วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สร้างความแตกต่างให้กับนักขายด้วยหลักการของปรึซึม (PRISM)

สร้างความแตกต่างให้กับนักขายด้วยหลักการของปรึซึม (PRISM)

นัก ขายทั้งหลายคงทราบกันดีอยู่แล้วนะคะว่า หัวใจของการขายไม่ใช่อยู่แค่ตัวสินค้า หากแต่อยู่ที่สัมพันธภาพที่ดีของลูกค้าและนักขายต่างหาก นักขายที่ดีจึงต้องสำรวจความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ เพื่อที่จะสามารถปรับกระบวนการทางธุรกิจ พัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า และสร้างมูลค่าเพิ่มที่แตกต่างจากเดิม รวมทั้งฉีกแนวจากคู่แข่งด้วย ซึ่งนักขายต้องรู้ว่าพฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการของลูกค้าเป็นอย่างไร ลูกค้าต้องการอะไร ก่อนซื้อ ขณะซื้อ และหลังการซื้อ นำไปสู่การให้บริการที่น่าประทับใจต่อไป


ใน เรื่องของการบริการและการสร้างสัมพันธภาพกับลูกค้าก็เป็นสิ่งที่ต้องมีการ ปรับเปลี่ยนเพื่อเกิดความแปลกใหม่ ไม่จำเจ และไม่เหมือนใคร หากนักขายมีโอกาสนำหลักการของปริซึม ( PRISM) ไปใช้จะช่วยผลักดันโอกาสให้กับนักขายเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าจะสร้างความแตกต่างให้กับนักขายได้ด้วย 5 วิธีง่ายๆ ดังนี้

PRISM คือ แสงที่มองผ่านเลนรูปพีระมิดซึ่งมาจากคำว่า
• P : Product คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์
• R : Relationship คือ การพัฒนาสัมพันธภาพกับลูกค้า
• I : Image คือ การสร้างภาพลักษณ์ ภาพพจน์ และสร้างตรายี่ห้อ
• S : Service คือ การพ่วงบริการไปกับผลิตภัณฑ์
• M : Management คือ การบริหารกระบวนการภายใน


1. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product)
2. การพัฒนาสัมพันธภาพกับลูกค้า (Relationship)
3. การสร้างภาพลักษณ์ ภาพพจน์ และสร้างตรายี่ห้อ (Image)
4. การพ่วงการให้บริการ (Service)
5. การบริหารกระบวนการภายใน (Management)


ปัจจุบัน เราจะเห็นว่า ผู้ผลิตสินค้ามีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงดีไซน์ของบรรจุภัณฑ์ การเพิ่มส่วนผสมที่มีคุณสมบัติพิเศษ การปรับขนาดหรือรูปแบบผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค เช่น วิวัฒนาการของผงซักฟอก ที่มีการออกสูตรใหม่ๆ มาตลอดเวลา เช่นสูตรซักมือ สูตรซักเครื่อง สูตรเพิ่มพลังซักต่างๆ เป็นต้น ในด้านของขนาดสินค้าก็มีทั้งแบบซองเล็ก 2 บาท 3 บาท 5 บาท แบบพกพา เรื่อยไปจนถึงขนาดใหญ่ใช้ทั้งครอบครัว เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภค การพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ก็เพื่อให้ลูกค้ามีความรู้สึกไม่จำเจ และมีความทันสมัยอยู่เสมอ

นัก ขายต้องมีกลยุทธ์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยสัมพันธภาพ การสร้างความประทับใจในตัวสินค้าและการให้บริการจะช่วยให้ลูกค้าเกิดความ ภักดีต่อตราสินค้า เกิดความยึดติดกับนักขาย และไม่คิดเปลี่ยนใจไปใช้สินค้ายี่ห้ออื่น นักขายที่ดีต้องทำให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำ ซื้อบ่อย และมีการบอกต่อไปยังญาติและเพื่อนต่อๆ ไป ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มยอดขาย และเพิ่มกำไรให้กับบริษัท นำไปสู่การเพิ่มโบนัสให้แก่พนักงาน

นัก ขายต้องมีทักษะในการนำเสนอ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า โดยก่อนอื่นต้องรู้ว่าจุดเด่นของสินค้าเราคืออะไร อยู่ที่ตรงไหน และกำหนด keyword ที่จะใช้บอกกับลูกค้าแบบสั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความ ทำให้ลูกค้ารู้ว่าสินค้านี้ดีอย่างไร ทันสมัย ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีคุณภาพสูง แต่ราคาไม่แพง มีการรับประกันคุณภาพสินค้า เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นการสร้างภาพลักษณ์ ภาพพจน์ และตรายี่ห้อให้ติดอยู่ในใจของลูกค้าทั้งสิ้น ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นในตัวสินค้า และเกิดการซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง

การ นำเสนอสินค้าที่มีบริการเสริมพ่วงท้ายไปด้วย เป็นบริการพิเศษที่กระตุ้นยอดขายให้กับเหล่านักขายได้ดีอีกวิธีหนึ่ง เมื่อสินค้าเรามีความพิเศษเพิ่มขึ้นกว่าที่อื่น ก็ไม่ยากที่ลูกค้าจะตัดสินใจเลือกใช้สินค้าและบริการของเรา วิธีนี้เปรียบเสมือนการติดอาวุธการขายให้กับนักขาย เช่น รับประกันซ่อมฟรีภายใน 1ปี หรือบริการติดตั้งฟรี ให้กับ End User ส่วนบริการสำหรับร้านค้าหรือตัวแทนจำหน่าย เช่น บริการสอนเทคนิคการขาย หรือบริการพนักงานขายประจำ ณ จุดขาย เป็นต้น

คือ การพัฒนาพนักงานให้มีความพร้อมที่จะให้บริการลูกค้า ทั้งในแง่ของความรู้ และความเต็มใจในการให้บริการ อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า รวมไปถึงการดูแลรักษาลูกค้าด้วยการจัดกิจกรรมเพื่อกระชับความสัมพันธ์ ระหว่างลูกค้ากับพนักงานอย่างต่อเนื่อง เช่น มีการเลี้ยงขอบคุณลูกค้า ทำกิจกรรมเพื่อสังคมร่วมกัน และให้ลูกค้าได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมการผลิต เป็นต้น การเตรียมพนักงานให้พร้อมดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี จะสร้างประสบการณ์อันงดงามให้ลูกค้าจดจำไปนานเท่านาน;

ด้วย หลักการ PRISM เพียง 5 ข้อนี้ มั่นใจได้ว่านักขายสามารถสร้างความแตกต่างที่น่าประทับใจให้กับลูกค้า และสามารถรักษาลูกค้าได้อย่างเหนียวแน่นแน่นอน

สร้างความภักดีต่อตราสินค้าด้วยการตลาดแบบสะสมแต้ม

สร้างความภักดีต่อตราสินค้าด้วยการตลาดแบบสะสมแต้ม
ใน ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันนี้ นักการตลาดต้องมีการปรับแผนการตลาดเพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันทางการ ตลาดสูง ไม่ใช่แค่ทัดเทียม แต่ต้องให้เหนือกว่าบริษัทคู่แข่ง ไม่ใช่แค่หาลูกค้าใหม่ แต่ต้องรักษาความภักดีต่อตราสินค้าของลูกค้าไว้ให้เหนียวแน่น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องน่าท้าทายสำหรับนักการตลาด ให้แสวงหาเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าไม่ให้เปลี่ยนไปใช้สินค้าของคู่แข่ง “วิธีการสะสมแต้ม” เป็นแนวทางการตลาด อีกรูปแบบหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูงและใช้แพร่หลาย
รู้จัก Enterprise Currency Marketing (ECM)

“วิธี การสะสมแต้ม” เป็นรูปแบบหนึ่งของการตลาดแบบ Enterprise Currency Marketing (ECM) ซึ่ง หมายถึง การทำการตลาดโดยใช้เงินหรือสิ่งของที่มีมูลค่าเทียบเท่าเงินที่ออกโดยองค์กร นั่นก็คือ การสะสมแต้ม เพื่อดึงดูดและสร้างความภักดีของลูกค้าต่อสินค้าของบริษัท วิธีนี้เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าและบริการไปแล้ว จะได้รับแต้มสะสม เพื่อนำมาแลกรับของขวัญชิ้นพิเศษ หรือใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าหรือบริการในครั้งต่อไป จึงทำให้เกิดการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง
ประโยชน์การการตลาดแบบสะสมแต้ม

จาก ผลสำรวจความพึงพอใจของผู้บริโภคพบว่าการสะสมแต้มได้ผลดีกว่าการให้ส่วนลด เนื่องจากเมื่อลูกค้าซื้อสินค้าลดราคาแล้ว ลูกค้าไม่จำเป็นต้องกลับมาซื้อสินค้าของเราซ้ำอีกก็ได้ หรือบางรายอาจเปลี่ยนไปซื้อสินค้าของคู่แข่งเลยก็มี แต่เมื่อลูกค้าได้แต้มสะสมจากการซื้อสินค้าหรือบริการในครั้งแรก ลูกค้าจะถูกจูงใจด้วยแต้มสะสมที่ได้มาแล้ว ทำให้พอใจและมีโอกาสที่จะกลับมาซื้อสินค้าและบริการอีกในครั้งต่อไป เรียกว่า Customer Log-In Strategy เป็นการ loginลูกค้าและสร้างความภักดีที่มีต่อตราสินค้า

ใน ขณะเดียวกันการตลาดแบบสะสมแต้ม เป็นการตลาดโดยตรงที่คุ้มค่าต่อเงินที่ลงทุนไป ซึ่งวิธีนี้เราได้เงินจากการใช้จ่ายของลูกค้าอย่างแน่นอน แล้วจึงตอบแทนกลับไปยังลูกค้าในรูปของแต้มสะสม ซึ่งต่างจากการจัดอีเวนต์ หรือการลงโฆษณาที่เราต้องลงทุนไปก่อน แล้วค่อยเก็บเกี่ยวทีหลัง ซึ่งอาจไม่คุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนไปก็ได้

นอก จากนั้นการตลาดรูปแบบนี้ยังทำให้เราสามารถนำข้อมูลการซื้อสินค้าและบริการ ของลูกค้ามาใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า เพื่อใช้ในการทำการตลาดเชิงลึกต่อไปได้ด้วย ซึ่งเรียกว่า Customer Behavior Detection

อย่าง ไรก็ดีการทำการตลาดวิธีให้ให้ประสบความสำเร็จจะต้องคำนึงถึงพฤติกรรมของ ลูกค้าอย่างแท้จริง ไม่ใช่ทำเพียงผิวเผิน ของรางวัลที่ให้แลกต้องจูงใจมากพอที่จะให้ลูกค้าอยากจะซื้อซ้ำเพื่อทำแต้ม ให้ได้ถึงเป้าที่กำหนด

หาก นำประโยชน์ของ ECM มาประยุกต์ใช้คู่กับ Pull & Push Strategy คือการดึงลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคให้เกิดแรงจูงใจ ต้องการสินค้า เข้ามาซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีก และทำให้ร้านค้าปลีก ต้องการซื้อสินค้าจากร้านค้าส่ง หรือตัวแทนจำหน่ายอีกที ในขณะเดียวกันก็มุ่งเน้นกลยุทธ์แบบผลักไปด้วย โดยเน้นไปที่การทำการตลาดกับร้านค้าส่ง หรือตัวแทนจำหน่าย และนักขาย ผลักดันให้ขายสินค้าออกไปยังคู่ค้า (Trade Promotions) เช่น การจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวต่างประเทศหรือคืนทุน (Rebates) ฯลฯ พร้อมๆ กับการส่งเสริมการขายไปยังผู้บริโภค (Consumer Promotions) โดยใช้นักขายให้ผลักดันการขายสินค้าในร้านไม่ว่าจะเป็นการส่งพนักงานแนะนำ สินค้า (PC)ไปประจำ ณ จุดขาย หรือกิจกรรม ของแถม หรือคูปอง และ ชิงโชค สำหรับลูกค้าหน้าร้าน จะช่วยกระตุ้นการตลาดแบบสะสมแต้มได้ดียิ่งขึ้น

การจัดการกับความขัดแย้งในการทำงาน.....คุณใช้วิธีใด ?

การจัดการกับความขัดแย้งในการทำงาน.....คุณใช้วิธีใด ?โดย อาจารย์ เรวดี วัฒฑกโกศล
คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ลองคิดกันเล่นๆ ว่าหาก คุณและเพื่อนๆ ในกลุ่มได้รับเงินจำนวนหนึ่งสำหรับทำกิจกรรมอะไรก็ได้ให้สำเร็จภายใน 2 อาทิตย์ คุณจะทำอะไร? แน่นอน…คุณกับเพื่อนต่างก็มีสิทธิเสนอความคิดในการจัดกิจกรรม แต่ความคิดของใครล่ะ? ที่จะได้รับการยอมรับในเมื่อแต่ละคนต่างก็คิดว่าความคิดของตนดีที่สุด แสดงว่าในขณะนี้กลุ่มกำลังเกิดความขัดแย้งขึ้น คุณมีวิธการจัดการกับความขัดแย้งนี้อย่างไร?

Johnson & Johnson เสนอแบบพฤติกรรม การจัดการกับความขัดแย้งโดยมีแนวคิดว่าบุคคลต่างมีวิธีที่ไม่เหมือนกัน วิธีจัดการกับความขัดแย้งนี้เป็นสิ่งที่บุคคลเรียนรู้ตั้งแต่วัยเด็ก และใช้วิธีการนั้นๆจนดูเป็นอัตโนมัติโดยไม่ทันตระหนักว่าตนกำลังใช้วิธีการใด เนื่องจากแต่ละคนมีรูปแบบวิธีการจัดการกับความขัดแย้งของตนเอง และเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ดังนั้นบุคคลจึงสามารถเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงวิธีการ จัดการกับความขัดแย้งได้ตลอดเวลา

เมื่อบุคคลเผชิญกับความขัดแย้ง มีประเด็นหลักสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ
1. การบรรลุวัตถุประสงค์ และจุดมุ่งหมายส่วนตัว
บุคคลต่างต้องการให้วัตถุประสงค์ และจุดมุ่งหมายส่วนตัวบรรลุผลสำเร็จ เมื่อใดก็ตามที่วัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายของคุณและเพื่อนไม่ตรงกัน คุณจะให้ความสำคัญกับวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายส่วนตัวของคุณมากน้อยเพียงใด
2. การรักษาสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
บุคคลต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นและทำงานร่วมกัน จึงจำเป็นต้องรักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกันไว้เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่ออยู่ในภาวะขัดแย้ง คุณจะให้ความสำคัญกับการรักษาสัมพันธภาพกับผู้อื่นมากน้อยเพียงใด

ดังนั้นการจัดการกับความขัดแย้ง บุคคลจะต้องพิจารณาประเด็นหลัก 2 ประเด็นข้างต้นว่าประเด็นใดมีความสำคัญต่อคุณมากน้อยเพียงใดซึ่งสามารถสรุปได้ ต่อไปนี้
เต่า (Withdrawing)
โดยธรรมชาติแล้วเต่ามักจะ หดหัวอยู่ในกระดองเมื่อเผชิญกับภัยอันตราย ผู้มีลักษณะนี้มักหลีกหนีปัญหาความขัดแย้งโดยไม่เผชิญหน้ากับคู่กรณี เพราะเชื่อว่าไม่มีประโยชน์และรู้สึกสิ้นหวังที่จะพยายามแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้น การถอนตัวจากปัญหาต่างๆง่ายกว่าการเผชิญหน้ากับปัญหานั้น
ฉลาม (Forcing)
ลักษณะของ ฉลาม มักเอาชนะด้วยการใช้วิธีบังคับให้คู่กรณียอมรับวิธีการของตน โดยเห็นว่าเป้าหมายที่ตนต้องการมีความสำคัญมากกว่าการรักษาสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน บุคคลเหล่านี้สามารถทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนบรรลุในสิ่งที่ต้องการ โดยไม่สนใจว่าผู้อื่นจะรู้สึกอย่างไร เขามีความเชื่อว่าความขัดแย้งจะยุติลงได้ ต้องมีผู้ชนะและผู้แพ้ แน่นอนเขาจะต้องเป็น ผู้ชนะ เพราะการได้รับชัยชนะก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและความสำเร็จ ส่วนการพ่ายแพ้ทำให้เขารู้สึกอ่อนแอ ด้อยค่าและ ล้มเหลว
ตุ๊กตาหมี (Smoothing)
ผู้ที่มีลักษณะนี้ให้ความสำคัญกับสัมพันธภาพระหว่างบุคคลอย่างมาก ส่วนวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายส่วนตัวมีความสำคัญน้อย "ตุ๊กตาหมี" ต้องการให้ผู้อื่นยอมรับและชื่นชอบ โดยเชื่อว่าควรหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเพื่อให้สัมพันธภาพราบรื่น การโต้แย้งนำไปสู่การทำลายสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน บุคคลเหล่านี้ยอมสละความต้องการ ส่วนตนเพื่อเอาชนะใจเพื่อนร่วมงาน
สุนัขจิ้งจอก
(Compromising) เป็นวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยการประนีประนอม หรือ"พบกันคนละครึ่งทาง" บุคคลเหล่านี้ยอมลดระดับความต้องการของตนเองลงบางส่วนและชักจูงให้เพื่อนร่วมงานยอมสละความต้องการของเขาลงบ้างเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย
นกฮูก (Confronting)
"นกฮูก" มองว่าความขัดแย้งเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขโดย เผชิญหน้า กับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นและพยายามให้แต่ละฝ่ายได้บรรลุถึงความต้องการของตนในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกันไว้ได้
จากการศึกษาวิจัยพบว่า การเผชิญหน้ากับปัญหา (Confronting) เป็นวิธีการแก้ปัญหาแบบสร้างสรรค์ส่วน การบังคับ (Forcing) เป็นวิธีการจัดการกับความขัดแย้งที่ไม่มีประสิทธิภาพอย่างมาก ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จในการบริหารงานมักใช้วิธีการเผชิญหน้ากับปัญหามากกว่าวิธีการบังคับ

อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าวิธีการจัดการกับความขัดแย้งวิธีการใดมีระสิทธิภาพที่สุด เพราะแต่ละวิธีการต่างมีลักษณะเฉพาะตัว การใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับการให้น้ำหนักความสำคัญกับ วัตถุประสงค์ส่วนตัว หรือ การรักษา สัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ในสถานการณ์หนึ่งอาจเหมาะกับวิธีจัดการกับความขัดแย้งแบบหนึ่งและเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปบุคคลก็ต้องเปลี่ยนวิธีการให้สอดคล้องกับสถานการณ์นั้นๆ
References
Johnson, D.W.,& Johnson, F.P. (1994). Joining Together.Boston: Allyn and Bacon

บทความสุดท้ายจาก "ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร"

บทความสุดท้ายจาก "ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร"
หลังป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้มา 2 ปีกว่า โดยโรคได้ลุกลามจนถึงขั้นตัดลำไส้ออกไปครึ่งหนึ่ง แต่เชื้อร้ายยังขยายตัวไปสู่ตับจนกระทั่งเสียชีวิตดังกล่าว แนะนำให้ค่อยๆ อ่านทีละวรรค วันละนิด วันละหน่อย แล้วคุณจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคุณ คุณทำงานหนักเพื่อใคร เป้าหมายในชีวิตคุณคืออะไร ชีวิตคุณมีค่ามากแค่ไหน ลองอ่านดูนะคะ

