วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ปลดโซ่ตรวน "ปูแดง" กรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค ฟันธง! ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ (นสพ.ตลาดวิเคราะห์ 22มค.53)

หนังสือพิมพ์รายปักษ์ ‘ตลาดวิเคราะห์’ เกาะติดความคืบหน้าคดีบริษัท เบทส์ 59 จำกัด หรือ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ หลังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สั่งเพิกถอนใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจขายตรง พร้อมส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ดำเนินการเข้าตรวจสอบและจับกุมผู้บริหาร ในข้อหากระทำการอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือ ‘แชร์ลูกโซ่’ ก่อนที่จะให้ผู้บริหาร‘ปูแดง ไคโตซาน’ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวต่อสู้คดี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนการส่งฟ้องศาล

เรียก‘สคบ.-DSI’ชี้แจง รุดสอบโรงงาน!ปูแดง
สำหรับความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร นำโดยนายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ประธานกรรมาธิการฯ พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการฯ อาทิ นายพีระพงษ์ เฮงสวัสดิ์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคเพื่อแผ่นดิน ตัวแทนจากสคบ. และตัวแทนจากดีเอสไอ ก็ได้เดินทางไปตรวจสอบโรงงานผลิตสารปรับปรุงดิน‘ปูแดง ไคโตซาน’ ย่านจังหวัดนนทบุรีว่า กระบวนการผลิตได้มาตรฐานหรือไม่ โดยมีนายสมปอง แซ่ตั้ง ประธานกรรมการ, นายธนาพัทธ์ กิจใบ รองประธานกรรมการ และดร.วิชาญ จำปาขาว ผู้ผลิตและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านวิชาการ รวมถึงบรรดาผู้นำ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด ให้การต้อนรับ

ส่วนสาเหตุที่ต้องมีการเดินทางไปตรวจสอบโรงงานผลิตสารปรับปรุงดิน‘ปูแดง ไคโตซาน’นั้น สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร ได้เรียกนายนิโรธ เจริญประกอบ เลขาธิการสคบ. พร้อมด้วย พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ ดีเอสไอ และผู้บริหาร บริษัท เบสท์ 59 จำกัด เข้ามาร่วมชี้แจงในที่ประชุมคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภคที่รัฐสภาถึงคดีที่เกิดขึ้น

หลังจากสมาชิกเครือข่ายปูแดง นำโดยนายฌัชรุตม์ ทบวงศรี หรือ ‘กาย ไพรินทร์’ ประธานชมรมกลุ่มพลังเครือข่ายขายตรง ได้รวบรวมพลังสมาชิกปูแดงก่อม็อบประท้วง และยื่นหนังสือเรียกร้องขอความเป็นธรรม อ้างสคบ.และดีเอสไอกระทำตามหน้าที่เกินขอบเขต อันเป็นเหตุให้บริษัท เบสท์ 59 จำกัด ต้องปิดกิจการ และหยุดการดำเนินธุรกิจขายตรง ส่งผลให้สมาชิกและเกษตรกรได้รับความเดือดร้อน โดยมีสมาคมการขายตรงไทย ซึ่งนำโดยพญ.นลินีไพบูลย์ นายกสมาคมการขายตรงไทย พร้อมด้วยกรรมการสมาคมฯ อาทิ นายอิทธิศักดิ์ อำพันยุทธ์ และนางสาวภคพรรณ ลีวุฒินันท์ เข้าร่วมสังเกตการณ์การประชุม ทั้งนี้หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม คณะกรรมาธิการฯก็ได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่า จะต้องมีการเดินทางไปตรวจสอบโรงานผลิต‘ปูแดง ไคโตซาน’ด้วย

ถกคดี ‘ปูแดง ไคโตซาน’ แชร์หรือไม่ใช่แชร์ลูกโซ่
สำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร ที่รัฐสภา ณ วันนั้น ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์รายปักษ์ ‘ตลาดวิเคราะห์’ ซึ่งเกาะติดกับสถานการณ์ รายงานว่า ประธานคณะกรรมาธิการฯ โดยนายอภิชาติ สุภาแพ่ง ได้เริ่มต้นสอบถามผู้บริหาร‘ปูแดง ไคโตซาน’ว่า บริษัทไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องอะไร ซึ่งนายชาลี นพวงษ์ ณ อยุธยา ที่ปรึกษากฎหมายปูแดง กล่าวว่า บริษัทปูแดงโดนข้อกล่าวหาว่า เป็นแชร์ลูกโซ่ ทั้งๆที่ไม่เป็นความจริง ด้วยเพราะสินค้า ‘ปูแดง ไคโตซาน’ได้รับการยอมรับ มีการจำหน่ายตามระบบขายตรงจริง และผู้บริหารปูแดงก็ไม่ได้หอบเงินหนี หรือปิดบริษัทแล้วหลบหนีเยี่ยงการกระทำอันเป็นแชร์ลูกโซ่แต่อย่างใด

“บริษัทดำเนินธุรกิจเติบโตมาโดยตลอด จนปัจจุบันกำลังจะย่างก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว จากอาคารที่ต้องเช่า เพื่อการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันมีอาคารสำนักงานใหญ่ และโรงงานการผลิตเป็นของตนเอง ความสำเร็จที่เกิด เป็นเพราะบริษัทมีการจำหน่ายสินค้าจนได้รับการยอมรับ มีสมาชิกเพิ่มจำนวนมาก มีการอบรมสมาชิกในการทำธุรกิจอย่างต่อเนื่อง มีการจ่ายผลตอบแทนที่เป็นธรรมและจ่ายได้จริง และมีเจตนาที่จะทำธุรกิจขายตรงถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าบริษัทมีจุดประสงค์ที่จะดำเนินธุรกิจแชร์ลูกโซ่แล้ว บริษัทจะสร้างทรัพย์สินมากมายทำไม"

หากเป็น‘แชร์’..ผู้บริหาร คงถูกกระทืบตายคาเวที
หากย้อนไปดูถึงการจัดงานสังสรรค์ปีใหม่ของบริษัท เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา หลังจากสคบ.สั่งเพิกถอนใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจขายตรงแล้ว ผู้บริหารปูแดงก็ได้ประกาศความรับผิดชอบบางอย่างที่ต้องทำให้บริษัทต้องปิดกิจการเป็นการชั่วคราวตามคำสั่งของสคบ. และบอกว่า ความผิดที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะให้มันเกิด หากผู้บริหารปูแดงมีเจตนาทำธุรกิจแชร์ลูกโซ่ จนสมาชิก และผู้บริโภคหรือเกษตรกรได้รับความเดือดร้อนจริงแล้ว สมาชิกที่เข้าร่วมประชุมกันในวันนั้น จำนวนกว่า 5 หมื่นคน คงจะรุมกระทืบผู้บริหารปูแดงตายคาเวทีไปแล้ว’ ทนายปูแดงพูดอธิบายพร้อมการนำวีซีดีวันงาน ซึ่งมีนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้เกียรติมาเป็นประธาน มาเปิดให้ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯได้รับชมด้วย

ที่ปรึกษากฎหมายปูแดง ยังกล่าวอีกว่า เดิมทีสคบ.สั่งให้มีการเพิกถอนใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจขายตรง โดยยังให้โอกาสบริษัทจำหน่ายหรือขายปลีกได้ แต่เหตุไฉนจึงได้ประสานกับดีเอสไอ ให้เข้าดำเนินการตรวจสอบ และจับกุมผู้บริหาร พร้อมอายัดทรัพย์ ด้วยข้อหาแชร์ลูกโซ่ ทั้งๆที่ไม่มีการร้องเรียน

‘ดีเอสไอ’ยันปูแดง ผิดฐานแชร์ลูกโซ่
หลังจากนั้นประธานคณะกรรมาธิการฯ ก็ได้สอบถามฝ่ายดีเอสไอว่า จับ‘ปูแดง ไคโตซาน’ด้วยข้อหาอะไร ซึ่งพ.อ.ปิยะวัฒก์ ตอบว่า จับในคดีฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ พร้อมกับอธิบายว่า บริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ประกอบธุรกิจขายตรง โดยไม่เป็นไปตามแผนการจ่ายผลตอบแทนที่ได้ยื่นไว้ต่อนายทะเบียน กล่าวคือ ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจขายตรงจากสคบ. เมื่อวันที่ 17 พฤศภาคม 2546 โดยแจ้งจำหน่ายสินค้าเกษตรกรรม จำนวน 2 รายการ ได้แก่ ปูแดงไคโตซาน และผงชูรสตราปูแดง แต่ต่อมาในปี 2551 จนถึงปัจจุบัน บริษัทได้จำหน่ายสินค้าเพิ่มอีก 45 รายการ โดยมิได้รับใบอนุญาตจากสคบ. และผงชูรสตราปูแดง มีคุณสมบัติเป็นปุ๋ย ตามผลการตรวจสอบจากกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งห้ามขายในระบบขายตรง

ประธานคณะกรรมาธิการฯถามต่อว่า ที่กล่าวมา โดยเฉพาะเรื่องของสินค้าจำหน่ายเกินกว่าการได้รับอนุญาตนั้น ชี้มูลความผิดปูแดงได้อย่างไร พ.อ.ปิยะวัฒก์ ตอบว่า เป็นความผิด แต่ไม่ถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต โทษฐานความผิดแค่ปรับ

ต้นตอแผนตลาดผิด เหตุมีการบังคับขาย
แต่บริษัทยังมีการปรับเปลี่ยนแผนตลาด ซึ่งเข้าข่ายการระดมเงิน หรือแชร์ลูกโซ่ มีการบังคับขาย คือ สมาชิกผู้ที่ประสงค์จะซื้อสินค้าซ้ำในครั้งต่อไป จะต้องสมัครสมาชิกใหม่ทุกครั้ง โดยให้สมัครสมาชิกรหัสใหม่ต่อจากรหัสเดิมของตนเอง กล่าวคือ การสั่งซื้อสินค้าของสมาชิกครั้งแต่ไป ไม่สามารถใช้รหัสเดิมสั่งซื้อได้ แต่ต้องสมัครเป็นสมาชิกครั้งใหม่ และได้รหัสใหม่ จึงจะสั่งซื้อสินค้าได้ ซึ่งต้องจ่ายค่าสมาชิกใหม่อีก 300 บาททุกครั้งไป

หลังจากนั้น ทนายความปูแดง ก็ขออนุญาตพูดแย้งขึ้นมาว่า คำว่า บังคับขาย ในทางกฎหมายขายตรงและตลาดแบบตรงแล้ว มีการระบุชัดเจนหรือไม่ เกี่ยวกับการกระทำใดๆที่เข้าข่ายการบังคับขาย การมาซื้อซ้ำอีก 300 บาท แล้วได้รับสินค้าไปอีก 3 ขวด ถือเป็นการบังคับขายหรือไม่ และการที่สินค้าใช้ดี แล้วมีการซื้อซ้ำ แค่จ่าย 300 บาทแล้วได้สินค้าเพิ่ม และได้รหัสจ่ายผลตอบแทนเพิ่ม ถือเป็นการบังคับขาย และเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่...ประเด็นสำคัญ อยู่ที่ว่า เป็นการจำหน่ายโดยการใช้กลวิธี มีสินค้าถึงมือผู้บริโภค มีการใช้สินค้าจริง มีการจ่ายผลประโยชน์จริง และก็จ่ายได้จริง ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ และที่สำคัญบริษัทไม่ได้บังคับขาย ใครจะซื้อ ใครจะสมัครอย่างไรก็ได้ เป็นทางเลือกของสมาชิก

สคบ.ยันผิดกฎหมาย ไม่อนุมัติแผนปูแดงฯ
ต่อมาประธานคณะกรรมาธิการฯ ก็ได้ถามทางสคบ.ว่า ทำไมถึงเพิกถอนใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจขายตรง ‘ปูแดง ไคโตซาน’ นายนิโรธ เจริญประกอบ เลขาธิการสคบ.ตอบว่า บริษัทไม่ปฏิบัติตามแผนตลาดที่ได้จดแจ้งไว้ต่อนายทะเบียน มีการเปลี่ยนแผนตลาด ซึ่งเป็นแผนที่เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ เป็นการบังคับขาย โดยทนายปูแดงตอบโต้แย้งขึ้นมาว่า ปูแดงอาจจะมีความผิดในเรื่องของการเสนอแผนจริง บริษัทยอมรับ แต่ปูแดงไม่มีเจตนาที่จะทำธุรกิจแชร์ลูกโซ่ เพราะหากมีเจตนาเป็นแชร์ลูกโซ่แล้ว ปูแดงคงไม่ยื่นแผนเพื่อขออนุญาต เมื่อแผนผิดระเบียบ แค่บริษัทขอให้ได้มีโอกาสแก้ไขในสิ่งที่ผิดให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งผู้บริหารปูแดงก็มีเจตนาทำธุรกิจถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่เหตุไฉนสคบ.จึงไม่ให้โอกาส แต่กลับสั่งฆ่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ด้วยข้อหาร้ายแรง‘แชร์ลูกโซ่’

