วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ดูรายการปูแดงเบสท์59 ทีวีผ่านจานดาวเทียม,เคเบิ้ลท้องถิ่น

ดูรายการปูแดงเบสท์59 ทีวีผ่านจานดาวเทียม,เคเบิ้ลท้องถิ่น

รายการ

วัน

เวลา

สถานี,ช่อง

ปูแดงพารวย

จันทร์ - อาทิตย์

01.00 - 02.00 น.

MV.TV5

"----------"

"----------"

06.00 - 07.00 น.

MV.TV5

"----------"

จันทร์ - ศุกร์

23.00 - 24.00 น.

MV.TV5

"----------"

จันทร์ - อาทิตย์

05.00 - 06.00 น.

MV.Star Chanel (MV.NEWS)

"----------"

"----------"

07.00 - 08.00 น.

MV.Star Chanel (MV.NEWS)

"----------"

"----------"

22.00 - 23.00 น.

MV.Star Chanel (MV.NEWS)

"----------"

จันทร์ - ศุกร์

14.00 - 15.00 น.

MV.Star Chanel (MV.NEWS)

ชี้ช่อง ปลดหนี้

จันทร์ - อาทิตย์

18.00 - 18.30 น.

MV.TV5

ลูกค้าและผู้มุ่งหวัง สรุปมีี 3 กลุ่ม

ลูกค้าเรามี 3 กลุ่ม นะครับ
1.ผู้ใช้
2.ผู้ขาย
3.ผู้ทำเครือข่าย


ประเภทแรก ผู้ใช้
เน้นคุณประโยชน์ของสินค้าเป็นหลัก สินค้าเราช่วยผลผลิตเขาอย่างไร แถมอีกนิดคือ ซื้อซ้ำได้เงินคืน

ประเภทที่ 2 ผู้ขาย
เน้นคุณภาพสินค้า ราคาทุน ราคาขาย กำไรส่วนต่าง ความนิยมของตลาด และสิ่งที่เขาได้หากลงทุนซ้ำ

ประเภทที่ 3 ผู้ทำเครือข่าย
ให้เขารู้ทั้งหมด เน้น แผนรายได้ วิธีที่เขาจะได้รายได้

หาผู้ใช้ มีเยอะ หาง่าย แต่ถ้าเป็นรายย่อยเราเหนื่อย
หาผู้ขาย การซื้อเป็นฤดูกาล นานๆครั้ง
หาคนเครือข่าย ทำให้เขาเป็นงาน ยอดมาต่อเนื่อง ระยะยาว

การทำ MLM ให้ประสบความสำเร็จ

การทำ MLM ให้ประสบความสำเร็จ

1. ศึกษาข้อมูลต่าง ๆ อย่างละเอียด เช่น บริษัท สินค้า แผนการตลาด ตลอดจนจุดเด่นต่าง ๆ ของธุรกิจ
1.1 บริษัท
* พิจารณาความมั่นคง เงินทุนจดทะเบียน
* จำนวนปีที่ได้ดำเนินกิจการ
* นโยบายการสนับสนุนสมาชิก
* ระบบการอบรม พัฒนาสมาชิก

1.2 สินค้า
* ต้องมีคุณภาพเด่นชัด มีมาตรฐานการผลิตที่ชัดเจน
* เป็นสินค้าที่กำลังได้รับความนิยม เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างแท้จริง ไม่ใช่ซื้อเพื่อหวังผลทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว
* เป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป เมื่อหมดแล้วต้องซื้อซ้ำ
* ราคาเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค

1.3 แผน
* ต้องสามารถทำรายได้ ได้จริง ไม่ยุ่งยากหรือซับซ้อนจนเกินไป
* รายได้ต้องมาจากการกระจายสินค้าของสมาชิกและทีมงาน ไม่ใช่จากการชักชวนคนเข้าสู่ระบบ
* เป็นแผนที่ให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ดำเนินธุรกิจ ผู้บริโภค และตัวบริษัท
* ไม่สนันสนุนให้สมาชิกซื้อ และกักตุนสินค้า เพื่อการขึ้นตำแหน่ง
* ต้องมีนโยบายรับประกันความพึงพอใจ

1.4 ผู้บริหาร
* มีตัวตน และดำเนินธุรกิจอย่างสง่างาม และเปิดเผย
* มีความรู้ มีประสบการณ์ และวิสัยทัศน์
* มีคุณธรรม
* สมาชิกสามารถเข้าถึงได้

2. ตั้งเป้าหมาย
* เป้าหมายต้องชัดเจน ว่าเราต้องการอะไร
* เขียนเป้าหมายออกมาเป็นอักษร หรือรูปภาพ
* กำหนดเวลา ว่าจะต้องบรรลุเป้าหมายเมื่อไหร่
* ควรตั้งเป้าหมายทั้งระยะสั้น และระยะยาว

3. วางแผนการทำงาน
การมีแผนงานหรือแผนการที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ทุกคนมีเวลาเท่ากัน คือวันละ 24 ชั่วโมง การที่จะได้เปรียบหรือเสียเปรียบก็อยู่ที่การใช้เวลาของเราในแต่ละวัน ว่าจะบริหารเวลากันอย่างไร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้น หากเราต้องการประสบความสำเร็จเร็ว เราก็ควรใช้เวลให้คุ้ม ใช้เวลาอย่างฉลาด นั่นก็คือ การลดเวลาที่จะสูญเสียไปอย่างไม่จำเป็นนั่นเอง เช่น

- การเดินทางไปติดต่อธุระในช่วงที่การจาจรติดขัด
- การใช้โทรศัพท์พูดคุยนานเกินไป
- ทุ่มเทหรือเสียเวลาให้กับลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังที่ไม่มีคุณภาพ
- นัดพบเพื่อน ๆ ในวงการขายตรง แล้วไปทำกิจกรรมอื่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา เช่น ดูภาพยนต์ ร้องคาราโอเกะ ฯ
จัดระบบการทำงานให้กับตัวเราเอง การจัดระบบการทำงานให้กับตัวเองอาจทำได้โดยการตั้งเป้าหมายการทำงานในแต่ละวัน เช่น
- ติดต่อทีมงานที่สมัครแล้ว และสอนการทำงานกี่คน
- ติดต่อผู้มุ่งหวังกี่คน ที่ไหน อย่างไร จัดลำดับความสำคัญของงาน

การบริหารเวลาให้คุ้มค่านั้น เราจะต้องจัดลำดับความสำคัญของงาน โดยทำงานที่สำคัญและเร่งด่วนก่อนเสมอ โดยเฉพาะแผนการสปอนเซอร์หรือแนะนำคนเข้าสู่ธุรกิจ MLM สิ่งที่เราน่าจะจัดให้อยู่ในลำดับความสำคัญ ก็คือ

- เสนอโอกาสให้กับคนใหม่ ๆ
- การขายผลิตภัณฑ์
- การพาสมาชิกเข้าประชุมอบรม
- การติดตามผู้มุ่งหวัง
- การติดตามทีมงาน
- การเข้าร่วมประชุมธุรกิจ
- การเข้าสังคมเพื่อสร้างฐานสมาชิก หรือขยายสังคม
- การช่วยเหลือสมาชิกในการทำงาน

4. ลงมือทำอย่างต่อเนื่อง

5. ช่วยเหลือทีมงานให้สำเร็จ

6. ฝึกฝนและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

ปัจจัยสู่ความสำเร็จในการทำงานเป็นทีม

ปัจจัยสู่ความสำเร็จในการทำงานเป็นทีม

การทำงานเป็น ทีมนั้นมีความสำคัญต่อผลของงานมาก ถ้ามีทีมเวิร์คทีดีแล้วหล่ะก็รับรองว่าการทำงานทุกอย่างทุกขั้นตอนราบรื่น และประสบผลสำเร็จแน่นอน เพราะการทำงานทุกอย่างต้องได้รับการประสานงานและการร่วมมือที่ดีจากทุกคนใน กลุ่มงาน ดังนั้นวันนี้เราจึงมีปัจจัยสู่ความสำเร็จในการทำงานเป็นทีมมาฝากให้ได้อ่าน กันครับ

1. บรรยากาศของการทำงานมีความเป็นกันเอง อบอุ่น มีความกระตือรือร้น และสร้างสรรค์ทุกคนช่วยกันทำงานอย่างจริงจัง และจริงใจ ไม่มีร่องรอยที่แสดงให้เห็นถึงความเบื่อหน่าย

2. ความไว้วางใจกัน (Trust) เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานเป็นทีม สมาชิกทุกคนในทีมควรไว้วางใจซึ่งกันและกันได้ ซื่อสัตย์ต่อกัน สื่อสารกันอย่างเปิดเผย ไม่มีลับลมคมใน

3. มีการมอบหมายงานอย่างชัดเจน สมาชิกทีมงานเข้าใจวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และยอมรับภารกิจหลักของทีมงาน

4. บทบาท (Role) สมาชิกแต่ละคนเข้าใจและปฏิบัติตามบทบาทของตน และเรียนรู้เข้าใจในบทบาทของผู้อื่นในทีม ทุกบทบาทมีความสำคัญ รวมทั้งบทบาทในการช่วยรักษาความเป็นทีมงานให้มั่นคง เช่น การประนีประนอม การอำนวยความสะดวก การให้กำลังใจ เป็นต้น

5. วิธีการทำงาน (Work Procedure) สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณา คือ
5.1 การสื่อความ (Communication) การทำงานเป็นทีมอาศัยบรรยากาศ การสื่อความที่ชัดเจนเหมาะสม ซึ่งจะทำให้ทุกคนกล้าที่จะเปิดใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จนเกิดความเข้าใจ และนำไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพ
5.2 การตัดสินใจ (Decision Making) การทำงานเป็นทีมต้องใช้การตัดสินใจร่วมกัน เมื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกในทีมแสดงความคิดเห็น และร่วมตัดสินใจแล้ว สมาชิกย่อมเกิดความผูกพันที่จะทำในสิ่งที่ตนเองได้มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น
5.3 ภาวะผู้นำ (Leadership) คือ บุคคลที่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น การทำงานเป็นทีมควรส่งเสริมให้สมาชิกทุกคนได้มีโอกาสแสดงความเป็นผู้นำ (ไม่ใช่ผลัดกันเป็นหัวหน้า) เพื่อให้ทุกคนเกิดความรู้สึกว่าได้รับการยอมรับ จะได้รู้สึกว่าการทำงานเป็นทีมนั้นมีความหมาย ปรารถนาที่จะทำอีก
5.4 การกำหนดกติกา หรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่จะเอื้อต่อการทำงานร่วมกันให้บรรลุเป้าหมาย ควรเปิดโอกาสให้สมาชิกได้มีส่วนร่วม ในการกำหนดกติกา หรือกฎเกณฑ์ที่จะนำมาใช้ร่วมกัน

6. การมีส่วนร่วมในการประเมินผลการทำงานของทีม ทีมงานควรมีการประเมินผลการทำงาน เป็นระยะ ในรูปแบบทั้งไม่เป็นทางการ และเป็นทางการ โดยสมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการประเมินผลงาน ทำให้สมาชิกได้ทราบความก้าวหน้าของงาน ปัญหา อุปสรรคที่เกิดขึ้น รวมทั้งพัฒนากระบวนการทำงาน หรือการปรับปรุงแก้ไขร่วมกัน ซึ่งในที่สุดสมาชิกจะได้ทราบว่าผลงานบรรลุเป้าหมาย และมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด

7. การพัฒนาทีมงานให้เข้มแข็ง
7.1 พัฒนาศักยภาพทีมงาน ด้วยการสร้างแรงจูงใจทางบวก สมาชิกมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีการจัดกิจกรรมสร้างพลังทีมงาน เกิดความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้ประสบผลสำเร็จ
7.2 การให้รางวัล ปัจจุบันการพิจารณาผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานไม่เอื้อต่อการทำงานเป็นทีม ส่วนใหญ่จะพิจารณาผลการทำงานเป็นรายบุคคล ดังนั้นระบบรางวัลที่เอื้อต่อการทำงานเป็นทีม คือ การที่ทุกคนได้รางวัลอย่างยุติธรรมทุกคน คือ ควรสนับสนุนการให้รางวัลแก่การทำงานเป็นทีมในลักษณะที่ว่างอยู่บนพื้นฐานการ ให้รางวัลกับกลุ่ม (Group base reward system)

เป็นไงครับ วิธีที่เรานำมาแนะนำ ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ ลองปฏิบัติตามกันดู รับรองว่าทีมงานของคุณจะเป็นทีมงานที่มีประสิทธิภาพในการทำงานอย่างแน่นอน ครับ!!!!

การมุ่งเป้าไปที่ความสำเร็จ การทำงานร่วมกับผู้อื่น และรางวัลที่คุณควรได้

การมุ่งเป้าไปที่ความสำเร็จ การทำงานร่วมกับผู้อื่น และรางวัลที่คุณควรได้

1.เป้าหมายที่คุณต้องไปให้ถึง
- อย่าลืมว่าในโลกของธุรกิจเครือข่ายคือการช่วยเหลือ การที่คุณช่วยเหลือคนอื่นให้มีรายได้มากขึ้นนั่นหมายความว่าคุณเองก็จะมีรายได้มากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จเป็นอย่างแรกเลยคือ การช่วยเหลือให้บุคคลหลากหลายเหล่านั้นประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญต่อมาคือการตอบตัวเองให้ได้ว่า ทำไมเราถึงอยากที่จะทำธุรกิจนี้ให้ประสบความสำเร็จ เหตุผลของแต่ละคนไม่เหมือนกันในการทำธุรกิจ ขอให้คุณจำให้ได้ว่าวันนี้คุณทำธุรกิจเพื่ออะไรหรือเพื่อใคร แล้วคุณจะไม่หมดแรงลงง่ายๆ

2.แผนงาน
- หลังจากที่คุณตั้งมั่นในตัวคุณแล้วว่าต้องทำให้ได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม คุณเองจำเป็นต้องมีแผนงานและวิธีการทำที่เหมาะสม แผนงานจะเป็นตัวกำหนดวิธีการทำงานของคุณ ซึ่งอาจทำให้คุณสำเร็จหรือล้มเหลวก็ได้ สิ่งสำคัญที่มาถึงขั้นตอนนี้คือ คุณจะทำยังไงเพื่อช่วยเหลือคนนับพัน เราควรเริ่มต้นจากการพูดคุยกับคนแรกก่อน แล้วเราควรพูดอะไรกับเขา สิ่งที่คุณควรบอกเขาเหล่านั้น คือวิธีการที่คุณสามารถช่วยเหลือเขาให้ประสบความสำเร็จมากขึ้นได้จากสิ่งที่คุณทำอยู่ มันไม่ใช่โอกาสที่มาจากบริษัท มันไม่ใช่โอกาสที่มาจากผลิตภัณท์อันดับ 1 แต่เป็นโอกาสจากมนุษย์ที่ต้องการช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน จากนั้นสอนเขาต่อว่าเขาจะสอนคนอื่นต่อได้อย่างไร หากคุณทำได้อย่างนี้ โอกาสที่จำสำเร็จได้ในเวลาสั้นไม่ใช่เรื่องยาก

3.ทีม
- อย่าลืมว่าวันนี้ไม่ว่าคุณจะทำงานในรูปแบบใดจะต้องมีทีมคอยสนับสนุนเสมอ จำไว้ว่าคนเราไม่ได้เก่งไปหมดทุกด้าน บางคนเก่งด้านการพูด บางคนเก่งด้านเทคโนโลยี บางคนเก่งด้านการขาย สิ่งสำคัญคือให้ทีมของคุณได้มีการเรียนรู้และพัฒนาตลอดเวลา เพื่อชดเชยในสิ่งที่ขาดไป อย่าพยายามที่จะทำอะไรด้วยตัวคนเดียว เพราะมันไม่ได้กระตุ้นให้ทีมมีความคิดริเริ่มทำอะไรเลย ในทีมที่ perfect ที่สุดคือ ทุกคนสามารถทำตามบทบาทของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม แต่เขาเหล่านั้นก็เข้าใจในบทบาทของผู้ร่วมทีมเช่นกัน

4.การพบปะพูดคุย
- หากคุณมีเป้าหมาย มีแผนงาน และทีมงานที่พร้อม คุณเองควรจัดให้มีการพูดคุย ในบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน หรือการหารือกันเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงแผนงาน ทีมงานของคุณเองก็ต้องการที่จะรู้ว่าเขาจะทำอะไร การพูดคุยกันเป็นทีมจะทำให้เข้าใจถึงบทบาทของแต่ละคนมากขึ้น เหมือนการแข่งขันฟุตบอล นักฟุตบอลเองก็มีการซักซ้อมอยู่เสมอๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจนักฟุตบอลในทีม และหลักของการทำงานเป็นทีม ตารางงานของทุกคนเองก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ให้ทุกคนรู้ตารางงาน เพื่อกำหนดเป้าหมายที่แน่นอน เมื่อทีมงานมีการทำงาน ทุกคนจะช่วยเหลือกันในส่วนที่ขาด มันจะทำให้องค์กรคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดทีเดียว

5.รางวัล
- หลังจากที่ทีมของคุณได้ทำงานลุล่วงเป้าหมายแล้ว คนที่เป็นผู้นำ ควรที่จะให้รางวัลแก่ทีม รางวัลที่เกิดจากการร่วมกันทำงาน รางวัลที่เกิดจากการทำให้แบบแผนสำเร็จ จำไว้ว่ารางวัลจากบริษัทไม่ได้ช่วยกระตุ้นให้เขาเกิดอยากทำมากขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้เขาอยากทำมากขึ้นเป็นรางวัลจากผู้นำในองค์กร ที่ผู้นำจะเป็นคนให้เอง มันจะทำให้ทุกคนในองค์กรรักคนที่เป็นผู้นำมากขึ้น และพวกเขาก็จะทำให้องค์กรของคุณยิ่งใหญ่ขึ้นไปด้วย ผ่านความเป็นผู้นำของคุณ

จำไว้ว่าทุกคนในองค์กรรู้ว่าเขาเองควรทำอย่างไร แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาเองจึงต้องทำ การทำให้เขาเข้าใจว่าทำไมเขาควรทำหรือทำเพื่อใคร ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้เขาเองไม่ล้มเลิกไปจากคุณหากคุณสามารถทำได้ดังนี้ คุณเองก็สามารถประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายแน่นอน

การวิเคราะห์ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง

การวิเคราะห์ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง
เป็นข้อได้เปรียบประการหนึ่งของธุรกิจขายตรง ซึ่งต้องมีความใกล้ชิดกับลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังเพราะเป็นลักษณะของการนำเสนอขายโดยตรงกับ กลุ่มลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง และต้องให้ความสำคัญ ดูแลลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังอย่างทั่วถึง
ถ้าตัวแทนจำหน่ายหรือผู้จำหน่ายอิสระสามารถวิเคราะห์ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ ก็จะเป็นตัวช่วยให้สามารถกำหนดทิศทาง กลวิธี และนำเสนอรูปแบบของการขายตรงให้ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังได้รับรู้ถึงคุณค่า สร้างประสบการณ์ที่ดีใน
การใช้สินค้าและบริการ จนทำให้เกิดความพึงพอใจและตัดสินใจซื้อหรือสมัครเป็นสมาชิกของธุรกิจขายตรง
ซึ่งการศึกษาและวิเคราะห์ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังสำหรับธุรกิจขายตรง สามารถใช้หลักการง่ายๆ ในการทำความเข้าใจลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง ดังต่อไปนี้

1.ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังเป็นใครหรือใครคือลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง (Who)
เป็นการกำหนดหากลุ่มลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังเป้าหมาย หรือเราต้องการนำเสนอขายสินค้า และบริการให้ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังกลุ่มไหน
ซึ่งการวิเคราะห์ลักษณะของกลุ่มลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังเป้าหมาย (Occupants) ช่วยให้ทราบถึงพฤติกรรมในการซื้อและการใช้ของกลุ่มลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังเป้าหมายที่แท้จริง ตัวแทนจำหน่ายหรือผู้จำหน่ายอิสระจะต้องกำหนด กลุ่มลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังเป้าหมายที่ชัดเจนและต้องวิเคราะห์ถึงลักษณะความเป็นไปได้ของ กลุ่มลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังเป้าหมายดังกล่าว ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในธุรกิจขายตรง โดยในการวิเคราะห์และกำหนดกลุ่มลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังเป้าหมายตัวแทนจำหน่ายหรือผู้จำหน่ายอิสระจะต้องมีการแบ่งส่วน ตลาดอย่างชัดเจน ที่สามารถวัดเชิงปริมาณได้ และง่ายต่อการเข้าถึงเพราะผู้บริโภคทั้ง หมดอาจจะไม่ใช่ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังเป้าหมายเสมอไป และถ้าหากไม่มีการแบ่งส่วนตลาดจะทำให้ยากต่อการวิเคราะห์ถึงความต้องการของ ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังที่แท้จริง จนทำให้ไม่สามารถนำเสนอในรูปแบบที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังได้

2.ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังต้องการซื้ออะไร (What)
เป็นการวิเคราะห์ถึงสิ่งที่ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังซื้อ (Objects) เพื่อให้ทราบถึงความต้องการที่แท้จริงซึ่งลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังต้องการจากผลิตภัณฑ์หรือ ธุรกิจขายตรง เมื่อมีการแบ่งส่วนตลาดที่ดีและเลือกกลุ่มลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม ชัดเจน ก็จะทำให้ง่ายต่อการศึกษาถึงความต้องการของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังจากสิ่งที่เขาซื้อ เช่น ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังบางคนซื้อสินค้าของธุรกิจเพราะคุณภาพของสินค้าและบริการ หรือบางคนซื้อสินค้าเพราะความเกรงใจ เนื่องจากเป็นญาติกับตัวแทนจำหน่ายหรือผู้จำหน่ายอิสระ หรือบางคนซื้อเพราะความสะดวกในด้านช่องทางการจำหน่าย หรือบางคนซื้อเพราะต้องการรายได้จากการส่งเสริมการขาย ซึ่งการวิเคราะห์ถึงสิ่งที่ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังต้องการ ต่างๆ เหล่านี้จะทำให้ตัวแทนจำหน่ายหรือผู้จำหน่ายอิสระเข้าใจลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังได้มากขึ้น

3.ทำไมลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังถึงซื้อ (Why)
เป็น การวิเคราะห์ถึงวัตถุประสงค์ของการซื้อ (Objectives) จะช่วยให้ทราบว่าทำไมลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังตัดสินใจซื้อสินค้า เพื่อสามารถนำมาเป็นแนวทางในการวางแผนนำเสนอและจูงใจกลุ่มลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังเป้าหมาย ให้สามารถ ตอบสนองเหตุผลที่ทำให้ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังตัดสินใจซื้อหรือสมัครสมาชิกธุรกิจขายตรงได้ ซึ่งวัตถุประสงค์การซื้อของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังสำหรับธุรกิจขายตรง สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเด็นหลักๆ คือ ประเด็นแรก ซื้อสินค้า เพื่อใช้เองหรือใช้ในครอบครัว และประเด็น ที่ 2 คือ ซื้อสินค้าเพื่อทำธุรกิจขายตรงเป็น อาชีพหลักหรืออาชีพเสริม

ดังนั้นตัวแทนจำหน่ายหรือผู้จำหน่ายอิสระจะต้องนำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างกันและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะ ต้องให้ความสำคัญกับลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังทั้ง 2 กลุ่ม เพื่อเป็นการบริหารทีมงานและยอดขายของเครือข่ายขายตรงที่มีประสิทธิภาพ

4. ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังซื้อสินค้าเมื่อไร(When)
เป็นการวิเคราะห์โอกาสที่จะซื้อของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง (Occasions) ซึ่งลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังจะมีพฤติกรรมในการบริโภคหรือตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการในแต่ละ ประเภทแตกต่างกันตามโอกาสที่จะใช้หรือซื้อ และปัจจัยเรื่อง ช่วงเวลาก็มีผลให้ความต้องการของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง ต่างออกไป ดังนั้น การวิเคราะห์โอกาสในการซื้อของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังจะช่วยให้ตัวแทนจำหน่ายหรือผู้จำหน่ายอิสระสามารถ วางแผนการนำเสนอในรูปแบบและในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งบางครั้งการกำหนดช่วงเวลาในการนำเสนอรูปแบบ และผลิตภัณฑ์ขายตรงสำหรับลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังที่ทำงานประจำก็จะต้องเป็นช่วงของเวลา หลังเลิกงานหรือวันหยุด โดยจะขึ้นอยู่กับความพอใจของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังดังกล่าวเป็นหลัก

5.ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังซื้อที่ไหน (Where)
เป็น การทำความเข้าใจกับพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังว่านิยมซื้อสินค้าชนิดนั้นๆ ที่ไหน (Outlets) หรือสะดวกในการรับรู้ถึงการ นำเสนอรูปแบบขายตรงที่ไหน อาจจะเป็น ที่บ้าน ที่ทำงาน ร้านอาหาร หรือสถานที่อื่นๆ ซึ่งต้องเป็นการบริหารช่องทางการนำเสนอที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง แต่ละกลุ่มนอกจากนี้ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและการรับรู้ข้อมูล สารสนเทศที่รวดเร็ว ก็อาจทำให้ตัวแทนจำหน่ายหรือผู้จำหน่ายอิสระต้องอาศัยเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ ติดต่อหรือเสนอขายผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ต เพื่อให้สอดคล้องกับสถาน การณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและสามารถอำนวยความสะดวก จนสร้างความ พึงพอใจให้แก่ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังได้มากยิ่งขึ้น

6.ใครมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซื้อ (Who)
เป็นการวิเคราะห์เกี่ยวกับผู้มีบทบาท ในการซื้อ (Organizations) ซึ่งการตัดสินใจซื้อหรือสมัครสมาชิกของธุรกิจขายตรงอาจมีบุคคลอื่นที่มีส่วน ร่วมหรือมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ เพราะผู้ที่ทำหน้าที่ซื้ออาจไม่ใช่ผู้ใช้สินค้าโดยตรง หรือบางครั้งคนตัดสินใจซื้อไม่ได้มีแค่คนเดียว อาจใช้ร่วมกันหลายคน ผู้ซื้ออาจไม่มีความรู้หรือความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสินค้ามากนัก จำเป็นต้องใช้ผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญ หรือใช้กลุ่มลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับสินค้านั้นๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การศึกษาและวิเคราะห์ถึงผู้มีส่วนร่วมก็เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดทำ โปรแกรมการนำเสนอขาย ให้สามารถช่วยกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังได้อย่างรวดเร็วและง่ายขึ้น ดังนั้น ตัวแทนจำหน่ายหรือผู้จำหน่ายอิสระต้องพิจารณา ว่าจะใช้กลุ่มอ้างอิงใดในการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ แต่ละประเภทหรือสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้มีส่วนร่วมที่แตกต่างกันได้อย่างไร

7.ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังซื้ออย่างไร(How)
เป็น การศึกษาและวิเคราะห์ถึงวิธีการซื้อ (Operations) ซึ่งลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังแต่ละคนอาจจะมีกระบวนการตัดสินใจซื้อที่แตกต่างกันออกไป โดยตัวแทนจำหน่ายหรือผู้จำหน่ายอิสระจะต้องทราบถึงขั้นตอนการซื้อของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง ว่ามีการรับรู้ปัญหาอย่าง ไรเกี่ยวกับการตอบสนองของสินค้าหรือบริการ แล้วลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังทำการค้นหาข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร
เพื่อที่จะประเมินทางเลือกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา และนำไปสู่การตัดสินใจซื้อได้อย่างไร ข้อมูลทั้งหมดเหล่านี้จะช่วยให้ตัวแทนจำหน่ายหรือผู้จำหน่ายอิสระสามารถ วางแผนในการนำเสนอและจูงใจให้ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังรับรู้ได้ในทุกขั้นตอนของกระบวนการ ตัดสินใจ ซึ่งต้องมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังมากที่สุด

นอกจากนี้ถ้าหากทราบความรู้สึกของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังหลังจากซื้อสินค้าหรือบริการก็จะ ช่วยให้สามารถปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอและพัฒนาสินค้าหรือบริการให้ตอบสนอง ต่อความต้องการของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังได้ดียิ่งขึ้น การศึกษาและวิเคราะห์ถึงกลุ่มลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง เป้าหมายเพื่อการดำเนินธุรกิจขายตรง ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยตัวแทนจำหน่ายหรือผู้จำหน่ายอิสระทุกคนจะต้องให้ความสำคัญกับความต้องการหรือ ปัญหาของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง เพราะคงไม่มีธุรกิจใดที่ประสบความสำเร็จได้โดยไม่อาศัยลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง

ซึ่งถ้าหากตัวแทนจำหน่ายหรือผู้จำหน่ายอิสระ ทำความรู้จัก เข้าใจในความต้องการหรือปัญหา และเรียนรู้ถึงประสบการณ์ของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังอย่างแท้จริง สม่ำ เสมอ ก็จะทำให้มีความสุขในการประกอบอาชีพขายตรงและความสำเร็จในอาชีพขายตรงก็จะ อยู่ไม่ไกลเกินฝัน

กลยุทธ์ 7 ประการสู่ความสำเร็จในธุรกิจ MLM

กลยุทธ์ 7 ประการสู่ความสำเร็จในธุรกิจ MLM

หลัก การสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจการขายตรงแบบหลายชั้น หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าธุรกิจแบบเครือข่าย ประสบความสำเร็จได้นั้น จริงๆ แล้วมิได้มีอะไรซับซ้อนมากมายนักขอเพียงทำอย่างจริงจัง ทำอย่างอดทน ทำอย่างสม่ำเสมอ ศึกษาเรียนรู้และเลียนแบบผู้ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง ก็สามารถประสบความสำเร็จได้

ธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายนั้น เป็นธุรกิจที่อาจกล่าวได้ว่า”เป็นธุรกิจที่เรียนง่ายแต่ไม่ง่าย” (SIMPLE BUT NOT EASY) ที่ว่าไม่ง่ายนั้นมิได้หมายความว่า “ทำยาก” แต่อย่างใดแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ง่าย ก็เพราะส่วนมากมิได้”ทำจริง” ขอเพียงทำอย่างจริงจังเท่านั้นก็สามารถประสบความสำเร็จกันได้ทุกคน ส่วนว่าจะช้าหรือเร็วนั้น ขึ้นอยู่กับ”เทคนิค”เงื่อนไข”บางประการ

กลยุทธ์ 7 ประการสู่ความสำเร็จในธุรกิจ MLM
1.ทำอย่างอดทน ธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายนั้น แพ้ชนะ วัดกันที่ความอดทนไม่ได้วัดกันที่ความเฉลียวฉลาดหลักแหลม หรือความอัจฉริยะ จงจำไว้ว่า “คนชนะ”นั้นแพ้มากกว่า”คนแพ้” เสียอีกเพียงแต่คนชนะไม่ยอมแพ้ ยังคงอดทนทำต่อไปจนชนะในที่สุด

2.ทำอย่างฉลาด การจะประสบความสำเร็จได้นั้น อดทนอย่างเดียวไม่พอ หรืออาจจะทำให้ประสบความสำเร็จช้ามากจนเกือบไม่มีอนาคต จนเกือบจะท้อแท้เลิกราไป แต่ถ้าทำอย่างฉลาดด้วยก็จะทำให้การทำงานมีประสิทธิผลมากขึ้น เช่น อย่าเสียเวลากับคนน่าเบื่อมากเกินไป รู้จักมองคนที่จะเป็นผู้นำได้ กิจกรรมทุกกิจกรรมที่เราเข้าร่วมต้องสร้างอานิสงค์กับความก้าวหน้าด้วย มิใช่เฮไหนเฮด้วยช่วยเฮนั่นไปเสียทุกงาน ทุกกิจกรรม รู้จักกินทีละคำ อย่าพยายามเหนื่อยกับทุกคน เหนื่อย กับทุกครั้ง เหนื่อยกับทุกอย่าง โดยไม่รู้ว่าจะเกิดคุณประการอะไรได้บ้าง เรามีเวลาอยู่จำกัด เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้หมด จงเลือกทำเฉพระสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อความสำเร็จจริงๆ เท่านั้น

3. ทำอย่างมุ่งมั่น ต้องไม่โลเล เปลี่ยนใจง่าย ต้องกัดไม่ปล่อย เมื่อตัดสินใจแล้ว ต้องล็อคหางเสือ มุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว ต้องทำขั้นทุบหม้อข้าว เผาสะพานกันเลยทีเดียว คนส่วนมากประสบความล้มเหลวเพราะไม่มุ่งมั่นพอ ทำธุรกิจนี้อย่างกล้าๆ กลัวๆ เผื่อเหลือเผื่อขาด เผื่อทางถอยไว้มากมายหลายทางเหลือเกิน เมื่อประสบปัญหาแม้เพียงเล็กน้อย แทนที่จะหาวิธีว่าจะทำอย่างไร ให้สำเร็จ กลับพยายามหาข้ออ้างสารพัด เพื่อจะบอกว่าทำไม มันจึงไม่สำเร็จ หลายคน โผไปทางโน้นที โผไปทางนี้ที แสวงหาสินค้าในอุดมคติ ดิ้นรนหาแผนการตลาดสุดวิเศษ ซึ่งชั่วชีวิตก็ไม่เคยพบ เพราะปัญหาอยู่ที่ตัวเขาเอง ไม่ได้อยู่ที่สินค้า องค์กร หรือแผนกการขาย – แผนการตลาด


