงทุนการโฆษณาเพื่อสร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์ได้
แต่ด้วยเหตุที่การขยายตัวของแฟรนไชส์ อยู่ภายใต้เครื่องหมายการค้าเดียวกันและเมื่อมีจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นจากการ ลงทุนของทั้งแฟรนไชซอเองและการลงทุนชองแฟรนไชซี่ ซึ่งต่างก็เป็นเจ้าของกิจการร่วมระบบ ทำให้มีความได้เปรียบในเรื่องของความประหยัดต่อขนาดการลงทุนด้านโฆษณา สามารถส่งผลให้แก่ระบบโดยรวมได้โดยง่าย ก่อให้เกิดทั้งภาพลักษณ์และชื่อเสียงที่ดีกว่าร้านค้าอิสะทั่วไปที่การขยาย ตัวช้ากว่าเพราะเงินทุนที่จำกัดกว่า ในทำนองเดียวกันแฟรนไชซอสามารถรวบรวมทรับพยากรเข้าด้วยกันเพื่อที่จะผลักดัน ให้เกิดการโฆษณาและส่งเสริมการขาย ร่วมกันในต้นทุนที่ต่ำ นอกจากนี้การทำแฟรนไชส์ ยังเป็นผลดีต่อการนำเสนอภาพลักษณ์ที่เข้มแข็งและสอดคล้องกัน ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าและบริการจากแฟรนไชซี่

การถ่ายโอนความเชี่ยวชาญ
โดยปกติแฟรนไชซอจะมีการสั่งสมประสบการณ์และความชำนาญในการประกอบธุรกิจ เมื่อมีการขายสิทธิ์แฟรนไชซอจะให้ความสนใจกับการถ่ายทอดความรู้ต่อแฟรนไชซี่ เพื่อส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จ เนื่องจากความสำเร็จและผลกำไรของแฟรนไชซอย่อมเกี่ยวโยงกับความสำเร็จของแฟรน ไชซี่โดยตรง

การฝึกอบรม
แฟรนไชซี่ย่อมได้รับการฝึกอบรมแนะแนวทางจากแฟรนไชซอ เพื่อช่วยส่งเสริมให้ประกอบการได้ดีขึ้นภายใต้มาตรฐานที่เป็นหนึ่งเดียว

6.บริการช่วยเหลือจากแฟรนไชซอ
แฟรนไชซี่สามารถรับากรบริการช่วยเหลือจากแฟรนไชซอในต้นทุนที่ต่ำ ยกตัวอย่างเช่น ความช่วยเหลือในการรับสมัครพนักงานทำบัญชี ย้ายที่ตั้งไปสู่ทำเลที่ดีขึ้น และอื่นๆ

ข้อได้เปรียบของการเข้าร่วมแฟรนไชต์คืออะไร



ธุริจแฟรนส์เป็นธุรกจิที่ร่วมกันของบุคคล 2 ฝ่าย โดยที่ฝ่ายหนึ่งขาดซึ่งความรู้ ความชำนาญ คือ แฟรนไชซี่ และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ คือ แฟรนไชซอ หากแฟรนไชซอไม่สามารถสร้างให้แฟรนไชซี่ประสบความสำเร็จได้ ก็เป็นการยากที่แฟรนไชซอจะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน ในทางกลับกันหากแฟรนไชซี่ประสบความ ส้มเหลวก็ย่อมส่งผลกระทบถึงแฟรนไชซอได้เช่นกัน การให้เข้าร่วมแฟรนไชส์จึงน่าจะมีข้อได้เปรียบ ดังนี้

1. โอกาสแห่งความสำเร็จที่สูงขึ้น

ในการทำธุรกิจใดๆ ย่อมมีความเสี่ยงที่จะไม่ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ เนื่องจาก มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องมากมายแต่แนวคิดของการทำแฟรนไชส์ (franchisign) คือการดำเนินธุรกจิตามวิธีที่ได้ผ่าน กระบวนการพัฒนาของแฟรนไชซอมาเป็นระยะเวลาแรมปี แล้วยังสามารถดำเนินธุรกิจอยู่ได้โดย เป็นที่ยอมรับของตลาดซึ่งแสดงให้เห็นถึงความชำนาญและประสบการณ์ในการประกอบ การดังนั้น โอกาสของการประสบความสำเร็จในฐานะแฟรนไชซี่จึงนับว่ามีสูงกว่าการประกอบ ธุรกิจอิสระของตนเอง

2. ย่นระยะเวลาการเรียนรู้
แฟรนไชซอได้ทุ่มเทเวลาและเงินไปเป็นจำนวนไม่น้อยเพื่อที่จะสร้างและพัมนา ระบบ พร้อมกับได้บันทึกขั้นตอน ในการดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในระดับหนึ่งออกมาเป็นคู่มือ ซึ่งแฟรนไชซี่จะได้รับประโยชน์จากการถ่ายทอด ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ความรู้ที่ถูกรวบรวมไว้นี้จากแฟรนไชซอ ดังนั้นจึงเป็นการประหยัดเวลาในการเรียนรู้ถึงวิธีการดำเนินธุรกิจที่ประสบ ความสำเร็จมาแล้ว สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ในทันทีและมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้นเร็ว ขึ้นเนื่องจาก ไม่เกิดการลองผิดลองถูก

3. เครื่องหมายการค้าที่ได้รับการยอมรับ

เครื่องหมายการค้า/ บริการ เป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของทุกๆ ธุรกิจ และเป็นสิ่งที่อาจ จะเรียกได้ว่ามีค่าสูงสุดในบรรดาทรัพย์สินต่างๆ ยิ่งเมื่อธุรกิจนั้นประสบความสำเร็จ ทั้งนั้ก็เพราะเครื่องหมายการค้าเป็นเสมือนตัวแทนของธุรกิจต่อสายตาผุ้ บริโภค เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความมีคุณภาพ มาตรฐาน หรือความแตกต่างใดๆ ของสินค้าหรือบริการของแต่ละธุรกิจ ธุรกิจแฟรนไชส์ก็เช่นกัน เนื่องจากเครื่องหมายการค้าเป็นสิ่งจำเป็นที่ควบคู่ไปกับการใช้สิทธิ์ ดังนั้นเมื่อธุรกิจของแฟรนไชซอได้ผ่านการดำเนินการมา ระยะเวลาหนึ่ง ตราหรือเครื่องหมายทางการค้า/ บริการของแฟรนไชซี่ย่อมเป็นที่คุ้นเคยและยอมรับในระดับหนึ่งของผู้บริโภค ซึ่งแฟรนไชซี่ย่อมได้รับประโยชน์จากเครื่องหมายการค้า/ บริการ ที่ได้รับการยอมรับในตลาดแล้วไปด้วย ทำให้การเริ่มต้นธุรกิจของแฟรนไชซี่เป็นไปได้รวดเร็วกว่า เพราะไม่ต้องสร้างเครื่องหมายการค้าใหม่มาทำตลาดในพื้นที่ดังกล่าว

