วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตของคุณจะเปลี่ยน .. นับจากวินาทีที่คุณตัดสินใจ!

ชีวิตของคุณจะเปลี่ยน .. นับจากวินาทีที่คุณตัดสินใจ!

ทำไมดิฉันจึงกล่าวเช่นนี้? .. ดิฉันอยากให้คุณลองนึกถึงภาพเรือเดินสมุทรลำใหญ่มากๆสักลำหนึ่ง ปกติแล้วเรือก็จะแล่นไปในทิศทางที่กัปตันกำหนดไว้ใช่ไหมคะ? ถ้ากัปตันตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางการเดินเรือใหม่ สมมติว่าต่างจากเดิมแค่ 3 องศา แน่นอนว่าในระยะแรกๆ เราจะยังไม่เห็นความแตกต่างอะไรที่ชัดเจน แต่ถ้าเวลาผ่านไป 1เดือน..1ปี..หรือ10ปี คุณคิดว่าทิศทางของเรือจะต่างจากเดิมมากไหมคะ? มากใช่ไหมคะ? .. ดังนั้น ชีวิตของคุณก็จะเปลี่ยน .. นับจากวินาทีที่คุณตัดสินใจเช่นกัน!

ในอดีตที่ผ่านมา .. คุณเคยตัดสินใจทำอะไรที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญบ้างไหมคะ? เช่น ตัดสินใจเปลี่ยนงาน ตัดสินใจแต่งงาน ตัดสินใจมีลูก ตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงนิสัยบางอย่างของตัวเอง ฯลฯ ก่อนที่คุณจะทำการตัดสินใจ คุณคงจะดูว่าชีวิตปัจจุบันของคุณเป็นอย่างไร? มันมีอะไรบางอย่างที่คุณอยากได้ในอนาคต ซึ่งคุณยอมที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ได้สิ่งที่คุณต้องการใช่ไหมคะ?

ก่อนอื่น เราลองมาดูซิว่า .. คุณต้องการอะไรในชีวิต?..อะไรคือความฝันของคุณ? มันสำคัญกับคุณจริงหรือเปล่า? คุณอยากได้มันอย่างแรงกล้าหรือไม่? ทำไมคุณจึงอยากได้มันนัก? คุณต้องการทำเพื่อใครและเพื่ออะไร? ขอให้คุณเขียนทุกคำตอบลงไปในกระดาษเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!

แล้วตอนนี้คุณได้ทุกอย่างที่คุณปรารถนาหรือยังคะ? มีอะไรที่คุณอยากทำ แล้วยังทำไม่ได้?..มีอะไรที่คุณอยากมี แล้วยังมีไม่ได้?.. มีอะไรที่คุณอยากเป็น แล้วยังเป็นไม่ได้?..ทำไมล่ะค่ะ?

ลองสำรวจดูซิคะว่า ทำไมคุณจึงทำไม่สำเร็จ? อะไรปิดกั้นหรือฉุดรั้งคุณอยู่? คุณกลัวอะไรคะ? .. เอ้า! .. เขียนคำตอบลงไปอีกค่ะ! .. ถ้าคุณไม่คิดหรือไม่สำรวจอย่างจริงจังคุณก็จะไม่รู้หรอกค่ะว่าอะไรที่มันหยุดคุณอยู่! . . ได้คำตอบหรือยังคะ? ..

อย่าเพิ่งอ่านต่อ .. เขียนก่อนค่ะ! .. ตอบทุกคำถามเลยนะคะ! .. Yes! เยี่ยมมากเลยค่ะ!

อย่าลืมนะคะว่าดิฉันเป็นโค้ชที่จะทำให้คุณได้ผลลัพธ์ในสิ่งที่คุณปรารถนา ดิฉันขอให้คุณทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากเดิมดูบ้าง .. ถ้าคุณยังคงทำทุกอย่างเหมือนเดิม คุณก็จะได้ทุกอย่างเหมือนเดิมจริงไหมคะ?

ดิฉันจะแบ่งปัน จุ ด ที่ พ ลิ ก ชี วิ ต ข อ ง ดิ ฉั น จ า ก “ซุ ป เ ป อ ร์ ซิ้ ม” เป็น “ซุ ป เ ป อ ร์ วู แ ม น” หน่อยนะคะ ..

อย่างที่ได้เล่าให้ฟังแล้วตั้งแต่บทความแรกที่ดิฉันเริ่มเขียนลงคอลัมน์นี้ว่า อดีตดิฉันเคยทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชี ที่วันๆอยู่กับตัวเลข พูดน้อย โลกแคบ เฉิ่มเชยสุดๆ เรียกได้ว่าเป็น “ซุปเปอร์ซิ้ม” แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งในชีวิตที่ดิฉันได้ลองทำธุรกิจ MLM ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ดิฉันทำงานอย่างอื่นเพิ่มเติมนอกเหนือจากงานประจำ ดิฉันได้อยู่ในกลุ่มคนที่มีไฟแรงและบางคนก็ประสบความสำเร็จด้วยความรวดเร็ว ดิฉันก็อยากสำเร็จบ้าง เพราะฉะนั้น ถ้ามีอะไรที่เป็นความรู้ ดิฉันจะเรียนหมดทุกอย่าง แต่ก็แปลกใจอยู่ว่า ทำไมยังไม่สำเร็จอย่างที่ใจเราคิดสักที!?! ..

ดิฉันเห็นบางคนเป็นแม่ค้าขายไส้กรอก ทำไมมียอดขายเยอะแยะ? .. บางคนทำงานร้านทำผม ดูศักยภาพน้อยกว่าดิฉันอีก แต่ทำไมมีทีมงานใหญ่โต? .. ดิฉันก็บอกตัวเองว่า “ก็เธอทำงานประจำนี่นา เธอมีเวลานิดเดียวเองในการทำธุรกิจเครือข่าย .. อ้าว .. เธออยู่ในโลกแคบมาก่อน เธอรู้จักคนน้อย .. เธอทำได้ขนาดนี้ก็ดีแล้วล่ะ” แต่พอดิฉันได้เรียนรู้ว่า .. การที่คนเราจะประสบความสำเร็จนั้น เราต้องยกระดับมาตรฐานตัวเองให้สูงขึ้นตลอดเวลา เราจะต้องเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองก่อน โดยการสำรวจความเป็นจริงว่า ตัวเราเองเป็นคนอย่างไรกันแน่? ทำไมเราถึงยังทำในสิ่งที่เราอยากทำไม่ได้? ถ้าคำตอบมันจะน่าเกลียดก็ต้องยอมรับ เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ!

คุณรู้ไหมคะ..พอดิฉันสำรวจตัวเองจริงๆจังๆแล้วดิฉันก็ได้พบความจริงที่น่าสะเทือนใจว่า .. ดิฉันเป็นคนที่อ่อนแอ เหลาะแหละ เหยาะแหยะ จับจด ไม่มุ่งมั่น ไม่เคยทำอะไรจริงจังในชีวิตสักทีหนึ่ง กลัวเสียงปฏิเสธ กลัวความผิดหวัง กลัวความล้มเหลว .. พอดิฉันเห็นตัวเองแบบนี้ ดิฉันเสียใจมากๆ ร้องไห้เป็นชั่วโมงเลย .. มิน่าล่ะ ชีวิตของฉันมันถึงไม่ไปไหนสักทีหนึ่ง .. ดิฉันตัดสินใจอย่างจริงจัง เด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นในวินาทีนั้นเลยว่า .. “นับจากนี้ไป ฉันจะเป็นคนที่เก่งสุดยอด! ฉันจะเป็นคนที่ อยากทำอะไร ต้องทำให้ได้! ไม่ว่าฉันต้องใช้ความพยายามหนักขนาดไหน ฉันต้องเปลี่ยนตัวเองให้ได้!”.. ชีวิตของดิฉันเปลี่ยนโฉมไปเลยตั้งแต่วินาทีที่ดิฉันตัดสินใจนั่นเอง!!!

แล้วคุณล่ะคะ .. เหตุผลที่คุณเขียนมามันใช่หรือเปล่า จริงๆแล้วคุณติดขัดกับสิ่งภายนอกตัว หรือคุณติดขัดอยู่กับตัวเองกันแน่!?! ถ้าคุณยังคงเป็นแบบเดิม คุณคิดว่าชีวิตของคุณในอนาคตจะเป็นอย่างไรคะ? ผู้คนรอบข้างในชีวิตของคุณจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง? คุณยอมที่จะเป็นแบบนี้ต่อไปหรือคะ? ขอให้คุณตัดสินใจเดี๋ยวนี้เลยว่า คุณจะเปลี่ยนแปลงอะไรเกี่ยวกับตัวคุณและชีวิตของคุณ? คุณจะเป็นคนใหม่แบบไหน? .. ลงมือเขียนเลยค่ะ!

เยี่ยมมาก!!! .. ให้คุณอ่านสิ่งที่คุณเขียนออกมาดังๆ อย่างหนักแน่น เข้มแข็ง และจริงจัง! ต่อจากนั้นให้พูดดังๆหรือตะโกนเลยก็ได้ว่า .. “ ฉันมีพลัง ฉันเชื่อมั่น ฉันทำได้! .. ฉันมีพลัง ฉันเชื่อมั่น ฉันทำได้! .. ฉันมีพลัง ฉันเชื่อมั่น ฉันทำได้! .. Yes I Can! .. Yes I Can! .. Yes I Can!” .. ว้าว! สุดยอดเลยค่ะ!

ขอให้คุณรู้ว่า คุณมียักษ์ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งรอรับใช้คุณอยู่ เพียงแต่คุณต้องปลุกมันขึ้นมาก่อนเท่านั้น และตอนนี้คุณก็ได้ปลุกยักษ์ที่ยิ่งใหญ่ในตัวคุณขึ้นมาแล้ว .. ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ!

ถ้าคุณยังไม่สามารถ“ปลุกยักษ์”ได้ด้วยตัวเอง ดิฉันก็ขอให้คุณตัดสินใจที่จะไป”ปลุกยักษ์” กับดิฉันในเดือนมีนาคมนี้นะคะ .. แล้วคุณจะได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณเอง!!!

การตัดสินใจ เป็นต้นกำเนิดของการกระทำ!

อนาคตที่เต็มไปด้วยอดีต !?!

อนาคตที่เต็มไปด้วยอดีต !?!

ดิฉันมีคำถามที่อยากให้คุณพิจารณาว่า การที่คุณเป็นคนในแบบที่คุณเป็นตอนนี้ หรือสิ่งที่ส่งผลกระทบมาสู่ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของคุณในปัจจุบันนั้น มันมีผลมาจากอดีต หรือว่าอนาคต? คุณคิดว่าอย่างไรคะ?

คนส่วนใหญ่มักจะตอบว่า.. “มาจากอดีต!” เช่น การศึกษา การเลี้ยงดู ครอบครัว สังคม สภาพแวดล้อมฯลฯ คุณเห็นด้วยหรือเปล่าคะ? แล้วถ้าดิฉันจะขอให้ลองพิจารณาดูใหม่ว่า มันเป็นไปได้ไหมคะที่คำตอบคือ “มาจากอนาคต!?! ”

ลองพิจารณาตัวอย่างนี้ดูนะคะ .. ถ้าพรุ่งนี้คุณกำลังจะไปเที่ยวชายทะเลอันแสนสวยกับคนรู้ใจ 1 อาทิตย์เต็มๆ.. ว้าว! .. ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรคะ? .. อารมณ์ดีใช่ไหมคะ? ทำงานไปอาจจะยิ้มไป ใครมาพูดจาไม่เข้าหูก็ไม่โกรธ ตั้งหน้าตั้งตารอว่าเมื่อไหร่จะถึงวันพรุ่งนี้สักที! .. แต่ถ้าวันสุดท้ายของการพักผ่อนมาถึง..ตอนนี้คุณเป็นอย่างไรคะ? .. อาจจะรู้สึกเหี่ยวเฉาลงเล็กน้อย ไม่อยากให้ถึงพรุ่งนี้เลยใช่ไหมคะ? .. ถ้าคุณรู้สึกเช่นนั้น แสดงว่า “อนาคต มีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของคุณในปัจจุบัน!?!”

ความจริงแล้วการที่บางคนตอบว่าอดีตก็ไม่ผิดหรอกคะ เพราะเราเป็นคนเอาอดีตไปรออยู่ในอนาคตเรียบร้อยแล้ว ลองดูซิคะว่า คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ไหม? ตัวอย่างเช่น คุณชวนแฟนของคุณไปเที่ยว แต่แฟนคุณไม่ไป วันหลังลองชวนใหม่เป็นครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 แฟนคุณก็ยังไม่ไปอีก คราวหน้าเวลาที่คุณอยากจะไปเที่ยว คุณก็อาจจะไม่ชวนแล้ว เพราะคิดว่า เดี๋ยวเขาก็คงปฏิเสธเหมือนเดิม ใช่ไหมคะ? (คำว่า “เหมือนเดิม” ก็แปลว่า “เหมือนอดีตที่ผ่านมา”)

บางคนไปหาลูกค้ารายที่ 1 แล้วถูกปฏิเสธมา พอไปหารายที่ 2 ก็ถูกปฏิเสธอีก ไปหารายที่ 3 ก็ถูกปฏิเสธอีก คราวนี้พอจะไปหารายที่ 4 ทำให้ไม่อยากไปแล้ว เพราะคิดว่า เดี๋ยวก็คงถูกปฏิเสธมาเหมือนเดิมอีกแน่ๆเลย .. เอาล่ะคะ พิจารณาความคิดอันนี้ดูดีๆนะคะว่า “ฉันกำลังจะไปหาลูกค้ารายที่ 4 ในอนาคต แต่ฉันคิดว่า เดี๋ยวรายที่ 4 ก็คงจะปฏิเสธเหมือน 3 รายในอดีตที่ผ่านมา” .. เราจะเอาเสียงปฏิเสธของลูกค้าในอดีตไปรออยู่ในอนาคตเรียบร้อยแล้ว

บางคนผิดหวังจากอดีต ทำให้ไม่กล้าตั้งเป้าหมายอีกต่อไป หรือ ตั้งเป้าเล็กลงเยอะ เพราะขาดความมั่นใจ .. บางคนไม่กล้าฝันด้วยซ้ำไปว่าจะรวยได้ เพราะเกิดมาพ่อแม่ก็ยากจน กว่าตัวเองจะทำงานแล้วเก็บเงินได้หลักแสนก็ยังยากเย็นแสนสาหัส แล้วจะเป็นเศรษฐีได้อย่างไร? .. บางคนเคยอกหักมาก่อน ทำให้ไม่กล้ารักใครเต็มร้อยอีก หรือปิดกั้นตัวเองไปเลย เพราะไม่อยากจะเจ็บปวดเหมือนในอดีต

เราจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าเรามีชีวิตที่ยึดติดกับ”อดีต”มากแค่ไหน!?! มันได้สร้างข้อจำกัดและส่งผลกระทบมหาศาลเพียงใดในการดำเนินชีวิตของเรา? เราไม่สามารถจะสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆได้ เพราะพื้นที่ในอนาคตของเรามันเต็มไปด้วยอดีตที่เราเอาไปใส่ไว้เองโดยที่เราไม่รู้ตัว

ลองคิดดูซิว่า ถ้าเราสามารถเอาอดีตออกจากพื้นที่ในอนาคต แล้วให้มันอยู่ในอดีตได้อย่างแท้จริง แล้วพื้นที่ในอนาคตของเราจะเป็นอย่างไรคะ? มันก็จะว่างเปล่าจากอดีตใช่ไหมคะ? แล้วถ้าอนาคตของเรามันว่างเปล่า อะไรจะเกิดขึ้นได้บ้างคะในความว่างเปล่า? อะไรก็ได้ใช่ไหมคะ? .. ขอเน้นว่า “อะไรก็ได้!” Anything and Everything!

ดิฉันจะยกตัวอย่างเรื่อง “ความมหัศจรรย์ของความว่างเปล่า” ให้ฟัง .. นึกภาพกระดานไวท์บอร์ดออกไหมคะ? ถ้ากระดานนี้ถูกเขียนจนลายเลอะเทอะไปหมดแล้ว มันก็จะมีที่ว่างน้อยมากๆเลยให้เราเติมตัวอักษรลงไป แต่ถ้าดิฉันลบกระดานนี้ให้สะอาดเลย กระดานนี้ก็จะว่างเปล่า ดิฉันสามารถที่จะเขียน “อะไรก็ได้” ลงไปบนกระดานแผ่นนี้ .. กขค ก็ได้, ABC ก็ได้, วาดรูปก็ได้ฯ

คนที่คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาบนโลกใบนี้ได้ เพราะพวกเขาไม่ยึดติดอยู่กับอดีต เขาไม่สนใจว่าอดีตจะเคยมีมาก่อนหรือไม่ เคยทำได้หรือไม่ได้ เขารู้แต่ว่าเขาอยากจะสร้างสรรค์อะไรลงไปในอนาคต .. “อนาคตที่ว่างเปล่าจากอดีตและเต็มไปด้วยความเป็นไปได้!!!”

มันน่ามหัศจรรย์ไหมคะที่ “เครื่องบิน” ซึ่งทำจากเหล็กที่หนาและหนักหลายพันตันจะลอยอยู่บนฟ้าได้! หรือ “ยานอวกาศ” สามารถลอยออกไปนอกโลกและไปร่อนลงดวงจันทร์ได้! “อินเตอร์เน็ท” สามารถติดต่อกับคนได้ทั่วโลกภายในเสี้ยววินาที! .. และยังมีสิ่งที่ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปได้อีกมากมาย!

ครั้งแรกที่คนพวกนี้บอกเพื่อนของเขาถึงสิ่งที่เขาคิดจะประดิษฐ์ขึ้นมานั้น พวกเพื่อนๆของเขาคงหัวเราะเยาะและไม่เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ เพราะในอดีตเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยมีมาก่อน เขาจึงคิดว่าสิ่งประดิษฐ์แบบนี้ เป็นไปไม่ได้!

ในงานสัมมนา“ปลุกยักษ์” ดิฉันจะให้ “คาถามหัศจรรย์” ซึ่งคุณสามารถจะใช้ทะลุทะลวงทะลายกำแพงที่ขวางกั้นหรือหยุดคุณ .. คาถามหัศจรรย์นี้คือคำว่า “มันเป็นไปได้” Anything is Possible! เวลาที่คุณเจอลูกค้าผู้มุ่งหวัง บางทีคุณอาจจะคิดว่า “เขาคงไม่สนใจที่จะซื้อสินค้าหรือมาทำธุรกิจกับเราหรอก” แล้วคุณก็จะผ่านคนนั้นไป ต่อไปนี้ให้เรียกคาถามาใช้บอกว่า “มันเป็นไปได้” แล้วให้เอ่ยปากขายหรือรีครูททันทีเลย โอเคไหมคะ? บางทีคุณอาจจะเคยไปขายหรือรีครูทไว้แล้ว แต่เขาบอกว่าขอคิดดูก่อน พอคุณกลับมา คุณก็จะไม่ติดตามแล้ว เพราะคิดว่าเขาคงไม่สนใจ ในกรณีนี้ก็ให้เรียกคาถามาใช้บอกว่า “มันเป็นไปได้” แล้วให้โทรติดตามผลทันทีเลย โอเคไหมคะ?

เรื่องของการทำเป้าซึ่งมีเส้นตายมากำหนดก็เหมือนกัน บางทีเวลาเหลือน้อยลง คุณอาจจะคิดว่า คงทำเป้าไม่ได้แล้ว ดิฉันขอให้คุณเรียกคาถา “มันเป็นไปได้” มาใช้ ให้คุณก็เดินหน้าต่อไปจนกว่าจะหมดเวลา โอเคไหมคะ? แล้วคุณจะพบความมหัศจรรย์จากคาถานี้จริงๆนะคะ!

ANYTHING IS POSSIBLE!

ระวังความคิดของคุณให้ดี!!!

ระวังความคิดของคุณให้ดี!!!

ดิฉันอยากให้คุณลองทบทวนดูว่า เวลาที่คุณคุยกับใครบางคน หรือ ได้พบเหตุการณ์อะไรบางอย่าง คุณมีความคิดเกี่ยวกับคนหรือเหตุการณ์นั้นๆอย่างไรบ้าง? คุณเคยสังเกตตัวเองไหมคะ?

ถ้าคุณโทรศัพท์ไปหาลูกค้า แล้ว ลูกค้าไม่ได้รับสาย คุณคิดว่าอย่างไรคะ? .. “ลูกค้าไม่อยากรับสายเรา” “ลูกค้าหลบหน้าเราแน่ๆเลย” “ทำไมเขาไม่รับสายเรา เขาไม่ชอบเราหรือเปล่า?” “สงสัยลูกค้าติดธุระอยู่” .. คำตอบอาจมีมากมายหลายอย่างแล้วแต่ความคิดของแต่ละคนใช่ไหมคะ?

ถ้าคุณไปขายของ แล้ว ลูกค้าเขายังไม่ซื้อ คุณคิดว่าอย่างไรคะ? .. “ทำไมเขาไม่ซื้อ(วะ)?” “ฉันนำเสนอไม่ดีหรือเปล่า?” “เขาไม่ชอบเรามั้ง?” “ฉันจะทำงานนี้ได้ไหมเนี่ย?” “ทำไมฉันขายไม่เก่งเหมือนคนอื่น?” “ดวงฉันไม่ดีเลยช่วงนี้” ฯลฯ .. โอ๊ย! มีสารพัดความคิดใช่ไหมะ?

มันเป็นการยากที่จะ “แยกแยะ” ระหว่าง 1.“สิ่งที่เกิดขึ้น” กับ 2.“สิ่งที่คุณคิดหรือตีความหรือปรุงแต่ง”!

เวลาที่เราเจอเหตุการณ์อะไรก็ตาม เราจะคิดหรือตีความแบบอัตโนมัติเลยโดยที่เราไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำไป! เพราะว่า .. “มนุษย์เป็นเครื่องจักรของการตีความ!”

เอาล่ะคะ เราลองมาแยกแยะบางตัวอย่างดูนะคะ ..
1.สิ่งที่เกิดขึ้นคือ โทรศัพท์ไปหาลูกค้า แล้วลูกค้าไม่ได้รับสาย
2. สิ่งที่เราคิด/ตีความ/ปรุงแต่ง คือ ลูกค้าไม่อยากรับสายเรา ลูกค้าหลบหน้าเราแน่ๆเลยฯ

คุณรู้ไหมคะว่า สิ่งที่ “คุณคิด/ตีความ/ปรุงแต่ง” มันจะเป็น “ความจริง” อย่างมากเลยในโลกของคุณ .. ทำไมดิฉันพูดอย่างนี้หรือคะ? ลองดูนะคะ .. ถ้าคุณเป็นคนคิดลบและคำตอบของคุณเหมือนตัวอย่างข้างต้นนี้ คุณก็จะห่อเหี่ยวหมดแรงใช่ไหมคะ? .. และถ้ามันไม่ใช่ความจริงสำหรับคุณ ทำไมคุณถึงห่อเหี่ยวล่ะคะ?!? .. คุณ “หลงเชื่อ” ความคิดของคุณว่ามันเป็นความจริง “โดยที่คุณไม่รู้ตัว” เพราะฉะนั้น “ระวังความคิดของคุณให้ดี!”