ไม่เคยมีสิ่งไหนเลยที่จะทําให้เราท้อถอย หมดกําลังใจ จะบอกกับตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่า “ต้องหาย” เราไม่มีทางเลือกอื่น เรากลับรู้สึกว่าเราให้ความสําคัญและคุณค่ากับการมีชีวิตอยู่มากขึ้นด้วยซํ้าไป อยากมีชีวิตอยู่เพื่อดูลูกเติบโตขึ้นมา อันนี้คือ ความรู้สึกที่ทํ าให้ “วรฑา” จึงต้องเกิดขึ้น ไม่ได้คิดว่าการเปลี่ยนชื่อเป็นการแก้เคล็ด แต่มันเปลี่ยนจากความรู้สึกที่เราเป็นคนเรียกหาเอง “อภิวัฒน์” เขาเหนื่อยยากมามากแล้ว ให้เขาพักผ่อนเถอะ แล้วให้ “วรฑา” เขามีชีวิตใหม่ “การทุ่มเทเวลาให้กับงานจนลืมให้ความสําคัญกับตัวเอง ไม่ใช้การใช้ชีวิตที่ถูกต้องเพราะเวลาที่เราเจ็บป่วย ก็จะมีแต่คนที่เรารักเท่านั้นคอยดูแล หากเหตุผลของการทํางานหนัก คือเพื่อเลี้ยงดูลูกเมีย ในที่สุดแล้วผลที่เกิดขึ้นก็จะมีแต่ลูกเมียเท่านั้นที่ได้รับความทุกข์นี้”

“การจัดสรรชีวิตเป็นเรื่องที่สําคัญ โปรดรู้ไว้ว่า การนอนชดเชยไม่มีจริงในชีวิตนี้ การสูญเสียการนอนไปแล้วชดเชยด้วยการนอนสองเท่าไม่ได้ นาฬิกาชีวิตมันผ่านไปแล้ว ชีวิตในเวลานั้นๆ มันต้องพัฒนาม้าม มันต้องพัฒนาลําไส้ เราต้องเข้าใจกลไกของชีวิต เข้าใจกลไกของร่างกายเข้าใจวิธีการที่จะดูแลตัวเองให้อยู่ไปนานๆ ทุ่มเททํ างานได้ แต่อยากจะทําไปอย่างนี้ได้นานๆไหม ถ้าอยากทําควรจะใส่ใจตัวเองให้มากกว่านี้”

1) ตอนที่ผมไปเรียนต่อต่างประเทศ เราจะกลัวไปหมดทุกเรื่อง แต่คุณแม่เขียนจดหมายมาสอนผมว่า "อย่ากลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะถ้าเราไปตั้งท่ากลัวเสียก่อนมันก็จะไม่เกิดสติปัญญาที่จะไปแก้ไขปัญหา สู้เราทำตัวสบาย ๆ แล้วแก้ไขปัญหาไปตามธรรมชาติจะดีกว่า"
2) คนไทยเราเรียนปริญญาโทเพราะคิดว่าเรียน ๆ ไปเถอะ เราแยกเอาการเรียนรู้และชีวิตออกจากกัน เชื่อแต่ว่าพอจบการศึกษาแล้วค่อยใช้ชีวิต แต่ในต่างประเทศการเรียนรู้เป็นการกระทำที่ต่อเนื่อง มันเป็นสิ่งที่เคียงคู่กับการใช้ชีวิต
3) คุณพ่อ-คุณแม่ผมเป็นคนที่เชื่อมั่นในการศึกษา การศึกษาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมีใครขโมยไปได้ การศึกษาเป็นทรัพย์สินที่ต่อเนื่อง คุณพ่อ-คุณแม่จึงพยายามทุกวิถีทางให้ผมมีการศึกษาที่ดี ยอมขายที่นา เพื่อให้สามารถส่งเสียผมไปเรียนได้ ทุกครั้งที่เห็นเด็กไม่สนใจการเรียน ผมจะรู้สึกเศร้าใจมาก ๆ หากมีโอกาสได้ทำบุญ ผมจะเลือกทำบุญกับโอกาสทางการศึกษาของเด็ก
4) การที่คนเราจะมองหาจุดมุ่งหมายของชีวิตให้เจอ มันเกิดขึ้นต่างรูปแบบกัน ต้องถามตัวเองว่า อะไรคือสิ่งที่เราอยากจะทำที่สุดในชีวิตกันแน่ ผมเชื่อว่าทุกคนต้องหาให้เจอ ไม่ช้าก็เร็ว เราจะได้มีพลังขับเคลื่อนให้ไปถึงจุดมุ่งหมาย
5) ผมคร่ำเคร่งกับการเรียนเพราะเป็นสิ่งที่เราไปอยู่ตรงนั้นเพื่อที่จะทำมัน เราไม่ได้ไปอเมริกาเพื่อท่องเที่ยว เราไปเพื่อศึกษา อย่าลืมว่าผมทำงานไปด้วย เพราะฉะนั้นผมไม่ได้พลาดโอกาสที่จะเรียนรู้ชีวิตในอีกแบบหนึ่ง ในขณะเดียวกันผมก็ไม่พลาดโอกาสที่จะเปิดหูเปิดตาไปท่องเที่ยว ผมคิดว่า ชีวิตผมค่อนข้างจะรอบด้าน ได้ศึ่กษาทั้งวิชาการและทำงานแบบผู้ใช้แรงงาน
6) มองย้อนหลับไป ผมจะเลือกเงินหรือชีวิตเหรอ? ก็ผมนี่ไงผมเป็นตัวอย่างของคนที่มุ่งหน้าหาเงิน เพราะว่าผมมีแผนการในชีวิตมากมายที่ต้องสร้างสมเอาไว้เพื่อครอบครัว มันไม่ถึงกับลืมใช้ชีวิตหรอก แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้ชีวิตมากกว่า ที่สุดแล้วมันก็นำพาซึ่งความเจ็บป่วย ที่สุดแล้วผมก็หาเงินตามจุดมุ่งหมายได้ไม่มากเท่าที่ควร เราบอกว่าเราจะทำงานสัก 20 ปี แต่ว่าโอกาสของเรามีแค่ 10 ปี เพราะหลังจากที่ตรากตรำทำงานมาหนัก ร่างกายบอกว่ามันทำได้แค่นี้ เพราะฉะนั้นก็ลงเอยด้วยการที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน
7) ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงเลือกทั้งเงินและชีวิตเพราะว่าเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินก็ยังเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิต แต่ว่ามันไม่ใช่สรณะ ผมเลือกที่จะกระจายการทำงาน กระจายความทุ่มเทนั้นออกไป เพื่อให้สามารถทำงานได้นานมากขึ้น และตัวผมเองสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นาน ๆ
8) ความทรงจำที่มีค่ามากสำหรับผม มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเล็ก ๆ ที่ผมอยู่กับตัวเอง
9) ผมเคยเขียนการ์ดเล็ก ๆ ให้ภรรยา สรุปความได้ว่า เวลาที่คนสองคนเดินไปบนชายหาด ตอนที่เราหันกลับมามองก็จะเห็นเป็นรอยเท้าเล็ก ๆ 2 คู่ เดินไปเดินมา ทำไมเราจึงเห็นรอยเท้าเหลืออยู่แค่คู่เดียวล่ะ อีกคนหนึ่งหายไปไหนหรือ คำตอบคือไม่มีใครหายไปไหนหรอก แต่อีกคนกำลังอุ้มอีกคนหนึ่งเอาไว้ ผมหมายถึงตัวผมอุ้มเขาอยู่ เป็นคำมั่นสัญญาว่าผมจะดูแลเขาไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
10) ครั้งหนึ่งที่ผมฟังดุริยมนตราซึ่งเป็นเสียงสวดมนต์ที่ประกอบไปกับดนตรี ผมฟังแล้วผมร้องไห้มาก แล้วบอกกับตัวเองว่า ถ้าชีวิตผมจะหาไม่จริง ๆ ด้วยอาการเจ็บป่วยนี้ ผมอยากจะบอกคุณพ่อกับคุณแม่ว่า ผมได้คุณพ่อกับคุณแม่ที่ประเสริฐที่สุด ไม่ใช่แค่เลี้ยงดูสั่งสอนให้แนวทางชีวิตในยามที่ผมปกติดีอยู่ แต่ในยามเจ็บป่วยคุณพ่อ-คุณแม่ไม่เคยห่าง มาหาผมที่โรงพยาบาลทุกวัน อยากให้ท่านได้รู้ว่าผมมีคุณพ่อ-คุณแม่ที่ผมไม่สามารถเรียกร้องหาได้ดีกว่านี้จากที่ไหน
11) ในความเป็นพ่อ ผมให้คะแนนความพยายามมากกว่าผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้น ผมคิดว่าคะแนนความพยายามของผมที่ 80 มันไม่เต็มร้อยหรอกครับเพราะมีข้อจำกัดเรื่องเวลา แต่ลูก ๆ มีแกนกลางคือ เขามีแม่ที่ดี เพราะฉะนั้นลูก ๆ จะไม่เคยรู้สึกว่าขาดพ่อ เพราะว่าแม่ทดแทนได้หมด แม่ไม่ใช่เพียงแค่คนที่พยายามรักษาความสมดุลในครอบครัว แต่เขาเป็นศูนย์กลางของจักรวาลในครอบครัวเรา นี่ ไม่ใช่การถ่อมตน แต่เป็นการพูดในความรู้สึกที่แท้จริง เขาเป็นดวงใจของเราทุกคน ให้กลับกัน ผมไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าผมทำได้ เพราะว่าผมอาจจะถนัดเรื่องจัดหามากกว่าการดูแล ใครอยากได้อะไร ผมจะหามาให้ ขอแค่ให้รู้เถอะไม่ต้องเอ่ยปากหรอกผมจะไปหามาให้
12) ชีวิตผมไม่มีอะไรนอกจากบริษัท เจเอสแอลและครอบครัว ผมมีแค่นี้ ผมไม่มีอย่างอื่นอีกแล้ว
13) การเป็นพ่อเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ต้องใช้อะไรเป็นพิเศษไปมากกว่าความรักทั้งหมด ผมเคยเซ็นหนังสือให้ลูกว่า สำหรับน้องเพชร ด้วยความรักทั้งหมดในหัวใจพ่อ ถ้าคุณรักลูก คุณก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างกับเขา และตรงนี้ต่างหากที่เพิ่มเติมมาด้วยสติปัญญาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะมีเวลาอยู่ด้วยกัน เรียนรู้ถึงความต้องการและความฝันของเขา แต่บางครั้งลูกก็ไม่ได้อยากอยู่กับเราเสมอไป เขาอาจจะมีธุระอื่น ฉะนั้นความรักและความเข้าใจจะต้องมาเป็นอันดับต้นเลย เราต้องพยายามหาหนทางละมุนละไมที่จะโอบแขนของเขาเข้าไปอยู่ในชีวิตของเขาให้ได้
14) ผมไม่ขอเปรียบเทียบชีวิตการเป็นพิธีกรของผมกับคนอื่นๆ ตอนที่ทำรายการจันทร์กะพริบใหม่ๆ ผมจบดอกเตอร์มา มันยิ่งสร้างความคาดหวังว่าจะทำอะไรดีๆ ได้อีกเยอะต้องศึกษาหาความรู้เยอะ อ่านประวัติของแขกรับเชิญมาล่วงหน้าซึ่งจะทำให้เราไม่รู้สึกห่างไกลจากเขา รายการจันทร์กะพริบเป็นงานที่ยาก ผมใช้เวลากว่า ๒ ปีจึงจะหาตัวเองพบ ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าการเป็นพิธีกรมันคือการแสดง ในเมื่อมันคือการแสดง อะไรล่ะคือบุคลิกภาพจริง ๆของเรา เวลาที่เราขอคำแนะนำจากใคร 10 คน เราจะได้คำตอบ 10 อย่าง เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่าที่สุดแล้วผมเชื่อตัวเองอีกว่า ผมไม่ใช่คนถามจาบจ้วงหรืออยากให้เฮฮากว่านี้ ผมว่าไม่ใช่ผมผมเป็นคนที่ให้เกียรติคน เป็นคนที่มีบุคลิกพูดง่าย ๆ ว่านุ่มนิ่มบางทีมันเป็นจุดอ่อนแต่เราต้องพัฒนาให้เป็นจุดแข็งให้ได้ เอาความอ่อนโยนมาเป็นเสน่ห์ เอาความนุ่มนิ่มมาเป็นวิธีการถามคำถามทำให้เกิดความอบอุ่นขึ้น
15) ครั้งแรกที่ผมสัมภาษณ์ ทอดด์ ทองดี เขาบอกว่ายูรู้ไหม ว่าการที่ยืนอยู่ด้วยกันบนเวทีมันมีไออุ่นของคนที่อยู่ใกล้กัน เขาไม่รู้สึกอบอุ่นแบบนี้กับใครเท่าที่ยืนอยู่ใกล้ผม ผมมีความรู้สึกว่านั่นแหละคือการที่เราหาตัวเองเจอ ธรรมชาติของผมคือเป็นผู้ชายที่อบอุ่นนั่นเอง
16) ทุกวันนี้ผมดูทีวีได้ไม่นาน เพราะว่าเสียงมันดังเกินไป รายการโทรทัศน์น่าจะมีความนุ่มนวลแล้ว ค่อยทะยานขึ้นไปถึงความตื่นเต้น แต่ทุกวันนี้มันมีแต่ความเปรี้ยงปร้าง อาจเป็นเพราะว่าการแข่งขัน มันสูง พิธีกรต้องขุดมุกมาใช้เพื่อให้ได้ชื่อว่าสามารถสร้างเสียงฮาได้ตลอดเวลาซึ่งผมคงสอบตกใน กรณีนี้ แต่ผมเชื่อว่าความแพรวพราวมันมีได้หลายลักษณะ เช่นยิงคำถามแพรวพราวก็ได้ หรือบางที เขาตอบอะไรมา เราอาจจะแสดงความคิดเห็นอะไรกลับไป เป็นความแพรวพราวตรงนี้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีมุกตลอดเวลา
17) การเป็นพิธีกรคือโอาสที่ได้เรียนรู้ชีวิตของคนได้แบบเรียนชีวิตโดยไม่ต้องซื้อหามา เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่ไม่มีอะไรทดแทนได้ ผมเรียนรู้ชีวิตของชีวิตของผู้อื่นผมได้ค้นพบว่าชีวิตไม่มีความแน่นอน เราต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าและในยามที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราน่าจะได้ใช้โอกาสนั้นทำความดี เป็นสิ่งที่เราจะทิ้งไว้ในโลกนี้มันเป็นมรดกของมนุษยชาติอย่างหนึ่งและคนอื่น อาจจะเรียนรู้ได้ในภายหลัง
18) การมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก เราทำให้ห้วงชีวิตเป็นอะไรก็ได้เป็นหนึ่งชีวิตที่เต็มไปด้วยคุณค่า หรือเราทำหนึ่งชีวิตของเราให้เป็นหนึ่งชีวิตที่สร้างความทุกข์ใจให้กับใครสักคนหนึ่งไปตลอดชีวิตก็ได้ ความยิ่งใหญ่ของชีวิตอยู่ที่ว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร
19) ผมไม่รู้ว่าจำนวนของคนที่เห็นแก่ตัวบนโลกนี้มีเท่าไหร่ แต่ผมว่าความเห็นแก่ตัวมันเกิดขึ้นได้กับทุกๆคนแหละ มันคือการชั่งน้ำหนักในสิ่งที่เราจะทำ จริง ๆ แล้วก็คงเหมือนกับที่เขาพูดกันว่า ไม่ต้องเป็นคนดีเท่าไหร่หรอก ขอแค่เป็นคนเลวน้อยที่สุดก็พอแล้ว
20) ความกตัญญูรู้คุณคนเป็นสิ่งที่ผมยึดถือเป็นหลักประจำใจ คนเราถ้าไม่รู้จักรู้พระคุณคน มันทำให้เราหลงลืมไปว่าเรามีชีวิตอยู่ทุกวันได้เพราะอะไร คนที่เขาให้เรามาบางทีเขาไม่ได้จดจำเพราะมันเป็นการให้ที่แท้จริง แต่การที่เราได้รับนั้นหมายถึงการได้ส่วนบุญที่ดีมามันเปลี่ยนชีวิตเรามากเพียงพอที่เราควรจะจดจำว่าเรามาถึงฝั่งฝันนี้ได้อ่างไร มีใครบ้างที่ช่วยพยุงเราขณะที่เราว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรมา การระลึกถึงพระคุณของคนเป็นสิ่งที่มนุษย์ประเสริฐเขาทำกัน
21) คนที่เป็นผู้ให้ ในชีวิตผมมีมากและผมไม่มีวันที่จะลืมได้เลย ภรรยาผมเขาไม่เคยนึกถึงตัวเองเลย เขานึกถึงแต่ว่าทำอย่างไรสามีเขาจึงจะหาย ผมเรียนเรื่องธรรมชาติบำบัดผมรู้สึกเอาเองว่า ผมรับพลังดีๆ จากธรรมชาติมาเยอะ เรียนรู้ที่จะรับพลังธรรมชาติจากต้นไม้ใบหญ้า ผมรับรู้ถึงความปรารถนาดี ความหวังดีของคนจำนวนมาก คนเหล่านี้เป็นคนที่ผมไม่มีวันลืมไปจากชีวิตนี้ แล้วก็ขอเจอกันทุกชาติไป ผมคิดว่าถ้าผมจะหาย ก็ได้ด้วยพลังรักที่เขามีต่อผม
22) ทุกวันนี้ผมมองทุกอย่างด้วยสายตาเป็นกลางมากขึ้น ผมมองว่าถ้ามันจะเป็นความรู้สึกที่สุด ผมก็จะไม่ดีใจจนเกินเหตุ หรือถ้ามันจะทุกข์นัก ผมก็จะไม่ทุกข์มาก ผมจะอยู่ตรงกลางด้วยความหวังว่า วันของเราจะต้องมาถึง เราได้ฟังเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับคนหลายคนที่เป็นมะเร็ง ใจผมก็อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับผมบ้าง เมื่อไหร่ปฏิหาริย์จะเกิดขึ้นกับผมสักที ผมท้อแท้บ้าง แต่ผมไม่ยอมแพ้พ่าย ทำไมยังเจ็บปวด เศร้า ทุกขเวทนาอยู่เรื่อย แต่ผมปฏิเสธที่จะตายไปกับโรคนี้
23) ผมเสียใจอยู่ตลอดมาที่มีเวลาให้กับครอบครัวน้อยเกินไป อยากบอกลูกว่า ถ้าพ่อเลือกได้ พ่อคงอยู่บ้านให้มากกว่านี้

ทำอย่างไรดี ไม่มีเป้าหมายในชีวิต?

ทำอย่างไรดี ไม่มีเป้าหมายในชีวิต?

1. คุณคิดว่าชีวิตของคุณคืออะไร?
2. คุณเกิดมาทำไม?
3. ความหวังสูงสุดในชีวิตของคุณ...คุณจะไปถึงหรือไม่?


