วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คำคม วาทะที่น่าสนใจ

คำคม วาทะที่น่าสนใจ คลิกที่นี่

ซุปเปอร์สมุนไพรปูแดง

ซุปเปอร์สมุนไพรปูแดง
ทดแทนสารฆ่าแมลงที่นำเข้าจากต่างประเทศ คุณภาพเยี่ยมทัดเทียมสารฆ่าแมลงจากต่างประเทศไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยจากผู้ใช้และผู้บริโภคสารป้องกันและกำจัดแมลง เป็นสารชีวภาพ สกัดจากสมุนไพรร้อยกว่าชนิด เห็ดพิษสิบกว่าสายพันธุ์ หมักกลั่นด้วยเครื่องจักรและเทคโนโลยีชั้นสูง เพื่อให้ได้สมุนไพรที่มีความบริสุทธิ์และประสิทธิภาพสูง ใช้หลักการพิษวิทยา นำสารพิษจากธรรมชาติมาทำลายหนอน,แมลง,เชื้อรา ใช้ป้องกันและกำจัดหนอน,แมลง,เพลี้ยและเชื้อราต่างๆโดยไม่ทำอันตรายต่อสัตว์เลือดอุ่นที่มีกระดูกสันหลัง มีสารจับใบในตัว ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยต่อผู้ใช้และผู้บริโภค ใช้ได้กับพืชทุกชนิด

• ไร้สารพิษตกค้าง ลดมลภาวะจากการใช้สารเคมี การสะสมสารพิษของเกษตรกร
• ไม่มีแมลงเข้ามารบกวนพืชที่ปลูก
• เป็นสารจับใบในตัว
• มีผลผลิตคุณภาพดี ผิวสวย เป็นที่ต้องการของตลาด
• ได้ผลดีโดยเฉพาะพวกแมลง หนอนที่ดื้อยาฆ่าจากสารเคมี
• ทดแทนการใช้สารเคมี ที่นำเข้าจากต่างประเทศ
• ป้องกันและทำลายหนอน,เพลี้ย,แมลงและเชื้อราได้ดีมาก โดยไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์เลือดอุ่นที่มีกระดูกสันหลัง

วิธีการใช้ ซุปเปอร์สมุนไพรปูแดง
ชนิดพืช ช่วงเวลา อัตราที่ใช้
พืชทุกชนิด ป้องกันก่อนการระบาดของโรคและแมลงต่างๆ 20 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร
พืชทุกชนิด เมื่อเกิดการระบาดของโรคและแมลง 50 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร

หมายเหตุ
• ใช้ร่วมกับไคโตซานดาวปูแดงจะได้ผลดียิ่งขึ้น
• ในกรณีที่เกิดการระบาด ให้ฉีดพ่นซ้ำ 2-3 ครั้ง

กลุ่มของสมุนไพรที่นำมาสกัด
กลุ่มที่1 : ประเภทที่มียอดอ่อนและใบสีแดง ที่อุดมไปด้วยสารพิษในด้านของพิษวิทยาที่ทำลายแมลง,หนอน,เพลี้ย,เชื้อรา โดยไม่ทำอันตรายกับสัตว์เลือดอุ่นที่เลี้ยงลูกด้วยนม
กลุ่มที่2 : ประเภทที่มียาง ประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอน ในกระบวนการผลิตได้ทำปฏิกิริยากับเอทานอล จะได้เอสเทอร์ เพื่อทำลายระบบย่อยอาหาร (เมตาโบลิซึม) ของแมลงประเภทปากกัดและปากดูด
กลุ่มที่3 : ประเภทที่มีกลิ่นหอม ประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย ที่นำมาทำปฏิกิริยากับโซเดี่ยมลอลีเลตซัลเฟต จะเกิดอีมัลชั่น ทำให้ได้สารจับใบและไล่แมลงรวมทั้งป้องกันเชื้อราได้ด้วย

ไร้สารพิษตกค้างไม่มีแมลงเข้ารบกวน ป้องกันและกำจัดเชื้อรา มีสารจับใบในตัว ผลผลิตมีคุณภาพดี ผิวสวย เป็นที่ต้องการของตลาด ลดปัญหาการดื้อยาของแมลง,หนอน,เพลี้ย จากสารเคมี ทดแทนสารเคมีที่นำเข้าจากต่างประเทศ
**************************************************************************

เปรียบเทียบการใช้ปุ๋ยอินทรีย์กับปุ๋ยเคมี

เปรียบเทียบการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ปูแดง กับ ปุ๋ยเคมีทั่วๆไป

การใช้ปุ๋ยเคมีทั่วๆ ไป
1. จะมีฤทธิ์เป็นกรด ยิ่งใช้ ดินก็ยิ่งเป็นกรด ดินจะเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ
2. เป็นปุ๋ยที่ละลายเร็ว สูญเสียได้ง่าย เมื่อฝนตกหรือมีแสงแดดจัด
3. เป็นปุ๋ยที่ช่วยเร่งให้พืชเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และหมดฤทธิ์อย่างรวดเร็ว
4. ไม่มีสารที่ช่วยในการดักจับปุ๋ย ทำให้แสงแดด น้ำฝน อากาศ พัดพาปุ๋ยเคมีให้สูญเสียไป ทำให้ต้นทุนในการผลิตสินค้าเกษตรสูงขึ้น
5. ยิ่งใช้นานๆ เข้า จะทำให้ดินแข็งทำให้รากพืชเดินไม่สะดวก
6. ยิ่งใช้มาก ๆ ขึ้น ก็ยิ่งเกิดโรคมากขึ้น
7. ยิ่งใช้แมลงยิ่งมาก ทั้งบนดินและใต้ดิน เพราะแมลงทุก ๆ ชนิดจะชอบสารไนเตรท
8. ยิ่งใช้กับพืชผักผลไม้มากเท่าไร ก็จะทำให้พืชผักผลไม้ยิ่งขาดรสชาติ
9. ต้องเพิ่มปริมาณปุ๋ยมากขึ้นเรื่อยๆ จึงจะได้ผลผลิตเท่าเดิม
10. ยิ่งใช้ ธาตุอาหารและจุลินทรีย์จะหมดไปเรื่อยๆ

การใช้ปุ๋ยเคมีผสมปุ๋ยอินทรีย์ปูแดง
1. มีฤทธิ์เป็นด่างเล็กน้อย ยิ่งใช้ ปรับสภาพดินให้ เหมาะกับพืชทุกชนิดไว้ใช้ในการเจริญเติบโต ยิ่งใช้ดินก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ
2. เป็นปุ๋ยที่ละลายช้า ค่อยๆสลายตัว พืชดูดซึมไปใช้ได้อย่างเต็มที่
3. เป็นปุ๋ยที่ช่วยเร่งให้พืชเจริญเติบโตได้รวดเร็วและออกฤทธิ์ต่อเนื่อง ทำให้พืชเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ปุ๋ยยังอยู่ในดินได้นานหลายเดือน
4. มีกรดฮิวมิคทำหน้าที่เป็นคีเลตตรึงปุ๋ยให้ยึดติดกับดินไม่ให้น้ำพัดพาไป และปลดปล่อยธาตุอาหารให้พืชเมื่อพืชต้องการใช้
5. ทำให้ดินร่วนซุย รากพืชเดินได้สะดวก
6. ทำให้พืชแข็งแรง ต่อต้านโรคได้ดียิ่งขึ้น
7. ยิ่งใช้แมลงจะลดน้อยลง ทั้งบนดินและใต้ดิน
8. ยิ่งใช้ พืชผักผลไม้จะมีรสชาติที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เป็นที่ต้องการของตลาด
9. ยิ่งใช้ผลผลิตยิ่งเพิ่มขึ้น อายุการให้ผลผลิตก็จะมากขึ้น
10. ธาตุอาหารและจุลินทรีย์จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สามารถลดปริมาณปุ๋ยเคมีน้อยลงเรื่อยๆ

ปุ๋ยอินทรีย์ ตราปูแดง

ปุ๋ยอินทรีย์ ตราปูแดง
สูตรพิเศษ ผสม ไคโตซานและซิลิคอน ประกอบด้วยธาตุอาหารที่สำคัญสำหรับพืชทุกชนิด
คุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์ ปูแดงเป็นปุ๋ยอินทรีย์เชิงผสม ในระดับอุตสาหกรรม ผลิตจากมูลสัตว์ต่างๆประมาณ 30 % อีก 70 % เป็นบายโปรดักซ์ของโรงงานอุตสาหกรรม นำมาคลุกเคล้ารวมกันแล้วหมักมากกว่า 1 ปี จากนั้นมาบดเป็นผงละเอียด และผสมกับ ซิลิกอน และไคโตซาน แล้วทำการปั้นเม็ด ทำให้ได้ธาตุอาหารครบ ทั้ง ธาตุหลัก ธาตุรอง ธาตุเสริม ฮอร์โมน และกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับพืช
ปุ๋ยอินทรีย์ปูแดง ช่วยแก้เรื่องดินในบ้านเรา ซึ่งเป็นกรด เป็นด่างมาก ช่วยเพิ่มปริมาณธาตุอาหารต่าง ๆ ช่วยปรับโครงสร้างดินให้ร่วนซุย เป็นประโยชน์ต่อพืชทุกชนิด จึงทำให้พืชสมบูรณ์แข็งแรง โตไว โตเร็ว ใบเขียวเข้ม ขั้วเหนียว เพิ่มผลผลิต มีรสชาติดี สีสวย อร่อย ได้เกรด A ราคาดีเป็นที่ต้องการของตลาด

ประโยชน์ปุ๋ยอินทรีย์ปูแดง
1.ช่วยปรับโครงสร้างของดิน ทำให้ดินร่วนซุย ดินโปร่ง สามารถซับน้ำความชุ่มชื้นได้ดี
2.ช่วยให้จุลินทรีย์ในดินเจริญเติบโตและสร้างปริมาณมากขึ้น เพื่อทำงานที่เป็นประโยชน์แก่ดินและพืชที่ปลูก
3.ช่วยดูดซับธาตุอาหารในดินไว้และยังทำหน้าที่ดูดซับปุ๋ยเคมีที่ใส่ในดินให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่ให้สูญหาย หรือสลายไป เร็ว ( เป็นปุ๋ยอินทรีย์ ที่มีธาตุอาหารครบ สามารถใช้เดี่ยว หรือใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีก็ได้)
4.ช่วยประหยัดการใช้ปุ๋ยเคมีให้น้อยลง ไม่ทำให้ดินแข็งและเป็นกรดหรือด่าง เป็นการลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยและการผลิตของเกษตรกรโดยตรง (การใช้เกษตรอินทรีย์ จะทำให้ดินดีเพิ่มผลผลิตขึ้นเรื่อยๆ )
5.พืชสามารถนำอาหารใช้ได้ทันทีเพราะเป็นปุ๋ยเย็น มีธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรองและจุลธาตุครบ|
6.ใช้ได้ทั้งพืชผักสวนครัว พืชไร่ ไม้ผลต่างๆ และนาข้าว ข้าวโพด สวนปาล์ม สวนยางพารา
7.มีส่วนผสมของฮิวมิกซ์แอซิส ,ไคโตซาน และสารซิลิกอน ทำให้ผนังเซลล์พืชแข็งแรง โดยเฉพาะในข้าว ,ข้าวโพด เมื่อผนังเซลล์พืชแข็งแรงมากขึ้น ส่งผลให้ลำต้นแข็งไม่หักล้มง่าย
8.ลดต้นทุน ทำให้พืชมีภูมิต้านทานโรค ลดการใช้ยา ปลอดภัยต่อสุขภาพ ช่วยเพิ่มผลผลิต มีรายได้เพิ่ม

ธาตุอาหารหลัก : ไนโตรเจน(N) ฟอสฟอรัส(P) โปรแตสเซี่ยม(K)
ธาตุอาหารรอง : แคลเซี่ยม(Ca) แมกนีเซี่ยม(Mg) กำมะถัน(S)
ธาตุอาหารเสริม : แมงกานีส(Mn) โมลิปตินัม(Mo) สังกะสี(Z) คลอรีน(Cl) โบรอน(B) เหล็ก(Fe) ทองแดง(Cu) นิเกิล(Ni) อินทรีย์วัตถุ(Om) ออแกนิคคาร์บอนด์(Oc) แร่ธาตุ วิตามิน และฮอร์โมนต่างๆ

นาข้าว
-ช่วงอายุ 20-30 วัน 30-50 กก./ไร่
-ข้าวตั้งท้อง 30-50 กก./ไร่
(ช่วยให้ข้าวแตกกอดี ต้นแข็งแรงไม่ล้มง่าย ทนทานต่อโรคและแมลง รวงใหญ่น้ำหนักดี ไม่มีเม็ดลีบ)

ปาล์ม
-ปาล์มปลูกใหม่ ½ กก.ต่อต้น รองก้นหลุม
-ปาล์มเล็ก 1-3 ปี 1-2 กก. ต่อต้น ฝังหรือหว่าน
-ระยะให้ผลผลิต 4 ปี ขึ้นไป 3-4 กก. ต่อต้น ฝังหรือหว่าน
(ช่วยให้ต้นโตเร็ว ต้นสมบูรณ์ แข็งแรง สะโพกใหญ่ ทะลายใหญ่ ลูกสม่ำเสมอ น้ำหนักมาก ป้องกันโรคขาดโบรอน)

ยางพารา
ยางพาราปลูกใหม่ ½ กก.ต่อต้น รองก้นหลุม
ยางเล็ก 1-3 ปี 1-2 กก. ต่อต้น ฝังหรือหว่าน
ยางโต 4-6 ปี 2-3 กก. ต่อต้น ฝังหรือหว่าน
ยางเปิดกรีด 7 ปี ขึ้นไป 3-4 กก. ต่อต้น ฝังหรือหว่าน
(ช่วยให้ต้นเร็ว สมบูรณ์ เปลือกยางหนา และนิ่ม ท่อน้ำยางใหญ่ กรีดง่าย ได้น้ำยางมาก ทนทานต่อโรค แก้ปัญหาหน้ายางตายได้เป็นอย่างดี)

ไม้ผล (ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง ส้ม องุ่น ลำไย ฯลฯ)
ระยะต้นเล็ก 1-2 กก. ต่อต้น 2-3 ครั้ง
ระยะให้ผลผลิต 2-3 กก. ต่อต้น
ช่วงหลังแต่งกิ่ง 1-2 กก. ต่อต้น
ระยะสร้างดอก 3-4 กก. ต่อต้น
ช่วงบำรุงผล 3-4 กก. ต่อต้น
(ช่วยให้ต้นโตเร็ว พื้นตัวเร็ว สะสมอาหารได้ดี ผลผลิตต่อไร่สูง ผลใหญ่ เนื้อแน่น น้ำหนักดี ลงสีเร็ว รสชาติดี ขายได้ราคา)

พืชสวน มะเขือ แตงกวา พริก ฯลฯ
ระยะปลูกใหม่หรือทำรุ่น ½-1 ช้อนต่อต้น หรือ 30-50 กก.ต่อไร่
ระยะให้ผลผลิต 1-2 ช้อนต่อต้น หรือ 50-70 กก.ต่อไร่
(ช่วยให้ต้นโตเร็ว พื้นตัวเร็ว ผลดก ผลใหญ่ ได้น้ำหนัก ผลผลิตต่อไร่สูง ทนทานต่อโรค)

พืชผัก(กะหล่ำปลี ผักกาด คะน้า ผักบุ้ง ฯลฯ)
ระยะปลูกใหม่หรือทำรุ่น ½-1 ช้อนต่อต้น หรือ 30-50 กก.ต่อไร่
ระยะให้ผลผลิต 1-2 ช้อนต่อต้น หรือ 50-70 กก.ต่อไร่
(ช่วยให้ต้นโตเร็ว พื้นตัวเร็ว ใบใหญ่ ใบหนา กรอบ น้ำหนัก ผลผลิตต่อไร่สูง ทนทานต่อโรค)

พืชไร่ (ข้าวโพด ข้าวฟ่าง อ้อย ฯลฯ)
รองพื้น 30-50 กก. ต่อไร่
หลังปลูก 30-40 วัน 50-70 กก. ต่อไร่
(ต้นโตเร็ว แข็งแรง ผลผลิตต่อไร่สูง ทนทานต่อโรคและแมลง)

หน้าที่สำคัญของธาตุอาหารของพืช

หน้าที่สำคัญของธาตุอาหารของพืช
ธาตุอาหาร หน้าที่
ไนโตรเจน N เร่งการเจริญเติบโตทุกส่วนของพืช
ฟอสฟอรัส P เร่งการเจริญเติบโตของรากอ่อน ใบอ่อน
โปแตสเซี่ยม K เร่งการเคลื่อนย้ายน้ำตาล ความคุมการสะสมอาหาร
แคลเซี่ยม Ca เป็นส่วนประกอบของผนังเซล ทำให้เซลแข็งแรง ทำให้ผลไม่แตกเมื่อขยายผล
แมกนีเซี่ยม Mg เพิ่มปริมาณของคลอโรฟิลล์ เร่งการสังเคราะห์แสงของพืช
กำมะถัน S เป็นส่วนประกอบของกรดอะมิโนที่จะเป็นสำหรับพืช ช่วยการทำงานของคลอโรฟิลล์
เหล็ก Fe เสริมสร้างคลอโรฟิลล์ เร่งการสร้างแป้งและน้ำตาล
ทองแดง Cu เร่งการทำงานของเอ็นไซม์ ช่วยการติดตอกติดผล
สังกะสี Zn ช่วยให้พืชทนอากาศหนาวได้ดี ช่วยในการสร้างคลอโรฟิลล์
แมงกานีส Mn เร่งการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล เร่งความหวาน
โมลิบดินัม Mo ช่วยในการเปลี่ยนสารไนเตรทเป็นโปรตีนหรือน้ำตาล
โบรอน B ช่วยในการติดดอกและช่วยในการขยายขนาดผล เนื้อแน่น
คลอรีน Cl ส่งเสริมการเปลี่ยนไนเตรทเป็นแอมโมเนียและอินทรีย์สาร

อินทรีย์ปูแดง

อินทรีย์ปูแดง
อาหารสูตรทางด่วนผลดก ขั้วเหนียว ใบเขียวเข้ม เป็นสารอาหารจากธรรมชาติชนิดน้ำ เข้มข้น ประกอบด้วย ธาตุอาหารหลัก, ธาตุอาหารรอง ธาตุอาหารเสริม ฮิวมิค กรดอะมิโนอิสระ 18 ชนิด และวิตามินครบถ้วนตามที่พืชต้องการ โดยเฉพาะธาตุอาหารหายากที่พืชมักจะขาดจากการใช้ปุ๋ยทั่วไป พร้อมทั้งมีน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว พืชสามารถนำพาไปใช้ได้ทันที

ประโยชน์อินทรีย์ปูแดง
1. เพิ่มธาตุอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของพืช โดยเฉพาะธาตุที่พืชมักจะขาด แก้ปัญหาโรคขาดธาตุอาหารของพืช
2. เร่งให้ใบเขียวเข้มและก้านอวบกว่าปรกติ
3. เพิ่มการสะสมอาหารเพื่อการออกดอกและติดผล
4. เร่งให้ผลโตเร็ว เร่งเข้าสี เร่งน้ำหนัก ผลผลิตคุณภาพดี
5. เพิ่มความแข็งแรงของขั้วผล ป้องกันผลร่วง ผลแตก
6. ช่วยให้พืชฟื้นตัวเร็ว โดยเฉพาะพืชปลูกใหม่และพืชที่ระบบรากไม่ดี
7. กระตุ้นการทำงานของพืช เช่น การสังเคราะห์แสง การดูดซับสารอาหารและน้ำของระบบราก
8. ช่วยให้พืชแข็งแรง ป้องกันการเข้าทำลายของโรคและแมลง

วิธีการใช้

ไม้ผล
-สะสมอาหารก่อนออกดอก 20 ซีซี
-ขณะติดผล 40 ซีซี

พืชผัก/พืชล้มลุก
-แช่เมล็ด 20 ซีซี
-ระยะต้นกล้า 20 ซีซี
-ระยะเติบโต 15 ซีซี

พืชไร่/นาข้าว
-แช่เมล็ด 20 ซีซี
-ระยะเจริญเติบโต 20 ซีซี
-ระยะให้ผลผลิต ก่อนเก็บเกี่ยว 30-40 ซีซี