ถ้าอย่างนั้น “ลูกค้าไม่ได้รับสายแปลว่าอะไร?” .. ก็แปลว่า “ลูกค้าไม่ได้รับสายหน่ะซิคะ!”

ดิฉันได้คุยกับพี่ท่านหนึ่ง เขาทำงานขายประกันชีวิต เขาบ่นให้ดิฉันฟังว่า “ช่วงนี้ผมเครียดมาก เป็นอะไรไม่รู้ขายไม่ค่อยได้เลย ตัวเลขตก สงสัยว่า ผมคงไม่เก่ง โชคทำไมไม่เข้าข้างผมเลย มันเป็นช่วงชีวิตที่ดิ่งเหวจริงๆหรือนี่!” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังวลมาก

ดิฉันก็บอกวิธีการแยกแยะข้างต้นให้เขาฟัง ..
1.สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ขายไม่ได้ ตัวเลขตก
2. สิ่งที่คิด/ตีความ/ปรุงแต่ง คือ ไม่เก่ง โชคไม่เข้าข้าง เป็นช่วงชีวิตที่ดิ่งเหว


พอเขาได้วิธีการแยกแยะที่ชัดเจนแบบนี้ เขาก็ถึงบางอ้อเลย! เขาบอกว่า เขาหลงปรุงแต่งเรื่องราวแย่ๆแบบนี้มาตั้งนาน อยากจะหา “ไวรัส” มาเขมือบไอ้ความคิดปรุงแต่งพวกนี้จริงๆ . . ดิฉันก็บอกเขาว่า พี่อยากได้ไวรัสหรือคะ? ถ้าอย่างนั้นฟังคำตอบให้ดีๆนะคะ .. ไวรัสที่จะเขมือบความคิดปรุงแต่งพวกนี้ก็คือ “สติ”

เขาบอกว่า “เอ้อ! จริงๆด้วย ผมต้องมีสติ! ดูซิเรื่องแค่นี้ยังคิดไม่ออก ผมนี่มันไม่เอาไหนเลย!” .. โอ๊ย! ดิฉันอยากจะบ้าตาย! พูดแค่นี้พี่เขายังตีความอีกว่า เขาไม่เอาไหนเลย.. เฮ้อ! .. มนุษย์นี่เป็นเครื่องจักรของการตีความจริงจริ๊ง!!!

ต่อจากนี้ไป เราต้องเริ่มฝึกที่จะมีสติ คอยจับความคิด อารมณ์ และความรู้สึกของเราให้ทันท่วงที เวลาที่เราเศร้า หงุดหงิด กังวล โกรธฯ แสดงว่าเรากำลังปรุงแต่งตีความอะไรบางอย่างอยู่ ให้เรามี “สติ” แล้วเรียกเอา “ปัญญา” มาพิจารณา “แยกแยะ” ระหว่าง 1. สิ่งที่เกิดขึ้น กับ 2. สิ่งที่เราปรุงแต่งตีความ หลังจากนั้นให้เราอยู่กับ “สิ่งที่เกิดขึ้น” เท่านั้น .. สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งสิ้น

ถ้าคุณมีเงินเก็บ 200,000 บาท ก็คือคุณมีเงินเก็บ 200,000 บาท หรือคุณมีหนี้ 500,000 บาท ก็คือคุณมีหนี้ 500,000 บาท มันไม่ได้หมายความว่า คุณเป็นคนจน คุณไม่มีความสามารถ คุณเป็นคนไม่ประสบความสำเร็จฯลฯ

ในด้านของสายสัมพันธ์ก็ต้องระวังเรื่องการตีความเหมือนกัน เช่น พ่อกำลังตื่นเต้นลุ้นฟุตบอลนัดสำคัญอยู่หน้าจอ TV สักครู่ลูกชายเดินมาหาเพื่อชวนพ่อไปเล่นด้วย พ่อก็บอกว่า “รอพ่อดูฟุตบอลจบก่อนนะ” ลูกชายเดินคอตกออกไปจากห้องพร้อมกับความเสียใจว่า “พ่อเห็นฟุตบอลดีกว่าเรา พ่อไม่รักเราแล้ว ฯลฯ” เห็นไหมคะว่า พ่อพูดแค่นี้ แต่ลูกไปตีความว่าอะไรบ้าง

เวลาที่คุณทำงานร่วมกันเป็นทีมก็ต้องระวัง ถ้าคุณชวนทีมงานของคุณไปร่วมงานประชุมที่สำคัญมาก แต่เขาไปไม่ได้ เพราะมีนัดกับแม่ คุณก็อาจจะคิดว่า “ดูซิ งานสำคัญขนาดนี้ยังไม่ยอมไป แล้วจะประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ได้อย่างไร ไม่สนใจงานของตัวเองเลยฯ” ถ้าคุณมีความคิดแบบนี้ วันหลังเวลามีงานประชุมอีก คุณอยากจะชวนเขาไหมคะ? ภาพพจน์ของเขาในสายตาของคุณเป็นอย่างไร?

ขอให้คุณฝึกการแยกแยะและอยู่กับ “สิ่งที่เกิดขึ้น” เท่านั้น พยายามจับตัวเองให้ทันหรือมีสติเตือนตัวเองให้ได้เวลาที่ “คุณคิด/ตีความ/ปรุงแต่ง” และนี่คือ “สุดยอดเคล็ดวิชา” ที่จะทำให้คุณคลายจากความเครียด ความเศร้า และความทุกข์ทั้งหลาย

อะไรปิดกั้นความสำเร็จของคุณอยู่?

อะไรปิดกั้นความสำเร็จของคุณอยู่?

คนเราจะมีความกลัวสารพัดอย่างที่ปิดกั้นและฉุดรั้งเราไว้จากความสำเร็จ เช่น กลัวว่าเราไม่เก่งพอ กลัวว่าเราคงทำไม่ได้ กลัวเสียงปฏิเสธ กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวความล้มเหลวฯลฯ

ถ้าคุณทำงานที่จะต้องมีการสร้างทีม แน่นอนว่าคุณต้องไปเฟ้นหาคนดีมีศักยภาพแล้วพูดชักชวนโน้มน้าวให้เขาเห็นว่า ธุรกิจที่คุณไปชวนเขาทำนั้นดีอย่างไร โอกาสสุดยอดแค่ไหน แล้วคุณก็บอกกับคนที่คุณชักชวนว่า คุณเชื่อมั่นว่าเขามีศักยภาพ เขาต้องทำสำเร็จได้แน่! .. เขาฟังแล้ว เขาอาจจะตอบคุณว่า .. ไม่เป็นไร เขาทำงานเดิมของเขาก็ดีอยู่แล้ว เขาไม่เคยทำงานที่ต้องไปพูดคุยกับคนเยอะๆ เขาทำไม่ได้หรอก!

ตัวอย่างที่ยกมานี่คุ้นๆ เพราะคุณเจออยู่เป็นประจำใช่ไหมคะ? เห็นไหมคะว่า บางคนกลัวการเปลี่ยนแปลงมาก เขาไม่กล้าทำในสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย อย่างนี้เรียกว่าติดอยู่ใน Comfort Zone หรือ ความสะดวกสบาย หรือ ความเคยชินเดิมๆ เช่น งานรูปแบบเดิมๆ คนเดิมๆ เส้นทางเดิมๆ ถ้าจะต้องให้ออกไปเผชิญกับสิ่งใหม่ๆที่ไม่คุ้นเคย มันไม่อยากที่จะต้องฝืนตัวเองออกไปทำ บางทีเขาก็ปิดโอกาสตัวเองเลย

บางคนทำงานก้าวหน้ามาได้ระดับหนึ่ง ก็จะมีขอบเขตของ Comfort Zone ที่ขยายออกไปจากเดิม แต่ก็จะไปติดกับพื้นที่สบายๆแห่งใหม่อีกแล้ว ถ้าจะเลื่อนตำแหน่ง แล้วต้องทำงานมากกว่านี้ ใช้ความพยายามหนักกว่านี้ รู้สึกว่าต้องฝ่าฟันความยากลำบากมากขึ้นอีก ก็จะบอกตัวเองว่าพอแค่นี้ รอเอาไว้ก่อนแล้วกัน เห็นไหมคะว่า ความสำเร็จของเขาก็จะมีกำแพงมากั้นอีกแล้ว

ถ้าเราไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า เราก็จะย่ำอยู่กับที่! .. จริงไหมคะ?

ดิฉันเคยไป “ปลุกยักษ์” ให้กับบริษัทประกันที่หนึ่ง แล้วได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมเยียนบริษัทนั้นในภายหลัง ผู้จัดการฝ่ายขายท่านหนึ่งพบดิฉัน เขาก็ยิ้มแย้มต้อนรับแล้วแซวดิฉันว่า “อาจารย์มาทำให้ผอ.ของผมเดือดร้อน เพาะตอนนี้คนขับรถของผอ.ลาออกมาเป็นตัวแทนประกันชีวิตแล้ว! ผมไปสัมภาษณ์เขาว่า .. พี่ขับรถมาให้ผอ.ตั้ง 6 ปีแล้ว นึกอย่างไรถึงเพิ่งจะมาลาออก เพื่อเป็นตัวแทนประกันชีวิต? พี่เขาบอกว่า วันก่อนฟัง “ปลุกยักษ์” แล้วบอกกับตัวเองเลยว่า เราต้องกล้าเปลี่ยนแปลง!” ดิฉันตกใจรีบถามผจก.ท่านนั้นกลับไปว่า “แล้วเขาขายได้ไหมคะ?” ผจก.บอกว่า “ขายได้..ขายเก่งด้วย..ตอนนี้ติดคุณวุฒิไปเที่ยวต่างประเทศแล้วด้วย!!!” ว้าว! ไม่อยากจะเชื่อเลย! เห็นไหมคะว่า ถ้าเราไม่กล้าที่จะทำอะไรบางอย่างให้แตกต่างจากเดิม เราก็จะไม่มีวันได้ผลลัพธ์ใหม่ๆหรอกคะ!!!

คนที่อยากประสบความสำเร็จ เป็นคนที่ต้องฝึก..ต้องฝืนตัวเองให้กล้าเผชิญกับความยากลำบากที่ไม่คุ้นเคย เอาตัวเองออกมาจาก Comfort Zone เพื่อขยายขีดความสามารถและระดับความสำเร็จของตัวเองออกไป!