4 .ทำอย่างศรัทธา ผู้ ที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจแบบเครือข่าย ต้องศรัทธาต่อตนเอง ศรัทธาต่อวิชาชีพ ศรัทธาในตัวสินค้า ศรัทธาต่อองค์กร ศรัทธาต่อทีมงาน ศรัทธาต่อแผนงาน จงจำไว้ว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ดีที่สุด จะดีหรือไม่เพียงใด อยู่ที่ความคิดจิตใจและศรัทธาของเราเท่านั้น

5. ทำอย่างมืออาชีพ การจะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องอาศัย”4” คือทัศนคติ......เทคนิค..... ทักษะ..... และแทคติคส์ แน่นอนว่าในเส้นทางของธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายนั้น”ทัศนคติ”เป็น สิ่งสำคัญที่สุด และอาจถือเป็นส่วนชี้ขาดความสำเร็จหรือส้มเหลวได้เลยทีเดียว แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า เทคนิค...ทักษะ...หรือแม้แต่แทคติคส์ ก็มีส่วนสำคัญที่จะทำให้เราเป็น”มืออาชีพ” มากขึ้น ประสบความสำเร็จได้รวดเร็วขึ้น ทำงานอย่างมีประสิทธิ์ผลมากขึ้น

6.ทำด้วยความเสียสละ กฎ สำคัญข้อหนึ่งของธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายก็คือเราต้องช่วยให้ผู้อื่นประสบ ความสำเร็จก่อน เราจึงจะประสบความสำเร็จ ต้องให้ผู้อื่นมากกว่าที่เขาสมควรได้รับ การช่วยเหลือต่างสายงาน บางครั้งก็จำเป็นต้องทำด้วยความใจกว้าง และไม่ต้องห่วง กฎแห่งการตอบแทน ตามธรรมชาติไม่เคยผิดพลาด เราไม่มีวันสูญเปล่าในสิ่งที่เราทำเพื่อช่วยเหลื่อคนอื่น ขอเพียงทำอย่างมีสติ และอย่างฉลาด

7. ทำอย่างมีคุณธรรม ต้อง ไม่ริษยา ไม่นินทาว่าร้าย ไม่แย่งลูกทีม ไม่โกง ไม่โกหก ไม่ก่อปัญหาชู้สาว ไม่เหยียบหัวลูกทีมเพื่อขึ้นตำแหน่ง ไม่ลืมตัว บางคนเพียงแค่ประสบความสำเร็จในระดับปานกลางเท่านั้นก็เปลี่ยน ไปเป็นคนละคน เปลี่ยนไปในทางหยิ่งทะนง ดูถูกคนอื่น คุยข่ม อวดตัว วางก้าม ฯลฯ

10 ททท. กฎเริ่มต้นของนักธุรกิจ

10 ททท. กฎเริ่มต้นของนักธุรกิจ

1. ทำทันที

จากสุภาษิตจีนที่ว่า การเดินทาง 1,000 ลี้ ย่อมเกิดขึ้นจากก้าวแรกเสมอ ธุรกิจ MLM ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราได้ตัดสินใจเลือกบริษัทที่เหมาะสมกับเราไม่ว่าจะเป็นรูปแบบธุรกิจ สินค้า และองค์ประกอบต่างๆ ในการทำงานก็ตาม โดยมากนักธุรกิจ MLM จะเห็นว่าเป็นอาชีพอิสระ อาชีพเสริม ดังนั้นจึงมักไม่ให้ความสำคัญทันทีมากนัก เช่น อาจยังไม่สมัครรอกลับไปคิดอีกที หรือสมัครแล้วเดี๋ยวค่อยๆ ทำก็ได้ เป็นต้น แต่ความเป็นจริงแล้วผู้ที่จะประสบผลสำเร็จในอาชีพนี้มักเกิดจากบุคคลที่เริ่มทำทันที เพราะเห็นคุณค่าของโอกาสและเวลาที่อาจผ่านไปในแต่ละวัน ดังนั้นจึงควรเริ่มทำทันที

2. ทำทุกที่
นักขายหรือนักการตลาด MLM ที่เห็นโอกาส จะเห็นว่าคนทุกคนที่เราได้พบบนโลกนี้สามารถเป็นลูกค้าเราได้หมด ไม่ว่าจะเป็นคนที่รู้จัก เช่น ครอบครัว ญาติ เพื่อน เพื่อนร่วมงาน คนข้างบ้าน เป็นต้น หรือคนที่ไม่รู้จักที่มีอยู่ทั่วไปที่เราสามารถพบเจอได้ ดังนั้นเราอาจนำเสนอขายสินค้า หรือเปิด โอกาสในการเข้าร่วมธุรกิจให้กับคนทุกคนทุกที่ได้ตลอดเวลาโดยไม่มีข้ออ้าง ข้อสำคัญคือ การพิจารณาสินค้าหรือรูปแบบการนำเสนอที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายให้ถูกต้อง และไม่ต้องกลัวคำว่าผิดหวัง เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่เราอาจมีทั้งสมหวังและผิดหวังได้

3. ทำทุ่มเท
การทำงานใดๆ ก็ตาม หากเราไม่ทุ่มเท มุมานะ เราก็จะสำเร็จได้ยากหรือใช้เวลานาน ดังนั้นการทุ่มเทในการทำธุรกิจ MLM ก็เช่นเดียวกัน เราต้องทุ่มเทหนักเช่นเดียวกัน ให้คิดว่าที่ปลายทางย่อมมีแสงสว่างเสมอ การทำงาน ในอาชีพอื่นๆ เช่น การทำงานกินเงินเดือน เรายังทุ่มเทได้ แต่ปลายปีอาจได้รับการขึ้นขั้น ขึ้นเงินเดือน เพียงนิดหน่อย เราก็ยังทำอยู่ แต่หากเราทุ่มเทให้กับธุรกิจ MLM จริงจัง เราจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าอาชีพที่ทำอยู่ทั่วไปได้ เปรียบเสมือนการทำงานแบบ “เหนื่อยไม่กี่เดือน แต่สบายไม่รู้กี่ปี”

4. ทำทนทาน
นักธุรกิจ MLM หากต้องการความก้าว หน้าและความสำเร็จนั้นต้องไม่ย่อท้อต่อเนื่องยาวนาน บางคนทำเล่นๆ บางคนเดี๋ยวทำเดี๋ยวเลิก บางคนทำแล้วย้ายบริษัทไปมา ก็จะไม่มีวันสำเร็จ และจุดนี้เองที่ทำไมมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ทำแล้วไม่สำเร็จ เพราะไม่รู้จักการอดเปรี้ยวไว้กินหวานรอวันแห่งความสำเร็จ ดังนั้นธุรกิจนี้เสมือนการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่วิ่งร้อยเมตรที่มาแรงแล้วก็ไป แต่ต้องใช้เวลาและความพยายามต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าจนไปถึงจุดที่เราตั้งเป้าหมายไว้

5. ทำทั้งแท่ง
การทำธุรกิจ MLM นั้นจะต้องทำทั้งกาย ทั้งใจ หายใจเข้าออกเป็นธุรกิจ MLM ชนิดเข้าสายเลือด คนที่สำเร็จในธุรกิจนี้บางคนถึงขนาดบอกว่า กรีดเลือดออกมายังเป็น MLM เลย และผู้ที่สำเร็จจำนวนไม่น้อยที่ทำแบบทั้งครอบครัว ทั้งสามีภรรยา แถมบางครอบครัวก็มีลูกช่วยด้วย และแบ่งหน้าที่กันทำอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้เราต้องมีทัศนคติบวก มีความคิดที่ดีเป็นพื้นฐานกับธุรกิจนี้เสียก่อน แล้วเราจะทำได้แบบทั้งแท่งของตนเอง

6. ทำทบทวน
การทำ MLM ก็เหมือนกับงานอื่นๆ ที่เมื่อทำไปแล้วจะต้องมีการสรุปผลและการพิจารณาปรับปรุงในจุดบกพร่อง ดังนั้นบางคนเน้นขาย ขายเท่าไรก็ขายไม่ได้สักที หรือการชักชวนผู้มาร่วมธุรกิจ ชวนเท่าไรก็ไม่มีคนตอบรับเสียที ดังนั้นเราเองจะต้องรู้จักทบทวนในสิ่งที่เราทำเสมอ จุดที่ทำดีแล้วก็พิจารณาเสริม เพิ่มเติมในสิ่งใหม่ๆ ที่ดีขึ้น แต่ข้อบกพร่องต้องแก้ไข หากเราไม่มีทางออกให้ถามหาผู้รู้ เพราะธุรกิจ MLM นี้เป็นธุรกิจที่ช่วยเหลือกัน ผู้ที่เก่งหรือมีความสามารถในทีม งานหรือบริษัทสามารถเป็นอาจารย์ให้แก่เราได้

7. ทำท้าทาย
การทำธุรกิจให้สำเร็จต้องรู้จักการพัฒนาให้เกิดความก้าวหน้าไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเสมอ ตามคำกล่าวที่ว่า “Success is a journey, not a destination” ซึ่งหมายถึงว่า “ความสำเร็จเปรียบเสมือนการเดินทาง อย่าเพียงคิดแค่ว่ามันคือจุดหมายปลายทาง” ดังนั้นเราต้องท้าทายตนเองให้ทำงานที่ยากขึ้น กว้างขึ้น ลึกขึ้น ละเอียดขึ้น และมีประสิทธิภาพพร้อมผลตอบแทนสูงขึ้นด้วย ต้องรู้สึกสนุกกับการทำลายสถิติหรือมาตรฐานที่เราเคยทำได้ให้ดีขึ้น

8. ทำทั้งทีม
MLM เป็นธุรกิจที่เกื้อกูลกันแบบเครือข่ายทีมงาน ไม่มีใครที่จะสามารถประสบความสำเร็จและร่ำรวยได้เพียงการทำงานลำพังตนเอง เพราะมีความเกี่ยวกับแผนธุรกิจที่เชื่อมโยงรายได้ที่จะเกิดขึ้นจากทีมงานแบบทางอ้อมที่นอกเหนือจากผลงานเราเอง ดังนั้นการยึดมั่น รู้จักการทำงานร่วมกัน การให้เกียรติกัน การแบ่งหน้าที่กัน การสนับสนุนซึ่งกันและกัน นั่นเองจึงจะนำไปสู่เป้าหมายได้

9. ทำท่องเที่ยว
การทำ MLM จะไม่มีการกำหนดตาย ตัวในการทำในเรื่องอาณาเขต ถึงแม้ว่าการเริ่มต้นในช่วงแรกๆ เราควรคำนึงถึงเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นงบประมาณที่สูง หากเราต้องออกหากลุ่มเป้าหมายไกลๆ ดังนั้นควรทำใกล้ๆ บ้านหรือบริษัทที่ทำอยู่ก่อนเป็นหลักก็จริง แต่เมื่อเราเริ่มสามารถขยายงานและมีทีมงานได้ระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่ตามมาเสมอ คือ การออกไปช่วยทีมงานของเราที่อาจอยู่หลายพื้นที่ หลายจังหวัดได้ ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องมีการวางแผนการช่วยเหลืองานระหว่างกันเป็นระบบด้วย หากมองในแง่ดีคือเราอยู่ในธุรกิจที่ได้ท่องเที่ยวตลอดเวลานั่นเอง

10. ทำทิ้งท้าย
เมื่อเราสามารถปิดการขายได้ หรือได้รับการสมัครเป็นทีมงานใหม่จากผู้มุ่งหวังที่เราไปพบ อย่าลืมที่จะติดต่อสื่อสารให้ข้อแนะนำ ช่วยเหลือ และพัฒนาให้คนเหล่านั้นสามารถทำงานต่อไปได้ เพราะการพัฒนาคนเปรียบเสมือนการพัฒนาศักยภาพให้เกิดความเติบโตต่อไปด้วย หากเขาสามารถขยายทีมงานได้ก็ดี เสมือนทีมงานเราโตด้วย และหากเขาสามารถสร้างยอดขายได้ดี เราก็มียอดรวมการขายที่ดีขึ้นด้วย หมายถึงรายได้และความสำเร็จที่ตามมาดังนั้นวันนี้จึงขอฝากกฎ 10 ททท. ให้เป็นข้อคิดในการทำงานเพื่อความสำเร็จต่อไปครับ

10 กฎเหล็กสู่ความสำเร็จ

10 กฎเหล็กสู่ความสำเร็จ

หลายต่อหลายคนที่ต้องการและแสวงหาเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ หลายคนที่ล้มหลายคนที่พลาด คนที่แข็งแรง คือคนที่สามารถยืนอยู่ และแข่งขันในเกมได้ต่อไป แต่ไม่ได้หมายความว่า คนที่ล้มจะเป็นผู้แพ้ตลอดไป ยังสามารถที่จะกลับเข้ามาเป็นผู้ชนะได้ 10 กฎเหล็กสู่ความสำเร็จ คือคำตอบของผู้ชนะ

กฎข้อที่ 1 จงเชื่อมั่นในธุรกิจของตัวเอง และเชื่อให้มากกว่าใครทั้งหมดว่ามันต้องสำเร็จ อุปสรรค์ทุกอย่างสามารถที่จะแก้ไขได้ด้วยความมุ่งมั่น และพยายามให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

กฎข้อที่ 2 แบ่งผลกำไรให้กับผู้มีส่วนร่วมในบริษัทฯของคุณทุกคน แล้วทั้ง 2 ฝ่ายจะกลายเป็นพันธมิตรกันโดยสัญชาติญาณรักษาความเป็นองค์กรไว้ และรู้จักใช้อำนาจให้เป็น

กฎข้อที่ 3 วิธีจูงใจพนักงาน คิดค้นหาวิธีการใหม่ๆ ที่น่าสนใจในทุกๆวัน เพื่อท้าทายพนักงาน ตั้งเป้าหมายของบริษัทฯให้สูงเข้าไว้จูงใจให้เกิดการแข่งขัน แล้วรักษาระดับนั้นไว้ให้ได้ จากนั้นก็ต้องให้รางวัลตอนแทนที่สมน้ำสมเนื้อด้วย

กฎข้อที่ 4 สื่อสารทุกอย่างให้พนักงานรู้เท่าที่จะทำได้ เพราะยิ่งพวกเขารู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะเข้าใจและห่วงใยองค์กรมากขึ้น และเป็นการสร้างความเคารพในตัวของเขาว่าคุณให้ความไว้วางใจ

กฎข้อที่ 5 ตอบแทนพนักงานเมื่อเขาทำดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตามที่เขาทำให้องค์กร การให้รางวัลเป็นตัวเงินหรือเป็นส่วนแบ่งจากบริษัทฯนั้น ช่วยเสริมให้เกิดความจงรักภักดีได้อย่างหนึ่ง แต่เราทุกคนล้วนต้องการได้รับคำชมจากสิ่งที่เราได้ทำลงไป บางครั้งการได้รับคำยกย่องชมเชย จากเจ้านายที่ถูกเวลานั้น คุ้มค่ากว่าเงินทองเสียอีก

กฎข้อที่ 6 ชื่นชมความสำเร็จของตนเอง มองความผิดพลาดให้เป็นเรื่องตลก อย่าให้ตัวเองเครียดจนเกินไป ให้ปล่อยวางแล้วทุกคนรอบข้างจะปล่อยวางเช่นเดียวกับเรา ทำชีวิตให้สนุกและกระตือรือร้นอยู่เสมอ

กฎข้อที่ 7 รับฟังความคิดเห็นของทุกคน และหาวิธีให้ลูกน้องเปิดใจพูดในสิ่งที่คิด ยิ่งพนักงานที่ต้องพบปะรับมือกับลูกค้า เป็นกลุ่มที่รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น พยายามให้เขาเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อฟังแล้วต้องสนับสนุนให้เกิดความรับผิดชอบต่อองค์กรมากขึ้น และผลักดันให้เกิดความคิดดีๆเพิ่มขึ้นด้วย