ไม้ดอกไม้ประดับ
ระยะต้นกล้า 10 ซีซี
ระยะเจริญเติบโต 10-20 ซีซี

หมายเหตุ : ใช้ตามอัตราที่กำหนดผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น ทุกๆ 7-10 วัน สำหรับพืชที่แสดงอาการขาดธาตุอาหาร ให้เพิ่มปริมาณเป็น2 เท่า


หน้าที่สำคัญของธาตุอาหารของพืช
ธาตุอาหาร หน้าที่
ไนโตรเจน N เร่งการเจริญเติบโตทุกส่วนของพืช
ฟอสฟอรัส P เร่งการเจริญเติบโตของรากอ่อน ใบอ่อน
โปแตสเซี่ยม K เร่งการเคลื่อนย้ายน้ำตาล ความคุมการสะสมอาหาร
แคลเซี่ยม Ca เป็นส่วนประกอบของผนังเซล ทำให้เซลแข็งแรง ทำให้ผลไม่แตกเมื่อขยายผล
แมกนีเซี่ยม Mg เพิ่มปริมาณของคลอโรฟิลล์ เร่งการสังเคราะห์แสงของพืช
กำมะถัน S เป็นส่วนประกอบของกรดอะมิโนที่จะเป็นสำหรับพืช ช่วยการทำงานของคลอโรฟิลล์
เหล็ก Fe เสริมสร้างคลอโรฟิลล์ เร่งการสร้างแป้งและน้ำตาล
ทองแดง Cu เร่งการทำงานของเอ็นไซม์ ช่วยการติดตอกติดผล
สังกะสี Zn ช่วยให้พืชทนอากาศหนาวได้ดี ช่วยในการสร้างคลอโรฟิลล์
แมงกานีส Mn เร่งการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล เร่งความหวาน
โมลิบดินัม Mo ช่วยในการเปลี่ยนสารไนเตรทเป็นโปรตีนหรือน้ำตาล
โบรอน B ช่วยในการติดดอกและช่วยในการขยายขนาดผล เนื้อแน่น
คลอรีน Cl ส่งเสริมการเปลี่ยนไนเตรทเป็นแอมโมเนียและอินทรีย์สาร

***********************************************************************************

ผงชูรสปูแดง

ผงชูรสปูแดง
คุณสมบัติของผงชูรสปูแดง เป็นสารอาหารของพืชทุกชนิด ชนิดเข้มข้น สกัดจากธรรมชาติ ประกอบด้วย ธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง ธาตุอาหารเสริม ฮอร์โมน ฮิวมิกแอซิด เป็นฟอสซิลที่มีอายุนับล้านปี เป็นผงละเอียดเป็นสารอินทรีย์วัตถุ เพื่อช่วยแก้ปัญหาเรื่องดินโดยเฉพาะ ปรับปรุงดินให้มีคุณสมบัติเหมาะแก่การปลูกพืช ฟื้นฟูสภาพดินให้เหมือนป่าเปิดใหม่ นอกจากนั้นยังมีกรดอะมิโนทั้ง 18 ชนิดและอาหารสูตรทางด่วน ซึ่งเป็นสารอาหารครบถ้วนตามที่พืชต้องการ พืชสามารถนำไปใช้ได้เลย ทำให้สามรารถลดการใช้ปุ๋ยได้มากกว่า 50%

ประโยชน์ผงชูรสปูแดง
1. เร่งการเจริญเติบโตของพืช เพิ่มคุณภาพผลผลิต เพิ่มปริมาณผลผลิตให้สูงขึ้น
2. ช่วยปรับสภาพของดินให้ดูดซับน้ำได้ดีขึ้น ดินร่วนซุยขึ้น ทำให้สภาพดินเหมือนป่าเปิดใหม่
3. เร่งการงอกของราก รากเดินได้ยาวขึ้น ทำให้พืชหาอาหารได้มากขึ้น
4. บำรุงรักษาตาดอกของพืชให้สมบูรณ์แข็งแรง
5. ช่วยกระตุ้นเซลพืชให้มีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
6. ช่วยกระตุ้นการเปิดปากใบ พืชสามารถนำสารอาหารเข้าทางปากใบได้ดียิ่งขึ้น
7. ช่วยลดปริมาณการใช้ปุ๋ยลง 50% ช่วยจับยึดปุ๋ยไม่ให้หนีออกไปนอกเขตรากของพืช
8. เสริมสร้างความแข็งแรงและความต้านทานโรคของพืช

การใช้ผงชูรสปูแดง

ไม้ผล
-ปรับปรุงดิน ผงชูรส 20 กรัม(2ช้อนโต๊ะ) ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นหน้าดินพื้นใต้ทรงพุ่ม
-ระยะเร่งผลผลิต ผงชูรส20 กรัม(2ช้อนโต๊ะ) ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น ทุกๆ 15 วัน
-ใช้คลุกปุ๋ย ผงชูรส 500 กรัม-1กก. ผสมปุ๋ย 50 กก.( 1 กระสอบ)แล้วหว่านตามปกติ

พืชผัก/พืชล้มลุก
- ปรับปรุงดิน ผงชูรส 20 กรัม(2ช้อนโต๊ะ) ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นหน้าดินก่อนปลูก
- ระยะเร่งผลผลิต ผงชูรส20 กรัม(2ช้อนโต๊ะ) ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น ทุกๆ 7-10 วัน
- ใช้คลุกปุ๋ย ผงชูรส 500 กรัม-1กก. ผสมปุ๋ย 50 กก.( 1 กระสอบ)แล้วหว่านตามปกติ

พืชไร่/นาข้าว
- ปรับปรุงดิน ผงชูรส 1 กก.ผสมน้ำ 1000 ลิตร ใส่พร้อมทำเทือกหรือฉีดพร้อมยาคุมหญ้า
- ระยะเร่งผลผลิต ผงชูรส20 กรัม(2ช้อนโต๊ะ) ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น ทุกๆ 7-10 วัน
- ใช้คลุกปุ๋ย ผงชูรส 500 กรัม-1กก. ผสมปุ๋ย 50 กก.( 1 กระสอบ)แล้วหว่านตามปกติ

หมายเหตุ : การฉีดพ่นผงชูรสปูแดงร่วมกันกับ อินทรีย์ปูแดงและไคโตซานปูแดง จะเพิ่มประสิทธิภาพของบิ๊กและไคโตซานมากขึ้น ทำให้ได้ผลผลิตสูงขึ้น

*****************************************************************

ปูแดงไคโตซานสัตว์

ปูแดงไคโตซานสัตว์
ปูแดงไคโตซาน สารสกัดจากเปลือกกุ้งเป็นสารโพลิเมอร์ชีวภาพที่สกัดจากธรรมชาติ 100% จึงไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ต่อผู้บริโภค ไม่เป็นพิษตกค้าง เหมาะสำหรับผสมอาหารสัตว์ หรือผสมน้ำให้สัตว์กิน

ประโยชน์ของไคโตซานสัตว์
1. สัตว์แข็งแรงการเจริญเติบโตเร็ว
2. ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารของสัตว์ดีขึ้น ลดต้นทุนของอาหารสัตว์ลง
3. เสริมสร้างให้ภูมิต้านทานโรค แข็งแรง ลดการใช้วัคซีน และสารเคมี
4. ลดกลิ่นเหม็นของมูลสัตว์ลง
5. ลดการรบกวนของแมลง
6. คลุกเคลือบอาหาร ทำให้อาหารละลายช้า ลดการสูญเสียอาหาร ลดการเน่าเสียของน้ำ
7. เป็นสารตั้งต้นในการสร้างเนื้อเยื้อ และเปลือกกุ้ง ช่วยให้ลอกคราบดี เติบโตเร็ว
8. จับตรึงสารพิษในน้ำ ช่วยให้น้ำดีอยู่เสมอ และช่วยยับยั้งเชื้อราในอาหารสัตว์

ตัวอย่างงานวิจัยการใช้ไคโตซานเป็นสารเร่งการเจริญเติบโตของลูกสุกรและสุกรขุน
วิจัยค้นคว้าโดย ดร. ปิยะบุตร วานิชพงษ์พันธ์ และสุวดี จันทร์กระจ่าง
ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยจอมเกล้าธนบุรี กรุงเทพฯ
ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะสิ่งแวดล้อมทรัพยากรและการพัฒนา สถาบันเทคโนโลยีแห่งอเชีย ปทุมธานี
รายละเอียด ทดลอง สุกรเล็ก ไม่ใช้สารไคโตซาน ใช้สารไคโตซาน

สรุปผล ผลการใช้สารไคโตซานกับสุกรเล็กและสุกรขุน 45 , 41 วัน พบว่าน้ำหนักโดยรวมเพิ่มขึ้น FCR ค่าอาหารลดลง ค่ายาปฏิชีวนะลดลงปริมานมาก สุกรเล็ก สุกรขุน มีสภาพดี สมบูรณ์แข็งแรง เนื้อแน่นน้ำมันน้อย น้ำหนักดี มีความต้านทานต่อโรคสูง และสุกรไม่เครียด จึงทำให้เกษตรกรลดต้นทุนในการเลี้ยง ช่วยเพิ่มมูลค่าผลกำไรงาม และปลอดภัย ปราศจากสารเคมี ฮอร์โมน ยาปฏิชีวนะ สอดคล้องกับการแก้ปัญหา ทางสาธารณะสุข สามารถขจัดสารตกค้างในตัวของสัตว์ ทำให้ผู้บริโภค เนื้อสุกรปลอดภัย

วิธีใช้ปูแดงไคโตซานสัตว์
ลักษณะการใช้งาน
คลุกอาหาร ปูแดงไคโตซาน 20 ซี.ซี. กับน้ำ 100 – 200 ซี.ซี. คลุกเคล้ากับอาหารสัตว์น้ำ 1 กก. ให้ทั่วแล้วผึ่งในที่ร่มให้แห้ง เป็นวิธีที่เหมาะกับสัตว์น้ำเช่น กุ้ง ปลา กบ ตะพาบน้ำ ฯลฯ

ผสมน้ำ ปูแดง ไคโตซาน 20 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 10 ลิตร เป็นวิธีที่เหมาะกับสัตว์บกเช่น สุกร ไก่ เป็ด นก วัว แพะ ฯลฯ

บำบัดน้ำเสีย ปูแดงไคโตซาน 1 ลิตร ผสมน้ำ 200 ลิตร สาดให้ทั่วบ่อพื้นที่ 1 ไร่ใช้แก้ไขปัญหาน้ำเสียในบ่อของสัตว์น้ำ หรือในบ่อบำบัดน้ำเสีย

*****************************************************************************

ปูแดงไคโตซานสัตว์

ปูแดงไคโตซานสัตว์
ปูแดงไคโตซาน สารสกัดจากเปลือกกุ้งเป็นสารโพลิเมอร์ชีวภาพที่สกัดจากธรรมชาติ 100% จึงไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ต่อผู้บริโภค ไม่เป็นพิษตกค้าง เหมาะสำหรับผสมอาหารสัตว์ หรือผสมน้ำให้สัตว์กิน

ประโยชน์ของไคโตซานสัตว์
1. สัตว์แข็งแรงการเจริญเติบโตเร็ว
2. ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารของสัตว์ดีขึ้น ลดต้นทุนของอาหารสัตว์ลง
3. เสริมสร้างให้ภูมิต้านทานโรค แข็งแรง ลดการใช้วัคซีน และสารเคมี
4. ลดกลิ่นเหม็นของมูลสัตว์ลง
5. ลดการรบกวนของแมลง
6. คลุกเคลือบอาหาร ทำให้อาหารละลายช้า ลดการสูญเสียอาหาร ลดการเน่าเสียของน้ำ
7. เป็นสารตั้งต้นในการสร้างเนื้อเยื้อ และเปลือกกุ้ง ช่วยให้ลอกคราบดี เติบโตเร็ว
8. จับตรึงสารพิษในน้ำ ช่วยให้น้ำดีอยู่เสมอ และช่วยยับยั้งเชื้อราในอาหารสัตว์

ตัวอย่างงานวิจัยการใช้ไคโตซานเป็นสารเร่งการเจริญเติบโตของลูกสุกรและสุกรขุน
วิจัยค้นคว้าโดย ดร. ปิยะบุตร วานิชพงษ์พันธ์ และสุวดี จันทร์กระจ่าง
ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยจอมเกล้าธนบุรี กรุงเทพฯ
ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะสิ่งแวดล้อมทรัพยากรและการพัฒนา สถาบันเทคโนโลยีแห่งอเชีย ปทุมธานี
รายละเอียด ทดลอง สุกรเล็ก ไม่ใช้สารไคโตซาน ใช้สารไคโตซาน

สรุปผล ผลการใช้สารไคโตซานกับสุกรเล็กและสุกรขุน 45 , 41 วัน พบว่าน้ำหนักโดยรวมเพิ่มขึ้น FCR ค่าอาหารลดลง ค่ายาปฏิชีวนะลดลงปริมานมาก สุกรเล็ก สุกรขุน มีสภาพดี สมบูรณ์แข็งแรง เนื้อแน่นน้ำมันน้อย น้ำหนักดี มีความต้านทานต่อโรคสูง และสุกรไม่เครียด จึงทำให้เกษตรกรลดต้นทุนในการเลี้ยง ช่วยเพิ่มมูลค่าผลกำไรงาม และปลอดภัย ปราศจากสารเคมี ฮอร์โมน ยาปฏิชีวนะ สอดคล้องกับการแก้ปัญหา ทางสาธารณะสุข สามารถขจัดสารตกค้างในตัวของสัตว์ ทำให้ผู้บริโภค เนื้อสุกรปลอดภัย

วิธีใช้ปูแดงไคโตซานสัตว์
ลักษณะการใช้งาน
คลุกอาหาร ปูแดงไคโตซาน 20 ซี.ซี. กับน้ำ 100 – 200 ซี.ซี. คลุกเคล้ากับอาหารสัตว์น้ำ 1 กก. ให้ทั่วแล้วผึ่งในที่ร่มให้แห้ง เป็นวิธีที่เหมาะกับสัตว์น้ำเช่น กุ้ง ปลา กบ ตะพาบน้ำ ฯลฯ

ผสมน้ำ ปูแดง ไคโตซาน 20 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 10 ลิตร เป็นวิธีที่เหมาะกับสัตว์บกเช่น สุกร ไก่ เป็ด นก วัว แพะ ฯลฯ

บำบัดน้ำเสีย ปูแดงไคโตซาน 1 ลิตร ผสมน้ำ 200 ลิตร สาดให้ทั่วบ่อพื้นที่ 1 ไร่ใช้แก้ไขปัญหาน้ำเสียในบ่อของสัตว์น้ำ หรือในบ่อบำบัดน้ำเสีย

*****************************************************************************

ปูแดงไคโตซานพืช

ปูแดงไคโตซานพืช เข้มข้น สารสกัดธรรมชาติ 100%
Øสารสกัดจากธรรมชาติ100 %Øไม่ใช่ปุ๋ย ไม่ใช่ยา ไม่ใช่ฮอร์โมน ไม่ใช่วิตามิน ไม่ใช่สารเคมี
ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต เพิ่มผลผลิตพืช เหมาะสำหรับ พืชผัก พืชไร่ นาข้าว ไม้ผล ไม้ดอก และไม้ประดับ สารอาหารเข้มข้นชนิดน้ำ เป็นสารไบโอโพลิเมอร์ชีวภาพสกัดจากธรรมชาติ 100% ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ผู้บริโภค ไม่เป็นพิษตกค้าง
ปูแดง ไคโตซานเข้มข้น มีคุณสมบัตรที่สามารถออกฤทธิ์เป็นตัวกระตุ้นเซลล์ของพืชให้กินอาหารได้ดีขึ้น เร่งราก ลำต้น ใบ ดอก และผล ทำให้พืชโตไว โตเร็ว ใบเขียวเข้ม ผลดก ขั้วเหนียว เพิ่มผลผลิตสูง พืชแข็งแรง ทนต่อโรค และ แมลงศัตรูพืช

วิธีการใช้
ไม่ต้องใช้สานจับใบ • ผสมกับยาอื่นได้ โดยผสม ปูแดง ไคโตซาน ลงน้ำก่อน
พืชผัก,กล้วยไม้,ไม้ดอก • ใช้อัตรา 5-10 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 5-7 วัน
พืชผัก,กล้วยไม้,ไม้ดอก • ใช้อัตรา 5-10 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 5-7 วัน
พืชไร่,ไม้ผล • ใช้อัตรา 10-20 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 7-10 วัน

นาข้าว
ใช้อัตรา 20 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร
ฉีดพ่นครั้งแรก พร้อมยาคุมหญ้า
ฉีดพ่นครั้งที่สอง เมื่อข้าวอายุได้ 1 เดือน
ฉีดพ่นครั้งที่สาม เมื่อข้าวอายุได้ 2 เดือน
ฉีดครั้งสุดท้าย ตอนข้าวเริ่มออกรวง (เป็นหางปลาทู หรือตากดอก) จะทำให้ข้าวออกรวงอย่างสมบูรณ์ เมล็ดเต่ง น้ำหนักเพิ่มสูงขึ้น และไม่เป็นเชื้อรา

ประโยชน์ปูแดงไคโตซานพืช
1. เคลือบเมล็ดพันธ์
• ป้องกันเชื้อรา
• ป้องกันและกำจัดโรคที่จะเข้าทำลายเมล็ดและต้นอ่อน
• เพิ่มเปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ด
2. เร่งรากสำหรับกิ่งชำหรือกิ่งตอน
• แช่ปลายกิ่งชำ
• ทาน้ำยาเข้มข้นที่บริเวณรอยควั่น
3. ป้องกันและกำจัดแมลง
• กลิ่นเฉพาะของไคโตซาน แมลงเมื่อได้กลิ่นจะบินหนี
• ทำให้พืชผลิตน้ำย่อย ไคติเนส (chitinase)
4. ป้องกันและกำจัดโรคพืช
• ช่วยเสริมให้พืชสร้างสารต่อต้านโรคพืช เช่น ไฟโตอะเล็กซิน , ไคติเนส
• มีผลให้เชื้อราอ่อนแอลงเนื่องจากสร้าง RNA ได้น้อยลง
5. เป็นปุ๋ยให้แก่พืช
• เป็นสารธรรมชาติที่ไม่เสถียรย่อยสลายได้ง่าย
• ปลดปล่อยธาตุไนโตรเจน(N) แก่ดินและตรึง N พืชให้ได้รับกระบวนการตรึงไนโตรเจนของไรโซเบียมในปมราก
• สามารถดูดซึมธาตุอาหารพืชในดินหลายชนิด, โปแตสเซียม, แมกนีเซียม, ฟอสเฟต, แคลเซียม, เหล็ก,ไนเตรท, ปลดปล่อยให้แก่พืชอย่างช้าๆ ตามตามความจำเป็น และความต้องการของพืช
6. ช่วยปรับสภาพดินให้ดีขึ้น
• ดินที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก PH 5.5 – 6.3
• ฟื้นฟูจุลินทรีย์ในดิน Effective micro, organisms, Actiomycetes. Sp, Trichoderma spp., Zymogenous.
• ลดปริมาณจุลินทรีย์ที่เป็นโรคพืช, Furarium, Phythopthora sp.