ประธานคณะกรรมาธิการฯ จึงถามสคบ.ต่ออีกว่า หากปูแดงเสนอแผนตลาดเข้ามาให้พิจารณานั้น สคบ.จะอนุมัติหรือไม่ นายนิโรธตอบว่า ไม่อนุมัติ เพราะเป็นการบังคับขาย ก่อนที่ประธานคณะกรรมาธิการฯจะเปิดโอกาสให้กรรมาธิการฯที่เข้าร่วมประชุมสอบถามเพิ่มเติม พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ได้แสดงความคิดเห็น

ส.ส.บุรีรัมย์เอาศักดิ์ศรีค้ำ ผลิตภัณฑ์ใช้ดีแล้วเห็นผล
ซึ่งนายพีระพงษ์ เฮงสวัสดิ์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคเพื่อแผ่นดิน หนึ่งในกรรมาธิการ ก็ได้ลุกขึ้นกล่าวว่า ความจริงแล้ว ตน คือ หนึ่งในสมาชิก ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ซึ่งใช้ผลิตภัณฑ์ปูแดงมานาน เนื่องจากใช้แล้วได้ผลดีจริง ส่วนสาเหตุที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ปูแดงนั้น เนื่องจากได้รับการแนะนำจาก ‘พระพะยอม กัลยาโน’ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ซึ่งได้ใช้ผลิตภัณฑ์ปูแดงด้วยเหมือนกัน หลังเอามาใช้แล้วเห็นผล จึงแนะนำให้กับชาวบ้านได้ใช้ต่อ ที่สำคัญคนที่เป็นส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎรกว่า 50 คน ก็เป็นสมาชิกที่เคยใช้ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ มาแล้วทั้งนั้น

ฉะนั้นคุณภาพสินค้าปูแดง จึงไม่ต้องพูดถึง สามารถเอาตำแหน่งส.ส.การันตีคุณภาพได้ เพราะหากส.ส.จะทำอะไร หรือพูดจาอะไร ก็ต้องรับผิดชอบ และตนก็ถือเรื่องศักดิ์ศรีเป็นสำคัญ จึงขอเอาศักดิ์ศรีค้ำประกันว่า ผลิตภัณฑ์ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ดีจริง แต่แผนตลาดจะผิดอย่างไรหรือไม่ ตนเองไม่มีความชำนาญ ก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย แต่ในความรู้สึกส่วนตัว กับการได้เข้ามาสัมผัสธุรกิจปูแดงแล้ว ไม่มีความเชื่อว่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’จะเป็น‘แชร์ลูกโซ่’

ชี้!พระพะยอม กัลยาโน ยังใช้ ‘ปูแดง ไคโตซาน’
“ในฐานะที่เป็นส.ส.หรือเป็นตัวแทนของประชาชน ผมคงต้องมีความละเอียดอ่อนมากเกี่ยวกับการที่จะทำอะไรให้กับประชาชน เพราะหากเกิดผิดพลาดขึ้นมา ผมเสียหายมาก ความจริงแล้วผมเริ่มรู้จัก‘ปูแดง ไคโตซาน’ จากหลวงพ่อพะยอม กัลยาโณ พอดีผมบริจาคที่ดินให้ท่าน อยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์กว่า 200 ไร่ ที่ท่านทำอยู่ โดยท่านก็นำผลิตภัณฑ์ ‘ปูแดง ไคโตซาน’มาใช้ในสวน แล้วมันก็ได้ผลดี ก็เลยเรียกผมมาดูว่า มันได้ผลดีอย่างไร

ตอนแรกเห็นชมพู่ออกดอก ผมยังงงว่า ปูแดงมันคืออะไร เข้าใจว่า เอาตัวปูเป็นๆมาต้ม หรือมาตำอะไรทำนองนั้น เพื่อมาใส่ต้นไม้ จนเข้าใจว่า เป็นสารไคโตชาน ผมก็เลยขอจากหลวงพ่อมาทดลองใช้ดู ผมใช้อยู่เป็นปี โดยการเอามาแจกชาวบ้านด้วย แล้วมันได้ผลหมด เรียกว่า ร้อยทั้งร้อย ก็บอกว่า ใช้ดีเห็นผล ต่อมาผมก็นำมาแจกหัวคะแนนกว่า 1,000 คน ผมแจกหมด ผมลงทุนซื้อไปประมาณเกือบ 4-5 แสนบาท ด้วยเจตนาจริงๆ ก็คือ ไม่ได้คิดว่า จะขาย ‘ปูแดง ไคโตซาน’ เพียงแต่ว่า หากสามารถลดต้นทุนได้ ก็จะสามารถช่วยเกษตรกรพี่น้องเราให้ลืมตาอ้าปากได้เท่านั้นเอง

หลังจากแจกสินค้าไปแล้วใช้ได้ผล เขาก็มาถามซื้อ ผมก็บอกว่า ไม่รู้จะหาซื้อจากที่ไหน ก็เลยติดต่อมายังบริษัท เขาแนะนำให้ผมสมัครสมาชิก สามารถซื้อสินค้าได้ในราคาสมาชิก ผมก็เลยสมัครเป็นสมาชิก เพราะไม่มีสินค้าให้ชาวบ้านจริงๆ ถ้าเกิดใช้แล้วได้ผล ก็น่าลองใช้ เมื่อใช้ดีก็ต้องซื้อซ้ำ หากเราไม่ซื้อซ้ำ นั่นหมายความว่า เราโกหก แล้วผมจะกล้าโกหกประชาชนได้อย่างไร ผมมั่นใจ และกล้าเอาตำแหน่งเป็นประกัน

ใช้ดี-ความต้องการมาก ตัดสินใจสมัครสมาชิก
แต่ทว่า ในส่วนของแผนตลาดนั้น ผมไม่มีความเข้าใจ แต่รู้ว่า เอาอะไรก็ได้ที่ว่าให้ชาวบ้านใช้ได้ประโยชน์ เครือข่ายหรือระบบ มันอาจจะถูกหรือผิด เราไม่เข้าใจ แต่วันนี้สคบ.บอกว่า ระบบผิด หรือแผนตลาดผิด ผมก็บอกว่า ก็มาจูนระบบให้ถูก เพื่อพี่น้องจะได้ใช้ประโยชน์ต่อไปได้ ก็แค่นั้นเอง แต่ถ้าจะมาบอกว่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’เป็นสินค้าหลอกลวงแล้ว ผมยืนยันว่า ‘ไม่ใช่’ เพราะผมรู้จักเขามาตั้งแต่ตอนอยู่ห้องแถว 2 ห้อง แต่ตอนนี้เขาสร้างสำนักงาน อาคารหลังใหญ่ และโรงงานโรงใหญ่ ถ้าเขาจะต้มตุ๋น หลอกลวง เขาคงไม่สร้างหรอก คงต้องเช่า 2 ห้องเหมือนเดิม ได้เงินคงเชิดหนีไปแล้ว แต่นี้เขาลงทุน ก็ทำให้มั่นใจว่า คงไม่ใช่ระบบที่จะมาต้มตุ๋นประชาชน เรื่องคุณภาพสินค้า ผมมั่นใจได้ แต่เรื่องระบบ หรือแผนตลาด ผมไม่ทราบ’นายพีระพงษ์กล่าวย้ำ

หลังจากนั้น กรรมาธิการฯก็ได้มีการผลัดเปลี่ยนกันแสดงความคิดเห็น พร้อมทั้งสอบถามสคบ. ดีเอสไอ และผู้บริหารปูแดง ก่อนที่นายสมปอง แซ่ตั้ง ประธานกรรมการ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด จะได้ลุกขึ้นชี้แจง พร้อมการทดลองนำผลิตภัณฑ์ ‘ปูแดง ไคโตซาน’เทเข้าปากและใช้ล้างหน้า เพื่อแสดงให้เห็นว่า ‘ปูแดงไคโตซาน’ ไม่มีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

นั่นคือ สาระสำคัญส่วนหนึ่งของการประชุมคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งตามรายงานข่าวแจ้งเข้ามาเพิ่มเติมว่า ขณะที่มีการประชุมคณะกรรมาธิการฯ ได้มีบรรดาแก่นนำสมาชิกและเกษตรกร เดินทางมาให้กำลังใจผู้บริหารปูแดง พร้อมกับนำผลผลิตทางการเกษตรที่ได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์ปูแดงมาตั้งโชว์หน้าห้องประชุม รวมถึงมีการแจกจ่ายผลิตภัณฑ์ปูแดงให้กับผู้เข้าร่วมประชุมได้นำสินค้าไปทดลองใช้ด้วย ซึ่งที่ประชุมก็ได้ใช้เวลาในการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนานกว่า 5 ชั่วโมง

กรรมาธิการฯฟันธง! ปูแดงฯไม่ใช่แชร์ลูกโซ่
ก่อนที่ประธานคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค นายอภิชาต สุภาแพ่ง จะกล่าวว่า เรื่องคดี ‘ปูแดง ไคโตซาน’ หากมีการนำคดีขึ้นสู่ศาล คณะกรรมาธิการฯคงจะไม่เข้าไปก้าวล่วง ส่วนที่ทำได้ คือ การเรียกสคบ. ดีเอสไอ และผู้บริหารปูแดงมาชี้แจง เพื่อต้องการทราบข้อเท็จจริง และอยากให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย โดยจะไม่ก้าวล่วงไปในส่วนของคดี หรือ หลักฐาน และพยานใดๆ

“คณะกรรมาธิการฯคงไม่มีหน้าที่ที่จะไปเคลียร์คดีให้กับทางปูนแดง เราเพียงแต่ขอรับทราบข้อมูลความจริง เพื่อให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายก็เท่านั้น อะไรที่เป็นข้อเท็จจริง ก็คงต้องว่ากันไป อย่างวันนั้นทางปูแดง ก็ได้แจกผลิตภัณฑ์ให้กับกรรมาธิการคนละ 1 ขวด เพื่อให้ไปทดลองใช้ โดยคุณสมปอง ก็ได้เอาผลิตภัณฑ์ขึ้นมาทาหน้า และใส่ปาก เพื่อยืนยันว่า ผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณสมบัติเป็นพิษต่อร่างกาย

หลังได้รับฟังข้อมูลความจริงแล้ว ในส่วนของคณะกรรมาธิการฯ ต้องบอกว่า น่าเห็นใจ ต้องยอมรับจริงๆว่า เราเห็นใจทางบริษัทปูแดง ซึ่งลักษณะจะเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่นั้น ก็คงเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน

สำหรับข้อเท็จจริงที่คณะกรรมาธิการฯได้สรุป คือ เราไม่คิดว่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’ เป็นแชร์ลูกโซ่ เพียงแต่ว่า แผนตลาดที่บริษัทขอมาทางสคบ. ไม่ตรงกับที่ขออนุญาตแผนมา โดยลักษณะปฏิบัติกับแผนไม่ตรงกัน แล้วเขาก็พยามทำแผน 2 เข้ามา เพียงแต่ว่า ยังไม่ถึงขั้นตอนนั้น ก็ถูกจับดำเนินคดีก่อนแล้ว

สรุปความเห็นของคณะกรรมาธิการฯ ย้ำอีกทีว่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’ คงไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ เพียงแต่ว่า แผนตลาดไม่ตรงกับแผนที่เสนอหรือขออนุญาตสคบ.มานั้นเอง ก็คงต้องปรับแผนให้ถูกต้องตามกฎหมาย และเพียงเข้าใจว่า ทางดีเอสไอก็ดี หรือทางสคบ.ก็ดี เมื่อได้รับทราบข้อมูลความจริงแล้ว ก็คิดว่า น่าจะพอคุยกันๆได้ คงไม่ใช่ปัญหา ที่สำคัญส.ส.ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ปูแดง เขาก็ยืนยันว่า ปูแดงใช้ดีแล้วเห็นผลจริง ช่วยเกษตรกรได้จริง จึงเห็นว่า มีการจำหน่ายสินค้าจริง ไม่น่าจะเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่’

เตรียมจัดสังคายนาใหญ่ ล้างไพ่กฎหมายขายตรง
ส่วนที่จะต้องมาดู หรือแก้ไขกฎหมายขายตรงและตลาดแบบตรงหรือไม่นั้น นายอภิชาต กล่าวว่า ก็ได้มีการพูดคุยกันว่า ทางคณะกรรมาธิการฯจะเรียนเชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือผู้ที่มีความรู้ด้านการขายตรงทุกภาคส่วนมาประชุมร่วมกันเพื่อแก้ไขกฎหมายต่อไป หมายถึง ต้องมีการสังคายนาใหญ่ เพื่อการปรับใช้ให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจขายตรงในประเทศไทย ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่นั้น คงต้องหารือกันอีกที่ คงจะกำหนดไม่ได้ แต่ขณะนี้ คณะกรรมาธิการฯมีแนวคิดว่า จะต้องแก้ไขกฎหมาย

เสร็จจากการประชุมคณะกรรมาธิการฯ เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2553 ก็มีความคืบหน้าในการเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงที่โรงงานผลิตสารปรับปรุงดิน ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ย่านจังหวัดนนทบุรี ซึ่งคณะกรรมาธิการฯก็ได้เดินทางไปตรวจสอบความจริง เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมี ดร.วิชาญ จำปาขาว ในฐานะผู้ผลิตและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านวิชาการ ก็ได้อธิบายถึงวิธีการและขั้นตอนการผลิตทุกกระบวนการ