กฎข้อที่ 8 จงทำให้เกินความคาดหวังของลูกค้า ถ้าทำได้พวกเขาจะกลับมาหาเราเรื่อยๆ แสดงให้ลูกค้ารู้ว่า ใส่ใจเขาอยู่เสมอ เมื่อเกิดข้อผิดพลาดจงอย่าแก้ตัว แต่ขอโทษและยอมรับในสิ่งที่ทำทุกอย่าง

กฎข้อที่ 9 ควบคุมค่าใช้จ่ายให้ดีกว่าคู่แข่ง แต่ไม่ใช่ประหยัดในสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในองค์กร

กฎข้อที่10 จงว่ายทวนน้ำ เดินทวนกระแส ยึดกับสิ่งที่เป็นรูปแบบเดิมๆ เป็นโอกาสที่ดีของคุณที่จะหาตลาดเฉพาะของตัวเอง โดยมุ่งไปในทางตรงกันข้ามกับคนอื่นอย่างสิ้นเชิง แต่ต้องเตรียมรับมือกับกับกระแสที่เข้ามาขวางให้ไขว่เขว

เหตุผล 50 ประการที่ก่อให้เกิดความล้มเหลวของการทำธุรกิจเครือข่าย

เหตุผล 50 ประการที่ก่อให้เกิดความล้มเหลวของการทำธุรกิจเครือข่าย

1. การไม่มีจุดมุ่งหมายใดๆที่เขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้ไม่รู้เลยว่าเขาต้องการอะไรในชีวิต
2. ไม่มีทิศทาง วิสัยทัศน์ หรือความฝันใดๆ ทำให้สับสนและหลงทาง
3. ไม่มีการกำหนดให้มีพันธสัญญาอย่างเป็นทางการกับธุรกิจ ด้วยเหตุนี้ จะไม่ก่อให้เกิดการลงมือทำอย่างจริงจัง
4. เลิกล้มความพยายามเร็วเกินไป มักจะถอนตัวภายใน 90 วันแรก
5. เกียจคร้าน ต้องการจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน?จากดาวน์ไลน์ของตนโดยไม่คิดจะทำอะไรเลย
6. ไม่จัดตั้งให้มีฐานการค้าปลีกในธุรกิจ
7. ไม่ทำงานอย่างสม่ำเสมอ
8. ไม่พอใจกับรายได้ของอัพไลน์ หยุดการขายเพื่อขัดขวางไม่ให้อัพไลน์ได้รับโบนัสจากผลผลิตของตน ถือเป็นทัศนคติที่ทำร้ายตนเองอย่างหนึ่ง
9. มักจะกล่าวโทษและหาความผิดกับบริษัท สินค้า แผนการตลาด การขาดการสนับสนุนจากอัพไลน์เป็นต้น โดยไม่ได้สำนึกว่าหากผู้อื่นประสบความสำเร็จภายใต้สถาณการณ์คล้ายๆกันนี้ เขาก็สามารถทำได้เช่นกัน
10. หวังลมๆแล้วจากความพยายามเพียงเล็กน้อยที่ตนได้ทำไว้
11. มีความอดทนไม่เพียงพอ ต้องการเงินก้อนโตในระยะเวลาที่สั้นเกินไป โดยขาดความกระตือรือร้นในการทำในสิ่งที่จำเป็น
12. บ่นมากเกินไป และ ประพฤติตนคล้ายเด็กเล็กๆที่มักร้องให้โยเย เป็นนักขายที่ไร้ผลงาน
13. รับอิทธิพลในความคิดเห็นแง่ลบได้อย่างง่ายๆจากสมาชิกในครอบครัว ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง มิได้ฟังจากด้านบวก
คิดด้วยตัวเองไม่ได้
14. มักจะหาข้อแก้ตัวเสมอ
15. คิดว่าตนรู้ดีไปหมดทุกเรื่อง
16. มักจะย้ายบริษัทบ่อยๆโดยที่ยังไม่มีผลงานอะไรเลย ไม่เคยทำยอดขายสูงๆได้
17. ต้องการเพียงสนับสนุนนักขายที่มีผลงานดีเด่น แทนที่จะเรียนรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร จึงจะกลายเป็นเช่นเขาผู้นั้นได้ ( หากได้รับการสนับสนุนจากยอดนักขายจะเป็นการดีกว่าที่จะไปสนับสนุนยอดนักขาย ด้วยวิธีนั้นคุณจะสามารถเรียนรู้ว่า นักขายดีเด่นเขาประสบความสำเร็จกันอย่างไร )
18. ไม่มีความเป็นระเบียบ เสียเวลามากมายในการหาเอกสาร โต๊ะทำงานรก
19. มีระบบการจดบันทึกข้อมูลที่ไม่ดี
20. ให้ความสนใจเพียงกำไรส่วนตัวเท่านั้น ไม่มีความเอาใจใส่ในความต้องการของลูกค้าและดาวน์ไลน์
21. ไม่ทราบวิธีประสปความสำเร็จในการตลาดแบบเครือข่าย และไม่สนใจที่จะเรียนรู้
22. ลูกค้าหรือดาวน์ไลน์เข้าหาได้ยาก
23. ไม่โทรกลับในทันที
24. พลาดในการรักษาข้อตกลงและนัดหมายและยังไม่ให้เหตุผลอีกด้วย
25. ไม่ติดตามผลผู้มุ่งหวังและลูกค้า ไม่แสดงความเอาใจใส่
26. เสียกำลังใจกับปัญหาและความไม่สะดวกเล็กๆน้อยๆ
27. พูดให้ร้ายบรืษัทอื่น ทำให้หมดความน่าเชื่อถือ
28. ไม่มีความจริงจังที่จะทำ
29. ขาดความเคารพนับถือในตนเอง มักขับรถรกๆสกปรกไม่ขัดเงา ไม่เคยสำนึกว่าผู้มุ่งหวังจะมองว่าคนๆนี้ไม่มีความเคารพนับถือในตนเองเลย
30. แจกจ่ายข้อมูลที่ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือ ยุ่งเหยิง และขาดคุณภาพ
31. นำเสนอตัวอย่างประโยชน์ของสินค้าที่ไม่ได้ความให้ลูกค้าฟัง
32. ไม่มีความเชื่อถือในตัวสินค้า
33. ไม่จัดการกับคำติชมของลูกค้าหรือดาวน์ไลน์
34. ไม่สนใจหรือไม่กล่าวคำชมความสำเร็จหรือผลการทำงานของดาวน์ไลน์ เห็นแก่ตัวมากเกินไป
35. มักจะอยู่ในสังคมที่มีทัศนคติในทางลบ แทนที่จะอยู่กับบุคคลที่สามารถทำยอดได้สูงสุด พึงระลึกไว้ว่านกประเภทเดียวกันมักจะอยู่ด้วยกัน
36. ไม่กระจายข้อมูลที่มีความเร่งด่วนไปสู่ดาวน์ไลน์ในทันที
37. ใช้เวลามากเกินไปในการจัดระเบียบ และใช้เวลาน้อยเกินไปในการพูดคุยกับผู้มุ่งหวังหรือลูกค้า ทำให้มีนิสัยที่หลีกเลี่ยงที่จะพบปะผู้คน
38. คาดหวังว่าจะได้รับสิ่งที่ดีพร้อมจากบริษัทที่เพิ่งเข้าไปทำงาน โดยปราศจากความสำนึกว่านั่นเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา
39. ไม่ใช้เวลาในการวางแผนเพื่อความสำเร็จทางธุรกิจ
40. ไม่มีบุคลิกลักษณะของมืออาชีพ
41. ไม่ติดตามข่าวหรือเหตุการณ์ณืในวงการธุรกิจเลย
42. ไม่มีความพร้อมทางร่างกาย
43. ไม่ฝ่าฟันที่จะทำให้ดีที่สุด
44. หูเบา เชื่อข่าวลือ ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ทำให้ถูกหลอกได้ง่ายๆ
45. อยู่ในโปรแกรมการตลาดที่ไม่ถูกต้อง
46. ไม่มีความเชื่ออย่างแท้จริงว่า “ผลที่จะเกิดขึ้น มาจากการกระทำของตัวเราเอง “
47. เข้าไปเกี่ยวข้องกับการตลาดแบบลูกโซ่แบบพีระมิดที่ผิดกฎหมาย และโครงการร้อยเล่ห์เพทุบายอื่นๆ
48. หวังพึ่งแต่กากเดนที่กระเด็นมาจากความพยายามของผู้อื่น ต้องการบางสิ่งบางอย่างโดยไม่ทำอะไรเลย
49. ไม่ต้องการเสี่ยง เช่นการลงทุนในการโฆษณา เฝ้าแต่รอคอยและดูสิ่งต่างๆเกิดขึ้นเอง แทนที่จะทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้น
50. เมื่อถูกปฏิเสธก็หมดความพยายามเอาดื้อๆ ไม่ยอมเป็นฝ่ายโทรหาคนอื่นก่อน

..... มีกลอนมาให้เป็นกำลังใจครับ ..... มาจากอ.พนม ปรีเจริญ เป็นผู้แต่งครับ (ผมชอบมาก ๆ เลย)

กว่าจะลุกหลายทีอาจมีล้ม...
กว่าจะจมหลายทีมีผุดบ้าง...
กว่าจะข้นหลายทีมีเจือจาง...
กว่าจะสร้างหลายทีมีทำลาย...
กว่าจะตื้นก่อนนั้นมันเคยลึก...
กว่าสำนึกก่อนนั้นมันเกือบสาย...
กว่าเกิดได้ก่อนนั้นมันเกือบตาย...
กว่ารวยได้ก่อนนั้นมันเคย...จน

ทําไมต้องทําปูแดงไคโตซานเบส 59

ปูแดง เบส 59 สร้างรายได้ง่ายๆ ด้วยปลายนิ้วของคุณ
โอกาสในธุรกิจปูแดง
มีอิสระภาพทางการเงิน และ เวลา
ย่นระยะเวลาการหาเงินในอนาคตได้
สร้างรายได้ไร้ขีดจํากัด
เป็นมรดกตกทอด ชั่วลูกชั่วหลาน
เป็นธุรกิจที่ทําได้ทั้งครอบครัว
ไม่เก่ง ไม่มีความรู้ก็ สําเร็จได้


ทําไมต้องทําปูแดงไคโตซานเบส 59
1. สินค้าดีมีชื่อเสียง ขายตัวเอง มีคนจํานวนมากที่ต้องการ ตลาดก้วาง
2. แผนการตลาด ดี ทําง่าย จ่ายเร็ว มีรายได้ 6 ทางในโครงสร้างเดียว
3. บริษัทมั่นคง มีโรงงานผลิตสินค้าเอง สํานักงานเป็นของบริษัท ทุกอย่างซื้อเงินสด
4. ระบบบริษัทดี บริษัทมีระบบพัฒนาท่านสมาชิก อย่างต่อเนื่อง
5. บริษัท ใช้เทคโนโลยีช่วย โดยการโฆษณาผ่าน TV ช่องเคเบิ้ล เช้ากลางวัน เย็น กลางคืน ทุกวัน เพื่อช่วยให้สมาชิกได้ทํางานง่ายขึ้น และประสบคงามสัเร็จเร็ว
6. ทําง่ายได้เงินเร็ว
7. ลงทุนครั้งเดียว ไม่ต้องรักษายอด
8. เป็นมกรดกตกทอดให้กับลูกหลาน

ท่านประทานมีประสบการณ์ธุรกิจเครือข่ายมากว่า 20 ปีท่านมีจิตใจเป็นธรรมรู้ถึงความยากลําบากของสมาชิกในการสร้างเครือข่าย เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี ไม่เอาเปรียบสมาชิก มีคุณธรรม และพัฒนาระบบ และคุณภาพสินค้าอย่างต่อเนื่อง สินค้าไม่แพง ซื้อง่าย ขายคล่อง คนใช้สินค้าปลดหนี้ได้ คนขยายเครือข่ายสบายไปตลอดชีวิต

บริษัทมีโรงงานผลิตสินค้าเอง มีคลังสินค้าตามจังหวัดใหญ่ๆ6 แห่ง มีศูนย์บริการสมาชิกทั่วประเทศ และมีสํานักงานโอ่โถง พร้อมรองรับสมาชิกได้มากมาย ที่สําคัญโรงงานและสถานที่ตั้งสํานักงาน เป็นการซื้อเงินสดในจํานวน 400 กว่าล้านบาท ดังนั้นมีความมั่นคงสูง

บริษัทเปิดมาก้าวเข้าสู๋ปีที่ 7 เป็นปีแห่งการเริ่มต้นธุรกิจอย่างจริงจัง ในขณะนี้มีผู้คนแห่กันสมัครเข้าร่วมธุรกิจเป็นจํานวนมาก ปัจจุบันมียอดขาย 200 กว่าล้านบาท ต่อเดือน ส่วนใหญ่เป็นผู้ซื้อซําประมาณ 70 % ผู้ที่ทําธุรกิจน้อยมากในขณะนี้ซึ่งเป็นโอกาสดีสําหรับเรา

บริษัทมีงบโฆษณาทะหล่มทะลาย ทางเคเบิ้ล เช้า สาย กลางวัน เย็น กลางคืนทุกวัน ช่วยสมาชิกทําการตลาดง่าย และประสบความสําเร็จเร็ว

เป็นโอกาสดีสําหรับผู้ที่ต้องการทําการตลาดทางอินเตอร์เน็ต เพราะมีผู้สนใจเป็นจํานวนมาก ที่ต้องการหาข้อมูลสมัครสมาชิกทางอินเตอร์เน็ตมากมาย

ลงทุนครั้งเดียว ไม่ต้องรักษายอด แผนรายได้จ่ายง่าย และจ่าย 6 ทางในโครงสร้างเดียวกัน

สินค้าใช้ดีและต้องใช้อย่างต่อเนื่อง ยอดซื้อซําสูงถึง 70 % เหนื่อยช่วงแรก เก็บเกี่ยวตลอกชีวิต

ตราบใดที่ยังมีเกษตรกร ตราบนั้นปูแดงก็ยังต้องอยู๋คู๋กับนักธุรกิจปูแดงตราบนานเท่านาน

คนเมืองก็สามารถทําได้ ไม่จําเป็นต้องเป็นคนต่างจังหวัด เพราะเรามีแนวทางการทําตลาด ทางอินเตอร์เน็ต คุณสามารถหาสมาชิกได้จากอินเตอร์เนร็ต โดยใช้เว็บไซด์หาสมาชิกได้ทั่วประเทศ เรามีเว็บไซด์ให้ฟรีเพื่อทําการตลาดอินเตอร๋เน็ต คุณสามารถศึกษาวิธีการทํางานได้ในระบบสมาชิก หลังจากที่คุณสมัครสมาชิกแล้วเราจะมี รหัสให้คุณล้อกอินเข้าสู๋ระบบสมาชิก เพื่อศึกษาวิธีการทํางานอย่างมืออาชีพ คุณจะมีสมาชิกโดยที่คุณไม่ต้องเดินทางไปหาเลย ด้วยการทํางานที่ทันสมัย โดยใช้เทคโนโลยีช่วย อีกทั้งเรามีสินค้าสําหรับผู้รัก สุนัข แมว หรือสัตว์อื่นๆทุกชนิด ให้กินเพื่อเพิ่มภูมิต้านทาน แข้งแรง ผิวสวยโตเร็ว อีกด้วย และยังมีหมวดความงามในอีกเร็วๆนี้

ดังนั้นอย่ารอช้า โอกาสมาถึงคุณแล้ว ตัดสินใจทันที่เพราะเวลาไม่รอคุณอย่างแน่นอน คนที่ตัดสินใจก่อนรวยก่อน
{ร่วมสร้างความภูมิใจ กับโครงการปลดหนี้ชุบชีวิตเกษตรกรไทย แปลงรายจ่ายเป็นรายได้ กับธุรกิจปูแดง}

หาก คุณ คุณ คุณ เป็นผู้ที่แสวงหาความรํารวย ให้กับตัวคุณอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ขอต้อนรับผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน เราจะร่วมสร้างพื้นดินให้เป็นสีเขียว และเราจะร่วมช่วยกันชุบชีวิตเกษตรกรไทยให้ลืมตาอ้าปากได้ ช่วยให้เค้าเหล่านั้นหลุดพ้นจากการเป็นหนี้สิน ด้วยการร่วมกันสร้างเครือข่าย ครอบครัวปูแดงร่วมกัน และสิ่งที่เราจะได้รับร่วมกันคือ อิสระภาพทางการเงิน เวลา ครอบครัวมีความสูข เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างโอกาสให้เป็นรายได้ สร้างรายได้จากการสร้างเครือข่าย รายได้ที่มั่นคง ร่วมกับธุรกิจปูแดงไคโตซานชุบชีวิตเกษตรกรไทย

ไม่กล้าไม่ก้าว ไม่ก้าวก็ไม่เดิน

“ เพียงมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเอง
เราจะกล้าเดินอย่างมั่นใจ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง
ทั้งที่ได้ดั่งใจและไม่ได้ดั่งใจ
ยอมรับทั้งด้านบวกและลบของโลก
พร้อมหมุนตัวเองไปพร้อมกับโลกอย่างมีความสุข ”

เมื่อมีความกล้า สิ่งที่ตามมาคือได้ก้าว ...
เมื่อหัวใจเปิดรับ ความคิดจะเปิดกว้าง

เปิดโอกาสให้เรียนรู้อย่างแท้จริง สิ่งดีๆ ก็จะเข้าถึงใจ
เมื่อความกลัวหายไป…หัวใจจะเป็นสุข
เราจะกล้าและได้ก้าว พร้อมเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ

ไม่กล้าก็ไม่ก้าว... ไม่ก้าวก็ไม่เดิน...


