วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สรุปเงินสี่ด้าน-จากหนังสือ พ่อรวย สอนลูก RichDad PoorDad

อิสรภาพทางความคิด - สิ่งนี้ที่คุณเริ่มได้
อิสรภาพทางด้านเวลา และอิสภาพทางด้านการเงินเป็นสิ่งที่มีค่า และน้อยคนนัก
ที่จะได้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน โดยพิจารณาจากกล่มคน 4 ประเภทดังนี้

สรุปเงินสี่ด้าน - จากหนังสือ พ่อรวย สอนลูก RichDad PoorDad

E S B I คุณเป็นคนประเภทไหน ??

E (Employee) - ลูกจ้าง
- รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน
- รายได้ตามตำแหน่งงานที่ได้รับมอบหมาย
- นายจ้างเป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตและเงินเดือนให้คุณ
- ขาดอิสรภาพ ต้องเซ็นต์ชื่อ ตอกบัตร
- ตกงานเท่ากับล้มละลาย
(ตกงาน 3 เดือน ไม่ต่างจากคนล้มละลาย)
- อยู่ในวงจรหนี้สิน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ฯลฯ
B (Business Owner) - เจ้าของธุรกิจ
- มีทุน
- หาคนเก่งๆ มาทำงานให้
- ไม่ทำก็มีรายได้
B มีหลายประเภท
- บริษัท
- แฟรนไซน์
- การตลาดแบบเครือข่าย (เป็นช่องทางที่จะเป็น
เจ้าของกิจการ ที่มีความเสี่ยงน้อย)
S (Self-employed) - ทำธุรกิจส่วนตัว
- ขายเวลาแลกกับเงิน จ้างตัวเองทำงาน
- ชอบคิดเองทำเอง, ควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง
- ขาดประสบการณ์
- เจอคู่แข่งที่มีทุนหนากว่า
- อาจจะทนทำ เพราะชอบ อิสระ แต่ไม่มี อิสรภาพ

I (Investor) - นักลงทุน
- ไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน
- มองผลตอบแทนจากการปันผล ดอกเบี้ย
- ซื้อกิจการมาปรับปรุง แล้วขายต่อ
คนฝั่งซ้าย
คนฝั่งขวา
มี ความกลัว เป็นตัวขับเคลื่อน มี ความฝัน (ความใฝ่ฝัน) เป็นตัวขับเคลื่อน
ยึดติดกับงานประจำ พยายามสร้างงาน
รายได้จำกัด รายได้ไม่จำกัด
ไม่มีเป้าหมายในชีวิต มีเป้าหมายชัดเจน
มองเห็นอุปสรรค มองเห็นโอกาส
ไม่เข้าใจคำว่า ทรัพย์สิน หนี้สิน เข้าใจคำว่าทรัพย์สิน - หนี้สิน
ทำงานเพื่อเงิน ใช้เงินทำงาน
คิดถึงความเสี่ยง คิดถึงความน่าเสี่ยง
ยึดติดกับสิ่งเก่า เรียนรู้สิ่งใหม่
ไม่มีแผนงาน มีแผนงานชัดเจน
ดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง มีที่ปรึกษา
ชอบออกความเห็น ชอบหาความจริง
ชอบมีเงินสดเยอะๆ ชอบมี กระแสเงินสด สม่ำเสมอ
ชอบแสดงตัวว่าเก่ง ชอบมองหาคนเก่ง
ชอบวิธีการ ชอบวิธีคิด
ชอบการเฉลี่ย (ขจัดความเสี่ยง) ชองการจดจ่อ (Focus)
ถูกระบบความคุม ความคุมระบบ
เป็นส่วนหนึ่งของระบบ เป็นเจ้าของระบบ
เรียนเพื่อประกาศนียบัตร เรียนเพื่อหาความรู้
ทำงานเพื่อคนอื่น สร้างงานเพื่อคนอื่น
อยากทำบุญแต่ไม่มีงบ ทำบุญทุกครั้งที่มีโอกาส

แล้วคุณเลือกอยู่ฝั่งไหน ??????

งานประจำ ไม่ทำให้ร่ำรวยได้ มีแต่หนี้ ถ้าต้องการความสำเร็จ

ต้องเป็นเจ้าของธุรกิจ ธุรกิจมี 2 ประเภท คือ รวยแต่หยุดทำไม่ได้

กับรวยแล้วพักได้โดยรายได้ไม่หยุด

1. กิจการใหญ่ (ซีพี , AIS)
2. เจ้าของแฟรนไชส์ (แมคโดนัลด์ , 7-11)
3. ธุรกิจเครือข่าย

- การตลาดเครือข่าย เป็นเสมือนโรงเรียนสอนนักธุรกิจ

ที่ช่วยให้คุณย้ายฝั่งได้ง่าย ได้ผล และปลอดภัยที่สุด

- บริษัทเครือข่ายการตลาดที่ดีจะต้องมีระบบพัฒนาตัวคุณอย่างสมบูรณ์แบบ

(โดยสอนให้คุณเป็นนักธุรกิจ เพื่อเป็นเจ้าของธุรกิจ ไม่ใช่สอนให้คุณเป็นเซลส์แมน

หรือเพียงทำให้คุณมีรายได้ไปวันๆ บนความมั่นคงที่ไม่แน่นอน)

คนที่รวยที่สุดในโลกล้วนแสวงหา การสร้างเครือข่าย ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่

กำลังหางานทำ หากคุณมีความคิดสร้างสรรอันยิ่งใหญ่

หรือสินค้าอันดีเยี่ยมปานใดก็ตาม มีเพียงหนทางเดียวที่จะนำท่านสู่ความสำเร็จ

คือ การใช้เครือข่ายการประชาสัมพันธ์ และเครือข่ายการ

จัดจำหน่ายสินค้า เหล่านั้นสู่มือผู้บริโภคอย่างได้ผล

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ธุรกิจเครือข่าย กับ แชร์ลูกโซ่

ธุรกิจเครือข่าย กับ แชร์ลูกโซ่
โดย ชาญวิทย์ จตุวีรพงษ์ เมื่อ 2009-03-02 11:24:14

ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ธุรกิจที่จะได้รับความสนใจ และมีแรงกระตุ้น นัยว่าจะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมง คงไม่หนีไปจากธุรกิจเครือข่าย ไม่ว่าจะชั้นเดียว หลายชั้น สองขา สี่ขา หรืออะไรก็ตาม ด้วยเหตุผลหลักเลยคือ ลงทุนน้อย ได้ผลตอบแทนตามความทุ่มเท ที่ให้ลงไป

แต่ในความสว่าง ก็มีความมืด ถ้าคุณไม่รู้จักความมืด จะรู้ได้อย่างไรว่ามันสว่าง พวกมิฉาชีพที่แทรกตัวอยู่ในวงการเหล่านี้ ก็จะฉวยโอกาสนี้ ดันแชร์ลูกโซ่ เข้าไป บางคนตัวเองพลาดไปร่วมด้วยแล้ว ก็เลยเอาละหลอกคนอื่นต่อ คงมีคนพลาดเหมือนเรา แต่บางคนไม่รู้เลยว่าตัวเองพลาดไปร่วมวงแชร์ลูกโซ่ ก็เลยทุ่มเท หาสายงานยังกับถูกล้างสมองมาว่ามันดี