4. การประหยัดต่อขนาดจากการซี้อทีละมากๆ
ผู้ประกอบกิจการขนาดย่อมโดยทั่วไปมักพบว่าเป็นเรื่องยากที่ตนจะสามารถซื้อ สินค้าและบริการในราคาถูกเนื่องจากปริมาณใน การสั่งซื้อที่น้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการทำแฟรนไชส์ (Franchising) แฟรนไชซอสามารถรวบรวมความต้องการสั่งซื้อสินค้าของแฟรนไชซี่เข้าด้วยกันและ เพิ่มอำนาจต่อรองของตน ทำให้สามารถซื้อสินค้าและบริการในต้นทุนที่ถูกลง และแฟรนไชซี่ย่อมได้รับสินค้าหรือวัตถุดิบในราคาที่ถูกลงตามไปด้วยซึ่งเป็น ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน

5. การโฆษณาและสนับสนุนการขายร่วมกัน
โดยทั่วไปแล้วธุรกิจที่มีขนาดใหญ่เพียงพอเท่านั้นจึงจะสามารถ รองรับค่าใช้จ่ายในการโฆษณา โดยเฉพาะการโฆษณาที่อาศัยสื่อแพงๆ เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์ได้
ธุรกิจอิสระขนาดเล็กๆ เป็นจำนวนมากที่มีจำนวนสาขาไม่มาก เพราะเงินทุนไม่พอ การลงทุนค่าใช้จ่ายยิ่งเกิดขึ้นได้ยาก โดยเฉพาะการโฆษณาในระดับภาค หรือระดับประเทศ ดังจะเห็นตัวอย่างของร้านอาหารดังๆ ในจังหวัดต่างๆ ซึ่งก็เป็นผู้นำในตลาดมีผู้คนมากมายเป็นลูกค้า แต่ก็ไม่สามารถจะลงทุนการโฆษณาเพื่อสร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์ได้
แต่ด้วยเหตุที่การขยายตัวของแฟรนไชส์ อยู่ภายใต้เครื่องหมายการค้าเดียวกันและเมื่อมีจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นจากการ ลงทุนของทั้งแฟรนไชซอเองและการลงทุนชองแฟรนไชซี่ ซึ่งต่างก็เป็นเจ้าของกิจการร่วมระบบ ทำให้มีความได้เปรียบในเรื่องของความประหยัดต่อขนาดการลงทุนด้านโฆษณา สามารถส่งผลให้แก่ระบบโดยรวมได้โดยง่าย ก่อให้เกิดทั้งภาพลักษณ์และชื่อเสียงที่ดีกว่าร้านค้าอิสะทั่วไปที่การขยาย ตัวช้ากว่าเพราะเงินทุนที่จำกัดกว่า ในทำนองเดียวกันแฟรนไชซอสามารถรวบรวมทรับพยากรเข้าด้วยกันเพื่อที่จะผลักดัน ให้เกิดการโฆษณาและส่งเสริมการขาย ร่วมกันในต้นทุนที่ต่ำ นอกจากนี้การทำแฟรนไชส์ ยังเป็นผลดีต่อการนำเสนอภาพลักษณ์ที่เข้มแข็งและสอดคล้องกัน ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าและบริการจากแฟรนไชซี่

การถ่ายโอนความเชี่ยวชาญ
โดยปกติแฟรนไชซอจะมีการสั่งสมประสบการณ์และความชำนาญในการประกอบธุรกิจ เมื่อมีการขายสิทธิ์แฟรนไชซอจะให้ความสนใจกับการถ่ายทอดความรู้ต่อแฟรนไชซี่ เพื่อส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จ เนื่องจากความสำเร็จและผลกำไรของแฟรนไชซอย่อมเกี่ยวโยงกับความสำเร็จของแฟรน ไชซี่โดยตรง

การฝึกอบรม
แฟรนไชซี่ย่อมได้รับการฝึกอบรมแนะแนวทางจากแฟรนไชซอ เพื่อช่วยส่งเสริมให้ประกอบการได้ดีขึ้นภายใต้มาตรฐานที่เป็นหนึ่งเดียว

6.บริการช่วยเหลือจากแฟรนไชซอ
แฟรนไชซี่สามารถรับากรบริการช่วยเหลือจากแฟรนไชซอในต้นทุนที่ต่ำ ยกตัวอย่างเช่น ความช่วยเหลือในการรับสมัครพนักงานทำบัญชี ย้ายที่ตั้งไปสู่ทำเลที่ดีขึ้น และอื่นๆ

แฟรนไชส์ (Franchise) คืออะไร



นิยามของคำว่าแฟรนไชส์ (Franchise)
แฟรนไชส์ คือ กระบวนการทางธุรกิจที่องค์กรธุรกิจหนึ่งๆ ได้พัฒนาวิธีการและรูปแบบ จนได้รับการ พิสูจน์ด้วยระยะเวลาแล้วว่า ประสบความสำเร็จในการประกอบการและการจัดการธุรกิจในระดับหนึ่ง และถ่ายทอดสิทธิ์ในการประกอบธุรกิจ ตามวิธีการและรูปแบบดังกล่าวพร้อมกับตัวสินค้าหรือบริการ ให้กับบุคคลอื่นภายใต้ตราหรือเครื่องหมายการค้า / บริการอันหนึ่งอันใดโดยกระบวนการนี้เกี่ยวข้อง กับการทำนิติกรรมระหว่างบุคคล 2 กลุ่มในข้างต้น ในบางกรณีอาจรวมถึงบุคคลอื่น นิยามของคำว่าแฟรนไชซอ แฟรนไชซอ คือ บุคคลผู้เป็นเจ้าของตราหรือเครื่องหมายการค้า / บริการ ซึ่งได้คิดค้นและพัฒนาวิธีการอันได้รับการพิสูจน์แล้ว ว่าประสบความสำเร็จในการประกอบการและการจัดการธุรกิจ ที่สามารถทำเลียนและดำเนินการโดยบุคคลอื่นได้ นิยามของคำว่าแฟรนไชซี่

แฟรนไชซี่ คือ บุคคลซึ่งได้รับสิทธิ์ในการจำหน่ายและการดำเนินธุรกิจ ภายใต้รูปแบบและตราหรือเครื่องหมายการค้า/ บริการ อันมีแฟรนไชซอเป็นเจ้าของ โดยแฟรนไชซี่ที่ร่วมกิจการไม่ได้อยู่ในฐานะของพนักงานหรือลูกจ้าง ตรงกันข้ามแฟรนไชซี่จะเป็นเจ้าของกิจการที่ทำหน้าที่บริหารงานสาขาตามรูปแบบ ที่แฟรนไชซอกำหนดและ ถ่ายทอดให้ซึ่งผู้เป็นแฟรนไซซี่จำเป็นต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าพนักงานโดย ปกติเพราะผลสำเร็จหมายถึง เวลา จำนวนเงินที่ลงทุนไป