ปูแดงฯ!สบายหายห่วง โรงงานการผลิตผ่าน
ดร.วิชาญ กล่าวว่า ทั้งชีวิตมีความตั้งใจทำงานเพื่อสังคมมานานหลายปี แต่วันนี้มีความรู้สึกสะเทือนใจมาก เหมือนตกนรกทั้งเป็น ไม่เคยนึกว่า ชีวิตนี้จะถูกกล่าวหาว่า เป็นแชร์ลูกโซ่ ฉ้อโกง และหลอกลวงประชาชน
“สินค้าปูแดง ใช้ได้ทั้งพืชและสัตว์ ใช้กับการเกษตร ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มาก เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม คนไทยกว่า 40 ล้านคน อยู่ในภาคเกษตร มีเนื้อที่ทำเกษตรกว่า 120 ล้านไร่ หากถามว่า จุดเด่นสินค้าปูแดงคืออะไร ต้องบอว่า ปูแดง ไคโตซาน เป็นสินค้าชีวภาพ ซึ่งตรงกับกระแสสังคมที่ได้ตระหนักถึงมหันตภัยสารเคมีในวงการเกษตรว่า เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งมากมาย และเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกษตรกรไทยมีหนี้สินทั่วประเทศ แต่เมื่อบอกเกษตรกรว่า เป็นสารชีวภาพ ส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับ เพราะในอดีตสารชีวภาพจะใช้ไม่ได้ผล หรือได้ผลช้ามาก ในที่สุดเกษตรกรก็หันกลับไปใช้สารเคมีเหมือนเดิม แต่หลังเกษตรกรมาทดลองใช้ปูแดง ไคโตซาน ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ ทุกคนพูดเหมือนกันว่า เหลือเชื่อ และดีเกินคาด ช่วยลดต้นทุน ทั้งปุ๋ยทั้งยา อีกทั้งยังให้ผลผลิตเพิ่ม ได้เกรดตามที่ตลาดต้องการ ที่สำคัญยังไปช่วยให้เกษตรกรได้ปลดเปลื้องหนี้สินไปแล้วก็มากมายทั่วประเทศ ราคาขายก็ถูก ทำให้ขายง่าย ความต้องการก็เยอะ โรงงานผลิตก็มีการพัฒนา และมีการเพิ่มกำลังผลิต เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งทุกอย่างก็ได้อธิบายให้กรรมาธิการฯ สคบ. และดีเอสไอ ได้รับทราบแล้ว’

แจงรายละเอียดถี่ยิบ ผิดหรือไม่ผิดต้องดูกัน
ด้านนายชาลี นพวงษ์ ณ อยุธยา ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายปูแดง กล่าวว่า ปูแดง ไคโตซาน มีเจตนาทำธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย และอยู่ภายใต้การกำกับของสคบ. ก็อยากจะพึ่งสคบ.เพื่อให้ได้กระทำถูกต้องตามกฎหมาย จะให้บริษัททำอย่างไร ขอให้บอก บริษัทต้องการอย่างนั้นจริงๆ แต่กลับถูกดีเสไอเข้าจับกุม ดำเนินคดีแชร์ลูกโซ่ เมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่เป็นไร เพราะทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

แต่สิ่งที่จะเรียนให้ทราบ คือ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมานี้ มันเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งในอนาคตจะมีการเปิดบริษัทอีกบริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทในเครือปูแดง ทำหน้าที่รับซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ใช้ผลิตภัณฑ์ปูแดงเท่านั้น แล้วจะนำส่งออกต่างประเทศ หากทำได้ ก็เชื่อว่า รายได้จะกลับเข้าสู่ประเทศมากมาย ส่วนเกษตรกรที่เคยได้ผลผลิตไม่คุ้มจ่ายกับค่าปุ๋ยเคมี ก็จะกลับใช้ปุ๋ยเคมีน้อยลง

สมมติว่า ไร่หนึ่งเคยใช้ 1,000 บาท เป็นค่าปุ๋ย มาใช้ไคโตชานเหลือเพียง 300 บาท อีก 700 บาท เป็นกำไร ส่วนผลผลิตที่เคยได้ จาก 1 ตัน เพิ่มเป็น 2 ตัน ทำให้เขาสามารถปลดหนี้สินได้ ซึ่งเรื่องอย่างนี้ สภาผู้แทนราษฎร และรัฐบาล น่าจะหันมาศึกษา เพราะนี้ไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์ แต่เป็นสารวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในโลกนี้มานานแล้ว และมีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลายแห่ง แต่ไม่มีใครหยิบขึ้นมาใช้ ซึ่งดร.วิชาญ ก็ได้อธิบายไปแล้ว แต่จะให้บอกรายละเอียดลึกๆที่เป็นสูตรนั้นคงไม่ได้

‘คนปูแดง ยืนยัน หากเราผิด ไม่ต้องมีใครช่วยเรา เชิญลงโทษได้เลย แต่ถ้าเราไม่ผิด สิ่งใดที่เป็นอุปสรรค โปรดช่วยเราด้วย ทางดีเอสไอ ถ้าเห็นว่า เราไม่ผิด ท่านช่วยยกฟ้องด้วย แต่ถ้าเราผิด ท่านลงโทษเราเลย ผู้บริหารสมควรแก่การติดคุก และสมควรแก่การถูกยึดทรัพย์สิน หากใครต้องการข้อมูลใดๆ พบกับตัวแทน พบกับเกษตรกรตัวจริง เชิญซักถามกันเอาเอง ถามได้ทั่วประเทศว่า ผลิตภัณฑ์ใช้แล้วดีจริงหรือเปล่า

ส่วนเรื่องแผนตลาด ยกตัวอย่างว่า ถ้าผมพูดว่า ท่านกรรมาธิการฯเอาเงิน 3,800 บาท มาลงทุนกับผม ลงสัก 10 เท่า คือ 38,000 บาท แล้วท่านอยู่เฉยๆ ผมจ่ายให้ท่านเอง ทุกวันท่านจะมีรายได้ วันละ 3,000 บาท ถ้าเป็นอย่างนี้ ถือเป็นการระดมทุน แต่ถ้าผมอธิบายว่า ท่านเอาสินค้าไปใช้แล้วใช้ดี ท่านอยากจะซื้อราคาถูก ท่านต้องเป็นสมาชิก ถ้าท่านเป็นสมาชิก ท่านจะซื้อได้ในราคาต้นทุน หรือ ในราคาสมาชิก ที่ราคา 180 บาท 150 บาท แล้วแต่ตามปริมาณที่ท่านซื้อ ท่านก็จะได้ผลตอบแทน ถ้าท่านใช้ดีแล้วบอกต่อ นี่คือ การทำธุรกิจร่วมกัน

ตรงนี้อยากให้มีการหารือเกี่ยวกับกฎหมาย เพื่อจะทำให้สินค้าดีๆดำรงอยู่ในประเทศไทย แต่ว่าในขณะเดียวกันขายตรง ก็มีทั้งของดีและของไม่ดี หลายคนบอกว่า ปูแดงน่าจะขายสัก 50 บาท แต่ทำไมต้องขายถึง 240 ต้องบอกว่า ของถูกในโลกนี้หายาก แต่ถามว่า ราคาแพงหรือไม่ ไม่แพง หากต้องเปรียบเทียบว่า ปุ๋ย 1 ตัน กับ ไคโตชาน 1 ตัน ราคาต่างกันถึง 10 เท่า ปุ๋ยตันละ 12,000 บาท ไคโตชานเหลือแค่ 1,200 บาท เปรียบเทียบตัวเลขให้ดู ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น กับสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ต่างกัน

วันนี้ปูแดงเจอพลังหลายอย่าง เช่น บริษัทปุ๋ย ที่เขาซื้อปุ๋ยข้ามชาติ เป็นปุ๋ยเคมี วันนี้เอเย่นต์ปุ๋ยหันมาขายไคโตชานแทน วันนี้เกษตรกรหยุดใช้ปุ๋ยเคมี หันมาใช้ปูแดง ผลการตลาดมันกระทบกระเทือนจริง ปูแดงเติบโตแบบรวดเร็วมาก วันนี้ถ้าท่านออกไปข้างนอก เชื่อว่า ผู้แทนราษฎรอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดเยอะ ท่านไปถามชาวสวนเลยว่า เขาหยุดใช้ปุ๋ยลดจำนวนลงมากกว่า 50 % แล้วหันมาใช้ไคโตชานผสม นี่คือ เหตุหนึ่งที่เราเจอพิษภัยในครั้งนี้

ฉะนั้นอยากฝากกรรมาธิการฯ สคบ. และดีเอสไอ ได้โปรดเมตตาให้ความเป็นธรรมกับปูแดง ข้อมูลทุกชนิดเราพร้อมเปิดเผยให้ท่านรับทราบ หากสิ่งไหนที่เราผิดพลาด เราพร้อมแก้ไข และจะทำให้ดีที่สุด ขอให้ท่านช่วยกันเพื่อเกษตรกร เพื่อประเทศชาติ และประชาชนจะได้มีรายได้ เกษตรกรเราจะได้มีผลผลิตที่ดีขึ้น เราช่วยกันผลัดดันส่งออก สินค้าที่มาจากไคโตชาน ที่มันมีคุณภาพดีออกไปตลาดต่างประเทศ’

ฉายวีซีดีลบภาพระดมพล
จัดประชุมทุกครั้งล้นทุกที่
นอกจากนี้ บริษัทปูแดง ยังได้นำวิซีดีมาฉายให้คณะกรรมาธิการฯได้รับชมด้วย เพื่อให้เห็นภาพการชักชวนคน และการเข้าร่วมประชุมของสมาชิกปูแดง ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวันเสาร์ และจัดกันทุกเดือนทั่วภูมิภาคของประเทศ โดยมีนายธนาพัทธ์ กิจใบ รองประธานกรรมการ เป็นผู้บรรยายว่า การจัดประชุมสมาชิกปูแดงแต่ละครั้งแต่ละแห่ง มีสมาชิกเข้าร่วมกันเป็นจำนวนมาก จนแทบจะไม่มีที่จะยืน และแทบจะไม่มีสถานที่จัดประชุม ซึ่งเหตุการณ์อย่างนี้ เกิดขึ้นเหมือนกันทุกภาค
‘การจัดประชุมทุกครั้ง เราไม่ได้เกณฑ์คนเข้ามา แต่คนที่มาส่วนมาก เป็นพี่น้องประชาชน เกษตรกร โดยตรง เขาเข้ามาเพื่อมารับฟังข้อมูลด้วยเขาเอง แล้วก็ซื้อสินค้าไปใช้ ทั้งๆที่บางคนไม่รู้เรื่องการทำธุรกิจขายตรง แต่เมื่อนำไปใช้แล้วดี ก็มีการบอกต่อ หลายคนอยากรู้เรื่องการทำธุรกิจ หลายคนอยากใช้สินค้า แต่ละคนก็ต้องเดินมาหาความจริง ชักชวนกันมาฟัง จนแน่นห้องประชุม จนไม่มีที่จะยืน บริษัทมีความลำบากใจ เพราะไม่รู้ว่า จะหาห้องประชุมที่ไหนบรรจุคนเข้าร่วมรับฟัง โดยเฉพาะต่างจังหวัดแล้ว แทบจะไม่มีสถานที่รองรับ
ขนาดพื้นที่บริษัท ณ สำนักงานใหญ่ ก็ยังต้องปรับปรุงสถานที่ใหม่ เพื่อจัดการรองรับสมาชิก ไม่มีบริษัทขายตรงใด ที่จะมีโต๊ะและเก้าอี้กว่า 200 ชุด ตั้งไว้รองรับสมาชิก ทุกวันเสาร์คนจะเข้ามาประชุมจำนวนมาก และการเข้ามาประชุม ไม่ได้เกิดมาจากการระดมพล ซึ่งทุกฝ่ายทุกองค์กร สามารถสอบถามและตรวจสอบได้
ทุกครั้งที่จัดประชุม มีการอบรมฟรีความรู้ สร้างประสบการณ์ ตามหลักสูตรของบริษัท พร้อมทั้งพัฒนาบุคลากรไปในตัว อันส่งผลต่อบุคลากรของชาติ เด็กๆเยาวชนเคยอยู่กับบ้าน เรียนหนังสือ แต่ตอนนี้เขาได้ออกมาหาโลกทัศน์ใหม่เป็นการส่วนตัว และมีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวต่างประเทศฟรี ท่านประธานให้ไปฟรี ทั้งครอบครัว และไปทุกครั้ง ท่านประธานก็แจกอังเปา ไม่ต้องไปรบกวนพ่อแม่ พอใช้ไม่หมด ก็หยอดออมสิน พอหยอดไป ๆ มากๆ ก็มีหลายหมื่น เด็กมีเงินฝาก” นายธนาพัทธ์กล่าว พร้อมทั้งยกตัวอย่างเกษตรกรที่ทำธุรกิจปูแดงแล้ว สามารถปลดหนี้ปลดสินได้มาประกอบการบรรยายด้วย