บางคนกลัวกับการที่ต้องไปขายหรือรีครูทคนที่มีศักยภาพเหนือกว่าเรา! ไม่ทราบว่าอันนี้รวมถึงตัวคุณด้วยหรือเปล่าคะนี่? คุณอยากได้ “คาถาเอาชนะความกลัว” ไหมคะ? .. ฟังดีๆนะคะ! .. เวลาเจอคนมีศักยภาพมากกว่าเรา ให้คุณมีสติ จับตัวเองและยอมรับไปก่อนเลยก็ได้ว่า คุณกลัว (ถ้าเป็นเมื่อก่อน คุณก็จะเงียบ หรือไม่ก็เดินหนีไปเลยใช่ไหมคะ?) ให้คุณวางความกลัวไว้ข้างๆคุณก่อน แล้วเรียก “คาถาเอาชนะความกลัว” ของดิฉันมาใช้ โดยบอกกับตัวเองว่า “ 1 .. 2 .. 3.. ลุย!!! ” “สวัสดีค่ะ คุณลูกค้า.......” เอ่ยปากขายหรือเอ่ยปากรีครูทเลยโอเคไหมคะ? แล้วคุณจะช็อกกับความมหัศจรรย์ของคาถานี้!

หลังจากออกจากสัมมนา “ปลุกยักษ์” ไปไม่กี่วัน พี่ผู้หญิงท่านหนึ่งโทรศัพท์มาหาดิฉัน แล้วส่งเสียงด้วยความตื่นเต้นดีใจสุดขีดบอกว่า “อาจารย์.. พี่โทรมาบอกอาจารย์เป็นคนแรกเลยนะเนี่ย .. พี่เพิ่งเก็บเช็คมา 3 ล้านบาท! .. ก่อนหน้านี้พี่ไม่เคยกล้าขายเศรษฐีเล๊ย แต่พอนึกถึงอาจารย์ ก็บอกตัวเองว่า เอาวะ .. กล้าๆหน่อย .. ลุย!” แล้วก็ขายได้จริงๆด้วย! .. สุดยอดไหมคะ!?!

ความจริงแล้วความกล้ามันก็อยู่ในตัวเรานี่แหละ แต่เราไม่เคยเรียกมันออกมาใช้ แล้วคุณก็ไม่ต้องไปหาวิธีกำจัดความกลัวให้หมดไป เพราะความกลัวจะอยู่กับคุณตลอดชีวิต คุณไม่มีทางกำจัดมันได้ แต่ให้คุณอยู่กับความกลัว บางคนบอกว่า “ให้เราเต้นรำไปกับความกลัว”

คุณคิดว่าคนที่กล้าหาญเขาไม่มีความกลัวหรือคะ? เขากลัวคะ..แต่เขาก็ลงมือทำทั้งๆที่กลัว! นั่นแหละคือความกล้าหาญที่แท้จริง!!!

บางคนกลัวความล้มเหลว ทำให้ไม่กล้าตั้งเป้าหมาย หรือบางครั้งเขาก็เอาแต่คิดว่า ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จละ? ฉันจะทำได้หรือ? มันจะได้จริงหรือเปล่า? จะเสียเวลาและเสียแรงไปฟรีๆไหม? พวกนี้จะเอาแต่คิดๆๆ กังวลๆๆ ไม่กล้าที่จะลงมือทำ หรือ ลงมือทำก็ทำแบบกล้าๆกลัวๆ ไม่ยอมลงทุนลงแรงทำเต็มที่ เพราะกลัวจะขาดทุน กลัวจะล้มเหลว พวกเขาเล่นเกมแบบตั้งรับ ไม่ยอมเล่นเกมรุก เล่นแบบกันไม่ให้แพ้ .. คนที่ประสบความสำเร็จเขาจะลงมือทำอย่างเต็มที่ จริงจัง ทุ่มเทสุดๆ เขาเล่นเกมเพื่อที่จะชนะเท่านั้น!!!!

แล้วตัวคุณละคะ .. คุณกลัวอะไรอยู่คะตอนนี้ คุณเล่นเกมเพื่อที่จะชนะหรือเปล่า?

คนที่กล้าหาญคือคนที่ลงมือทำทั้งๆที่กลัว!

คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่เล่นเกมเพื่อที่จะชนะ!

คิดถึงสิ่งใด ดึงดูดสิ่งนั้น ฉบับที่ 159

คิดถึงสิ่งใด ดึงดูดสิ่งนั้น ฉบับที่ 159

นี่เป็นหลักการที่สำคัญของ “กฎการดึงดูด” The Law of Attraction เวลาที่เราคิด เรากำลังส่งกระแสคลื่นพลังงานออกไปดึงดูดสิ่งที่คิดเข้ามาในชีวิต ซึ่งมันจะส่งผลให้สิ่งที่คิดนั้นปรากฏขึ้นจริงเป็นรูปธรรม พูดง่ายๆก็คือ “เราจะดึงดูดสิ่งที่เราคิด”

คิดลบจะดึงดูดสิ่งลบ คิดบวกจะดึงดูดสิ่งบวก

สิ่งประดิษฐ์ ข้าวของ เครื่องใช้ต่างๆ เช่น รถยนต์ TV ตู้เย็น เก้าอี้ สะพาน คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ ทุกอย่างเกิดขึ้นครั้งแรกใน “ความคิด” ของใครบางคนที่ “อยาก”จะมีสิ่งนี้ ต่อมาก็“นึกถึงจินตนาการถึง”ว่าหน้าตามันจะเป็นอย่างไร มี”ใจจดจ่อ”อยู่กับมัน วาดรูปออกมา “พูด”คุยกับคนอื่นๆเกี่ยวกับมัน แล้วก็ลอง”ลงมือทำ”ดู ปรับแก้จนกว่าจะใช้ได้ดี และแล้วผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้นก็ออกมา”ปรากฏโฉม”อยู่บนโลกใบนี้!

เราซื้อรถก็เพราะเรา“อยาก”ขับรถ “นึกเห็นภาพ”รถในหัว กระดี้กระด๊า ถ้าได้ขับคงดีน่าดู เอาหนังสือรถมาดู “พูด”คุยถึงเรื่องรถ ไปที่โชว์รูมรถ ลองขับรถด้วยตัวเอง “ลงมือ”เก็บสะสมเงินทอง แล้วเราก็จะ“ได้”รถมาครอบครอง

ถ้าผู้ชายคนไหน”อยาก”มีแฟน คอยสอดส่ายสายตามองหาสาวๆ เจอคนไหนที่ ปิ๊ง! ก็จะ”คิดถึง”เขาบ่อยมาก “ลงมือ”ขอเบอร์โทรจากเพื่อน “ทุ่มเทเวลาให้” ไปรับไปส่ง พาไปเที่ยว ไปทานข้าว โทรศัพท์หาเขา 3 เวลาหลังอาหาร สุดท้ายชายหนุ่มคนนี้ก็จะ“ได้”เขาเป็นแฟน

เห็นหรือยังว่า ถ้าเรา “คิดถึง” สิ่งใด “เอาใจจดจ่อ”อยู่กับสิ่งใด และ“ลงมือทำ”ในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ สุดท้ายเราก็จะ “ดึงดูด” สิ่งนั้นเข้ามา

ถ้าอยากมีแฟน แต่ไม่คิดถึงแฟน จะมีแฟนไหม? .. ถ้าไม่ได้นึกถึงเขาเท่าไร ไม่มีเวลาให้ ไม่เคยโทรไปคุย ไม่เคยพาไปเที่ยว แล้วจะมีแฟนไหม?

คนจนที่ไม่รวยสักทีก็เพราะคิดถึงแต่ความยากจน ก็เลยยากจนอยู่อย่างนั้น

สมองคนเราคิดได้ทีละเรื่อง .. คิดอย่างไร ได้อย่างนั้น

ถ้าใช้เวลาส่วนใหญ่คิดถึงแต่ความยากจน หรือคิดถึงแต่ปัญหาอุปสรรคในชีวิต ก็เหลือเวลาอีกนิดเดียวในการมองหาโอกาสสร้างความร่ำรวย หรือแม้กระทั่งห่อเหี่ยว จิตตก หมดกำลังใจไปซะก่อน จนไม่มีกะจิตกะใจจะคิดหาทางร่ำรวย

ถ้าทำแบบนี้ แล้วเมื่อไรจะรวย?

ถ้าอยากรวย ก็ต้อง”คิดถึง”ความมั่งคั่งร่ำรวย “จดจ่อ”ถึงวิธีการสร้างความร่ำรวย

ลองคิดดูว่าจะทำอะไรได้บ้างที่จะทำให้เราร่ำรวย เปิดตาดู เปิดหูฟัง มองหาโอกาสที่อยู่รอบตัวเราเยอะๆ แล้ว”ลงมือทำ”ปรับแก้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะสำเร็จ ในที่สุดเราก็จะ“ได้”ความร่ำรวยเป็นผลลัพธ์ในชีวิต!!

ถ้าเรา “อยากได้” อะไร .. ให้เรา “คิดถึง” สิ่งนั้น .. มี “ใจจดจ่อ” อยู่กับสิ่งนั้น .. “พูดถึง จินตนาการถึง รู้สึกถึง” มันบ่อยๆ .. แล้ว “ลงมือทำ” ในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ .. สุดท้ายเราก็จะ “ได้” หรือ “ดึงดูด” สิ่งนั้นเข้ามา!!

เมื่อปีที่แล้ว โค้ชได้มีโอกาสบินไปเรียนกับสุดยอดปรมาจารย์ที่ประสบความสำเร็จสูงมากทางด้านการเงินท่านหนึ่งชื่อ T.Harv Eker ในหลักสูตรชื่อ Millionaire Mind Intensive ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ทรงพลังมากๆๆๆๆ !!

หลักสูตรนี้เขาสอนเรื่องระบบความคิดของคนที่จะเป็นระดับ “มหาเศรษฐี” ซึ่งคนส่วนใหญ่โดยทั่วไปยังมีระบบความคิดที่ปิดกั้นความมั่งคั่งร่ำรวยอยู่หลายอย่าง

T.Harv Eker ให้เราสำรวจ “พิมพ์เขียวทางการเงิน” Financial Blueprint / Money Blueprint ซึ่งมันจะฝังอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกของตัวเราเอง โดยผ่านการตอบคำถามต่างๆ เขาให้เราทบทวนชีวิตตั้งแต่ยังเป็นเด็กว่า เราเติบโตมาในสภาพครอบครัวแบบไหน เราอยู่แวดล้อมกับคนแบบไหน เรามีระบบความคิดด้านการเงินแบบไหน

โค้ชเคยแปลกใจอยู่เหมือนกัน โค้ชเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบสุดขั้ว มีชีวิตที่ก้าวกระโดด แต่มันก็เหมือนติดเพดานด้านรายได้อยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งโค้ชก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร พอโค้ชได้มีโอกาสเรียนหลักสูตรนี้ ได้ทำแบบสอบถาม ได้โปรแกรมตัวเองใหม่ ..

ว้าว! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ความคิดหลายอย่างของเราเกี่ยวกับเรื่องเงินและการสร้างความมั่งคั่งมันเปลี่ยนแปลงไป ทำให้โค้ชสามารถทะลุเพดานรายได้ที่เคยติดอยู่ออกไปได้ .. ซึ่งมันสุดยอดมาก..ก..ก!!

โค้ชจึงมีแรงบันดาลใจอยากจะถ่ายทอดให้ผู้คนได้ค้นหาข้อจำกัดที่ทำให้เราไม่ร่ำรวยอย่างเต็มที่สักที โค้ชจัดสัมมนาหลักสูตรชื่อ “ไขความลับสู่ความมั่งคั่ง” มาหลายครั้งแล้วเหมือนกัน ซึ่งแต่ละครั้งคนที่ได้เรียนกลับไปแล้วสามารถยกระดับชีวิตตัวเองด้านการเงินได้เลย!!