ขอให้มีสติไว้ คิดอยู่เสมอว่า
อะไรที่มันดีเกินกว่าจะเป็นจริงได้มันหลอกลวง - Too Good to be TRUE is SCAM

ธุรกิจเครือข่าย ผลตอบแทนของคุณต้องมาจาก ยอดในทีมงานของคุณ การหาสายงานคือการสร้างทีมให้ใหญ่ขึ้น ไม่ใช่มีรายได้หลักมาจากการหาสายงาน (ค่าหัวคิว) ยังไงเสียมันก็คืองานขาย ต้องมีใครสักคนที่ขายของ คุณไม่ขาย ทีมงานของคุณก็ต้องขาย มาดูเป็นข้อๆ ไปนะครับ

  1. ค่าสมัครสมาชิก - Membership Fee
    ต้องไม่สูง มันควรจะเป็นเพียงค่าดำเนินการ เช่นสัก 100-200 บาท นี่ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
  2. โบนัสจากการหาสายงาน - Referral Fee
    ข้อนี้ต้องดูหลายๆ อย่างประกอบ สำหรับบางบริษัทเขาใช้มันเป็นแผนการตลาด ที่จะสร้างเครือข่ายขนาดใหญ่ แต่บางบริษัทมันเหมือนค่าหัวคิว ตัวอย่างเช่น
    • ถ้าค่าสมัครสมาชิกในข้อ 1 คือ 100 บาท
    • ถ้าคุณแนะนำนาย ข. มาสมัคร คุณได้ไปเลย 50-60 บาท แบบนี้เรียกค่าหัวคิว
    • แต่ถ้าคุณแนะนำนาย ข. มาสมัคร คุณได้ 50-60 บาทเหมือนกัน แต่มีเงื่อนไขว่า คุณ+ทีมงานของคุณ ต้องมียอดขายรวมกัน 1500 บาท อย่างนี้ผมเรียกว่าแผนการตลาด
    • หรือถ้าคุณแนะนำนาย ข. มาสมัคร คุณได้ 10 บาท ผู้แนะนำของคุณได้อีก 10 บาท สูงขึ้นไปสัก 4-5 ชั้น อย่างนี้ผมก็ยังเรียกว่าแผนการตลาด แม้มันจะมีช่องโหว่ให้สร้างทีมแนวดิ่ง เพื่อกินค่าหัวคิวก็ตาม
  3. ค่าบริการรายเดือน - Monthly Fee
    จะให้ดี มันไม่ควรจะมี เว้นแต่บริษัทเขาให้บริการบางอย่างกับสมาชิก ที่มันมีค่าใช้จ่ายสูงเกินกว่าบริษัทจะให้ใช้บริการฟรีได้ สรุปว่า คุณต้องไม่เสียเงินให้เปล่ากับบริษัททุกๆ เดือน ไม่งั้นมันก็จะกลายเป็นว่า ผลตอบแทนที่คุณได้ ก็คือเงินของคุณ และทีมงานของคุณ มองหน้าทีมงานไม่ติดเปล่าๆ เหมือนหลอกเขามาสมัคร แล้วมาขอเก็บเงินจากเขาทุกๆ เดือน
  4. มาก่อนมาหลัง ไม่สำคัญ - Everyone can SUCCEED
    ต้องไม่มีสายแรก ต้องไม่มีคำว่ามาก่อนโอกาสดีกว่า ทุกคนโอกาสเท่ากัน ไม่งั้นคุณจะไปหาสายงานได้อย่างไร จะบอกเขาว่า คุณมีโอกาสดีกว่าเขาหรือ
  5. ใครทำใครได้ - Pay per Performance
    ต้องไม่มีเสือนอนกิน ธุรกิจเครือข่ายใครทำคนนั้นต้องได้ผลตอบแทน ถ้าจะเป็นเสือนอนกิน ก็ไปซื้อหุ้นด้อยสิทธิ์ในบริษัท จะถูกต้องกว่า

ธุรกิจเครือข่ายทุกตัว เจ้าของบริษัทคำนวนไว้หมดแล้วว่า เขาต้องจ่ายเท่าไร กี่เปอร์เซนต์จากยอดรายได้ของเขา ไม่ว่ามันจะใช้แผนการตลาดแบบใด ลองอ่านบทความเรื่อง ทำธุรกิจ MLM แล้วใครรวย ได้ในกลุ่มบทความ MLM นะครับ

มีคำถาม มีความเห็นต่าง หรืออยากเพิ่มเติมอะไร ก็เขียนเข้ามาได้ทางหน้า ถาม-ตอบ นะครับ

ที่มา : เขียนโดย นายชาญวิทย์ จตุวีรพงษ์ (MR.GETPAI

กระบวนการทำงานของธุรกิจเครือข่ายหรือ MLM

กระบวนการทำงานของธุรกิจเครือข่ายหรือ MLM

1. เริ่มต้นคุณต้องสมัครเป็นสมาชิกของบริษัทก่อน เสียค่าสมัครมากน้อยตามเงื่อนไขของบริษัทนั้น ๆ

2. เมื่อคุณสมัครและเสียค่าสมัครสมาชิกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บางบริษัทต้องซื้อสินค้าก่อน ถึงจะได้รับค่าคอมมิชมั่น

3. เมื่อคุณซื้อใช้สินค้าหรือบริการแล้ว นำมาใช้ ใช้ดีแล้วบอกต่อ หรือแนะนำผู้อื่นให้มาเป็นผู้บริโภคในเครือข่าย

4. ต้องแยกให้ออกนะครับธุรกิจเครือข่ายกับลูกโซ่ บางทีมันอาจจะคล้าย ๆ กัน ดูความแตกต่างระหว่างธุรกิจเครือข่ายและลูกโซ่

5. คุณต้องใช้ความอดทน+ความขยัน+เรียนรู้มากๆ ไม่ท้อนะครับ ความสำเร้จมันขึ้นอยู่กับตัวคุณเองและทีมงานของคุณนี่แหละ

รู้จักตัวเอง กับโลกออนไลน์

รู้จักตัวเอง กับโลกออนไลน์

ปัจจุบันการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วมาก เราสามารถค้นหาข้อมูลได้ทั่วโลก อยากจะได้อะไร หาได้ทุกอย่างบนโลกออนไลน์ คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องอินเตอร์เน็ทนะครับ เพราะทุกคนย่อมรู้จักกันดี แม้แต่พี่ป้าน้าอาทั้งหลาย แม้แต่เด็กอนุบาลยันวัยสูงอายุก็รู้จักกัน แต่ทุกอย่างย่อมแฝงด้วยธุรกิจครับ สมัยเริ่มมีอินเทอร์เน็ตในไทยกันใหม่ ๆ ธุรกิจออนไลน์ยังไม่เป็นที่แพร่หลายกันมากนัก การซื้อสินค้าออนไลน์ด้วยระบบธุรกิจ e-commerce หลายคนยังกล้า ๆ กล้ว ๆ กันอยู่ เนื่องจากระบบความปลอดภัยยังพัฒนาไปได้ไม่ไกลพอ แต่ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปตามยุค ตามสมัยครับ เดี่ยวมีเว็บไซต์มากมายหลายที่ที่ให้คุณสามารถเปิด เปิดร้านค้าออนไลน์ กันได้อย่างฟรี ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่เราจะเปิดร้านค้า online ขึ้นมาสักแห่งหนึ่ง เราก็คงจะต้องมีตัวสินค้าก่อนใช่ไหมล่ะครับ บางคนก็คิดไม่ออกว่าจะขายอะไรกันดีล่ะ แล้วเราจะไปหาสินค้าจากไหนมาขายดีล่ะ ผมมีทางออกให้กับทุกคน ด้วยการทำธุรกิจแบบ affiliate program ก่อนอื่นผมอยากให้ทุกคนรู้จักตัวเองกับโลกออนไลน์กันก่อนว่าเราคุ้นเคยมันมากขนาดไหน



1. ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์

ถ้าอยากทำธุรกิจออนไลน์ ก็จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องมากมายหรอกครับ สามารถใช้โปรแกรม microsoft office เช่น word,exel เป็น สมัครอีเมล์และใช้งานอีเมล์เป็น ท่องอินเตอร์เน็ตเป็น โดยเฉพาะสุดยอดเว็บค้นหาข้อมูลอย่างพี่ google เท่านี้ก็เพียงพอแล้วครับ เพราะยังไงเราก็ต้องใช้ ใครที่พอมีความรู้ในระดับสร้างเว็บไซต์เองได้ก็เป็นการดีเลยครับ สมัยนี้มีโปรแกรมและเครื่องมือทำเว็บไซต์ให้เราได้ใช้กันได้อย่างฟรี ๆ อย่างมากมาย

2. ความรู้ด้านภาษาอังกฤษ

ธุรกิจออนไลน์มีให้เลือกทำมากมาย ทั้งของไทยและต่างประเทศ ถ้าคุณทำกับต่างประเทศความรู้ด้านภาษาอังกฤษต้องอยู่ในระดับดีพอสมควร แต่ทุกอย่างก็มีทางออกครับ บางตัวมีคนนำมาแปลเป็นเป้นภาษาไทยให้คุณเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ว่าคุณจะสนใจหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นธุรกิจออนไลน์ของไทยเอง ก็สบายเลยครับ

3. เครื่องมือประกอบอาชีพ

พูดง่าย ๆ ได้ว่าเป็นเครื่องมือหากินนั่นเอง เราจะทำธุรกิจออนไลน์ได้เราก็ต้องมีเครื่องมือหากิน ดั่งเช่นอาชีพช่างทั้งหลาย เราก็ต้องมีครับ คือคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ท ใครมีอินเตอร์เน็ทที่บ้าน ยิ่งดีใหญ่ เพราะสมัยนี้ค่าบริการรายเดือนก็ถูกแสนจะถูก ความเร็วก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้ว

4. ใช้เงินลงทุนมากน้อยแค่ไหน

อันนี้แล้วแต่ประเภทของธุรกิจออนไลน์ ธุรกิจประเภท affiliate program ส่วนใหญ่จะสมัครทำได้ฟรีคัรบ ธุรกิจเครือข่ายหรือ mlm ส่วนใหญ่แล้วต้องเสียค่าสมัครสมาชิกและซื้อสินค้าใช้เองก่อน แต่สมัยนี้บางตัวใช้เงินลงทุนไม่มากเหมือนแต่ก่อนแล้วครับ อ้อ ลืมบอกไปว่า ต้องลงทุนแรงกายและสมองด้วยนะ

คุ้มมากไหมที่จะลองทำดู ไม่ลองทำเองไม่รู้หรอกครับ ผมเองก็ต้องลองผิด ลองถูก เหมือนกัน สมัยมีเว็บไซต์ที่แนะแนวการทำธุรกิจออนไลน์กันเยอะแล้ว เราสามารถหาข้อมูลใหม่ ๆ มาศึกษากันได้ ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ยังล้าสมัยอยู่

17 ความต่างของวิธีคิดและการกระทำระหว่าง คนรวย คนจน และชนชั้นกลาง

17 ความต่างของวิธีคิดและการกระทำระหว่าง คนรวย คนจน และชนชั้นกลาง

1. คนรวยเชื่อว่า "ฉันกุมชะตาชีวิตของตนเอง" คนจนเชื่อว่า "ฉันถูกลิขิตให้เป็นอย่างนี้"

2. คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อเอาชนะ คนจนเล่นเกมการเงินเพื่อไม่ให้แพ้

3. คนรวยทุ่มเทเพื่อความรวย คนจนแค่อยากรวย

4. คนรวยคิดการใหญ่ คนจนคิดการเล็ก

5. คนรวยมุ่งความสนใจไปที่โอกาส คนจนมุ่งความสนใจไปที่อุปสรรค

6. คนรวยชื่นชมผู้ร่ำรวยปละประสบความสำเร็จคนอื่น ๆ คนจนชิงชังผู้ร่ำรวยและประสบความสำเร็จ

7. คนรวยคบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดีและประสบความสำเร็จ คนจนขลุกอยู่กับคนที่มองโลกในแง่ร้ายหรือไม่ประสบความสำเร็จ

8. คนรวยเต็มใจโปรโมทตัวเองและคุณค่าของตนเอง คนจนมองการขายและโปรโมชั่นในแง่ลบ

9. คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก คนจนมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่


ให้เงินทำงานแทนคุณสิ

10. คนรวยเป็นผู้รับที่ยอดเยี่ยม คนจนเป็นผู้รับที่ยอดแย่

11. คนรวยเลือกที่จะได้รับเงินตามผลงาน คนจนเลือกที่จะได้รับเงินตามระยะเวลาที่ทำงาน

12.คนรวยเลือก "ทั้งสองทาง" คนจนเลือก "ทางใดทางหนึ่ง"

13. คนรวยสนใจมูลค่าทรัพย์สิน คนจนสนใจแต่รายได้จากการทำงาน

14. คนรวยเก่งเรื่องการบริหารเงิน คนจนเก่งเรื่องการบริหารเงินแบบผิด ๆ

15. คนรวยให้เงินทำงานหนักเพื่อตัวเอง คนจนทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน

16. คนรวยมุ่งไปข้างหน้าแม้จะหวาดกลัว คนจนปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งตนเอง

17. คนรวยเรียนรู้และเติบโตอยู่ตลอดเวลา คนจนคิดว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว

ปัญหาทุกปัญหามีทางออกเสมอ เพียงแต่คุณมองไม่เห็น หรือเห็นแต่ไม่มองมัน สิ่งเดียวที่ขังคุณไว้ในปัญหาคือความคิดของคุณเอง คนแต่ละคนอาจจะมีไม่เท่ากัน แต่ทุกคนมีทุกอย่างพอในตัวเองที่จะมีชีวิตที่ดีที่สุด อย่างที่ชีวิตควรจะเป็น ชีวิตคนมีกายมีใจไม่ต่างกัน ความต่างอยู่ที่คนๆนั้นจะได้รับบทเรียนพอที่จะจริงใจกับตัวเองในการแก้ปัญหาและสร้างชีวิตใหม่หรือเปล่า หากคุณคือคนหนึ่งที่ต้องการสร้างชีวิตใหม่ กล้าที่จะเปลี่ยนความคิดใหม่ครับ "แค่เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยน"