นี่เป็นคำถามที่ดีที่คุณควรจะถามตัวเอง "ถ้าหากคุณตอบว่าชีวิตของคุณเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ล่ะก็ คุณสามารถที่จะพัฒนาชีวิตของคุณได้ในทุกหน้าที่ค่ะ เพราะสิ่งสูงสุดของคุณก็คือ เมื่อใดก็ตามที่คุณทำหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งแล้วคุณไม่ทุกข์ในขณะที่ทำหน้าที่นั้นอยู่ ก็เท่ากับคุณถึงเป้าหมายในชีวิตแล้ว"

ขอให้คุณมีความสุขกับการทำหน้าที่ทุกๆ หน้าที่ อย่างคนที่ยกจิตวิญญาณของตัวเองให้สูงขึ้น มีความสุขในขณะที่ทำหน้าที่ ตระหนักรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควรในหน้าที่นั้น แล้วรักษาใจของเราอย่าให้… เกลียด! โกรธ! โลภ! หลง! หรือลังเลสงสัย! ในขณะที่ทำหน้าที่ นั่นก็ถึงเป้าหมายแห่งการทำหน้าที่แล้ว

แต่ ถ้าการที่คุณสับสนว้าวุ่นใจ อาจเป็นเพราะคุณคาดหวังมากเกินไปก็เป็นได้ คุณทำเหตุแค่นิดเดียว! แต่หวังผลมากมาย! เหมือนลงทุนน้อย แต่หวังผลอันเลิศ จึงทำให้คุณสับสน...และพาลคิดว่าไม่มีเป้าหมายของชีวิต

ขอให้คุณตั้งสติให้ดี! และดำรงชีวิตของคุณอย่างคนที่จะพัฒนาปัญญาของคุณในขณะที่ทำหน้าที่ ทำกายให้แข็งแรง แล้วใจของคุณเจริญ เพราะจิตรู้ ตื่น และเบิกบาน เป้าหมายสูงสุดที่มนุษย์ควรจะไปถึง คือการดำรงชีวิตอย่างคนที่จะไม่ทุกข์และช่วยให้คนอื่นเป็นสุขด้วย และมนุษย์ทุกคนสามารถที่จะทำสิ่งนั้นได้

เราท่านทุกคนล้วนมีเมล็ดพันธุ์ในใจซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งโพธิ ขอให้คุณรดน้ำพรวนดินเมล็ดพันธุ์แห่งโพธินี้นะคะ และต้นไม้แห่งโพธินี้จะให้ร่มเงาแก่ชีวิตของคุณและนี่คือเป้าหมายแห่งชีวิตค่ะ บทควงามดีเยี่ยม สำหรับคนที่กำลังมองหาคุณค่าของตนเอง

อดทน ทนได้ จึงได้ดี

อดทน ทนได้ จึงได้ดี
อ่านและทึ่ง ในความอดทน มานะ อุตสาหะอย่างสูงจริงๆ นับถือ นับถือ ขอคารวะ จากใจจริง ลองอ่านดูนะคะ แล้วคุณจะมีกำลังใจขึ้นอีกเยอะ เพื่อทำในสิ่งที่คุณต้องการให้สำเร็จจนได้ค่ะ
________________________________________

พ่อของเขาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุได้เพียงห้าขวบ เขาต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ขณะอายุ 16 ปี ตอนอายุ 17 ปี เขาแสดงความสามารถพิเศษด้วยการตกงานติดต่อกันถึง 4 ครั้ง

เขาแต่งงานตอนอายุ 18 ปี ปีถัดมาเขาได้เป็นพ่อคน แต่ชีวิตคู่ของเขาก็มีความ สุขอยู่ได้ไม่นานนัก อายุ 20 ปี ภรรยาของเขาพาลูกสาวหนีไป เพราะทนใช้ชีวิตกับ เขาไม่ได้

ช่วงอายุ 18-22 ปี เขาประกอบอาชีพเป็นคนขายตั๋วรถไฟแล้วก็ล้มเหลว แต่เขาก็ยัง ต่อสู้กับชีวิตด้วยการหาโอกาสให้ชีวิต แต่ทุกอย่างที่เขาทำก็ไม่วายล้มเหลว เหมือนเดิม

เขาสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพแต่ก็ถูกขับออกมา หันเหมาสมัครเข้าโรงเรียนกฎหมาย แต่ด้วยความสามารถอันเอกอุ เขาถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี แล้วเขาก็ไปทำงานเป็นพนักงานขายประกัน แน่นอนที่สุด เขาล้มเหลวอีกครั้ง (แล้ว)

แค่เกริ่นมาข้างต้นก็คงไม่ต้องบอกว่า ชายคนนี้ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง !แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเราอะไรมันจะไม่ได้เรื่องไปเสียหมด สิ่งเดียวที่เขาพบว่า เขาทำได้ดีก็คือ การทำอาหาร ดังนั้นเขาจึงไปทำงานเป็นพ่อครัวและคนล้างจานในร้าน กาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ชีวิตที่ทรงคุณค่าอะไรเลยในความคิดของเขา

ชีวิตที่ร้านกาแฟ เขามีเวลามากมายที่จะนั่งคิดและทำอะไรได้มากพอสมควร แต่เขา กลับเลือกใช้เวลานั่งคิดถึงภรรยาและลูกสาวของเขา เขาเพียรพยายามติดต่อภรรยาและอ้อนวอนให้เธอกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง แต่ได้รับคำปฏิเสธ เขาเปลี่ยนความ คิดใหม่ เขาไม่ต้องการภรรยาอีกต่อไป ขอเพียงแต่ได้ลูกสาวกลับคืนมาก็พอ เพราะเขา รักและคิดถึงเธอเหลือเกิน

เขาใช้เวลาว่างในร้านกาแฟวางแผนในการนำลูกสาวกลับคืนมาสู่อ้อมอกของตน เขาวางแผน ทุกขั้นตอนละเอียดยิบ คำนวณทุกฝีก้าว
ในที่สุดแผนการอันแสนยาวนานก็เสร็จสิ้นลง เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ คุณพ่อวัยรุ่นผู้น่าสงสารซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้นอกบ้านหลังเล็กๆ ของภรรยาของ เขา เฝ้ามองลูกสาวของเขาเล่นอยู่หน้าบ้านและเตรียม พร้อมที่จะ "ลักพาตัวเธอ!"

แล้ววันที่ตั้งใจไว้ก็มาถึง เขาซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้อย่างระมัดระวัง แม้จะรู้สึกกังวล ตื่นเต้น และตระหนก อยู่บ้าง แต่นั่นมิอาจเทียบได้กับความรักที่เขา มีต่อลูก เขาตัดสินใจที่จะต้องลงมือทำให้สำเร็จ แต่แล้วอนิจจา ... วันนั้นลูก สาวของเขาไม่ออกมาเล่นหน้าบ้านเลย

แม้กระทั่งความพยายามในการก่ออาชญากรรม เขาก็ยังล้มเหลว เขารู้สึกเหมือนคนที่ พ่ายแพ้ต่อโชคชะตา รู้สึกเหมือนคนไม่มีค่า
และเหมือนพระเจ้ากำหนดมาแล้วว่าเขาจะ ต้องอยู่เพียงลำพังไปตลอดชีวิต

แต่เหมือนปาฏิหาริย์ ในที่สุดเขาก็สามารถโน้มน้าวภรรยาให้กลับมาอยู่ด้วยกันได้ พวกเขาทำงานด้วยกันในร้านกาแฟแห่งนั้น ทำอาหารและล้างจานอยู่จนกระทั่งเขาเกษียณ ตอนอายุ 65 ปี

วันแรกของการเกษียณอายุ เขาได้รับเช็คเงินประกันสังคมฉบับแรกของเขา เป็นเงิน 105 ดอลลาร์( ราวสี่พันบาท) เช็คดังกล่าวเหมือนเป็นตัวแทนของรัฐที่ฝากมาบอกเขาว่า เขาไม่อาจจะดูแลตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือใช้ชีวิต อยู่จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยเงินสนับสนุนจากรัฐบาล

มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกถูกปฏิเสธ ล้มเหลว เสียกำลังใจ และท้อแท้ ชีวิต ของเขาได้รับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่งหลังจาก 65 ปีอันยาวนาน

เขาบอกกับตัวเองว่าถ้าเขาดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องมีชีวิตอยู่โดยให้รัฐบาลดูแล เขาก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอีกต่อไป เขาตัดสินใจ (อีกแล้ว) ว่า " จะฆ่าตัวตาย " ขาหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นกับดินสอหนึ่งแท่ง นั่งลงใต้ต้นไม้ในสวนหลังบ้านอย่างสงบ ตั้งใจที่จะเขียนคำสั่งเสียและพินัยกรรม

แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น กลับเหมือนมีอะไรมาดลใจ เหมือนเป็นครั้งแรกที่ชีวิตเกิดปัญญา เขาเริ่มต้นเขียนสิ่งที่เขาควรจะเป็น ชีวิตที่เขาควรจะมี และสิ่งที่เขาปรารถนาในช่วงชีวิตสุดท้ายที่ เหลืออยู่ เขาตกใจมาก เมื่อค้นพบความจริงในชีวิตว่า เขายังไม่เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันกับเขาสัก อย่างเลย ! (เพิ่งนึกได้)

เขานั่งครุ่นคิดกับตัวเองอย่างจริงจัง มีบางอย่างที่เขาสามารถทำได้ บางอย่างที่คนที่รอบตัวทำสู้เขาไม่ได้ ใช่ ! เขารู้วิธีปรุงอาหาร
ชีวิตเกือบทั้งหมดของเขา อยู่ที่หน้าเตาร้อนๆ มาตลอด เขาตัดสินใจกับตัวเองอีกครั้ง ในที่สุดเขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำอะไรสักอย่างในชีวิตให้ประสบความสำเร็จ

เขาตั้งใจว่าถ้าเขาจะตาย เขาก็อยากจะตายในแบบที่ได้ลองพยายามเป็นใครสักคน และทำบางสิ่งบางอย่างที่มีค่าด้วยชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดของเขา

เขาลุกจากเงาไม้ มุ่งหน้าไปยังธนาคารในเมือง เพื่อขอยืมเงินจำนวน 87 ดอลลาร์จากเช็คประกัน สังคมฉบับต่อไปของเขา
ด้วยเงิน 87 ดอลลาร์นั้น เขาซื้อกล่องเปล่าและ ไก่จำนวนหนึ่ง จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านและลงมือทอดไก่ที่ซื้อมาด้วยสูตรพิเศษที่เขาได้คิดค้นขึ้นมาในช่วงหลายปีที่ทำงาน ที่ร้านกาแฟนั้น

เขาเริ่มขายไก่ทอดของเขาตามบ้านต่างๆ ในเมืองคอร์บิน รัฐเคนตั๊กกี้ของเขา แล้วคนขายไก่ทอดอายุ 65 ปีคนนั้นก็กลายมาเป็นผู้พันฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ส ราชาผู้เป็นที่รักของอาณาจักร Kentucky Fried Chicken หรือที่เรารู้จักกันในนาม KFC นั่นเอง

ตอนอายุ 65 ปี เขาเป็นเหมือนอนุสรณ์แห่งความล้มเหลวที่ยังมีชีวิต แต่ในวัย 85 ปี เขาก็กลายเป็นเศรษฐีพันล้านและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก มีผู้คนให้เกียรติเขาทั่วประเทศ

เรื่องราวชีวิตของผู้พันแซนเดอร์ส เป็นอีกบทหนึ่งของเรื่องราวความสำเร็จ ที่ได้รับคำยกย่องจากผู้คนทั่วโลก แต่ใครจะรู้บ้างว่าหากใต้ต้นไม้วันนั้น ผู้พันแซนเดอร์สได้ทำตามที่เขาตั้งใจไว้แต่แรก ตำนานไก่ทอดสะท้านโลกก็คงจะไม่มีให้เราได้เห็นกัน

จริงอย่างที่เขาว่า ความสำเร็จกับความล้มเหลวห่างกันเพียงแค่พลิกฝ่ามือ มันอยู่ที่ว่าคุณเลือกที่จะ "สู้ต่อ" หรือ "ยอมแพ้"
สำหรับผู้พันแซนเดอร์ส 65 ปี ของชีวิตที่ล้มเหลว เทียบคุณค่าอะไรไม่ได้เลยกับ 20 ปีแห่งความสำเร็จ

ขอขอบคุณ www.thaisamkok.com

เคล็ดลับช่วยจำและวิธีบริหารสมอง

เคล็ดลับช่วยจำและวิธีบริหารสมอง
โดย เอมอร คชเสนี 15 มีนาคม 2552 12:18 น.
หลายคนคงเคยมี อาการหลงๆ ลืมๆ แบบนี้นะคะ.....ลืมว่าเอากุญแจบ้านกับมือถือไปวางไว้ตรงไหน หรือออกจากบ้านแล้วแต่ต้องกลับเข้าไปใหม่เพราะลืมว่าปิดไฟแล้วหรือยัง หรือเห็นเงินในกระเป๋าแล้วงงว่าทำไมเหลือแค่นี้ ซื้ออะไรไปเนี่ย
วันนี้มีเคล็ดลับช่วยจำและวิธีบริหารสมองมาฝากค่ะ

1. จดบันทึก
การจดบันทึกจะช่วยให้คุณวางแผนเรื่องต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน นัดหมายต่างๆ รวมไปถึงการจดเบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ อีเมลแอดเดรส วันเกิดเพื่อน หรือข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณเอง เช่น ยาประจำตัว จะให้ดีควรเป็นสมุดเล่มเล็กๆ ที่พกพาติดตัวไปด้วยได้ การลงมือเขียนด้วยตัวเองจะช่วยย้ำให้สมองจดจำได้ดีขึ้น และดีกว่าการใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วย เช่น การบันทึกไว้ในมือถือ

2. พูดกับตัวเอง
การพูดออกมาดังๆ ก็คล้ายกับการจดบันทึก เพียงแต่ออกมาในรูปของเสียง ควรเริ่มต้นตั้งแต่เช้า นึกถึงสิ่งที่คุณต้องทำในวันนั้น แล้วพูดออกมาดังๆ เช่น วันนี้ต้องซื้อบัตรเติมเงิน ตอนเที่ยงมีนัดกับลูกค้า ตอนเย็นต้องแวะซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต ย้ำกับตัวเองซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง

3. ติดโน้ตในที่ที่มองเห็นได้ง่าย
เขียนสิ่งที่ต้องทำลงบนกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ แปะไว้ในที่ที่มองเห็นได้ง่าย เช่น ประตูตู้เย็น ประตูบ้าน ในรถ หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทุกครั้งที่เห็นโน้ตที่ติดไว้ ก็เท่ากับเตือนสมองให้จดจำเรื่องเหล่านั้น

4. เก็บของให้เป็นที่
ฝึกนิสัยเก็บของให้เป็นที่ เช่น แขวนกุญแจไว้ข้างประตูทางออก วางมือถือไว้บนโต๊ะทำงาน เก็บยาก่อนนอนไว้ที่โต๊ะหัวเตียง ชีวิตที่เป็นระเบียบจะช่วยให้สมองเป็นระเบียบเช่นกัน

5. ทำชีวิตให้ช้าลง
สมองจะจดจำอะไรได้ช้าลงเมื่ออายุมากขึ้น การพูดเร็ว-ทำเร็วจนเกินไป ทำให้สมองเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้ไม่ทันและหลงลืมไปในที่สุด

6. อย่าทำหลายอย่างพร้อมกัน
การทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น คุยโทรศัพท์ไปด้วย ดูโทรทัศน์ไปด้วย หรือทำงานไปด้วย ฟังเพลงไปด้วย จะทำให้ไม่มีสมาธิในการจำ ควรเลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งจะดีกว่า

7. มีสติ
การมีสติขณะทำสิ่งต่างๆ จะช่วยให้เราไม่หลงลืมได้ง่าย สมองจะจดจำได้โดยอัตโนมัติว่า ขณะนั้นเราปิดไฟแล้ว ปิดน้ำแล้ว ปิดแก๊สแล้ว ไม่ต้องมานั่งลังเลสงสัยทีหลังว่า เอ๊ะ ฉันทำไปแล้วหรือยัง

8. ร่างกายแข็งแรง
สมองที่แจ่มใส มาจากร่างกายที่แข็งแรง ดูแลตัวเองให้ดี รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ให้ครบหมู่ เน้นปลา ผักผลไม้สด ข้าวกล้อง และน้ำ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อร่างกายแข็งแรง ความจำก็จะดีตามไปด้วย

9. ทำสิ่งที่ตัวเองถนัด
ความถนัดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนจำได้ดีเมื่อได้มองเห็นหรือจดบันทึก บางคนจำได้ดีเมื่อได้ยินเสียงหรือพูดดังๆ บางคนจะจำได้ก็ต่อเมื่อได้ลงมือปฏิบัติ สังเกตตัวเองว่าคุณจำได้ดีกับวิธีการไหน แล้วเลือกวิธีการที่เหมาะกับตัวเอง แต่ถ้าจะให้ดี ใช้ทั้ง 3 วิธีสลับกันก็จะช่วยให้สมองได้ฝึกทักษะมากขึ้น

วิธีบริหารสมอง ที่ช่วยในการพัฒนาความจำอย่างง่ายๆ สามารถทำได้ดังนี้

1. หยิบสิ่งของในที่มืด หลับตาอาบน้ำ หรือหลับตาแต่งตัว
2. รับประทานอาหารหรือหยิบจับสิ่งต่างๆ โดยใช้มือข้างที่ไม่ถนัด
3. ฟังเพลงที่ไม่เคยได้ยินเนื้อร้องมาก่อน แล้วหัดร้องตามไปจนร้องได้
4. อ่านหนังสือหลายๆ ประเภท หรือเปลี่ยนจากคอลัมน์ที่เคยอ่านประจำไปอ่านคอลัมน์อื่นบ้าง
5. อ่านป้ายโฆษณาตามข้างทาง ท้ายรถตุ๊กตุ๊ก ข้างรถเมล์ หรือถุงกล้วยแขก
6. ดูโทรทัศน์ที่มีสองภาษา หรือดูภาพยนตร์ที่มีซับไตเติล
7. บวกลบเลขทะเบียนของรถคันหน้า หรือเลขบนตั๋วรถเมล์
8. เปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน เช่น จัดห้องใหม่ เปลี่ยนที่วางของ เปลี่ยนเส้นทางการเดินทาง หรือจากที่เคยขับรถก็เปลี่ยนไปนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้าแทนบ้าง
9. เล่นเกมฝึกสมอง เช่น หมากรุก หมากฮอส ปริศนาอักษรไขว้ จับผิดภาพ ฯลฯ
10. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เช่น หัดเล่นดนตรี เรียนภาษา เรียนทำอาหาร ฝึกศิลปะป้องกันตัว ฯลฯ
11. หมั่นออกสังคม พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกับเพื่อนฝูง อย่าแยกตัวออกจากสังคม เพราะจะทำให้สมองไม่เกิดการพัฒนาและเสื่อมไปในที่สุด

ฝึกสมองบ่อยๆ เพื่อความจำที่ดีและสมองอันชาญฉลาดจะได้อยู่คู่กับคุณไปนานๆ ค่ะ

พลังแห่งการคิดบวก

พลังแห่งการคิดบวก
ฟ้ามิได้แบ่ง ยอดคนกับ คนธรรมดา ออกจากกัน
ยอดคนจะปรากฏขึ้นเสมอ แต่นั้นมิใช่เพราะ ฟ้ากำหนดการที่ ยอดคน ปรากฏขึ้นได้ เพราะ เขาผ่านการ ฝึกฝน และ เรียนรู้ ที่จะเป็นยอดคน

อัจฉริยะ ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา
ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด
คนเก่งได้นั้นต้องได้รับการฝึกฝน
ม้าดี ต้องมีคนขี่มาฝึกฝน..
นักกีฬาที่ดีต้องมีโค้ทที่ดีมาฝึกฝน..