ตารางเปรียบเทียบปูแดงไคโตซาน และไคโตซานอื่นๆ
ปูแดง ไคโตซาน
1. ธรรมชาติ 100%
2. บริสุทธิ์มาก
3. สายโซ่ยาว : Polymer
4. ประจุแกรมบวก(+)เยอะมาก
5. ใช้กับพืช/สัตว์ได้ทุกชนิด/ประเภท
6. เห็นผลเร็ว : ยั่งยืน
7. ใช้ร่วมกับยาเคมีได้ทุกชนิด
8. ราคาถูกมาก
9. สาธิตได้ : พิสูจน์ได้

ไคโตซาน อื่นๆ
1. ธรรมชาติ/ไม่ใช่ธรรมชาติ
2. ไม่บริสุทธิ์
3. สายโซ่สั้น : Oligomer
4. มีไม่มาก/คละกัน (+)(-)
5. ต้องแยกใช้
6. เห็นผลช้า : ไม่ยั่งยืน
7. ไม่สามารถใช้ร่วมกับยาเคมีได้ทุกชนิด
8. ราคาแพง
9. ไม่สามารถสาธิต/พิสูจน์ได้
*********************************************************************

ด่วนรับสมัครนักธุรกิจปูแดง

โอกาศด่วน ธุรกิจปูแดงไคโตซาน รับสมัครตัวแทนจำหน่าย,แม่ทีมปูแดง,ทีมงานปูแดง,สมาชิกปูแดง,และศูนย์จำหน่ายปูแดงทั่วประเทศ ธุรกิจปูแดง ทำง่าย ลงทุนน้อย กำไรดี ตลาดกว้าง ทำได้ทั่วประเทศ

ปูแดงไคโตซานคือสารธรรมชาติ 100% ปูแดงช่วยพืชโตไว กินปุ๋ยได้ดี เพิ่มผลผลิต ปูแดงให้พืชทนต่อโรคและแมลง
ปูแดง ไคโตซาน เพื่อลูกหลานชาวเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ตลอดจนผู้เลี้ยงสัตว์บก สัตว์น้ำ ให้มีผลผลิตที่ดีกว่าเดิม ลดต้นทุน ลดปุ๋ยได้ 50% http://www.poodang.com
ธุรกิจปูแดงไคโตซาน คนใช้ปลดหนี้สินได้ คนขายรวย คนขยายเครือข่ายธุรกิจสบาย แนวโน้มทางธุรกิจตลาดกว้าง มีผู้ใช้เยอะ ทำได้ทุกจังหวัด http://www.poodang.com

(โอกาศวันนี้ ธุรกิจปูแดงไคโตซาน สมัครวันนี้ ! เพื่อรับสิทธิ์เป็นศูนย์ตัวแทนประจำอำเภอ/จังหวัดของท่าน รับเพียง 1 อำเภอ 1 ศูนย์เท่านั้น เชียงใหม่..?เชียงราย..?หาดใหญ่..?สงขรา..?พิษณุโลก..?สุพรรณ..?ขอนแก่น..?โคราช..?อุบล..?ฯลฯ)

สิ่งที่จะได้จากการเป็นสมาชิกธุรกิจปูแดง และร่วมธุรกิจกับทีมงานของเรา
1.ฟรี แถมสินค้าปูแดงไคโตซาน 2 ขวด
2.ฟรี เว็บไซต์ในการทำธุรกิจ และแนะนำวิธีทำงานให้มีรายได้
3.ฟรี คู่มือการใช้สินค้าให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้น ลดต้นทุนได้ ปลดหนี้สินได้
4.ฟรี ชุด CD ประกอบธุรกิจ สำหรับทำธุรกิจปูแดง ใช้ได้ตลอดชีพ จำนวน 1 แผ่น
5.ฟรี เครื่องมือสนับสนุนการทำงานแบบออนไลน์ แนะนำวิธีลงโฆษณาแบบคุ้มค่าและได้ผลดีที่สุด
6.ฟรี ทีมที่ปรึกษามืออาชีพ และทีมผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์ปูแดงโดยเฉพาะ
7.ฟรี เอกสารและไฟล์ประกอบการนำเสนอปูแดงอื่นๆ

*******************************************************************************
ไม่ต้องรักษายอดใดๆทั้งสิ้น สมัครครั้งเดียวมีรายได้ตลอดชีพ
”Poodang.com ทำงานมืออาชีพ เชียวชาญโดยเฉพาะ เพื่อความสำเร็จของธุรกิจ”
ติดต่อสอบถาม โทร. 083-034-0025 (คุณหนึ่งปูแดง)
(เจ้าของเว็บ Poodang.com และที่ปรึกษาระบบธุรกิจปูแดงไคโตซาน)
*ปูแดง ไตซาน poodang ปูแดง ไคโตซาน poodang ปูแดง ไคโตซาน poodang ปูแดง ไคโตซาน poodang*

นายกอภิสิทธิ์มอบโล่ 3ขายตรงดีเด่นปี52



"นายกฯอภิสิทธิ์"
พลิกโฉมใหม่วงการขายตรงไทย สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนฯ นำโดย วิชัย วลาพล นายกสมาคมฯ เลือก 3 บริษัทขายตรงไทย ให้เป็นบริษัทดีเด่น ปี 2552 รับโล่เกียรติยศจาก "นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" อาทิ บริษัท เจริญโอสถฯ บริษัท เบสท์ 59 หรือปูแดง ไคโตซาน และบริษัท นีโอ ไลฟ์ฯ ผู้บริหารทั้ง 3 ค่ายตื้นตันใจสุดๆ ถือเป็นบริษัทขายตรงไทยกลุ่มแรกที่ได้รับเกียรติสูงสุดจากระดับนายกรัฐมนตรี ถือเป็นดัชนีชี้วัดว่า ธุรกิจเครือข่าย เป็นอาชีพที่เป็นไปได้ทำง่ายที่สุด สามารถสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับผู้คนในสังคมได้จริงๆ...

ส่วน "นสพ.ตลาดวิเคราะห์" ช็อควงการอีกครั้ง ซิวโล่เกียรติยศ "สื่อขายตรงดีเด่น ปี 2552" ประเภท "ส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ให้เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมขายตรงไทย" ติดต่อกัน 2 ปีซ้อน "กาย ไพรินทร์" ชี้เป็น "ของขวัญชิ้นโบแดง" ให้กับพี่น้องคนเครือข่าย ประกัน และ แฟรนไชส์ ในโอกาส ก้าวสู่ปีที่ 12 ของหนังสือพิมพ์ ตลาดวิเคราะห์ จากการยอมรับของผู้คนในสังคมที่มีอัตราสูงขึ้นทุกปี ธุรกิจเครือข่ายหรือขายตรง ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ ด้วยการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนผู้ ด้อยโอกาส ก่อเกิดรายได้มหาศาล ไม่มีขีดจำกัด การลงทุนต่ำ ถือเป็นอาชีพเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สวนกระแสวิกฤติอยู่ในเวลานี้ เนื่องจากหลากหลายอาชีพกำลังประสบปัญหาด้านความไม่มั่นคงอย่างหนักจะเห็นว่า อาชีพเครือข่ายในขณะนี้กลายเป็นเทรนใหม่ของสังคมไทยไปแล้ว เนื่องจากผู้คนได้เข้ามาสู่อาชีพดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันน่าจะมีกว่า 10 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด เพราะนี่คือโอกาสทองของคนอยากรวย

สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย และมูลนิธิช่างภาพสื่อมวลชนฯ นำโดย วิชัย วลาพล นายกสมาคมฯ และประธานมูลนิธิฯ ได้จัดงานมอบรางวัลยอดเยี่ยม ครั้งที่ 13 ขึ้น ณ รร.โซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยมี "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานมอบโล่เกียรติ และรางยอดเยี่ยม ให้กับช่างภาพสื่อมวลชนประเภทต่างๆ และนักธุรกิจที่ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมนับสิบบริษัทในปีนี้ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการขายตรงไทย เนื่องจากมีบริษัทขายตรง 3 ค่าย ได้รับเกียรติอันสูงสุด ขึ้นรับโล่เกียรติยศในครั้งนี้ด้วย จากนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อาทิ...

บริษัท เจริญโอสถ อินเตอร์เนชั่นแนล เน็ทเวิร์ค จำกัด บริษัทดีเด่นประจำปี 2552 ประเภท "นวัตกรรมการตลาดแนวใหม่ ขายตรงสะดวกซื้อรายแรกของไทย" โดยมี ดร.สมชาย หัชลีฬหา ประธานกรรมการ ขึ้นรับโล่เกียรติยศจาก นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ดร.สมชาย หัชลีฬหา กล่าวว่า เป็นความภาคภูมิใจที่สุด ที่ได้รับเกียรติดังกล่าว จากสมาคมสื่อมวลชนฯ และเป็นบริษัทขายตรงรายแรกที่ได้รับโล่จากระดับนายกรัฐมนตรี ในอดีตยังไม่มีบริษัทขายตรงรายได้รับเกียรติสูงสุดตรงนี้ ส่วนใหญ่จะได้รับโล่เกียรติยศจากระดับรัฐมนตรีเท่านั้น
"เป็นขวัญกำลังใจในการทำงานให้กับผม และสมาชิกทั่วประเทศซึ่งมีกว่า 4 แสนคน เพราะผมมุ่งมั่นที่จะสร้างอาชีพเครือข่ายให้เป็นที่พึ่งพิงของคนไทยจริงๆ จึงได้คิดค้นกลไกการตลาดใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อให้คนที่ทำอาชีพเครือข่ายได้ทำงานง่ายขึ้น มั่นคงมากขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปท์ จอยมาร์ท ขายตรงสะดวกซื้อรายแรกของไทย อาชีพที่เป็นไปได้ ทำง่ายที่สุด จากแผนการดังกล่าว ปัจจุบันทำให้ผู้คนห้าใหม่ๆ เข้ามาทำอาชีพเครือข่ากับเจริญโอสถฯ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 40% เลยทีเดียว เพราะประชาชนได้มองเห็นความมั่นคงในอาชีพเครือข่ายมากขึ้น"

ขณะเดียวกัน บริษัท นีโอ ไลฟ์ จำกัด ก็ได้รับโล่บริษัทดีเด่นประจำปี 2552 ประเภท "สร้างงาน สร้างรายได้ ให้ประชาชนในอาชีพเครือข่าย" โดยมี นพรุจ เวชกุล ประธานกรรมการ ขึ้นรับโล่เกียรติยศจาก นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายนพรุจ เวชกุล เปิดเผย "ตลาดวิเคราะห์" ว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจเครือข่ายมา 9 ปี ได้สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนมาแล้วหลายหมื่นคน จากสมาชิกทั่วประเทศกว่า 5 แสนคน "อาชีพเครือข่ายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของประชาชนได้ดีจริงๆ เพราะสามารถสร้างชีวิต สร้างฐานะ อนาคตให้ผู้คนได้อย่างชัดเจน บางคนการศึกษาก็ไม่มี แต่มาทำอาชีพเครือข่ายกับนีโอ ไลฟ์ เพียง 3-4 ปี ปัจจุบันมีรายได้เดือนละกว่า 1 ล้านบาท มีบ้านราคาหลายล้าน ขับรถเบนซ์ป้ายแดง นี่ยังไม่รวมคนทำงานเพียง 1-2 เดือน แต่มีรายได้เดือนละ 20,000-30,000 บาท ฉะนั้น การได้รับโล่เกียรติจารกท่านนายฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ครั้งนี้ ถือเป็นของขวัญพิเศษให้กับสมาชิกทุกคน ในเดือนนี้บริษัทครบรอบ 9 ปีพอดี เราจะมุ่งมั่น สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป"

นอกจากนี้ยังมี บริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ ปู แดง ไคโตซาน บริษัทดีเด่นประจำปี 2552ประเภท "ชุบชีวิตเกษตรกรไทย ด้วยเกษตรอินทรีย์ขนานแท้" โดยมี สมปอง แซ่ตั้ง ประธานกรรมการ ขึ้นรับโล่เกียรติยศจาก นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสมปอง แซ่ตั้ง ประธานกรรมการ เปิดเผย "ตลาดวิเคราะห์" ว่า เป็นความภาคภูมิใจครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ที่ได้รับโล่เกียรติยศจาก นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยสมาคมสื่อมวลชนฯ ถือเป็นมิติใหม่ของวงการขายตรงไทยก็ว่าได้ ที่ได้รับเกียรติอันสูงสุดเช่นนี้ บริษัท เบสท์ 59 ได้เปิดมากว่า 7 ปี โดยมีสินค้าเกษตรปูแดง ไคโตซานในการทำตลาด จนประสบความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึง

"ปูแดง ไคโตซาน ตอบโจทก์เกษตรกรไทยได้จริงๆ จนปัจจุบันทำให้อาชีพเกษตรกรกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังใช้ปูแดง ไคโตซาน เพราะสามารถเพิ่มผลผลิตปลดหนี้เกษตรกรไทยได้จริงๆ จึงได้รับการยกย่องให้เป็นบริษัทดีเด่น ปี 2552 ประเภท "ชุบชีวิตเกษตรกรไทย ด้วยเกษตรอินทรีย์ขนานแท้" ผมขอมอบเป็นกำลังใจให้กับสมาชิกทั่วประเทศ"

และปิดท้ายด้วย หนังสือพิมพ์ ตลาดวิเคราะห์ ได้รับเลือกให้เป็น "สื่อขายตรงดีเด่นประจำปี2552" ประเภท "ส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ให้เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมขายตรงไทย" โดยมี กาย ไพรินทร์ บรรณาธิการผู้อำนวยการ ขึ้นรับโล่เกียรติยศจาก นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถือเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่ หนังสือพิมพ์ ตลาดวิเคราะห์ ได้รับเกียรติอันสูงสุด

นาย กาย ไพรินทร์ กล่าวว่า การที่สมาคมช่างสื่อมวลชนฯ ให้เกียรติเลือก หนังสือพิมพ์ ตลาดวิเคราะห์ ให้เป็น "สื่อขายตรงดีเด่น ปี 2552" ครั้งนี้ เป็นขวัญกำลังใจให้กับพี่น้องชาวเครือข่าย แฟรนไชส์ และประกันไปพร้อมๆ กัน ทีมงานของเรามุ่งมั่นที่จะสร้างแสงสว่างนำทางให้กับผู้คนในสังคมได้มีช่องทางที่จะเดินก้าวไป มีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง "ถือเป็นปีที่ 2 ที่ นสพ.ตลาดวิเคราะห์ได้รับเกียรติให้เป็นสื่อขายตรงดีเด่น จากสมาคมช่างภาพสื่อมวลชนฯ นี่ไม่ใช่ความสำเร็จของผม แต่เป็นความสำเร็จเบื้องต้นของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ และเป็นของขวัญชิ้นสำคัญให้กับทีมงานทุกคน

ในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 12 ของนสพ.ตลาดวิเคราะห์ เดือนกรกฎาคมนี้ ความสำเร็จที่แท้จริงของผมยังมาไม่ถึง เพราะผมมีงานใหญ่ระดับชาติที่ต้องทำ นั่นคือ ผมต้องการเปลี่ยนแปลงความคิดพี่น้องประชาชนกว่า 50 ล้านคนทั้งประเทศ ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น โดยใช้สื่อทีวีดาวเทียมช่อง "IN TV" ช่องนี้รวย 24 ชั่วโมง จะเป็นขีปนาวุธสำคัญ ในการกระตุ้นต่อมอยาก ให้พี่น้องประชาชนเข้ามาทำอาชีพเครือข่ายกันมากขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปท์ "รวยแล้วบอกต่อ" นี่คือ เป้าหมายใหญ่ที่ผมได้เริ่มดำเนินการมาแล้วกว่า 1 ปี"

บริษัทรับรางวัลบริษัทดีเด่นปี52

ศรัทธาที่แรงกล้า ปาฏิหารจะเกิดขึ้น

"แล้วสิ่งที่พวกเราเฝ้ารอ รอให้ผู้ใหญ่มองเห็นความสำคัญของวงการเกษตร วันนี้เป็นจริงแล้วครับ"
นี่เป็นคำกล่าวจากใจของ ท่านประธาน สมปอง แซ่ตั้ง และท่าน ด.ร.วิชาญ จำปาขาว
ถึงความสำเร็จในการได้รับรางวัล บริษัทดีเด่น ประจำปี 2552
"ประเภทชุบชีวิตเกษตรกรไทยด้วยเกษตรอินทรีย์ขนานแท้"
จาก ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี


ข่าวล่าสุด จากท่าน ดร.วิชาญ จำปาขาว
แจ้งให้สมาชิกปูแดงทราบว่า ประมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2552
ทางรัฐบาลโดย สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฯ ได้เรียน เชิญตัวแทนของบริษัท เบทส์ 59 จำกัด เข้าร่วมประชุมเพื่อรับฟังแนวคิดของโครงการ ชุบชีวิตเกษตรกร ของทางบริษัทฯ และขอคำปรึกษาเพื่อพัฒนาการเกษตร ของประเทศไทยให้มั่นคง และยั่งยืน เนื่องจากเห็นว่าใน 7 ปีที่ผ่านมา องค์กรของเบทส์ 59 ปูแดง ไคโตซาน สามารถพลิกฟื้นชีวิตเกษตรกรให้ปลดหนี้ จากการทำเกษตร ได้อย่างมากมาย
โดยทางบริษัทฯ จะดำเนินการเรียนเชิญท่านรองฯ ธนาพัทธ์ กิจใบ
เป็นตัวแทนของบริษัทฯ เพื่อเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว
หากมีข่าวเพิ่มเติมจะแจ้งให้ทราบต่อไปครับ






การคิดค่าธรรมเนียมการโอนเงินของเบส59

การคิดค่าธรรมเนียมการโอนเงิน บริษัท เบส59. จำกัด

1.ภาษี ณ.ที่จ่าย 5 % จากยอดรวมของแต่ละรหัส ในแต่ละรอบการโอนเงิน (จ-อท. เรียกว่า 1 รอบโบนัท)

2.ค่าสัมมนาและเงินสะสมโบนัทท่องเที่ยว (เงินสะสมสามารถนำมาคิดเพื่อเป้นคะแนนท่องเที่ยวต่างประเทศครับ)
คู่ที่ 1-4 = 10 ฿
คู่ที่ 5-8 = 20 ฿
คู่ที่ 9-12 = 50 ฿


3.ค่าธรรมเนียมการโอน
ยอดเงิน 1-500 = 25 ฿
ยอดเงิน 501-4000 = 30 ฿
ยอดเงิน 4001-100,000 = 100 ฿
ยอดเงิน 100,000 ขึ้นไป = 1,000 ฿

*ยกตัวอย่าง เช่น นาย ก. เปิด 3 รหัส โดยแต่ละรหัสมียอดเงินจากระบบโบนัท/สัปดาห์ ดังนี้
รหัส 200444 ได้โบนัท = 5,700 ฿
รหัส 200555 ได้โบนัท = 2,900 ฿
รหัส 200666 ได้โบนัท = 2,300 ฿
รวม 3 รหัส = 10,900

ยอดรวม 10,900฿ - 545 (5%ของ10,900)
คงเหลือ 10,355฿ – 90(ค่าโอนเงิน)
คงเหลือ 10,265฿ – 390(ค่าสะสมท่องเที่ยว)
ดังนั้นยอดสุทธิ = 9,878฿ เป็นต้นครับ

** หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ให้ติดต่อฝ่ายการเงิน บ. เบสส์59 จำกัด โดยแจ้งรหัสสมาชิกของท่านกับพนักงานให้เขาเช็ครายละอียดของแต่ละบุคคลให้ได้ครับ โทร.02-9808990 หรือ 02-9809733 ต่อ 203 , 204

ขอบคุณครับ

รูปใบรับรองปูแดง

รูปใบรับรองปูแดง คลิกที่นี่

รูปโรงงานสินค้าปูแดง

รูปโรงงานสินค้าปูแดง คลิกที่นี่

รูปสถานที่บริษัท ถ.แจ้งวัฒนะ

รูปสถานที่บริษัท ถ.แจ้งวัฒนะ คลิกที่นี่

รูปท่องเที่ยวใต้หวันพค.52ปูแดง

รูปท่องเที่ยวใต้หวันพค.52ปูแดง คลิกที่นี่

รูปงานฉลองที่ธรรมศาสตร์รังสิต 30พค52

รูปงานฉลองที่ธรรมศาสตร์รังสิต 30พค52 คลิกที่นี่

รูปโปรชัวร์สินค้าของบริษัทปูแดง

รูปโปรชัวร์สินค้าของบริษัทปูแดง คลิกที่นี่

เพลงบริษัทปูแดง ClipVDO

เพลงบริษัทปูแดง ClipVDO

แนะนำบริษัท ClipVDO

แนะนำบริษัท ClipVDO

วิสัยทัศน์ผู้บริหาร ClipVDO

วิสัยทัศน์ผู้บริหาร ClipVDO

รูปภาพนำเสนออบรม OPP ธุรกิจปูแดง

รูปภาพนำเสนออบรม OPP ธุรกิจปูแดง คลิกที่นี่

ไฟล์ Powerpoint แผนธุรกิจปูแดง

แผนรายได้ธุรกิจปูแดงแบบ Powerpoint OPP คลิกที่นี่

สรุปแผนรายได้ธุรกิจปูแดงแบบ 2 หน้า

สรุปแผนรายได้ธุรกิจปูแดงแบบ 2 หน้า


ข้อมูลติดต่อบริษัทสำนักใหญ่ปูแดง

ข้อมูลติดต่อบริษัทสำนักใหญ่ปูแดงไคโตซาน แจ้งเพิ่มเบอร์โทรบริษัทปูแดง และเลขที่โอนเงินเข้าบริษัท

เบอร์โทร
02-9808990
02-9809733
02-5730138
02-5730139

แฟกซ์
02-9808980
02-9808978

เบอร์โทรทีมงานเรา
k.มิ้น 089-1137588 , 081-6730088
k.บันดิด 086-4126894 (thepoodang.com)
k.หนึ่ง 083-0340025 , 083-0830489 (poodang.com)
k.อ๊อด 081-3575992 /บอย 084-7092099 (poodangthailand.com)

เลขที่บัญชีโอนเงินเข้าบริษัท
สมปอง แช่ตั้ง
กรุงเทพ สาขาแคลาย
188-0-72262-2

บริษัท เบสท์59 จำกัด
ที่อยู่ : 34/6 หมู่ 1 ถ.แจ้งวัฒนะ41 ต.คลองเกลือ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120
*แจ้งสมาชิกให้เข้ามาจอดรถในซอย41 เท่านั้น เพราะหน้าบริษัทจะไม่มีสถานที่จอดรถ
โทรศัพท์. : 02-980-8990 , แฟกซ์: 02-980-8978
เว็บบริษัทฯ www.best59.net,
ตรวจสอบสายงาน : www.best59mb.net
อีเมล์ : best59info@gmail.com , redcrab_meta@hotmail.com , best59network@hotmail.com

ใบสมัครธุรกิจและใบสั่งซื้อผลิตภัณฑ์

ต้วอย่างใบสมัครธุรกิจปูแดงและใบสั่งซื้อผลิตภัณฑ์


เทคนิคการวางสายงาน ธุรกิจปูแดง

เทคนิคการวางสายงาน ธุรกิจปูแดง



ชุดสมัครธุรกิจปูแดงแบบ VIP

ชุดสมัครธุรกิจปูแดง แบบ VIP รับรายได้ 4 เท่าเมื่อเทียบกับการสมัครแบบรหัสธรรมดา
คลิกที่นี่

ราคาผลิตภัณฑ์ปูแดง แยกราคาปลีก/ส่ง

ราคาผลิตภัณฑ์ปูแดง แยกราคาปลีก/ส่ง

* สมัครสมาชิก 300 บาท + สั่งซื้อสินค้า 1 ชุด แถม ปูแดง(พืช) 500 C.C. = 2 ขวด
** สมัครสมาชิก 300 บาท + สั่งซื้อสินค้า 4 ชุด VIP แถม ปูแดง(พืช) 1 แกลลอน+2 ขวด+โบนัท 500 บ.