เปิดให้ตรวจสอบทุกอย่าง
ลูกผู้ชายผิดก็ว่าไปตามผิด
ด้านนายสมปอง แซ่ตั้ง ประธานกรรมการ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด กล่าวว่า ใครจะตรวจอะไร เชิญตามสบาย ตรวจสอบได้ทุกอย่าง หากปูแดงผิด ก็ว่าไปตามความผิด แต่หากไม่ผิด ก็ให้มีความเมตตา นี่ไม่ใช่การอ้อนวอน หรือขอร้อง แต่นี่คือ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงๆ เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนที่ร่วมทำงานกับบริษัท เป็นความเสียหายมากมายมหาศาล บางอย่างบริษัทยอมรับว่า เกิดความผิดพลาด ก็พร้อมที่จะแก้ไขข้อผิดพลาด หากได้รับโอกาส ด้วยเพราะปูแดงไม่เคยแม้แต่จะคิดเป็นแชร์ลูกโซ่
“วันนี้ ผมไม่นึกว่า เหตุการณ์มันจะเลวร้ายถึงขนาดนี้ ทั้งๆที่เรามีความตั้งใจที่จะทำธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เรากลับประสบปัญหา ทำให้คนที่ทำงานประจำกับเราต้องมาตกงาน จนเขาไม่มีงานทำ ที่ผ่านมา เขาทุ่มเททำงานให้กับบริษัทมาโดยตลอด ทุกคนต่างบอกว่า เราไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ เราช่วยคนให้มีรายได้ มีงานทำ มีคนใช้สินค้าเราเป็นจำนวนมาก ไม่มีใครนึกว่า เราจะโดนข้อหาอย่างนี้ ทั้งๆที่เรามีการลงทุนสร้างสำนักงานใหญ่ ลงทุนสร้างโรงงาน โดยบริษัทไม่มีหนี้สิน หากเราเป็นแชร์ลูกโซ่ แล้วเราจะลงทุนทำไม ได้เงินแล้วหอบหนี แต่เราไม่หนี เพราะเราไม่ใช่แชร์ลูกโซ่’

บทสรุปสุดท้าย!รอศาลสั่ง
ผิดติดคุก-ไม่ผิดไม่มีวันล้ม
นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ประธานคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า การที่คณะกรรมาธิการฯ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสคบ.และดีเอสไอ ได้ร่วมเดินทางกันมาตรวจสอบโรงงานผลิตสารปรับปรุงดินปูแดง ไคโตซาน กันเป็นจำนวนมากนั้น ก็เพราะว่า คดี‘ปูแดง ไคโตซาน’กำลังอยู่ในความสนใจของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้มีการนำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมาธิการคุมครองผู้บริโภคมาแล้วครั้งหนึ่ง และหลังจากตรวจสอบโรงงานแล้ว ก็ไม่พบความผิดปกติ จึงอยากจะฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ถูกดำเนินคดี ทางสคบ. หรือทางดีเอสไอก็ดี จะต้องทำคดีนี้ให้เกิดความโปร่งมากที่สุด
‘แม้ว่า ปูแดง ไคโตซาน จะตกอยู่ในภาวะวิกฤติ แต่ขอให้คิดว่า วิกฤติย่อมเป็นโอกาสเสมอ หากสามารถพิสูจน์ได้ว่า ปูแดงไม่ผิด ก็อาจจะทำให้ปูแดงมีชื่อเสียงมากกว่านี้ ด้วยเพราะบางคนยังไม่เคยรู้จักปูแดงด้วยซ้ำว่า ปูแดงนั้นเป็นใคร แต่มาถึงวันนี้ เชื่อว่า หากมีการเร่งรีบทำคดี และผลสรุปออกมาเมื่อใด หากปูแดงไม่ผิด ก็เชื่อว่า พี่น้องเกษตรกรที่เป็นกำลังใจให้ปูแดง อาจจะมีเพิ่มจำนวนมากกว่านี้ แต่ปัญหามันมีอยู่ที่ว่า ปูแดงเป็นแชร์ลูกโซ่หรือไม่เท่านั้นเอง ก็อยากฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ เพื่อจะได้รู้เสียทีว่า ปูแดงผิดหรือไม่ผิด ถ้าผิดติดคุก ถ้าไม่ผิด ปูแดงจะไม่มีวันล้มอย่างแน่นอน’นายอภิชาติกล่าวทิ้งท้าย

http://www.taladvikrao.com/267/leadnews26701.html

ปลดโซ่ตรวน "ปูแดง" กรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค ฟันธง! ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ (นสพ.ตลาดวิเคราะห์ 22มค.53)

หนังสือพิมพ์รายปักษ์ ‘ตลาดวิเคราะห์’ เกาะติดความคืบหน้าคดีบริษัท เบทส์ 59 จำกัด หรือ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ หลังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สั่งเพิกถอนใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจขายตรง พร้อมส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ดำเนินการเข้าตรวจสอบและจับกุมผู้บริหาร ในข้อหากระทำการอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือ ‘แชร์ลูกโซ่’ ก่อนที่จะให้ผู้บริหาร‘ปูแดง ไคโตซาน’ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวต่อสู้คดี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนการส่งฟ้องศาล

เรียก‘สคบ.-DSI’ชี้แจง รุดสอบโรงงาน!ปูแดง
สำหรับความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร นำโดยนายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ประธานกรรมาธิการฯ พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการฯ อาทิ นายพีระพงษ์ เฮงสวัสดิ์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคเพื่อแผ่นดิน ตัวแทนจากสคบ. และตัวแทนจากดีเอสไอ ก็ได้เดินทางไปตรวจสอบโรงงานผลิตสารปรับปรุงดิน‘ปูแดง ไคโตซาน’ ย่านจังหวัดนนทบุรีว่า กระบวนการผลิตได้มาตรฐานหรือไม่ โดยมีนายสมปอง แซ่ตั้ง ประธานกรรมการ, นายธนาพัทธ์ กิจใบ รองประธานกรรมการ และดร.วิชาญ จำปาขาว ผู้ผลิตและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านวิชาการ รวมถึงบรรดาผู้นำ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด ให้การต้อนรับ

ส่วนสาเหตุที่ต้องมีการเดินทางไปตรวจสอบโรงงานผลิตสารปรับปรุงดิน‘ปูแดง ไคโตซาน’นั้น สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร ได้เรียกนายนิโรธ เจริญประกอบ เลขาธิการสคบ. พร้อมด้วย พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ ดีเอสไอ และผู้บริหาร บริษัท เบสท์ 59 จำกัด เข้ามาร่วมชี้แจงในที่ประชุมคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภคที่รัฐสภาถึงคดีที่เกิดขึ้น

หลังจากสมาชิกเครือข่ายปูแดง นำโดยนายฌัชรุตม์ ทบวงศรี หรือ ‘กาย ไพรินทร์’ ประธานชมรมกลุ่มพลังเครือข่ายขายตรง ได้รวบรวมพลังสมาชิกปูแดงก่อม็อบประท้วง และยื่นหนังสือเรียกร้องขอความเป็นธรรม อ้างสคบ.และดีเอสไอกระทำตามหน้าที่เกินขอบเขต อันเป็นเหตุให้บริษัท เบสท์ 59 จำกัด ต้องปิดกิจการ และหยุดการดำเนินธุรกิจขายตรง ส่งผลให้สมาชิกและเกษตรกรได้รับความเดือดร้อน โดยมีสมาคมการขายตรงไทย ซึ่งนำโดยพญ.นลินีไพบูลย์ นายกสมาคมการขายตรงไทย พร้อมด้วยกรรมการสมาคมฯ อาทิ นายอิทธิศักดิ์ อำพันยุทธ์ และนางสาวภคพรรณ ลีวุฒินันท์ เข้าร่วมสังเกตการณ์การประชุม ทั้งนี้หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม คณะกรรมาธิการฯก็ได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่า จะต้องมีการเดินทางไปตรวจสอบโรงานผลิต‘ปูแดง ไคโตซาน’ด้วย

ถกคดี ‘ปูแดง ไคโตซาน’ แชร์หรือไม่ใช่แชร์ลูกโซ่
สำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร ที่รัฐสภา ณ วันนั้น ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์รายปักษ์ ‘ตลาดวิเคราะห์’ ซึ่งเกาะติดกับสถานการณ์ รายงานว่า ประธานคณะกรรมาธิการฯ โดยนายอภิชาติ สุภาแพ่ง ได้เริ่มต้นสอบถามผู้บริหาร‘ปูแดง ไคโตซาน’ว่า บริษัทไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องอะไร ซึ่งนายชาลี นพวงษ์ ณ อยุธยา ที่ปรึกษากฎหมายปูแดง กล่าวว่า บริษัทปูแดงโดนข้อกล่าวหาว่า เป็นแชร์ลูกโซ่ ทั้งๆที่ไม่เป็นความจริง ด้วยเพราะสินค้า ‘ปูแดง ไคโตซาน’ได้รับการยอมรับ มีการจำหน่ายตามระบบขายตรงจริง และผู้บริหารปูแดงก็ไม่ได้หอบเงินหนี หรือปิดบริษัทแล้วหลบหนีเยี่ยงการกระทำอันเป็นแชร์ลูกโซ่แต่อย่างใด

“บริษัทดำเนินธุรกิจเติบโตมาโดยตลอด จนปัจจุบันกำลังจะย่างก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว จากอาคารที่ต้องเช่า เพื่อการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันมีอาคารสำนักงานใหญ่ และโรงงานการผลิตเป็นของตนเอง ความสำเร็จที่เกิด เป็นเพราะบริษัทมีการจำหน่ายสินค้าจนได้รับการยอมรับ มีสมาชิกเพิ่มจำนวนมาก มีการอบรมสมาชิกในการทำธุรกิจอย่างต่อเนื่อง มีการจ่ายผลตอบแทนที่เป็นธรรมและจ่ายได้จริง และมีเจตนาที่จะทำธุรกิจขายตรงถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าบริษัทมีจุดประสงค์ที่จะดำเนินธุรกิจแชร์ลูกโซ่แล้ว บริษัทจะสร้างทรัพย์สินมากมายทำไม"

หากเป็น‘แชร์’..ผู้บริหาร คงถูกกระทืบตายคาเวที
หากย้อนไปดูถึงการจัดงานสังสรรค์ปีใหม่ของบริษัท เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา หลังจากสคบ.สั่งเพิกถอนใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจขายตรงแล้ว ผู้บริหารปูแดงก็ได้ประกาศความรับผิดชอบบางอย่างที่ต้องทำให้บริษัทต้องปิดกิจการเป็นการชั่วคราวตามคำสั่งของสคบ. และบอกว่า ความผิดที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะให้มันเกิด หากผู้บริหารปูแดงมีเจตนาทำธุรกิจแชร์ลูกโซ่ จนสมาชิก และผู้บริโภคหรือเกษตรกรได้รับความเดือดร้อนจริงแล้ว สมาชิกที่เข้าร่วมประชุมกันในวันนั้น จำนวนกว่า 5 หมื่นคน คงจะรุมกระทืบผู้บริหารปูแดงตายคาเวทีไปแล้ว’ ทนายปูแดงพูดอธิบายพร้อมการนำวีซีดีวันงาน ซึ่งมีนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้เกียรติมาเป็นประธาน มาเปิดให้ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯได้รับชมด้วย

ที่ปรึกษากฎหมายปูแดง ยังกล่าวอีกว่า เดิมทีสคบ.สั่งให้มีการเพิกถอนใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจขายตรง โดยยังให้โอกาสบริษัทจำหน่ายหรือขายปลีกได้ แต่เหตุไฉนจึงได้ประสานกับดีเอสไอ ให้เข้าดำเนินการตรวจสอบ และจับกุมผู้บริหาร พร้อมอายัดทรัพย์ ด้วยข้อหาแชร์ลูกโซ่ ทั้งๆที่ไม่มีการร้องเรียน

‘ดีเอสไอ’ยันปูแดง ผิดฐานแชร์ลูกโซ่
หลังจากนั้นประธานคณะกรรมาธิการฯ ก็ได้สอบถามฝ่ายดีเอสไอว่า จับ‘ปูแดง ไคโตซาน’ด้วยข้อหาอะไร ซึ่งพ.อ.ปิยะวัฒก์ ตอบว่า จับในคดีฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ พร้อมกับอธิบายว่า บริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ประกอบธุรกิจขายตรง โดยไม่เป็นไปตามแผนการจ่ายผลตอบแทนที่ได้ยื่นไว้ต่อนายทะเบียน กล่าวคือ ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจขายตรงจากสคบ. เมื่อวันที่ 17 พฤศภาคม 2546 โดยแจ้งจำหน่ายสินค้าเกษตรกรรม จำนวน 2 รายการ ได้แก่ ปูแดงไคโตซาน และผงชูรสตราปูแดง แต่ต่อมาในปี 2551 จนถึงปัจจุบัน บริษัทได้จำหน่ายสินค้าเพิ่มอีก 45 รายการ โดยมิได้รับใบอนุญาตจากสคบ. และผงชูรสตราปูแดง มีคุณสมบัติเป็นปุ๋ย ตามผลการตรวจสอบจากกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งห้ามขายในระบบขายตรง