แจกหนังสือและบทความให้คุณดาวน์โหลดไปอ่านกันได้อย่างฟรี ๆ เพื่อเสริมสร้างกำลังใจในการทำธุรกิจต่าง ๆ ครับ

1. เคล็บลับรวยโคตร ๆ จากมนุษย์มหัศจรรย์ที่ผ่านความจนมาอย่างโชกโชน

2. เด็กสลัมสู่มหาเศรษฐี ด้วยวิธีแห่งบุญ เผยเคล็ดลับการเป็นมหาเศรษฐีที่ทุกคนไม่ควรพลาด

3. 23 สุดยอดความคิด สำหรับธุรกิจใหม่

4. การออมเงินและการทำเงินให้งอกเงิน

5. 34 วิธีพูดว่า ไม่ ให้ประทับใจและได้ผล

6. 306 ยุทธบริหาร (The Warrior Class)

7. บทเรียนแห่งความโง่เขลา

8. สงครามตราสินค้า 10 กฏทองของการสร้างตราสินค้าชื่อดัง BRAND WARFARE

9. ต้นแบบความล้มเหลวในการวางตลาดผลิตภัณฑ์ Classic Failures in Product Marketing

10. การขายไร้สัมผัส-คู่มือภาคสนามสนการทำการตลาดยุคใหม่ Selling The Invisible

ลองโหลดอ่านดูนะครับ รวบรวมมาจากหลายที่ อาจจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยและขอขอบคุณเจ้าของแนวคิด เจ้าของเว็บไซต์ http://www.skupload.com/ ด้วยนะครับ ที่ทำให้เราได้รับความรู้ดีๆเช่นนี้

ปูแดงจ่อฟ้องDSI พันล้านบาท หลังจากดีเอสไอและสำนักอัยการพิเศษ มีคำสั่งไม่ฟ้อง

ปูแดงจ่อฟ้องDSI พันล้านบาท ว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ หลังจากดีเอสไอและสำนักอัยการพิเศษ มีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัทเบสต์ 59 และปูแดงไคโตซาน ถือว่าปูแดงไม่มีความผิดทุกคดีและข้อกล่าวหาแล้ว

ปูแดงจ่อฟ้องDSIพันล้านว่าเป็นแชร์ลูกโซ่

ปธ.ปูแดง ที่ถูกดีเอสไอแจ้งข้อหาแชร์ลูกโซ่ เตรียมฟ้องกลับเรียกค่าเสียหายพันล้าน จาก ผบ.สำนักคดีพิเศษ ดีเอสไอ

นายสมปอง แซ่ตั้ง ประธานกรรมการบริษัทเบสต์ 59 และปูแดงไคโตซาน พร้อมทีมทนาย ได้เปิดแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักอัยการพิเศษ ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัทเบสต์ 59 และปูแดงไคโตซาน ในข้อหาแชร์ลูกโซ่ และฉ้อโกงประชาชน มีผู้เสียหายหลายหมื่นคน มูลค่าความเสียหายกว่า 2,400 ล้านบาท

โดยนายสมปอง ได้กล่าวว่า ตนได้ประกอบกิจการมาตั้งแต่ พ.ศ.2546 และมีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง กับทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในการประกอบธุรกิจแบบขายตรงสินค้าเกษตรกรรม แต่เมื่อเดือนมกราคม 2553 ที่ผ่านมาทางดีเอสไอ ได้เข้าตรวจค้นบริษัท พร้อมตั้งข้อหาดังกล่าว กระทั่ง ภายหลังทางอธิบดี ดีเอสไอ รวมถึงอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งที่ผ่านมา ทางปูแดง ไม่มีโอกาสได้ชี้แจงหรือออกมาโต้แย้ง เพราะคดียังอยู่ในชั้นศาล แต่เมื่อมีคำสั่งไม่ฟ้อง ตนจึงขอโอกาสออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงบ้าง

นายสมปอง เสริมว่า การจับกุมในครั้งนี้ เป็นเพราะทางเจ้าหน้าที่ไม่ทราบข้อเท็จจริง ว่าอะไรคือการขายตรง อะไรคือแชร์ลูกโซ่ หากปูแดงทำธุรกิจแบบแชร์ลูกโซ่จริง ทาง สคบ. คงไม่อนุญาตให้กลับมาดำเนินธุรกิจแบบเดิมอีกครั้ง ในนามบริษัทปูแดง 168 (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งมีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง การเข้าจับกุมของดีเอสไอ สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจของบริษัท เป็นอย่างมาก ขณะนี้ได้ให้ทีมทนายฟ้องดำเนินคดีทางอาญากับ พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้อำนวยการสำนักคดีอาญาพิเศษ ดีเอสไอ ในข้อหาหมิ่นประมาท และดูหมิ่นโดยการโฆษณา ต่อศาลอาญารัชดาไปแล้ว เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา ในส่วนของการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งนั้น ยังอยู่ในระหว่างการประเมินมูลค่าความเสียหาย ซึ่งเบื้องต้นจากการประเมิน มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

http://www.innnews.co.th/crime.php?nid=257327

**โปรดส่งข่าวดีนี้ให้ทีมงานทุกคนทราบ ต่อๆกันไปนะครับ

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สมการ Perfect

สมการ Perfect

ROMANCEMATHEMATICS
Smart man + smart woman = romance
ผู้ชายเท่ห์ + ผู้หญิงเก่ง = ความ โรแมนติก

Smart man + dumb woman = affair
ผู้ชายเก่ง + ผู้หญิงโง่ = ความใคร่*

Dumb man + smart woman = marriage
ผู้ชายโง่ + ผู้หญิงเก่ง = การแต่งงาน
Dumb man + dumb woman = pregnancy
ผู้ชายโง่ + ผู้หญิงโง่= ตั้ง ท้อง **

* OFFICE ARITHMETIC *
Smart boss + smart employee = profit
เจ้านายเก่ง + ลูกน้องเก่ง = กำไร **
Smart boss + dumb employee = production
เจ้านายเก่ง + ลูกน้องโง่ = ผล ผลิต **
Dum! b boss + smart employee = promotion
เจ้านายโง่ + ลูกน้องเก่ง = เลื่อน ตำแหน่ง

Dumb boss + dumb employee = overtime
เจ้านายโง่ + ลูกน้อง โง่=OT อย่าง เดียว **

* SHOPPING MATH *

A man will pay $2 for a $1 item he needs.
ผู้ชายจ่าย 2 บาท ต่อ ของ 1 ชิ้นที่เขาต้องการ

A woman will pay $1 for items that she doesn't need.
แต่ ผู้หญิง จ่าย 1 บาท ต่อ ของหลายๆชิ้น ที่เธอไม่ต้อง การ **