บทความจาก http://www.smile-sme.com

ปรโลก และ ชีวิตหลังความตาย คือ อะไรภพสาม

คำว่า ปรโลก หมายความว่า โลกหน้าหรือโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกมนุษย์นี้ โลกนี้และโลกหน้ามีทั้งหมด 31ภูมิ เป็นสถานที่อยู่ของชีวิตหลังความตาย และเป็นของสากลที่ทุกคนไปอยู่ได้ โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา อุปมาเหมือนผู้ที่กระทำผิดกฎหมายและต้องเข้าคุก ไม่ว่าผู้นั้นจะมีเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ ใดก็ตาม หากกระทำผิดก็มีสิทธิ์เข้าคุกได้ แสดงให้เห็นว่า คุกเป็นของสากล เพราะฉะนั้น สถานที่อยู่ของชีวิตหลังความตายหรือปรโลกก็เช่นกัน เป็นของสากลที่มนุษย์ทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน 31ภูมินี้ จนกว่าจะกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไป จึงจะเข้าสู่นิพพาน

*ปรโลก แบ่งออกเป็น 2ฝ่ายใหญ่ๆ คือ ฝ่ายสุคติภูมิ และ ฝ่ายทุคติภูมิ เป็นสถานที่หมุนเวียนให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ประกอบกุศลกรรมและอกุศลกรรม ได้วนเวียนไปมา เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ตามแต่อกุศลและกุศลที่ได้สั่งสมไว้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์

*มก. อรรถกถาสุปปวาสสูตร เล่ม 44 หน้า 233

ทำบุญอะไรจึงได้ไปสวรรค์ในแต่ละชั้น ?

*สวรรค์ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียดอันเป็นทิพย์ ที่มีรัศมีสว่างไสวรอบกายตลอดเวลา มีทั้งหมด 6ชั้น

เหตุที่ทำให้มาเกิดเป็นเทวดา เพราะได้สร้างบุญกุศลไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่ออุบัติขึ้นก็ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทันที งดงามตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลาจุติ ไม่มีความแก่บังเกิดขึ้นเหมือนในเมืองมนุษย์

วิมานปราสาท คือ ที่อยู่อาศัยของเทวดา ล้วนมีความวิจิตรงดงาม มีขนาดแตกต่างกัน มีความเป็นอยู่สะดวกสบาย มีอาหารทิพย์บังเกิดขึ้น มีบริวารคอยรับใช้ใกล้ชิด เสื้อผ้าเป็นทิพย์ วิจิตรงดงาม บังเกิดขึ้นให้สวมใส่ กิจกรรมแต่ละวันก็มีการเที่ยวเพลิดเพลินบันเทิงอยู่กับการชมสวน

การสังสรรค์กันระหว่างทวยเทพทั้งหลาย ส่วนจะอุบัติขึ้น ณ สวรรค์ชั้นไหน เป็น เทวดาประเภทใด และอยู่ในฐานะอะไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับบุญที่ตัวเองสั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ซึ่งได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่37 เรื่อง ทานสูตร สรุปย่อได้ดังนี้

เกิดบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีจากหลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญไม่ค่อยเป็นไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสมบุญ นานๆทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาสิเนรุ

สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เพราะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครองสวรรค์ชั้นนี้อยู่ 4ท่าน คือ

ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์
ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ
ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค
ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์

เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นสิ่งที่ควรทำกระทำแล้วก็สั่งสมบุญ สั่งสมเทวธรรม มีหิริโอตตัปปะด้วย เมื่อละโลกก็จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตัดของเขาสิเนรุ ที่ชื่อว่า ดาวดึงส์ เพราะเป็นที่อยู่ของเทพผู้ปกครองภพถึง 33องค์ โดยมี ท้าวสักกเทวราช หรือ พระอินทร์ เป็นประธาน และที่สำคัญมี พระธาตุจุฬามณี ซึ่งทุกวันพระเทวดาจะมาประชุมกันที่สุธรรมาเทวสภา เพื่อรับฟังโอวาทจากท้าวสักกะ

เกิดบนสวรรค์ชั้นยามา คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะอยากจะสืบทอด และรักษาประเพณีแห่งความดีงามนั้นไว้ ทำนองว่าวงศ์ตระกูลสร้างสมความดีมาอย่างไร ก็อยากจะรักษาประเพณีไว้ หรือผู้หลักผู้ใหญ่สอนอย่างไร บรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำกันไปตามธรรมเนียม เช่น เห็นปู่ย่าสร้างโบสถ์ บำรุงวัด สร้างพระประธาน ก็ทำตามนั้นด้วย หรือพระภิกษุที่รักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่พระต้องมีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา เมื่อละโลกแล้ว ส่วนใหญ่จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป

เกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต หรือในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาเรียกกันว่า ดุสิตบุรี คือ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ทำบุญเพื่อปรารถนาสงเคราะห์โลก ปรารถนาให้ชาวโลกมีความสุข มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เพื่อสงเคราะห์โลก เพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย เมื่อละโลกแล้วก็จะไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงถัดจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป

เกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เห็นผู้อื่นทำบุญแล้วได้รับการยกย่องส่งเสริม จึงอยากจะทำบุญนั้นบ้าง อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เมื่อละโลกแล้วจะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป

เกิดบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญด้วยความเลื่อมใส เคารพในทาน ทำแล้วมีความรู้สึกปลื้มใจ ในบุญที่ทำนั้น เมื่อละโลกแล้วจะบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดีขึ้นไป

ความเป็นอยู่ของชาวสวรรค์แต่ละชั้น จะมีความประณีตยิ่งๆขึ้นไปตามลำดับชั้น ถ้าใครทำบุญมามาก จนครบทุกอย่างดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ปรารถนาจะไปอยู่ ณ ที่ใด ก็สามารถจะไปสวรรค์ชั้นที่ต้องการได้ เหตุแห่งการกระทำที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นสาเหตุหลักๆ เป็นภาพรวมของการทำบุญที่ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ในแต่ละชั้น แต่อาจจะมีองค์ประกอบและปัจจัยอย่างอื่นเสริมอีกด้วย

* มก. อุโปสถสูตร เล่ม 34 หน้า 382

ยมโลก อุสสทนรก มหานรก ต่างกันอย่างไร ?