สอบถามข้อมูล ติดต่อ คุณหนึ่ง (วรเชษ) 083-0340025

คู่มือปลดหนี้ทางโลกและทางธรรม

คู่มือปลดหนี้ทางโลกและทางธรรม ก็ขอแนะนำว่า..

ขอปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้เสียใหม่ครับ..เพื่อไม่ให้หนี้สูญ หรือถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลาย (จริงๆเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้คุณไม่ต้องชดใช้หนี้ให้กับเจ้าหนี้ได้ตามกฎหมายครับ แต่คุณจะตั้งตัวได้ก็ต้องรออีก 3 ปีแน่ะ) การขอปรับโครงสร้างหนี้มีดังนี้..

1. ขอลดดอกเบี้ยคงค้างลง หรือขอไม่จ่ายดอกเบี้ยคงค้างไปเลยจะดีมากครับ (..ไม่ได้ดอกแต่ได้ต้นคืน เจ้าหนี้ไหนๆก็ต้องเอาทั้งนั้นแหล่ะครับ)

2.ขอลดทั้งดอกทั้งเงินต้นลงครับ หรือขอไม่จ่ายดอกแต่จะจ่ายเงินต้นซัก 70% เป็นไงครับ

3.หลังจากปรับทั้งดอกทั้งต้นเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็ขอผ่อนส่งกับเจ้าหนี้เป็นงวดๆไปครับ..

3.ตามกฎหมาย ถ้าคุณมีหนี้สินล้นพ้นตัวขนาดนี้ คุณอาจขอให้ทางธนาคารปรับให้คุณเป็นบุคคลล้มละลายได้ ข้อดีก็คือ หลังจากคุณเป็นบุคคลล้มละลาย คุณก็ไม่ต้องรับผิดชอบหนี้สินอีกต่อไปครับ..อย่างนี้เจ้าหนี้จะเสียเปรียบคุณทันที ดังนั้นเจ้าหนี้จะทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้คุณเป็นบุคคลล้มละลาย การเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เป็นหนทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ครับ..

4.หาทางลดรายจ่าย เพิ่มรายรับให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น..ขายบ้าน ขายรถ เอามาปิดหนี้ (หลังจากปรับโครงสร้างหนี้แล้วน่ะครับ)

ส่วนทางธรรมก็ขอแนะว่า..

1.อยู่อย่างสันโดษ คือลดความไม่จำเป็นในชีวิตออกไปให้มากที่สุด เช่น แทนที่จะทานข้าวนอกบ้าน ก็หันมาทำอาหารในบ้านทานเองกับครอบครัว เป็นต้น..

2.อัตตาหิ อัตตโนนาโถ--ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน พยายามท่องคาถานี้ในใจบ่อยๆ..

3.ในเรื่องกฎแห่งกรรม--การเป็นหนี้ผู้อื่น ชาติก่อนนั้นคุณอาจเคยเป็นหนี้ข้ามชาติ (ผังเดิมๆ) มาชาตินี้ก็ยังมาเป็นหนี้เค้าอีก ชาตินี้ก็หมั่นให้ทาน สงเคราะห์ญาติ ทำบุญใหญ่ๆ แล้วก็หมั่นตรึกระลึกถึงบุญ และอธิษฐานขอให้หมดหนี้หมดสินเหลือกินเหลือใช้ เหลือไว้สร้างทานบารมีเท่านั้นครับ..

4.เรื่องทาน ก็หมั่นทำเป็นประจำ เรื่องของศีล ก็ต้องตั้งใจรักษาให้บริสุทธิ์ เพราะศีล เป็นที่มาแห่งทรัพย์ทั้งปวง การจะปลดหนี้ได้ ก็ต้องอาศัยทรัพย์ที่ได้มาอย่างง่ายๆ การจะได้ทรัพย์มาอย่างง่ายๆ ก็เพราะมีศีลที่บริสุทธิ์ครับ..

5.เรื่องสมาธิ ก็ต้องหมั่นนั่งทุกๆวัน ใจที่ใสๆ ย่อมดึงดูดโภคทรัพย์สมบัติได้มากกว่าใจที่ขุ่นมัวน่ะครับ..อย่างที่คุณครูไม่ใหญ่กล่าวไว้นั่นแหล่ะครับ..

6.อยู่ใกล้กัลยาณมิตร ห่างไกลคนพาล

7.ขอให้โชคดีครับ เป็นเศรษฐีใหม่หัวใจไม่เกี่ยง เคียงข้างไปดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตย์ด้วยกันน่ะครับ..

สาธุ..

ความแตกต่าง คนจน คนชั้นกลาง คนรวย?

ในวันที่เงินเดือนออก คนจน คนชั้นกลาง และคนรวย เอาเงินไปทำอะไร เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คุณควรเรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารการเงิน และการนำเงินไปใช้ในทางที่ถูก นี่คือสูตรสำเร็จ ของคนรวย ถ้าคุณอยากรวย อยากมีรายได้ดี อยากหารายได้เสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายได้ต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ทำงานแบบ part time นี่เป็นวิธีที่คุณควรศึกษา ดูที่นี่ครับ

ข้อดีการโปรโมทและโฆษณาเว็บไซต์

ประโยชน์ ข้อดี โปรโมทเว็บไซต์ โฆษณาเว็บไซต์


กลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพและให้ผลคุ้มค่ากับต้นทุนของคุณมากที่สุดคือ การตลาดแบบออนไลน์ และหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญของกลยุทธ์การตลาดแบบออนไลน์ที่ธุรกิจของคุณจำเป็นจะต้องใช้คือ เว็บไซต์

การ มีเว็บไซต์นอกจากจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับองค์กรธุรกิจของคุณแล้ว การมีเว็บไซต์ยังเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ให้กับองค์กรธุรกิจของคุณ ให้ดูทันสมัย ทันโลก เพิ่มความน่าสนใจกับองค์กรธุรกิจของคุณอีกด้วย
SEO มาจากคำว่า Search Engine Optimization
หมายถึง กระบวนการที่ทำให้เว็บไซต์ หรือ ชื่อเว็บไซต์ ปรากฏอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดของผลการค้นหาผ่าน Search Engine ด้วย Search Keyword ที่เกี่ยวข้องกับ ธุรกิจ ข้อมูล เนื้อหา บทความ สินค้าและบริการ ที่นำเสนอผ่านเว็บไซต์ของเรา โดยรักษาให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดเสมอ (ปกติจะพยายามทำให้อยู่ในหน้าแรกของการค้นหา)

Google Adwords
คือ โฆษณาในรูปแบบ Cost Per Click ข้อดี คือ เสียค่าใช้จ่ายตามจริง เมื่อผู้ใช้บริการค้นหาข้อมูลคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณเท่านั้น และโฆษณาจะปรากฏให้ผู้ชมเห็นตามคีย์เวิร์ด (Keyword)

ข้อดีของ โปรโมทเว็บไซต์ โฆษณาเว็บไซต์ Google คือ

สามารถทำให้เว็บไซต์ปรากฏใน Search Engine ได้ภายใน 15 นาที เมื่อเปิดใช้บริการ
สามารถกำหนดกลุ่มลูกค้าได้อย่างถูกเป้าหมาย
สามารถกำหนดจำนวน keyword ได้ไม่จำกัด ตามที่เห็นว่าเหมาะสมและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา
โฆษณาเว็บไซต์ของเราจะปรากฏทุกหน้าของ Search Engine
สามารถประเมินผลทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถ้าไม่มีผู้คลิกที่โฆษณาของเว็บไซต์เรา ก็ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาให้ Search Engine
คุ้มค่ากว่า การลงโฆษณาิ Banner
ประโยชน์ของ โปรโมทเว็บไซต์ โฆษณาเว็บไซต์ Google คือ

เพิ่มชองทางการตลาด โดยขยายตลาด ขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยไม่ถูกจำกัดด้วยพื้นที
เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ การพบเห็นโดยผู้ซื้อจากทั่วทุกมุมโลกเป็นการ ช่วยเพิ่มช่องทางการค้าจากลูกค้าใหม่ได้อีกทางหนึ่ง
เพิ่ม ประสิทธิภาพ ในการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขายและพันธมิตร ให้มีความใกล้ชิด พร้อมรับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ทันสมัยและรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งช่วยลดความผิดพลาดจากการติดต่อสื่อสารแบบเดิมได้
เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ด้วยการนำเสนอสินค้า บริการใหม่ให้แก่ลูกค้าเดิม หรือลูกค้าใหม่ของคุณได้อย่างรวดเร็ว
ช่วย ลดต้นทุนและเวลา ในทุกขั้นตอนของขบวนการซื้อขาย ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการทางการตลาด การให้บริการ การสนับสนุนและลดค่าใช้จ่ายในเรื่องสถานที่และการติดต่อสื่อสาร
ลดปัญหาพ่อค้าคนกลาง ทำให้ราคาของสินค้าลดลง อันจะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก
ที่มา : http://www.inthailandbiz.com

E- Marketing การตลาดอิเล็กทรอนิกส์

E- Marketing การตลาดอิเล็กทรอนิกส์

E- Marketing การตลาดอิเล็กทรอนิกส์
คำว่า E- Marketing ย่อมาจาก Electronic Marketing หรือ " การตลาดอิเล็กทรอนิกส์ " หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือในการดำเนินกิจการทางการตลาดกับกลุ่มเป้าหมาย เป็นกิจกรรมที่เป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง และกิจกรรมที่นักการตลาดสามารถติดต่อกับผู้บริโภคได้ทั่วโลกและตลอดเวลา ( ที่มาจาก www.tradepointthailand.com)
จากความหมายข้างต้น สามารถแยกย่อยออกมาได้เป็นข้อ ๆ ดังนี้

1.Electronic Tools E-Marketing

จะต้องเป็นการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือในการทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

2.Niche Market

เป็นการดำเนินกิจการทางการตลาดกับกลุ่มเป้าหมาย และกลุ่มเป้าหมายที่ว่านั้นจะต้องเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง เช่น บริษัท กขค ทำธุรกิจขายเพลงป็อปของไทย ต้องการขยายตลาดโดยเจาะลูกค้าที่ชอบเพลงประเภทนี้และมีพฤติกรรมที่ชอบดาวน์โหลดเพลงบนเน็ต จึงจัดทำเว็บไซด์ที่เกี่ยวกับเพลงป็อป และให้ลูกค้าที่เป็นสมาชิกสามารถโหลดเพลงตัวอย่างไปฟังพร้อมข้อเสนอพิเศษต่างๆ เป็นต้น

3. 2- way Communication

เป็นกิจกรรมที่มีการสื่อสารแบบ 2 ทาง หมายถึง กิจกรรมมีการเสนอและตอบสนอง เช่น เมื่อมีการส่ง SMS หรือ ไป โหลดริงโทนจาก Wap Site โดยลูกค้า Server ของผู้ขายก็จะส่ง ริงโทนเข้าไปที่โทรศัพท์มือถือของลูกค้าที่ส่ง SMS ท่านนั้น หรือในกรณีของการดาวน์โหลดเพลงจากอินเตอร์เน็ตก็ถือว่าเป็นการสื่อสารแบบ 2 ทางเช่นกัน

4.Global Communication

ตามความหมายข้างต้นเราพอบอกได้ว่า กิจกรรมทางการตลาดอิเล็กทรอนิกส์จะต้องสามารถติดต่อกับลูกค้า หรือ กลุ่มเป้าหมายได้ทั่วโลก ซึ่งฟังดูแล้วอาจจะขัดกับลักษณะของ Niche Market ในข้อสองแต่จริง ๆแล้วคำว่าสื่อสารได้ทั่วโลกในที่นี้หมายถึง การสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงได้ทั่วโลก เช่นลูกค้าบริษัท กขคในข้อ 1 อาจจะ อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา จีน แต่ยังชอบฟังเพลงป็อปของไทยอยู่ เป็นต้น

5. 24 hrs/ 7 days การตลาดอิเล็กทรอนิกส์จะต้องสามารถที่ติดต่อกับผู้บริโภคได้ตลอด 24 ชม. ทุกวัน กล่าวคือ ทุกวันทุกเวลานั่นเอง

6.ไม่มีวันหยุด ( เว้นแต่เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์นั้นจะอยู่ในภาวะที่ใช้การไม่ได้ )

ในทุกวันนี้ หากเราพูดถึง E - Marketing เราก็จะมักนึกถึงอินเตอร์เน็ตก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเป็นเครื่องมือที่เราเห็นได้ชัดว่าเข้าหลักทั้ง 5 ข้อมากที่สุด ซึ่งการทำการตลาดผ่านอินเตอร์เน็ตนั้น เราเรียกว่า "Online Marketing " และ Online Marketing ที่เราพบเห็นกันบ่อยๆได้แก่
E-mail Marketing
Web banner หรือ Online Advertising อื่นๆ เช่น Text link Ads, Google Adsense
Search engine Marketing หรือ การทำการตลาดผ่านเสิร์ชเอ็นจิ้น
Viral marketing
Web blogs
Really Simple Syndication( RSS)
Discussion boards หรือ Webboard

แต่อย่างไรก็ดี ยังมีสื่ออื่นๆ ที่เราอาจจะไม่ได้นึกถึงเช่น Mobile (Phone ) Marketing , TV On Demand หรือ IPTV( ทีวีที่ดูผ่านบรอดแบนด์ ) เป็นต้น ซึ่งในอนาคต สิ่งเหล่านี้จะมีอิทฺธิพลอย่างมากต่อการตลาดอิเล็กทรอนิกส์


ที่มา : http://www.e-bizthailand.com/

แฟรนไชส์ ที่ถูกต้องควรทำอย่างไร

แฟรนไชส์ ที่ถูกต้องควรทำอย่างไร

ความเข้าใจในระบบแฟรนไชส์ที่ผิดคือ การสร้างแฟรนไชส์ที่มองเพียงแค่เม็ดเงินที่เข้ามาหมุนเวียน ไม่ได้มองถึงฐานของระบบธุรกิจจริงๆ ขาดระบบการควบคุมการจัดการที่ดี ขาดแฟรนไชส์ซีที่มีความเข้าใจการดำเนินการในรูปแบบสาขา ซึ่งสาเหตุหลักก็มาจากการที่ไม่เข้าใจระบบแฟรนไชส์ในแนวทางที่ถูกต้อง ไม่ได้วิเคราะห์ถึงความต้องการทางการตลาด ความเป็นไปได้ของการสรรหาทำเลของร้านสาขา หรือการศึกษาผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ แฟรนไชส์ซอร์เร่งกระจายขายแฟรนไชส์ โดยมองแค่ผลของการรับสิทธิค่าธรรมเนียม เป็นเหตุให้แฟรนไชส์ยากที่จะประสบผลสำเร็จและล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนอีกอย่างคือ การสร้างแฟรนไชส์ที่มุ่งเน้นการขายระบบงานแบบลดแลกแจกแถม บางครั้งเป็นระบบที่ไม่ต้องมีค่าแรกเข้า ไม่ต้องมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ ซื้อแล้วได้เลย ซึ่งผู้ที่เป็นเจ้าของแฟรนไชส์คิดเพียงว่า จะคิดค่าใช้จ่ายรวมอยู่ในค่าวัตถุดิบ ลักษณะอีกอย่างคือ คิดว่าระบบแฟรนไชส์เป็นการให้ใช้ป้ายที่มีสัญลักษณ์ของตัวเองเท่านั้น ไม่คิดจะบริหารสาขา หรือทำในลักษณะเป็นตัวแทนจำหน่ายเสียมากกว่า ฉะนั้นคงต้องบอกกันไว้ก่อนว่า การทำในลักษณะนี้ก็เหมือนกับสร้างธุรกิจขึ้นมาอีกแบบโดยที่ไม่ใช่ระบบแฟรนไชส์ ไม่มีการวางแผนในการดูแลมาตรฐานอื่นๆ หรือการบริหารแบบอิสระมากกว่าจะเป็นระบบสาขาในรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์

การที่สร้างระบบงานแบบแฟรนไชส์นั้น สภาพการบริหารงานจะเป็นเสมือนหนึ่งเป็นการสร้างสาขาของบริษัทเอง ดังนั้นการบริหารจัดการจะต้องเหมือนเป็นร้านค้าของบริษัทด้วย เพียงแต่การลงทุนเป็นของแฟรนไชส์ซีเท่านั้น ดังนั้นการทำรูปแบบแฟรนไชส์ที่ดีจึงต้องมีค่าใช้จ่ายและทีมงานที่เพียงพอ รวมถึงผลกำไรของบริษัทแม่ในการดูแลธุรกิจทั้งหมด ถ้าจะต้องมีการทำงานดังกล่าวโดยไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็มีความเป็นไปได้น้อยมาก

ดังนั้นธุรกิจแฟรนไชส์จะต้องประกอบด้วยปัจจัยหลัก 3 ประการคือ

- มีผู้ซื้อและผู้ขายแฟรนไชส์ เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ฝ่าย คือแฟรนไชส์ซอร์และแฟรนไชส์ซี ซึ่งมีการตกลงในการทำธุรกิจร่วมกัน ทั้งมีสัญญาและไม่มีสัญญา แต่ในอนาคตรูปแบบข้อตกลงจะปรับไปสู่ระบบการสร้างสัญญาทั้งหมด เพื่อให้ทั้งระบบแฟรนไชส์ที่มีอยู่ในตลาดถูกต้องตามระบบ เพราะไม่เช่นนั้นแฟรนไชส์ซอร์ที่ไม่ดีจะทำลายระบบด้วย