หลายคนชอบเรื่อง “6 กระปุกเงิน” มาก เขาบอกว่าการบริหารเงินในกระเป๋ามันง่ายขึ้นเยอะเลย และรู้ว่าควรแบ่งสัดส่วนให้ความสำคัญกับเรื่องอะไรบ้าง

หลายคนได้ทำแบบสอบถาม 60 ข้อแล้วถึงกับอึ้งไปเลย เพราะมีระบบความคิดอีกเยอะมากที่ปิดกั้นความมั่งคั่งร่ำรวยอยู่!!

มา “ปลุกยักษ์” กันเถอะ ฉบับที่ 157

มา “ปลุกยักษ์” กันเถอะ ฉบับที่ 157

คนเรามีสิ่งที่อยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น มากมาย แต่ทำไมมีคนจำนวนไม่มากที่สามารถทำได้?

ในงานสัมมนา “ปลุกยักษ์” ของดิฉันนั้น จะมีผู้มาเข้าร่วมสัมมนาจำนวนหลายร้อยคน ซึ่งมากันทั่วทุกสารทิศ ทั้งภาคเหนือ ภาคอิสาน ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้ นั่งรถทัวร์มากันบ้าง เหมารถตู้มากันหลายคันรถบ้าง นั่งเครื่องบินมาบ้าง บางกลุ่มก็มากันที 20-30 คน

เวลาถามว่า “ใครอยากประสบความสำเร็จในชีวิตบ้าง?” ก็จะมีคนยกมือขึ้นพรึ๊บเกือบทั้งห้อง ยิ่งถามว่า “ใครอยากรวยบ้าง?” บางคนถึงกับยก 2 มือเลย!!

ถ้าเรามีแค่คำว่า “อยาก” สำเร็จ หรือ “อยาก” รวย แล้วทำให้เรา “สำเร็จ” หรือ “รวย” ป่านนี้คงมีคนรวยเดินชนไหล่กันเต็มท้องถนนไปหมดแล้ว ใช่ไหมคะ? .. มันไม่ง่ายแค่นั้นหรอกค่ะ เราต้องทำอะไรบางอย่างที่มากกว่าแค่คำว่า “อยาก”

และความจริงแล้วความ “อยาก” ก็มีตั้งหลายระดับ “อยากน้อย อยากมาก กับ โคตรอยาก” .. แล้วคุณล่ะ.. “อยาก” ระดับไหนคะ?

ดิฉันมักจะพูดอยู่เสมอว่า ชีวิตของคนเราเหมือนการไต่ขึ้นภูเขาที่ไม่มียอด เราสามารถประสบความสำเร็จได้มากขึ้นเรื่อยๆ มั่งคั่งร่ำรวยได้มากขึ้นเรื่อยๆ มีความสุขที่ลึกซึ้งได้มากขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งสำคัญอยู่ที่ เราต้องเป็นคนที่ “อยากไต่” อยากก้าวหน้า อยากสำเร็จ อยากร่ำรวย และเราจะต้องเป็นคนที่ “ลงมือไต่” ด้วยตัวของเราเอง!!

หลายคนอยากก้าวหน้า อยากประสบความสำเร็จมากกว่าเดิม แต่ไม่ยอมทำงานหนัก ต้องไปติดต่อลูกค้าไกลหน่อย ก็ไม่ไป ต้องเรียนรู้พัฒนาตัวเองเข้าสัมมนาบ้าง ก็ไม่เอา หนังสือไม่เคยอ่าน

คนส่วนใหญ่ชอบทำงานง่ายๆสบายๆ ไม่อยากให้ตัวเองต้องลำบากหรือเหนื่อยยากเกินไป บางคนก็ติดอยู่กับความเคยชินเดิมๆ งานเดิมๆ คนเดิมๆ เส้นทางเดิมๆ หรือเรียกว่าติดอยู่ใน Comfort Zone นั่นเอง!!

จำไว้นะคะว่า “ระดับความสำเร็จและระดับความมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ Comfort Zone ที่เรามี” ถ้าพื้นที่ความเคยชินของเรามีขนาดเล็กมาก เราก็จะประสบความสำเร็จได้น้อยมาก คนที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่คือคนที่ขยายขนาดพื้นที่ Comfort Zone ของตัวเองออกไป

คนที่ประสบความสำเร็จเขายินดีที่จะทำในสิ่งที่คนไม่สำเร็จไม่อยากทำ

คนที่ไม่สำเร็จประปล่อยให้อารมณ์ต่างๆเข้าครอบงำ เช่น ถ้าวันนี้รู้สึกขี้เกียจ ยังไม่อยากทำงาน ก็จะไม่ทำ
ในขณะที่คนสำเร็จจะ “ลงมือทำทั้งๆที่ไม่มีอารมณ์ทำ”!!

คนที่ไม่สำเร็จจะปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งเขาจากการลงมือทำสิ่งต่างๆ แต่คนที่สำเร็จจะ “ลงมือทำทั้งๆที่กลัว”!!

คนไม่สำเร็จจะปล่อยให้ตัวเองคิดลบ หมดพลังใจ ห่อเหี่ยวจิตตก แต่คนสำเร็จจะคิดบวก รักษาพลังใจของตัวเองไว้ จดจ่อที่จุดหมาย

คนไม่สำเร็จจะลังเล สงสัย ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่คนสำเร็จจะสร้างพลังความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในตัวของเขา

คนไม่สำเร็จจะยอมพ่ายแพ้ต่อปัญหาและอุปสรรคระหว่างทางที่เขาพบเจอ แต่คนสำเร็จจะ “ยืนหยัดจนกว่าจะสำเร็จ”!!

คนไม่สำเร็จจะปล่อยให้ “ยักษ์” ในตัวเองนอนหลับใหลขี้เซาต่อไป แต่คนสำเร็จจะ“ปลุกยักษ์” ในตัวเองให้ตื่นขึ้นมา

คนที่ประสบความสำเร็จเขาจะทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เขาปรารถนา เขาจะยอมลงทุน ทั้งเวลา เงินทอง แรงกาย แรงใจ ยอมเหนื่อย ยอมลำบาก ยอมอดทน เพื่อแลกกับความสำเร็จที่เขาใฝ่ฝัน

ดิฉันเองก็เคยเป็นคนที่เหลาะแหละ เหยาะแหยะ จับจด ไม่มุ่งมั่น และไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการ ดิฉันรู้สึกเสียใจและเจ็บปวดที่ตัวเองเป็นแบบนั้น ดิฉันจึงตัดสินใจที่จะ “ปลุกยักษ์” ที่ขี้เซา ขี้เกียจ ขี้กลัว ให้ “ตื่น” ขึ้นมามีพลังอย่างเต็มเปี่ยม!!

ดิฉันสามารถใช้พลังและศักยภาพภายในที่ซ่อนเร้นอยู่ได้มากขึ้นแบบน่ามหัศจรรย์ ดิฉันได้มีโอกาสสร้างแรงบันดาลใจ ถ่ายทอดวิธการ “ปลุกยักษ์” ในตัวเราเองให้กับผู้คนนับแสนมาแล้วทั่วประเทศ ดิฉันมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนที่เป็นเหมือนดิฉันสมัยก่อน ให้เขาสามารถลุกขึ้นมาสร้างผลลัพธ์แบบใหม่ในชีวิต มีความมุ่งมั่นในการลงมือทำสิ่งที่ฝันให้เป็นความจริง!!

ลองคิดดูซิคะ ถ้า “ยักษ์” ในตัวของเราตื่นขึ้นมา ชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็วมากขนาดไหน!!

เชื่อไหมคะว่ามีน้องผู้หญิงคนหนึ่งเขาได้เข้าสัมมนา “ปลุกยักษ์” แล้วบอกว่า “ยักษ์ในตัวหนูตื่นขึ้นมาแล้วค่ะ ขอบคุณอาจารย์มากๆ ขอบคุณจริงๆ!!”

รีบ “ปลุกยักษ์” ในตัวคุณให้ตื่นขึ้นมาเถอะค่ะ!!

แล้วคุณจะตื่นเต้นที่ได้พบกับตัวตนที่ยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่ภายในตัวของคุณเอง!!!

สร้างชีวิตที่ใฝ่ฝัน ฉบับที่ 155

สร้างชีวิตที่ใฝ่ฝัน ฉบับที่ 155

อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม อยากเป็นคนเก่ง อยากประสบความสำเร็จ อยากมีเงินทองใช้เยอะๆ . . แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร??? . .

ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร เก่งอะไรเป็นพิเศษ หรืออยากทำอะไรจริงๆ!?!

หลายคนใช้ชีวิตแบบไม่มีจุดมุ่งหมาย ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีมีชีวิตชีวา ไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่มีพลัง!! . .

บางคนอาจจะมีความฝันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำให้มันเป็นความจริงได้อย่างไร? . . เพราะไม่มีคนคอยชี้แนะ ไม่มีคนให้การสนับสนุน! . .

บางคนก็ไม่กล้าลงมือทำ เพราะขาดความมั่นใจ รู้สึกว่าตัวเองยังเก่งไม่พอ ยังดีไม่พอ! ..
บางคนไม่กล้าแม้แต่จะคิด ไม่กล้าแม้แต่จะฝัน เพราะรู้สึกว่ามันไกลเกินเอื้อม มันเป็นไปไม่ได้!
แล้วคุณล่ะคะ! . . ตอนนี้คุณอยู่จุดไหนของชีวิต?

กูรูที่เก่งๆทุกคนสอนเทคนิคที่ทรงพลังมากอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้เป็นหนทางลัดสั้น เพื่อนำพาเราไปสู่ความสำเร็จคือ การ Modeling หรือ “การลอกแบบ” ทำตามคนที่ทำสำเร็จแล้วในสิ่งที่เราอยากทำ

ถ้าอยากเป็นคนมีเสน่ห์ ลองมองหา “ต้นแบบ” คนที่เราชื่นชอบ คนที่เขามีเสน่ห์ในความรู้สึกของเรา แล้วสังเกตรูปแบบวิธีคิด วิธีการมองโลกของเขา สังเกตวิธีการที่เขาแสดงออก การปฏิสัมพันธ์กับผู้คน การพูดจา การใช้ภาษากายของเขา แล้วพยายามทำเลียนแบบเขา ฝึกไปเรื่อยๆ เราก็จะสามารถมีเสน่ห์เหมือนเขาได้เช่นกัน สมัยเป็นเด็กนักเรียน ดิฉันเคยใช้เทคนิค “การลอกแบบ” โดยที่ดิฉันไม่รู้ตัว!

ตอนที่ดิฉันเรียนมัธยมต้นอยู่ที่รร.สาธิตปทุมวัน ดิฉันเป็นเด็กนักเรียนที่ค่อนข้างจะเงียบๆ เรียบร้อย รู้สึกตัวว่าเป็นคนที่ไม่มีเสน่ห์ ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครเข้ามาหาเรา แล้วเราก็สังเกตเห็นเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาดูเป็นคนมีเสน่ห์ เพื่อนคนอื่นๆชอบเข้าไปคุยกับเขา

ดิฉันอยากจะมีเสน่ห์ อยากเป็นคนน่ารักแบบเขาบ้าง ดิฉันจึงเริ่มสังเกตวิธีการพูด วิธีการเดิน วิธีการยิ้ม และการแสดงออกอื่นๆของเขา

ดิฉันสังเกตเห็นว่าเขาเป็นคนมีชีวิตชีวา ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา เขาเดินเหินรวดเร็ว ดูเป็นคนกระตือรือร้นมาก เวลาพูดกับใคร เขาก็จะยิ้ม ตาเป็นประกาย สนอกสนใจคนที่เขาคุยด้วย

ดิฉันจึงเริ่มเปลี่ยนบุคลิกตัวเองใหม่ หัดยิ้มเยอะๆ หัดเดินให้เร็วขึ้น หัดเคลื่อนไหวร่างกายและทำสิ่งต่างๆอย่างกระตือรือร้น พูดกับใครก็จะสบตาเขาแล้วยิ้มไปด้วย ..