*มหานรก เป็นนรกขุมใหญ่ มี 8ขุม อยู่ลึกไปตามลำดับ จากขุมที่1 ซึ่งมีขนาดเล็กไปถึงขุมที่8 ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด

อุสสทนรก เป็นนรกขุมบริวาร อยู่รอบๆมหานรกขุมใหญ่ทั้ง 4ทิศ มี 128ขุม

ยมโลก เป็นนรกขุมย่อยๆ อยู่รอบนอกของอุสสทนรกมี 320ขุม รวมทั้งหมด นรกมี 456ขุม เป็นภพละเอียดอยู่ลึกลงไปใต้เขาพระสุเมรุ ที่มีเขาตรีกูฏ 3ลูกรองรับอยู่ เกิดขึ้นด้วยกระแสบาปของมนุษย์ เป็นแดนสำหรับลงทัณฑ์ทรมานกายละเอียดของอดีตมนุษย์ที่ทำบาปอกุศล

สภาพของ มหานรก มีความร้อนแรงมาก ไฟในมหานรกนั้นร้อนแรงกว่าในอุสสทนรกและยมโลกเป็นล้านๆเท่า ไฟในยมโลกยังมีสีสันคล้ายกับไฟในเมืองมนุษย์ คือ พอมองออก แต่ไฟในมหานรกนั้นมีเปลวสีดำ ภพของมหานรกก็ใหญ่กว่า อายุของสัตว์นรกก็ยืนยาวกว่า หากเปรียบเทียบกันแล้ว อุสสทนรกกับยมโลก เป็นสถานที่ที่มนุษย์ไปรับผลกรรมที่เป็นเศษกรรมเท่านั้น แต่ในมหานรกนั้น คือ ส่วนเต็มๆของกรรม

ผู้ที่ตกไปอยู่ในมหานรก คือ อดีตมนุษย์หรือสัตว์ที่ทำกรรมชั่วหนักๆ หรือทำกรรมชั่วอยู่เป็นประจำ เมื่อตายแล้ว กระแสบาปจะดึงดูดกายละเอียดลงไปเกิดในมหานรกทันที ไม่ได้มีใครมารับตัวเหมือนไปยมโลก สัตว์นรกในมหานรกจะถูกลงทัณฑ์ที่แตกต่างหลากหลาย ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส มีนายนิรยบาลหรือนางนิรยบาล ซึ่งเป็นธาตุกายสิทธิ์ไม่มีชีวิตจิตใจ เกิดขึ้นด้วยอำนาจของบาปอกุศล ร่างกายใหญ่โตมโหฬารสูงใหญ่ปานภูเขา มีสีผิวดำมืดเหมือนกับถ่าน คอยลงทัณฑ์ทรมานสัตว์นรก โดยไม่มีเวลาหยุดพักแม้สักวินาทีเดียว จนสิ้นอายุขัยของสัตว์นรกนั้น

กว่าจะพ้นจากมหานรกได้ ก็ยาวนานมาก ตั้งแต่ 1,620,000ล้านปีมนุษย์ จนถึง 1อันตรกัป* เลยทีเดียว ใช้กรรมในมหานรกเสร็จแล้ว ต้องไปรับ ผลกรรมต่อที่อุสสทนรกขุมบริวารอีก

อุสสทนรก เป็นนรกขุมบริวารที่มีขนาดเล็กกว่ามหานรก และการทัณฑ์ทรมานก็เบาบางกว่า เช่น เป็นนรกอุจจาระเน่า นรกขี้เถ้าร้อน นรกป่าไม้งิ้ว นรกป่าไม้ใบดาบ เป็นต้น สัตว์นรกที่นี่จะมีความทุกข์น้อยกว่าในมหานรก ไฟนรกร้อนแรงน้อยกว่า และยังพอมีเวลาว่างเว้นจากการทัณฑ์ทรมานบ้างเล็กน้อย

ผู้ที่อยู่ในอุสสทนรก มาจากสัตว์นรกที่ใช้กรรมในมหานรกมาเบาบางแล้ว จึงมาใช้เศษกรรมในอุสสทนรกต่อ เมื่อได้รับทัณฑ์ทรมานอยู่ในอุสสทนรกเป็นระยะเวลายาวนานมาก จนกระทั่งกรรมเบาบาง ก็จะวิ่งหนีทะลุมิติไปเข้าสู่เขตของยมโลก เพื่อไปรับวินิจฉัยบุญบาปในยมโลกต่อไป

ยมโลก เป็นนรกขุมย่อยๆ อยู่รอบนอกอุสสทนรก นอกจากจะเป็นสถานที่ลงทัณฑ์ทรมานแล้ว ยังมีความพิเศษกว่าอุสสทนรกและมหานรก คือ

1.เป็นสถานที่วินิจฉัยบุญบาปของสัตว์นรกที่มาจากอุสสทนรกว่า จะให้ไปรับทัณฑ์ทรมานที่นรกขุมไหนต่อ หรือให้ไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ เช่น ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ หรือไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย เป็นต้น

2.เป็นสถานที่ตัดสินบุญบาปของผู้ที่ตายจากเมืองมนุษย์ ที่ใจไม่เศร้าหมองแต่ก็ไม่ผ่องใส เมื่อตัดสินแล้วก็จะส่งไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ เช่น ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ หรือไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก หรือชาวสวรรค์ เป็นต้น

3.หากมีมนุษย์ผู้ใด ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่ผู้ตายยังอยู่ในภพภูมิที่ไม่สามารถรับบุญได้ บุญนั้นจะมาคอยอยู่ที่ยมโลกเพื่อรอส่งผล โดยเฉพาะวันพระ ขึ้น 15ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ในยมโลกจะหยุดการลงทัณฑ์ทรมานชั่วขณะหนึ่ง หากมีคนในเมืองมนุษย์ทำบุญอุทิศส่วนกุศลมาให้ บุญนั้นจะถึงแก่สัตว์นรกในทันที ทำให้ระยะเวลาที่ต้องได้รับทัณฑ์ทรมานสั้นลง หรืออาจพ้นกรรมไปเกิดเป็นมนุษย์ หรือไปเกิดในภพภูมิอื่น

เราอาจจะถือได้ว่า ยมโลกเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อ ระหว่างภพมนุษย์กับภพภูมิอื่นๆก็ได้ เพราะเป็นที่รองรับสัตว์นรกที่มาจากอุสสทนรก และรองรับกายละเอียดที่ตายจากเมืองมนุษย์ เพื่อมาตัดสินบุญบาปแล้วส่งไปเกิดในภพภูมิต่างๆ