* GENERAL EQUATIONS & STATISTICS *

A woman worries about the future until she gets a husband.
ผู้หญิงจะกังวลเกี่ยวกับอนาคตจนกว่าจะ มีสามี **
A man never worries about the future until he gets a wife.
แต่ ผู้ชายไม่เคยกังวลเลยเกี่ยวก ับอนาคตเลยจนกระทั่งมีภรรยา**
A successful man is one who makes more money than his wife can spend.
ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่สามารถหาเงินได้มากกว่าที่ภรรยาใช้ **
A successful woman is one who can find such a man.
แต่ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่สามารถหาสามีได้อย่างคนข้างบน **

* HAPPINESS *

To be happy with a man, you must understand him a lot and love him a little.
การจะมีความสุขกับผู้ชายคนนึง คุณจะต้องเข้าใจเค้ามากๆ แต่รักเค้า น้อยๆ
To be happy with a woman, you must love her a lot and not try to understand her at all.
การจะมีความสุขกับผู้หญิงคนนึง คุณต้องรักเธอมากๆ และไม่ต้องพยายามอะไรในตัวเธอ ทั้งสิ้น **

* LONGEVITY *

Married men live longer than single men do, but married menare a lot more willing to die.
ผู้ชายที่แต่งงานแล้วจะมีอายุยืนกว่าชายโสด แต่ชายที่แต่งงานแล้วกลับ เต็มใจเลือกที่จะตายมากกว่าอยู่**

* PROPENSITY TO CHANGE *
A woman marries a man expecting he will change, but he doesn't. **
ผู้หญิงแต่งงานกับผู้ชายคนนึงและหวัง ว่าจะเปลี่ยน แปลงเค้าได้ แต่ผู้ชายไม่ เปลี่ยน*
A man marries a woman expecting that she won't change, and she does. **
ส่วน ผู้ชายแต่ง งานกับผู้หญิงและหวังว่าเธอคงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เธอก็ เปลี่ยน **

* DISCUSSION TECHNIQUE *
A woman has the last word in any argument.
ผู้หญิงมักมี คำพูดสุดท้ายในการโต้เถียง
Anything a man says after that is the beginning of a new argument.
แต่อะไรก็ตามที่ผู้ชายพูดออกมาต่อจากนั้น จะเป็นการเริ่มการโต้เถียง ครั้งใหม่ *

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เกิดเดือนไหนดวงความรักก็เป็นแบบนั้น

มกราคม
ทะเยอทะยาน จริงจัง ชอบสั่งสอน รักการเรียนรู้ ขยันทำงานตัวเป็นเกลียวมีความคิดสร้างสรรค์ ฉลาด เจ้าระเบียบ ทำอะไรเป็นแบบแผนขั้นตอนไม่มีนอกลู่นอกทางแม้แต่น้อย อ่อนไหว

ช่างคิดรู้วิธีทำให้คนอื่นมีความสุขปกติจะเงียบขรึมถ้าไม่ได้กำลังตื่นเต้น หรือเข้าสู่ภาวะคับขันสงบเสงี่ยม กระตือรือร้น โรแมนติกแต่ไม่ค่อยยอม แสดงออกเท่าไร รักเด็กติดบ้าน ซื่อสัตย์ ไม่ค่อยชอบเข้าสังคม แถมขี้หึงอีกต่างหาก

กุมภาพันธ์
ช่างฝัน รักทั้งโลกแห่งความเป็นจริงและโรคแห่งความฝันไหวพริบปฏิภาณดี ฉลาดหากแต่บุคลิกภาพแปรปรวนไปนิด เจ้าอารมณ์ เงียบ ขี้อาย สุภาพ ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง ซื่อสัตย์ ชอบตั้งเป้าหมายในชีวิต รักอิสระเหนือสิ่งอื่นใด ขบถได้ง่ายถ้าถูกบีบคั้น

แอบก้าวร้าวบ้างบางครั้ง แต่ที่จริงอ่อนไหวมาก เสียใจง่าย โกรธก็ง่ายไม่ชอบเรื่องไร้สาระ ชอบคบเพื่อนฝูงใหม่ๆ น่ารักๆ รักกิจการงานบันเทิงทุกชนิดโรแมนติกลึกๆ แต่ไม่แสดงออก เชื่อถือโชคลาง ใช้จ่ายเงินเก่ง

มีนาคม
มีเสน่ห์ เป็นที่รักของผู้อื่น ขี้อาย สงบเสงี่ยม ลึกลับ ซื่อตรง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจ รักสันติและความสงบ อ่อนโยน ชอบเอาอกเอาใจคนอื่น ใจเย็น ไว้ใจได้ เห็นค่าคนอื่น ใจดี เคร่งศีลธรรม แต่ติดนิสัยชอบประเมินคนอื่น เจ้าคิดเจ้าแค้น แถมยังเพ้อฝัน

ชอบสร้างจินตนาการ รักการเดินทาง รักการเป็นจุดสนใจ ใจเร็วไปนิดถ้าคิดจะลงหลักปักฐานกับใคร ชอบตกแต่งบ้านเอง มีพรสวรรค์เรื่องดนตรี รักข้าวของแปลกๆ ข้อควรระวังคืออารมณ์หงุดหงิดง่าย

เมษายน
กระตือรือร้น ไม่ชอบหยุดนิ่งอยู่กับที่ เข้มแข็งเด็ดขาด แต่กลับใจอ่อนอย่างไม่น่าเชื่อกับคำขอโทษ ดึงดูดใจและเป็นที่รักของผู้คน ใจแข็ง รักการเป็นจุดสนใจ พูดจาฉลาดถนอมน้ำใจทุกฝ่าย ชอบปลอบโยน มนุษย์สัมพันธ์ดี

ชอบเสนอแนะแก้ปัญหาให้คนอื่น กล้าหาญ ชอบผจญภัย สุภาพเอื้อเฟื้อ แต่เจ้าอารมณ์ ชอบกระตุ้นทั้งตัวเองและคนรอบข้าง และขี้หึงมากกเช่นกัน

พฤษภาคม
ดื้อดึง ใจแข็ง กล้าแกร่ง ตั้งใจมั่น แรงจูงใจสูง หลักแหลม โกรธง่าย แต่ก็มีเสน่ห์ ชอบการเป็นจุดสนใจ ไม่ค่อยแสดงอารมณ์มากนัก มีจุดยืนของตัวเอง มีอิทธิพล ชอบปลอบโยนผู้อื่น

มีระบบระเบียบ เพ้อฝัน มีสัมผัสพิเศษ เข้าอกเข้าใจ จินตนาการกว้างไกล รักการเดินทาง ไม่ชอบอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่ชอบหยุดนิ่ง ทำงานหนัก ความรับผิดชอบสูง แต่สุรุ่ยสุร่ายไปหน่อย

มิถุนายน
คิดการณ์ไกล หัวก้าวหน้า ใจอ่อนกับคนใจดี สุภาพ พูดจาเบา มีความคิดสร้างสรรค์มากมาย อ่อนไหว ชอบคิดค้น เสียตรงที่ขี้ลังเล ไม่รักษาเวลา สนุกสนาน มีอารมณ์ขัน ชอบเรื่องตลก มีทักษะดีในการโต้แย้ง