Don't Look Down Yourself.อดีตไม่สำคัญว่าเราเป็นใคร
สำคัญที่ว่าวันนี้เราต้องการเป็นใคร
จงเคารพนับถือในความสามารถของตัวเอง
ยกย่องและให้เกียรติตัวเอง

สมองของคนเราเหมือนพื้นดินที่ว่างเปล่า
เมื่อเราปลูกอะไรลงไป เราก็จะได้ผลเป็นอย่างนั้น..
จงปลูกฝังแต่สิ่งดีๆลงไปในสมอง
คำพูดใดๆที่เราเคยได้ยินซ้ำๆซากๆเกิน 37 ครั้ง
มันจะกลายเป็น อุปนิสัย ของเราทันที

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือ สิ่งแวดล้อม
อย่าปล่อยให้ความคิดหรือคำพูดของคนบางคนมาตัดสินชีวิตของเรา
ในโลกนี้ไม่มีใครมีอิทธิพลกับตัวเราเอง..นอกจากตัวเราเอง

ชีวิตไม่ใช่เกมส์กีฬา
ไม่มีเวลาพักครึ่ง ไม่มีการขอเวลานอก
และที่สำคัญคือ เปลี่ยนตัวผู้เล่นไม่ได้
ไม่มีใครเกิดมา ล้มเหลว มีแต่ ล้มเลิก

คนฉลาด..ต้องโง่เป็น
คนโง่ไม่เป็น..จะไม่มีทางฉลาด

เพียงคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็ทำได้ตั้งแต่ที่คุณคิด
แต่หากคุณคิดว่าคุณทำไม่ได้ คุณก็ทำไม่ได้ตั้งแต่ที่คุณคิด
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์ คือ
ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทางจิต ที่ตอกย้ำตัวเองว่า..ทำไม่ได้

แม้แต่ คิด ยังไม่กล้าที่จะคิด แล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?จงกล้าที่จะเผชิญความล้มเหลว..
ความล้มเหลวคือครูที่ทดสอบตัวเรา
If you want to have success, you have no choice.

มนุษย์ คือจุดศูนย์กลางของเส้นรอบวงที่ไม่มีขีดจำกัด
ทำไมมนุษย์เหมือนกันจึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน
นั่นเป็นเพราะมนุษย์แต่ละคนได้รับโอกาสทางความคิดที่แตกต่างกัน

คนสำเร็จมองปัญหาเป็นโอกาส
คนล้มเหลวมองโอกาสเป็นปัญหา
คนสำเร็จจะปรับตัวเองไปหาโลกภายนอก
คนล้มเหลวจะให้โลกภายนอกปรับตัวเข้าหาตัวเอง
Team work is less "E-GO" and more "WE GROW"

คนสำเร็จระดับผู้บริหาร เป็นผู้นำขององค์กรต่างๆในโลกนี้
กว่า 85% ทั่วโลกล้วนแล้วแต่มิใช่คนเก่ง แต่เป็นคนดีทั้งสิ้น
คนเก่ง..มักจะมี อัตตาจะไม่ยอมปรับตัวเข้าหาโลก ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
ไม่ยอมรับการพัฒนา ความรู้ และสิ่งใหม่ๆ ปกครองคนไม่ได้
คนเก่ง..ใช้เวลา 2-3 ปีก็สอนให้เก่งได้
แต่..คนดีต้องใช้เวลา ชั่วชีวิต สอนกัน
คนเก่งมักจะขาดความจงรักภักดี ไม่มีความกตัญญู

ความรู้ เป็นเพียง พลังอำนาจแฝง ชนิดหนึ่งเท่านั้น
ความรู้ จะกลายเป็น พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ได้
ก็ต่อเมื่อมันถูกนำไปใช้อย่างชาญฉลาดเท่านั้น

ฟัง..แต่..ไม่ได้ยิน
ได้ยิน..แต่..ไม่เข้าใจ
เข้าใจ..แต่..ไม่ลึกซึ้ง
ลึกซึ้ง..แต่..ไม่แตกฉาน
แตกฉาน..แต่..นำไปใช้ไม่เป็น...

กฎแห่งเข็มทิศ

กฎแห่งเข็มทิศ เราได้ในสิ่งที่เราเป็น
ความรัก ต้องการความสามารถที่จะรัก
ความสำเร็จ ต้องการความสามารถที่จะเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตัวเอง
ความสุข ต้องการความสามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากความทุกข์ มีความสุขด้วยตนเองได้ในทุกสถานการณ์

เมื่อพี่อ้อย-ฐิตินาถ ณ พัทลุง ว่างเว้นจากเข็มทิศชีวิตไปถึง 4 ปีเต็มๆ จนวันนี้ที่มีหนังสือเล่มล่าสุดชื่อ “เข็มทิศชีวิต : กฏแห่งเข็มทิศ” ออกมา ช่างเป็นเวลาที่เหมาะสม เพราะรายรอบตัวเราเต็มไปด้วยวิกฤติและเรื่องราวเลวร้ายมากมาย

ในวันที่วิกฤติมากมายประเดประดังเข้ามาในชีวิต นอกจากเราจะมองไม่เห็นหนทางแล้ว เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องทำอะไร อย่างไร ในวันนั้นเราต้องการแสงสว่างส่องทาง ต้องการเข็มทิศเพื่อให้ชีวิตเดินไปอย่างมีความหวังและความมุ่งหมาย

ชีวิตของพี่อ้อยเจอะเจอเรื่องราวมากมายอย่างที่เราต่างรู้ เป็นนิยายชีวิตที่เข้มข้น เหนือกว่านั้นคือเป็นบทเรียนทั้งกับตัวเธอ ทำให้เธอได้เรียนรู้ “อะไรบางอย่าง” และแบ่งปันกลั่นมาเป็น “เข็มทิศชีวิต” และ นี่คือบางบทสรุปจากเธียเตอร์ ทอล์ค ที่เธอมาเล่าสู่กันฟัง พร้อมด้วยภาคต่อของเข็มทิศชีวิตที่คนไทยนับล้านได้อ่านเพื่อเยียวยาหัวใจตัว เองกันมาแล้ว...ไม่แน่ว่า คงมีบางคำ บางประโยค ที่โดนใจคุณผู้อ่านอยู่ก็เป็นได้ เราขอท้า !!

กฎ แห่งเข็มทิศ : เราได้ในสิ่งที่เราเป็น ทุกอย่างปรากฎ เปลี่ยนแปลง ตรงตามการเปลี่ยนภายในจิตของเรา ทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่อให้เรามี ชีวิตที่ดีที่สุด ทุกขณะมีทางเลือก ที่เป็นความสุขในทุกสถานะการณ์

ไม่มีใครไม่เคยล้ม แต่ทำไมคนบางคน ล้มแล้วลุกขึ้นยืนใหม่ได้รวดเร็ว มีกฎอะไรในโลกที่คนบางคนรู้ แล้วทำให้ทั้งเหตุการณ์ ดีและร้ายกลายเป็นของขวัญที่ทำให้ ชีวิตเขาเติบโต มีความสุขอย่างแท้จริงสิ่งที่เขาทำเป็นตัวบอกคุณค่าเขา แต่เราไปตีความให้ความหมายว่าสิ่งที่เขาทำเป็นตัวบอกคุณค่าของเรา เราเข้าใจผิดเอง

เรากระทบกระเทือนจากเสียงข้างนอกตราบเท่าที่เราไม่มั่นใจในความดีงามของตัว เอง เมื่อรู้ชัดถึงสิ่งที่เราเป็น เราจะเป็นอิสระจากสถานการณ์ภายนอกทั้งปวง

เวลาที่ชีวิตต้องเตือนเราแรงๆ จนเหมือนเอาเท้าถีบเราจนกระเด็น ก็เพราะถ้าส่งสัญญาณเบากว่านั้น เราจะไม่รู้สึก ชีวิตจึงต้องเลือกประสบการณ์ที่หนักพอที่จะทำให้เราตื่นขึ้นมาเรียนรู้ บางอย่างและ มีชีวิตที่ดีขึ้นเสมอ

วันนี้ ที่เด็กของเรามากมายมีปัญหา เพราะเราเลี้ยงเขาโดยไม่ให้เขารับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง เรากะเกณฑ์ชีวิตเขา เขาไม่เห็นประโยชน์ในสิ่งที่เขาต้องทำ แล้วเราจะคาดหวังให้เขาทำได้ดี มีความสุข รักที่จะเรียนรู้ได้อย่างไร

...เราไม่ได้ในสิ่งที่เราขอ เราได้ในสิ่งที่เราเป็น สร้างสิ่งที่เป็นเราภายในให้คู่ควรกับสิ่งที่เราต้องการ
เมื่อไรที่คุณวิ่งวุ่นกับชีวิต คุณกำลังวิ่งหนีปัญหาที่ไม่ต้องการสะสางของตัวเอง

เราไม่ชอบมัน กลัวมันจะเกิด แต่ทุกอย่างที่เราทำ เราคิด เราตอบสนองเรากำลังส่งบัตรเชิญ มันเข้ามาในชีวิตเรา
เราอยากเปลี่ยนคนอื่น อยากเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม แต่เราไม่อยากเปลี่ยนตัวเอง

มนุษย์ไม่ได้เป็นทาสเพราะถูกคนอื่นกดให้เป็นทาส แต่เราเป็นทาสวัตถุ สิ่งของ เป็นทาสคน เพราะเราหวังจะให้สิ่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตเราสมบูรณ์

อยากเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกหรือป่าว

อยากเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกหรือป่าว

หนังสือ time magazine บอกว่า ที่อเมริกา ได้มีงานวิจัย พบว่า คนที่มีความสุขมากที่สุดในโลก ก็คือ พระในทางพุทธศาสนา โดยทดสอบด้วยการสแกนสมองของพระที่ ทำสมาธิ และได้ผลลัพธ์ ออกมาว่าเป็นจริง...

หลัก ความเชื่อของศาสนาพุทธ ก็คือ เหตุที่ทำให้เกิดความสุข นั้นก็คือ อยู่กับปัจจุบันขณะ ปล่อยวางได้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ควบคุมความอยากที่ไม่มีสิ้นสุด ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ทะเลาะ และใช้หลัก เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ให้อภัย ตัวเอง และผู้อื่น มีจิตใจเมตตากรุณา และเสียสละเพื่อผู้อื่น

อริยะสัจ 4 สิ่ง ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและ บอกไว้ ว่าด้วย ทุกข์ สมุทัย มรรค นิโรธ แท้จริงแล้วก็คือ ทางเดินไปหาคำว่า " ความสุข " เพราะถ้าเมื่อไรเรากำจัด " ความทุกข์ " ได้แล้ว ความสุขก็จะเกิดขึ้นทันที

อุปสรรคของความสุข ก็คือ แรงปรารถนา และตัณหา พระอาจารย์บอกว่า คนเราจะมีความสุขมันไม่มีขึ้นอยู่กับว่า " มีเท่าไร " แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าเรา " พอเมื่อไร " ความสุขไม่ได้ขึ้นกับจำนวนสิ่งของที่เรามีหรือเราได้...

ท่านสังเกตเอาจากชาวนาที่ จ อุบล ถ้าบ้านไหนมีควายไว้ช่วยทำนา 1 ตัว บ้านนั้นจะมีความสุข แต่เมื่อไร ที่ชาวนาคนไหนอยากจะได้ ควาย ตัวที่ 2 ปั๊ป ชาวนาคนนั้นจะไม่มีความสุข เลย

เพราะ ต้องเริ่มคิดว่าจะทำไงดีถึงจะได้ควายอีกสักตัว เราก็เหมือนกัน เมื่อไรที่เรา อยากได้รถคันใหม่ อยากได้บ้านใหม่ อยากไปเที่ยว อยากจะมัดใจไอ้หมอนั้น ให้ได้ (อิอิ) ฯลฯ เราจะเริ่มเป็นทุกข์ เพราะเราต้อง คิดหาทางที่จะเอามันมาให้ได้ มาเป็นของเรา..

ดังนั้นวิธีจะมีความสุข อันดับแรก ต้อง " หยุดให้เป็น และพอใจให้ได้ " ถ้า เราไม่หยุดความอยาก(ที่มากเกินไป) ของเราแล้วละก็ เราก็จะต้องวิ่งไล่ตาม หลายสิ่งที่เรา " อยากได้ " แล้วนั่นมัน เหนื่อย!!!และความทุกข์ ก็จะตามมา...

ข้อต่อมาที่ทำให้เราเป็นสุข คือ การมองทุกอย่างใน แง่บวก เมื่อเสร็จงานแล้วกลับถึงบ้าน คนที่บ้านถามว่า วันนี้เป็นไงบ้าง ? ส่วนใหญ่เราจะตอบว่า " โดนบอสด่ามา วุ่นวาย ลูกค้า งี่เง่า ฯลฯ " ทำไมเราถึงชอบคิดถึงแต่เรืองไม่ดี

ในชีวิตแต่ละวัน แน่นอน เราต้องเจอทั้งเรื่องดี และไม่ดี แต่ถ้าเราอยากจะมีความสุขเราต้องเริ่ม ด้วยการมองแต่สิ่งดีๆ มองให้เป็นบวก เพื่อที่ใจเราจะได้เป็นบวก คิดถึงสิ่งที่เราทำสำเร็จแล้วในวันนี้ สิ่งดีๆที่เราได้ทำ....

ข้อต่อมาคือ การให้ หมายรวมถึงการให้ในรูปแบบสิ่งของหรือ เงิน เรียกว่าบริจาค และการให้ ความเมตตา กรุณาต่อกัน ให้อภัย ทั้งตัวเอง และคนอื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ เป็นปัจจัย ทำให้เรามีความสุข....

การปล่อยวาง ให้ได้ ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าเรื่องจะร้ายแรงและเศร้าโศกเพียงใด จำไว้ว่า มันจะโดน เวลา พัดพามันไปจากเราไม่ช้าก็เร็ว เราจะผ่านพ้นไปได้....

และยอมรับในความเป็นจริงของชีวิต ไม่ ว่า จะเป็นเรื่องที่เราไม่ชอบเพียงใด ไม่ว่า ผิดหวัง สูญเสีย เจ็บป่วยล้วนแล้วแต่ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เราทุกคนต้องได้ผ่าน บททดสอบนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร...

ขอให้เรารักษาใจเราให้เป็นสุข อยู่เสมอ เพราะความสุข มันอยู่ใกล้แค่นี้เอง แค่ที่ ใจของเรา นี่เองแหละ...

ชัยชนะเริ่มจากภายใน

ชัยชนะเริ่มจากภายใน
ท่านคิดว่า “ต้นไม้” ที่ออกดอกออกผลดกๆนั้น ส่วนไหนของต้นไม้ที่ต้องแข็งแรงที่สุด? คำตอบก็คือ “ราก” ใช่ไหมคะ? รากของต้นไม้เป็นสิ่งที่อยู่ใต้พื้นดินมองไม่เห็น แต่มันสร้างสิ่งที่มองเห็นคือผลไม้ ชีวิตของคนเราก็เหมือนกัน “ผลลัพธ์” ในชีวิตที่มองเห็นไม่ว่าจะเป็น เงินทอง ความสุข ความสำเร็จ และสายสัมพันธ์ที่ดี ก็มาจากสิ่งที่มองไม่เห็นคือ “ความคิด”การที่เราจะสร้างผลลัพธ์ในชีวิตนั้น เราต้องเรียนรู้ขั้นตอนของมันก่อนว่าอะไรที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา เริ่มอันดับแรกคือ “ความคิด” ซึ่งมันจะส่งผลไปสู่ “อารมณ์หรือความรู้สึก” และเมื่อเรามีอารมณ์หรือความรู้สึกบางอย่างมันก็จะส่งผลไปสู่ “การกระทำ” และเมื่อเราได้ลงมือทำอะไรบางอย่าง “ผลลัพธ์” จึงเกิดขึ้น

สรุปเป็นขั้นตอนได้ดังนี้คือ
1.ความคิด (thought)
2. อารมณ์/ความรู้สึก (emotion /feeling)
3.การกระทำ (action)
4.ผลลัพธ์ (result)


ดังนั้น ถ้าเราต้องการเปลี่ยนผลลัพธ์ในชีวิต เราต้องเปลี่ยนที่“ความคิด” ก่อน! เวลาที่เรามีอารมณ์หรือความรู้สึกอะไรบางอย่าง มันสะท้อนถึง “ความคิด” ของเรา และการที่เราลงมือทำหรือไม่ทำอะไร ก็มีต้นเหตุมาจาก “วิธีคิด” ของเราอีกเช่นกัน สมมติว่า เจ้านายมอบหมายงานชิ้นใหม่มาให้เราทำ เราคิดอย่างไรกับเรื่องนี้? ถ้าเราคิดว่า “เจ้านายใช้แต่เราอยู่คนเดียว แกล้งเราหรือเปล่าเนี่ย!” ถ้าเราคิดแบบนี้ อารมณ์ความรู้สึกของเราก็จะหงุดหงิด โกรธ ไม่พอใจ ไม่ชอบเจ้านายคนนี้ การทำงานของเราก็จะเบื่อ เซ็ง ซังกะตายทำ เพราะใจเราไม่อยากทำผลลัพธ์ก็คือ ผลงานออกมาไม่ดี ไม่เป็นที่น่าพอใจ ชีวิตไม่ก้าวหน้า แต่ถ้าเราคิดว่า “เจ้านาย
ไว้วางใจเรา เห็นฝีมือเรา เราได้ฝึกฝนตัวเองมากขึ้น เรามีโอกาสได้สร้างผลงานเพิ่มขึ้น!” ว้าว! อารมณ์ความรู้สึกของเราก็จะแจ่มใส มีชีวิตชีวา เราก็จะกระตือรือร้นในการทำงาน ผลลัพธ์ก็จะออกมาดี ผลงานเป็นที่น่าพอใจของเจ้านาย ได้รับคำชม ชีวิตก้าวหน้า

ถ้าท่านสังเกตให้ดีจะพบว่า ชีวิตของเรา ผู้คนที่เราพบเจอ สถานการณ์ที่เราต้องเผชิญ จะดีหรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับ “มุมมอง” และ “วิธีคิด” ของเรา! ถ้าเราเจอปัญหาและอุปสรรคแล้วเราคิดว่า “เราโชคดี ที่ได้เรียนรู้ เราจะได้เติบโต และแข็งแกร่งมากขึ้น” เราก็จะมีความสุขและกล้าที่จะเข้าไปเผชิญกับมัน แต่ถ้าเราคิดว่า “เราโชคร้าย ทำไมชีวิตฉันถึงต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้” เราก็จะ
ทุกข์ใจและอยากจะหนีไปให้ไกลๆจากปัญหาเหล่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว “สิ่งที่เกิดขึ้น“ ก็คือ “สิ่งที่เกิดขึ้น” มีแต่เราเท่านั้นที่เป็นคน “คิด” ว่า สิ่งนั้น “ดีหรือไม่ดี“ ทุกอย่างจึงอยู่ที่ “มุมมอง”และ”วิธีคิด” ของเราทั้งสิ้น!

