วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อานิสงส์ การบวช

อานิสงส์ การบวช

เมื่อวันก่อนได้ ฟังธรรมะจากพระอาจารย์ (อาจารย์ที่เป็นพระ) รูปหนึ่ง ท่านบวชมาได้ 5 พรรษาท่านให้ข้อคิดว่า องค์พระสัมมา สัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า....สิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากนั้นมีอยู่ 4 อย่าง นั่นคือ การเกิดเป็นมนุษย์หนึ่ง, การดำรง ชีวิตอยู่ได้ของมนุษย์หนึ่ง, การเกิดขึ้นของพระ พุทธเจ้าหนึ่ง, และการได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้ายิ่ง เป็นเรื่องยากอีกหนึ่ง

การเกิดเป็น มนุษย์ที่ว่ายากนั้น เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากยิ่งกว่า เต่าตาบอด(อายุยืน)ที่ว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรลึก และ มีห่วงที่พอจะคล้องคอเต่าได้ลอยยู่บนผิวน้ำในมหาสมุทร แล้วเต่าตาบอดตัวนั้นโผล่ขึ้นผิวน้ำทุก 100 ปี โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมา แล้วเอาศีรษะรอดห่วงเพื่อให้ห่วงคล้องคอเต่าพอดี มี มากแค่ไหนนั่นแหล่ะคือโอกาสที่สัตว์โลกจะเกิดเป็นมนุษย์ได้มีเท่านั้น ยังไม่นับมนุษย์เกิดฐานะแตกต่างกันไป

การดำรงชีวิตของ มนุษย์เป็นไปได้ยาก ถ้าเราจะเปรียบทารกแรกเกิดระหว่างมนุษย์ และสัตว์โลกประเภทอื่นแล้ว มนุษย์เป็นสัตว์ชนิด เดียวที่ต้องได้รับการเลี้ยงดูจากบิดามารดายาวนานที่สุด 1-3 ปีแรกแทบจะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เลย แม้ช่วยเหลือตัวเองได้แล้วยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของบิดามารดา, ญาติพี่ น้อง หรือผู้ใหญ่ อีกอย่างน้อย 10 ถึง 15 ปี กว่าจะเรียนจบและหาเลี้ยงตัวเองได้ เมื่อเรียนจบ แล้วยังต้องประกอบอาชีพเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเพื่อเสาะแสวงหามาให้ได้ ครบซึ่งปัจจัย 4 อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค (เพียงแค่พื้นฐานเท่านั้น) ก็ยิ่งยาก อันนี้ไม่ได้รวมถึงผู้ที่มีบุญเก่าอยู่ (คือเกิดมารวย)

การเกิดของพระ พุทธเจ้าเป็นเรื่องยาก การบังเกิดของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เป็นเรื่องยากมาก เพราะพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มีปณิธานแน่วแน่อยากจะหลุด พ้นจากความทุกข์ ตัวอย่างเช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบัน ในพบที่เป็นกำเนิดปฐมชาติของการตั้งปณิธานที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเกิดเป็นพ่อค้าต้องล่องเรือออกค้าขายไปในมหาสุมทรใหญ่ระหว่างทาง เกิดพายุพัดเรืออับปาง พระองค์ต้องว่ายน้ำข้ามทะเล มหาสมุทรโดยแบกเอามารดาของตนไว้บนหลัง ต้องว่ายอยู่กลางน้ำอยู่หลายวันหลายคืนได้รับทุกขเวทนาสาหัสนัก จนเกิดดำริขึ้นว่า “การเกิดเป็นมนุษย์นี้ยากนัก แต่การรักษาชีวิตให้ดำรงอยู่ได้เป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า น่าจะมีหนทางที่จะช่วยให้มนุษย์เราพ้นจากความทุกข์นี้ได้ จึงทรงตั้งปณิธานว่าจะต้องช่วยให้ตนเองและผู้อื่นๆพ้นจากทุกข์นี้ได้ การเกิดเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงจะช่วยให้ตนและผู้อื่น พ้นทุกข์นี้ได้ จึงตั้งปณิธานมุ่งมั่นแน่วแน่ตั้งแต่นั้นว่าจะเกิดเป็นพุทธเจ้าให้ได้ แต่นั้นมาการบำเพ็ญบุญมารมีเพื่อให้ได้เป็นพระสัมมา สัมพุทธเจ้ากิเริ่มต้นขึ้น ซึ่งนับจากวันนั้นจนได้เกิดเป็นชาติที่ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา นั้น กินเวลาถึง 4 อสงไขยกับอีกแสนมหากัป ( 1 กัปเท่ากับระยะเวลาของศิลาแท่งทึบขนาด 16 x 16 x 16 กิโลเมตร ที่ถูกนางฟ้าเอาผ้าบางมาปาด 1 ครั้งในทุก 100 ปีจนหินก้อนนั้นราบเสมอกับพื้นดิน)