ว้าว! ดิฉันรู้สึกได้เลยว่า ดิฉันเป็นคนที่ดูมีชีวิตชีวาและมีเสน่ห์มากขึ้น!!

เเต่หลังจากที่เรียนจบบัญชีจุฬา แล้วบินไปต่อโทที่อเมริกา กลับมาเมืองไทยก็ทำงานบัญชีการเงินอยู่10 กว่าปี ทำให้ดิฉันกลายเป็นคนที่เงียบๆ เรียบร้อย เก็บตัว ชีวิตมีแต่บ้านกับออฟฟิศ เฉิ่มเชย จนมีฉายาว่า “ซูเปอร์ซิ้ม” แต่ปัจจุบันดิฉันเป็น “ซูเปอร์วูแมน” เป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจที่เดินสายไปสร้างพลังใจ ปลุกไฟในการทำงานมาแล้วทั่วประเทศ

ดิฉันได้มีโอกาสเรียนกับสุดยอดกูรูเก่งๆระดับโลกหลายท่าน จนสามารถพัฒนาศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในให้เอาออกมาใช้ได้มากขึ้น ดิฉันเข้าใจในสิ่งที่เขาสอนอย่างลึกซึ้ง

ดิฉันเรียนรู้และฝึกฝนตัวเองอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ดิฉันภาคภูมิใจกับตัวตนคนใหม่ที่ดิฉันเป็น ดิฉันรักในสิ่งที่ดิฉันทำมากๆ ดิฉันมีความสุขกับทุกวันในชีวิต เรียกได้ว่า “ตกหลุมรักชีวิตของตัวเอง”

หลายคนยังไม่ได้มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขอย่างเต็มเปี่ยม เพราะเขาไม่รู้วิธีการว่าเขาจะต้องทำอย่างไรบ้าง บางคนไม่เคยค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเลย แล้วเขาจะสร้างชีวิตที่เขาใฝ่ฝันได้อย่างไร?? ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม อยากประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน คุณจะต้องเริ่มต้นที่การค้นหาความฝัน และแรงบันดาลใจที่แท้จริงของตัวเอง

คุณต้องรู้ว่าคุณอยากเป็นคนแบบไหน คุณชอบทำอะไรสุดๆ คุณเก่งหรือมีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง หน้าตาชีวิตที่สมบูรณ์แบบในอุดมคติของคุณเป็นอย่างไร ฯลฯ

ความจริงดิฉันมีชุดคำถามเพื่อสืบค้นลงไปในตัวเองหลายข้อมาก ซึ่งปกติดิฉันจะให้ผู้ที่ได้เข้าสัมมนาหลักสูตร “ออกแบบชีวิตที่ใฝ่ฝัน” ได้ทำในเวลา 2 วันเต็มๆ เพื่อค้นหาความปรารถนาที่แท้จริงของชีวิตตัวเอง เราเกิดมาบนโลกใบนี้เพื่ออะไร อะไรคือคุณค่าในตัวเรา เราควรจะทำงานอะไรดี เพื่อประสบความสำเร็จและมีความสุขในระดับที่เรียกว่า “ไม่ธรรมดา” และมี “ชีวิตที่ใฝ่ฝัน”ได้อย่างแท้จริง!!

ดิฉันได้ถ่ายทอดเทคนิคและเคล็ดลับในการพัฒนาตนเองแบบก้าวกระโดดให้ผู้คนได้นำไปใช้เป็นทางลัดของชีวิตเอาไว้ในหนังสือ “เมื่อยักษ์ตื่น” ซึ่งเป็นหนังสือที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก วางตลาดไม่ถึงเดือน ก็ติดอันดับ Top 3 หนังสือขายดีที่ร้าน Se-Ed ด้วยความรวดเร็ว!!

ค้นหาตัวเองให้เจอ !! (ฉบับที่ 143)

ค้นหาตัวเองให้เจอ !! (ฉบับที่ 143)

หลายคนทำงานด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย ขาดแรงจูงใจในการทำงาน ห่อเหี่ยว ท้อแท้ใจ ไม่มีพลัง !?! หลายคนทำงาน เพราะจำเป็นต้องทำ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีรายได้ ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้ชอบงานที่ตัวเองทำอยู่เลยก็ได้ !?!

หลายคนยังค้นหาตัวเองไม่เจอ ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร หรือเก่งอะไร ไม่รู้เลยว่าอะไรคือความฝันและแรงบันดาลใจของตัวเอง !?!

หลายคนรู้แต่ว่าอยากจะมีชีวิตที่มีความสุขและประสบความสำเร็จ แต่พอให้อธิบายว่าชีวิตแบบนั้น หน้าตาเป็นอย่างไร ก็ตอบไม่ได้ !?!

หลายคนอยากรวย แต่พอถามว่า รวยเท่าไร? ก็ตอบไม่ได้ !?!

หลายคนต้องการมีรายได้เพิ่ม ก็จะมองหาโอกาสในสิ่งที่ได้พบเห็น เช่น เห็นคนเขานิยมเปิดร้านกาแฟ ก็เปิดร้านขายกาแฟกับเขาบ้าง หรือซื้อแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อมาทำธุรกิจ หรือเปิดบริษัทขายอุปกรณ์ IT หรือ เป็นตัวแทนประกันชีวิต หรือทำธุรกิจเครือข่าย MLM ฯลฯ

เวลาที่เขาทำไประยะหนึ่งแล้ว กลับพบว่างานนั้น “ไม่ใช่ตัวตนของเขา” เช่น มีคนมาชวนไปทำธุรกิจเกี่ยวกับการประหยัดน้ำมัน ซึ่งเขาก็รู้ว่า ในภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ คนต้องการหาวิธีการประหยัดค่าใช้จ่าย ก็น่าจะสร้างเงินได้ดี แต่ความจริงแล้ว เรื่องการประหยัดน้ำมันหรือการใช้พลังงานทดแทน ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขาเลย เขาชอบและให้ความสนใจในเรื่องของ รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ความงาม การมีบุคลิกดี ฯ

ดิฉันเชื่อว่า ถ้ามีใครชวนเขาไปร่วมธุรกิจที่เกี่ยวกับความสวย ความงาม เขาจะมีพลังและมีความสุขในการทำงานมากๆ และนั่นแหละเขาถึงจะมีโอกาสในการสร้างรายได้ที่ดีตามมา

เมื่อไม่นานมานี้ ดิฉันได้มีโอกาสคุยกับน้องผู้หญิงคนหนึ่ง เขาบอกว่า หลังจากกลับไปจากงานสัมมนา “ปลุกยักษ์” เขามีความเชื่อมั่นในตัวเองและมีพลังเพิ่มขึ้นมาก แต่ตอนนี้เขากำลังห่อเหี่ยวใจ ดิฉันก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เล่าให้ฟังว่า เขารับราชการ ซึ่งเงินเดือนน้อย จึงไปทำธุรกิจเครือข่ายอาหารสุขภาพ เพราะอยากมีรายได้เพิ่มขึ้น พอทำไประยะหนึ่งแล้ว เขารู้ตัวเองเลยว่าเขาไม่ได้ชอบงานแบบนี้ แต่เขาเรียนรู้มาว่า ถ้าอยากสำเร็จเขาต้องไม่ล้มเลิก ซึ่งเขาไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป จึงขอคำปรึกษาจากดิฉัน

ดิฉันก็ถามเขาว่า “ถ้าไม่ชอบงานแบบนี้ แล้วจริงๆชอบงานแบบไหนล่ะ?” เขาพูดตอบกลับมาทันทีด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใสมากเลยว่า “หนูอยากเป็นดีเจรายการวิทยุ” ดิฉันทึ่งมาก เพราะเขาตอบกลับด้วยความรวดเร็วและกระตือรือร้นยิ่งนัก น้ำเสียงเปลี่ยนจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง!!

เขาบอกว่า “ตอนเด็กๆ หนูอยู่บ้านญาติ ห่างไกลจากพ่อแม่ หนูก็เลยใช้วิทยุเป็นเพื่อน หนูฟังรายการวิทยุทุกคืน หนูชอบไปร่วมกิจกรรมเวลาที่เขาจัดงานพิเศษ หนูเป็นแฟนคลับเขาเลยแหละค่ะ” เขาเล่าอย่างมีความสุขมาก

ดิฉันถามว่า “แล้วทำไมไม่ไปทำงานเป็น ดีเจวิทยุล่ะ”
“หนูอยากทำมาก..ก..กค่ะ หนูเคยไปฝึกงาน ลองทำดู แต่ได้รายได้น้อยมากเลยค่ะ หนูอยากมีเงินใช้มากกว่าเงินเดือนประจำ หนูจึงมาทำ MLM เพื่อนที่ชวนหนูทำ เขาก็บอกว่าหนูพูดเก่ง หนูทำได้แน่นอน แต่หนูไม่ชอบงานแบบนี้เลยค่ะ” สาวน้อยคนนี้ตอบกลับมา

ดิฉันบอกว่า “เราเป็นคนที่โชคดีมากเลยรู้ไหม ที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรและอยากทำอะไร!! ในขณะที่คนจำนวนเยอะมาก ยังสบสนอยู่เลยว่า จริงๆแล้วตัวฉันชอบอะไรกันแน่ หรือฉันเก่งอะไร ยังหาตัวเองไม่เจอเลย!!!”

ดิฉันไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมน้องคนนี้ถึงกำลังท้อใจกับงาน MLM อยู่ เพราะจริงๆแล้ว เขาไม่ได้รักที่จะทำสิ่งนี้ มันไม่ใช่แรงบันดาลใจของเขา มันไม่ใช่ตัวตนของเขา!!!

ดิฉันบอกว่า “เราสามารถสร้างรายได้ ได้เยอะแยะมากมายจากการจัดรายการวิทยุ เช่น ขายโฆษณา หาสปอนเซอร์มาสนับสนุนรายการ จัดกิจกรรมต่างๆ พาทัวร์ ฯลฯ ซึ่งได้ทั้งเงิน และทำงานอย่างมีความสุขด้วย!! แต่ก่อนอื่นเราต้องเข้าไปศึกษาวิธีการทำธุรกิจด้านวิทยุว่าเขาทำกันอย่างไร จัดเวลาในชีวิตตัวเองให้ดี และอย่าเพิ่งลาออกจากงานประจำ ทำควบคู่กันไประยะหนึ่งก่อน แล้วค่อยพิจารณาจังหวะเวลาที่เหมาะสมต่อไป ใจเย็นๆ ค่อยๆทำไปทีละก้าว รวยได้แน่นอน!!”

คนส่วนใหญ่ไม่เคยตั้งหลักคิด ไม่เคยค้นหาตัวเองเลยว่าจริงๆแล้ว เราชอบอะไร? เราเก่งอะไร? เราอยากทำอะไร? เราอยากมีอะไร? เราอยากเป็นอะไร? เราเกิดมาทำไม? อะไรคือความฝันและแรงบันดาลใจของเรา? และเราต้องทำอย่างไรเพื่อทำให้ความฝันของเราเป็นจริง?