เราต้อง “ฝึกสติ” ที่จะดู “ความคิด” ของเรา และสอนตัวเราเองไปเรื่อยๆ เวลาที่เราเฝ้ามอง ให้ฝึกคิดต่อไปด้วยว่า ถ้าเราคิดแบบนี้ การกระทำ และผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร และถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดใหม่เป็นอีกอย่างหนึ่ง การกระทำและผลลัพธ์ของจะออกมาเป็นอย่างไร ขอให้ฝึกพิจารณาเรื่องของ “การสร้างเหตุ” และ “การได้รับผล” ไปด้วย ฝึกบ่อยๆ ปัญญาก็จะเกิด! นอกจากเรื่อง “ความคิด” แล้ว “อารมณ์และความรู้สึก” ของเราก็มีอิทธิพลต่อการ “ลงมือทำ” ของเราเช่นกัน .. จำไว้ว่า “มนุษย์ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์” .. ถ้าเรามีสภาวะอารมณ์ที่ดี มันจะส่งผลให้เรามีการกระทำที่น่าจะเป็นบวก แต่ถ้าเรามีอารมณ์ที่ไม่ดี มันจะส่งผลให้เรามีการกระทำที่อาจจะเป็นลบ ..“อารมณ์” คือกระจกที่สะท้อนถึง “ความคิด” ของเรา

ดังนั้น เราต้องหมั่นสังเกตดู อารมณ์และความรู้สึกของเราอยู่เสมอ แล้วค้นหาถึงต้นตอ คือ“ความคิด”ว่า เราคิดอะไร เราถึงมีอารมณ์เช่นนี้ ถ้าเรามีอารมณ์ที่เป็นลบ เราจะต้องรีบ “ปล่อยวาง” และอย่าสับสนนะคะ “ปล่อยวาง ไม่ใช่ ปล่อยปละ .. ละวาง ไม่ใช่ ละเลย .. ยอมรับ ไม่ใช่ ยอมแพ้” กรุณาแยกแยะให้ดีๆ บางคนได้ยินคำว่า “ปล่อยวาง” ก็ทิ้งงานไปเลย ไม่สนใจแล้ว อันนี้ไม่ใช่ การปล่อยวางนะคะ!

เวลาที่เราบอกว่า ให้ปล่อยวาง มันมีความหมายในวงเล็บต่อท้ายว่า .. ปล่อยวาง (ความคิดลบ) .. ปล่อยวาง (อารมณ์ลบ) การปล่อยวาง เป็นศิลปะชั้นสูงที่จะต้องอาศัยการฝึกฝนเป็นอย่างมาก และเราสามารถที่จะปล่อยวางได้ ถ้าเรารู้ “วิธีคิด” คนส่วนใหญ่จะเป็น “โรคเครียด” กันเยอะ และมันก็จะพาลไปกระทบถึงสุขภาพทางร่างกายด้วย โดยเฉพาะผู้บริหารที่มีภาระความรับผิดชอบสูง “โรคเครียด” ก็จะสูงตามไปด้วย

ส่วนที่สำคัญมากๆๆๆอีกอย่างในการสร้างผลลัพธ์ก็คือ “การลงมือทำ” .. คนส่วนใหญ่อยากจะได้ผลลัพธ์ที่ดี อยากก้าวหน้า อยากประสบความสำเร็จ อยากมีความสุข แต่เรามักจะขาดในเรื่องของ “การลงมือทำ” .. บางคน “ทำ”น้อยเกินไป แต่หวัง ”ผลลัพธ์” ซะเยอะเชียว .. บางคนก็“ทำ”แบบเดิมๆ แต่คาดหวัง”ผลลัพธ์”แบบใหม่ๆ .. มันจะเป็นไปได้อย่างไรคะ! ..จำไว้นะคะ “ถ้าเราต้องการผลลัพธ์แบบใหม่ เราต้องทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากเดิม!”

สารพัดวิธีมองโลกในแง่ดี

สารพัดวิธีมองโลกในแง่ดี @
@เพื่อนนินทา เพื่อนนินทาเรา
แสดงว่าเราต้องมีดีอะไรสักอย่าง จนเพื่อนมันอิจฉาอย่างนี้เราน่าจะภูมิใจตัวเองแทนที่จะไปโกรธเพื่อนคนนั้น พูดง่ายๆ เขาไม่มีจุดเด่นเหมือนเราเขาจึงนินทาว่างั้นเหอะ

@ ส่งยิ้มให้เธอแล้ว ไม่แยแส
ยัง ดี..นะเนี่ย ที่เธอไม่ด่ากลับมา นี่แสดงว่าเธอยังมีน้ำใจดีอยู่บ้างโอ.. ซาบซึ้งเหลือเกิน ถึงเราจะแห้ว..แต่เราก็ยังประทับใจในความดีของหล่อน

@ เพื่อนหักหลัง
ไม่ เป็นไร..ขอกันกินมากกว่านี้ แต่น่าสงสารนายนะ เพราะนิสัยของนาย คงจะทำให้นายต้องเสียเพื่อนไปหมดทุกคนในไม่ช้า เพราะคงไม่มีใครหรอกที่จะไว้ใจคนที่หักหลังเพื่อน.

@ เพื่อนล้อว่าเสี่ยว
โห..! ตัวเรานี่มีอะไรดีๆ เยอะแยะ แต่พวกนายกลับมองไม่เห็นคุณค่าสงสัยว่าการมองโลกของพวกนายคงจะมีปัญหาแล้ว ล่ะ เสียใจด้วยนะ.ที่นายคงหมดโอกาสจะได้คบกับคนดี ๆ อย่างเรา

@ เช็คเมล์เจอแต่จดหมายขยะชวนดูรูปโป๊
ทดสอบ ๆ ทดสอบพลังจิต ถ้าเราลบเมล์พวกนี้ทิ้ง แสดงว่าจิตใจของเราเข้มแข็ง ถ้าเปิดดู ก็อ่อนแอ (เผลอ ๆ โดนหลอกให้เปิดไวรัสอีกต่างหาก อิอิ)

@ อกหักอีกแล้ว
ไม่ เป็นไร ได้เรียนรู้ชีวิต นี่ป็นการพิสูจน์สัจจธรรมอีกครั้งว่า รักแท้คือแม่เรา ว่าแต่ตัวเราเอง คอยปรับปรุงตัวเองให้ดีๆ เหอะ ชีวิตดีขึ้นเดี๋ยวก็มีคนมาชอบเราเองแหละ

@ โห..ใช้เงินเพลินหมดเรียบเลย " เงินหมด ก็อดอย่างเสือ" ดีสิ..จะได้ฝึกนิสัยอดทนสักระยะ ยังมีคนอื่นที่ทุกข์มากกว่าเราเยอะแยะ ทุกข์ของเรามันแค่เรื่องขี้ผง

@ ชอบเขา แต่เขาไม่ชอบเราง่ะ
ธรรมดา เลย.. ปิ๊งใครง่าย ๆ มันก็ต้องกิน"แห้ว"ประจำ ที่จริงชีวิตของเรานั้นมีคุณค่ามากนะ จะปล่อยให้เรื่องเล็กๆ แค่นี้มาทำให้ชีวิตของเราไร้ค่าได้อย่างไร ทำตัวเองให้มีค่า ดีกว่า เดี๋ยวก็มีคนดี ๆ มาชอบเราเองหรอกน้า..า

@ เข้าคิวซื้อตั๋วหนังอยู่ดีๆเพื่อนเล่นแซงคิวหน้าตาเฉย
โถ.. ! น่าสงสาร ยอมเสียนิสัย เพื่อแลกกับตั๋วหนังเพียงใบเดียว

@ รู้สึกว่าตัวเองโง่โดนคนอื่นหลอกอยู่เรื่อย
นึกว่าตัวเองโง่ ยังดีกว่านึกว่าตัวเองฉลาด พระท่านว่าคนฉลาดคือคนที่รู้ตัวเองว่าโง่นะ (แต่อย่าเผลอไปโดนเขาหลอกอีกล่ะ อิ อิ)

@ รักเธอแต่ว่าไม่กล้าเอ่ยปาก
อย่าง นี้ต้องซ้อมบอกรักกับคนอื่นให้เกิดความเคยชินเสียก่อน พ่อคับ ผมรักคุณพ่อมากคับ .. แม่คับ ผมรักคุณแม่มากคับ .. ไอ้ตูบ ข้ารักเอ็งมากนะ .. เฮ้ย..เจ้าศักดิ์ เรารักนายจริงๆ ว่ะ .. ฯลฯ อิอิ.. ทีนี้พอพูดคล่องแล้วจึงค่อยไปบอกรักกะเธอ

@ พอแฟนเจอคนที่รวยกว่าเธอบอกเลิกกับผมทันที
อย่าง นี้เรียกว่า..โชคดีที่เลิกกัน จริงๆ นะ ..คนที่เห็นเงินทองสำคัญกว่าความรักอย่างเงี้ยะ ขืนได้แต่งงานด้วย รับรองว่าเจอปัญหาตลอดชีวิตแน่เราโชคดีแล้วล่ะ ที่แคล้วคลาดออกมาได้

@ เหงามากขอบอก
มอง รอบๆ ดู .. อะไรต่ออะไรล้วนแต่เป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือเราทั้งน้าน.น โต๊ะก็เพื่อนเรา เก้าอื้ก็เพื่อนเรา หน้าต่างก็เพื่อนเรา หนังสือก็เพื่อนเรา แก้วน้ำก็เพื่อนเรา ฯลฯ...(สามชั่วโมงผ่านไป) .....ฯลฯ หมาก็เพื่อนเรา ต้นหญ้าก็เพื่อนเรา ท่อระบายน้ำก็เพื่อนเรา ตู้ไปรษณีย์ก็เพื่อนเรา... ฯลฯ .... (ต่อไปอีกห้าชั่วโมง)..... ฯลฯ

@ เพื่อนรักต่อหน้าทำดีกับเราแต่ลับหลังเผาเราเซียะไม่มีดี
ไม่ เป็นไร..เราให้อภัย เพราะนายเคยทำดีกะเราไว้เยอะ เอาเป็นว่าถ้านายเลิกนิสัยนี้ได้เมื่อไหร่ เราทั้งสองคน ค่อยมาคบกันใหม่นะ ...สวัสดี ( โห..! เลิกคบเลย )

@ เวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆรู้สึกประหม่า ๆไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเอง
เวลา ยืนอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ ให้คิดอย่างนี้ดิ " ฉันคือราชสีห์ผู้สง่างาม ยืนอยู่ท่ามกลาง หมู่สัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ( ก็เพื่อน ๆ ไง ) นั่น ยีราฟ (คนสูง ๆ ) โน่น ฮิปโป้ (อิ อิ) นู่น เม่น (คนผมแข็ง ๆ) ฯลฯ " ..เดี๋ยวก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาเองแหละ

@ ทำตัวดีไม่เป็นภัยกับใครแต่กลับถูกใส่ร้ายป้ายสี
ภูผาหินไม่กลัวพายุร้าย เราบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง จะไปหวั่นไหวอะไรกะอีแค่ลมปาก เขาพูดป้ายสี สีก็เลอะที่ปากเขาสิ เราไม่เกี่ยว..

@ นิสัยตัวเองไม่ดีชอบจ้องจับผิดคนอื่น "
มิน่าเล่า เราถึงไม่มีเพื่อนที่ดีเหลือเลยสักคน จับผิดตัวเองดีกว่า สนุกกว่ากันเยอะเลย "

@ ทำสิ่งที่ไม่ดีบางอย่างมา(ทำอะไรไม่บอกอะ) รู้สึก กังวลและเครียดมากหายใจไม่ทั่วท้องเลย หายใจเข้าออกลึก ๆ ให้สุดปอดตลอดทั้งวัน และบอกกับตัวเองว่า "ถ้ามันไม่ร้ายแรงถึงกับตาย เราก็ไม่ต้องไปกลัวไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรารับได้อยู่แล้ว เราแก้ไขปรับปรุงตัวเองได้ สบายมาก "

@ ถูกขาใหญ่ตบกระโหลกที่หน้าปากซอยฮึ่ม..แค้นมาก เดี๋ยวจะลากปืนไปยิงมัน
โห..! คิดได้ไงเนี่ยจะเอาเพชรไปแลกกะถ่าน คุ้มจริงๆ นะเพ่

@ มีคนใส่ร้ายเราเราโกรธมากจนนอนไม่หลับ
เขา ทำความชั่วเขาก็ได้ผลชั่วของเขาเอง เรามามัวนอนโกรธ จนนอนไม่หลับ อย่างนี้ก็สมใจเขาสิ เปลี่ยนไม่ถือสาหาความ เมตตาเอ็นดูเขาดีกว่านอนหลับสบาย แถมฝันดีอีกต่างหาก

@ อยากเที่ยวกลางคืนให้มันสนุกสุดเหวี่ยงไปเลย
สุดเหวี่ยงจนลงเหวน่ะสิไม่ว่า เที่ยวกลางคืนเนี่ยปากทาง แห่งความเสื่อมเลยนะตัวเอง

@ ข้างบ้านชอบแต่งตัวโป๊ขอคาถาข่มใจหน่อยดิ
โอม ! ... ธรรมดาๆๆ ๆไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นอะไร เหม็นขี้เหงื่อ เหม็นขี้ไคล ใคร ๆ ที่ไหน ก็เหมือนกัน (ท่องไปจ้องไปนะ )

ถ้าเราไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า เราก็จะย่ำอยู่กับที่!

ถ้าเราไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า เราก็จะย่ำอยู่กับที่!
อะไรปิดกั้นความสำเร็จของคุณอยู่? คนเราจะมีความกลัวสารพัดอย่างที่ปิดกั้นและฉุดรั้งเราไว้จากความสำเร็จ เช่น กลัวว่าเราไม่เก่งพอ กลัวว่าเราคงทำไม่ได้ กลัวเสียงปฏิเสธ กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวความล้มเหลวฯลฯ

ถ้าคุณทำงานที่จะต้องมีการสร้างทีม แน่นอนว่าคุณต้องไปเฟ้นหาคนดีมีศักยภาพแล้วพูดชักชวนโน้มน้าวให้เขาเห็นว่า ธุรกิจที่คุณไปชวนเขาทำนั้นดีอย่างไร โอกาสสุดยอดแค่ไหน แล้วคุณก็บอกกับคนที่คุณชักชวนว่า คุณเชื่อมั่นว่าเขามีศักยภาพ เขาต้องทำสำเร็จได้แน่! .. เขาฟังแล้ว เขาอาจจะตอบคุณว่า .. ไม่เป็นไร เขาทำงานเดิมของเขาก็ดีอยู่แล้ว เขาไม่เคยทำงานที่ต้องไปพูดคุยกับคนเยอะๆ เขาทำไม่ได้หรอก!

ตัวอย่างที่ยกมานี่คุ้นๆ เพราะคุณเจออยู่เป็นประจำใช่ไหมคะ? เห็นไหมคะว่า บางคนกลัวการเปลี่ยนแปลงมาก เขาไม่กล้าทำในสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย อย่างนี้เรียกว่าติดอยู่ใน Comfort Zone หรือ ความสะดวกสบาย หรือ ความเคยชินเดิมๆ เช่น งานรูปแบบเดิมๆ คนเดิมๆ เส้นทางเดิมๆ ถ้าจะต้องให้ออกไปเผชิญกับสิ่งใหม่ๆที่ไม่คุ้นเคย มันไม่อยากที่จะต้องฝืนตัวเองออกไปทำ บางทีเขาก็ปิดโอกาสตัวเองเลย

บางคนทำงานก้าวหน้ามาได้ระดับหนึ่ง ก็จะมีขอบเขตของ Comfort Zone ที่ขยายออกไปจากเดิม แต่ก็จะไปติดกับพื้นที่สบายๆแห่งใหม่อีกแล้ว ถ้าจะเลื่อนตำแหน่ง แล้วต้องทำงานมากกว่านี้ ใช้ความพยายามหนักกว่านี้ รู้สึกว่าต้องฝ่าฟันความยากลำบากมากขึ้นอีก ก็จะบอกตัวเองว่าพอแค่นี้ รอเอาไว้ก่อนแล้วกัน เห็นไหมคะว่า ความสำเร็จของเขาก็จะมีกำแพงมากั้นอีกแล้ว

ถ้าเราไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า เราก็จะย่ำอยู่กับที่! .. จริงไหมคะ? ดิฉันเคยไป “ปลุกยักษ์” ให้กับบริษัทประกันที่หนึ่ง แล้วได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมเยียนบริษัทนั้นในภายหลัง ผู้จัดการฝ่ายขายท่านหนึ่งพบดิฉัน เขาก็ยิ้มแย้มต้อนรับแล้วแซวดิฉันว่า “อาจารย์มาทำให้ผอ.ของผมเดือดร้อน เพาะตอนนี้คนขับรถของผอ.ลาออกมาเป็นตัวแทนประกันชีวิตแล้ว! ผมไปสัมภาษณ์เขาว่า .. พี่ขับรถมาให้ผอ.ตั้ง 6 ปีแล้ว นึกอย่างไรถึงเพิ่งจะมาลาออก เพื่อเป็นตัวแทนประกันชีวิต? พี่เขาบอกว่า วันก่อนฟัง “ปลุกยักษ์” แล้วบอกกับตัวเองเลยว่า เราต้องกล้าเปลี่ยนแปลง!” ดิฉันตกใจรีบถามผจก.ท่านนั้นกลับไปว่า “แล้วเขาขายได้ไหมคะ?” ผจก.บอกว่า “ขายได้..ขายเก่งด้วย..ตอนนี้ติดคุณวุฒิไปเที่ยวต่างประเทศแล้วด้วย!!!” ว้าว! ไม่อยากจะเชื่อเลย! เห็นไหมคะว่า ถ้าเราไม่กล้าที่จะทำอะไรบางอย่างให้แตกต่างจากเดิม เราก็จะไม่มีวันได้ผลลัพธ์ใหม่ๆหรอกคะ!!!

คนที่อยากประสบความสำเร็จ เป็นคนที่ต้องฝึก..ต้องฝืนตัวเองให้กล้าเผชิญกับความยากลำบากที่ไม่คุ้นเคย เอาตัวเองออกมาจาก Comfort Zone เพื่อขยายขีดความสามารถและระดับความสำเร็จของตัวเองออกไป!

บางคนกลัวกับการที่ต้องไปขายหรือรีครูทคนที่มีศักยภาพเหนือกว่าเรา! ไม่ทราบว่าอันนี้รวมถึงตัวคุณด้วยหรือเปล่าคะนี่? คุณอยากได้ “คาถาเอาชนะความกลัว” ไหมคะ? .. ฟังดีๆนะคะ! .. เวลาเจอคนมีศักยภาพมากกว่าเรา ให้คุณมีสติ จับตัวเองและยอมรับไปก่อนเลยก็ได้ว่า คุณกลัว(ถ้าเป็นเมื่อก่อน คุณก็จะเงียบ หรือไม่ก็เดินหนีไปเลยใช่ไหมคะ?) ให้คุณวางความกลัวไว้ข้างๆคุณก่อน แล้วเรียก “คาถาเอาชนะความกลัว” ของดิฉันมาใช้ โดยบอกกับตัวเองว่า “ 1 .. 2 .. 3.. ลุย!!! ” “สวัสดีค่ะ คุณลูกค้า.......” เอ่ยปากขายหรือเอ่ยปากรีครูทเลยโอเคไหมคะ? แล้วคุณจะช็อกกับความมหัศจรรย์ของคาถานี้!