- เครื่องหมายการค้าหรือบริการ มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี ระบบธุรกิจ และใช้เครื่องหมายการค้าเดียวกัน ระบบการจัดการธุรกิจอาจจะเป็นเครื่องมือหรือสูตรที่คิดค้นขึ้นมาเองในการผลิตสินค้าหรือบริการ โดยมีมาตรฐานที่อยู่ในตราสินค้าแบรนด์เดียวกัน

- มีการจ่ายค่าตอบแทนอย่างน้อย 2 อย่าง คือ ค่าแรกเข้าในการใช้เครื่องหมายการค้า (Franchise Fee) และค่าตอบแทนผลดำเนินการ (Royalty Fee)

การทำธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์สามารถสร้างระบบการจัดจำหน่ายได้ยืนยาว สามารถสร้างองค์กรการบริหารงานที่ซับซ้อนมากขึ้น มีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เห็นได้ชัดเจน

ข้อเสียก็คือ การสร้างธุรกิจอย่างนี้ต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงเห็นเป็นแฟชั่น หรืออยากทำเท่านั้น เนื่องจากการเข้ามาในระบบแฟรนไชส์ต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย ถ้าขาดความตั้งใจที่ดีแล้วจะมีโอกาสเจ็บตัวได้ง่ายและเป็นบาดแผลร้าวลึก



ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

พลังแห่งการขายตรง

พลังแห่งการขายตรง

การขับเคลื่อนของธุรกิจขายตรงที่ต้องให้ความสำคัญกับเครือข่ายและทีมงานขายที่มีคุณภาพ ซึ่งการดำเนินกิจกรรมขายตรงภายใต้สถานการณ์และพฤติกรรมผู้บริโภค ที่มีความแตกต่าง และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคของเทคโนโลยี ซึ่งทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างฉับไวทันเหตุการณ์ (ถ้าผู้บริโภคสนใจหรือต้องการ) นอกจากนี้การแข่งขันทางการตลาดก็มีการเพิ่มศักย ภาพ ด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่าง ทันสมัย โดนใจผู้บริโภคอย่างหลากหลายมากขึ้น

ดังนั้นเพื่อเป็นการรองรับกับสถานการณ์ดังกล่าวและความเจริญรุ่งเรืองของธุรกิจขายตรง นักขายตรงหรือผู้จำหน่ายอิสระจะต้องมีการทบทวน พัฒนาหลักการและแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอเพื่อสร้าง "พลัง" ในการดำเนินธุรกิจและกิจกรรมต่างๆ ให้ มีศักยภาพเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น โดย "พลังแห่งการขายตรง" จะประกอบด้วย

1.การขายปลีก (Selling)

การขายตรงเป็นการดำเนินกิจกรรม ในลักษณะเสนอคุณค่าเกี่ยวกับสินค้าและบริการโดยตรงให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งนักขายตรงจะต้องใช้วิธีการเกี่ยวกับการขายปลีกเพื่อทำให้เกิดการซื้อขายควบคู่ไปกับการให้บริการที่มีคุณภาพ จนสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคซึ่งแต่ละคนมีความแตกต่างกัน การขายปลีกในระบบการขายตรงเป็นการนำเสนอแบบเผชิญหน้า พบปะกันภายใต้สถานการณ์ต่างๆ ด้วยความเหมาะสมและสร้างความสะดวกให้กับผู้ซื้อและผู้ขาย

การขายปลีกสำหรับธุรกิจขายตรงอาจเป็นรูปแบบของพนักงานขาย หรือการขายโดยผ่านแค็ตตาล็อก หรือการสั่งซื้อและส่งทางไปรษณีย์ รวมไปถึงการพัฒนาการโดยการใช้ระบบอินเตอร์เน็ต เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า กลุ่มเป้าหมาย สามารถเข้าถึงได้ง่ายจนนำไปสู่การตัดสินใจซื้อที่รวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้เมื่อลูกค้าเกิดความประทับใจและสร้างความเชื่อมั่นได้ก็จะมีการบอกต่อไปยังเพื่อนฝูง ญาติสนิทมิตรสหาย

ดังนั้น นักขายตรงจะต้องทำความเข้าใจกับรูปแบบของการขายปลีกและต้อง ใช้รูปแบบของการขายปลีกให้เกิดพลังสูงสุด ซึ่งกระบวนการนำเสนอสินค้าในลักษณะเผชิญหน้า ต้องสามารถตอบข้อสงสัยหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี มีความชัดเจนและถูกต้อง สำหรับการสั่งซื้อทางไปรษณีย์ก็จะต้องสร้างความเชื่อมั่น น่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นโดยการส่งรวดเร็วตรงเวลา สินค้ามีคุณภาพและปริมาณถูกต้องตามความต้องการของลูกค้า หรือมีการกำหนดกรอบระยะเวลาและขั้นตอนที่ชัดเจนซึ่งต้องนำเสนอให้ลูกค้ารับรู้และเข้าใจตรงกัน สำหรับทางระบบอินเตอร์เน็ตก็เช่นกัน จะต้องน่าสนใจ ง่ายต่อการเข้าถึง มีระบบความปลอดภัยที่ดี ดึงดูดใจลูกค้าได้

2.การนำเสนอโอกาส (Sponsoring)

การดำเนินกิจกรรมขายตรง ไม่ใช่เป็นแค่การนำเสนอขายสินค้าและบริการ แต่จะต้องมีการนำเสนอโอกาสที่สร้างความประทับใจ ด้วยการส่งเสริมสนับสนุน อุปถัมภ์ให้เป็นทีมงานคุณภาพของเครือข่ายขายตรง เพื่อใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนธุรกิจขายตรงไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งความสำเร็จ

สำหรับการนำเสนอโอกาสของการขายตรงเป็นกระบวนการในการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่การสรรหาและคัดสรรกลุ่มเป้าหมาย แล้วศึกษาทำความเข้าใจรูปแบบของการนำเสนอ ที่โดนใจ ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย อาจจะเป็นรูปแบบของการ สร้างรายได้ สร้างความสำเร็จ โดยจะต้อง นำเสนอให้กลุ่มเป้าหมายหรือสมาชิก เข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงไปตรงมา และเข้าใจในทิศทางเดียวกัน

การสร้างทีมงานที่มีคุณภาพก็จะเป็น ขุมพลังของเครือข่ายขายตรงที่มีศักยภาพ ดังนั้น นักขายตรงจะต้องเป็นผู้นำเสนอโอกาสให้กับผู้อื่นด้วยความจริงใจและเต็มใจ ตลอดจนจะต้องให้การสนับสนุน ส่งเสริมทีมงาน ช่วยเหลือเมื่อทีมงานมีปัญหา หรือคอยเป็นพี่เลี้ยงแนะนำ ให้คำปรึกษาในการดำเนินกิจกรรมขายตรงอย่างมุ่งมั่นเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน เพื่อสร้างพลังแห่งการขายตรงให้เกิดขึ้น

3.การบริการ (Services)

การนำเสนอกิจกรรมการขายตรงให้กับกลุ่มเป้าหมายจะต้องอาศัยการบริการที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และสร้างพลังทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งการบริการเป็นการนำเสนอให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ถึงคุณค่าและเกิดความประทับใจ บางครั้งการให้บริการที่มีคุณภาพก็เป็นการสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นและนำไปสู่การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีกับตัวสินค้าและองค์กร การบริการเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการให้บริการที่ดียังสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่กลุ่มเป้าหมาย

เกิดการรับรู้และเกิดทัศนคติที่ดีต่อการขายตรง นำไปสู่การตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการหรือสมัครสมาชิกได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยรักษาลูกค้าเดิมให้เกิดการซื้อซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือเป็นการบอกต่อไปยังลูกค้าใหม่ (Word of mouth) และชักจูงให้ลูกค้าใหม่มาซื้อสินค้าหรือเป็นหนึ่งในเครือข่ายธุรกิจขายตรงที่มีคุณภาพ

ดังนั้น นักขายตรงจะต้องมีจิตวิญญาณแห่งการบริการ ให้บริการด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ โดยเข้าใจถึงหลักการให้บริการที่สามารถสร้างความประทับ ใจกับผู้ที่พบเจอหรือสัมผัส ตลอดจนสามารถตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ให้เกิดความเชื่อมั่น ศรัทธา และเกิดความพึงพอใจสูงสุด

4.การติดตามผล (Supervise)

เมื่อมีการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ก็จะต้องมีการกำหนดตัวชี้วัด หรือต้องมีการตรวจสอบ ประเมินผล เพื่อเป็นการติดตามผลจากแนวทางการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนหรือเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ เป็นเสมือนการติดตามผลความเจริญก้าว หน้าขององค์กรเป็นระยะๆ ไปสู่จุดมุ่งหมาย แห่งความสำเร็จ หรือเป็นแนวทางสำหรับการตรวจสอบเพื่อค้นหาและแก้ไขข้อผิดพลาดก่อนที่จะสายเกินแก้

การติดตามผลงานของทีมงานในเครือข่ายหรือการตรวจสอบผลการดำเนิน งานที่ผ่านมาของตนเองถือเป็นหน้าที่หลักของนักขายตรง ซึ่งจะต้องตรวจสอบและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการปรับปรุงทิศทางและศักยภาพด้านต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ เข้าใกล้สู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จมากที่สุด

การติดตามผลในระบบการขายตรง สามารถใช้เทคนิคต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละบุคคลภายใต้สถานการณ์ต่างๆ และที่สำคัญการติดตามผลไม่ใช่เป็นการจับผิดหรือละเมิดความเป็นส่วนตัวของการดำเนินกิจกรรมขายตรง แต่ต้องเป็นการนำเสนอที่จูงใจและกระตุ้นให้ทีมงานมองเห็นและเข้าสู่โอกาสแห่งความสำเร็จ นอกจากนี้การติดตามผลที่มีประสิทธิภาพยังสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทีมงานให้รับรู้ถึงความจริงใจ ห่วงใย ด้วยน้ำจิตแห่งมิตรไมตรี

5.การประชุม (Seminar)

การพบปะในลักษณะการประชุมหรือ สัมมนากลุ่ม เป็นอีกเทคนิคหนึ่งของการขายตรงที่อำนวยความสะดวกให้กับสมาชิก หรือทีมงาน และนำไปสู่การบรรลุถึงจุดมุ่งหมายแห่งความสำเร็จได้ง่ายขึ้น เพราะการจัดประชุมเป็นการบริการและพัฒนาศักยภาพ สนับสนุนให้สมาชิกหรือทีมงานให้ดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งการประชุมอาจเป็นการเล่าสู่กันฟัง แลกเปลี่ยนประสบการณ์ หรือเป็นการจูงใจ กระตุ้นทีมงานให้มีความกระตือรือร้น นอกจากนี้การประชุมอาจเป็นการนำเสนอ หรือส่งมอบแนวทางการดำเนินงานใหม่ๆ รวมถึงการแนะนำ สาธิตเกี่ยวกับสินค้าและบริการใหม่ของธุรกิจ

การประชุมเป็นแนวทางที่สามารถใช้ในการพัฒนาสมาชิกหรือทีมงานให้มีศักยภาพ นำไปสู่องค์กรเครือข่ายขายตรงที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ในการจัดการประชุมจะต้องเป็นหัวข้อที่มีเนื้อหาสาระสำคัญตรงกับความต้องการของผู้เข้าร่วมประชุม ด้วยช่วงเวลาและระยะเวลาที่เหมาะสม ตลอดจนขั้นตอนในการจัดประชุมจะต้องมีความชัดเจน น่าสนใจ สร้างบรรยากาศแห่งความประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมได้รับรู้และเห็นคุณค่า คุณประโยชน์จากการเข้าร่วมประชุม ซึ่งการจัดประชุมที่มีประสิทธิภาพยังสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นกับผู้เข้าร่วมประชุม ส่งเสริมความสามัคคี และการทำงานเป็นทีม นำไปสู่การสร้างฐานพลังแห่งการขายตรงที่เข้มแข็งต่อไป

6.การรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility)

ธุรกิจต้องมีการปรับตัวเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสภาพการแข่งขันทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรับผิดชอบพื้นฐานที่ธุรกิจต้องมีต่อสังคม เพราะถ้าธุรกิจมุ่งแต่ยอดขายและกำไร คงจะไม่สามารถดำรงกิจการให้คงอยู่ได้อย่างจีรังยั่งยืน ธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีเป็นที่ยอมรับของสังคม จนสังคมรู้สึกว่าธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขา ทำให้คุณภาพและการดำเนินชีวิต มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งธุรกิจกับสังคมจะต้องอยู่ร่วมกัน ช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ช่วยกันลดจุดอ่อน สร้างให้เกิดโอกาสร่วมกัน ผลสำเร็จทางธุรกิจไม่ได้วัดหรือประเมินผลจากรายได้และผลประกอบการ หรือความพึงพอใจของผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น หรือพนักงานเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงความสามารถในการตอบสนองความคาดหวังของสังคมที่มีต่อธุรกิจ โดยให้ผู้บริโภค เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดถึงความอยู่รอด ความก้าวหน้าของธุรกิจที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต เพราะความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจเป็นอีกขุมพลังที่จะนำธุรกิจไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายได้

การรับผิดชอบต่อสังคม เป็นกิจกรรมของธุรกิจที่ตั้งอยู่บนฐานของคุณธรรม เป็นการตอบแทนผลประโยชน์สู่สังคม ไม่ใช่มุ่งเน้นเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อสินค้าและบริการเท่านั้น แต่จะต้องให้ความสำคัญกับทุกคนในสังคมอย่างมีมิตรไมตรี ให้ความเคารพ เห็นคุณค่าของกันและกัน สร้างความสัมพันธ์ด้วยความเห็นอกเห็นใจ อย่างเท่าเทียมกัน เป็นสังคมที่อยู่ร่วมกันได้อย่างเกื้อกูลและไม่เบียดเบียนกัน

ดังนั้น ธุรกิจจะต้องดำเนินกิจกรรมต่างๆ ด้วยจิตสำนึกแห่งคุณธรรมและการยอมรับจากสังคม ที่จะทำธุรกิจให้อยู่รอดเคียงคู่ไปกับเศรษฐกิจ สังคม ภายใต้สถาน การณ์สิ่งแวดล้อมต่างๆ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยธุรกิจต่างๆ จะต้องศึกษา ทำความเข้าใจพฤติกรรมและทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อการรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร เพื่อนำข้อมูลไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการ วางแผนกิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพ ตรงตามความต้องการของสังคม

สรุปอีกครั้งว่า "พลังของการขายตรง" ก็คือ กิจกรรม 6 ด้านหรือจำง่ายๆ ว่า "6Ss" ซึ่งเป็นสิ่งเสริมสร้างให้การขายตรงมีความแข็งแกร่ง สามารถนำธุรกิจไปสู่ความเจริญก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืน โดยการสร้างพลังให้เกิดขึ้นกับองค์กร จะต้องสร้างด้วยความเข้าใจ และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จได้ง่ายยิ่งขึ้น


ที่มา : http://www.siamturakij.com

7 ก้าวสู่ความสำเร็จ โดยแม็กซ์เวลล์

7 ก้าวสู่ความสำเร็จ โดย จอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์

ใครบ้างไม่อยากประสบความ สำเร็จ? ถามแบบนี้อาจฟังดูแปลก ถึงอย่างนั้นคนที่คุณรู้จักส่วนใหญ่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จกับเขาสักที ได้แต่เฝ้าฝันถึง พูดถึง แต่ไม่เคยได้รับความสำเร็จเลย ซึ่งก็น่าเสียดาย
ทำไมเป็นเช่นนั้น? เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความสำเร็จนั่นเอง มันไม่ใช่ล็อตเตอรี่ ไม่ใช่ว่าคุณจะแวะร้านสะดวกซื้อขากลับบ้าน ซื้อสลากสักใบ แล้วรอให้ความสำเร็จมาหล่นทับได้ อีกทั้งมันไม่ใช่สถานที่ที่คุณจะได้เจอยามเมื่อชีวิตสุกงอมจนถึงระดับหนึ่ง ความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่อยู่ปลายทาง แต่เป็นสิ่งประจำวันนี่แหละ ทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จอันแท้จริงได้ก็คือ สร้างมันทีละวัน

ความจริงเรื่องความสำเร็จ

ความสำเร็จนั้นใช่ว่าคุณต้องมีโชคหรือเงินทอง แต่คุณพึงรู้ว่า

* แต่ละวันคุณทำอะไร คุณก็เป็นอย่างนั้น
* คุณสร้างนิสัยขึ้นก่อน แล้วนิสัยก็สร้างตัวคุณ
* การสร้างนิสัยแห่งความสำเร็จนั้นง่ายพอๆ กับสร้างนิสัยแห่งความล้มเหลว

ทุกๆ วันที่มีชีวิตอยู่ คุณกำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลง จะดีขึ้นหรือแย่ลงขึ้นอยู่กับว่าคุณได้สร้างอะไรให้แก่ตัวเองบ้าง ผมขอแนะวิธีบางอย่าง ที่จะสร้างความสำเร็จให้แก่ตัวคุณ



เจ็ดก้าวสู่ความสำเร็จ

1. จงถือเป็นหน้าที่ที่จะเติบโตขึ้นทุกวัน คนเราทำข้อผิดพลาดใหญ่หลวงอย่างหนึ่งก็คือ พุ่งเป้าผิด ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการได้มา การบรรลุถึง หรือการก้าวไปข้างหน้า แต่เกิดจากผลของการเติบโตเท่านั้น ถ้าคุณตั้งเป้าว่าจะเติบโตขึ้นทีละนิดทุกวัน ไม่นานคุณก็จะเริ่มเห็นผลชัดเจนในชีวิต
อย่างที่ โรเบิร์ต บราวนิง กวีชาวอังกฤษกล่าวว่า "อยู่ในโลกไปไย หากไม่ใช่เพื่อเติบโต?"