ประธานคณะกรรมาธิการฯถามต่อว่า ที่กล่าวมา โดยเฉพาะเรื่องของสินค้าจำหน่ายเกินกว่าการได้รับอนุญาตนั้น ชี้มูลความผิดปูแดงได้อย่างไร พ.อ.ปิยะวัฒก์ ตอบว่า เป็นความผิด แต่ไม่ถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต โทษฐานความผิดแค่ปรับ

ต้นตอแผนตลาดผิด เหตุมีการบังคับขาย
แต่บริษัทยังมีการปรับเปลี่ยนแผนตลาด ซึ่งเข้าข่ายการระดมเงิน หรือแชร์ลูกโซ่ มีการบังคับขาย คือ สมาชิกผู้ที่ประสงค์จะซื้อสินค้าซ้ำในครั้งต่อไป จะต้องสมัครสมาชิกใหม่ทุกครั้ง โดยให้สมัครสมาชิกรหัสใหม่ต่อจากรหัสเดิมของตนเอง กล่าวคือ การสั่งซื้อสินค้าของสมาชิกครั้งแต่ไป ไม่สามารถใช้รหัสเดิมสั่งซื้อได้ แต่ต้องสมัครเป็นสมาชิกครั้งใหม่ และได้รหัสใหม่ จึงจะสั่งซื้อสินค้าได้ ซึ่งต้องจ่ายค่าสมาชิกใหม่อีก 300 บาททุกครั้งไป

หลังจากนั้น ทนายความปูแดง ก็ขออนุญาตพูดแย้งขึ้นมาว่า คำว่า บังคับขาย ในทางกฎหมายขายตรงและตลาดแบบตรงแล้ว มีการระบุชัดเจนหรือไม่ เกี่ยวกับการกระทำใดๆที่เข้าข่ายการบังคับขาย การมาซื้อซ้ำอีก 300 บาท แล้วได้รับสินค้าไปอีก 3 ขวด ถือเป็นการบังคับขายหรือไม่ และการที่สินค้าใช้ดี แล้วมีการซื้อซ้ำ แค่จ่าย 300 บาทแล้วได้สินค้าเพิ่ม และได้รหัสจ่ายผลตอบแทนเพิ่ม ถือเป็นการบังคับขาย และเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่...ประเด็นสำคัญ อยู่ที่ว่า เป็นการจำหน่ายโดยการใช้กลวิธี มีสินค้าถึงมือผู้บริโภค มีการใช้สินค้าจริง มีการจ่ายผลประโยชน์จริง และก็จ่ายได้จริง ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ และที่สำคัญบริษัทไม่ได้บังคับขาย ใครจะซื้อ ใครจะสมัครอย่างไรก็ได้ เป็นทางเลือกของสมาชิก

สคบ.ยันผิดกฎหมาย ไม่อนุมัติแผนปูแดงฯ
ต่อมาประธานคณะกรรมาธิการฯ ก็ได้ถามทางสคบ.ว่า ทำไมถึงเพิกถอนใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจขายตรง ‘ปูแดง ไคโตซาน’ นายนิโรธ เจริญประกอบ เลขาธิการสคบ.ตอบว่า บริษัทไม่ปฏิบัติตามแผนตลาดที่ได้จดแจ้งไว้ต่อนายทะเบียน มีการเปลี่ยนแผนตลาด ซึ่งเป็นแผนที่เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ เป็นการบังคับขาย โดยทนายปูแดงตอบโต้แย้งขึ้นมาว่า ปูแดงอาจจะมีความผิดในเรื่องของการเสนอแผนจริง บริษัทยอมรับ แต่ปูแดงไม่มีเจตนาที่จะทำธุรกิจแชร์ลูกโซ่ เพราะหากมีเจตนาเป็นแชร์ลูกโซ่แล้ว ปูแดงคงไม่ยื่นแผนเพื่อขออนุญาต เมื่อแผนผิดระเบียบ แค่บริษัทขอให้ได้มีโอกาสแก้ไขในสิ่งที่ผิดให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งผู้บริหารปูแดงก็มีเจตนาทำธุรกิจถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่เหตุไฉนสคบ.จึงไม่ให้โอกาส แต่กลับสั่งฆ่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ด้วยข้อหาร้ายแรง‘แชร์ลูกโซ่’

ประธานคณะกรรมาธิการฯ จึงถามสคบ.ต่ออีกว่า หากปูแดงเสนอแผนตลาดเข้ามาให้พิจารณานั้น สคบ.จะอนุมัติหรือไม่ นายนิโรธตอบว่า ไม่อนุมัติ เพราะเป็นการบังคับขาย ก่อนที่ประธานคณะกรรมาธิการฯจะเปิดโอกาสให้กรรมาธิการฯที่เข้าร่วมประชุมสอบถามเพิ่มเติม พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ได้แสดงความคิดเห็น

ส.ส.บุรีรัมย์เอาศักดิ์ศรีค้ำ ผลิตภัณฑ์ใช้ดีแล้วเห็นผล
ซึ่งนายพีระพงษ์ เฮงสวัสดิ์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคเพื่อแผ่นดิน หนึ่งในกรรมาธิการ ก็ได้ลุกขึ้นกล่าวว่า ความจริงแล้ว ตน คือ หนึ่งในสมาชิก ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ซึ่งใช้ผลิตภัณฑ์ปูแดงมานาน เนื่องจากใช้แล้วได้ผลดีจริง ส่วนสาเหตุที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ปูแดงนั้น เนื่องจากได้รับการแนะนำจาก ‘พระพะยอม กัลยาโน’ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ซึ่งได้ใช้ผลิตภัณฑ์ปูแดงด้วยเหมือนกัน หลังเอามาใช้แล้วเห็นผล จึงแนะนำให้กับชาวบ้านได้ใช้ต่อ ที่สำคัญคนที่เป็นส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎรกว่า 50 คน ก็เป็นสมาชิกที่เคยใช้ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ มาแล้วทั้งนั้น

ฉะนั้นคุณภาพสินค้าปูแดง จึงไม่ต้องพูดถึง สามารถเอาตำแหน่งส.ส.การันตีคุณภาพได้ เพราะหากส.ส.จะทำอะไร หรือพูดจาอะไร ก็ต้องรับผิดชอบ และตนก็ถือเรื่องศักดิ์ศรีเป็นสำคัญ จึงขอเอาศักดิ์ศรีค้ำประกันว่า ผลิตภัณฑ์ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ดีจริง แต่แผนตลาดจะผิดอย่างไรหรือไม่ ตนเองไม่มีความชำนาญ ก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย แต่ในความรู้สึกส่วนตัว กับการได้เข้ามาสัมผัสธุรกิจปูแดงแล้ว ไม่มีความเชื่อว่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’จะเป็น‘แชร์ลูกโซ่’

ชี้!พระพะยอม กัลยาโน ยังใช้ ‘ปูแดง ไคโตซาน’
“ในฐานะที่เป็นส.ส.หรือเป็นตัวแทนของประชาชน ผมคงต้องมีความละเอียดอ่อนมากเกี่ยวกับการที่จะทำอะไรให้กับประชาชน เพราะหากเกิดผิดพลาดขึ้นมา ผมเสียหายมาก ความจริงแล้วผมเริ่มรู้จัก‘ปูแดง ไคโตซาน’ จากหลวงพ่อพะยอม กัลยาโณ พอดีผมบริจาคที่ดินให้ท่าน อยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์กว่า 200 ไร่ ที่ท่านทำอยู่ โดยท่านก็นำผลิตภัณฑ์ ‘ปูแดง ไคโตซาน’มาใช้ในสวน แล้วมันก็ได้ผลดี ก็เลยเรียกผมมาดูว่า มันได้ผลดีอย่างไร

ตอนแรกเห็นชมพู่ออกดอก ผมยังงงว่า ปูแดงมันคืออะไร เข้าใจว่า เอาตัวปูเป็นๆมาต้ม หรือมาตำอะไรทำนองนั้น เพื่อมาใส่ต้นไม้ จนเข้าใจว่า เป็นสารไคโตชาน ผมก็เลยขอจากหลวงพ่อมาทดลองใช้ดู ผมใช้อยู่เป็นปี โดยการเอามาแจกชาวบ้านด้วย แล้วมันได้ผลหมด เรียกว่า ร้อยทั้งร้อย ก็บอกว่า ใช้ดีเห็นผล ต่อมาผมก็นำมาแจกหัวคะแนนกว่า 1,000 คน ผมแจกหมด ผมลงทุนซื้อไปประมาณเกือบ 4-5 แสนบาท ด้วยเจตนาจริงๆ ก็คือ ไม่ได้คิดว่า จะขาย ‘ปูแดง ไคโตซาน’ เพียงแต่ว่า หากสามารถลดต้นทุนได้ ก็จะสามารถช่วยเกษตรกรพี่น้องเราให้ลืมตาอ้าปากได้เท่านั้นเอง

หลังจากแจกสินค้าไปแล้วใช้ได้ผล เขาก็มาถามซื้อ ผมก็บอกว่า ไม่รู้จะหาซื้อจากที่ไหน ก็เลยติดต่อมายังบริษัท เขาแนะนำให้ผมสมัครสมาชิก สามารถซื้อสินค้าได้ในราคาสมาชิก ผมก็เลยสมัครเป็นสมาชิก เพราะไม่มีสินค้าให้ชาวบ้านจริงๆ ถ้าเกิดใช้แล้วได้ผล ก็น่าลองใช้ เมื่อใช้ดีก็ต้องซื้อซ้ำ หากเราไม่ซื้อซ้ำ นั่นหมายความว่า เราโกหก แล้วผมจะกล้าโกหกประชาชนได้อย่างไร ผมมั่นใจ และกล้าเอาตำแหน่งเป็นประกัน

ใช้ดี-ความต้องการมาก ตัดสินใจสมัครสมาชิก
แต่ทว่า ในส่วนของแผนตลาดนั้น ผมไม่มีความเข้าใจ แต่รู้ว่า เอาอะไรก็ได้ที่ว่าให้ชาวบ้านใช้ได้ประโยชน์ เครือข่ายหรือระบบ มันอาจจะถูกหรือผิด เราไม่เข้าใจ แต่วันนี้สคบ.บอกว่า ระบบผิด หรือแผนตลาดผิด ผมก็บอกว่า ก็มาจูนระบบให้ถูก เพื่อพี่น้องจะได้ใช้ประโยชน์ต่อไปได้ ก็แค่นั้นเอง แต่ถ้าจะมาบอกว่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’เป็นสินค้าหลอกลวงแล้ว ผมยืนยันว่า ‘ไม่ใช่’ เพราะผมรู้จักเขามาตั้งแต่ตอนอยู่ห้องแถว 2 ห้อง แต่ตอนนี้เขาสร้างสำนักงาน อาคารหลังใหญ่ และโรงงานโรงใหญ่ ถ้าเขาจะต้มตุ๋น หลอกลวง เขาคงไม่สร้างหรอก คงต้องเช่า 2 ห้องเหมือนเดิม ได้เงินคงเชิดหนีไปแล้ว แต่นี้เขาลงทุน ก็ทำให้มั่นใจว่า คงไม่ใช่ระบบที่จะมาต้มตุ๋นประชาชน เรื่องคุณภาพสินค้า ผมมั่นใจได้ แต่เรื่องระบบ หรือแผนตลาด ผมไม่ทราบ’นายพีระพงษ์กล่าวย้ำ

หลังจากนั้น กรรมาธิการฯก็ได้มีการผลัดเปลี่ยนกันแสดงความคิดเห็น พร้อมทั้งสอบถามสคบ. ดีเอสไอ และผู้บริหารปูแดง ก่อนที่นายสมปอง แซ่ตั้ง ประธานกรรมการ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด จะได้ลุกขึ้นชี้แจง พร้อมการทดลองนำผลิตภัณฑ์ ‘ปูแดง ไคโตซาน’เทเข้าปากและใช้ล้างหน้า เพื่อแสดงให้เห็นว่า ‘ปูแดงไคโตซาน’ ไม่มีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

นั่นคือ สาระสำคัญส่วนหนึ่งของการประชุมคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งตามรายงานข่าวแจ้งเข้ามาเพิ่มเติมว่า ขณะที่มีการประชุมคณะกรรมาธิการฯ ได้มีบรรดาแก่นนำสมาชิกและเกษตรกร เดินทางมาให้กำลังใจผู้บริหารปูแดง พร้อมกับนำผลผลิตทางการเกษตรที่ได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์ปูแดงมาตั้งโชว์หน้าห้องประชุม รวมถึงมีการแจกจ่ายผลิตภัณฑ์ปูแดงให้กับผู้เข้าร่วมประชุมได้นำสินค้าไปทดลองใช้ด้วย ซึ่งที่ประชุมก็ได้ใช้เวลาในการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนานกว่า 5 ชั่วโมง