เมื่อมนุษย์ตายลง ไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่จะมารับตัวไปที่ยมโลกทุกรายเสมอไป ผู้ใดทำบุญหรือบาปไว้มาก กำลังบุญหรือบาปนั้น จะดึงดูดไปสู่ภพภูมิที่เหมาะสมเอง แต่ถ้าบุญก็ทำบาปก็สร้างปะปนกันไป ในขณะใกล้ตายจิตไม่ถึงกับเศร้าหมองแต่ก็ไม่ผ่องใส หรือตายด้วยอุบัติเหตุไม่ทันได้รู้ตัว กายละเอียดจะหลุดออกมายืนมองเห็นตัวเอง พูดกับใครก็ไม่มีใครพูดด้วย เมื่อนั้นจึงรู้ว่าตัวเองตายแล้ว

ในระหว่าง 7วันนั้น ถ้ากายละเอียดของผู้ตายนึกถึงบุญที่ตนเคยทำไว้ได้ ใจก็จะผ่องใสได้ไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่เป็นสุคติ แต่ถ้านึกถึงบุญไม่ออก พอครบ 7วันก็จะมีเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นกุมภัณฑ์ นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง ถือโซ่ตรวนและหอกแหลมมารับเอาตัวไป ถ้ากายละเอียดขัดขืน กุมภัณฑ์ซึ่งมีกำลังมากกว่า จะทุบตีลากจูง พาเดินไปไม่กี่ก้าวก็ผ่านอุโมงค์ทะลุมิติไปถึงหน้าประตูยมโลก ไปที่ลานตัดสิน ซึ่งมีสภาพมืด บรรยากาศทึมๆ ร้อนอบอ้าวมาก แต่ก็มืดและร้อนน้อยกว่าในอุสสทนรกและในมหานรก หลายล้านเท่า ทั้งสองข้างทางมีเจ้าหน้าที่ยืนเรียงราย ถืออาวุธสลับกับประทีปโคมไฟที่ร้อนแรง น่าสะพรึงกลัว หดหู่ และน่าสยดสยอง

พอไปถึงโรงพิพากษา ก็ต้องนั่งคุกเข่าต่อหน้าพญายมราช เพื่อทำการไต่ถาม ช่วยให้นึกถึงบุญ และถ้านึกถึงบุญที่เคยทำไว้ได้ เจ้าหน้าที่ก็จะพาไปเกิดใหม่ในสุคติภูมิ แต่ถ้านึกถึงบุญไม่ออกและมีบาปที่ตนเองเคยทำไว้ ก็ต้องถูกส่งไปเกิดในทุคติภูมิ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย หรือไปรับโทษทัณฑ์ทรมานในขุมนรกของยมโลก โดยมีกุมภัณฑ์ที่มีหน้าที่ลงทัณฑ์ทรมาน มีร่างกายสูงใหญ่ สูงยิ่งกว่าต้นยางนาสูงๆ สีผิวดำแดง ดำอมเขียว หรือดำอมม่วง น่ากลัวมาก แต่ยังดูดีกว่านายนิรยบาลในมหานรก กุมภัณฑ์เหล่านี้เป็นยักษ์ ชนิดหนึ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา หมุนเวียนกันมาทำหน้าที่เป็นช่วงๆ
********************

* มก. ปรมัตถทีปนี เล่ม 44 หน้า 234
อันตรกัป* นับดังนี้คือ ในสมัยต้นกัปมนุษย์มีอายุยืนถึงอสงไขยปีเป็นอายุกัป ต่อมาอายุของมนุษย์ค่อยๆ ลดลงจนกระทั่งถึง 10ปีเป็นอายุกัป แล้วอายุของมนุษย์ค่อยเพิ่มขึ้นอีก จนถึงอสงไขยปีเป็นอายุกัปอย่างเก่าอีก ระยะเวลานับแต่อายุไขลงจนไขขึ้นเท่าเดิมดังนี้คู่หนึ่ง เรียกว่า 1อันตรกัป)

นรก คือ อะไร

ตายแล้วไปไหน...สถานที่ที่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ต้องเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่ 31ภูมิ หากอยากจะทราบว่า ใครตายแล้วไปไหน หรือ อยากทราบว่า ตัวเราเองเมื่อตายแล้วจะต้องไปอยู่ที่ใด ก็มีวิธีสังเกตง่ายๆ คือ เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ เราชอบทำอย่างไร พอตายแล้วก็ต้องไปรับผลแห่งการกระทำของตนเองอย่างนั้น เรียกได้ว่า “ตายแล้ว ก็ไปสู่ที่ชอบ...ที่ชอบ” เช่น

นรกขุมที่ 1 สัญชีวนรก
เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบฆ่าสัตว์ ชอบบี้มดตบยุงเป็นประจำ หรือฆ่ามนุษย์ด้วยกัน รวมทั้งฆ่าตัวตายด้วย ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่1 ชื่อว่า สัญชีวนรก ซึ่งเกิดขึ้นมาเพื่อรองรับผู้ที่ชอบการฆ่าโดยเฉพาะ

นรกขุมที่ 2 กาฬสุตตนรก
เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบลักขโมย ฉ้อโกง ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่2 ชื่อว่า กาฬสุตตนรก

นรกขุมที่ 3 สังฆาฏนรก
เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบประพฤติผิดในกาม ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่3 ชื่อว่า สังฆาฏนรก

นรกขุมที่ 4 โรรุวนรก
เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบพูดโกหก พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่4 ชื่อว่า โรรุวนรก

นรกขุมที่ 5 มหาโรรุวนรก
เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบดื่มสุรา หรือเสพสิ่งมึนเมา ยาเสพติด ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่ 5 ชื่อว่า มหาโรรุวนรก

นรกขุมที่ 6 ตาปนนรก
เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบเล่นการพนันทุกชนิด ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่6 ชื่อว่า ตาปนนรก

นรกขุมที่ 7 มหาตาปนนรก
เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบเที่ยวกลางคืน มัวเมาในอบายมุข ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่7 ชื่อว่า มหาตาปนนรก

นรกขุมที่ 8 อเวจีนรก
เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ทำอนันตริยกรรม เช่น ฆ่าบิดา มารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำสงฆ์ให้แตกกัน หรือทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่8 มีชื่อว่า อเวจีนรก (ถึงแม้จะทำแค่เพียงครั้งเดียว ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ก็ถือเป็นกรรมที่หนักมาก ต้องตกอเวจีมหานรก ได้รับ ทัณฑ์ทรมานที่แสนสาหัส มีอายุยาวนานกว่านรกขุมอื่นๆ)

ในทางตรงกันข้าม ถ้าชอบทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิเจริญภาวนา หรือชอบบำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ 10ประการ ก็จะมีสวรรค์ 6ชั้น พรหม 16ชั้น อรูปพรหม 4ชั้น เป็นที่ไปเสวยผลบุญหลังจากละสังขารในโลกมนุษย์แล้ว