หลังจากออกจากสัมมนา “ปลุกยักษ์” ไปไม่กี่วัน พี่ผู้หญิงท่านหนึ่งโทรศัพท์มาหาดิฉัน แล้วส่งเสียงด้วยความตื่นเต้นดีใจสุดขีดบอกว่า “อาจารย์.. พี่โทรมาบอกอาจารย์เป็นคนแรกเลยนะเนี่ย ..พี่เพิ่งเก็บเช็คมา 3 ล้านบาท! .. ก่อนหน้านี้พี่ไม่เคยกล้าขายเศรษฐีเล๊ย แต่พอนึกถึงอาจารย์ ก็บอกตัวเองว่า เอาวะ .. กล้าๆหน่อย .. ลุย!” แล้วก็ขายได้จริงๆด้วย! .. สุดยอดไหมคะ!?!

ความจริงแล้วความกล้ามันก็อยู่ในตัวเรานี่แหละ แต่เราไม่เคยเรียกมันออกมาใช้ แล้วคุณก็ไม่ต้องไปหาวิธีกำจัดความกลัวให้หมดไป เพราะความกลัวจะอยู่กับคุณตลอดชีวิต คุณไม่มีทางกำจัดมันได้ แต่ให้คุณอยู่กับความกลัว บางคนบอกว่า “ให้เราเต้นรำไปกับความกลัว” คุณคิดว่าคนที่กล้าหาญขาไม่มีความกลัวหรือคะ? เขากลัวคะ..แต่เขาก็ลงมือทำทั้งๆที่กลัว! นั่นแหละคือความกล้าหาญที่แท้จริง!!!

บางคนกลัวความล้มเหลว ทำให้ไม่กล้าตั้งเป้าหมาย หรือบางครั้งเขาก็เอาแต่คิดว่า ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จละ? ฉันจะทำได้หรือ? มันจะได้จริงหรือเปล่า? จะเสียเวลาและเสียแรงไปฟรีๆไหม? พวกนี้จะเอาแต่คิดๆๆ กังวลๆๆ ไม่กล้าที่จะลงมือทำ หรือ ลงมือทำก็ทำแบบกล้าๆกลัวๆ ไม่ยอมลงทุนลงแรงทำเต็มที่ เพราะกลัวจะขาดทุน กลัวจะล้มเหลว พวกเขาเล่นเกมแบบตั้งรับ ไม่ยอมเล่นเกมรุก เล่นแบบกันไม่ให้แพ้ .. คนที่ประสบความสำเร็จเขาจะลงมือทำอย่างเต็มที่ จริงจัง ทุ่มเทสุดๆ เขาเล่นเกมเพื่อที่จะชนะเท่านั้น!!!!แล้วตัวคุณละคะ .. คุณกลัวอะไรอยู่คะตอนนี้ คุณเล่นเกมเพื่อที่จะชนะหรือเปล่า?

คนที่กล้าหาญคือคนที่ลงมือทำทั้งๆที่กลัว! คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่เล่นเกมเพื่อที่จะชนะ!

คุณอยากรู้อนาคตของตัวเองไหมคะ?

คุณอยากรู้อนาคตของตัวเองไหมคะ?
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบดูดวง ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นคำถามที่ว่า .. อนาคตฉันจะรวยไหม? ฉันจะมีชีวิตที่สุขสบายหรือเปล่า?หน้าที่การงานจะประสบ ความสำเร็จหรือไม่? ธุรกิจจะเป็นอย่างไร? จะมีโชคมีลาภไหม? แล้วยังมีเรื่องความรักอีก..จะได้แฟนดีหรือเปล่า? จะมีครอบครัวที่อบอุ่นไหม? และมีอีกมากมายสารพัดคำถามที่เกี่ยวกับอนาคตของเราทั้งสิ้น!!! แล้วคุณล่ะคะ .. ชอบดูดวงหรือเปล่า? คุณอยากรู้อนาคตของตัวเองเหมือนกันใช่ไหมคะ? .. สร้างมันขึ้นมาเองซิคะ!!!

อยาก รวยใช่ไหมคะ? เลือกอาชีพที่คุณชอบและมีความถนัดซิคะ เลือกงานที่ให้ผลตอบแทนที่คุณพอใจ ขยันมุ่งมั่นทุ่มเท ทำให้เต็มที่ วางแผนและบริหารการเงินให้ดี หยุดฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายให้น้อยกว่าเงินที่ได้มา แล้วเก็บสะสมเงินส่วนที่เหลือไว้ซิคะ!

อยาก มีแฟนที่ดี อยากมีครอบครัวที่อบอุ่นใช่ไหมคะ? ทำตัวคุณเองให้น่ารัก น่าอยู่ใกล้ อบอุ่น อ่อนโยน พูดจาดี ยิ้มแย้มแจ่มใส เบิกบาน อารมณ์ดี เอาใจใส่และให้เวลากับคนที่คุณรัก สื่อสารว่าคุณรักพวกเขามากแค่ไหน ด้วยคำพูดและการกระทำของคุณซิคะ!

ชีวิตของคุณจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำและการเลือกของคุณทั้งสิ้น! คุณสามารถสร้างอนาคตได้ด้วยตัวคุณเอง .. และคุณจะต้องสร้างให้มันเกิด .. ไม่ใช่ปล่อยให้มันเกิด! จำไว้ว่า .. คุณคือผู้กำหนดชะตาชีวิตของคุณเอง .. คุณคือผู้เลือก! บาง คนบอกว่า "ฉันกำหนดชะตาชีวิตของฉันไม่ได้หรอก..ฉันไม่มีทางเลือก!" .. ไม่จริงหรอกค่ะ..คุณมีทางเลือก แต่คุณอาจจะไม่รู้ว่าคุณเลือกได้ เพราะคุณไม่เคยฝึกและไม่เคยพยายามที่จะมองหาทางเลือก หรือไม่กล้าที่จะเลือกต่างหาก!

ในชีวิตของคุณ มีสิ่งต่างๆมาให้คุณได้เลือกตลอดเวลา แต่คุณอาจจะไม่เคยสังเกตและไม่เคยพิจารณาเลือกด้วยตัวของคุณเองจริงๆสักทีขอ ถามหน่อย นะคะว่า
วันนี้คุณเลือกได้ไหมว่าจะกินข้าวหรือกินก๋วยเตี๋ยว?
คุณเลือกได้ไหมว่าจะไปช็อปปิ้งหรือจะไปดูหนัง?
คุณเลือกได้ไหมว่าจะไปหาลูกค้าหรือ อยู่กับบ้าน?
คุณเลือกอะไรคะ?
ขยันกับขี้เกียจ..เลือกอะไรคะ?
มุ่งมั่นกับท้อถอย..เลือกอะไรคะ?
เวลาที่คุณเจอคนรวยที่คุณคิดว่าน่าจะเป็นลูกค้า ของคุณได้..คุณเลือกที่จะเอ่ยปากขายหรือปิดปากเงียบ?
เวลาที่คุณเจอกับปัญหาและอุปสรรค..คุณเลือกที่จะเดินหน้าต่อไปหรือล้มเลิก ยอมแพ้?
ถ้ามีคนพูดไม่ดีกับคุณ..คุณเลือกที่จะด่ากลับไปหรือเลือกที่จะให้อภัย?
เวลารถติดคุณเลือกได้ว่าจะหงุดหงิดอารมณ์เสียหรือทำใจให้สบายๆฟังเพลง รอไปก่อน ชีวิตของคุณจะเป็นอย่างไร จะไปทิศทางไหนก็ขึ้นอยู่กับการเลือกของคุณในทุกๆขณะนั่นแหละค่ะ!

บาง คนบอกว่า "ปวดหัว..ไม่เลือกได้ไหม"?..ก็ได้เหมือนกันคะ..จริงๆแล้ว การที่คุณไม่เลือกอะไรเลยก็คือ คุณเลือกแล้วว่า คุณจะย่ำอยู่กับที่นั่นเอง!!! .. ลองนึกภาพดูนะคะว่า ถ้าตอนนี้คุณยืนอยู่ตรงทางแยกที่มีให้เลือกว่า คุณจะเดินไปทางซ้ายหรือเดินไปทางขวาก็ได้ แล้วคุณไม่เลือกทางไหนเลย..ซ้ายก็ไม่ไป..ขวาก็ไม่ไป .. ถามว่า ตอนนี้คุณจะยืนอยู่ตรงไหนคะ? คุณก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมใช่ไหมคะ!?

ส่วน ใหญ่เราไม่ค่อยจะมีสติในการเลือก เราปล่อยให้ตัวอัตโนมัติของเราทำงานเองมาโดยตลอด เช่น คนพูดไม่ดีกับเรา..เราก็ด่ากลับไปเลยโดยอัตโนมัติ เราไม่มีสติที่จะคิดว่า เราต้องการผลลัพธ์อะไร? เราจะเลือกให้สายสัมพันธ์คงอยู่หรือเลือกจะทะเลาะกัน

ดังนั้นถ้าคุณอยากมีชีวิตที่มีความสุขและประสบความสำเร็จ คุณต้องเลือกในสิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของคุณ คุณต้องมีสติในการเลือก! สติคือความรู้ตัวทั่วพร้อมหรือความรู้เท่าทัน ซึ่งสติจะเกิดก็ต่อเมื่อคุณตั้งใจฝึก ตั้งใจดูอารมณ์ และความรู้สึกนึกคิดของคุณเท่านั้น! นี่คือสุดยอดเคล็ดวิชาที่จะนำพาชีวิตของคุณให้มีความสุขและประสบความสำเร็จ .. คุณต้องฝึกสติ!

นับจากนี้ไป ขอให้คุณเริ่มที่จะสังเกตจิตใจของตัวคุณเอง ติดตามดูอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของคุณ บางครั้งคุณจะพบว่า คุณกำลังเผชิญกับความกลัวอยู่ คุณกำลังขี้เกียจอยู่ คุณกำลังหนีปัญหาอยู่ คุณกำลังหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบอยู่ คุณกำลังข่มคนอื่นอยู่ ฯลฯ และในวินาทีที่คุณจับตัวเองได้ ขอให้คุณปล่อยวางอารมณ์และความคิดลบนั้น ทำใจให้ว่างๆโล่งๆ พิจารณาทางเลือกต่างๆให้ดีที่สุดก่อน แล้วให้คุณเลือกอย่างมีสติและมีพลัง! เมื่อคุณเป็นผู้เลือก นั่นคือคุณเป็นผู้ควบคุม. เพราะฉะนั้นคุณก็สามารถกำหนดชะตาชีวิตของคุณเองได้ใช่ไหมคะ? และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อคุณเลือกแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร คุณจะต้องยอมรับในสิ่งที่คุณได้เลือกไป!

คุณ เลือกได้ว่าคุณจะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของคุณเอง โดยการที่คุณเป็นผู้เลือกและรับผิดชอบเอง หรือคุณจะปล่อยให้โชคชะตาท้องฟ้าดวงดาวเป็นผู้ลิขิตชีวิตของคุณ แล้วคุณก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยก็ได้ .. คุณเลือกอะไรคะ?
ใกล้ สิ้นปีแล้ว ผลงานเป็นอย่างไรกันบ้างคะ? อยากเพิ่มยอดขายไหมคะ?

ระวังความคิดของคุณให้ดี!!!

ระวังความคิดของคุณให้ดี!!!
ดิฉัน อยากให้คุณลองทบทวนดูว่า เวลาที่คุณคุยกับใครบางคน หรือ ได้พบเหตุการณ์อะไรบางอย่าง
คุณมีความคิดเกี่ยวกับคนหรือเหตุการณ์นั้นๆอย่างไรบ้าง?
คุณเคยสังเกตตัวเองไหมคะ?

ถ้าคุณโทรศัพท์ไปหาลูกค้า แล้ว ลูกค้าไม่ได้รับสาย คุณคิดว่าอย่างไรคะ? .. “ลูกค้าไม่อยากรับสายเรา” “ลูกค้าหลบหน้าเราแน่ๆเลย” “ทำไมเขาไม่รับสายเรา เขาไม่ชอบเราหรือเปล่า?” “สงสัยลูกค้าติดธุระอยู่” .. คำตอบอาจมีมากมายหลายอย่างแล้วแต่ความคิดของแต่ละคนใช่ไหมคะ?

ถ้าคุณไปขายของ แล้ว ลูกค้าเขายังไม่ซื้อ คุณคิดว่าอย่างไรคะ? .. “ทำไมเขาไม่ซื้อ(วะ)?” “ฉันนำเสนอไม่ดีหรือเปล่า?” “เขาไม่ชอบเรามั้ง?” “ฉันจะทำงานนี้ได้ไหมเนี่ย?” “ทำไมฉันขายไม่เก่งเหมือนคนอื่น?” “ดวงฉันไม่ดีเลยช่วงนี้” ฯลฯ .. โอ๊ย! มีสารพัดความคิดใช่ไหมะ?

มันเป็นการยากที่จะ “แยกแยะ” ระหว่าง
1.“สิ่งที่เกิดขึ้น” กับ
2.“สิ่งที่คุณคิดหรือตีความหรือปรุงแต่ง”!
ลาที่เราเจอเหตุการณ์อะไรก็ตาม เราจะคิดหรือตีความแบบอัตโนมัติเลยโดยที่เราไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำไป!เพราะว่า .. “มนุษย์เป็นเครื่องจักรของการตีความ!”

เอาล่ะคะ เราลองมาแยกแยะบางตัวอย่างดูนะคะ ..
1.สิ่งที่เกิดขึ้นคือ โทรศัพท์ไปหาลูกค้า แล้วลูกค้าไม่ได้รับสาย
2. สิ่งที่เราคิด/ตีความ/ปรุงแต่ง คือ ลูกค้าไม่อยากรับสายเรา ลูกค้าหลบหน้าเราแน่ๆเลยฯ..
ทำไม ดิฉันพูดอย่างนี้หรือคะ? ลองดูนะคะ .. ถ้าคุณเป็นคนคิดลบและคำตอบของคุณเหมือนตัวอย่างข้างต้นนี้ คุณก็จะห่อเหี่ยวหมดแรงใช่ไหมคะ? .. และถ้ามันไม่ใช่ความจริงสำหรับคุณ ทำไมคุณถึงห่อเหี่ยวล่ะคะ?!? .. คุณ “หลงเชื่อ” ความคิดของคุณว่ามันเป็นความจริง “โดยที่คุณไม่รู้ตัว” เพราะฉะนั้น “ระวังความคิดของคุณให้ดี!”

ถ้าอย่างนั้น “ลูกค้าไม่ได้รับสายแปลว่าอะไร?” .. ก็แปลว่า “ลูกค้าไม่ได้รับสายหน่ะซิคะ!” ดิฉันได้คุยกับพี่ท่านหนึ่ง เขาทำงานขายประกันชีวิต เขาบ่นให้ดิฉันฟังว่า “ช่วงนี้ผมเครียดมาก เป็นอะไรไม่รู้ขายไม่ค่อยได้เลย ตัวเลขตก สงสัยว่า ผมคงไม่เก่ง โชคทำไมไม่เข้าข้างผมเลย มันเป็นช่วงชีวิตที่ดิ่งเหวจริงๆหรือนี่!” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังวลมาก

ดิฉันก็บอกวิธีการแยกแยะข้างต้นให้เขาฟัง ..
1.สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ขายไม่ได้ ตัวเลขตก
2.สิ่งที่คิด/ตีความ/ปรุงแต่ง คือ ไม่เก่ง โชคไม่เข้าข้าง เป็นช่วงชีวิตที่ดิ่งเหว

พอเขาได้วิธีการแยกแยะที่ชัดเจนแบบนี้ เขาก็ถึงบางอ้อเลย! เขาบอกว่า เขาหลงปรุงแต่งเรื่องราวแย่ๆแบบนี้มาตั้งนาน อยากจะหา “ไวรัส” มาเขมือบไอ้ความคิดปรุงแต่งพวกนี้จริงๆ . . ดิฉันก็บอกเขาว่า พี่อยากได้ไวรัสหรือคะ? ถ้าอย่างนั้นฟังคำตอบให้ดีๆนะคะ .. ไวรัสที่จะเขมือบความคิดปรุงแต่งพวกนี้ก็คือ “สติ”

เขาบอกว่า “เอ้อ! จริงๆด้วย ผมต้องมีสติ! ดูซิเรื่องแค่นี้ยังคิดไม่ออก ผมนี่มันไม่เอาไหนเลย!” .. โอ๊ย! ดิฉันอยากจะบ้าตาย! พูดแค่นี้พี่เขายังตีความอีกว่า เขาไม่เอาไหนเลย.. เฮ้อ! .. มนุษย์นี่เป็นเครื่องจักรของการตีความจริงจริ๊ง!!!

ต่อจากนี้ไป เราต้องเริ่มฝึกที่จะมีสติ คอยจับความคิด อารมณ์ และความรู้สึกของเราให้ทันท่วงที เวลาที่เราเศร้า หงุดหงิด กังวล โกรธฯ แสดงว่าเรากำลังปรุงแต่งตีความอะไรบางอย่างอยู่ ให้เรามี “สติ” แล้วเรียกเอา “ปัญญา” มาพิจารณา “แยกแยะ” ระหว่าง
1. สิ่งที่เกิดขึ้น กับ
2. สิ่งที่เราปรุงแต่งตีความ
หลังจากนั้นให้เราอยู่กับ “สิ่งที่เกิดขึ้น” เท่านั้น .. สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งสิ้น

ถ้าคุณมีเงินเก็บ 200,000 บาท ก็คือคุณมีเงินเก็บ 200,000 บาท หรือคุณมีหนี้ 500,000 บาท ก็คือคุณมีหนี้ 500,000 บาท มันไม่ได้หมายความว่า คุณเป็นคนจน คุณไม่มีความสามารถ คุณเป็นคนไม่ประสบความสำเร็จฯลฯ

ในด้านของสายสัมพันธ์ก็ต้องระวังเรื่องการตีความเหมือนกัน เช่น พ่อกำลังตื่นเต้นลุ้นฟุตบอลนัดสำคัญอยู่หน้าจอ TV สักครู่ลูกชายเดินมาหาเพื่อชวนพ่อไปเล่นด้วย พ่อก็บอกว่า “รอพ่อดูฟุตบอลจบก่อนนะ” ลูกชายเดินคอตกออกไปจากห้องพร้อมกับความเสียใจว่า “พ่อเห็นฟุตบอลดีกว่าเรา พ่อไม่รักเราแล้ว ฯลฯ” เห็นไหมคะว่า พ่อพูดแค่นี้ แต่ลูกไปตีความว่าอะไรบ้าง

เวลาที่คุณทำงานร่วมกันเป็นทีมก็ต้องระวัง ถ้าคุณชวนทีมงานของคุณไปร่วมงานประชุมที่สำคัญมาก แต่เขาไปไม่ได้ เพราะมีนัดกับแม่ คุณก็อาจจะคิดว่า “ดูซิ งานสำคัญขนาดนี้ยังไม่ยอมไป แล้วจะประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ได้อย่างไร ไม่สนใจงานของตัวเองเลยฯ” ถ้าคุณมีความคิดแบบนี้ วันหลังเวลามีงานประชุมอีก คุณอยากจะชวนเขาไหมคะ? ภาพพจน์ของเขาในสายตาของคุณเป็นอย่างไร?