ผู้ที่มีลักษณะที่จะประสบความสำเร็จ และพบความสุข
คือผู้ที่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ผู้ที่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
คือผู้ที่กล้าหาญที่จะรับฟังคำติมากกว่าคำชม คือ กล้า...


ผู้ที่มีลักษณะที่จะล้มเหลว และมีแต่ความทุกข์ใจ
คือผู้ที่ยึดตัวเองเป็นหลัก ไม่ยอมรับฟังผู้อื่น
ผู้ที่ยึดตัวเองเป็นหลัก คือผู้ที่หมดโอกาสเรียนรู้โดยแท้จริง
แม้ใจอยากได้แต่สิ่งดีๆ แต่สิ่งดีๆก็เข้าไม่ถึงใจ

เพราะความกลัว ใจจึง ปิด ความคิด จึงไมก้าว

การเปลี่ยนแปลงเป็นหนทางที่ทำให้เกิดสิ่งที่ดีกว่า
โลกนี้คงหยุดหมุนไปนานแล้ว
ถ้าคนทุกคน ไม่กล้าเริ่มต้นอะไรใหม่

เพียงบางสิ่งบางอย่างในชีวิตเธอ
เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้นเอง
ไม่เห็นมีอะไรเลวร้ายอย่างที่คิดเลย


ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า เหนื่อยก็หยุดพัก แต่อย่าเดินกลับหลัง
ถ้าเมื่อไหร่เราได้ใช้เวลาในชีวิตอย่างคุ้มค่า
เราจะรู้สึกว่าชีวิตที่เหลือนั้นเป็นกำไรล้วนๆ

เวลาก้าวไปข้างหน้า ทุกๆสิบก้าวเราเหยียบหนาม
ถ้าเมื่อไหร่ท้อแล้วเดินกลับหลัง
ก็เท่ากับว่าที่ผ่านมาเรา เจ็บฟรี.



อย่าพูดว่า ทำไม่ได้ เพราะจิตเธอจะจำและนำไปใช้

ปาฏิหาริย์ จะเกิดขึ้นได้กับหัวใจที่เชื่อมั่น
ความเชื่อมั่น จะทำให้คนเราได้ยิน แต่เสียงในหัวใจตัวเอง

คำวิจารณ์ในแง่ลบของคนอื่นมักบั่นทอนกำลังใจ
แต่นั่นมันความคิดเขา ไม่ได้มาจากสมองเราสักหน่อย
ฟังเสียงหัวใจตัวเองอย่าไขว้เขวไปกับเสียงหัวใจคนอื่น

บอกตัวเองว่าเธอต้องทำได้ เมื่อนั้นปาฏิหารย์จะเกิดขึ้น


ความสำเร็จ จะแลกเปลี่ยนกับความสนุกอยู่เสมอ

คนส่วนมากจะเริ่มต้นพร้อมๆกัน
แต่ความสำเร็จที่ได้มาล้วนไม่เท่ากัน
มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้น
ที่เดินไปได้ไกลกว่าคนอื่น

ยิ่งเริ่มต้นอายุน้อย
เราก็จะมีแรงเหนื่อย มีแรงเจ็บ มีแรงเริ่มต้นใหม่
ความสมบูรณ์ในชีวิตก็จะมาถึงเร็วขึ้น

คนที่ประสบความสำเร็จส่วนมาก
ตลอดชีวิตของเขาไม่เคยสนุก
ทุกนาทีคือการเรียนรู้ และ การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

ยอมแลกเปลี่ยน "ความสนุก" กับ "ความสำเร็จ" เถอะ
คุณค่าทั้งสองอย่างต่างกันเยอะเลย


ความสําเร็จ ถ้าเพียงแค่คิด ก็ได้แค่คิด ถ้าลงมือทําจะได้ความสําเร็จ

ตลาดเป้าหมายของปูแดงไคโตซาน

ปัจจัยแห่งความสำเร็จของเศรษฐีอเมริกัน

ปัจจัยแห่งความสำเร็จของเศรษฐีอเมริกัน
1. มีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น

การจะประสบความสำเร็จได้จำเป็นจะต้องอาศัยการทำงานร่วมกันเป็นทีม และด้วยประสบการณ์ในการพบปะผู้คนมากมาย ทำให้เหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลายเป็นคนช่างสังเกต เป็นผู้ฟังที่ดี และมีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น (EQ) ซึ่งทักษะประการหลังนี้ พวกเขารู้ดีว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ยาก เพราะการที่คนเราจะมีความเกรงอกเกรงใจ มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานอย่างเต็มที่
และมีความสามารถในการทำงานเป็นทีมนั้น ไม่ได้ฝึกกันได้แค่เพียงข้ามคืน แต่เป็นทักษะเฉพาะตัวและจะต้องใช้เวลาในการเพาะบ่มนิสัยเหล่านี้ ฉะนั้นในการคัดเลือกบุคลากร เหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลายจะคัดเลือกเฉพาะคนที่เป็นคนดี มีความสามารถ และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เพราะคนที่เก่งอย่างเดียวแต่ไม่มีคุณธรรม สามารถทำให้องค์กรล่มจมได้ ในขณะเดียวกัน คนดีอย่างเดียวแต่ไม่มีความสามารถ ก็ไม่สามารถพัฒนาองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้ ฉะนั้น เขาจึงเลือกคนดี ที่มีความสามารถในระดับหนึ่งและพร้อมที่จะปรับปรุงพัฒนาตนเองอยู่เสมอ และที่สำคัญที่สุดคือสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อพวกเขาได้บุคลากรตามคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว พวกเขาจึงใช้ทักษะในความเป็นผู้นำเพื่อบริหารองค์กร ได้แก่ การมีความสามารถในการโน้มน้าวจิตของลูกน้องให้ตระหนักถึงความสำคัญของงานที่ตนเองกำลังกระทำ และเห็นความสำคัญในการทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อความสำเร็จขององค์กร

2. รับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์ได้ทุกรูปแบบ
เหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลายต่างเข้าใจถึงสัจธรรมประการหนึ่งว่า ในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับแนวคิดและการกระทำของเรา ฉะนั้น เมื่อใดที่พวกเขาโดนวิพากษ์วิจารณ์ พวกเขาจะไม่ปฏิเสธ แต่จะเลือกฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากคนที่มีความรู้จริง ๆ ในสิ่งที่เขาพูด มิใช่เป็นการปรักปรำ หรือวิพากษ์วิจารณ์เพื่อความสะใจ หรือเป็นข้อเท็จจริงที่เขาเหล่านั้นคิดขึ้นมาเอง นอกจากนั้น ในบรรดาผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลาย บรรดาเศรษฐีอเมริกันจะเลือกที ่จะใส่ใจคำพูดของคนที่เสนอหนทางแก้ไขให้ด้วย เพราะแม้ว่าเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์จะเป็นความจริงก็ตาม แต่หากไม่มีหนทางแก้ไขแล้วล่ะก็ พวกเขาก็ไม่นำเรื่องเหล่านั้นมาใส่ใจเลยเพราะถือว่า เป็นเรื่องรกสมอง

3. มีความซื่อสัตย์ปากกับใจตรงกัน
การมีความซื่อสัตย์ทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น ด้วยคุณสมบัติข้อนี้เองจึงทำให้เขาสามารถเลือกคู่ครองที่เหมาะสม ที่มีคุณธรรมเช่นเดียวกันนี้ได้ คู่ครองเหล่านี้คือ คนที่จะช่วยประคับประคองซึ่งกันและกันเมื่อชีวิตต้องเผชิญกับอุปสรรค และช่วยสนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกันเมื่อชีวิตประสบความสำเร็จ

4. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
เหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลายสามารถมองเห็นลู่ทางในการทำธุรกิจได้อย่างเหนือชั้น อย่างที่คนทั่วไปคาดไม่ถึง เพราะพวกเขาเหล่านั้นรู้จักใช้สัญชาตญาณ พวกเขาเชื่อว่า ความสามารถพิเศษนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจิตใจมีความสงบ ผ่องใส และจดจ่ออยู่กับเรื่องนั้น ๆ อย่างต่อเนื่อง และเมื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างละเอียดในทุกแง่ทุกมุมจนความคิดตกตะกอน จึงเกิดเป็นความคิดริ เรื่มสร้างสรรค์ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร

5. มีระเบียบวินัยและมีเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอน
พวกเขาจะใช้พลังงานทั้งหมดด้วยความขยันและอดทน และจะทำงานทีละอย่างอย่างมีระเบียบวินัย นอกจากนั้น พวกเขายังรู้อีกว่า ช่วงเวลาไหน ควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร เพราะพวกเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอน จึงรู้ดีว่าตอนนี้ตนเองกำลังอยู่ตรงจุดไหนบนเส้นทางของชีวิต จึงไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าไปกับเรื่องที่ไร้สาระ

ไขเคล็ดลับวิธีการคิดและแนวทางการมองโลกของอภิมหาเศรษฐี

ไขเคล็ดลับวิธีการคิดและแนวทางการมองโลกของอภิมหาเศรษฐี
บทความที่นำเสนอสรุปจากหนังสือเรื่อง The Millionaire Mind แต่งโดย
Thomas Stanley ผู้แต่งรวบรวมข้อมูลในทุกแง่ทุกมุม ทั้งจากการการสัมภาษณ์และจากการศึกษาแนวทางในการดำเนินชีวิตของเหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลาย เพื่อค้นหาลักษณะนิสัยร่วมกันและปัจจัยแห่งความสำเร็จของบุคคลเหล่านี้

มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้
ลักษณะนิสัยที่เหมือนกันของเศรษฐีอเมริกันทั้งหลาย ได้แก่

1. มีชีวิตอยู่อย่างพอเพียง
พวกเขามักใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่หรูหราฟู่ฟ่าจนเกินความจำเป็นกินอยู่และแต่งกายอย่างประหยัดและเหมาะสมตามกาละเทศะ
เมื่อมีสิ่งของหรือเครื่องใช้เกิดการชำรุด เหล่าบรรดาเศรษฐีทั้งหลายมักเลือกที่จะลองซ่อมแซมดูก่อน มากกว่าเลือกที่จะซื้อใหม่เพราะพวกเขารู้ถึงคุณค่าของเงิน จึงไม่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย นอกจากนั้น คำว่า "ร่ำรวย" ในสายตาของบุคคลเหล่านี้หมายถึง การมีรายรับสูงและมีรายจ่ายต่ำ ในทางกลับกัน การมีรายได้สูงแต่มีการใช้จ่ายอย่างไม่จำกัด ประเภทหลังนี้ พวกเขาเรียกว่า การมีความเป็นอยู่แบบ "ยากจน"

2. ไม่เป็นพวกที่บ้างาน
พวกเขาให้ความสำคัญต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือญาติมิตรมาเป็นอันดับหนึ่ง เพราะพวกเขาเชื่อว่า ความสบายใจ ความอบอุ่นภายในครอบครัว การมีสุขภาพที่ดี และการมีชีวิตส่วนตัวที่สมดุลย์กับชีวิตการทำงานจะเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จในอนาคต ฉะนั้น พวกเขาจึงไม่ทำงานจนเกินตัว และเลือกทำเฉพาะชิ้นงานที่สำคัญและเกิดผลประโยชน์อย่างมากต่อองค์กร อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาเหล่านั้นจะเป็นคนที่ชอบเกี่ยงงานหรือเป็นคนที่เกียจคร้านแต่อย่างใด แต่มันหมายถึงการทำงานด้วยสติปัญญา ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ๆ ไป และในความเป็นจริงแล้วพวกเขาเหล่านี้เป็นบุคคลที่ตั้งใจทำงานทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปตามแผ นการที่วางไว้ นอกจากนั้น การที่พวกเขาพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างเพราะพวกเขาเชื่อว่า คนเหล่านั้นอาจจะกลายมาเป็นลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงานที่ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันในภายภาคหน้าก็เป็นได้

3. ไม่ได้ร่ำรวยมาตั้งแต่เกิด
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีเงินทองหรือมรดกมากมายจากพ่อแม่มาตั้งแต่เกิด แต่พวกเขาก็พยายามต่อสู้ สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง และก็ประสบความสำเร็จเสียด้วย เพราะผู้แต่งกล่าวว่า พวกเขาเหล่านั้นส่วนใหญ่มักจะร่ำรวยตั้งแต่ก่อนอายุ 45 ปีเสียด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดี การที่พวกเขาต้องลำบากลำบนมาตั้งแต่เด็กก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะตามใจลูก ๆ ของตนเองทุกอย่างเพื่อทดแทนสิ่งที่ตนเองขาดหายไปในวัยเด็ก แต่พวกเขากลับมีวิธีการสอนให้ลูกรู้จักอดทน รู้จักคุณค่าของเงิน มีความเป็นผู้ใหญ่ และกล้าที่จะเสี่ยง โดยเหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลาย มักจะสอนให้ลูก ๆ รู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในช่วงปิดเทอม โดยการทำงานพิเศษเพื่อหาเงินด้วยตนเอง ฝึกความมีระเบียบวินัย และฝึกฝนทักษะในการพึ่งพาตนเอง

4. ไม่ได้มีสติปัญญามากนัก
เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมาตั้งแต่เกิดจึงจำเป็นต้องทำงานไปด้วยเรียนหนังสือไปด้วย ทำให้ผลการเรียนที่ออกมาไม่ค่อยสูงมากนัก ส่วนใหญ่แล้ว GPA ในระดับปริญญาตรีจะอยู่ประมาณ 2.9 เท่านั้น และด้วยความลำบากตรากตรำในการเรียน สิ่งนี้ทำให้เขารู้จักความอดทนและไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แม้เมื่อเจออุปสรรคในการทำธุรกิจ เขาก็จะไม่ตื่นเต้นอะไรมากนัก เพราะพวกเขารู้ดีว่า อุปสรรคกับความสำเร็จเป็นของคู่กัน หากไม่มีอุปสรรคให้ข้ามผ่าน ชัยชนะที่ได้มาย่อมไม่อาจเรียกได้ว่า ความสำเร็จ นอกจากนั้น ช่วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย บรรดาเศรษฐีเหล่านี้ยังชอบที่จะผูกสัมพันธ์กับคนหลาย ๆ ประเภท เพื่อศึกษาพฤติกรรมและแนวความคิดของบุคคลเหล่านั้น และเพราะการได้พบปะเจอะเจอคนมากมาย ทำให้พวกเขามีทักษะในการเลือกคบคน ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการคัดเลือกบุคลากรเข้ามาร ่วมงานในองค์กรได้เป็นอย่างดี และสุดท้าย จากมุมมองของเหล่าเศรษฐีทั้งหลาย พวกเขาเชื่อว่า ชีวิตสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นช่วงเวลาแห่งการแสวงหาตนเอง เพื่อให้รู้ว่า ตนเองชอบหรือมีความถนัดในสิ่งใด และทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การที่เขารู้จักตนเองดีพอ ทำให้เขาสามารถเลือกทำงานที่ชอบและมีความถนัดได้ ซึ่งสองสิ่งนี้เองก็คือ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดนั่นเอง

5. กล้าที่จะเสี่ยงและมีใจรักในงานที่ทำ
ด้วยใจรักในงานที่ทำ ทำให้พวกเขามีกำลังใจที่จะขวนขวายหาความรู้อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้งานที่ออกมานั้น แทบจะไม่มีชิ้นใดเลยที่ไม่ประสบความสำเร็จและด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนและทันสมัยดังกล่าว รวมกับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ทำให้พวกเขากล้าที่จะเสี่ยงในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆให้กับสินค้าของตนเอง ส่งผลให้พวกเขาสามารถครองตลาดสินค้าชนิดใหม่ ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เมื่อนั้นทั้งความสำเร็จและความมั่งคั่งร่ำรวยย่อมไหลมาเทมาอย่างไม่ต้องสงสัย