สำหรับคนที่เป็นประเภทวัดก็เข้าเหล้าก็กิน บุญก็ทำบาปกรรมก็สร้าง อย่างนี้ก็ต้องไปประเมินผลกันตอนใกล้จะละโลกอีกที ช่วงนั้นเรียกว่า ศึกชิงภพ ขึ้นอยู่ว่า บุคคลผู้นั้นมีจิตเกาะเกี่ยวอยู่กับสิ่งที่เป็นบุญหรือเป็นบาป ถ้านึกถึงบุญได้ จิตผ่องใสในขณะสิ้นลมก็ได้ไปสู่สุคติภูมิก่อน (แล้วบาปกรรมที่ทำไว้จะตามมาส่งผลในภายหลัง) แต่ถ้าช่วงนั้นใจนึกถึงสิ่งที่ทำไม่ดีไว้ จิตใจเศร้าหมองในขณะสิ้นลมก็จะไปสู่ทุคติภูมิก่อน (แล้วผลบุญจะตามมาส่งผลในภายหลัง)

ปรโลก ฝ่ายทุคติ

ปรโลก ฝ่ายทุคติ คือ สถานที่ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เรียกว่า อบายภูมิ มี 4แห่ง การแบ่งภูมิต่างๆในทุคติ อาจเปรียบได้กับการแบ่งแดนต่างๆในเรือนจำ ซึ่งแบ่งแดนกักขังนักโทษ ตามความหนักเบาของแต่ละคน ดังนี้

1.นรก หรือ นิรยภูมิ
จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่1 เป็นดินแดนที่ปราศจากความสุขสบาย สัตว์ที่ตกลงไปสู่นรก เพราะบาปกรรมชั่วที่ตนกระทำไว้เป็นอาจิณกรรม เมื่อตกลงไปแล้วจะได้รับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ไม่มีเวลาว่างเว้นจากการทัณฑ์ทรมาน นรกมีที่ตั้งอยู่ใต้เขาตรีกูฏ มีทั้งหมด 8ขุมใหญ่ที่เรียกว่า มหานรก และยังมีขุมบริวารที่เรียกว่า อุสสทนรก อีก 128ขุม มีนรกขุมย่อยที่เรียกว่า ยมโลก อีก 320ขุม

2.ภูมิเปรต หรือ เปตติวิสยภูมิ
จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่2 เป็นดินแดนที่มีแต่ความเดือดร้อนอดอยาก หิวกระหาย เปรตแบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่ที่นิยมแบ่งกันมาก คือ เปรต 12ตระกูล ที่อยู่ของเปรตนั้น อยู่ที่ซอกเขาตรีกูฏ และมีปะปนอยู่กับมนุษยโลกด้วย แต่เป็นภพที่ละเอียดกว่า เหตุที่ทำให้มาเป็นเปรต เพราะได้ทำ อกุศลกรรมประเภทตระหนี่ หวงแหนทรัพย์ เป็นหลัก การเกิดเป็นเปรตนั้นมี 2ลักษณะ คือ ผ่านมาจากมหานรก อุสสทนรก และยมโลก หรือเกิดจากมนุษย์ผู้กระทำอกุศลกรรม ละโลกแล้วไปเกิดเป็นเปรต

3.อสุรกายภูมิ
จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่3 เป็นดินแดนที่ปราศจากความร่าเริง อสุรกายมีลักษณะคล้ายกับเปรตมากแยกแยะได้ยาก และอยู่ในภพภูมิเดียวกันกับเปรต คือ ที่ซอกเขาตรีกูฏ มีรูปร่างประหลาดพิลึกกึกกือ เช่น มีหัวเป็นหมูตัวเป็นคน มีความเป็นอยู่ที่แสนยากลำบากเช่นเดียวกับเปรต คือ อยู่ด้วยความหิวกระหาย แต่หนักไปทางกระหายน้ำมากกว่าอาหาร ที่ต้องเกิดมาเป็นอสุรกายเพราะ ความโลภอยากได้ของผู้อื่นในทางมิชอบ

4.ติรัจฉานภูมิ
เป็นอบายภูมิอันดับสุดท้าย ที่มีความทุกข์ทรมานน้อยกว่าสัตว์ที่เกิดใน นรก เปรต และอสุรกาย ที่ชื่อ เดียรัจฉาน เพราะมีลำตัวไปทางขวาง อกขนานกับพื้น และจิตใจก็ขวางจากหนทางพระนิพพานด้วย ที่อยู่ของสัตว์เดียรัจฉานนี้ อยู่ปะปนกับมนุษย์ทั่วไป

ปรโลก ฝ่ายสุคติ

ปรโลก ฝ่ายสุคติ
ปรโลก ฝ่ายสุคติ คือ สถานที่ที่ใครได้อยู่แล้ว ย่อมเป็นสุข มี 27ภูมิ ได้แก่

1.มนุสสภูมิ
เป็นภูมิที่อยู่อาศัยของมนุษย์เรา และเป็นที่อยู่ของผู้ที่มีใจสูง เพราะมนุษย์มีความรู้จักผิดชอบชั่วดี ถ้าทำดีก็จะได้ถึงดีที่สุด หากทำชั่วก็จะได้ถึงชั่วที่สุด

2.เทวภูมิ หรือ สวรรค์
มี 6ชั้น ได้แก่
1.จาตุมหาราชิกา
2.ดาวดึงส์
3.ยามา
4.ดุสิต
5.นิมมานรดี
6.ปรนิมมิตวสวัตดี
3.รูปภูมิ

รูปพรหม 16ชั้น ได้แก่
1.พรหมปาริสัชชาภูมิ
2.พรหมปุโรหิตาภูมิ
3.มหาพรหมาภูมิ
4.ปริตตาภาภูมิ
5.อัปปมาณาภาภูมิ
6.อาภัสสราภูมิ
7.ปริตตสุภาภูมิ
8.อัปปมาณสุภาภูมิ
9.สุภกิณหาภูมิ
10.เวหัปผลาภูมิ
11.อสัญญีสัตตาภูมิ
12.อวิหาสุทธาวาสพรหมภูมิ
13.อตัปปาสุทธาวาสพรหมภูมิ
14.สุทัสสาสุทธาวาสพรหมภูมิ
15.สุทัสสีสุทธาวาสพรหมภูมิ
16.อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมิ

4.อรูปภูมิ
อรูปพรหม 4ชั้น ได้แก่
1.อากาสานัญจายตนภูมิ
2.วิญญาณัญจายตนภูมิ
3.อากิญจัญญายตนภูมิ
4.เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