2. ให้ความสำคัญแก่กระบวนการยิ่งกว่าผล ผลชัดเจนในชีวิตนั้นเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจที่ดี แต่กระบวนการเปลี่ยนแปลงและเติบโตต่างหากที่จะยืนยง ถ้าคุณอยากก้าวไปสู่อีกระดับหนึ่ง ก็จงมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

3. อย่ารอคอยแรงดลใจ เจอร์รีย์ เวสต์ ยอดนักเบสบอลกล่าวว่า "ชีวิตคุณคงไม่ไปไหน หากลงมือทำงานเฉพาะแต่ในวันที่คุณรู้สึกดี" ผู้ที่ก้าวไปได้ไกลก็เพราะเขาหมั่นเตือนตัวเองทุกวัน ทุ่มเทให้ชีวิตสุดตัวไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม จะมีความสำเร็จได้ก็ต้องมุ่งมั่นบากบั่น

4. เต็มใจสละความสุขเพื่อสร้างโอกาส หนึ่งในบทเรียนยิ่งใหญ่ที่สุดที่พ่อสอนผมก็คือ หลักของการ จ่ายเดี๋ยวนี้ สุขีวันหน้า เพราะทุกสิ่งในชีวิตนั้น คุณต้องแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่าง จะเลือกจ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม หรือจ่ายหลังสุดก็ต้องจ่ายทั้งนั้น ถ้าคุณจ่ายแต่แรก คุณก็จะมีสิทธิ์รับผลตอบแทนที่ยิ่งกว่าในภายหลัง แถมผลนั้นยังหอมหวานกว่าด้วย

5. ฝันให้ใหญ่ การฝันเรื่องเล็กๆ นั้นเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่า โรเบิร์ต เจ. ครีเกล กับ หลุยส์ แพตเลอร์ ผู้ เขียนหนังสือ ถ้ามันไม่แตก ก็ทุบมันเลย (If It Ain't Broke, Break It) ย้ำว่า "เราบอกไม่ได้หรอกว่าขีดจำกัดของคนเราอยู่ตรงไหน การทดสอบ นาฬิกาจับเวลา และเส้นชัยทั้งหลายในโลกนี้ไม่อาจชี้วัดศักยภาพของมนุษย์ได้ หากใครกำลังสานฝันให้เป็นจริง คนคนนั้นก็ก้าวพ้นสิ่งที่ดูจะเป็นขีดจำกีด ศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเรานั้นไม่มีขีดจำกัด และยังไม่ปลดปล่อยออกมาเป็นส่วนใหญ่ หากคุณคิดถึงขีดจำกัด ก็เท่ากับคุณสร้างขีดจำกัดขึ้นมาแล้ว"

6. หัดจัดลำดับความสำคัญ สิ่งหนึ่งที่ผู้ประสบความสำเร็จทุกคนมีเหมือนกันก็คือ ต่างเชี่ยวชาญเรื่องการจัดเวลา ก่อนอื่นเขาจะจัดระเบียบตัวเองเป็นอันดับแรก เฮนรี่ ไคเซอร์ ผู้ก่อตั้งไคเซอร์อะลูมิเนียม และศูนย์สุขภาพไคเซอร์เพอมาเนนเต กล่าวไว้ว่า "ทุกนาทีที่ใช้วางแผน จะช่วยลดเวลาให้คุณเป็นสองเท่า ยามลงมือทำ" คุณเรียกเวลาที่สูญเสียไปกลับมาไม่ได้ ฉะนั้นจงใช้เวลาทุกขณะให้คุ้ม

7. เลิกเพื่อเลื่อนระดับ ไม่มีสิ่งมีคุณค่าใดที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียอะไรบางอย่างไป ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยช่วงเวลาสำคัญ ที่คุณจะมีโอกาสแลกสิ่งมีค่าบางอย่างเพื่อให้ได้อีกสิ่งหนึ่ง จงตั้งใจมองหาช่วงเวลาที่ว่านั้น และให้แน่ใจว่าทุกครั้งคุณแลกไปเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า ไม่ใช่น้อยกว่า

ถ้าคุณทุ่มเทตั้งใจทำเจ็ดก้าวข้างต้นนี้ คุณจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ก็จะประสบความสำเร็จ การเติบโตของคุณอาจไม่ปรากฏให้คนอื่นเห็นอย่างเด่นชัดในทันที แต่ คุณ จะแลเห็นความก้าวหน้าของตนเองแทบจะในทันทีทันใด และแม้คนอื่นจะยอมรับช้าไปบ้างก็อย่าท้อใจ ให้พยายามต่อไป คุณจะประสบความสำเร็จในที่สุด

ขณะ ที่คุณก้าวรุดหน้าไปในแต่ละวันนั้น จงใช้หนังสือเล่มนี้เพื่อสร้างเสริมทัศนคติและดุลพินิจของคุณ เปิดอ่านครั้งเดียวหรือสองครั้งให้จบ แล้วเก็บไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ในรถ หรือในกระเป๋าทำงาน เมื่อมีเวลาก็พลิกอ่านเพื่อทบทวนว่า การประสบความสำเร็จนั้นหมายถึงอะไร

นี่จะเป็นช่วงก้าวย่างอันเหลือเชื่อ! บางครั้งคุณจะพบกับความตื่นเต้น และบางครั้งความมีวินัยเท่านั้นที่จะทำให้คุณยืนหยัดไปจนตลอดรอดฝั่งได้ แต่จงจำไว้เสมอว่า ความสำเร็จกำลังรอคอยให้คุณเปิดฉากก่อน มาเริ่มต้นกันเถอะ

10 เรื่องต้องจัดการ เมื่อตกงาน

10 เรื่องต้องจัดการ เมื่อตกงาน

ต้องยอมรับว่า"ตัวเลขคนตกงาน"และกระแส เลย์ออฟมนุษย์เงินเดือน ที่กำลังระบาดไปทั่วโลกในเวลานี้ หากเป็น1ในความโชคร้าย มีอะไรบ้างที่ต้องการจัดการ



ไม่ เพียงตั้งรับพายุร้ายด้วยความสงบ หากแต่คุณยังต้องเค้นสติให้กลับมาโดยไว ถ้าต้องกลายเป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายที่"ตกงาน" อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะหลังจากตกงาน ยังมีหลากเรื่องราวและหลายธุรกรรมการเงินให้คุณต้องลงมือจัดการ

ฉะนั้น อย่ามัวนั่งจิตตก จมอยู่กับความเศร้า หรือฟูมฟายกับความโชคร้ายของตัวเอง ลองมาดูกันว่า 10 อย่างที่คุณต้องจัดการหลังจากตกงานมีอะไรบ้าง

1.จัดการเรื่องประกันสังคม

"เสกสรร โตวิวัฒน์" ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายการตลาด บลจ.บัวหลวง แนะว่าเมื่อว่างงาน 2 สิ่งที่คุณต้องดำเนินการเกี่ยวกับประกันสังคม คือ เรื่องเงินช่วยเหลือกรณีว่างงาน และ การเลือกว่าจะรักษาสิทธิความคุ้มครองจากสำนักงานประกันสังคมต่อไปหรือไม่

1) สำหรับลูกจ้างที่มีการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนว่างงาน จะมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือ สำหรับผู้ถูกเลิกจ้าง จะได้รับประโยชน์ทดแทนในอัตรา 50% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 180 วัน สำหรับผู้ลาออกจากงาน ได้รับในอัตรา 30% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 90 วัน ตามเงื่อนไขในการส่งเงินสมทบแต่ละกรณี โดยผู้ประกันตนจะต้องไปขึ้นทะเบียนหางานที่สำนักงานจัดหางานของรัฐ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ว่างงาน

2) ลูกจ้างที่ออกจากงานจะยังคงได้รับความคุ้มครองจากสำนักงานประกันสังคมต่อไป อีก 6 เดือน นับจากวันที่ลาออกจากงาน โดยจะได้รับความคุ้มครองต่อ 4 กรณี คือ เจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ และเสียชีวิต ตามเงื่อนไข ในการส่งเงินสมทบแต่ละกรณี และถ้าผู้ประกันตนประสงค์ที่จะอยู่ในระบบประกันสังคมต่อ ก็สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ได้ตามเงื่อนไข คือ เคยนำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน และจะต้องสมัครภายใน 6 เดือน นับจากวันที่ลาออกจากงานและจะต้องจ่ายเงินสมทบในอัตราเดือนละ 432 บาท ได้รับความคุ้มครองทั้งหมด 6 กรณี คือ เจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต สงเคราะห์บุตรและชราภาพ

"อุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง" ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย แนะคนที่สะสมเงินเข้าประกันสังคม ต้องอย่าลืมว่าคุณมีสิทธิที่จะได้รับเงินชดเชยกรณีว่างงาน

"แต่การเลิกจ้างนี้ ต้องไม่ได้เกิดจากทุจริตหรือก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง หลายคนดีใจมาก นึกว่า เงินเดือนแสน ได้ถึงเงินชดเชยเดือนละ 50,000 บาท ที่จริงแล้วไม่ใช่ ก็ต้องบอกว่า ในส่วนอัตราค่าจ้าง จะคิดอัตราสูงสุดลิมิตอยู่ที่ 15,000 บาท ซึ่งเป็นอัตราเดียวกันกับอัตราที่ใช้คำนวณเงินที่คุณส่งเงิน

สมทบในแต่ละเดือน แนะว่าให้ไปทำการยื่นเรื่องขอเบิกเงินค่าชดเชยที่ประกันสังคม เพื่อใช้เป็นต้นทุนที่ใช้ในการหางาน เป็นหลักประกันว่าแต่ละเดือนมีเงินใช้จ่าย ถึงแม้จะไม่มากนักก็ตาม แต่ประโยชน์ที่ควรจะได้รับให้ถูกต้อง นั่นคือจำนวนเงินค่าชดเชยที่พึงได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน"

2. ตรวจสุขภาพการเงิน

เสกสรรบอกว่าเมื่อว่างงาน แน่นอนว่ารายรับของคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่รายจ่ายส่วนใหญ่จะยังคงอยู่ จึงจำเป็นต้องมีการตรวจเช็คข้อมูลทางการเงินของตนเองเป็นการด่วนว่า มีสินทรัพย์ หนี้สิน เงินลงทุน ภาระผูกพันอะไรอยู่บ้าง ยังมีแหล่งรายได้ที่ยังเหลืออยู่บ้างไหม และมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ของตนเองและครอบครัวอยู่เท่าไร

สำหรับสินทรัพย์และเงินลงทุน ควรจัดกลุ่มออกเป็นสิ่งที่มีสภาพคล่องและไม่มีสภาพคล่อง เพื่อประเมินถึงความสามารถในการแปรเปลี่ยนเป็นเงินสด ให้สอดคล้องกับภาระค่าใช้จ่ายที่ยังคงเหลืออยู่ โดยจะต้องอัพเดทมูลค่าของทรัพย์สินเงินลงทุนให้เป็นมูลค่าปัจจุบัน ไม่ใช่ราคาต้นทุน

สำหรับค่าใช้จ่ายและการผ่อน ชำระหนี้ต้อง ตรวจสอบว่าในแต่ละเดือนจะมีค่าใช้จ่ายอะไรที่จำเป็นต้องจ่ายบ้าง และค่าใช้จ่ายอะไรที่สามารถลดได้หากจำเป็น รวมถึงมูลค่าหนี้สินที่คงเหลืออยู่ว่ามีสถานะเท่าใด เพื่อให้ทราบถึงสุขภาพการเงินของคุณที่เป็นปัจจุบัน

สอดรับกับอุมาพันธุ์ที่มองว่าเมื่อตกงานถือว่าเป็นโอกาสอันดี ที่จะต้องสำรวจตัวเองว่า สุขภาพการเงินของเราเป็นอย่างไรบ้าง เพราะว่า ว่างงานในช่วงเศรษฐกิจตกสะเก็ดแบบนี้ จะได้เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมว่า เราสามารถรับมือวิกฤติได้แค่ไหน

การตรวจสุขภาพการเงิน คือ การดูว่า ณ จุดนี้ เรามีความมั่งคั่งเป็นอย่างไร เช็คว่า เราสะสมเงินทอง ของมีค่า มากน้อยแค่ไหน มีเงินสดอยู่เท่าไหร่ มีเงินลงทุนเท่าไหร่ ทรัพย์สินที่ดิน บ้าน รถ เครื่องประดับ หุ้น กองทุน เรามีอะไรบ้าง มูลค่าตลาดอยู่ที่เท่าไหร่ พอดูทรัพย์สินแล้ว ก็ต้องดูภาระว่า มีภาระหนี้สินอะไรบ้าง ตัวไหนเยอะสุดๆ ทรัพย์สินที่มีคุ้มภาระหนี้ที่มีอยู่หรือไม่ ซึ่งนั่นก็คือ ความมั่งคั่งของเรานั่นเอง

"การตรวจสุขภาพยังทำให้รู้ด้วย ว่า เรามีสัดส่วนการออม การลงทุน และภาระตัวไหนเยอะสุด มากไป หรือน้อยไป เพราะในบางครั้ง อาจจะมั่งคั่งเยอะ แต่สภาพคล่องน้อย เช่น ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นที่ดิน ก็มีปัญหาสุขภาพการเงินได้ เพราะช่วงชีวิตสะดุด ไม่มีรายได้ แต่รายจ่ายยังคงมีอยู่ตลอด ก็อาจพบปัญหาขาดสภาพคล่องได้"

3. รื้อปรับขยับการใช้เงิน

เสกสรรให้ข้อคิดว่า เมื่อตรวจสอบสถานะการเงินเรียบร้อยแล้ว คุณคงพอทราบว่าตัวเองพอมีความมั่นคงทางการเงินเพียงใด รายได้ที่ยังเหลือกับทรัพย์สินที่มีอยู่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายและหนี้สินหรือ ไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือสามารถรองรับภาระค่าใช้จ่ายได้ไม่นาน ก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินอย่างเร่งด่วน จะปรับมากหรือน้อยก็ขึ้นกับระดับความจำเป็น สิ่งที่ต้องลดลงก่อนเป็นอันดับแรก

ได้แก่ รายจ่ายฟุ่มเฟือย เช่น ค่าใช้จ่ายเพื่อสันทนาการ ท่องเที่ยว ชอปปิ้ง ซื้อเสื้อผ้า ต้องลดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามสถานภาพปัจจุบัน

ต่อมาคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต จ่ายให้น้อยลงสำหรับสิ่งจำเป็น เช่น ลดการทานอาหารนอกบ้านหรือมีราคาแพงให้น้อยลง สำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรลดหรือเลือกลดเป็นอันดับท้ายๆ คือ ค่าใช้จ่ายสำหรับหนี้สินที่ลดแล้วจะกระทบต่อเครดิตและความน่าเชื่อถือของตัว คุณ เช่น ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ การค้างชำระหนี้บัตรเครดิตมากกว่าที่กำหนด เป็นต้น

สิ่งที่อุมาพันธุ์แนะนำเพิ่มเติมคือ คนตกงานควรจะใช้นโยบายรัดเข็มขัด ปรับการใช้เงิน สิ่งจำเป็นของคนตกงานคือควรจะจดบัญชีรับจ่าย จะได้รู้ว่า ค่าใช้จ่ายตัวไหนเป็นค่าใช้จ่ายหลัก หรืออาจเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

"ในช่วงนี้ไม่ต้องเดินทางไปไหนแล้ว ค่าใช้จ่ายด้านพาหนะก็สามารถที่จะปรับลดลงได้ ค่าใช้จ่ายด้านอาหารการกิน แทนที่จะกินข้าวนอกบ้านให้สิ้นเปลืองและเสียสุขภาพ ก็เป็นโอกาสที่จะแสดงฝีมือ ทำอาหารทานเอง ดีไม่ดี อาจพบพรสวรรค์ของตัวเอง สามารถนำมาเป็นอาชีพเสริมได้ด้วย

นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในส่วนของสันทนาการ เสื้อ ผ้า หน้า ผม ก็ควรที่จะปรับลดลง พอห้างเซลล์ ก็ไม่ต้องรีบกระโจนใส่ เพราะถ้าเผลอรูดบัตรไป เดือนหน้าไม่มีเงินเดือนเข้ามาช่วยจ่ายแล้ว หลักๆ คือต้องระวังการใช้เงิน"

4.เคลียร์เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

เสกสรร อธิบายว่า เงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ เงินสะสม (ที่สมาชิกจ่ายเข้ากองทุน) เงินสมทบ (ที่นายจ้างจ่ายให้) ผลประโยชน์เงินสะสม และผลประโยชน์เงินสมทบ (สิ่งที่งอกเงยจากการลงทุน)

เงินที่เป็นสิทธิของคุณในฐานะสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแน่นอนคือ เงินสะสมและผลประโยชน์เงินสะสม ส่วนเงินสมทบและผลประโยชน์เงินสมทบ จะได้รับก็ต่อเมื่อคุณปฏิบัติตามเงื่อนไขของกองทุน เช่น มีอายุงานถึงเกณฑ์ที่กำหนด เมื่อคุณออกจากงานจะมีทางเลือกคือ รับเงินก้อน โดยถือว่าเป็นการลาออกจากระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือไม่รับเงินก้อนนี้ โดยคงเงินไว้ในระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก่อน เพื่อรอโอนย้ายไปยังกองทุนสำรองใหม่ของบริษัทนายจ้างในอนาคต

ข้อพึงระวังคือ หากคุณลาออกจากกองทุนโดยที่ยังไม่เกษียณอายุ คุณอาจจะเสียผลประโยชน์จากเงินสมทบที่จะได้รับไม่เต็มจำนวน อีกทั้งเงินที่ได้รับจากกองทุนในส่วนของเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสะสม และเงินสมทบจะต้องถูกหักภาษี ตามเงื่อนไขเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วย

เรื่องนี้ อุมาพันธุ์ บอกว่าคนที่มีเงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีสองทางเลือก ซึ่งต้องชั่งน้ำหนักดูว่า ควรเลือกทางเลือกไหน ทางเลือกที่ 1 คงเงินไว้ในกองทุนต่อไป จนกว่าจะได้งานใหม่ ค่อยย้ายกองทุนไปที่กองทุนของที่ทำงานใหม่ หรือทางเลือกที่ 2 เอาเงินออกจากกองทุน เพื่อนำมาใช้จ่าย

ส่วนทางเลือกที่ 1 หรือ 2 ดีกว่ากัน ก็ต้องบอกว่า ขึ้นอยู่กับสุขภาพทางการเงินของคุณ และโอกาสที่คาดว่า จะหางานใหม่ได้เมื่อไหร่ เพราะถ้าเลือกทางเลือกที่ 1 ก็ต้องแจ้งกับฝ่ายทรัพยากรบุคคลว่า คุณมีความประสงค์จะคงเงินไว้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ 650 บาท ต่อปี

ทางเลือกนี้ คุณจะได้ออมอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้เอาเงินออกจากกองทุน เก็บก้อนนี้ไว้ใช้ในยามเกษียณ

ทาง เลือกที่สอง เอาเงินออกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเลย ซึ่งทางเลือกนี้ ต้องเสียภาษี โดยสามารถแยกยื่นได้ หลักคือ ดูที่อายุงานว่า ถ้าน้อยกว่า 5 ปี จะไม่ได้สิทธิหักลดหย่อนภาษีเลย

แต่ถ้ามากกว่า 5 ปี รัฐให้สิทธิลดหย่อนภาษี โดยหักลดหย่อนขั้นที่ 17,000 บาท คูณจำนวนปีตามอายุงาน หักขั้นที่ 2 หักลดหย่อนได้อีก 50% ของเงินก้อนหลังหักลดหย่อนขั้นที่ 1 เหลือเท่าไหร่ ก็ต้องนำเงินก้อนนี้ไปเสียภาษี

5.ถนอมเงินก้อนที่ได้มา

เสกสรร เตือนว่า ถ้าตกงาน เงินก้อนที่ได้มาอย่าเพิ่งรีบใช้ หรือนำไปลดหนี้ คนส่วนใหญ่จะคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการจัดการเงินก้อนนี้ ก็คือ การเอาไปลดหนี้ เพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่าย

แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การจัดสรรเงินให้เพียงพอต่อการดำรงชีพตามปกติ เพียงพอต่อการจ่ายคืนหนี้ได้ตามกำหนด

โดยต้องคิดออกมาให้ได้ว่าค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพรวมค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และชำระบัตรเครดิตในแต่ละเดือนเป็นเท่าใด

จาก นั้นก็ต้องกันเงินสำรองส่วนนี้ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรกประมาณ 6-8 เท่า เพื่อเป็นหลักประกันว่า ยามว่างงานคุณจะยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติไปอีกอย่างน้อย 6-8 เดือน จนกว่าจะได้งานใหม่ และเมื่อกันเงินส่วนนี้แล้วยังมีเงินก้อนเหลือ จึงค่อยพิจารณาว่าจะจัดการอย่างไรดี

ส่วน อุมาพันธุ์ เสริมว่าบางคนทำงานมานาน ได้รับเงินชดเชยตามอายุงาน เป็นเงินก้อน หรือมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จจากกองทุนประกันสังคม ก็ต้องบอกว่า อย่าเพิ่งผลีผลามนำเงินก้อนนั้นไปใช้จ่าย ควรเก็บเป็นเงินก้นถุงสำรองไว้เผื่อฉุกเฉิน

ปกติเงินเผื่อฉุกเฉินควรมี อย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เผื่อในช่วงที่เราตกงาน และอยู่ในช่วงหางานใหม่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ต้องบอกว่า ควรมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินเผื่อไว้อย่างน้อย 6 เดือนถึงหนึ่งปี เลยทีเดียว

ดังนั้น เงินก้อนนี้ควรกันเก็บไว้เป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินให้เพียงพอก่อนที่จะนำไป ใช้จ่าย โดยอาจจะเก็บในรูปของเงินฝากธนาคาร หรือกองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น

6.มองหางานใหม่

เมื่อว่างงานคนส่วนมากจะเร่งหางานใหม่ให้ได้เร็วที่สุด แต่กลายเป็นว่า แม้ได้งานใหม่กลับทำได้ไม่นานก็ลาออกอีก เพราะยังไม่ใช่งานที่ชอบ ไม่เหมาะสมกับตัว หรือทำไปก็ไม่มีความสุข เสกสรรบอกว่าในโลกแห่งความเป็นจริงน้อยคนนักที่จะได้ทำงานที่ตนเองชอบจริงๆ การจะประเมินว่าคนคนหนึ่งจะทำงานที่หนึ่งได้นานแค่ไหน ขึ้นกับเหตุผลของความพอใจใน 3 เรื่องด้วยกัน คือ เนื้อหางาน รายได้ และ ผู้ร่วมงาน