6. มีคุณธรรมในจิตใจ
เขาเชื่อว่า ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่เงินตรา แต่อยู่ที่คุณธรรมความจริงใจที่มีให้แก่กัน ฉะนั้น พวกเขาจึงทำธุรกิจด้วยความซื่อตรง ซื่อสัตย์ และตรงไปตรงมา ไม่มีการหลอกลวง ทำให้ธุรกิจของพวกเขาเจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง นอกจากนั้น เขายังตระหนักดีว่า การหลอกลวงลูกค้าด้วยวิธีใดก็ตาม แม้ว่าจะได้ผลกำไรที่งอกเงย แต่มันจะเป็นเพียงในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เพราะเมื่อลูกค้าจับได้ เขาย่อมไม่กลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการของเราอีกอย่างแน่นอน ในทางกลับกัน การค้าขายอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าจะได้ผลกำไรอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่วิธีนี้สามารถซื้อใจลูกค้าได้ จึงทำให้บริษัทมีผลกำไรอย่างต่อเนื่องในระยะยาว

--------------------------------------------------------------------------------

การสร้างท่อส่งน้ำเพื่ออิสรภาพทางการเงินและเวลา

เริ่มต้นง่ายๆ กับ 12 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ

เริ่มต้นง่ายๆ กับ 12 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ

1. ใช้สินค้าที่ชอบ
ด้วยการเลือกสินค้าที่ตัวเองชอบแล้วซื้อไปทดลองใช้ จะทำให้เราไม่เสียดายเงิน และไม่รู้สึกเหมือนถูกบีบบังคับ
2. เล่าประสบการณ์การใช้สินค้าให้คนใกล้ตัวฟัง
ด้วยการบอกว่าใช้แล้วรู้สึกว่าดีอย่างไร ประทับใจอะไรบ้างในสินค้าที่ตนเองใช้
3. ศึกษารายละเอียดของสินค้า (ที่ตัวเองชอบและมีความถนัด)
ด้วยการศึกษาจากแคตตาล็อค สอบถามจากผู้แนะนำ สอบถามจากผู้เชี่ยวชาญของบริษัท และเข้าประชุมกับบริษัทอย่างสม่ำเสมอ
4. เขียนรายชื่อผู้มุ่งหวัง
ด้วยการเขียนรายชื่อเพื่อนของเรา ญาติของเรา เพื่อนของญาติ และญาติของเพื่อน เป็นต้น โดยคนเหล่านี้คือคนที่เราคิดว่าเราจะไปพบปะพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจกิฟฟารีนด้วย
5. พาตัวเองเข้างานประชุม
ทั้งประชุมกลุ่มย่อยตามศูนย์ต่างๆ และงานประชุมวันอังคาร ที่โรงแรมอินทรา หรืองานประชุมประจำเดือนในต่างจังหวัด จะทำให้เรารู้จักคนมากขึ้น ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ที่ประสบความสำเร็จ จะทำให้เรามีกำลังใจในการทำงาน
6. เข้าพบผู้มุ่งหวังโดยเน้นการสร้างสายสัมพันธ์
อย่ารีบร้อนแนะนำธุรกิจ หรือสินค้ามากจนเกินไป ควรทำให้ผู้มุ่งหวังประทับใจในตัวเราเสียก่อน ด้วยการสร้างบรรยากาศที่สบายๆ ไม่เครียดเกินไปและให้คิดเสมอว่า ถึงแม้วันนี้เขาจะไม่สมัครกับเรา แต่เรากับเขายังต้องเป็นเพื่อนกันอยู่ แนะนำสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการ และกำลังซื้อของผู้มุ่งหวัง
7. วิเคราะห์ผู้มุ่งหวัง เพื่อการดูแลที่เหมาะสม
ผู้มุ่งหวังที่ต้องการเป็นผู้บริโภค ให้รักษาสัมพันธภาพอย่างต่อเนื่อง และนำเสนอสินค้า ตลอดจนการบริการดูแลหลังการขาย ด้วยความสม่ำเสมอผู้มุ่งหวังที่ต้องการทำเป็นธุรกิจ ให้นำเสนอธุรกิจและแผนงาน ด้วยวิธีการที่เหมาะสม และดูแลให้เขาเหล่านั้นสามารถสร้างธุรกิจจนเติบโตได้
8. ติดตามผลการใช้สินค้าของลูกค้า และรักษาสัมพันธภาพอย่างต่อเนื่อง
9. จัดทำอุปกรณ์ประกอบการขยายงาน
เช่น แฟ้มธุรกิจ แผนผังองค์กร สมุดรายชื่อผู้มุ่งหวัง เป็นต้น จะทำให้เราทำงานอย่างเป็นระบบ ตรวจสอบได้ และง่ายต่อการขยายธุรกิจ
10. สร้างวัฒนธรรมองค์กร
เช่น การตรงต่อเวลา การแต่งกายที่สุภาพ มีบุคลิกภาพของนักธุรกิจ การเคารพกฎและจรรยาบรรณของบริษัท โดยผู้ทำธุรกิจจะต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อสร้างความศรัทธาและความน่าเชื่อถือแก่ทีมงาน
11. บริหารทีมงามด้วยความตั้งใจจริง
ความสำเร็จของธุรกิจ MLM ในระยะยาวมาจากการสร้างคนในทีมงาน ให้มีความสามารถ และสมารถขยายงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจแห่งการถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถไปสู่ทีมงานเป็นทอดๆ และประสบความสำเร็จร่วมกันทั้งทีมงาน
12. พัฒนาตนเอง และเสริมภาพลักษณ์ของความเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่อง
บริษัทมีหลักสูตรพัฒนาบุคลิกภาพหลายหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง เช่น อบรมศิลปะการพูด การนำเสนอสินค้า การเปิดใจ การขจัดข้อโต้แย้ง การบริหารทีมงาน ตลอดจนพัฒนาบุคลิกภาพ และแต่งหน้าตนเองให้กับสมาชิกของเราอย่างสม่ำเสมอ

ไคโตซาน คือ อะไร

ไคโตซาน คือ อะไร
ไคโตซาน เป็นไบโอโพลิเมอร์ธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญในรูปของ D – glucosamine พบได้ในธรรมชาติ โดยเป็นองค์ประกอบอยู่ในเปลือกนอกของสัตว์พวก กุ้ง ปู แมลง และเชื้อรา เป็นสารธรรมชาติที่มีลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัว คือ ที่เป็นวัสดุชีวภาพ ( Biometerials ) ย่อยสลายตามธรรมชาติ มีความปลอดภัยในการนำมาใช้กับมนุษย์ ไม่เกิดผลเสียและปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เกิดการแพ้ ไม่ไวไฟและไม่เป็นพิษ ( non – phytotoxic ) ต่อพืช นอกจากนี้ยังส่งเสริมการเพิ่มปริมาณของสิ่งมีชีวิตที่มีประโยชน์

ไคโตซานกับการเกษตรด้านการควบคุมศัตรูพืช
1. ยับยั้งและสร้างความต้านทานโรคให้กับพืช
การยับยั้งเชื่อสาเหตุของโรคพืช ได้แก่ เชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อราบางชนิด โดยไคโตซานจะซึมผ่านเข้าทางผิวใบ ลำต้นพืช ช่วยยับยั้งการเกิดโรคพืชในกรณีที่เกิดเชื่อโรคพืชแล้ว (รักษาโรคพืช) และสร้างความต้านทานโรคให้กับพืชที่ไม่ติดเชื้อ โดยไคโตซานมีคุณสมบัติที่สามารถออกฤทธิ์เป็นตัวกระตุ้น (elicitor) ต่อพืชได้ จะกระตุ้นระบบป้องกันตัวเองของพืช ทำให้พืชผลิตเอนไซม์และสารเคมีเพื่อป้องกันตนเองหลายชนิด พืชจึงลดโอกาสที่จะถูกคุกคามโดยเชื่อสาเหตุโรคพืชได้
2. ทำให้เกิดโอกาสการสร้างความต้านทานของพืชต่อแมลงศัตรูพืช
ไคโตซานจะกระตุ้นให้มีการผลิตสารลิกนินและแทนนินของพืชมากขึ้น พืชสามารถป้องกันตัวเองจากการกัด – ดูด ทำลายของแมลงศัตรูพืช จะสังเกตุว่าต้นพืชที่ได้รับไคโตซานจะมีแวกซ์เคลือบที่ผิวใบ
3. ช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน
ไคโตซานสามารถส่งเสริมการเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน เช่น เชื้อ Actiomycetes sp. Trichoderma spp. ทำให้เกิดการลดปริมาณของจุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อโรคพืช เช่น เชื้อ ( Furarium ) Phythophthora spp. ฯลฯ

รายชื่อศัตรูพืชที่มีการทดสอบแล้วว่าไคโตซานมีศักภาพในการควบคุม
1. การกระตุ้นให้พืชมีความต้านทานแมลง
ศัตรูพืช คือ หนอนใยผัก หนอนคืบและอื่น ๆ การใช้ การพ่นทางใบ ลำต้น (ขึ้นกับส่วนที่ศัตรูพืชอาศัยอยู่) อัตราการใช้ 10 – 20 ซีซี / น้ำ 20 ลิตร2.
2. การยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อสาเหตุโรคพืช
- ไวรัสโรคพืช
- แบคทีเรีย เช่น แคงเคอร์ ใบจุด
- เชื้อรา เช่น เชื้อไฟทอปธอร่า พิเทียม ฟิวซาเรียม Botrytis cineres Rhizopus stolonifer
- แอนแทรคโนส เมลาโนส ราน้ำค้าง ใบติด ราขาว รากเน่า – โคนเน่า ใบจุด โรคใบสีส้ม ใบลาย

ธาตุอาหารเสริม ( Zn,Fe,Mn,B,Cu,Mo )

ธาตุอาหารเสริม ( Zn,Fe,Mn,B,Cu,Mo )

ธาตุสังกะสี - Zinc

หน้าที่สำคัญของธาตุสังกะสีในพืช
-
ช่วยให้พืชแตกใบอ่อนได้ดีขึ้น
- เสริมสร้างเมล็ด
- เสริมสร้างฮอร์โมนต่าง ๆ ในพืช
- เสริมสร้างการสุกการแก่ของผลไม้
- เสริมสร้างความสูงและการยืดของต้น
- ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน
- ช่วยเสริมสร้างให้พืชมีความต้านทานต่อโรคพืชต่าง ๆ
- มีส่วนสำคัญในระบบของเอนไซม์ที่จะไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช
- มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างสารคลอโรฟีลล์(สีเขียว) ของพืช
- มีส่วนสำคัญในการเคลื่อนย้ายพวกคาร์โบไฮเดรตและกระตุ้นการใช้น้ำตาลในพืช
- ทำหน้าที่เสมือนตัวต่อต้านความหนาวเย็น หรือทำหน้าที่เสมือนเป็นผ้าห่มให้แก่ต้นพืชเมื่อมีอากาศหนาวเย็น
- ช่วยให้พืชไม่ชะงักการเจริญเติบโตเมื่อมีอากาศหนาวเย็น

การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุสังกะสี
-
แสดงอาการเหลืองระหว่างเส้นใบ
- เส้นกลางของใบอ่อนจะแตกเป็นเส้นย่อย ๆ
- เกิดจุดสีน้ำตาลที่ใบแก่ ต่อมาจุดสีน้ำตาลจะขยายตัวติดต่อกัน ทำให้ใบเป็นสีน้ำตาล
- พืชจะมีการเจริญเติบโตช้า หรือเติบโตไม่ดีเท่าที่ควร
- ในพืชต้นเล็ก ถ้าขาดอย่างรุนแรงจะทำให้พืชตายได้
- ทำให้การสุกแก่ของผลไม้ช้ากว่าปกติ
- ทำให้ผลผลิตต่ำ

สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุสังกะสี
-
ในดินที่มีความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) 4.0-5.0 และ 7.0 ขึ้นไป
- ในดินที่มีธาตุสังกะสีที่เป็นประโยชน์ต่ำหรือมีปริมาณน้อย
- ในดินที่มีธาตุฟอสฟอรัสมาก
- ในดินที่มีธาตุไนโตรเจนมาก
- ในดินที่ถูกน้ำกัดเซาะมาก รวมทั้งดินที่มีการซึมลึกของน้ำมาก
- ในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น ดินเย็น หรือมีอุณหภูมิต่ำ
- ในดินที่มีการไถลึก 6 นิ้ว
- ในดินที่ใส่ปูนมากเกินไป
- ในดินที่สูญเสียธาตุสังกะสีมากหลังจากเก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว

ธาตุเหล็ก - IRON
ธาตุเหล็ก จะพบในดินมากโดยทั่วไป แต่จะเป็นธาตุเหล็กที่ไม่ได้อยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืชเป็นส่วนมาก ปัญหาการขาดธาตุเหล็กของพืชไม่ใช่เกี่ยวกับปริมาณของธาตุเหล็กในดิน ปัญหาเกิดจากการไม่ละลายและความเป็นประโยชน์ต่อพืชของธาตุเหล็ก ดินที่มีความเป็นกรดมากจะทำให้ธาตุเหล็กไม่เกิดประโยชน์ต่อพืช และดินที่มีความเป็นด่างมากก็จะทำให้ธาตุเหล็กไม่เกิดประโยชน์ต่อพืชเช่นกัน ส่วนในดินที่มีน้ำขังจะทำให้ธาตุเหล็กมีประโยชน์ต่อพืชสูงขึ้น

หน้าที่สำคัญของธาตุเหล็ก
- ช่วยเสริมสร้างความเขียวหรือสารคลอโรฟีลล์ในใบพืชแต่ไม่ได้เป็นส่วนของคลอโรฟีลล์
- ช่วยในการสังเคราะห์แสงในใบพืชได้ดี เพื่อสร้างแป้งและน้ำตาล
- ช่วยเสริมสร้างเอนไซม์ในพืชเพื่อช่วยในระบบการหายใจของพืชทำให้พืชเจริญเติบโต
- ทำหน้าที่ช่วยเหลือในการแบ่งเซลล์ของพืชเพื่อการเจริญเติบโต
- พืชต้องการเหล็กในปริมาณน้อยประมาณหนึ่งในร้อยส่วนเมื่อเทียบกับธาตุไนโตรเจน

การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุเหล็ก
- ใบพืชจะมีสีซีดจางไม่เขียว แสดงอาการของสารคลอโรฟีลล์
- จะทำให้ระบบของรากพืชไม่พัฒนา
- พืชเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ
- เส้นกลางใบพืชจะมีสีซีดจาง
- ถ้าพืชขาดธาตุเหล็กในปริมาณมากจะทำให้ผลผลิตลดลง

สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุเหล็ก
- ในดินที่มีค่าของความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) ตั้งแต่ 6.0 ขึ้นไป
- ในดินที่ขาดการให้ธาตุเหล็กที่เป็นประโยชน์ เช่น เหล็กคีเลท
- ในดินที่มีการไถลึก และดินที่ถูกน้ำกัดเซาะ
- ในดินที่มีความชื้นสูงและมีอุณหภูมิในดินต่ำก่อนและหลังปลูกพืช
- ในดินที่แน่นมาก เช่น ดินเหนียว
- ในดินที่ใส่ปุ๋ยฟอสเฟตมาก
- ธาตุเหล็กไม่เคลื่อนย้ายจากใบเก่าสู่ใบใหม่ ดังนั้นเมื่อมีใบใหม่ออกมาต้องให้ธาตุเหล็กเสมอ เพื่อไม่ให้พืช ขาดธาตุเหล็ก
- ในช่วงที่มีอากาศเย็น ดินเย็น พืชจะดูดธาตุเหล็กได้น้อยมาก
- การฉีดพ่นธาตุเหล็กคีเลททางใบพืชจะให้ประโยชน์แก่พืชมากกว่าให้ทางดิน