ช่างพูดช่างคุย ชอบฝันกลางวันเป็นมิตร รู้ว่าจะหาเพื่อนได้อย่างไร อดทน ชอบแสดงออก เสียใจง่าย ชอบแต่งตัว ขี้เบื่อ นานๆ จะแสดงอารมณ์ออกมาซักที ถ้าเสียใจต้องใช้เวลานานในการเยียวยา ชอบการบริหาร หัวรั้น ถือคติแปลกๆ ว่าใครประจบประแจงคือศัตรู ส่วนเพื่อนแท้ต้องไม่กลัวที่จะขัดใจ


กรกฎาคม
อยู่ด้วยแล้วสนุก เก็บความลับได้ แต่ยากที่จะเข้าถึงตัวตนที่แท้จริง เงียบถ้าไม่มีอะไรตื่นเต้น หยิ่งทะนงในตัวเอง มีความรับผิดชอบ ชอบปลอบโยนคนอื่น ซื่อตรง สนใจความรู้สึกคนรอบข้าง มีไหวพริบ ไม่ผูกใจเจ็บใคร ไม่ชอบเรื่องไร้สาระทั้งหลาย

มีอิทธิพลต่อคนอื่นทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ อ่อนไหว ไม่ไว้วางใจใครง่ายๆ ห่วงใยใส่ใจคนอื่น ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างเท่าเทียม เห็นอกเห็นใจ แย่ตรงที่ชอบตัดสินคนอื่นเพียงเพราะสิ่งที่สังเกตเอาเอง ทำงานหนัก เรียนดี ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ เสียใจง่ายแถมต้องใช้เวลานานกว่าจะหาย ทุ่มเททุกอย่างให้งาน

สิงหาคม
ชอบเรื่องตลก มีเสน่ห์ สุภาพอ่อนโยน ใส่ใจคนอื่น กล้าหาญไม่เคยกลัวอะไรทั้งสิ้น มั่นคงเด็ดเดี่ยว เป็นผู้นำเต็มตัว รู้ว่าต้องดูแลปลอบโยนคนอื่นอย่างไร แต่เสียตรงที่เอื้อเฟื้อเกินไป มั่นใจตัวเองเกินไป เรียกร้องต้องการการยกย่องนับถือ

มุ่งมั่นแรงกล้าสุดๆแถมโกรธง่ายเกินเหตุ โดยเฉพาะเมื่อถูกแหย่หรือ กระตุ้น ขี้หึง เคร่งศีลธรรม หุนหันพลันแล่น ความคิดอิสระไม่ค่อยเหมือนใคร รักทั้งการเป็นผู้นำและถูกนำ ช่างฝัน มีพรสวรรค์เรื่องศิลปะดนตรี และกลไกการป้องกันตัว อ่อนไหวเหมือนกันแต่ไม่ค่อยจะอยากยอมรับ ยุ่งเหยิงวุ่นวายตลอดเวลา โรแมนติค รักใคร่และห่วงใยคนอื่น ชอบคบหาเพื่อนฝูงใหม่ๆ

กันยายน
สุภาพอ่อนโยน ประนีประนอม ระวังตัวแจวางขั้นตอนชีวิตอย่างเป็นแบบแผน ชอบตอกย้ำจุดอ่อนคนอื่น ชอบการวิพากษ์วิจารณ์ เยือกเย็นและสงบ ใจดี เห็นอกเห็นใจคนอื่น รอบรู้เรื่องต่างๆ ซื่อตรง

ทำงานเก่ง อ่อนไหว ช่างคิด ความจำดี สนใจใฝ่รู้ ชอบการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ มีแรงจูงใจ เข้าอกเข้าใจ เก็บความลับอยู่ รักกีฬากิจกรรมยามว่าง และการเดินทาง ไม่แสดงอารมณ์เสียจนเกือบจะ เป็นคนเก็บกดช่างเลือกโดยเฉพาะเรื่องแฟน

ตุลาคม
รักการพูดคุยเป็นชีวิตจิตใจ รักทุกคนที่รักตัวเอง รักการเจาะเข้าสู่จุดศูนย์กลางของเรื่องต่างๆ มีเสน่ห์ สุภาพนุ่มนวล จิตใจและรูปร่างสวยงาม ไม่โกหกเสแสร้ง เห็นอกเห็นใจคนอื่น ให้ความสำคัญกับเพื่อน ชอบคบหาเพื่อนใหม่อยู่เรื่อย

เสียใจง่ายก็จริงแต่ไม่ต้องห่วงแป๊บเดียวก็หายเศร้า ชอบช่วยเหลือคนอื่น ชอบฝันกลางวัน ความคิดบรรเจิด มีสัมผัสพิเศษ รักการเดินทาง ศิลปะ และวรรณกรรมพูดจานุ่มนวล รักและใส่ใจคนอื่น โรแมนติก ขี้หึง เป็นห่วงเป็นใยรักความยุติธรรม เชื่อคนง่าย เพราะมองโลกสวยงาม สูญเสียความเชื่อมั่นง่ายมาก

พฤศจิกายน
ความคิดล้านแปดเต็มหัว ยากที่จะเข้าถึง คิดการณ์ล้ำหน้า โดดเด่นหัวไว ใส่ใจและชอบให้คำแนะนำ อยากรู้อยากเห็น รู้จักวิธีตะล่อมคุ้ยความลับ ;ชอบคิดอยู่ตลอดเวลา พูดน้อยแต่อัธยาศัยดี กล้าหาญและเอื้อเฟื้อ อดทน หัวรั้น ใจแข็ง

ถือคติตราบใดที่ยังมีความหวัง ตราบนั้นก็ยังมีหนทางเสมอ มีเป้าหมายในชีวิต ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ โกรธยากมากถ้าไม่ถูกยั่วจนถึงขั้นจริงๆ ชอบอยู่คนเดียว มีแรงจูงใจในตัวเอง โดยไม่สนใจการยอมรับนับถือจาก คนอื่น มั่นคง เด็ดเดี่ยว รักใครรักจริง เจ้าอารมณ์ โรแมนติก แต่ไม่ค่อยสนใจสัมพันธ์จริงจังนัก รักบ้าน ทำงานหนัก มีความสามารถสูง ไว้ใจได้

ธันวาคม
ซื่อสัตย์และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ กระตือรือร้นในการแข่งขันและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น แต่ไม่ค่อยมีความอดทน ทะเยอทะยาน มีอิทธิพลในสังคม รักการเข้าสังคมมาก

รักการได้รับการ ยอมรับการเป็นจุดสนใจ รักการที่มีคนอื่นมารักตัวเอง ซื่อตรงและไว้ใจได้ ไม่เสแสร้ง แต่อารมณ์เสียง่าย เกลียดการถูกบีบบังคับ รักเรื่องตลก มีอารมณ์ขันและมีเหตุผล


ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก FW Mail
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความรู้เกี่ยวกับดิน