ความพอใจในเนื้อหางาน หมายถึง ความชื่นชอบภูมิใจในงานที่ทำตำแหน่งที่ได้รับ ชั่วโมงที่ต้องทำงาน และความเชี่ยวชาญในงานที่ทำ รายได้ หมายถึง จำนวนเงินที่ได้รับ ความถี่หรือความสม่ำเสมอของรายได้ ผู้ร่วมงานหมายถึง เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง หรือบุคคลนอกบริษัทที่ต้องติดต่อประสานงานด้วย เป็นต้น หากใครมีความพึงพอใจหรือรับได้ต่อสิ่งเหล่านี้อย่างน้อย 2 ใน 3 อย่าง ก็จะสามารถทำงานนั้นได้อย่างยาวนาน

อุมาพันธุ์ ให้ข้อคิดว่า"ในวิกฤติย่อมมีโอกาส" อย่ามัวรอช้า ควรมองหางานใหม่ในทันทีไม่ต้องรีรอ ช่องทางการสมัครงานมีได้หลากหลายผ่านเว็บไซต์ของบริษัทต่างๆ หรือ ผ่านเว็บไซต์ของบริษัทจัดหางาน

ยิ่งในช่วงนี้ มีการออกบูธของบริษัทจัดหางานตามศูนย์ประชุม หรือตามห้าง ก็ควรคอยดูจังหวะติดตาม ข้อมูลข่าวสาร การเปิดรับสมัคร เพราะคุณมีโอกาสได้เข้าเจอะเจอกับพนักงานฝ่ายทรัพยากรบุคคลโดยตรง หากมีข้อสงสัยของลักษณะงานจะได้สอบถามให้เข้าใจ หลายที่มีการสอบข้อเขียนก่อนการสอบสัมภาษณ์ ช่วงที่ว่างนี้ เดินสายสอบข้อเขียน สอบภาษาให้เรียบร้อย ก็เป็นตัวช่วยที่ทำให้ใบสมัครและประวัติของเราน่าสนใจ

7.ปัดฝุ่นเรซูเม

"เรซูเมดีมีชัยไปกว่าครึ่ง" นั่นเป็นสิ่งที่อุมาพันธุ์บอก

บาง คนไม่ได้อัพเดทเลย ก็ควรนำมาเติม หรืออัพเดทว่า งานล่าสุดเราทำอะไร อยู่ในตำแหน่งไหน มีหน้าที่รับผิดชอบอะไรบ้าง ที่ผ่านมาวุฒิการศึกษาเปลี่ยนรึเปล่า ไปร่ำเรียนอะไรเพิ่มมา หรือผ่านคอร์สอบรมพิเศษ ที่ทำให้เรามีทักษะที่น่าสนใจ รูปถ่ายปัจจุบันก็สำคัญ รูปเก่า ทรงผมเก่า เชย ถ่ายมานานมากแล้ว ก็ได้เวลาไปปรับปรุงใหม่ ปรับลุคให้ดูทันสมัย ภูมิฐาน ถ่ายใหม่

ส่วนเสกสรรเห็นว่าเรซูเม เป็นเอกสารชิ้นแรกที่ทำให้ที่ทำงานใหม่จะรู้จักคุณ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ข้อมูลครบ และให้เขารู้จักคุณให้มากที่สุด โดยเฉพาะข้อมูลเพื่อบอกว่าคุณมีความเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่สมัครมากเพียงใด เพื่อให้ได้รับการพิจารณา

นอกจากประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทำงานที่เป็นข้อเท็จจริงแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใส่รายละเอียดของประสบการณ์ ความสำเร็จของงานในอดีต โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานใหม่ที่สมัครเข้าทำงาน เพื่อให้เห็นถึงความพร้อม และความสามารถที่จะเข้าทำงานใหม่ได้ทันที

"ทุกวันนี้บริษัทต่างๆ ต้องการคนที่เข้าไปแล้วทำงานได้ทันที ใช้เวลาการเรียนรู้งานให้น้อยที่สุด และสิ่งที่ขาดไม่ได้อีกอย่างก็คือ ประวัติการฝึกอบรม หลักสูตรพิเศษต่างๆ โดยเฉพาะหลักสูตรเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพการทำงาน การเป็นผู้บริหาร การเจรจาต่อรอง การนำเสนอต่างๆ เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยแสดงถึงศักยภาพของคุณได้อีกทาง"

8.ใช้เวลานี้พัฒนาตัวเอง

ในช่วงเวลาที่ตกงาน เสกสรรมองว่าคือช่วงเวลาทองที่หาไม่ได้ หากคุณยังทำงานประจำอยู่ ในระหว่างหางานใหม่ที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ปล่อยเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ก็ควรมีการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะทักษะด้านการสื่อสารในภาษาต่างประเทศ ฟัง พูด อ่าน เขียน และการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานทุกอย่างไปแล้ว

นอกจากนั้น ก็เป็นการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านวิชาชีพตามความจำเป็นในสายงานที่ทำอยู่ ตาม หรือสนใจเข้าไปทำ เช่น การเข้าอบรมเพื่อให้รู้ถึงกฎหมายใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงาน รวมถึงการอบรมหลักสูตรต่างๆ และเข้าสอบใบอนุญาตต่างๆ ที่คิดว่าจำเป็นต่อการทำงานในอนาคต

อุมาพันธุ์ ก็เห็นว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาว่างที่ไม่ควรปล่อยไปให้เปล่าประโยชน์ โอกาสในการหาความรู้เพิ่มเติม ที่มีอยู่ฟรี มีเต็มไปหมด เช่น การเข้าเว็บไซต์ของหน่วยงานต่างๆ การจัดเสวนา หรือเข้าอบรมหลักสูตรฝึกอบรมของตลาดหลักทรัพย์ก็น่าสนใจ เติมทักษะใหม่ๆ ให้ตนเอง ทันสมัย หรือเข้าเรียนภาษาให้คล่องมากขึ้นทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาจีนก็ดี

ใครที่ทำงานอยู่ในแวดวงการเงิน ที่ต้องมีใบอนุญาตต่างๆ ช่วงนี้ ก็เป็นช่วงดีที่มีเวลาอ่านหนังสือ ไปสอบใบอนุญาตผู้ติดต่อผู้ลงทุน เพื่อขายกองทุนรวม ขายหุ้น ขายตราสารหนี้ หรือสอบใบอนุญาตประกันชีวิต เพื่อที่จะเป็นคุณสมบัติเสริมที่ดีในการสมัครงาน หรืออาจเป็นอาชีพใหม่ที่น่าสนใจแทนอาชีพเดิมได้

9.ผันตัวเป็นฟรีแลนซ์&จับงานพาร์ทไทม์

สิ่งหนึ่งที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนใฝ่ฝัน ก็คือ การอยากทำงานที่มีอิสระ เป็นเจ้านายตนเอง ไม่ต้องคอยเป็นลูกจ้างใคร แต่เสกสรรมองว่าในความเป็นจริงมีมนุษย์เงินเดือนเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่ กล้า ลาออกจากงานประจำมาทำงานอิสระเหล่านี้ ด้วยเหตุผลหลักคือเรื่องความมั่นคงของรายได้ ที่มักไม่เท่ากับการเป็นพนักงานกินเงินเดือน

ดังนั้น ช่วงเวลาว่างงานนี้คือโอกาสอันดี สำหรับการทดลองทำในสิ่งที่ชื่นชอบ อยากทำ และมีรายได้ให้ตนเอง โดยเริ่มจากรับงานพาร์ทไทม์หรือฟรีแลนซ์ที่ตนเองถนัดหรือมีความเชี่ยวชาญ ก่อน ไม่แน่ว่าคุณอาจพบหนทางสว่างในอาชีพ และไม่ต้องกลับไปเป็นมนุษย์เงินเดือนเลยก็เป็นได้

อุมาพันธุ์ บอกว่า สภาพเศรษฐกิจแบบนี้งาน full time อาจจะหายาก แต่ถ้าทำเป็นพาร์ทไทม์ หรือรับเป็นฟรีแลนซ์ ก็เป็นโอกาสที่น่าสน รับงานแล้วกลับมาทำที่บ้าน ก็ลดค่าใช้จ่ายลงได้ งานรับเป็นที่ปรึกษา หรือโครงการต่างๆ ก็เป็นโอกาสในการรับเงินก้อน นอกจากนี้ งานขายตรง ก็เป็นโอกาสที่ไม่เลว บางทีคุณอาจจะเจอพรสวรรค์ของตนเองก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า หรือการขายประกันชีวิต ซึ่งถ้าประสบความสำเร็จในการขาย อาจกลายมาเป็นอาชีพประจำของคุณในที่สุด

10.ถือโอกาสชาร์จแบตให้ตัวเอง

เสกสรร อยากให้คิดว่าช่วงว่างงานนี้คือ ช่วงพักร้อนของชีวิต ที่ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องมีคำสั่ง ไม่ต้องอดทนกับสิ่งที่คุณไม่อยากเจอ ปล่อยใจให้สบายๆ เลือกให้รางวัลชิ้นใหญ่กับชีวิตแบบเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการไปท่องเที่ยวในที่ที่อยากไปมานานแต่ไม่มีโอกาสได้ไป การใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างเต็มที่ เดินสายพบปะสังสรรค์ ญาติที่ห่างหาย เพื่อนฝูง หรือผู้ร่วมงานเก่าๆ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต รับฟังความคิดเห็นหรือข้อมูลจากคนอื่น ไม่แน่คุณอาจได้งานใหม่ที่รอคอยมานานจากคนรอบกายเหล่านี้ก็ได้ ใครจะรู้

หลายคนที่ไม่เคยได้หยุดพัก ทำงานหนักมาตลอด อุมาพันธุ์แนะให้ใช้ช่วงนี้เป็นโอกาสดีที่จะหยุดพักผ่อน ผ่อนคลายสมองตามแหล่งท่องเที่ยวที่สงบ

หรือโอกาสในการเดินสายทำบุญ ปฏิบัติธรรมก็ไม่เลว สุขกายและได้สุขใจขึ้นด้วย

" ใครที่เคยเอาแต่นั่งทำงาน จนพุงเป็นห่วงยางเต็มไปหมด ก็เป็นโอกาสดี ในการเข้าฟิตเนส ออกกำลังกาย หรือการไปวิ่งตามสวนลุม ก็ทำให้ได้โอกาส

สูดอากาศตอนเช้าที่สดใส ใช้ช่วงว่างมีเวลาจัดข้าวของให้เข้าที่ จัดระเบียบชีวิตของตนเอง ให้นาฬิกาในร่างกายเราได้หยุดพัก เติมเต็มพลังให้เต็มที่ เวลาไปสัมภาษณ์งานจะได้ไปพร้อมกับความสดใส และความพร้อมที่จะลุยกับงานใหม่ต่อไป"

เห็นมั้ยว่า คนตกงานยังมีอะไรให้จัดการอีกมากมายหลายสิ่ง หวังว่าข้อคิดของเสกสรรและข้อแนะนำของอุมาพันธุ์ จะทำให้คนตกงานและคนที่ส่อเค้าว่าอาจจะตกงาน พอจะมีเข็มทิศให้สำหรับชีวิตที่ตกงาน

ที่มา : www.Nationsejobs.com

วางแผนการเงิน 3 แบบ 3 สไตล์

วางแผนการเงิน 3 แบบ 3 สไตล์

วางแผนการเงิน 3 แบบ 3 สไตล์ " การวางแผนการเงิน" เหมือนภูมิต้านทานชั้นดีในการรับมือกับสึนามิทางเศรษฐกิจ แต่บางคนเหมือนมีเข็มทิศให้กับชีวิตคอยนำทางไปสู่อิสรภาพทางการเงิน



อย่ารอให้คำว่า "ดวง" "โชคลาภ" หรือ "วาสนา" มาเป็นตัวกำหนดชีวิตคุณเลย เพราะถ้าหากคุณวางแผนการเงิน อนาคตที่ดีและฐานะการเงินอันมั่นคงรอคุณอยู่ข้างหน้าอย่างแน่นอน

แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเชี่ยวชาญเรื่อง วางแผนการเงิน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าจะวางแผนการเงินถึงแม้คุณจะไม่ช่ำชองเรื่องเงินๆ ทองๆ เพราะปัจจุบันธนาคารกสิกรไทยมีผู้เชี่ยวชาญทางการเงินมาช่วยเป็นที่ปรึกษา ให้ทุกคนวางแผนการเงินผ่านบริการที่เรียกว่า "K-We Plan" ที่แม้ว่าคุณจะไม่ใช่ลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย จะใช้บริการนี้ได้

Oนักบินวางแผนเพื่อการศึกษาให้ลูก

"อัชพล สุวรรณประสพ" นักบินที่สอง บริษัท การบินไทย เป็นคนหนึ่งที่ถูกปลูกฝังเรื่องวางแผนการออมมาตั้งแต่เด็ก เพราะความที่เป็นลูกทหาร ชีวิตจึงมีการวางแผนมาตลอด ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นนักบินตั้งแต่เด็ก หลังเรียนจบชั้นมัธยมเขาจึงเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายเรืออากาศ และสมัครเป็นนักบินที่การบินไทยทันทีหลังจบการศึกษา ผ่านประสบการณ์การบินพาณิชย์มาแล้วเกือบ 10 ปี และเตรียมพร้อมที่จะก้าวสู่ตำแหน่งนักบินที่หนึ่ง หรือกัปตัน ในอนาคตอันใกล้นี้

"ผมถูกสอนมาตั้งแต่เด็กเลยว่าให้จด รายการค่าใช้จ่ายทุกวัน ก็ทำเป็นนิสัยมาจนทุกวันนี้ จะมีกระดาษเล็กๆ พกติดกระเป๋าสตางค์ จดค่าใช้จ่ายทุกอย่างในแต่ละวัน ทำให้รู้ตัวตลอดว่าในแต่ละเดือนใช้เงินไปแค่ไหน"

ทุกวันนี้ ด้วยวัย 36 ปีอัชพลบรรลุเป้าหมายทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัวอย่างที่ตัวเองพอใจ เขาเล่าให้ฟังว่า ก่อนจะมีครอบครัว ไม่ค่อยได้วางแผนการเงินอย่างจริงจังมากนัก แค่ควบคุมรายจ่ายและออมเงิน แต่ปัจจุบันด้วยบทบาทของการเป็นคุณพ่อลูก 2 ทำให้ใส่ใจกับการวางแผนการเงินมากขึ้น

"ผมเป็นลูกค้าบัตรเครดิตกสิกร แพลตินั่ม อยู่แล้ว ทางธนาคารก็ได้เชิญชวนให้ไปใช้บริการ K-We Plan ซึ่งหลังจากได้คุยกับแพลนเนอร์ของ K-We Plan ก็รู้สึกชื่นชอบมาก เพราะมีการวางแผนการเงินที่ตรงกับความต้องการในใจอยู่แล้ว และเข้าใจง่าย ทั้งการวางแผนเพื่อวัยเกษียณ และเพื่อการศึกษาของลูก เนื่องจากโดยส่วนตัว ผมเป็นคนที่คอนเซอร์เวย์ทีฟในเรื่องเงินการออมเงิน ก็จะเลือกการฝากเงินในธนาคารเป็นหลัก แต่พอได้ใช้บริการ K-We Plan ก็ทำให้เกิดความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งผมจะเลือกวิธีที่มีความเสี่ยงน้อยเป็นหลัก"

อัชพล เล่าให้ฟังถึงการวางแผนเรื่องการศึกษาให้ลูกทั้ง 2 คนของเขาว่า คาดหวังให้ลูกๆ ได้เลือกเรียนในสิ่งที่ชอบ ไม่ได้กะเกณฑ์ว่าจะต้องเรียนจนจบในระดับไหน อันนั้นคงขึ้นอยู่กับตัวลูกเป็นหลัก แต่พร้อมที่จะสนับสนุน ส่งเสียอย่างเต็มที่ ที่ผ่านมาเขาบอกว่ายังไม่เคยวางแผนและมีตัวเลขในใจ มีแต่บันทึกค่าใช้จ่ายรายปีของลูกๆ ซึ่งหลังจากปรึกษากับ K-We Plan ก็ทำให้รู้ว่าจะต้องเตรียมเงินไว้สำหรับส่วนนี้เท่าไร

"ผมชอบบริการ K-We Plan เหมือนเป็นส่วนเติมเต็มให้กับสิ่งที่ผมยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ ทำให้ทุกอย่างชัดเจน เป็นรูปธรรมมากขึ้น มีโปรแกรมการคำนวณทางการเงินต่างๆ ที่ทำให้เราเห็นได้เลยว่า ใช้เงินเท่าไร จะเกิดผลงอกเงยขึ้นมาเท่าไร ผมรู้สึกประทับใจในตัวแพลนเนอร์มาก เพราะมีประสบการณ์สูง เป็นเหมือนคุณหมอ หรือนักจิตวิทยาเลย เพราะสามารถทำให้ผมซึ่งเป็นคนที่ระมัดระวังในเรื่องการเงินมาก่อน เกิดความเชื่อถือ เปิดใจได้มากขึ้น และสามารถเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ได้อย่างเต็มที่

โดยส่วนตัวผมว่า K-We Plan เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก เหมาะกับทุกๆ คน อยากให้ทุกคนเริ่มรู้จักวางแผนการเงินกันตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ๆ ให้เห็นภาพสถานการณ์ต่างๆ ล่วงหน้า ก่อนที่จะต้องเจอกับตัวเอง เป็นการช่วยปลูกฝังคนให้มีวินัยทางการเงินมากขึ้น ซึ่งถ้าการเงินไม่มีมีปัญหา ชีวิตในด้านอื่นๆ ก็ย่อมดีขึ้น อันที่จริง ก่อนไปใช้บริการ ผมก็ได้ลองศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ K-We Plan ทางเว็บไซต์ก่อนแล้วพอสมควร และรู้สึกถูกใจ เป็นสิ่งที่ตรงกับความต้องการ เหมือนเป็นการทำงบดุลส่วนตัว อีกสิ่งที่ประทับใจมากคือ ผลการคำนวณที่ออกมา มีตัวเลขตัวหนึ่งที่ตรงกับที่ผมเคยลองทำบัญชีไว้เลย"

หลังจากเข้าโปรแกรมของ K-We Plan อัชพลบอกว่าส่วนใหญ่เขาเลือกวิธีการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำเป็นหลัก ส่วนการลงทุนในกองทุนประหยัดภาษีอย่าง LTF และ RMF นั้น ก็มองเป็นผลประโยชน์ในระยะยาวไปเลย ซึ่งเงินที่ลงทุนเป็นเงินเย็นอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงศึกษาเพื่อหาคำตอบสำหรับการอยู่รอดจากภาวะเงินเฟ้อได้โดย ไม่เสี่ยง

อัชพล บอกว่า เมื่อได้วางแผนการเงินอย่างจริงจัง เป้าหมายชีวิตต่อจากนี้ คือการเฝ้าดูการเติบโตของลูกๆ เป็นหลัก และตั้งเป้าเกษียณอายุที่ 60 ตามเกณฑ์ปกติ เพราะทุกวันนี้ เขามีความสุขกับการทำงาน จึงต้องการทำงานไปเรื่อยๆ โดยรวมๆ ตอนนี้ในด้านการงานก็ค่อนข้างพอใจแล้ว ซึ่งเขาถือว่า เมื่อพอใจในชีวิต นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตที่มีความสุข

เขาบอกว่าอยากให้คนตั้งแต่ในวัยยัง ไม่เริ่มทำงาน ให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงิน เพราะทุกวันนี้อัตราเงินเฟ้อก็น่ากลัวพออยู่แล้ว แต่บางคนยังมีพฤติกรรมการใช้เงินที่น่าเป็นห่วงมาก เช่นการใช้บัตรเครดิตจนเต็มวงเงิน บางคนนอกจากไม่วางแผนการเงินยังใช้ชีวิตอย่างประมาท

"หลักการที่ผมยึดติดตัวอยู่ตลอด เวลาคือ ไม่ประมาท ซึ่งก็อาจจะมาจากอาชีพการงานที่จำเป็นต้องมีความรอบคอบ ระมัดระวังอยู่เสมอ ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ การใช้จ่ายก็ต้องคิดให้รอบคอบ ดูความจำเป็นเป็นหลัก ว่าขาดไปแล้วชีวิตจะอยู่ได้ไหม แม้ผมจะเป็นคนที่มีวินัยในการการใช้เงินอย่างสูง แต่ก็ไม่ใช่คนที่ระมัดระวังในการใช้จ่ายถึงขั้นกระเหม็ดกระแหม่ เรียกว่ารู้จักใช้เงิน หรือใช้เงินเป็นดีกว่า"