ขอให้คุณฝึกการแยกแยะและอยู่กับ “สิ่งที่เกิดขึ้น” เท่านั้น พยายามจับตัวเองให้ทันหรือมีสติเตือนตัวเองให้ได้เวลาที่ “คุณคิด/ตีความ/ปรุงแต่ง” และนี่คือ “สุดยอดเคล็ดวิชา” ที่จะทำให้คุณคลายจากความเครียด ความเศร้า และความทุกข์ทั้งหลาย

เปลี่ยนความคิด..ชีวิตเปลี่ยน!

เปลี่ยนความคิด..ชีวิตเปลี่ยน!
ถ้าอยากมั่งคั่งร่ำรวย ให้รวมศูนย์ความคิดไปที่ความมั่งมีศรีสุข จินตนาการว่าคุณมีเงินเท่าที่ต้องการแล้ว และให้รู้สึกมีความสุขตั้งแต่ตอนนี้ เพราะนี่คือทางลัดที่สุดที่จะชักนำเงินทองเข้ามาในชีวิตคุณ!!!

ดิฉันแนะนำให้คุณไปซื้อหนังสือ “The Secret” มาอ่าน และลงมือปฏิบัติตามที่หนังสือแนะนำด้วยนะคะ! แล้วคุณจะได้พบกับความมหัศจรรย์ค่ะ!! ชีวิต ที่เปลี่ยน .. เกิดจากการกระทำที่เปลี่ยน .. การกระทำที่เปลี่ยน .. เกิดจากความคิดที่เปลี่ยน .. และความคิดที่เปลี่ยน .. ก็เกิดจากความเชื่อที่เปลี่ยน! .. ถ้าเราเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็จะเปลี่ยน .. คุณเห็นด้วยไหมคะ?

คุณรู้ไหมคะว่า 60%-80% ของความสุขและความสำเร็จมาจากการที่เรามีระบบความคิด (Mind Set) ที่ดี ส่วนความรู้หรือทักษะความชำนาญเกี่ยวกับงานที่ทำมีความสำคัญน้อยกว่า คนที่ยังไม่สำเร็จไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้วิธีการอธิบายว่าธุรกิจของเขาดีอย่างไร ให้ผลตอบแทนแบบไหน สินค้ามีจุดเด่นอะไรบ้าง ความจริงแล้ว เขาสามารถอธิบายได้ดีมากเลยแหละคะ แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า เขาไม่ออกไปทำงาน ไม่ไปติดต่อลูกค้า ไม่ไปแนะนำสินค้า ไม่ไปนำเสนอธุรกิจ ไม่ไปรีครูตคนเข้ามาร่วมงาน หรือทำก็น้อยมากเลย ใช่ไหมคะ? .. อันนี้รวมถึงคุณด้วยหรือเปล่าคะเนี่ย?

คุณคิดว่าอะไรทำให้เขาไม่ออกไปทำงานล่ะคะ? มันมี “ความคิด” อะไรบางอย่างที่มาหยุดยั้งการลงมือทำใช่ไหมคะ?
ทำไมบางคนเจอคำปฏิเสธ เจอปัญหาอุปสรรคก็ยังเดินหน้าต่อ แต่บางคนล้มเลิก หยุด ไม่ทำแล้ว?!?
ทำไมบางคนสร้างฐานะขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ในขณะที่บางคนผ่านไปเกือบหมดชีวิตก็ยังไม่มีอะไรเลย!?! ..
ทำไมบางคนมีความสุขกับชีวิต แต่บางคนเศร้าใจ หงุดหงิด เครียด และกังวลตลอดเวลา?
คนที่ประสบความสำเร็จ กับ คนที่ยังไม่สำเร็จ มี “ความคิด” อะไรที่แตกต่างกัน?
คนที่มีความสุข กับ คนที่มีความทุกข์ มี “ความคิด” อะไรที่ต่างกัน?
คนสำเร็จบอกว่า “ฉันนี่แหละ ที่กำหนดชะตาชีวิตของฉันเอง” ..
คนไม่สำเร็จบอกว่า “ดวงฉันไม่ดี ไม่มีคนให้ความช่วยเหลือ”
คนสำเร็จ “แสวงหาโอกาสให้ตัวเอง” ..
คนไม่สำเร็จ “รอคอยให้โอกาสเดินเข้ามาหา”
คนสำเร็จบอกว่า “ชีวิตของฉันผ่านปัญหาและอุปสรรคมาเยอะ มันหล่อหลอมให้ฉันเป็นคนเข้มแข็งอดทน ฉันถึงประสบความสำเร็จจนทุกวันนี้”
คนไม่สำเร็จบอกว่า “เพราะชีวิตของฉันเต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรค ชีวิตฉันถึงได้ย่ำแย่แบบนี้”
คนสำเร็จบอกว่า “ฉันจะช่วยงานหัวหน้า ฉันจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกทีมเห็น ฉันจะหาจุดเด่นของสินค้ามานำเสนอ”
คนไม่สำเร็จบอกว่า “หัวหน้าไม่ช่วย ลูกทีมไม่ขยัน สินค้าสู้คนอื่นไม่ได้”
คนมีความสุขบอกว่า “ขอบคุณสิ่งต่างๆที่ฉันมีในชีวิต ฉันเป็นคนโชคดีจริงๆ”
คนมีความทุกข์บอกว่า “ทำไมฉันยังไม่มีเหมือนคนอื่นเขา ฉันมันคนไร้บุญวาสนา ฉันโชคร้ายจริงๆ”
คนมีความสุข “ตีความกับสิ่งต่างๆแบบให้พลังกับตัวเอง” ..
คนมีความทุกข์ “ตีความแบบลดพลังของตัวเอง” เห็นไหมคะว่า “ความคิด” ของคนสองประเภทนี้ต่างกันมาก!
ถ้าคุณอยากสำเร็จ ให้คิดแบบคนสำเร็จ .. ถ้าคุณอยากมีความสุข ให้คิดแบบคนมีความสุข! .. “เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน!”

คุณโปรแกรมตัวเองไว้แบบไหน?
คุณรู้หรือไม่คะว่า “คุณเป็นคนอย่างที่คุณคิดตลอดเวลา!” เช่น ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นคนไม่เก่ง คุณก็จะเป็นคนไม่เก่งในโลกของคุณเอง คุณจะขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง คุณจะกังวลว่าจะทำได้ไหม? สิ่งที่คุณทำไปมันดีพอหรือยัง? ..เวลาที่คุณทำอะไรได้ดี มันก็จะผ่านเลยไป แต่เวลาที่คุณทำได้ไม่ดี คุณก็จะตอกย้ำกับตัวเองว่า “ฉันเนี่ยมันไม่ได้เรื่องเลย ฉันไม่มีความสามารถ!” ใช่ไหมคะ? คุณมีประสบการณ์และข้อพิสูจน์หลายต่อหลายครั้งว่า คุณไม่เก่ง แล้วมันก็กลายเป็นความจริงในโลกของคุณ!?!

นับจากนี้ไป .. ระวังสิ่งที่คุณคิดให้ดีๆ เพราะสิ่งที่คุณคิดบ่อยๆ พูดบ่อยๆ เห็นบ่อยๆ ทำบ่อยๆ มันจะกลายเป็นการโปรแกรมตัวคุณเองแบบอัตโนมัติโดยที่คุณไม่รู้ตัว! หลักการทำงานของสมองและจิตใต้สำนึกมีอยู่ว่า “สิ่งที่ใส่เข้าไปเท่ากับสิ่งที่ออกมา” “Input=Output” คุณใส่อะไรเข้าไปในสมองหรือความคิดของคุณ ผลลัพธ์มันก็จะออกมาเป็นแบบนั้น

ในเมื่อเรารู้หลักการทำงานของสมองและจิตใต้สำนึกแบบนี้แล้ว ทำไมเราไม่โปรแกรมตัวเองให้ดีๆล่ะคะ?!? แทนที่เราจะปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแบบอัตโนมัติโดยที่เราไม่รู้ตัว หรือพูดง่ายๆก็คือ เราไม่เคยฝึกตัวเองที่จะ“มีสติ”กำกับความคิด คำพูด และการกระทำของเรา

สิ่งที่เราต้องใช้สติในการโปรแกรมตัวเอง หรือใส่ Input ดีๆได้แก่ 1. ความคิด 2. คำพูด 3. ภาพที่เราเห็นด้วยตาหรือเห็นจากการจินตนาการก็ได้ 4. การแสดงออกหรือการใช้ร่างกายของเรา

ดิฉันอยากเล่าทฤษฎีอื่นให้คุณฟังอีก เขาเรียกว่า “กฎของการดึงดูดชักนำพา” มีคนเขาทดลองเอาส้อมเสียง .. โด เร มี ฟา ซอล ลา ที .. ไปตั้งกระจายไว้ในห้องหลายๆอัน แล้วเขาก็เคาะส้อมเสียง “โด” ปรากฏว่า มีส้อมเสียง “โด” อีกอันที่อยู่หลังห้องมันสั่นรับขึ้นมา ในขณะที่ส้อมเสียงอื่นอยู่นิ่งๆแบบเดิม เขาเลยคิดค้นและได้บทสรุปว่า “คลื่นพลังงานอะไรก็แล้วแต่ที่ใกล้เคียงกันจะดึงดูดกัน”

ต่อมามีการทดลองเอาคนที่มีความสุข เบิกบานใจแบบเข้มข้น ไปวัดคลื่นพลังงานที่ออกจากสมอง ปรากฏว่าเป็นคลื่นพลังงานบวกที่สูงมาก คลื่นนี้มีพลังแรงมาก ขนาดเขาเอากล้องไปถ่าย ยังเห็นภาพคลื่นพลังงานผ่านทะลุกำแพงออกไปได้ด้วย เขาได้ติดตามดูชีวิตคนพวกนี้ ก็พบว่าคนที่มีความสุขเบิกบานใจเหล่านี้ จะได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ เช่น ได้ไปเจอคนดีๆ ได้พบกับเหตุการณ์ดีๆฯลฯ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาปล่อยคลื่นพลังงานบวกไปดึงดูดคลื่นประเภทเดียวกัน เข้ามาในชีวิต

นอกจากนี้ ยังมีการทดลองเอาคนที่ซึมเศร้า ห่อเหี่ยว ท้อแท้ รันทดกับชีวิต ไปวัดคลื่นพลังงาน ปรากฏว่า ได้คลื่นพลังงานที่เป็นลบ คลื่นเหล่านี้ก็จะไปดึงดูดคลื่นประเภทเดียวกันเข้ามา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนเหล่านี้ก็มักจะพบแต่เหตุการณ์ร้ายๆอยู่เป็นประจำ!

คุณจะเห็นได้ว่าทุกทฤษฎีนั้นสอดคล้องสัมพันธ์กันหมด เช่น ถ้าใครคิดหรือพูดไม่ดี Input ลบ ก็เท่ากับว่าเขากำลังปล่อยคลื่นพลังงานลบออกมาด้วย ซึ่งมันจะไปดึงดูดสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิต

สิ่งที่คุณคิด พูด เห็น หรือทำบ่อยๆ จะกลายเป็นนิสัย ยิ่งสภาวะอารมณ์ที่คุณมี เข้มข้นเท่าไร มันจะยิ่งลงสู่จิตใต้สำนึกได้เร็วและเป็นการโปรแกรมตัวเองแบบเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น!

จำได้ไหมคะ ก่อนหน้านี้ดิฉันอธิบายถึงเรื่องการแยกแยะ ระหว่าง 1. สิ่งที่เกิดขึ้น กับ 2. สิ่งที่เราตีความ/คิด/ปรุงแต่ง ดิฉันอยากบอกคุณอีกครั้งว่า สิ่งที่คุณคิดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นการตีความและการให้ความหมายต่อสิ่งต่างๆด้วยตัวคุณเองทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่เป็นความจริงหรอกค่ะ!

ถ้าคุณบอกว่าโลกนี้สวยงาม ชีวิตของคุณโชคดี คุณก็จะรู้สึกมีความสุขและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตใช่ไหมคะ?
แต่ถ้าคุณบอกว่า โลกนี้โหดร้าย ชีวิตของคุณมีแต่ปัญหาและอุปสรรค คุณก็คงเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและหมดแรงจริงไหมคะ? โลกก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง มีแต่มนุษย์เราเท่านั้นที่ไปตีความหรือให้ความหมายกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้!

ก็ในเมื่อเราเป็นคนที่ให้ความหมายกับทุกสิ่งทุกอย่าง เอง แล้วทำไมเราไม่ตีความหรือให้ความหมายดีๆ ที่ให้พลังกับชีวิตของเราล่ะ จริงไหมคะ? ต่อจากนี้ไป ให้คุณเริ่มใส่ Input หรือโปรแกรมตัวเองให้ดี ด้วยความคิด คำพูด ภาพที่เห็น และการกระทำหรือการแสดงออกที่ดี

เริ่มบอกกับตัวเองทุกวันได้แล้วว่า “ฉันเป็นคนโชคดี!” เมื่อสิ่งดีๆเกิดขึ้น แม้จะเล็กน้อย ก็ให้บอกตัวเองว่า“โชคดีจัง!” แล้วคอยดูว่า คุณเริ่มดึงดูดความโชคดีเข้ามาในชีวิตมากขึ้นหรือเปล่า?

วิธี ”ดึงดูด” สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

วิธี ”ดึงดูด” สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

ตอนนี้หนังสือชื่อ “The Secret” “เดอะ ซีเคร็ต” กำลังดัง มีคนสนใจหาซื้อมาอ่านกันมากมาย ในหนังสือเล่มนี้พูดถึงเรื่องของ The Law of Attraction “กฎของการดึงดูด” ซึ่งมีอยู่ว่ามีอยู่ว่า “สิ่งที่เหมือนกันจะมีแรงดึงดูดเข้าหากัน” ดังนั้นเวลาที่คุณคิดถึงอะไร คุณก็จะดึงดูดความคิดแบบเดียวกันเข้ามาหาคุณ!!

“ คุณคือแม่เหล็กขนาดใหญ่!! .. คุณจะดึงดูดสิ่งที่คุณคิดถึงมากที่สุดเข้ามา .. ความคิดของคุณจะกลายเป็นความจริง!!”

อะไรก็ตามที่คุณกำลังคิดอยู่ในขณะนี้ กำลังสร้างชีวิตของคุณในอนาคต สิ่งที่คุณคิดถึงมากที่สุดและเพ่งสมาธิจดจ่อมากที่สุดจะปรากฏขึ้นเป็นชีวิต จริงของคุณ!! .. จงคิดถึงแต่สิ่งที่คุณต้องการ อย่าคิดถึงสิ่งที่คุณไม่ต้องการ!

ถ้าคุณคิดถึงสิ่งดีๆ สิ่งดีๆก็จะถูกดึงดูดให้เข้ามาหาคุณ ถ้าคุณคิดถึงความร่ำรวย ความร่ำรวยก็จะเป็นของคุณ ถ้าคุณคิดว่าชีวิตมันยากลำบาก คุณต้องดิ้นรนต่อสู้ คุณก็จะได้รับประสบการณ์ที่ยากลำบากต้องดิ้นรนต่อสู้ .. อย่าลืมว่า “คิดอย่างไร ได้อย่างนั้น!”

คนส่วนใหญ่ดึงดูดสิ่งต่างๆเข้ามาอย่างอัตโนมัติ เพราะเราปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ เราไม่ค่อย“มีสติ”ในการควบคุมความคิด และมันก็เป็นการยากที่เราจะคอยควบคุมความคิดของเราตลอดเวลา เพราะวันหนึ่งๆคนเราคิดประมาณหกหมื่นเรื่อง!!

มีวิธีตวจสอบความคิดของคุณแบบง่ายๆคือ “ดูอารมณ์และความรู้สึกของคุณ” เพราะอารมณ์บอกให้คุณรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไร ตอนนี้คุณรู้สึกดีหรือรู้สึกแย่ เวลาที่คุณรู้สึกดี แสดงว่าคุณกำลังคิดเรื่องดีๆอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะรู้สึกดีในขณะที่กำลังคิดอะไรแย่ๆ!! .. ให้รู้ไว้ว่า ขณะที่คุณรู้สึกดี คุณกำลังดึงดูดสิ่งดีๆที่จะทำให้คุณรู้สึกดีเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ดังนั้นถ้าเมื่อไรที่คุณรู้สึกแย่ คุณจะต้องรีบหาวิธีที่จะเปลี่ยนความรู้สึกนั้นให้เร็วที่สุด!! อาจจะเปิดเพลงเพราะๆฟัง หรือร้องเพลงโปรดของคุณ นึกถึงสิ่งสวยงาม คิดถึงเรื่องตลก นึกถึงคนที่คุณรัก หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณชอบไป ฯลฯ

ความรักเป็นอารมณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด! ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป หากคุณสามารถรักทุกสิ่งทุกอย่างและรักทุกคนได้ ยิ่งคุณส่งกระจายความรักออกไปมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งมีพลังอำนาจมากขึ้นเท่านั้น!

ชีวิตและทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตถูกสร้างขึ้นด้วยตัวของคุณเอง! กฎแห่งการดึงดูดคอยรับฟังคุณตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะคิด พูด หรือทำอะไร จักรวาลนี้จะเข้าใจว่าคุณทุกอย่างที่คุณคิด พูด และทำ คือสิ่งที่คุณต้องการ!

กระบวนการสร้างสิ่งที่คุณปรารถนา
ขั้นที่ 1 : ขอ .. จงขอต่อจักรวาล บอกให้จักรวาลรู้ว่าคุณต้องการอะไร เขียนสิ่งที่คุณต้องการลงไปในแผ่นกระดาษ เขียนในรูปปัจจุบันกาลด้วย
ขั้นที่ 2 : เชื่อ .. จงมีศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ยังมองไม่เห็น เชื่อว่าสิ่งที่คุณขอนั้นเป็นของคุณแล้ว คุณจะต้องคิด พูด และทำ ราวกับว่าคุณกำลังได้รับสิ่งนั้นอยู่ในตอนนี้ คนส่วนใหญ่ไม่ปล่อยให้ตัวเองนึกอยากได้สิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ เพราะมองไม่เห็นว่าสิ่งนั้นจะเป็นจริงขึ้นได้อย่างไร คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าทำอย่างไร สิ่งต่างๆจะปรากฏให้คุณเห็นเอง คุณจะดึงดูดหนทางเข้ามาหาตัวคุณเอง!!
ขั้นที่ 3 : รับ .. จงรู้สึกดี มีความสุข และปลาบปลื้มยินดีแบบเดียวกับที่คุณจะรู้สึกเมื่อเกิดสิ่งนั้นขึ้นจริงๆ การรู้สึกดีตั้งแต่ตอนนี้จะนำคุณเข้าไปอยู่ในคลื่นความถี่เดียวกับสิ่งที่ คุณต้องการ
สิ่งสำคัญต่อไปที่คุณต้องทำก็คือ “การสำนึกคุณ”!!!