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ค้นหาตัวเองให้เจอ ทำในสิ่งที่เรารัก รักในสิ่งที่เราทำ ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด ทุ่มเทให้เต็มร้อย ทำในสิ่งที่ตลาดต้องการ สร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น เป็นคนดี หมั่นทำบุญทำกุศลด้วย เราจะมีความสุขและรวยแน่นอน !!!

ดิฉันเห็นปัญหาข้อนี้มากๆ จึงจัด สัมมนาชื่อ “Design Your Life” “ออกแบบชีวิต” เพื่อช่วยให้ผู้คนได้ค้นหาตัวเอง รู้จักตัวเองอย่าแท้จริง ค้นหาความฝันและแรงบันดาลใจของตัวเอง ชัดเจนกับชีวิต ออกแบบชีวิตของตัวเอง สร้างแผนที่การเดินทาง เพื่อทำความฝันให้เป็นความจริง (Road Map to Success)

วิธีเพิ่มศักยภาพงานขาย (ฉบับที่ 140)

วิธีเพิ่มศักยภาพงานขาย (ฉบับที่ 140)

นักขายหลายคนอยากประสบความสำเร็จ แต่เขาทำได้ช้ามาก เพราะเขา”ไม่รู้”ว่าเขาควรจะต้องฝึกฝนตัวเองอย่างไร!?! .. บางคนทำทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่เคยเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน แล้วจะสร้างผลลัพธ์แบบใหม่ได้อย่างไร!?!

บางคนอาจจะมีความสามารถอยู่แล้ว แต่อยากประสบความสำเร็จมากขึ้น แต่ยังหาหนทางไม่เจอว่าจะต้องเดินหน้าต่อไปอย่างไร

ชีวิตของคนเราเหมือนการไต่ขึ้นภูเขาที่ไม่มียอด เราสามารถจะปีนสูงขึ้นไปได้เรื่อยๆ .. หมายความว่า เราสามารถจะประสบความสำเร็จและมั่งคั่งร่ำรวยในระดับที่สูงขึ้นไปได้เรื่อยๆ

ไม่ว่าตอนนี้คุณอยู่จุดไหนของชีวิต เช่น คุณอาจจะเป็นสุดยอดนักขาย หรือคุณเป็นผู้บริหารระดับสูงแล้ว หรือคุณกำลังไต่เต้าอยู่ และไม่ว่าตอนนี้คุณทำงานมีรายได้เดือนละเท่าไร ให้คุณรู้ว่าว่าคุณสามารถไปได้ไกลว่านี้อีกเยอะ!!

นักขายจะต้องฝึกตัวเองให้เก่ง 2 เรื่อง คือ
1. Personal Mastery เก่งเรื่องการพัฒนาตัวเอง
เราต้องรู้จักตัวเองให้ดีและลึกซึ้งก่อนว่าเรามีจุดอ่อน จุดแข็งตรงไหน? เรามีความฝันอะไรบ้างในชีวิต เรามีความคิดหรือทัศนคติของความสำเร็จหรือยัง? เรามีความมุ่งมั่น ตั้งใจ มีไฟ มีพลัง อยู่ในระดับไหน? เราเรียนรู้และพัฒนาตัวเองบ้างหรือเปล่า? เรามีนิสัยของในการ “ลงมือทำ” Take Action มากน้อยแค่ไหน? เราใช้ศักยภาพของเราเต็มที่หรือยัง? ฯลฯ ตอนนี้คุณประสบความสำเร็จอยู่ในระดับใด?
2. People Mastery เก่งเรื่องผู้คน
เราจำเป็นต้องเชี่ยวชาญเรื่องจิตวิทยามนุษย์เยอะๆ เราต้องรู้ว่ามนุษย์ถูกโน้มน้าวและจูงใจด้วยเรื่องอะไรบ้าง เพราะถ้าเราอยากได้อะไร แล้วเราสามารถโน้มน้าวให้ผู้อื่นเห็นด้วยกับเรา อยากสนับสนุนเรา อยากซื้อของเรา อยากร่วมงานกับเรา เราก็สามารถมีได้ทุกอย่างที่เราอยากจะมี ใช่หรือไม่?

ดิฉันเสียดายทุกครั้งเวลาเห็น นักขายที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจอยากประสบความสำเร็จในงานขาย แต่ไม่รู้หลักจิตวิทยาการโน้มน้าวและไม่ได้ฝึก จึงทำให้อัตราเปอร์เซ็นต์ในการปิดการขายมีน้อยกว่าที่เขาควรจะทำได้ คุณมีความสามารถในการสื่อสาร โน้มน้าวจูงใจผู้อื่นมากน้อยแค่ไหน?

ดิฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบคนละขั้ว จากนักบัญชี “ซูเปอร์ซิ้ม” เป็น “ซูเปอร์วูแมน” ดิฉันใช้ศักยภาพตัวเองได้มากขึ้น ดิฉันได้เรียนกับสุดยอดกูรูระดับโลกหลายท่าน ทำให้ดิฉันประสบความสำเร็จสูงขึ้นแบบน่ามหัศจรรย์!!

ดิฉันมีแรงบันดาลใจที่จะถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์เหล่านี้ เพื่อเป็นทางลัดให้กับผู้อื่น!! ดิฉันจึงสร้างหลักสูตรที่ทรงพลังมากๆในการพัฒนาชีวิตของคนให้ประสบความสำเร็จได้แบบก้าวกระโดด ได้แก่ หลักสูตร “ปลุกยักษ์” และ “จ้าวแห่งการสื่อสาร”

หลักสูตร “ปลุกยักษ์” เน้นเรื่องการพัฒนาศักยภาพในตัวเองแบบก้าวกระโดด (Personal) ดิฉันจะสอนเรื่องวิธีการติดตั้งความคิดและทัศนคติแห่งความสำเร็จให้ สอนวิธีโปรแกรมสมองและจิตใต้สำนึกใหม่ดีๆเลยทำอย่างไร สอนวิธีการสื่อสารกับตัวเองแบบใหม่ที่สร้างพลังและความเชื่อมั่นในตัวเองให้ตัวเองได้ สอนทฤษฏี “กฎของการดึงดูด” The Law of Attraction ที่โด่งดังมากจาก The Secret ให้ผึกใช้จินตนาการ เพื่อดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

เวลาที่ทีมขายได้รับการ “ปลุกยักษ์” ยอดขายของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นให้เห็นทันตาแบบน่ามหัศจรรย์ จนดิฉันได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไวอากร้าของทีมขาย” !!!

หลักสูตรที่ 2 คือ “จ้าวแห่งการสื่อสาร” เน้นจิตวิทยาการโน้มน้าว (People) ดิฉันจะสอนศิลปะการพูดและการฟังที่มีทรงพลังมาก สอนให้ทำความเข้าใจกับลักษณะการรับรู้ของมนุษย์ สอนการสร้างความเชื่อมั่นที่เกิดจากภายในด้วยวิธีการเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่เรามองตัวเองใหม่ (Self Image) สอนหัวใจและเคล็ดลับในการโน้มน้าว ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งงานขาย และชีวิตส่วนตัว

มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งทำ MLM เข้าสัมมนาผ่านไป 10 กว่าวัน โทรศัพท์มาบอกว่ารายได้เพิ่มจาก 60,000 บาท ขึ้นไป 120,000 .. ว้าว!!!

ทั้ง 2 หลักสูตรนี้ ดิฉันมีกิจกรรม และ Workshop ให้ทำเยอะมาก ขอบอกว่าเด็ดๆมันส์ๆทั้งนั้น!!
คุณนักขายทั้งหลาย อยากประสบความสำเร็จมากกว่าเดิมและเร็วกว่าเดิมหรือไม่คะ? นี่ก็เหลืออีกไม่กี่เดือนจะหมดปีแล้ว รีบ Take Action เดี๋ยวนี้เลย!!

อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 6 ฉบับที่ 140 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 16-30 กันยายน 2551

สามเหลี่ยมของความสำเร็จ (ฉบับที่ 136)

สามเหลี่ยมของความสำเร็จ (ฉบับที่ 136)

ดิฉันมีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนาชื่อ Guerilla Business Intensive สอนโดย T.Harv Eker ที่ประเทศสิงคโปร์ ได้ความรู้ดีๆเยอะแยะมากมาย!!!

หลักสูตรนี้สอนเรื่องการทำธุรกิจและการตลาดโดยตรง ซึ่งปัจจุบัน T.Harv Eker เป็นกูรูที่มีชื่อเสียงมากในด้านนี้ ดิฉันกับเพื่อนคนไทยไปกันประมาณ 10 กว่าคน จากผู้เข้าร่วมสัมมนาเกือบ 2,000 คน เรียนกัน 5 วัน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 22-23 น. ทุกวัน ค่าเล่าเรียนเกือบแสน!!! ถึงแม้จะแพง แต่ก็คุ้มค่ากับการลงทุนจริงๆ!! (ดิฉันถือว่าเป็นการลงทุน ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย)Harv พูดถึง “สามเหลี่ยมของความสำเร็จ“ ได้อย่างน่าทึ่งมาก!!

การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น มีปัจจัย 3 อย่างที่ต้องแข็งแกร่ง
1. The Right “Knowledge”
ให้เราเลือกเรียนสิ่งที่เป็นประโยชน์โดยตรงกับงานของเราก่อน เรียนรู้และฝึกฝนเรื่องการพัฒนาตัวเองให้มากๆ เลือกเรียนกับคนเก่งและคนที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น เพราะเราจะสามารถย่นย่อระยะเวลาแห่งความสำเร็จลงได้!! . . กรุณา”ลงทุน”ในตัวคุณเอง อ่านหนังสือ เข้าสัมมนา เติมอาหารให้สมองบ่อยๆ!!!

2. The Right “Vehicle”
เลือกยานพาหนะ หรือเลือกธุรกิจที่เราจะทำให้ถูก ลองคิดดูว่า ถ้าคุณต้องการเดินทางไปยังเชียงใหม่ คุณสามารถเดินทางไปโดยวิธีอะไรบ้าง? นั่งรถทัวร์ไป ขับรถไปเอง นั่งเครื่องบินไป เดินไป นั่งเรือไป ขี่มอร์เตอร์ไซด์ ปั่นจักรยาน ขี่ช้าง ฯลฯ มีหลากหลายวิธีใช่หรือไม่? ถ้าคุณเลือกพาหนะถูก คุณก็ถึงจุดหมายได้เร็ว แต่ถ้าเลือกผิด ก็คงใช้เวลานานมาก!

เช่นเดียวกันกับชีวิตการทำงานของเรา ถ้าเราเลือกธุรกิจถูก เราก็จะประสบความสำเร็จและมั่งคั่งร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว!!!

วิธีเลือกว่าเราควรจะทำธุรกิจหรือทำงานอะไร ให้ดูปัจจัย 3 อย่างนี้
1. ทำในสิ่งที่เรารัก เพราะเราจะทำมันด้วยใจ และด้วยไฟแห่งความกระตือรือร้น
2. ทำในสิ่งที่เราเก่งหรือมีความชำนาญ เพราะเราสามารถที่จะสร้างผลลัพธ์จากการทำงานได้อย่างโดดเด่นและมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าเราทำในสิ่งที่เราไม่ชำนาญ ก็ยากมากที่เราจะสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม . . ลองเขียนหนังสือด้วยมือที่คุณไม่ถนัดดูซิ!!!
3. ทำในสิ่งที่อยู่ในความต้องการของคนส่วนใหญ่ ถ้าเราทำงานหรือทำธุรกิจที่เรารัก และเราก็มีความสามารถ แต่ . . ไม่มีใครต้องการใช้สินค้าหรือบริการของเรา แล้วเราจะขายใคร!?!