กรรมาธิการฯฟันธง! ปูแดงฯไม่ใช่แชร์ลูกโซ่
ก่อนที่ประธานคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค นายอภิชาต สุภาแพ่ง จะกล่าวว่า เรื่องคดี ‘ปูแดง ไคโตซาน’ หากมีการนำคดีขึ้นสู่ศาล คณะกรรมาธิการฯคงจะไม่เข้าไปก้าวล่วง ส่วนที่ทำได้ คือ การเรียกสคบ. ดีเอสไอ และผู้บริหารปูแดงมาชี้แจง เพื่อต้องการทราบข้อเท็จจริง และอยากให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย โดยจะไม่ก้าวล่วงไปในส่วนของคดี หรือ หลักฐาน และพยานใดๆ

“คณะกรรมาธิการฯคงไม่มีหน้าที่ที่จะไปเคลียร์คดีให้กับทางปูนแดง เราเพียงแต่ขอรับทราบข้อมูลความจริง เพื่อให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายก็เท่านั้น อะไรที่เป็นข้อเท็จจริง ก็คงต้องว่ากันไป อย่างวันนั้นทางปูแดง ก็ได้แจกผลิตภัณฑ์ให้กับกรรมาธิการคนละ 1 ขวด เพื่อให้ไปทดลองใช้ โดยคุณสมปอง ก็ได้เอาผลิตภัณฑ์ขึ้นมาทาหน้า และใส่ปาก เพื่อยืนยันว่า ผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณสมบัติเป็นพิษต่อร่างกาย

หลังได้รับฟังข้อมูลความจริงแล้ว ในส่วนของคณะกรรมาธิการฯ ต้องบอกว่า น่าเห็นใจ ต้องยอมรับจริงๆว่า เราเห็นใจทางบริษัทปูแดง ซึ่งลักษณะจะเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่นั้น ก็คงเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน

สำหรับข้อเท็จจริงที่คณะกรรมาธิการฯได้สรุป คือ เราไม่คิดว่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’ เป็นแชร์ลูกโซ่ เพียงแต่ว่า แผนตลาดที่บริษัทขอมาทางสคบ. ไม่ตรงกับที่ขออนุญาตแผนมา โดยลักษณะปฏิบัติกับแผนไม่ตรงกัน แล้วเขาก็พยามทำแผน 2 เข้ามา เพียงแต่ว่า ยังไม่ถึงขั้นตอนนั้น ก็ถูกจับดำเนินคดีก่อนแล้ว

สรุปความเห็นของคณะกรรมาธิการฯ ย้ำอีกทีว่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’ คงไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ เพียงแต่ว่า แผนตลาดไม่ตรงกับแผนที่เสนอหรือขออนุญาตสคบ.มานั้นเอง ก็คงต้องปรับแผนให้ถูกต้องตามกฎหมาย และเพียงเข้าใจว่า ทางดีเอสไอก็ดี หรือทางสคบ.ก็ดี เมื่อได้รับทราบข้อมูลความจริงแล้ว ก็คิดว่า น่าจะพอคุยกันๆได้ คงไม่ใช่ปัญหา ที่สำคัญส.ส.ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ปูแดง เขาก็ยืนยันว่า ปูแดงใช้ดีแล้วเห็นผลจริง ช่วยเกษตรกรได้จริง จึงเห็นว่า มีการจำหน่ายสินค้าจริง ไม่น่าจะเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่’

เตรียมจัดสังคายนาใหญ่ ล้างไพ่กฎหมายขายตรง
ส่วนที่จะต้องมาดู หรือแก้ไขกฎหมายขายตรงและตลาดแบบตรงหรือไม่นั้น นายอภิชาต กล่าวว่า ก็ได้มีการพูดคุยกันว่า ทางคณะกรรมาธิการฯจะเรียนเชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือผู้ที่มีความรู้ด้านการขายตรงทุกภาคส่วนมาประชุมร่วมกันเพื่อแก้ไขกฎหมายต่อไป หมายถึง ต้องมีการสังคายนาใหญ่ เพื่อการปรับใช้ให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจขายตรงในประเทศไทย ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่นั้น คงต้องหารือกันอีกที่ คงจะกำหนดไม่ได้ แต่ขณะนี้ คณะกรรมาธิการฯมีแนวคิดว่า จะต้องแก้ไขกฎหมาย

เสร็จจากการประชุมคณะกรรมาธิการฯ เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2553 ก็มีความคืบหน้าในการเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงที่โรงงานผลิตสารปรับปรุงดิน ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ย่านจังหวัดนนทบุรี ซึ่งคณะกรรมาธิการฯก็ได้เดินทางไปตรวจสอบความจริง เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมี ดร.วิชาญ จำปาขาว ในฐานะผู้ผลิตและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านวิชาการ ก็ได้อธิบายถึงวิธีการและขั้นตอนการผลิตทุกกระบวนการ

ปูแดงฯ!สบายหายห่วง โรงงานการผลิตผ่าน
ดร.วิชาญ กล่าวว่า ทั้งชีวิตมีความตั้งใจทำงานเพื่อสังคมมานานหลายปี แต่วันนี้มีความรู้สึกสะเทือนใจมาก เหมือนตกนรกทั้งเป็น ไม่เคยนึกว่า ชีวิตนี้จะถูกกล่าวหาว่า เป็นแชร์ลูกโซ่ ฉ้อโกง และหลอกลวงประชาชน
“สินค้าปูแดง ใช้ได้ทั้งพืชและสัตว์ ใช้กับการเกษตร ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มาก เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม คนไทยกว่า 40 ล้านคน อยู่ในภาคเกษตร มีเนื้อที่ทำเกษตรกว่า 120 ล้านไร่ หากถามว่า จุดเด่นสินค้าปูแดงคืออะไร ต้องบอว่า ปูแดง ไคโตซาน เป็นสินค้าชีวภาพ ซึ่งตรงกับกระแสสังคมที่ได้ตระหนักถึงมหันตภัยสารเคมีในวงการเกษตรว่า เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งมากมาย และเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกษตรกรไทยมีหนี้สินทั่วประเทศ แต่เมื่อบอกเกษตรกรว่า เป็นสารชีวภาพ ส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับ เพราะในอดีตสารชีวภาพจะใช้ไม่ได้ผล หรือได้ผลช้ามาก ในที่สุดเกษตรกรก็หันกลับไปใช้สารเคมีเหมือนเดิม แต่หลังเกษตรกรมาทดลองใช้ปูแดง ไคโตซาน ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ ทุกคนพูดเหมือนกันว่า เหลือเชื่อ และดีเกินคาด ช่วยลดต้นทุน ทั้งปุ๋ยทั้งยา อีกทั้งยังให้ผลผลิตเพิ่ม ได้เกรดตามที่ตลาดต้องการ ที่สำคัญยังไปช่วยให้เกษตรกรได้ปลดเปลื้องหนี้สินไปแล้วก็มากมายทั่วประเทศ ราคาขายก็ถูก ทำให้ขายง่าย ความต้องการก็เยอะ โรงงานผลิตก็มีการพัฒนา และมีการเพิ่มกำลังผลิต เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งทุกอย่างก็ได้อธิบายให้กรรมาธิการฯ สคบ. และดีเอสไอ ได้รับทราบแล้ว’

แจงรายละเอียดถี่ยิบ ผิดหรือไม่ผิดต้องดูกัน
ด้านนายชาลี นพวงษ์ ณ อยุธยา ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายปูแดง กล่าวว่า ปูแดง ไคโตซาน มีเจตนาทำธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย และอยู่ภายใต้การกำกับของสคบ. ก็อยากจะพึ่งสคบ.เพื่อให้ได้กระทำถูกต้องตามกฎหมาย จะให้บริษัททำอย่างไร ขอให้บอก บริษัทต้องการอย่างนั้นจริงๆ แต่กลับถูกดีเสไอเข้าจับกุม ดำเนินคดีแชร์ลูกโซ่ เมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่เป็นไร เพราะทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

แต่สิ่งที่จะเรียนให้ทราบ คือ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมานี้ มันเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งในอนาคตจะมีการเปิดบริษัทอีกบริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทในเครือปูแดง ทำหน้าที่รับซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ใช้ผลิตภัณฑ์ปูแดงเท่านั้น แล้วจะนำส่งออกต่างประเทศ หากทำได้ ก็เชื่อว่า รายได้จะกลับเข้าสู่ประเทศมากมาย ส่วนเกษตรกรที่เคยได้ผลผลิตไม่คุ้มจ่ายกับค่าปุ๋ยเคมี ก็จะกลับใช้ปุ๋ยเคมีน้อยลง

สมมติว่า ไร่หนึ่งเคยใช้ 1,000 บาท เป็นค่าปุ๋ย มาใช้ไคโตชานเหลือเพียง 300 บาท อีก 700 บาท เป็นกำไร ส่วนผลผลิตที่เคยได้ จาก 1 ตัน เพิ่มเป็น 2 ตัน ทำให้เขาสามารถปลดหนี้สินได้ ซึ่งเรื่องอย่างนี้ สภาผู้แทนราษฎร และรัฐบาล น่าจะหันมาศึกษา เพราะนี้ไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์ แต่เป็นสารวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในโลกนี้มานานแล้ว และมีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลายแห่ง แต่ไม่มีใครหยิบขึ้นมาใช้ ซึ่งดร.วิชาญ ก็ได้อธิบายไปแล้ว แต่จะให้บอกรายละเอียดลึกๆที่เป็นสูตรนั้นคงไม่ได้

‘คนปูแดง ยืนยัน หากเราผิด ไม่ต้องมีใครช่วยเรา เชิญลงโทษได้เลย แต่ถ้าเราไม่ผิด สิ่งใดที่เป็นอุปสรรค โปรดช่วยเราด้วย ทางดีเอสไอ ถ้าเห็นว่า เราไม่ผิด ท่านช่วยยกฟ้องด้วย แต่ถ้าเราผิด ท่านลงโทษเราเลย ผู้บริหารสมควรแก่การติดคุก และสมควรแก่การถูกยึดทรัพย์สิน หากใครต้องการข้อมูลใดๆ พบกับตัวแทน พบกับเกษตรกรตัวจริง เชิญซักถามกันเอาเอง ถามได้ทั่วประเทศว่า ผลิตภัณฑ์ใช้แล้วดีจริงหรือเปล่า

ส่วนเรื่องแผนตลาด ยกตัวอย่างว่า ถ้าผมพูดว่า ท่านกรรมาธิการฯเอาเงิน 3,800 บาท มาลงทุนกับผม ลงสัก 10 เท่า คือ 38,000 บาท แล้วท่านอยู่เฉยๆ ผมจ่ายให้ท่านเอง ทุกวันท่านจะมีรายได้ วันละ 3,000 บาท ถ้าเป็นอย่างนี้ ถือเป็นการระดมทุน แต่ถ้าผมอธิบายว่า ท่านเอาสินค้าไปใช้แล้วใช้ดี ท่านอยากจะซื้อราคาถูก ท่านต้องเป็นสมาชิก ถ้าท่านเป็นสมาชิก ท่านจะซื้อได้ในราคาต้นทุน หรือ ในราคาสมาชิก ที่ราคา 180 บาท 150 บาท แล้วแต่ตามปริมาณที่ท่านซื้อ ท่านก็จะได้ผลตอบแทน ถ้าท่านใช้ดีแล้วบอกต่อ นี่คือ การทำธุรกิจร่วมกัน

ตรงนี้อยากให้มีการหารือเกี่ยวกับกฎหมาย เพื่อจะทำให้สินค้าดีๆดำรงอยู่ในประเทศไทย แต่ว่าในขณะเดียวกันขายตรง ก็มีทั้งของดีและของไม่ดี หลายคนบอกว่า ปูแดงน่าจะขายสัก 50 บาท แต่ทำไมต้องขายถึง 240 ต้องบอกว่า ของถูกในโลกนี้หายาก แต่ถามว่า ราคาแพงหรือไม่ ไม่แพง หากต้องเปรียบเทียบว่า ปุ๋ย 1 ตัน กับ ไคโตชาน 1 ตัน ราคาต่างกันถึง 10 เท่า ปุ๋ยตันละ 12,000 บาท ไคโตชานเหลือแค่ 1,200 บาท เปรียบเทียบตัวเลขให้ดู ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น กับสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ต่างกัน

วันนี้ปูแดงเจอพลังหลายอย่าง เช่น บริษัทปุ๋ย ที่เขาซื้อปุ๋ยข้ามชาติ เป็นปุ๋ยเคมี วันนี้เอเย่นต์ปุ๋ยหันมาขายไคโตชานแทน วันนี้เกษตรกรหยุดใช้ปุ๋ยเคมี หันมาใช้ปูแดง ผลการตลาดมันกระทบกระเทือนจริง ปูแดงเติบโตแบบรวดเร็วมาก วันนี้ถ้าท่านออกไปข้างนอก เชื่อว่า ผู้แทนราษฎรอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดเยอะ ท่านไปถามชาวสวนเลยว่า เขาหยุดใช้ปุ๋ยลดจำนวนลงมากกว่า 50 % แล้วหันมาใช้ไคโตชานผสม นี่คือ เหตุหนึ่งที่เราเจอพิษภัยในครั้งนี้