เวลาที่คุณให้สิ่งดีๆกับใครแล้วเขาขอบคุณคุณกลับมา คุณรู้สึกดีใช่ไหม? และคุณก็อยากจะให้สิ่งดีๆกับเขาเพิ่มมากขึ้นอีกใช่หรือไม่? เช่นเดียวกัน เวลาที่เราได้รับสิ่งดีๆที่จักรวาลมอบให้ แล้วเราขอบคุณต่อจักรวาล จักรวาลก็จะมอบสิ่งดีๆเพิ่มให้เราอีก ที่สำคัญก็คือ เวลาที่เราขอบคุณ ให้ใจของเรารู้สึกถึงความโชคดีที่เรากำลังได้รับสิ่งดีๆอยู่ แล้วเราก็จะดึงดูดสิ่งดีๆเพิ่มมากขึ้นอีก

ดังนั้นจงเริ่มสำนึกคุณในสิ่งที่คุณมีอยู่แล้ว! ไม่ใช่พร่ำบ่นถึงแต่สิ่งที่คุณยังไม่มี!!อีกวิธีที่มีพลังมากคือ การขอบคุณล่วงหน้าราวกับว่าคุณได้รับสิ่งที่คุณต้องการแล้ว!!

สิ่งที่คุณต้องทำต่อไปก็คือ การสร้างมโนภาพในใจว่าคุณกำลังได้รับสิ่งที่คุณต้องการ คุณจะต้องให้ตัวเองสัมผัสกับ“ความรู้สึกดีๆ” ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความรัก ความสดชื่นรื่นรมย์ฯ จริงๆแล้วความรู้สึกต่างหากที่ก่อให้เกิดแรงดึงดูด ไม่ใช่แค่ภาพหรือความคิด!

ตกลงใจว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ เชื่อมั่นว่าคุณมีสิ่งนั้นได้ เชื่อมั่นว่าคุณสมควรได้รับสิ่งนั้นและมันเกิดขึ้นได้จริงๆ แล้วหลับตาลงเป็นเวลาหลายๆนาทีทุกๆวัน เพื่อสร้างมโนภาพว่าคุณมีสิ่งที่ต้องการแล้ว และจงรู้สึกถึงความรู้สึกแห่งการมีสิ่งนั้นอยู่ในครอบครอง จากนั้นก็ลืมตาขึ้น รวมศูนย์รวมความคิดไปยังสิ่งที่คุณรู้สึกสำนึกคุณอยู่ก่อนแล้ว ชื่นชมกับสิ่งเหล่านั้นจริงๆ จากนั้นก็เริ่มต้นวันโดยเปล่งคลื่นความคิดออกไปในจักรวาล ด้วยความเชื่อมั่นว่าจักรวาลจะต้องหาทางทำให้สิ่งที่คุณต้องการปรากฏขึ้นจน ได้!!!

รักษาโรคชอบแก้ตัวของคุณ : โรคแห่งความล้มเหลว

รักษาโรคชอบแก้ตัวของคุณ : โรคแห่งความล้มเหลว คลิกที่นี่

How to เฮง คิดแล้วเฮง

How to เฮง คิดแล้วเฮง คลิกที่นี่

อุปนิสัย 7 ประการ The Seven Habit of Highly Effective People

อุปนิสัย 7 ประการ The Seven Habit of Highly Effective People
คลิกที่นี่

ติดเทอร์โบให้ชีวิต เร่งสปีดความสำเร็จ

ติดเทอร์โบให้ชีวิต เร่งสปีดความสำเร็จ
โค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ
๐รู้เท่าทัน "กับดักทางความคิด" หลุมพรางอันยิ่งใหญ่สกัดกั้นความสำเร็จในชีวิตคนทำงาน
๐ไขความลับ "กฎของการดึงดูด" ทำไมบางคนสุดเฮง ขณะที่อีกคนซวยซ้ำซวยซ้อน
๐สู่เป้าหมายชิวๆด้วยไฟของ "ความปรารถนาที่แรงกล้า" และการลงมือทำอย่างจริงจัง
๐ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ อิทธิพลของ "ความคิด" และ "คำพูด" คิดอย่างไรก็ได้อย่างนั้น

เผลอแป๊บเดียวหนึ่งปีของการทำงานก็กำลังจะผ่านไปแล้ว ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าสำหรับคนที่ได้เลื่อนตำแหน่ง พร้อมกับโบนัสก้อนโต บางคนอาจจะรู้สึกอิจฉาเล็กๆเพื่อนร่วมงานที่ก้าวหน้ากว่าเราเมื่อย้อนกลับมามองตัวเองจึงมักมีคำถามว่าทำไมเราไม่เป็นอย่างนั้นบ้าง อะไรคือสิ่งที่เป็นอุปสรรค ทำให้เราห่างไกลจุดหมายทุกที ศักยภาพที่แท้จริงเราอยู่ตรงไหน

โค้ช "สิริลักษณ์ ตันศิริ" นักพูดสร้างแรงบันดาลใจหญิงคนแรกของประเทศไทย กล่าวว่า จริงๆ คนส่วนใหญ่ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน เพราะใช้ศักยภาพของตัวเองในการทำงานเพียงแค่ 7% เท่านั้น"ไม่ว่าในวันนี้คุณจะเป็นพนักงานหรือผู้บริหารระดับไหน ประสบความสำเร็จแค่ไหน เงินเดือนสูงแค่ไหนแต่ให้รู้ไว้ว่าคุณไปได้ไกลกว่านั้นอีกเยอะมาก เพียงแต่เราต้องตั้งเป้าว่าเราอยากไปจริงๆ"

โค้ชสิริลักษณ์กล่าวเราคงเคยเห็นกล้ามใหญ่ๆของแรมโบ้ เห็นแล้วก็ทึ่ง แต่ถ้าตัวเองให้เวลาสัก 6 เดือน เข้าโรงยิมเพาะกายทุกวัน ทุกคนก็สามารถมีกล้ามใหญ่เหมือนแรมโบ้ได้ ศักยภาพในตัวเราก็เช่นกัน หากให้เวลากับตัวเองเพื่อฝึกและพัฒนาตัวเองอย่างจริงจังก็สามารถเก่งเหมือนกับคนอื่นได้เช่นกัน แต่คนส่วนใหญ่กลับมัวแต่นั่งอิจฉาคนอื่น น้อยใจในโชตชะตาตัวเอง ความคิดผิดๆ ฉุดรั้งชีวิตอยู่กับที่ โค้ชสิริลักษณ์ เล่าว่า คนส่วนใหญ่ที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตล้วนมีสาเหตุมาจาก “ความคิด”ภายใต้จิตสำนึกของตัวเองทั้งสิ้น

โดยเธอสรุปว่า สิ่งที่ฉุดรั้งชีวิตให้ห่างไกลจากความสำเร็จจากชีวิตของเรา มีอยู่ 3 อย่างด้วยกันคือ
1.ความกลัว
ซึ่งความกลัวอันดับต้นๆของคน คือ กลัวการเปลี่ยนแปลง คนส่วนใหญ่มักจะติดอยู่กับ Comfort Zone โซนที่สบายๆ งานเดิมๆ คนเดิมๆ ลูกค้าเดิมๆ ถามว่าอยากได้เงินเพิ่มไหม คำตอบคือ "อยากได้" แต่ "ไม่อยากทำ"
ลองฝึกที่จะรักและเรียนรู้งานใหม่ๆ ที่เจ้านายมอบให้ วางแผนทางการตลาดแบบใหม่ เปิดตลาดใหม่ หาลูกค้ากลุ่มใหม่ มีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆบ้าง ฝึกเอาชนะความกลัวของตัวเอง นักขายบางคนอาจกลัวที่จะต้องเสนอขายให้กับลูกค้ารายใหญ่ หรือลูกน้องมีไอเดียเด็ดๆแต่ก็ไม่กล้านำเสนอเจ้านาย ในความเป็นจริงแล้วเราจะต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เสมอ และเตรียมใจให้พร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น หนทางแก้ไขเมื่อความกลัวเกิดขึ้น คือ ให้ท่องคาถา "123 ลุย!" ในใจ แล้วลงมือทำทันที และในขณะที่ทำหรือพูดอย่าพึ่งสนใจผลลัพธ์ว่าเขาจะ Say yes หรือ No
2.ความอาย
หลายคนมีความเก่งแต่ไม่กล้าพูด เราคิดเสมอว่า ถ้าเราไม่ได้ทำผิดเราก็ไม่ต้องอาย ปัญหาของคนส่วนใหญ่คือการไม่เรียนรู้ที่จะทำ Marketing ให้กับตัวเอง ถ้าคุณเป็นคนเก่ง เป็นคนมีความสามารถแต่ไม่เคยเปิดเผยตัวให้คนอื่นได้รับรู้ อายที่จะแสดงความสามารถ ก็ไม่มีใครรู้ว่าเราเก่ง ถ้าไม่กล้าใช้ความสามารถให้เต็มที่ ก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าเราเก่งหรือมีความสามารถอะไร ดังนั้น เราอยากแสดงออกอะไรก็ทำให้เต็มที่ สนุกกับชีวิต ไม่อายที่จะแสดงความสามารถของตนเอง
3.ความคิดหรือความเชื่อที่ปิดกั้นตัวเอง

เช่น ฉันทำไม่ได้ ฉันไม่เก่ง สู้คนนั้นไม่ได้ ฉันไม่มีทางประสบความสำเร็จ ประโยคเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่สกัดกั้นให้พนักงานหลายคนอยู่ห่างไกลจากเป้าหมายทุกที หลายคนอาจไม่รู้ว่าขั้นตอนในการสร้างผลลัพธ์ของชีวิตเราจะมีอยู่ด้วยกัน 4 ขั้นตอนคือ

1.ความคิด 2.อารมณ์ความรู้สึก 3.การกระทำ 4. ผลลัพธ์

ระบบความคิดจะส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์ความรู้สึก ความรู้สึกนำไปสู่การกระทำ ซึ่งการกระทำก็จะเป็นสะพานเชื่อมต่อนำสิ่งดีๆที่อยู่ในตัวออกไปสู่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ฉะนั้นหากความสำเร็จ คือผลลัพธ์ที่ทุกคนต้องการ เราต้องคิดเสมอว่าตัวเองทำได้ ความคิดจึงเหมือนกับรากของต้นไม้ ถ้ารากแข็งแรงดี ต้นไม้ก็ผลิดอกออกผลอย่างสวยงามสิ่งที่เหมือนกัน ดึงดูดกันและกัน

โค้ชสิริลักษณ์ ยังได้กล่าวถึงทฤษฎีที่หลายคนคิดไม่ถึงนั่นคือ กฎของการดึงดูด (The law of attraction) ที่ว่า like attract like สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดสิ่งที่เหมือนกัน กล่าวคือ คนเราแต่ละคนก็เป็นเหมือนกับเครื่องส่งกระแสคลื่นพลังงาน ถ้าเราส่งกระแสคลื่นไปยังไง มันก็จะดึงดูดสิ่งนั้นกลับคืนมา ซึ่งวิธีการส่งกระแสคลื่นก็คือ สิ่งที่เราคิดและจินตนาการนั่นเองเรื่องนี้เป็น

วิทยาศาสตร์เคยมีการทดลองมาแล้ว ด้วยการนำคน 2 ลักษณะมาวัดคลื่นความถี่ของสมองคนหนึ่งเป็นคนที่มีทัศนคติบวก คิดดีพูดดีมีความเปิกบานใจอยู่ตลอดเวลา พบว่าคลื่นสมองมีความถี่สูง ซึ่งคลื่นแบบนี้จะไปดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต คนนั้นมักจะเจอกับสิ่งที่เขาปรารถนา ความสุข ความราบรื่นส่วนคนอีกแบบหนึ่งคือคนที่ชอบทำตัวเศร้า คิดแต่ด้านลบ ท้อแท้ ทำตัวห่อเหี่ยว กลับพบว่ามีคลื่นสมองความถี่ต่ำ

ซึ่งมักจะดึงดูดสิ่งไม่ดีเข้ามาในชีวิต หลายคนคงรู้จักคำว่า "ซวยซ้ำซวยซ้อน" ยิ่งเราใส่สภาวะอารมณ์เข้าไปมากเท่าไร คลื่นนี้ยิ่งมีแรงดึงดูดแรงมากเท่านั้นหลายคนอาจไม่เคยสังเกตว่าสิ่งที่เรา เห็น คิด พูดและทำ บ่อยๆ มันจะกลายเป็นการตั้งโปรแกรมสมองและจิตใต้สำนึกโดยอัตโนมัติ กลายเป็นอีกคนหนึ่งเรียกว่า "ตัวอัตโนมัติ"

เราที่เป็น "ตัวตนที่แท้จริง" ที่เต็มไปด้วย สติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ จิตใจที่งดงามก็เป็นอีกตัวหนึ่ง อีกด้านหนึ่งคือ "ตัวอัตโนมัติ" ที่เต็มไปด้วย ความขี้เกียจ ห่อเหี่ยว ชอบคิดลบก็เป็นอีกตัวหนึ่ง

สังเกตว่าบางครั้งเราหยุดความคิดตัวเองไม่ได้ หรือในเวลาที่มีคนขับรถปาดหน้า เราก็จะด่าออกไปโดยอัตโนมัติ นั่นแหละคือ "ตัวอัตโนมัติ"ดังนั้นทุกคนจึงต้องทำงานกับตัวเองมากๆ ต้องใช้ "สติ" ตรวจสอบ "ตัวอัตโนมัติ" ว่าทำงานอย่างไร

มีอารมณ์ ความคิดอยู่ในรูปแบบไหน ถ้าไม่แยกแยะตัวตนออกจากกันให้ชัดเจน “ตัวปัญญา” ก็ไม่เกิด ชีวิตการทำงานก็จะเดินไปอย่างไม่มีจุดหมาย นั่นอาจหมายถึงความล้มเหลวที่จะเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องฝึกสังเกตตัวเองอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้สมองตั้งโปรแกรมแบบผิดๆ เช่น หากเราพูดเสมอว่าเราเป็นคนขี้อาย เราก็จะกลายเป็นคนแบบนั้นตลอดเพราะเราตั้งโปรแกรมเอาไว้แบบนั้น

ถ้าเราใส่ข้อมูลอะไรเข้าสมอง เราก็จะกลายเป็นแบบนั้น (INPUT = OUTPUT) ดังนั้น
หากเราตั้งโปรแกรมไว้ว่าเราเป็นคนเก่ง มีความสามารถ ต้องประสบความสำเร็จ เราก็จะเป็นเช่นนั้น ท่องคาถา YES! เติมไฟให้ตัวเอง

อาจกล่าวได้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือชีวิตส่วนตัว ล้วนแล้วแต่มีระบบความคิดที่สวนทางกับคนส่วนใหญ่ทั้งสิ้น และคนเหล่านั้นมักจะมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
1.เป็นผู้ที่มีแรงปรารถนาแรงกล้า ซึ่งเป็นพลังที่ขับเคลื่อนให้คนเราทำในสิ่งต่างๆ โดยไม่มีการผัดวันประกันพรุ่ง คนลักษณะนี้มักจะสามารถในด้านการ สร้างแรงจูงใจด้วยตนเอง(self motivation) สร้างความกระตือรือร้นได้ด้วยตนเอง คนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็ทำ เหนื่อยก็ต้องทำ ท้อแท้ก็ยังต้องทำ ยึดหลัก 3 ท. ทำทันที ทำทุกที่ ทำทั่วไทย
2.รักในงานที่ทำ คนเรามักจะคิดเสมอว่าความสุขอยู่ที่หนังสือ อยู่ที่เพลง หรือละคร แต่หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว ตัวเราต่างหากที่เป็นคนเอาความสุข ความสนุกไปใส่ในสิ่งที่เราทำเองทั้งสิ้น แต่เรื่องงานเรากลับไม่เอาความสุขเข้าไปใส่ หลุมพรางทางความคิดที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของมนุษย์เงินเดือน คือ การคิดว่า "เงินเดือนแค่นี้ ก็ทำแค่นี้" นี่คือความคิดที่ทำให้ชีวิตการทำงานก้าวหน้าช้า บางคนถูกส่งไปอบรมก็ยังไม่อยากไปเพราะกลัวกลับมาแล้วถูกใช้งานเพิ่มทั้งที่ในความเป็นจริงเมื่อเราทำงานมากขึ้น ประสบการณ์ คอนเนกชั่นหรือความเก่งก็จะเพิ่มสูงขึ้นเกิดเป็นคุณค่าที่อยู่ในตัวเรา ไม่ใช่อยู่กับบริษัท ฉะนั้นในแต่ละวันของการทำงานจะต้องเก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านี้ให้มากที่สุด
3.ทัศนคติด้านบวก หากเจอปัญหาอะไรในการทำงาน ขอให้พูดว่า "ดีจริง" แล้วลองหาแง่มุมดีๆของปัญหาที่เกิดขึ้นบ้างเป็นการสกัดระบบความคิด "ตัวอัตโนมัติ" ที่อยู่ในสมองที่ชอบคิดอะไรในแง่ลบตลอด เพราะการคิดอะไรในแง่ลบตลอดเวลาย่อมทำให้เรามองไม่เห็นถึงอนาคตที่ดีเลยได้เลย

โค้ชสิริลักษณ์ ยังกล่าวว่า คนส่วนใหญ่มักจะชื่นชมและฉลองกับตัวเอง ก็ต่อเมื่อประสบความสำเร็จกับผลงานที่ใหญ่ๆ แต่คราวนี้ให้เปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ด้วยการสร้าง "โมเมนตัมของความสำเร็จ" เป็นการสร้างสภาวะอารมณ์แบบใหม่ที่จะให้ “พลัง” กับตัวเอง ด้วยการสัมผัสกับความสุข ความสำเร็จจากชัยชนะบ่อยๆ"ให้บันไดความสำเร็จของเราเป็นขั้นเล็กๆ ทีละขั้นๆ ให้เรารู้สึกว่าเราเก่งขึ้นเรื่อยๆ เดินเข้าหาเป้าหมายขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ

สัมผัสกับชัยชนะบ่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย" และที่สำคัญคือ ทุกครั้งที่ทำอะไรสำเร็จไม่ว่าจะเป็นผลงานเล็กหรือใหญ่ เราต้องเติมไฟให้กับตัวเองได้ด้วยการ ฉลอง YES จะพูด "เยสส์ๆ" ในใจหรือออกเสียงก็ได้ ให้พูดกับตัวเองบ่อยๆ

หากเราต้องการที่จะประสบความสำเร็จเราต้องเอาใจไปติดไว้ที่เป้าหมาย แล้วลงมือทำอย่างจริงจัง
เปลี่ยนความเชื่อตัวเองใหม่ว่า "เราทำได้" ตั้งโปรแกรมสมองแบบนี้ตลอดเวลา เท่านั้นเองสิ่งที่ต้องการย่อมไม่ไกลเกินความฝัน

"กลยุทธ์การเพิ่มยอดขาย" โดยโค้ช สิริลักษณ์ ตันศิริ

"กลยุทธ์การเพิ่มยอดขาย" โดยโค้ช สิริลักษณ์ ตันศิริ