ความรู้เกี่ยวกับดิน สิ่ง ที่มีชีวิตทั้งหลายต้องอาศัยดินในการยังชีพและการเจริญเติบโต ถ้าปราศจากดินก็แทบจะกล่าวได้ว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่ในโลกนี้เลย
ดินเป็นที่มาของปัจจัย 4 อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคของมนุษย์ ซึ่งอาจเป็นการได้มาโดยทางตรง หรือทางอ้อมก็ได้ พืชต้องอาศัยดินในการเจริญเติบโต ตั้งแต่เริ่มงอกออกจากเมล็ด จนกระทั่งโตให้ดอกให้ผล เนื่อง จากดินเป็นสิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งที่ควบคุมหรือ กำหนดการเจริญเติบโตของพืช ดังนั้นในการปลูกพืช จึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของดินพอสมควร
สิ่งที่พืชได้รับจากดินพอจะสรุปได้ ดังนี้
- ดินเป็นที่หยั่งรากยึดลำต้นให้ตั้งตรง
- ได้รับน้ำและอากาศจากดิน
- ได้รับธาตุอาหารเกือบทุกชนิดจากดิน
ดินคืออะไร คำจำกัดความของ "ดิน" ในทางการเกษตร จะหมายถึงวัตถุที่เกิดขึ้นจากการผุพังของหินและแร่ธาตุต่าง ๆ ผสมคลุกเคล้ากับซากพืชซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยแล้ว ซึ่งเรียกว่าอินทรีย์วัตถุ ทำให้เกิดเป็นวัตถุที่เรียกว่า ดิน ซึ่งเป็นที่ให้พืชต่าง ๆ เจริญงอกงามอยู่ได้
ดินประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน คือ
1. แร่ธาตุ
2. อินทรีย์วัตถุ (ซากพืช ซากสัตว์ ที่เน่าเปื่อยแล้ว)
3. น้ำ
4. อากาศ
1. แร่ธาตุ ส่วนประกอบของดินที่เป็นแร่ธาตุนั้น ได้มาจากการสลายตัวผุพังของหิน และแร่ชนิดต่าง ๆ มากมายหลายชนิด แตกต่างกันไปตามท้องที่
ดังนั้น ดินในแต่ละท้องที่จึงมีส่วนประกอบของธาตุต่าง ๆ มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป และแร่ธาตุเพียงบางชนิดเท่านั้นที่พืชจะดูดขึ้นมาใช้เป็นอาหาร
ส่วนของแร่ธาตุจะเป็นส่วนประกอบที่มีมากที่สุดในดิน คือ จะมีประมาณ 45% โดยปริมาตร
2. อินทรียวัตถุ ในดินได้มาจากการเน่าเปื่อยผุผัง ของซากพืชซากสัตว์ที่ตายแล้วทับถมกันอยู่บนดิน อินทรีย์ในดินมีความสำคัญมาก คือ
1. เป็นแหล่งให้ธาตุอาหารพืชบางชนิด
2. ทำให้ดินสามารถอุ้มน้ำได้ดีขึ้น
3. ทำให้ดินตรึงธาตุอาหารไว้ได้มากขึ้น
4. ทำให้ดินมีโครงสร้างดีขึ้น
อินทรีย์วัตถุในดิน แม้จะมีปริมาณที่น้อย เมื่อเทียบกับส่วนประกอบอื่น ๆ ของดิน คือมีประมาณ 5% โดยปริมาตร แต่เป็นส่วนที่มีความสำคัญต่อพืชมาก
น้ำในดิน ส่วนมากมาจากน้ำฝน เมื่อฝนตกลงมาน้ำฝนบางส่วนจะไหลซึมลงไปในดิน และบางส่วนจะไหลบ่าไปตามผิวหน้าดิน
3. น้ำฝน ส่วนที่ไหลซึมลงไปในดิน จะถูกดูดซับไว้ในช่องระหว่างเม็ดดิน ดินแต่ละชนิดจะอุ้มน้ำไว้ได้มากน้อยไม่เท่ากัน ดินทรายจะอุ้มน้ำได้น้อยกว่า ดินเหนียว ดินที่เหมาะต่อการเพาะปลูกพืชควรมีส่วนที่เป็นน้ำอยู่ประมาณ 25% โดยปริมาตร น้ำในดินนั้นไม่ใช่น้ำบริสุทธิ์ แต่จะมีแร่ธาตุต่าง ๆ ละลายอยู่ และพืชจะดูดดึงเอาแร่ธาตุบางชนิด ที่ละลายอยู่ในน้ำไปใช้เป็นอาหาร
พืช กินอาหารในรูปของสารละลาย ฉะนั้น ถ้าปราศจากซึ่งน้ำหรือความชื้นในดิน แม้จะมีธาตุอาหารอยู่มากในดิน พืชก็ไม่สามารถดูดขึ้นไปใช้ได้
ส่วนประกอบส่วนที่ 4 ของดิน คือ อากาศในดิน มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชเช่นกัน เพราะการที่รากจะดูดอาหารขึ้นไปใช้ได้นั้น รากพืชต้องใช้พลังงาน และพลังงานนั้นได้มาจากการหายใจ
ดังนั้น ในดินที่มีน้ำขังหรือดินที่แน่นทึบ พืชจะไม่เจริญงอกงามเท่าที่ควร เพราะรากพืชขาดอากาศสำหรับหายใจ จึงทำให้ไม่สามารถดูดธาตุอาหารขึ้นไปใช้ได้
ดินเป็นสิ่งที่มี 3 มิติ มีทั้ง ความกว้าง ความยาว และความลึก
- ถ้าเราขุดลงไปในดินลึก ๆ และสังเกตดินข้างหลุมให้ละเอียด เราจะเห็นว่าดินสามารถแบ่ง ออกเป็นชั้น ๆ ได้ตามความลึก
- ดินในแต่ละท้องที่มีชั้นดินไม่เหมือนกัน จำนวนชั้นของดินก็มากน้อยไม่เท่ากัน ความตื้น ความลึกของดินแต่ละชั้นไม่เท่ากัน สีของดินแต่ละชั้นไม่เท่ากันและไม่เหมือนกัน และยังมีลักษณะอย่างอื่นแตกต่างกันออกไปอีกมากมาย
เรายังสามารถแบ่งชั้นดินตามความลึกออกเป็นชั้นได้คร่าว ๆ 2 ชั้น
- ดินชั้นบนหรือเรียกว่า ชั้นไถพรวน ดินชั้นนี้มีความสำคัญต่อการเพาะปลูกมาก เพราะรากของพืชส่วนใหญ่จะชอนไชหาอาหารที่ชั้นนี้ ดินชั้นบนนี้เป็นชั้นที่มีอินทรีย์วัตถุสูงกว่าชั้นอื่น ๆ โดยปกติดินจะมีสีเข้ม หรือคล้ำกว่าชั้นอื่น
- ในดินที่มีการทำการเพาะปลูกทั่ว ๆ ไป จะมีดินชั้นบนหนาตั้งแต่ 0 - 15 ซม.
- ดินชั้นล่าง รากพืชของไม้ผล ไม้ยืนต้นจะชอนไชลงไปถึงชั้นนี้ ปกติดินชั้นล่างเป็นชั้นที่มีอินทรีย์วัตถุน้อย
-ดินที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกควรจะมีหน้าดิน (ดินชั้นบน และดินชั้นล่าง) ลึกไม่น้อยกว่า 1 เมตร
คุณสมบัติของดิน เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของพืช มีด้วยกันหลายอย่าง เนื้อดิน เป็นสมบัติที่บ่งบอกถึงความหยาบ ความละเอียดของดิน แบ่งคร่าว ๆ ได้ 3 ชนิด คือ ดินทราย ดินร่วน และดินเหนียว