ฉะนั้นอยากฝากกรรมาธิการฯ สคบ. และดีเอสไอ ได้โปรดเมตตาให้ความเป็นธรรมกับปูแดง ข้อมูลทุกชนิดเราพร้อมเปิดเผยให้ท่านรับทราบ หากสิ่งไหนที่เราผิดพลาด เราพร้อมแก้ไข และจะทำให้ดีที่สุด ขอให้ท่านช่วยกันเพื่อเกษตรกร เพื่อประเทศชาติ และประชาชนจะได้มีรายได้ เกษตรกรเราจะได้มีผลผลิตที่ดีขึ้น เราช่วยกันผลัดดันส่งออก สินค้าที่มาจากไคโตชาน ที่มันมีคุณภาพดีออกไปตลาดต่างประเทศ’

ฉายวีซีดีลบภาพระดมพล จัดประชุมทุกครั้งล้นทุกที่
นอกจากนี้ บริษัทปูแดง ยังได้นำวิซีดีมาฉายให้คณะกรรมาธิการฯได้รับชมด้วย เพื่อให้เห็นภาพการชักชวนคน และการเข้าร่วมประชุมของสมาชิกปูแดง ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวันเสาร์ และจัดกันทุกเดือนทั่วภูมิภาคของประเทศ โดยมีนายธนาพัทธ์ กิจใบ รองประธานกรรมการ เป็นผู้บรรยายว่า การจัดประชุมสมาชิกปูแดงแต่ละครั้งแต่ละแห่ง มีสมาชิกเข้าร่วมกันเป็นจำนวนมาก จนแทบจะไม่มีที่จะยืน และแทบจะไม่มีสถานที่จัดประชุม ซึ่งเหตุการณ์อย่างนี้ เกิดขึ้นเหมือนกันทุกภาค

‘การจัดประชุมทุกครั้ง เราไม่ได้เกณฑ์คนเข้ามา แต่คนที่มาส่วนมาก เป็นพี่น้องประชาชน เกษตรกร โดยตรง เขาเข้ามาเพื่อมารับฟังข้อมูลด้วยเขาเอง แล้วก็ซื้อสินค้าไปใช้ ทั้งๆที่บางคนไม่รู้เรื่องการทำธุรกิจขายตรง แต่เมื่อนำไปใช้แล้วดี ก็มีการบอกต่อ หลายคนอยากรู้เรื่องการทำธุรกิจ หลายคนอยากใช้สินค้า แต่ละคนก็ต้องเดินมาหาความจริง ชักชวนกันมาฟัง จนแน่นห้องประชุม จนไม่มีที่จะยืน บริษัทมีความลำบากใจ เพราะไม่รู้ว่า จะหาห้องประชุมที่ไหนบรรจุคนเข้าร่วมรับฟัง โดยเฉพาะต่างจังหวัดแล้ว แทบจะไม่มีสถานที่รองรับ

ขนาดพื้นที่บริษัท ณ สำนักงานใหญ่ ก็ยังต้องปรับปรุงสถานที่ใหม่ เพื่อจัดการรองรับสมาชิก ไม่มีบริษัทขายตรงใด ที่จะมีโต๊ะและเก้าอี้กว่า 200 ชุด ตั้งไว้รองรับสมาชิก ทุกวันเสาร์คนจะเข้ามาประชุมจำนวนมาก และการเข้ามาประชุม ไม่ได้เกิดมาจากการระดมพล ซึ่งทุกฝ่ายทุกองค์กร สามารถสอบถามและตรวจสอบได้
ทุกครั้งที่จัดประชุม มีการอบรมฟรีความรู้ สร้างประสบการณ์ ตามหลักสูตรของบริษัท พร้อมทั้งพัฒนาบุคลากรไปในตัว อันส่งผลต่อบุคลากรของชาติ เด็กๆเยาวชนเคยอยู่กับบ้าน เรียนหนังสือ แต่ตอนนี้เขาได้ออกมาหาโลกทัศน์ใหม่เป็นการส่วนตัว และมีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวต่างประเทศฟรี ท่านประธานให้ไปฟรี ทั้งครอบครัว และไปทุกครั้ง ท่านประธานก็แจกอังเปา ไม่ต้องไปรบกวนพ่อแม่ พอใช้ไม่หมด ก็หยอดออมสิน พอหยอดไป ๆ มากๆ ก็มีหลายหมื่น เด็กมีเงินฝาก” นายธนาพัทธ์กล่าว พร้อมทั้งยกตัวอย่างเกษตรกรที่ทำธุรกิจปูแดงแล้ว สามารถปลดหนี้ปลดสินได้มาประกอบการบรรยายด้วย

เปิดให้ตรวจสอบทุกอย่าง ลูกผู้ชายผิดก็ว่าไปตามผิด
ด้านนายสมปอง แซ่ตั้ง ประธานกรรมการ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด กล่าวว่า ใครจะตรวจอะไร เชิญตามสบาย ตรวจสอบได้ทุกอย่าง หากปูแดงผิด ก็ว่าไปตามความผิด แต่หากไม่ผิด ก็ให้มีความเมตตา นี่ไม่ใช่การอ้อนวอน หรือขอร้อง แต่นี่คือ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงๆ เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนที่ร่วมทำงานกับบริษัท เป็นความเสียหายมากมายมหาศาล บางอย่างบริษัทยอมรับว่า เกิดความผิดพลาด ก็พร้อมที่จะแก้ไขข้อผิดพลาด หากได้รับโอกาส ด้วยเพราะปูแดงไม่เคยแม้แต่จะคิดเป็นแชร์ลูกโซ่

“วันนี้ ผมไม่นึกว่า เหตุการณ์มันจะเลวร้ายถึงขนาดนี้ ทั้งๆที่เรามีความตั้งใจที่จะทำธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เรากลับประสบปัญหา ทำให้คนที่ทำงานประจำกับเราต้องมาตกงาน จนเขาไม่มีงานทำ ที่ผ่านมา เขาทุ่มเททำงานให้กับบริษัทมาโดยตลอด ทุกคนต่างบอกว่า เราไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ เราช่วยคนให้มีรายได้ มีงานทำ มีคนใช้สินค้าเราเป็นจำนวนมาก ไม่มีใครนึกว่า เราจะโดนข้อหาอย่างนี้ ทั้งๆที่เรามีการลงทุนสร้างสำนักงานใหญ่ ลงทุนสร้างโรงงาน โดยบริษัทไม่มีหนี้สิน หากเราเป็นแชร์ลูกโซ่ แล้วเราจะลงทุนทำไม ได้เงินแล้วหอบหนี แต่เราไม่หนี เพราะเราไม่ใช่แชร์ลูกโซ่’

บทสรุปสุดท้าย!รอศาลสั่ง ผิดติดคุก-ไม่ผิดไม่มีวันล้ม
นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ประธานคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า การที่คณะกรรมาธิการฯ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสคบ.และดีเอสไอ ได้ร่วมเดินทางกันมาตรวจสอบโรงงานผลิตสารปรับปรุงดินปูแดง ไคโตซาน กันเป็นจำนวนมากนั้น ก็เพราะว่า คดี‘ปูแดง ไคโตซาน’กำลังอยู่ในความสนใจของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้มีการนำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมาธิการคุมครองผู้บริโภคมาแล้วครั้งหนึ่ง และหลังจากตรวจสอบโรงงานแล้ว ก็ไม่พบความผิดปกติ จึงอยากจะฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ถูกดำเนินคดี ทางสคบ. หรือทางดีเอสไอก็ดี จะต้องทำคดีนี้ให้เกิดความโปร่งมากที่สุด

‘แม้ว่า ปูแดง ไคโตซาน จะตกอยู่ในภาวะวิกฤติ แต่ขอให้คิดว่า วิกฤติย่อมเป็นโอกาสเสมอ หากสามารถพิสูจน์ได้ว่า ปูแดงไม่ผิด ก็อาจจะทำให้ปูแดงมีชื่อเสียงมากกว่านี้ ด้วยเพราะบางคนยังไม่เคยรู้จักปูแดงด้วยซ้ำว่า ปูแดงนั้นเป็นใคร แต่มาถึงวันนี้ เชื่อว่า หากมีการเร่งรีบทำคดี และผลสรุปออกมาเมื่อใด หากปูแดงไม่ผิด ก็เชื่อว่า พี่น้องเกษตรกรที่เป็นกำลังใจให้ปูแดง อาจจะมีเพิ่มจำนวนมากกว่านี้ แต่ปัญหามันมีอยู่ที่ว่า ปูแดงเป็นแชร์ลูกโซ่หรือไม่เท่านั้นเอง ก็อยากฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ เพื่อจะได้รู้เสียทีว่า ปูแดงผิดหรือไม่ผิด ถ้าผิดติดคุก ถ้าไม่ผิด ปูแดงจะไม่มีวันล้มอย่างแน่นอน’นายอภิชาติกล่าวทิ้งท้าย

http://www.taladvikrao.com/267/leadnews26701.html

สุดยอดนวัตกรรม ไหมละลายเคลือบไตรโคซานต้านแบคทีเรีย

การติดเชื้อของแผลผ่าตัด ถือได้ว่าการติดเชื้อจากแบคทีเรียของแผลผ่าตัดเป็นภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดที่พบบ่อยมากอย่างหนึ่ง ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อที่ได้รับเชื้อ จากโรงพยาบาลมีมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ โรคมะเร็งเต้านม และผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์รวมกัน

สำหรับปัจจัยเสี่ยงในการติดเชื้อของผู้ป่วยระหว่างการผ่าตัดนั้น เกิดได้จาก 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยที่เกิดจากตัวผู้ป่วยเอง เช่น อายุ โรคประจำตัว ระดับภูมิคุ้มกัน ภาวะโภชนา การ การสูบบุหรี่ เป็นต้น เทคนิคและวิธีการปฏิบัติตัวในห้องผ่าตัดของบุคลากรทางการแพทย์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์

ทั้งนี้ ไม่ว่าภาวะการติดเชื้อจะมาจากปัจจัยใด ต้นเหตุหลักที่ทำให้เกิดการติดเชื้อคือ แบคทีเรีย ดังนั้นการป้องกันการเกิดและสะสมของเชื้อแบคทีเรียจึงเป็นวิธีการยับยั้งการติดเชื้อที่ต้นเหตุอย่างหนึ่ง ซึ่งย่อมดีกว่าการรักษาอาการติดเชื้อในภายหลัง ปัจจุบันได้มีการพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต้องสัมผัสกับแผลโดยตรง เช่น ไหมละลายเคลือบด้วยไตรโคซานที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียเพื่อช่วยลดภาวะความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าทางโรงพยาบาลจะเห็นความสำคัญของนวัตกรรมเหล่านี้ และเลือกนำมาใช้ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยอย่างไร

อาจารย์นายแพทย์ วิทูร ชินสว่างวัฒนกุล รองหัวหน้าภาควิชาฝ่ายวิจัยและวิชาการ ร.พ.ศิริราช กล่าวว่า นวัตกรรมไหมละลายต้าน แบคทีเรียที่เคลือบด้วยไตรโคซาน ซึ่งเป็นสาร ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ใช้เป็นส่วนผสมในน้ำยาบ้วน ปากกันมาเป็นเวลานานนั้นเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถ ช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อตรงบริเวณแผลผ่าตัดได้เป็นอย่างดี

ไตรโคซานเป็นสารที่ได้รับการยอมรับทางการแพทย์ว่า มีความบริสุทธิ์สูง มีความปลอดภัย ไม่มีพิษต่อร่างกาย มีประสิทธิภาพต่อเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุของการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด ความปลอดภัยอาจจะเห็นได้จากความนิยมในการใช้ไตรโคซานเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันหลายอย่าง เช่น ยาสีฟัน ครีมล้างหน้า ครีมอาบน้ำ น้ำยาบ้วนปาก เป็นต้น

จากการศึกษาในประเทศไทยถึงผลกระทบที่ตามมาจากการติดเชื้อของแผลผ่าตัด พบผลกระทบทางตรง ได้แก่ ระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลนานขึ้น และทำให้ ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น ที่ผ่านมาพบว่าการติดเชื้อที่เกิดจากแผลผ่าตัดทำให้ประเทศต้องเสียงบประมาณไปกว่า 1,600-2,400 ล้านบาทต่อปีในการรักษาพยาบาลผู้ป่วย

ดังนั้น ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล รวมถึงการติดเชื้อที่แผลผ่าตัด ควรหันมาให้ความสำคัญกับการลดความเสี่ยงการ ติดเชื้อจากโรงพยาบาล ด้วยการเพิ่มมาตรการให้เข้มงวดยิ่งขึ้น และไม่ละเลยการนำ นวัตกรรมที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวมาใช้กับผู้ป่วยอย่างเหมาะสม