ปรโลก และ ชีวิตหลังความตาย คือ อะไร

ปรโลก และ ชีวิตหลังความตาย คือ อะไร
คำว่า ปรโลก หมายความว่า โลกหน้าหรือโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกมนุษย์นี้ โลกนี้และโลกหน้ามีทั้งหมด 31ภูมิ เป็นสถานที่อยู่ของชีวิตหลังความตาย และเป็นของสากลที่ทุกคนไปอยู่ได้ โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา อุปมาเหมือนผู้ที่กระทำผิดกฎหมายและต้องเข้าคุก ไม่ว่าผู้นั้นจะมีเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ ใดก็ตาม หากกระทำผิดก็มีสิทธิ์เข้าคุกได้ แสดงให้เห็นว่า คุกเป็นของสากล เพราะฉะนั้น สถานที่อยู่ของชีวิตหลังความตายหรือปรโลกก็เช่นกัน เป็นของสากลที่มนุษย์ทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน 31ภูมินี้ จนกว่าจะกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไป จึงจะเข้าสู่นิพพาน

*ปรโลก แบ่งออกเป็น 2ฝ่ายใหญ่ๆ คือ
ฝ่ายสุคติภูมิ และ ฝ่ายทุคติภูมิ
เป็นสถานที่หมุนเวียนให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ประกอบกุศลกรรมและอกุศลกรรม ได้วนเวียนไปมา เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ตามแต่อกุศลและกุศลที่ได้สั่งสมไว้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์

*มก. อรรถกถาสุปปวาสสูตร เล่ม 44 หน้า 233

ทำบุญเช่นไรถึงจะไม่เป็นโรคอัลไซเมอร์

http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/main/index.php?option=com_content&task=view&id=599&Itemid=4

คนมีความรู้ถูกหลอกง่ายจริง ๆ หรือ ?

http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/main/index.php?option=com_content&task=view&id=605&Itemid=4

คัมภีร์ปฏิรูปมนุษย์

http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/main/index.php?option=com_content&task=view&id=598&Itemid=4

การลดกรรม 45 อย่าง (ควรอ่านอย่างยิ่ง)

การลดกรรม 45 อย่าง (ควรอ่านอย่างยิ่ง)
มาทำความดี ละเว้นความชั่วกันดีกว่า

1. กรรมที่ไม่มีลูก
กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น
ลดกรรม ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ 7 วัน ในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์หรือ
มูลนิธิเด็กอ่อน

2. เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย
กรรมจาก เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์
ลดกรรม ด้วยการทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า
งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต

3. ตาบอดหรือเป็นโรคตา
กรรมจาก เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สารธารณะ
ลดกรรม ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพร! ะ บริจาคเงินในกล่อง
ซื้อน้ำมันเติมตะเกียงที่วัด

4. ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย
กรรมจาก จากเคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ
ลดกรรม หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ

5. สูญเสียคนใกล้ชิด
กรรมจาก เคยยิงนกตกปลา
ลดกรรม ทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัก 1 อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ 3 เดือน ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

6.ถูกนินทา ถูกให้ร้ายกรรมจาก เคยพูดจาให้เป็นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข

7. มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดู
กรรมจาก เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา
ลดกรรม ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือ
ธรรมะแจกจ่ายฟรี

8. ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร
กรรมจาก ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ
ลดกรรม ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่นทำอาหาร จัดดอกไม้

9. ตั้งหลักปักฐานไม่ได้ โยกย้ายบ่อย
กรรมจาก ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหาร ร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ณ เมืองที่ตนอยู่อาศัย

10. มักถูกรังแก ถูกเบียดเบียน
กรรมจาก ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช
ลดกรรม บวช ด้วยจิตศรัทธาปวารถาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจะบวช 7 วัน หรือ 15 วัน 1 เดือน 1 พรรษา แล้วแต่
จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือศีล 8 ตามเวลาที่สะดวกและตั้งจิตศรัทธา หรือร่วมทำบุญงานบวชอย่าง
สม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้

11.ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ชาดเสน่ห์
กรรมจาก ไม่เคยถวายของหอม
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย ทองคำเปลว ประน้ำอบน้ำปรุง ประพฤติดี
ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดี ทำดี พูดดี ให้ผู้อื่นได้ดี มิให้ร้ายผู้ใด

12. เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว
กรรมจาก ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่น
พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจกฟรี

13. ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค
กรรมจาก เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้าน หรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก
ลดกรรม บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วงสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้
ได้มียวดยานพาหนะหรือทางสัญจรที่สะดวก

14. เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป
กรรมจาก เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน
ลดกรรม ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์

15. ขัดสน อดมื้อกินมื้อ
กรรมจาก เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ
ลดกรรม แบ่งปันอาหาร น้ำ เสื้อผ้า แก่คนยากไร้อนา! ถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ

16. อาภัพคู่ ร้างคู่
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขา
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน ถวายของเป็นคู่ เช่น แจกันคู่
เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เป็นต้น

17. ได้คู่ที่เลวร้าย ทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยข่มขืนเขาในชาติก่อน เคยทุบตีทำร้ายคู่
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

18. อยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลาย
กรรมจาก เคยจับสัตว์ขัง
ลดกรรม ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา

19. รูปร่างหน้าไม่งดงาม
กรรมจาก ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม
ลดกรรม ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล

20. มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน
กรรมจาก เคยคดโกงผู้อื่น!
ลดกรรม สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรทุกๆเดือน

21. พิการ ร่างกายไม่สมประกอบ
กรรมจาก เคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม่ หรือทำร้ายพ่อแม่
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระ ปล่อยนกปล่อยปลา ถือศีล 5 ศีล 8 เจริญภาวนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน

22. มีคดีความ
กรรมจาก เคยพบคนทุกข์ร้อนแล้วไม่ช่วยหรือพยายามหาทางช่วยเหลือ
ลดกรรม หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือนๆละ 7 วัน

23. ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
กรรมจาก ไม่สงเคราะห์คนอนาถา ที่มาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก
ลดกรรม ร่วมทำบุญซื้อกระเบี้องหลังคาโบสถ์ หมั่นไปกราบไหว้บู! ชาศาลหลักเมือง ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด

24. จิตใจขุ่นมัว ดุดัน ขี้โมโห
กรรมจาก มักตะหนี่ในการทำบุญ
ลดกรรม สวดมนต ์ไหว้พระ ทุกวันพระ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 5 หรือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือน บริจาคทาน แบ่งปันเงินทองหรือ สิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือร่วมทำบุญบริจาคทานกับมูลนิธิสถานสงเคราะห์ และวัดวาอารามต่างๆ

25. ไม่มีชื่อเสียง
กรรมจาก เคยติฉินนินทาทำให้ผู้อื่นเสียหาย
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา

26. ไม่มีวาสนาบารมี
กรรมจาก ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมมะ
ลดกรรม ทำบุญสร้างพระพุทธรูป ทำทานกับคน