นี่เป็นการวางแผนทางการเงินฉบับนักบิน ที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าคนในอาชีพอื่นๆ

Oอาจารย์วางแผนการเงินสไตล์สาวโสด

"ปิติพีร์ รวมเมฆ" อาจารย์ประจำ และผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอีกคนหนึ่งที่วางแผนการเงินฉบับสาวโสด

เธอเล่าให้ฟังว่าปกติเคยใช้บริการวาง แผนการลงทุนกับพวก Private Wealthทั้งของไทยและของฮ่องกงมาก่อน แต่ความที่มีอาชีพสอนหนังสือ จึงจำเป็นต้องอัพเดทข้อมูลบริการพวกนี้ จึงลองใช้บริการ K-We Plan ซึ่งนับว่าเป็นมิติใหม่ของการบริการที่เริ่มจากการเป็น ผู้ให้ ก่อน ทำให้คนใช้บริการรู้สึกดี และอยากตอบแทนกลับคืน อย่างบริการวางแผนลงทุน ปกติจะเน้นที่คำถามว่ามีเงินเท่าไร อยากฝากเท่าไร จะลงทุนอะไรยังไง แต่ K-We Plan ให้มากกว่านั้น คือวางแผนให้ทั้งชีวิตเลย ดูไปถึงว่ามีทรัพย์สิน ความมั่งคั่งเท่าไร มีเพชร มีทองหรือของใช้แบรนด์เนมที่สามารถแปลงเป็นเงินได้ไหม

"ทำให้รู้สึกเลยว่า ที่ผ่านมาเราเสียเงินไปกับสินค้าแบรนด์เนมไปไม่ใช้น้อย และของพวกนี้บางอย่างก็เหมือนการลงทุนเพราะนำไปขายต่อได้ แล้วก็ทำให้เห็นภาพว่าที่ผ่านมาเราใช้ชีวิต มีไลฟ์สไตล์ยังไง รู้จักการวางแผนได้ดีขึ้น และทำให้ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า สมมุติถ้าเราตกงานขึ้นมา เงินที่มีอยู่สามารถทำให้เราอยู่รอดไปได้นานแค่ไหน หรือมองไปอนาคตว่าอยากเกษียณตอนอายุแค่ไหน มีชีวิตไปจนอายุเท่าไร จะต้องใช้เงินแค่ไหนเมื่อถึงตอนนั้น"

ปิติพีร์ ยังบอกว่า K-We Plan มีจุดเด่นตรงที่มีโปรแกรมการวางแผนที่เข้าใจง่าย ใช้ภาษาง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้การเงิน ซึ่งเหมาะกับทุกๆ คน และไม่ทำให้รู้สึกเลยว่าเป็นการชวนให้ซื้อผลิตภัณฑ์ของธนาคาร ซึ่งต่างจากบริการวางแผนการเงินส่วนบุคคลอื่นๆ แพลนเนอร์ที่ให้คำแนะนำก็มีความรู้ความชำนาญจริง

ก่อนหน้านี้ เธอบอกว่าได้เรียนรู้การวางแผนการเงินมาจากพ่อแม่ซึ่งเป็นนักธุรกิจ และจากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา เพราะเคยทำงานด้านที่ปรึกษาให้กับอินเวสเม้นท์ แบงกิ้ง จึงคุ้นเคยกับการลงทุนมาพอสมควร

"เมื่อก่อนก็เคยมีนิสัยเสียเรื่องเงิน เงินเดือนได้มาเท่าไหร่ ก็ใช้หมด ไม่เคยเก็บ เพราะมีพ่อแม่คอยซัพพอร์ตเรื่องเงินอยู่ แต่พอถึงวันหนึ่งก็เริ่มรู้สึกว่า เงินไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต สิ่งสำคัญคือจะทำตัวให้มีคุณค่าและประโยชน์กับคนอื่นได้อย่างไร จึงหันมาสอนหนังสือ แม้รายได้จะน้อยกว่างานเดิมที่เคยทำ แต่รู้สึกเป็นงานที่ทำให้มีความสุข จากรายได้ที่เคยอยู่ในระดับ 6 หลัก ลดฮวบลงมาเหลือแค่ 5 หลักต้นๆ แต่ก็พอใจ ยิ่งรายได้ลดน้อยลงไป ยิ่งทำให้เห็นความสำคัญว่าจะทำให้เงินที่มีอยู่เกิดคุณค่าเพิ่มขึ้นได้อย่าง ไร"

หลักการที่ปิติพีร์ยึดไว้ตลอดคือ จะไม่ใช้เงินในอดีต ไม่ใช้เงินในอนาคต นั่นก็คือไม่ก่อหนี้สิน ใช้เงินปัจจุบันเท่านั้น เงินเดือนทุกเดือนต้องกันส่วนหนึ่งไปฝากกับสหกรณ์ของมหาวิทยาลัย

ในฐานะที่เป็นโสดคนหนึ่ง เธอมองว่าสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตคนโสดคือ สามารถรับผิดชอบตัวเองได้ ต้องมีหลักประกันซึ่งเราสร้างได้ด้วยตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อไม่เป็นภาระกับใคร หรือแม้แต่วันข้างหน้าจะมีครอบครัว ก็ต้องมีความพร้อม ไม่ต้องพึ่งพาใคร มองไปจนถึงวันที่เราเสียชีวิตไปแล้ว ก็ควรจะมีเงินก้อนหนึ่งไว้สำหรับจัดงานศพของเราด้วยซ้ำไป ทั้งหลายทั้งปวง คืออยากบอกว่า การวางแผนการเงินสำคัญมาก

"ที่ผ่านมาก็มีการลงทุนอยู่แล้ว เช่นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และลงทุนในตลาดหุ้นบ้าง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หลังจากคุยกับแพลนเนอร์ของ K-We Plan ก็จะมองไปไกลกว่านั้น คิดว่าแต่ละเดือนจะใช้เงินอย่างไร ไม่ว่าจะเงินเดือน หรือรายได้จากแหล่งอื่นๆ จะคิดเผื่อไปอีกต่างๆ นานา

เช่น ถ้ารายได้จากการให้เช่าอสังหาฯ หายไป จะทำอย่างไร ข้าวของเครื่องใช้แบรนด์เนมที่มีอยู่จะเอาไปขายต่อได้ไหม เวลาจะซื้อของก็คิดว่าต่อไปจะสามารถแปลงสภาพเป็นเงินได้ไหม หรือถ้าจะท่องเที่ยว ก็ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า ว่าจะใช้เงินเท่าไร จะได้แบ่งเงินได้ถูก K-We Plan ยังจุดประกายให้เห็นว่า เสื้อผ้า เครื่องประดับที่ไม่ใช้แล้ว เอามาขายได้ไหม เคยคุยกับลูกศิษย์ เขาบอกว่า เครื่องสำอางใช้แล้วบางอย่าง ยังเอามาขายต่อได้ ทำให้เราเห็นว่า ของทุกอย่างมีคุณค่า"

เธอมีข้อแนะนำเรื่องเงินๆ ทองๆ แบบง่ายๆ สำหรับคนทำงานและสาวโสดทั่วไป ว่าการเก็บเงินเริ่มได้ทันทีจากจำนวนเล็กๆ น้อยๆ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง ออมแค่วันละ 10 - 20 บาท พอเป็นปีก็เยอะขึ้นมาเอง ใช้แต่เงินปัจจุบัน อย่าใช้เงินอนาคต อย่าเป็นหนี้ ต้องหาสมดุลระหว่างรายรับและรายจ่าย รู้จักจดบันทึกการใช้จ่ายประจำวัน และรู้จักการลงทุน โดยเลือกช่องทางที่มีความเสี่ยงในระดับที่เรารับได้

เป็นแบบฉบับการวางแผนการเงินของสาวโสดที่น่าจะทำให้มีชีวิตบั้นปลายอย่างแสนสุข

Oวางแผนเพื่อชีวิตที่ใช่และวัยเกษียณที่ชอบ

"จิรวรา วีรยวรรธน" ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โอกิลวี่ พับลิค รีเลชั่นส์ เวิลด์วายด์ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนทำงานที่หันมาวางแผนการเงิน เธอเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้วางแผนการเงิน แต่ก็เป็นคนที่ไม่ใช้เงินเกินตัว เพราะไม่ชอบเป็นหนี้ ที่ผ่านมาจึงมีเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น ตอนเรียนใช้เงินพ่อแม่ ก็จะใช้เงินแบบประหยัด เพราะเกรงใจรู้สึกว่าไม่ใช่เงินของตัวเอง จะไม่มีการขอเพิ่ม แต่พอเริ่มทำงานจึงเริ่มใช้เงินอย่างเต็มที่ เพราะรู้สึกว่าเป็นเงินของเราเอง

"ตอนทำงานใหม่ๆ มีบัตรเครดิต 6 ใบ ใช้จนปวดหัวจำไม่ได้ว่าใช้อะไรบ้าง เงินที่ใช้ไปส่วนใหญ่ก็จะเป็นการชอปปิ้ง กิน ดื่ม เที่ยว แบบไร้ขีดจำกัด และเป็นคนชอบท่องเที่ยวทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แต่ก่อนไม่เคยมีเป้าหมายทางการเงินจริงๆ จังๆ มีเงินเก็บบ้าง แต่ไม่เคยนำเงินไปลงทุนอะไร เลยเพราะไม่ชอบ เรื่องเงินๆ ทองๆ รู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก ส่วนใหญ่เงินที่ชอปปิ้ง ก็เป็นของที่สาวๆ ชอบอยู่แล้ว คือเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า"

แต่เหตุที่ทำให้เธอหันมาวางแผนทางการ เงินอย่างจริงจัง เพราะได้ยินจากเพื่อนๆ หลายคนที่ไปใช้บริการ K-WePlan มาแล้วก็มาพูดให้ฟังว่าคนเราเมื่ออายุมากขึ้น เหลือเวลาทำงานไม่เยอะ ถ้าไม่รีบวางแผนทางการเงิน ชีวิตหลังเกษียณ หรือชีวิตที่เราอยากจะเป็น ในอนาคตจะเป็นอย่างไร

"พอเพื่อนพูดก็เริ่มฉุกคิดขึ้นมาว่า น่าจะจริงนะเพราะเราก็อยากจะเกษียณเร็วกว่ากำหนด และเราก็ชอบการท่องเที่ยว เป็นชีวิตจิตใจ ถ้าเราไม่วางแผนตอนนี้ แล้วเราจะได้ชีวิตอย่างที่เราต้องการหลังเกษียณมั้ย"

จิรวรา บอกว่าจากการไปทำ Financial Check up กับ K-WePlanner มา ทำให้พบว่า จากที่ไม่เคยมีเป้าหมายจริงจัง ก็ทำให้เราเริ่มอยากมีเป้าหมายขึ้นมา เพราะที่ผ่านมาการไม่วางแผนการเงินทำให้เราไม่เคยลงทุนอะไรหลายอย่างที่มี ประโยชน์ อาทิกองทุน LTFและ RMF, ซื้อทอง เพชร มีแต่เงินเก็บในธนาคาร ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ จริงอยู่ที่เป็นการประกันความเสี่ยงให้กับชีวิต แต่หากมองในแง่ของการลงทุน ก็เพิ่งค้นพบว่ามีการลงทุนหลายอย่างที่ช่วยลดภาษีได้มาก

"จากการที่ไม่เคยลงทุนอะไร ทาง K-WePlanner จึงค่อยๆ แนะนำเราให้ทำอะไรใหม่ๆ กับชีวิตมากขึ้น อาทิ การจดรายรับ - รายจ่าย ในเวลา 1 เดือน เพื่อให้ทราบว่าค่าใช้จ่ายเราจริงๆ แล้วไปอยู่ที่ค่าอะไรบ้าง แล้วเราค่อยกลับไปปรึกษากับเขาใหม่ เพื่อให้เขาวางแผนทางการเงิน ที่เหมาะกับตัวของเราเองจริงๆ อีกครั้ง เท่ากับว่าเราจะมีงบดุลชีวิตของตัวเองแล้ว เขายังแนะนำให้เราเก็บเงินทุกๆ เดือน พอครบปีก็เอาไปลงทุนใน LTF หรือนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเงินจำนวนนี้พอครบปี เราก็ยังนำไปหักภาษีได้ ซึ่งหากเราทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เงินที่หักภาษีได้ก็กลับไปเป็นเงินสะสมให้เราได้อีก ซึ่งเราไม่เคยคิดเลย ว่าเงินพวกนี้จะกลับคืนมาให้เรามากกว่าที่เราคิด หรือแทบจะไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำไป"

ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นหลังจากเริ่ม วางแผนการเงิน จิรวราบอกว่า ทำให้เธอเห็นเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนขึ้น เห็นเส้นทางชีวิตของตัวเองที่ต้องเริ่มทำ ซึ่งทำให้คิดได้ว่า จริงๆ แล้วเราน่าจะทำได้เร็วกว่านี้ เพราะถ้าตั้งใจจะเกษียณตอนอายุ 50 หรือ 55 ปี ก็เท่ากับเหลือเวลาอีกหลายสิบปี ที่อาจจะไม่มีรายได้เลย แถมเงินเฟ้อก็สูงขึ้นทุกปี

"ตอนแรกคิดว่ายากมาก ไม่อยากทำ ไม่อยากให้ใครมากำหนดเรา เพราะเราเป็นพวกอารมณ์ศิลปิน แต่พอได้เริ่มพูดคุยกับที่ปรึกษา ที่มีวิธีจุดประกายให้เห็นความสำคัญอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต จึงทำให้เราต้องเริ่มมีวินัย และพฤติกรรมที่ต้องเปลี่ยนแปลง คือ เริ่มวางแผน หรือถ้าทำไม่ได้ก็ให้คนมาช่วยเรา เพื่อให้เรามีเข็มทิศชีวิต ของตัวเอง เพราะเราจะได้ผู้ช่วย หรือตัวช่วยที่ทำให้ชีวิตของเรามีเส้นทางไปสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้น และไม่หลงทางด้วย และที่สำคัญที่สุด คือ ความสบายใจ ที่จะได้มีชีวิตที่ตัวเองต้องการหลังวัยเกษียณที่ชัดเจนขึ้น

ที่สำคัญ เขาไม่ได้บังคับให้เราต้องลงทุนกับธนาคาร หรือบริษัทในเครือกสิกรไทย ใดๆ ทั้งสิ้น เช่น เราสะดวกใช้แบงก์ที่เรามีอยู่เราก็ใช้แบงก์นั้น มันเป็นการบริการที่ดี และทำให้เราประทับใจ จนทำให้เราคิดว่ามีประโยชน์มากๆ ที่จะแนะนำเพื่อนๆ ชาวเอเยนซี ให้เริ่มคิดกันบ้างแล้ว กว่าจะรู้ตัวอาจจะสายเกินไปได้ ว่าการเก็บเงินเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ช่วยอะไรได้มากนัก ต้องมีการลงทุนที่เหมาะกับเราถึงจะดีกว่า เป็นตัวช่วยให้เป้าหมายเป็นจริงมากขึ้น ไม่เช่นนั้น ชีวิตเริ่มการวางแผน ยิ่งช้า ก็ยิ่งเหนื่อย"

เธอทิ้งท้ายว่า หากคนเรามีการวางแผนทางการเงินที่ดี เศรษฐกิจจะแย่แค่ไหน ก็ทำให้ชีวิตเสี่ยงน้อยลง บางคนอาจจะยุ่งกับหน้าที่การงาน จนไม่มีเวลาที่จะวางแผนเรื่องเงินๆ ทองๆ แต่ K-WePlan จะช่วยวางแผนการเงิน และทำให้เป็นชีวิตอย่างมีเป้าหมายในแบบที่เราต้องการ

นี่เป็นแผนการเงิน 3 แบบ 3 สไตล์ อาจจะต่างกัน แต่ที่เหมือนกันคือ เขาได้ลงมือวางแผนการเงินเพื่อชีวิตที่มีคุณภาพและอนาคตอันหอมหวาน

ที่มา : www.nationsJobs.com

กฏ 23 ข้อ ที่ทำให้เว็บน่าสนใจ

กฏ 23 ข้อ ที่ทำให้เว็บน่าสนใจ

กฎ 23 ข้อดังต่อไปนี้ เป็นการวิจัยของ 3 สถาบัน ได้แก่ The Poynter Institute, the Estlow Center for Journalism & New Media, และ Eyetools ภายใต้โครงการ The Eyetrack III ซึ่งศึกษาถึงกลยุทธ์การออกแบบเว็บไซต์เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ให้มาก ที่สุด

1. ตัวอักษรดึงดูดความสนใจได้เร็วกว่าภาพหรือกราฟฟิค

2. จุดแรกที่สายตามองคือ มุมซ้ายบนของหน้าเว็บ

3. ผู้ใช้จะมองไปที่มุมซ้ายบนของเว็บไซต์ ก่อนที่จะเลื่อนสายตาลงมาด้านล่างขวาเรื่อยๆ

4. ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่สนใจมองแบนเนอร์โฆษณา

5. รูปแบบเว็บไซต์และตัวอักษรที่มีสีสันสะดุดตา มักไม่ได้รับความสนใจจากผู้ใช้

6. แสดงข้อมูลเป็นตัวเลข จะดึงดูดสายตามากกว่าเขียนเป็นตัวอักษร

7. ขนาดตัวอักษรมีผลต่อพฤติกรรมการใช้เว็บ โดยตัวอักษรเล็กๆ จะทำให้คนอ่านอย่างละเอียด ขณะที่ตัวอักษรใหญ่ ทำให้คนมองเป็นอันดับแรก

8. คนส่วนใหญ่อ่านพาดหัวรอง ในกรณีที่น่าสนใจจริงๆ

9. คนมักจะอ่านส่วนล่างของหน้าเว็บแบบผ่านๆ

10. ประโยคหรือย่อหน้าสั้นๆ ดึงดูดความสนใจของคนอ่านมากกว่า

11. รูปแบบเว็บไซต์ที่มีแถวแนวตั้งแถวเดียว ดึงดูดสายตามากกว่าหลายแถว

12. แบนเนอร์โฆษณาที่อยู่บริเวณบนสุดและซ้ายสุด จะดึงดูดสายตามากที่สุด

13. การวางโฆษณาใกล้กับคอนเทนท์ที่ดีที่สุด จะได้รับความสนใจจากผู้ใช้ค่อนข้างมาก

14. โฆษณาแบบตัวอักษรได้รับความสนใจมากกว่าโฆษณาแบบภาพหรือกราฟฟิค

15. ภาพยิ่งใหญ่ ยิ่งดึงดูดความสนใจได้มาก

16. ภาพที่ชัด ดูง่าย และถ่ายบุคคลจริงๆ จะได้รับความสนใจจากคนดู มากกว่าภาพประเภทดีไซน์จัดๆ ภาพนามธรรม (abstract) หรือภาพนายแบบ-นางแบบ

17. หน้าเว็บไซต์ก็เหมือนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ เพราะฉะนั้น พาดหัวจะได้รับความสนใจมากที่สุด

18. คนส่วนใหญ่มักจะสนใจหัวข้อและเมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

19. ถ้ามีบทความยาวๆ ในเว็บไซต์หรือบล็อก หากแยกเนื้อหาออกเป็นข้อๆ จะได้รับความสนใจจากผู้อ่านมากขึ้น

20. ผู้ใช้มักจะไม่อ่านบทความที่ติดกันยาวๆ หลายบรรทัด ดังนั้น ถ้าบทความยาวมาก ควรแตกเป็นย่อหน้าย่อยๆ

21. การดึงความสนใจของคนให้อ่านบทความให้มากและนานที่สุด คือการใช้รูปแบบตัวอักษรที่แตกต่างกันไป เช่น ตัวหนา ตัวใหญ่ ตัวเอียง ตัวขีดเส้นใต้ หรือตัวอักษรสีต่างๆ แต่ไม่ควรใช้มากเกินไป เพราะทำให้ผู้อ่านหมดความสนใจเช่นกัน

22. เว้นที่ว่างบนหน้าเว็บบ้างก็ดี ไม่ต้องใส่ข้อมูลหรือภาพบนทุกอณูของเว็บก็ได้

23. ปุ่ม navigation ควรวางไว้บนสุดของหน้าเว็บ เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ได้ง่ายที่สุด

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