สิ่งเร้า กระตุ้นการขาย ให้ตรงเป้าหมาย

เป้าหมายของการดำเนินธุรกิจคือ กำไร ซึ่งมาจากรายได้ โดยกิจกรรมที่ทำให้องค์กรต่างๆ เกิดรายได้ขึ้นมาก็คือ การขาย นั่นแสดงให้เห็นว่า หากองค์กรต้องการรายได้ ก็ต้องมีกิจกรรมการขายเกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอะไรก็ตาม ทุกองค์กรต้อง เกี่ยวข้องกับงานขาย และงานขายก็เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้องค์กรต่างๆ เกิดรายได้และกำไร ส่งผลให้นักขายตรงมีบทบาทสำคัญต่อยอดขายของธุรกิจและเป็นส่วนหนึ่งซึ่งมีความสำคัญต่อที่มาของรายได้ในองค์กร

นักขายตรงต้องใช้ทั้งกลยุทธ์และทักษะเฉพาะตัวต่างๆ เพื่อการนำเสนอขายให้สามารถปิดการขายให้ได้ หรือต้องทำทุกวิถีทางอย่างถูกต้อง เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ โดยสิ่งที่มีบทบาทในการเพิ่มศักยภาพสำหรับงานขาย ที่สามารถทำให้นักขายตรงขายสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้น ประกอบด้วย

1.ผลิตภัณฑ์ (Product) หรือ อะไรก็ตามที่บริษัทนำเสนอขายให้แก่กลุ่มเป้าหมายซึ่งอาจจะเป็นสินค้าที่มีตัวตนหรือเป็นบริการที่ไม่สามารถจับต้องได้ ซึ่งธุรกิจขายตรงส่วนใหญ่จะเน้น ถึงการนำเสนอคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วดีและบอกต่อ ทำให้หลายๆ บริษัทเน้นการพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์จนบางครั้งเกินความต้องการของลูกค้า และสินค้าเหล่านั้นเกิดการล้นตลาด ซึ่งสุดท้ายแล้วสินค้าแต่ละตัวก็ไม่แตกต่างกัน หากลูกค้าไม่พอใจยี่ห้อเดิม หรือมียี่ห้อใหม่พัฒนาอะไรใหม่ๆ เพิ่มขึ้น หากลูกค้าเห็นคุณค่าของมันก็พร้อมที่จะเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ดังนั้น นักขายตรงควรเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น หากกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนนักศึกษาก็ควรเลือกนำเสนอกลุ่มสินค้าที่ทันสมัยให้เข้ากับรูปแบบการดำเนินชีวิตประจำวัน (Lifestyle) สำหรับบริษัทที่มีสินค้าหลากหลายย่อมได้เปรียบ แต่ต้องเป็นสินค้าที่สามารถจัดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างสอดคล้องกัน ไม่ใช่มีผลิตภัณฑ์ไม่กี่ตัวแต่สามารถใช้ได้ครอบจักรวาล นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ต้องสามารถแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ มีความ โดดเด่นแตกต่าง และโดนใจกลุ่มเป้าหมาย อย่างชัดเจน

2.บริการ (Service) เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า โดยเป็นกิจกรรมสนับสนุนให้สินค้าสามารถขายได้ง่ายขึ้น ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นในจุดสัมผัสกับลูกค้าทุกๆ จุด จะต้องให้ความสำคัญกับการบริการที่ต้องเน้นความ ถูกต้อง รวดเร็ว สามารถอำนวยความสะดวกสบายให้ลูกค้าสัมผัสได้ในทุกๆ มิติ บางครั้งสินค้าไม่มีความแตกต่างจากบริษัทอื่นๆ แต่ก็สามารถพิชิตใจลูกค้าได้ด้วยการบริการที่เป็นเลิศ สามารถตอบสนองต่อความปรารถนาของลูกค้าได้อย่าง โดนใจ ก่อให้เกิดความประทับใจและตัด สินใจซื้อสินค้า มีความเต็มใจซื้อ ซื้อแล้วซื้ออีก จนนำไปสู่การบอกต่อบุคคลอื่นๆ ให้มาซื้อด้วย โดยองค์กรสามารถนำเครื่อง มืออุปกรณ์ที่ทันสมัยมาช่วยสนับสนุนการให้บริการ หรือการพัฒนาบุคลากรให้มีจิตวิญญาณแห่งการบริการ (Service Mind) หรือเปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วม ในการพัฒนาบริการด้วยการใส่ใจในความรู้สึก สามารถเข้าถึงทุกอารมณ์ของลูกค้า

3.คุณค่าแห่งราคา (Value of price) ราคาคือมูลค่าของสินค้าที่กำหนดเป็นตัวเงินเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน บางครั้งราคาเป็นตัวบ่งบอกถึงคุณภาพของสินค้าและกลุ่มเป้าหมาย ผู้บริโภคจะมีความเชื่อที่ว่าสินค้าคุณภาพดีต้องมีราคาสูง การกำหนดราคาต้องสอด คล้องกับจำนวนเงินในกระเป๋าของลูกค้า ราคาที่ดีต้องสามารถจูงใจให้ลูกค้าเห็นถึงความคุ้มค่าของเงินที่จะจ่ายและพร้อมที่จะจ่ายเพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่จะได้รับจากสินค้านั้นๆ นักขายตรงต้องเลือกสินค้าที่มีความเหมาะสมกับศักยภาพในการจ่ายของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม แล้วนำเสนอให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ถึงคุณค่าและคุณประโยชน์ที่จะได้รับ

4.การสื่อสารทางการตลาด (Communication) เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมสนับสนุนให้ขายสินค้าได้ง่ายขึ้น ทำให้ลูก ค้ารับรู้และรู้จักสินค้าเพิ่มขึ้น หรือทำให้ลูกค้าซื้อเพิ่มมากขึ้น การสื่อสารทางการตลาดเป็นกิจกรรมที่องค์กรสรรสร้างขึ้นมา ประกอบด้วยกิจกรรมหลายๆ อย่าง อาทิ การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การ ลด แลกแจก แถม การจัดกิจกรรมพิเศษ ฯลฯ จุดสำคัญของการสื่อสารคือ ต้องชัดเจน น่าสนใจ ตรงไปตรงมา สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง และต้องมีวัตถุ ประสงค์ในการสื่อสารที่ชัดเจน เหมาะสมและมีความเป็นไปได้ สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม

5.การส่งมอบความสะดวกสบาย (Convenience) การสร้างช่องทางการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ให้สามารถเข้าถึงสินค้าของบริษัทได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในวงการขายตรง ได้แก่ การใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ให้ลูกค้า หรือสมาชิกได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ตลอดจนการสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ นอกจากนี้ก็มีการขยายศูนย์กระจายสินค้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักขายตรงและสมาชิก หรือลูกค้า ซึ่งยังสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ลูกค้ารับรู้ถึงความเจริญเติบโตและมีความเชื่อมั่นในความมั่นคงของบริษัท

สิ่งเร้ากระตุ้นการขายทั้งหมดเหล่านี้ก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานของนักขายตรงให้ก้าวต่อไปเพื่อเป้าหมายแห่งความสำเร็จที่รออยู่

มาตรการ Recall จากบทเรียนของวิกฤตโตโยต้า

มาตรการ Recall เกิดขึ้นเพื่อต่อสู้กับความคาดหวังของลูกค้า ยิ่งในสินค้าที่มีความน่าเชื่อถือ และได้รับการยอมรับสูงเท่าใด ความคาดหวังต่อความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติย่อมต้องสูงตามไปด้วย ดังนั้นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องทำคือการสร้างระบบที่ลดทอนการ RECALL ดังนี้

R - Reliability สร้างความเชื่อมั่นต่อการใช้งานของสินค้านั้นๆ ว่าจะมีความคงทนถาวรตลอดอายุที่ให้คำมั่นสัญญาไว้

E - Exchange มีมาตรการดูแลเอาใจใส่ เปลี่ยนแปลงแก้ไข ด้วยชิ้นส่วนใหม่ทดแทนตัวเดิมที่บกพร่อง

C - Creditability รักษาชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือไม่ให้สั่นคลอน และลดทอนลง ด้วยการจำกัดขนาดและขอบเขตความเสียหายที่เกิดขึ้น

A - Accountability การแสดงออกซึ่งสำนึกรับผิดชอบ แม้ว่าลูกค้าไม่ได้ร้องขอ หรือลูกค้าไม่รู้มาก่อน

L - Loss ชะลอแผนการจำหน่ายเพื่อลดผลกระทบต่อยอดขายสินค้ารุ่นที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงสินค้าใหม่ที่กำลังออกวางตลาด

L - Lesson รวบรวมบทเรียนเพื่อนำกลับมาศึกษา และกำหนดแนวทางการบริหารจัดการภายในให้ดีและรัดกุมยิ่งขึ้น

สำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆ คงใช้บทเรียนของธุรกิจยานยนต์ กลับมาพัฒนาคนและองค์กรให้มีคุณภาพสูง เน้นการป้องกันมากกว่าแก้ไข ถึงแม้ว่าอาจจะมีความผิดพลาดที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นในอนาคต เชื่อว่าสามารถจะจัดการได้โดยเร็ว และจำกัดวงความเสียหายได้ทันที

ปัญหา 'หนู' ทำลายผลผลิต ที่นี่มีทางออก...

'หนู' เป็นศัตรูสำคัญในแหล่งเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลายชนิด รวมถึงโรงเก็บผลผลิตทางการเกษตรทั้งยังเป็นศัตรูของฟาร์มปศุสัตว์และชุมชน ต่าง ๆ ซึ่งแต่ละปีได้สร้างความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกัดทำลายและการปนเปื้อนของ เสียของหนู คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท นอกจากนั้นยังเป็นพาหะนำโรคติดต่อสู่คนและสัตว์เลี้ยงด้วย อาทิ กาฬโรค โรคฉี่หนู และโรคสครับไทฟัส เป็นต้น ที่ผ่านมากรมวิชาการเกษตรได้แนะนำวิธีกำจัดหนูในสวนปาล์มน้ำมันโดยใช้นกแสก ซึ่งได้ผลค่อนข้างดี

และมีอีกหนึ่งวิธีที่เป็นทางเลือกใหม่สำหรับใช้ปราบหนูในพื้นที่การเกษตรและ บ้านเรือนทั่วไป คือ การ ใช้ปรสิตโปรโตซัว Sarcocystis singaporensis ซึ่งเป็นชีววิธี ที่ได้มีการวิจัยแล้วพบว่า มีศักยภาพสูงในการกำจัดหนูและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นางยุวลักษณ์ ขอประเสริฐ นักสัตววิทยาชำนาญการพิเศษ สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า กรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการศึกษาวิจัยต่อยอดการใช้โปรโตซัว S. singaporensis เพื่อใช้เป็นสารชีวินทรีย์กำจัดหนูโดยผลิตสปอร์โรซีสต์ของโปรโตซัวชนิดนี้ ให้ได้จำนวนมาก ด้วยการเลี้ยงงูเหลือมภายในโรงเรือนและหนูติดเชื้อไปเป็นอาหารงูเหลือม ซึ่งพบว่างูเหลือมขนาดลำตัวยาวประมาณ 2.5 เมตร สามารถผลิตสปอร์โรซีสต์ได้ไม่ต่ำกว่า 1,400 ล้านสปอร์โรซีสต์ สามารถใช้กำจัดหนูได้ไม่น้อยกว่า 5,000 ตัว หรือใช้ปราบหนูในนาข้าวได้ประมาณ 300 ไร่

ภายหลังหนูได้รับเชื้อโปรโตซัวระยะสปอร์โรซีสต์แล้ว 10-15 วัน จะแสดงอาการป่วยและตายในที่สุดด้วยสาเหตุอาการน้ำท่วมปอดซึ่งทำให้ระบบการ หายใจล้มเหลว หรืออาจทำให้ไตวายได้ ปัจจุบันกรมวิชาการ เกษตรได้นำมูลงูเหลือมที่มีเชื้อโปรโตซัว S.singaporensis มาล้างทำความสะอาดโดยการกรองแล้วปั่นตกตะกอนจาก นั้นเก็บเชื้อไว้ในสารแขวนลอยที่อุณหภูมิ ไม่ต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส ซึ่งเจ้าหน้าที่ จะนำเชื้อโปรโตซัวมาผลิตเป็นเหยื่อสำเร็จ รูปป้อนให้กับเกษตรกรตามความต้องการ โดยเป็นเหยื่อแบบแป้งนุ่ม มีน้ำหนักก้อน ละ 1 กรัม และมีเชื้อโปรโตซัวบรรจุอยู่ตรง กลางจำนวน 200,000 สปอร์โรซีสต์ต่อก้อนแล้วห่อด้วยกระดาษแก้วขุ่นเพื่อช่วยรักษา คุณภาพเหยื่อ

สำหรับประสิทธิภาพเหยื่อโปรโตซัวสำเร็จรูปนี้ สามารถนำไปใช้ปราบหนูในพื้นที่การเกษตรได้ อาทิ นาข้าว ไร่ข้าวโพด ไร่ถั่วเหลือง ถั่วเขียว สวนปาล์มน้ำมัน ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เช่น ฟาร์มหมู ฟาร์มไก่ อาคารบ้านเรือน และสถานที่อื่น ๆ ที่มีปัญหาเรื่องหนู เช่น ตลาดสด เป็นต้น