27. มีลูกหลานไม่ดี เกเร ไม่เชื่อฟัง
กรรมจาก ทำแท้ง เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน
ลดกรรม บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง ปฏิบัติธรรม อุทิศให้ลูกตนเอง

28. เจอแต่คนเอาเปรียบ
กรรมจาก เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ ขโมยเงินครอบครัวมาใช้
ลดกรรม หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย หมั่นสวดมนต์ อธิษฐานบารมีด้านขอพรให้พบเจอคนดีๆเข้ามาในชีวิต

29. เกิดในสกุลต้อยต่ำ
กรรมจาก โอหัง อวดดี จิตใจคับแคบ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างวัด สร้างพระประธาน ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

30. ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา
กรรมจาก เคยเมาสุระอาละวาด ระรานผู้อื่น!
ลดกรรม นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ทำทานกับคนอนาถา และสัตว์อนาถา ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

31. ไม่เจริญก้าวหน้า จิตใจเป็นทุกข์
กรรมจาก เคยชักจูงคนทำชั่ว
ลดกรรม ถือศีล 8 เป็นเวลา 7 วัน ทุกๆ 3 เดือน หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน

32. จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยริษยาผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ปล่อยปลาลงน้ำ นั่งสมาธิ สวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

33. ชีวิตตกต่ำ ทำสิ่งใดไม่เจริญ
กรรมจาก เคยทำแท้ง
ลดกรรม ปล่อยปลาลงน้ำทุกๆเดือน จนครบ 9 เดือน หรือ 1 ปีเต็ม ถวายสังฆทาน ทำบุญใส่บาตรเสมอ

34. เป็นเมียน้อย เมียเก็บ
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน ขืนใจเขาโดยไม่ยินยอม เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ภพก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
ลดกรรม ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดก็ได้ อธิษฐานจิตขอให้ชีวิตคู่ที่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1 ครั้ง 3 วัน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีวิตคู่ดีขึ้น ร่วมเป็นเจ้าภาพงานแต่ง เพื่อชีวิตตนจะดีขึ้นและสมหวัง สวดมนต์ขอพรทุกวันเกิดด้านความรักให้สมหวังต่อไป ทำบุญสังฆทานสด ในวันเกิดตนเอง เดือนละครั้ง เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติและวิญญาณที่ตามมาให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรม

35. เป็นทุกข์เพราะคนในครอบครัว
กรรมจาก เคยลำเอียง ไร้คุณธรรมในด้านครอบครัวไว้ก่อน เคยเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดไว้ในชาติอดีตและชาติปัจจุบัน เคยทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกในอดีตชาติ
ลดกรรม ต้องบวชชีพราหมณ์ เพราะเมื่อเกิดอีกภพชีวิตจะได้ดีมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะกุศลของการบวช ปฏิบัติธรรมทำให้เจ้ากรรมนายเวร อโหสิกรรม และตนเองได้พบสิ่งที่มีกุศลมากขึ้น ยึดพรหมวิหาร 4 มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จะทำให้ชีวิตมีความเมตตา และไม่ลำเอียงเอารัดเอาเปรียบคนใกล้ชิด ทำให้วิถีชีวิตมีคนนับถือและพ้นจากความทุกข์ในเรื่องญาติพี่น้องยุ่งเกี่ยวได้ นำพระคู่บ้านคู่เมืองเข้าสักการะที่บ้าน และสวดมนต์ขอพรให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

36. เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
กรรมจาก ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ทำร้ายคนไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ
ลดกรรม ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติ รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้กุศลและอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ปล่อยสัตว์ลงน้ำในวันเกิดตนเอง กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับและอโหสิกรรม ถวายยาเข้าวัด
หรือช่วยเหลือคนป่วย

37. เป็นมะเร็ง
กรรมจาก รู้เห็นเป็นใจกับการทำแท้ง การทารุณสัตว์ หรือการทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญใหญ่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และบวชชีพราหมณ์ 1 เดือน เพื่อส่งกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม
ทำบุญสร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์หรือสร้างศาลาวัด ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน

38. ค้าขายขาดทุน ทำงานไม่ก้าวหน้า
กรรมจาก เคยลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง
ลดกรรม หมั่นทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน ถวายเครื่องเซ่นสังเวย เจ้าที่-เจ้าทาง หมั่นสวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

39. ด้อยปัญญา
กรรมจาก ฝักใฝ่อบายมุขในชาติก่อน หรือชักชวนคนไปทำชั่ว ดูแคลนหลักธรรมมะ
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจก ทำบุญทำทานกับโรงเรียนของเด็กพิการหรือตามมูลนิธิต่างๆ

40. ตกงาน
กรรมจาก เคยกลั่นแกล้งผู้อื่นในเรื่องงาน หรือแย่งงานผู้อื่น
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทาน ร่วมงานบุญต่างๆ ปล่อยนกปล่อยปลา

41. ไม่มีโชคลาภ
กรรมจาก ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ
ลดกรรม หมั่นทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถวายธูป เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย และทองคำเปลว

42. เรียนไม่จบ การเรียนมีอุปสรรค
กรรมจาก ชาติก่อนปฏิเสธการฟังเทศน์ฟังธรรม
ลดกรรม หมั่นเข้าวัด ร่วมงานบุญต่างๆ ฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ

43. มีอาชีพต้อยต่ำที่ผู้คนดูแคลน
กรรมจาก ชาติก่อนเคยบวชด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไร้ความศรัทธา อาศัยผ้าเหลืองหากิน
ลดกรรม ถือศีล 5 ศีล 8 นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ถวายสังฆทานทุกเดือน หรือทุก 3 เดือน

44. ครอบครัวยากจน
กรรมจาก ชาติก่อนไม่เคยบริจาคทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทาน ถ้ามีเงินไม่มากก็บริจาคเป็นสิ่งของ แรงกาย หรือน้ำใจ ต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เช่น ไปช่วยอ่านหนังสือให้มูลนิธิคนตาบอด

45. เป็นทุกข์เพราะความรัก
กรรมจาก ชาติก่อนเจ้าชู้ หลอกผู้อื่นให้อกหัก
ลดกรรม ประพฤติดีปฏิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ ร่วมทำบุญงานแต่งงาน ทำสิ่งดีๆให้คนอื่นได้สมรักสม
จุดเด่นอยู่ที่ข้อ 19

กฏแห่งกรรม

1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนให­ญ่โต
เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริ­ญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก
เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้­ญาติในชาติก่อน

10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

14. เหตุใดชาตินี้คุณมีด??งตาสดใส
เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปั­­ญญาอ่อนและหูหนวก
เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด

19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า