ธาตุทองแดง - Copper หน้าที่สำคัญของธาตุทองแดง
- ทำหน้าที่ในการช่วยสร้างสารคลอโรฟีลล์(สีเขียว)
- ทำหน้าที่เพิ่มความหวานในผลไม้
- ทำหน้าที่เพิ่มกลิ่นในผลไม้และผัก
- ทำหน้าที่เพิ่มความเข้มของสี
- เป็นตัวจักรสำคัญในการสังเคราะห์แสง
- เป็นตัวจักรสำคัญในระยะการผลิตดอกและผล
- เร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์ในพืช
- ผลิตเอนไซม์ที่มีหน้าที่ในการหายใจของพืช
- การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุทองแดง
- มีข้อใบสั้น
- ยอดที่เกิดใหม่จะแสดงอาการตายจากปลายยอดลงมา
- ใบจะมีสีซีดและจะไหม้ตายไปในที่สุด
- ในพืชพวกมะเขือ ใบจะหนาและมีสีเขียวเข้ม ใบอ่อนจะม้วนขึ้นมีจุดสีจาง ๆ และในใบแก่จะเหี่ยวเฉาเหมือน
- อาการขาดน้ำ
- ถ้าพืชขาดมากจะทำให้พืชเติบโตช้า

สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุทองแดง
- ในดินที่มีความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) 4.5-5.0 และ 7.0 ขึ้นไป
- ในดินที่มีอินทรีย์วัตถุสูง เพราะดินชนิดนี้จะไม่ยึดธาตุทองแดงไว้
- ในดินทรายที่น้ำซึมลึกพาเอาธาตุทองแดงลงไปมาก
- ในดินที่มีธาตุฟอสฟอรัสสูง ทำให้พืชดูดธาตุทองแดงได้น้อย
- ในดินที่มีอนุมูลเป็นจำนวนมากของธาตุอะลูมินั่ม ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก ธาตุแมงกานีส
- เมื่อมีการขาดธาตุทองแดงในพืช จะทำให้พืชขาดธาตุอื่น ๆ ด้วย รวมทั้งธาตุไนโตรเจน
- ธาตุทองแดงเป็นธาตุที่ไม่เคลื่อนย้ายจากใบแก่ไปสู่ใบอ่อนที่แตกออกมาใหม่ ดังนั้นต้องฉีดพ่นให้อยู่เสมอ
- เมื่อมีใบอ่อนออกมา
- พืชต้องการธาตุทองแดงในปริมาณน้อย แต่ก็ขาดไม่ได้เพื่อการเจริญเติบโตเช่นเดียวกันกับธาตุโมลิบดีนัม

ธาตุแมงกานีส - Manganese
ธาตุแมงกานีส ที่พบในดินอยู่ในรูปของแมงกานีสไดออกไซด์ และในรูปที่เป็นไฮเดรต หรือในรูปของไอออนประจุบวก(Mn2+)
หน้าที่สำคัญของธาตุแมงกานีส
-เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์ต่าง ๆ ในพืช
- ช่วยในการหายใจของพืช เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
- ช่วยสังเคราะห์แสงทำให้เกิดสารคลอโรฟีลล์(สีเขียวในพืช)
- ช่วยเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานเคมี
- ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนในพืชให้เป็นแป้ง เป็นน้ำตาล โดยเฉพาะในผลไม้ที่รับประทานหวานจะมีความหวานเพิ่มขึ้น

สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุแมงกานีส
-แสดงอาการใบเหลือง ต้นแคระแกรนไม่เจริญเติบโต
- ใบอ่อนที่แตกออกมาจะซีดขาว
- ใบแก่มีจุดสีน้ำตาล ปลายใบแห้ง
- ใบห้อยลงและเหี่ยวเฉา
- ยอดอ่อนจะแห้งตาย
- ในผลไม้ที่รับประทานหวานจะมีความหวานน้อย

ธาตุโมลิบดีนัม - Molybdenum
พืชดูดโมลิบดีนัมในรูปโมลิบเดทที่เป็นอิออนประจุลบ(Mo O4 2-) การดูดใช้จะลดลงได้เมื่อมีอนุมูล ซัลเฟต(SO4 2-) มาแข่งขัน การใส่ปูนเพื่อปรับ พี-เอช ให้สูงถึง 7 จะช่วยส่งเสริมการดูดใช้โมลิบดีนัมในพืช
หน้าที่สำคัญของธาตุโมลิบดีนัม
-ตรึงธาตุไนโตรเจนในพืชตระกูลถั่ว
- มีความสำคัญในการเปลี่ยนไนเตรทในพืชให้เป็นกรดอะมิโนเป็นโปรตีน
- เสริมสร้างการเจริญเติบโตของพืช
- ช่วยให้ผลไม้สุกแก่เร็วขึ้น
- ในผลไม้ที่มีสารไนเตรทสูง โมลิบดีนัมจะทำหน้าที่เปลี่ยนสารไนเตรท ให้เป็นกรด อะมิโน เป็นโปรตีน เป็นน้ำตาล


การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุโมลิบดีนัม

-แสดงอาการขอบใบแห้งและม้วนงอ
- พื้นที่ระหว่างเส้นใบจะมีสีซีดจางและจะแห้งตายในที่สุด
- ในกรณีที่พืชต้องการ(หิว) มาก ๆ ต้นจะแคระแกรน ติดดอกเล็ก ๆ ถ้าติดผล ๆ จะร่วงอย่างรวดเร็ว
- ในผลไม้จะสุกแก่ช้ากว่าปกติ
- ในผลไม้ที่รับประทานหวานจะไม่ค่อยมีรสหวาน

สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุโมลิบดีนัม
- ในดินที่มีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) 4.0-7.0 หรือ ดินเป็นกรด
- ในการใส่ปูนในดินเพื่อปลูกพืชหมุนเวียน
- เมื่อใส่ธาตุเหล็กลงไปในดินหรือฉีดพ่นธาตุเหล็ก ในดินทราย ในดินที่ใส่ปุ๋ยพวกซัลเฟต

ธาตุโบรอน - Boron หน้าที่สำคัญของธาตุโบรอน
-เพิ่มจำนวนช่อดอก จำนวนผล
- เพิ่มคุณภาพของผลผลิต เช่น รสชาติ
- ช่วยเสริมสร้าง แป้ง และน้ำตาล
- ช่วยพัฒนาขนาดของผลและเมล็ด
- ช่วยในการผสมเกสรของดอก ป้องกันผลร่วง
- สังเคราะห์โปรตีน
- สร้างฮอร์โมนพืช
- ส่งเสริมการสุกการแก่ของผล
- ควบคุมการคายน้ำของผล
- มีบทบาทในการย่อยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต
- สร้างความต้านทานต่อความหนาวเย็นหรือเมื่อมีอุณหภูมิต่ำ
- สร้างให้พืชมีความต้านทานต่อโรคและแมลง

การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุโบรอน

-อาการปลายใบพืชเหลืองแล้วขยายตัวลงมาตามขอบใบลงสู่โคนใบ และจะมีจุดน้ำตาลเกิดขึ้นที่ขอบใบ
- ใบมีสีทองใบหนาหงิกงอ ในบางกรณีใบจะมีอาการโค้งงอขึ้นข้างบน
- พืชแตกกิ่งก้านสาขามากผิดปกติและส่วนยอดของกิ่งก้านจะแห้งตาย
- พืชไม่ค่อยออกดอกหรือออกดอกแต่ดอกจะไม่สมบูรณ์ ดอกผสมไม่ติดทำให้ดอกร่วง
- ในพืชผักประเภทหัวจะมีอาการเน่า
- ในพืชที่ให้ผลอยู่จะให้ผลไม่สมบูรณ์ เช่น ส้ม ความหนาของเปลือกจะไม่เท่ากัน และบูดเบี้ยวมีเมือกเหนียว
- ในผลจะมีเนื้อในน้อยหรือผลกลวง เช่น ในผลมะเขือเทศและส้มเขียวหวาน
- ส่วนปลายของผลจะช้ำและต่อมาจะเน่า
- สำหรับผลไม้ที่รับประทานหวานจะมีความหวานน้อยกว่าปกติ
- ผลร่วงมาก

สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุโบรอน
- ในดินที่ไม่มีการปลูกพืชหมุนเวียน
- ในดินที่มีค่าของความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) 4.5-5.0 และ 7.0-8.7
- ในดินที่มีการซึมลึกของน้ำมาก
- ในดินที่ใส่ปูนมากเกินไป
- ในดินที่มีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก
- ในดินที่มีธาตุไนโตรเจนสูงมาก
- ในดินที่มีปุ๋ยฟอสฟอรัสต่ำมาก
- ในดินที่เป็นดินทราย
- ในระยะที่มีสภาพอากาศแห้งแล้ง
- ในดินที่มีอินทรีย์วัตถุต่ำ

ทำไมวันนี้ต้องเป็นธุรกิจเครือข่าย

ทำไมวันนี้ต้องเป็นธุรกิจเครือข่าย



เพลี้ยแป้ง

เพลี้ยแป้งชื่อวิทยาศาสตร์ Pseudococcus sp.
รูปร่างลักษณะและชีวประวัติ

เพลี้ยแป้งตัวเต็มวัยตัวเมียมีขนาดลำตัวยาวประมาณ 3 มม. สีเหลืองอ่อน ลักษณะอ้วนสั้นมีผงสีขาวปกคลุมลำตัว วางไข่เป็นกลุ่ม ๆ ละ 100-200 ฟองบนผล กิ่ง และใบ ตัวเมียหนึ่งตัวสามารถวางไข่ได้ 600-800 ฟอง ในเวลา 14 วัน ไข่จะฟักอยู่ในถุงใต้ท้องตัวเมียประมาณ 6 - 10 วัน จึงจะออกเป็นตัวอ่อน ตัวอ่อนที่ฟักออกจากไข่ใหม่ ๆ มีสีเหลืองและไม่มีผงสีขาว จะคลานออกจากกลุ่มไข่หาที่เหมาะสมที่จะกินอยู่ ตัวเมียจะมีการลอกคราบจำนวน 3 ครั้ง ด้วยกันและไม่มีปีก ส่วนตัวผู้จะลอกคราบ 4 ครั้ง มีปีกและมีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย ตัวเมียจะวางไข่ภายหลังจากการลอกคราบครั้งที่ 3 ภายในเวลา 1 ปี เพลี้ยแป้งสามารถขยายพันธุ์ได้ 2 - 3 รุ่น ในระยะที่ไม่มีพืชอาหารหลัก เพลี้ยแป้งจะอาศัยอยู่ใต้ดินตามรากพืช เช่น รากหญ้าแห้วหมู โดยมีมดซึ่งอาศัยกินสิ่งขับถ่ายของเพลี้ยแป้งเป็นพาหะนำไป

ความสำคัญและลักษณะการทำลาย

เพลี้ยแป้งดูดกินน้ำเลี้ยงจากบริเวณกิ่ง ใบ ช่อดอก ผลอ่อน ผลแก่ มีมดเป็นพาหะช่วยพาไปตามส่วนต่าง ๆ ของพืช ส่วนของพืชที่ถูกทำลายจะแคระแกรนและเกิดราสีดำ โดยเฉพาะผลที่มีเพลี้ยแป้งทำลายอยู่มักจะเป็นที่รังเกียจของผู้บริโภค แม้ว่าจะไม่ให้เนื้อทุเรียนเสียหายก็ตาม




การแพร่กระจายและฤดูกาลระบาด
ระยะที่พบ
ระหว่างเดือนมีนาคม - พฤษภาคม
ระยะควรระวัง ระหว่างเดือนมีนาคม - พฤษภาคม

ศัตรูธรรมชาติ
แตนเบียนเพลี้ยแป้ง Unidentified sp. ด้วงเต่าปีกลายหยัก Menochilus sexmaculatus ด้วงเต่าโรโดเลีย Rodolia sp. ด้วงเต่าสคิมนัส Scymnus sp. ด้วงเต่าฮอร์โมเนีย Harmonia octomaculata ด้วงเต่าสีส้ม Micraspis sp. แมลงช้างปีกใส Chrysopa sp. แมลงช้างปีกใสแปดจุด Ankylopteryx octopunctata แมลงช้างปีกสีน้ำตาล Hemerobius sp. ต่อหลวง ต่อรัง Vespidae

การป้องกันและกำจัด
ระดับเศรษฐกิจ : ผลถูกทำลายร้อยละ 20 ต่อต้น หลังการตัดแต่งผลครั้งที่ 3

ติดตามสถานการณ์เพลี้ยแป้งและศัตรูธรรมชาติ
- สำรวจ 10% ของต้นทั้งหมด 7 วัน/ครั้ง ในช่วงมีนาคม - พฤษภาคม
- ตรวจนับ 5 ผล/ต้น ทั้งเพลี้ยแป้งและศัตรูธรรมชาติ
- ประเมินประสิทธิภาพของศัตรูธรรมชาติในการควบคุมเพลี้ยแป้ง และปริมาณของผลที่ถูกเพลี้ยแป้งทำลาย

ชีววิธี
- อนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติไว้ควบคุมเพลี้ยแป้งตามธรรมชาติ :

วิธีเขตกรรม
- ตัดผลที่ไม่สมบูรณ์และถูกเพลี้ยแป้งทำลายไปเผาทำลาย ก่อนการตัดแต่งผลครั้งที่ 3
- ไม่ควรปลูกพืชอาศัยของเพลี้ยแป้งในบริเวณสวนทุเรียน เช่น น้อยหน่า พู่ระหง กาแฟ ไผ่

วิธีกล
- ฉีดพ่นน้ำให้เพลี้ยแป้งหลุดร่วงออกจากผล

สารเคมี
- ใช้ผ้าชุบสารฆ่าแมลงพันไว้ที่กิ่งหรือโคนต้น
- โรยสารฆ่าแมลงคาร์บาริล 85% WP รอบ ๆ โคนต้นเพื่อป้องกันมดนำเพลี้ยเข้าไปยังส่วนต่าง ๆ ของต้น

ธาตุอาหารรอง ( Ca,S,Mg )

ธาตุอาหารรอง ( Ca,S,Mg )
ธาตุแคลเซียม - CALCIUM

หน้าที่สำคัญของธาตุแคลเซียมในพืช

- มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับโครงสร้างของผลไม้
-ช่วยเสริมสร้างเซลล์และการแบ่งเซลล์ของพืช ซึ่งพืชต้องการอย่างต่อเนื่อง
-ช่วยในการสร้างเซลล์และโครงสร้างของเซลล์ของพืช
-ช่วยให้เซลล์ติดต่อกัน และจะช่วยเชื่อมผนังเซลล์ให้เป็นรูปร่าง และขนาดให้เป็นไปตามลักษณะของพืช
-ช่วยเพิ่มการติดผล
- ช่วยให้สีเนื้อและสีผิวของผลสดใส
-ช่วยลดการเกิดเนื้อของผลแข็งกระด้าง และเนื้อแฉะ
- ช่วยป้องกัน ผลร่วง ผลแตก
- มีบาทบาทที่สำคัญในระยะการเจริญเติบโตและการออกดอกของพืช
- มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการย่อยธาตุไนโตรเจน
-เป็นตัวช่วยลดการหายในของพืช
- เป็นตัวช่วยเคลื่อนย้ายน้ำตาลจากใบไปสู่ผล

การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุแคลเซี่ยม
- ใบอ่อนที่แตกออกมาใหม่จะหดสั้นและเหี่ยว แม้ว่าใบเก่าจะมีธาตุแคลเซียมอยู่ เนื่องจากธาตุแคลเซียมไม่เคลื่อนย้ายจากใบเก่าสู่ใบใหม่
- ใบอ่อนที่ขาดธาตุแคลเซียมจะมีสีเขียวแต่ปลายใบจะเหลือง และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและจะตายในที่สุด
- ถ้าขาดธาตุแคลเซียมที่บริเวณขั้วหรือข้อต่อของผลจะทำให้เกิดแก๊สเอธีลีน(Ethylene) ทำให้ผลร่วง
- พืชหลายชนิดที่ขาดธาตุแคลเซียม เช่น มะเขือเทศ แตงโม พริก แตงกวา จะเกิดการเน่าที่ส่วนล่างผล,
- ในผักขึ้นฉ่ายจะแสดงอาการไส้ดำ, ในแครอดจะแสดงอาการฟ่ามที่หัว, ในแอปเปิลจะมีรสขม,
- ในมันฝรั่งจะแสดงอาการเป็นสีน้ำตาลบริเวณกลางหัว,
- ในพืชลงหัวต่าง ๆ เช่น ผักกาดหัว(หัวไชเท้า) หอม กระเทียม จะแสดงอาการไม่ลงหัว หรือลงหัวแต่หัวจะไม่
สมบูรณ์
- ในพืชไร่ ต้นจะแตกเป็นพุ่มแคระเหมือนพัด แสดงอาการที่ราก คือ รากจะสั้น โตหนามีสีน้ำตาล ดูดอาหาร
ไม่ปกติ
- ในระยะพืชออกดอก ติดผล ถ้าพืชขาดธาตุแคลเซียม ตาดอกและกลีบดอกจะไม่พัฒนา ดอกและผลจะร่วง

สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุแคลเซี่ยม
- ในดินที่มีค่าของความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) ระหว่าง 4.0-7.0 และ 8.5 ขึ้นไป
- เมื่อให้ธาตุไนโตรเจนมาก
- เมื่อให้ธาตุโพแทสเซียมมาก
- เมื่อพืชแตกใบอ่อน แม้ว่าใบแก่จะมีธาตุแคลเซียม ทั้งนี้เนื่องจากธาตุแคลเซียมไม่เคลื่อนย้ายในพืช
- เมื่อพืชแตกใบอ่อนต้องให้ธาตุแคลเซียมอยู่เสมอ
- ธาตุแคลเซียมจะมีความสมดุลกับธาตุโบรอนและธาตุแมกนีเซียมในพืช ถ้าไม่มีความสมดุลระหว่างธาตุทั้ง 3 ชนิด พืชจะแสดงอาการผิดปกติ
- ธาตุแคลเซียมจะสูญเสียไปในดิน กลายเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งพืชไม่สามารถดูดไปใช้ได้
- ในดินที่เป็นกรด จะตรึงธาตุแคลเซียมไว้ ทำให้พืชไม่สามารถดูดไปใช้ได้

ธาตุแมกนีเซียม – MAGNESIUM

ธาตุแมกนีเซียม มีความสำคัญต่อพืช คน และสัตว์ ร่างกายของคนต้องการธาตุแมกนีเซียมประมาณ 0.3-0.4 มิลิกรัมต่อวัน สัตว์เช่น วัว ควาย ต้องการสูงถึง 10 เท่า คือ ประมาณ 3-6 กรัมต่อวัน ถ้าคนขาดธาตุแมกนีเซียม จะทำให้ความจำเสื่อม กล้ามเนื้อเป็นตะคริวเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ ในวัวถ้าขาดธาตุแมกนีเซียมจะเป็นโรคกระแตเวียน

หน้าที่สำคัญของธาตุแมกนีเซียมในพืช
- เป็นตัวจักรสำคัญในการช่วยเสริมสร้างสารคลอโรฟีลล์ หรือความเขียวในพืช ช่วยให้พืชปรุงอาหารได้ดีขึ้
- ช่วยในการเคลื่อนย้ายธาตุฟอสฟอรัสได้ดีขึ้น
- มีส่วนสำคัญในการสังเคราะห์แสง
- มีส่วนสำคัญเกี่ยวกับการสุกการแก่ของผลผลิต
- ช่วยให้พืชเพิ่มการใช้ธาตุเหล็กมากยิ่งขึ้น
- เป็นตัวกระตุ้นการทำงานของน้ำย่อยต่าง ๆ ของพืช เคลื่อนย้ายภายในพืชได้ดี
- ช่วยเสริมสร้างให้พืชไม่ชะงักการเจริญเติบโตในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น
- ช่วยเสริมสร้างให้พืช มีความต้านทานต่อโรคพืชต่าง ๆ
- พืชอาหารสัตว์ ถ้าขาดธาตุแมกนีเซียม จะเป็นสาเหตุของพืชอาหารสัตว์เป็นพิษ

การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุแมกนีเซียม
- จะทำให้ต้นเล็กแคระแกรน ใบเหลือง
- ในใบแก่จะมีสีซีดจาง ไม่เขียวสดใส และเมื่อแตกใบอ่อนก็จะมีสีซีดจางเช่นเดียวกัน และธาตุแมกนีเซียม
สามารถเคลื่อนย้ายในพืชได้
- เมื่อใบแก่ขาดธาตุแมกนีเซียม ใบอ่อนที่แตกออกมาใหม่ก็จะขาดด้วย ใบจะเป็นสีเหลืองและเปลี่ยนเป็นสี
น้ำตาลและตายไปในที่สุด
- ผลจะสุกแก่ช้ากว่าปกติ
- ในพืชตระกูลถั่วจะทำให้พืชไม่ค่อยจะลงฝัก และจะทำให้แบคทีเรียที่รากถั่ว ไม่จับธาตุไนโตรเจนไว้ได้ดีเท่า
ที่ควร
- ในพืชอาหารสัตว์จะให้ผลผลิตต่ำ และทำให้พืชอาหารสัตว์เป็นพิษ

สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุแมกนีเซี่ยม
- ในดินที่มีค่าของความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) ระหว่าง 4.0-7.0 และ 8.5 ขึ้นไป
- ในดินที่มีปริมาณของธาตุแมกนีเซียมต่ำ
- ในดินที่มีธาตุแคลเซียม โพแทสเซียม และโซเดียมมาก
- ในดินที่มีปริมาณของเกลือมาก เช่น พวกเกลือโซเดียม
- ในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น ดินเย็น หรือมีอุณหภูมิต่ำ
- ในระยะที่พืชแตกใบอ่อน
- ในระยะที่พืชดูดใช้ธาตุไนโตรเจนมาก

การให้ปุ๋ยโพแทสเซียม ต้องให้ธาตุแมกนีเซียมควบคู่กันไป ถ้าให้ปุ๋ยโพแทสเซียมมากจะเป็นปัญหาการขาดธาตุแมกนีเซียมการให้ธาตุแคลเซียม ต้องให้ธาตุแมกนีเซียมควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดความสมดุลกัน ถ้าธาตุแคลเซียมมาก อาจทำให้ขาดธาตุแมกนีเซียม
การให้ปุ๋ยไนโตรเจน ต้องให้ธาตุแมกนีเซียม และธาตุแคลเซียมควบคู่กันไปด้วยเพื่อให้เกิดความสมดุลกัน โดยเฉพาะพืชอาหารสัตว์ เช่น หญ้าเลี้ยงสัตว์ จะเกิดอาการเป็นพิษจากสารไนเตรท(Nitrate Poisoning) ดังนั้นเมื่อให้ปุ๋ยไนโตรเจนต้องให้ธาตุแมกนีเซียมและธาตุแคลเซียมควบคู่ไปด้วย

ธาตุกำมะถัน – SULPHUR
ธาตุกำมะถัน เป็นวัตถุดิบที่มีความสำคัญในเชิงอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในการผลิตปุ๋ยเคมี จะต้องมี กำมะถันเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ นอกจากนี้ธาตุกำมะถัน ยังมีความสำคัญ ต่อการเจริญเติบโตของพืช หลายชนิด และมีพืชหลายชนิดที่ต้องการธาตุกำมะถันมากเป็นพิเศษ เช่น กาแฟ ปาล์มน้ำมัน อ้อย พืช ตระกูลถั่วที่เป็นอาหารสัตว์ และพืชผักต่าง ๆ
หน้าที่สำคัญของธาตุกำมะถัน
- ธาตุกำมะถันเป็นส่วนประกอบของกรดอะมิโน(Amino acids) พืชต้องการธาตุกำมะถันเพื่อสังเคราะห์กรดอะมิโนที่สำคัญ 3 ชนิด คือ ซีสตีน(Cystine) ซีสเตอีน(Cysteine) และเมทธิโอนีน(Methionine) ดังนั้นจึงมีส่วนสำคัญในการสร้างโปรตีน, กรดอะมิโนเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งคน และสัตว์ด้วย
- ธาตุกำมะถันจะช่วยในการควบคุม ชนิดและโครงสร้างของเม็ดสีคลอโรพลาสต์ ซึ่งภายในประกอบด้วย
คลอโรฟีลล์เป็นแหล่งที่พบกำมะถันสะสมอยู่มาก เมื่อพืชขาดธาตุกำมะถันปริมาณของ
คลอโรฟีลล์จะลดลงทำให้พืชมีสีเหลืองซีด
- ช่วยส่งเสริมความแข็งแรงในการเจริญเติบโตของพืช ช่วยให้พืชทนทานต่ออุณหภูมิที่เย็น และต้านทานต่อ
โรคพืชหลายชนิด
- ช่วยสนับสนุนการเกิดปมที่รากของพืชตระกูลถั่วและกระตุ้นการสร้างเมล็ด
- มีส่วนสำคัญในการเกิดน้ำมันพืชและสารระเหยให้หัวหอมและกระเทียม

การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุกำมะถัน
- พืชจะแคระแกรนหยุดการเจริญเติบโต
- ใบอ่อนมีสีเขียวจางลง รวมทั้งเส้นใบจะมีสีจางลงด้วย แต่ในใบแก่จะยังคงมีสีเขียวเข้ม
- ถ้าพืชขาดธาตุกำมะถันมาก พืชจะพัฒนาการเจริญเติบโตได้ช้า
- ลำต้นพืชจะสั้นและแคบเข้า ใบยอดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
- ในพืชตระกูลถั่ว การตรึงธาตุไนโตรเจนที่ปมรากจะลดลงทั้งขนาดและจำนวนปม

สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุกำมะถัน
- ในดินที่มีของความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) 4.0-6.0
- ในดินที่มีค่าอินทรีย์วัตถุต่ำกว่า 1%อินทรีย์วัตถุเป็นแหล่งสำรองของธาตุกำมะถัน ได้แก่ ซากพืช ซากสัตว์
- ผลจากการหักล้างถางพงป่ามาเป็นพื้นที่เพาะปลูกการเกษตรจะทำให้ดินสูญเสียอินทรีย์วัตถุเร็วขึ้น
- การใช้ปุ๋ยสูตรที่มีความเข้มข้นของธาตุอาหารสูง จะทำให้เกิดการขาดธาตุกำมะถัน เช่น ปุ๋ยแอมโมเนียม
ฟอสเฟต (MAP) ไดแอมโมเนียมฟอสเฟต(DAP) หรือ ทริปเปิลซูเปอร์ฟอสเฟต(TSP)

กรดฮิวหมิก (Humic Acid)

กรดฮิวหมิก (Humic Acid)
คุณสมบัติของกรดฮิวมิกซึ่งเป็นสารประเภทหนึ่งของสารฮิวมิก เป็นสารปรับปรุงคุณภาพดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถอุ้มน้ำได้ดี และมีระดับอินทรีย์วัตถุในปริมาณที่พอเหมาะ ตลอดจนช่วยลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีให้น้อยลง เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น

สารฮิวหมิก แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. กรดฮิวมิก (Humic Acid) ซึ่งละลายในสารละลายด่างเจือจาง และนำสารละลายด่างที่สกัดได้นั้นมาตกตะกอนด้วยกรด จะได้ตะกอนของกรดฮิวมิก เมื่อเอากรดฮิวมิกมาสกัดด้วยแอลกอฮอล์ได้ส่วนที่ละลาย คือ กรดไฮมาโทเมลานิก (Hymatomelanic Acid) หรือเอาตะกอนกรดฮิวมิกมาละลายด้วยด่าง แล้วเติมอิเล็กโทรไลน์ (Electrolyte) จะได้ตะกอนของกรดฮิวมิกสีเทา ส่วนที่ไม่ตกตะกอน คือ กรดฮิวมิกสีน้ำตาล
2. กรดฟูลวิก (Fulvic acid) สารละลายที่เหลือจากการทำให้เป็นกรดฮิวมิก นั่นคือกรดฟูลวิก สามารถละลายได้ทั้งในกรดและด่าง
3. ฮิวมิน (Humin)
คือ สารฮิวมิกซึ่งไม่สามารถสกัดได้ด้วยสารละลายด่างเจือจางและกรด

กรดฮิวมิกเป็นสารอินทรีย์ที่มีโครงสร้างเป็น Polyphenol ที่เสถียรแต่สลับซับซ้อน ซึ่งเกิดจากการสลายตัวของซากพืชซากสัตว์ในดิน พบได้ในพีท ลิกไนต์ และแร่ลีโอไดท์ เป็นต้น กรดฮิวมิกมีส่วนประกอบของหมู่คาร์บอกซิล หมู่ฟีนอล หมู่คาร์บอนิล หมู่แอลกอฮอล์ และหมู่ฟังชันแนลอื่น ๆ มีน้ำหนักโมเลกุลตั้งแต่น้อยกว่า 1,000 จนถึง 100,000 กรดฮิวมิก สามารถละลายได้ในสารละลายด่างแต่ไม่ละลายในแอลกอฮอล์ กรดฮิวมิกมีองค์ประกอบของคาร์บอน (C) ออกซิเจน (O) ไฮโดรเจน(H) กำมะถัน(S) ไนโตรเจน(N) และ ธาตุอื่น ๆ อีกเล็กน้อย

การสกัดกรดฮิวมิกนั้นในทางเคมีสามารถทำได้โดยใช้สารละลายที่มีฤทธิ์เป็นด่าง เช่น สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ กรดฮิวมกจะถูกสกัดเข้ามาละลายอยู่ในชั้ชของสารละลายด่างเป็นโซเดียมฮิวเมท จากนั้นนำสารละลายที่ได้มาตกตะกอนให้เป็นกรดฮิวมิกด้วยกรดเกลือ โดยการปรับ pH ของสารละลาย น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 และนำเข้าเครื่องเหวี่ยงเพื่อแยกตะกอนของกรดฮิวมิกออกมา ถึงแม้ว่ากรดฮิวมิกจะไม่ใช่ปุ๋ย แต่ก็มีการนำมาใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีเพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงดินทั้งทางกายภาพและทางเคมี

สมบัติทางกายภาพ
กรดฮิวมิกจะรักษาโครงสร้างของดินให้อุ้มน้ำและระบายอากาศได้ดี ในอนุภาคของดินที่มีความเป็นดินเหนียวสูงจะมีประจุบวกและประจุลบอยู่อย่างหนาแน่น ทำให้มีแรงยึดเหนี่ยวสูง จึงส่งผลให้ดินมีความละเอียดและความหนาแน่นมาก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อระบบรากของพืชที่ดูดซึมแร่ธาตอาหารและน้ำ กรดฮิวมิกสามารถปรับปรุงดินที่มีความเป็นดินเหนียวสูงเนื่องจากในโครงสร้างโมเลกุลของกรดฮิวมิกมีหมู่คาร์บอกซิล ซึ่งจะไปสร้างพันธะกับอนุภาคประจุบวกในดินที่มีความเป็นดินเหนียวสูง และทำลายแรงยึดเหนี่ยวระหว่างประจุบวกและประจุลบออกจากกัน ซึ่งจะทำให้ชั้นดินมีความโปร่งขึ้น ส่งผลให้น้ำและอากาศหมุนเวียนถ่ายเทได้ดีขึ้น

นอกจากนั้นกรดฮิวมิกสามารถป้องกันไม่ให้น้ำระเหยไปจากดิน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีความสำคัญยิ่งสหำรับดินที่มีความเป็นดินเหนียวต่ำ ดินทราย และดินในพื้นที่แห้งแล้ง ที่ไม่สามารถจะดูดซับน้ำไว้ได้ เมื่อดินที่มีลักษณะดังกล่าวมีน้ำผ่านเข้ามา ประจุบวกที่กรดฮิวมิกได้ดูดซับไว้จะสร้างพันธะกับประจุลบของน้ำคือออกซิเจน ส่วนประจุลบที่เหลืออยู่ในน้ำคือไฮโดรเจนนั้นก็จะสามารถสร้างพันธะไฮโดคเจนกับอะตอมของออกซิเจนในน้ำโมเลกุลอื่นๆ ต่อๆ ไป ทำให้น้ำระเหยออกจากดินน้อยลง หรือสามารถอุ้มน้ำได้ มาขึ้นนั่นเอง

สมบัติทางเคมี
กรดฮิวมิกมีประสิทธิภาพในการดูดซับธาตุอาหารเพื่อที่จะปลดปล่อยธาตุอาหารเหล่านั้นให้แก่พืช เพื่อที่จะได้นำสารเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ในด้านการเจริญเติบโต การออกดอกออกผล กล่าวคือกรดฮิวมิกสามารถยึดประจุบวกของธาตุอาหารเสริมภายใต้สภาวะหนึ่งและจะปลดปล่อยธาตุอาหารเหล่านั้น เมื่อสภาวะเปลี่ยนไป ด้วยคุณสมบัตินี้เมื่อกรดฮิวมิกเคลื่อนที่เข้าไปไกล้บริเวณรากของพืช ซึ่งระบบรากพืชจะมีประจะลบ พวกธาตุอาหารเสริมเหล่านั้นก็จะถูกปล่อยจากโมเลกุลของกรดฮิวมิกเข้าไปสู่ระบบรากพืช ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ากรดฮิวมิกมีความสำคัญอย่างมากในการเป็นสื่อกลางการลำเลียงธาตุอาหารจากดินไปสู่รากพืช