สิ่งที่จะทำให้คุณรวยคือ “คุณต้องเป็นนักแก้ปัญหา” พิจารณาดูว่าสินค้าหรือบริการของคุณช่วยแก้ปัญหาอะไรให้ลูกค้าได้บ้าง!! . . ยิ่งช่วยได้มากราย ยิ่งรวย!!!

4. The Right “YOU” สิ่งที่สำคัญที่สุดใน 3 ปัจจัยก็คือ “ตัวคุณเอง” . . คุณต้องเป็นมืออาชีพ หรือเป็น Expert ในสิ่งที่คุณทำ . . คุณถึงจะรวย !!! ทำไมลูกค้าต้องซื้อสินค้าหรือบริการจากคุณ อะไรคือจุดขายของคุณ คุณโดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร? (UPS = Unique Selling Point)

คุณสามารถทำตลาดกลุ่มลูกค้าให้แคบลงได้ เพื่อที่คุณจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นโดยเฉพาะ ซึ่งเรียกว่า Niche Market เช่น ตลาดเด็ก ผู้หญิงท้อง คนชรา ฯ ให้เราเป็น “ปลาตัวใหญ่ในสระน้ำที่เล็กๆ” (Be a Big Fish in a Small Pond)!!! แค่ไอเดียนี้ ก็ทำให้คุณรวยได้แล้ว!!!

ดิฉันนำไอเดียนี้มาประยุกต์ใช้กับงานของตัวเอง ก็เห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างได้ในทันที!! ดิฉันสร้างความชัดเจนว่า ดิฉันโดดเด่นและแตกต่างจากวิทยากรหรืออาจารย์ท่านอื่นอย่างไร?

ดิฉันบอกได้เลยว่า มีวิทยากรที่เก่งๆในวิชาการต่างๆมากมาย แต่ถ้าต้องการผู้ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจ ปรับเปลี่ยนความคิดของผู้คน ต้องการนักโมติเวท นักปลุกพลังใจ นักกระตุ้นยอดขาย ต้องมาหา “โค้ช สิริลักษณ์ ตันศิริ”

ดิฉันมีความสามารถโดดเด่นมากในเรื่องของการ “ปลุกยักษ์” ปลุกพลังใจ ปลุกศักยภาพ ปลุกความฮึกเหิม ให้แก่พวกฝ่ายขาย ถ้าดิฉันไป “ปลุกยักษ์” ที่ไหน ยอดขายที่นั่นจะขึ้นให้เห็นทันตา จนดิฉันได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไวอากร้าของทีมขาย”

ตั้งแต่ดิฉันชัดเจนกับจุดขายที่แตกต่างนี้แล้ว มีองค์กรเยอะแยะมากมายที่เชิญดิฉันไป “ปลุกยักษ์” ให้ทีมขายของเขา หรือแม้กระทั่งธนาคารยักษ์ใหญ่ ก็เชิญดิฉันไป “ปลุกยักษ์” ให้ทีมสินเชื่อของเขาเช่นกัน และยอดขายก็พุ่งพรวดขึ้นมาอย่างน่ามหัศจรรย์!!!

รีบสร้างตัวเองให้เป็น Expert และหาจุดขายที่โดดเด่น .. ความรวยรอคุณอยู่ค่ะ!!!

อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 6 ฉบับที่ 136 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 16-31 กรกฏาคม 2551

ฝึกตัวเองเพื่อความสำเร็จ (ฉบับที่ 133)

ฝึกตัวเองเพื่อความสำเร็จ (ฉบับที่ 133)

คนส่วนใหญ่ “รู้” ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จ แต่เขาไม่ได้“ทำ”ในสิ่งที่เขา“รู้” จึงเป็นเหตุให้เขายังไม่ประสบความสำเร็จ!!!

ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ เราจะต้อง “ฝึกตัวเอง” และในบางครั้งเราจะต้องฝึก “ฝืนใจของตัวเอง”

ไม่มีใครอยากให้ตัวเองเหนื่อย หรือเผชิญกับความยากลำบาก ความอึดอัดใจ ไม่มีใครอยากฟังเสียงปฏิเสธ หรืออยากให้ตัวเองพบกับความผิดหวัง เราอยากอยู่สบายๆ เราชอบทำอะไรตามใจตัวเอง เราติดกับความเคยชินเดิมๆ หรือที่เรียกว่า ติดอยู่ใน Comfort Zone

ชีวิตเต็มไปด้วยบททดสอบ . .การที่จะประสบความสำเร็จเหมือนกับการว่ายทวนกระแสน้ำ
เราจะต้องฝึกเอาชนะใจตัวเอง เอาชนะความอยากและความไม่อยากของตัวเอง เราจะต้องฝืนใจของตัวเองบ้างในบางครั้ง เราจะต้องมีความตั้งใจมั่น . .

อยากลดความอ้วน >> เราต้องอดใจ ฝืนตัวเองที่จะไม่กินของหวานหรือไอศรีม และกินพอประมาณเท่านั้น

อยากมีลูกค้าเยอะๆ >> เราต้องฝึกตัวเองให้เป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ฝึกทักษะการพูดโน้มน้าวจูงใจ ฝึกให้ใจยอมรับความผิดหวังจากเสียงปฏิเสธของลูกค้า

อยากประสบความสำเร็จ >> เราต้องฝึกความขยัน อดทน เอาชนะความขี้เกียจ ความรักสบาย

อยากรวย >> ฝึกการเก็บหอมรอมริบ ประหยัด ใช้ชีวิตเรียบง่าย เอาชนะความอยากได้ของหรูๆ กินอาหารแพงๆ และความฟุ่มเฟือยต่างๆ

อยากมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น >> ฝึกเอาชนะความมีทิฐิมานะของตัวเอง พ่อแง่แม่งอน ฝืนใจตัวเองไม่ให้วอกแวกไปชอบคนอื่น ให้เวลาและให้ความรักอย่างเต็มที่กับคนในครอบครัว

อยากสุขภาพดี >> ฝึกทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ทานผัก ผลไม้ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย ฝืนใจตัวเองให้เลิกกินเหล้า เลิกสูบบุหรี่

อยากอายุยืน >> ดูแลสุขภาพใจและกายของตัวเองให้ดี ฝึกปล่อยวางสิ่งที่ทำให้เครียด หรือสิ่งที่ทำให้วิตกกังวล

วิธีการฝึกก็คือ เราจะต้อง “มีสติ” คอยตามดู ตามรู้ ตามสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา!!!
คนที่ใช้ชีวิตแบบ”ไม่มีสติ” ก็จะปล่อยให้ตัวเองทำตามอารมณ์ หรือความอยากที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ ถ้าเราสังเกตุให้ดีจะเห็นว่า เรามักจะทำอะไรแบบอัตโนมัติ ตามความเคยชินเดิมๆ เช่น มีคนขับรถปาดหน้าเรา เราก็จะด่าเขาออกไปเลย แบบอัตนิมัติ!!

ถ้าคุณเคยฝึก“สติ” คือฝึกในการตามดูอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของตัวเราเอง คุณจะเห็นเลยว่า บางครั้งเราไม่สามารถควบคุมความคิดของเราได้ เช่น เราไม่อยากคิดถึงปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ เพราะมันทำให้เราเครียดและวิตกกังวล แต่เราก็ไม่สามารถหยุดความคิดนั้นได้ หรือ เราไม่อยากคิดถึงคนที่ทำให้เราเสียใจ แต่เราก็ยังคิดถึงคนๆนั้นอยู่ ใช่หรือไม่?

ถ้าเรา “มีสติ” ในการกิน เวลาที่เราจะกินของที่ไม่มีประโยชน์หรือของที่ทำให้อ้วน มันก็จะมีเสียงเล็กๆในหัวมาเตือนให้เราคิดว่า “ถ้ากินแล้วอ้วนนะ เธอจะกินหรือเปล่า?” เราจะได้พิจารณาว่า ถ้าอยากกินและ “เลือก” ที่จะกิน เราก็ต้อง “รับผิดชอบ” ต่อการเลือก และผลของการเลือกหรือผลของกระทำของเราเอง ถ้าเราอ้วน ก็ไม่ต้องบ่น เพราะเราเลือกเอง!!!

การทำงานก็เหมือนกัน เวลาที่เราออกไปขายของหรือออกไปพบลูกค้า ถ้าลูกค้าปฏิเสธ ยังไม่ซื้อของจากเรา เราก็อาจจะหงุดหงิด เสียใจ ผิดหวัง ท้อแท้ หมดกำลังใจ หรือเลิกทำงานนั้นไปเลยก็ได้ แต่ถ้าเรา ”มีสติ” เราก็จะเห็นตัวเองหมดแรง แล้วก็อาจจะมีความคิดแบบใหม่ว่า “มันเป็นธรรมดาที่มีคนซื้อบ้าง ไม่ซื้อบ้าง” หรือ “อย่างน้อยเราก็ได้รู้จักคนเพิ่ม” หรือ “ได้ฝึกพูด” ซึ่งมันจะทำให้เรากลับมามีพลังใหม่!!

เวลาที่เรา”มีสติ” ตัว”ปัญญา”ก็จะเริ่มเกิด เขาถึงเรียกว่า “สติปัญญา” !!!
“การฝึกสติ” มีคุณประโยชน์อย่างมหาศาล!! .. เราจะเข้าใจตัวเองมากขึ้น เราจะแยกแยะสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น เราจะปล่อยอารมณ์ด้านลบทิ้งได้เร็วขึ้น!! นั่นหมายถึงประสิทธิภาพในการทำงานจะสูงขึ้น และเราจะมีความสุข ความสงบในจิตใจมากขึ้น!!!

ดิฉันเห็นคนที่อยากประสบความสำเร็จ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเยอะแยะมากมาย . .
ดิฉันอยากบอกว่า เราสามารถประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วได้ ถ้าเราเก่ง 2 เรื่อง คือ
1.เก่งเรื่องตัวเอง (Personal Mastery)
2.เก่งเรื่องคนอื่น (People Mastery)


สัมมนา ”ปลุกยักษ์” ที่ดิฉันสอนนั้น เป็นการสอนให้เราเก่งเรื่องตัวเอง ส่วนสัมมนา ”จ้าวแห่งการสื่อสาร” เป็นการสอนให้เราเก่งเรื่องคนอื่น!!

ดิฉันเสียดายเวลาที่เห็นคนมีฝัน มีไฟ อยากประสบความสำเร็จ แต่เขาไม่มีทักษะในเรื่องของการสื่อสารโน้มน้าวจูงใจที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผลงานออกมาน้อยกว่าที่เขาควรจะทำได้!! นักขายพยายามเสนอขาย แต่ปิดการขายได้น้อยเกินไป!! ผู้บริหารหรือผู้นำบางคนมีความคิดอ่านและมีเจตนาที่ดี แต่สื่อสารไม่เป็น ทำให้ลูกน้องหรือทีมงานไม่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่!!


อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 6 ฉบับที่ 133 ปักษ์แรก ประจำวันที่ 1-15 มิถุนายน 2551