1. ดินเหนียว (Clay) คือ ดินที่มีเนื้อละเอียดที่สุด ยืดหยุ่นเมื่อเปียกน้ำ เหนียวติดมือ ปั้นเป็นก้อนหรือคลึงเป็นเส้นยาวได้ พังทลายได้ยาก การอุ้มน้ำดี จับยึดและแลกเปลี่ยนธาตุอาหารพืชได้ค่อนข้างสูงจึงมีธาตุอาหารพืชอยู่มาก เหมาะที่จะใช้ปลูกข้าวนาดำเพราะเก็บน้ำได้นาน
2. ดินทราย (Sand) เป็นดินที่เกาะตัวกันไม่แน่น ระบายน้ำและอากาศได้ดีมาก อุ้มน้ำได้น้อย พังทลายง่าย มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำเพราะความสามารถในการจับยึดธาตุอาหารมีน้อย พืชที่ขึ้นอยู่ในบริเวณดินทรายจึงขาดน้ำและธาตุอาหารได้ง่าย
3. ดินร่วน (Loam) คือ ดินที่มีเนื้อค่อนข้างละเอียด นุ่มมือ ยืดหยุ่นพอควร ระบายน้ำได้ดีปานกลาง มีแร่ธาตุอาหารพืชมากกว่าดินทราย เหมาะสำหรับใช้เพาะปลูก ดินร่วนที่แท้จริงมักไม่ค่อยพบในธรรมชาติ แต่จะพบพวกที่มีเนื้อดินใกล้เคียงเสียเป็นส่วนมาก
เนื้อดินเป็นสมบัติที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก แม้จะมีการใช้ที่ดินทำการเกษตรติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ดินร่วนจึงนับเป็นดินที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของพืชมากกว่าดินเหนียว และดินทราย
ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน หรือที่เรียกว่า พี.เอช. (pH) ของดิน ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดินจะบอกเป็นค่าตัวเลข ตั้งแต่ 0 ถึง 14
ถ้าดินมีค่า พี.เอช. น้อยกว่า 7 ดินนั้นจะเป็นกรด ยิ่งน้อยกว่า 7 มากก็จะเป็นกรดมาก ถ้าดินมีค่น พี.เอช. มากกว่า 7 จะเป็นดินด่าง ดินที่มีค่า พี.เอช. เท่ากับ 7 พอดี แสดงว่าดินเป็นกลาง
ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน จะเป็นตัวควบคุมความมากน้อยของธาตุอาหาร ที่จะละลายออกมาอยู่ในน้ำในดิน การละลายได้มากน้อยของธาตุอาหารพืชที่ช่วงความเป็นกรดเป็นด่างต่าง ๆ
ใน กรณีที่ พี.เอช. ของดินเป็นกรดมากเกินไป จะต้องทำการแก้ความเป็นกรดโดยการใส่ปูน จะเป็นปูนขาวหรือปูนมาร์ลก็ได้ ก่อนที่จะทำการปลูกพืช สำหรับจำนวนปูนที่จะใส่นั้นจะรู้ได้โดยการเก็บดินส่งไปวิเคราะห์
ความอุดมสมบูรณ์ของดิน หมายถึง ความมากน้อยของธาตุอาหารพืชที่พืชจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ดินที่อุดมสมบูรณ์หมายถึง ดินมีธาตุอาหารมาก และเมื่อสภาพแวดล้อมของดินเหมาะสม พืชก็เจริญเติบโตดี ส่วนดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ แม้มีสภาพแวดล้อมอื่น ๆ เหมาะสม พืชก็จะไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควรแม้ดินประกอบด้วยแร่ธาตุหลายชนิด แต่แร่ธาตุที่พืชสามารถนำมาใช้เป็นอาหารได้มีเพียง 13 ชนิดเท่านั้น ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป
ในดินแต่ละชนิดจะมีแร่ธาตุต่าง ๆ อยู่ในปริมาณที่ไม่เท่ากัน แร่ธาตุที่มีอยู่ในดินเหล่านั้นพืชจะไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด คือสามารถนำไปใช้ได้เพียงส่วนน้อย เฉพาะส่วนที่ละลายน้ำได้เท่านั้นในดินที่ทำการเกษตรทั่ว ๆ ไป มักจะขาดธาตุอาหารอยู่ 3 ธาตุ มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปตัสเซียมดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ เพิ่มความสมบูรณ์ได้โดยการใส่ปุ๋ยการที่จะรู้ว่าดินแปลงหนึ่ง ๆ มีความอุดมสมบูรณ์หรือไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยหรือไม่ ใส่ปุ๋ยชนิดใด จำนวนเท่าใดนั้น ต้องมีการตรวจสอบหรือประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดินแปลงนั้น ๆ เสียก่อน ซึ่งทำได้หลายวิธีด้วยกัน คือ
1. การสังเกตอาการของพืชที่ปลูก
2. การวิเคราะห์พืช
3. การวิเคราะห์ดิน
4. การทดลองใส่ปุ๋ยในไร่นา
วิธีการประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดิน ที่ ง่ายสะดวกและรวดเร็วก็คือ การสังเกตอาการของพืชที่ปลูก แต่วิธีนี้ต้องอาศัยความชำนาญมาก ผลที่ได้ไม่ค่อยถูกต้องนัก และใช้ได้บางพืชเท่านั้น ทั้งนี้ เพราะอาการที่พืชแสดงออกเมื่อขาดธาตุอาหารมักจะคล้าย ๆ กัน ยากจะบอกได้
ส่วนวิธีที่แม่นยำที่สุด คือ การทดลองใส่ปุ๋ยในไร่นา แต่วิธีนี้สิ้นเปลืองมากและเสียเวลา เพราะต้องทำแปลงทดลอง ทุกที่ที่ต้องการรู้ความอุดมสมบูรณ์ของดิน และต้องรอคอยจนกว่าเก็บเกี่ยวผลผลิตถึงจะรู้
การ วิเคราะห์พืช เป็นวิธีที่มีความยุ่งยากพอสมควร เพราะต้องพิจารณาว่าจะเก็บส่วนใดของพืชมาวิเคราะห์ อายุ หรือช่วงเวลาในการเก็บก็มีความสำคัญด้วย
วิธีที่นิยมกันกว้างขวางก็ คือ การวิเคราะห์ดิน โดยเก็บตัวอย่างดินมาเคราะห์ และนำค่าที่วิเคราะห์ได้ มาเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานก็จะได้ทราบว่าดินนั้นมีความอุดมสมบูรณ์มากน้อย เพียงใด
สิ่งที่ควรคำนึงและเข้าใจก็ คือ ดิน เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้นที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายปัจจัย เช่น พันธุ์ โรค แมลง ศัตรูพืช การจัดการและสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชเช่นกัน