การได้ฟังพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องยาก เรื่องพวก เราอาจมองไม่เห็นภาพว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะพวก เราเกิดในสมัยพุทธกาล ซึ่งเป็นยุคที่แม้พระพุทธเจ้าได้ทรงปรินิพพานไปแล้วแต่พระธรรมคำสอนของพระ พุทธองค์ก็ยังอยู่ เราออกจากบ้านไปไม่ไกลก็ได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระสงฆ์ผู้เป็นพระสาวกของพระ ผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจะเป็นเรื่องยากไปได้อย่างไร ข้อ เท็จจริงก็คือ ก่อนที่จะมีพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้มีพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์และในบางยุคบางสมัยก็ ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นเลยนับเป็นหมื่นปี นั่น ย่อมหมายความว่าในช่วงนั้นย่อมไม่มีผู้ถ่ายทอดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยเช่นกัน พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่าการได้ฟ้งพระ ธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเรื่องยาก

เพราะการเกิดของ มนุษย์เป็นเรื่องยากนี่เอง การบวชพระจึงถือเป็น เรื่องยากยิ่งด้วย เพราะพระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ใน พระธรรมวินัยว่า “ผู้ที่จะบวชพระได้ต้องเป็น ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นพระ พุทธองค์ยังทรงเคยตรัสว่า “ต้อง เป็นสัตว์(โลก) ที่มีกระดูสันหลังตั้งฉากกับพื้นดิน (มีแต่มนุษย์เท่านั้น)เท่านั้นจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้ สัตว์ ที่มีกระดูกขนานกับพื้นดินไม่สามารถที่จะเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมได้

ดังนั้นอานิสงส์ ของการบวชพระจึงยิ่งใหญ่กว่าบุญทั้งหลายคือ ผู้บวชหากไม่ได้ ทำอนันตริยกรรม 5 คือ ฆ่าแม่, ฆ่าพ่อ, ฆ่าพระอรหันต์, ยังพระโลหิตพระ พุทธเจ้าให้ห้อ, และยังสงฆ์ให้แตก

บุญแห่งการบวชสามารถปิดประตูอบายภูมิได้มากถึง 64 กัป,
มารดา-บิดาได้ถึง 32 กัปป์,
ภรรยาได้ถึง 32 กัป
ลูกหลานและบริวารได้รับอานิสงส์ด้วย 16 กัปป์

อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน

อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน
พระบรมราโชวาท
พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน



เมื่อวัน อาสาฬหบูชาที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปร่วมทำบุญที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ปกติเราไปทำบุญอยู่เสมอ ๆโดยเฉพาะถ้าเป็นวันพระใหญ่อย่างนี้จะไม่เคยขาดแต่ไม่ใช่วัดปากน้ำ จะบอกว่าเราไปทำบุญที่วัดปากน้ำเป็นครั้งแรกก็คงไม่ผิด เพราะเราไปวัดปากน้ำน่าจะประมาณสิบกว่าปีมาแล้ว และน่าจะไม่เกินครั้งที่ 3 และที่ ผ่านมาก็เป็นเพียงเข้าไปกราบรูปเหมือน สมเด็จพระ มงคลเทพมุนี (หลวงปู่สด จันทสโร) หรือที่เรากันเรียกว่าหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ นั่นเอง



หลังจากที่ร่วมทำ บุญบรรจุพระในมหาเจดีย์ สวดมนต์ และร่วมบุญอื่น ๆ ในตอนเช้า ตอนบ่ายก็มีพิธีถวายผ้าอาบน้ำฝน ระหว่างรอพิธี เราเหลือบไปเห็นเอกสารบรรจุอยู่ในซองพลาสติกใสอยู่ 4-5 แผ่น วางอยู่บนเก้าอี้พลาสติก วางอยู่ 2 ชุดเหมือนกัน แผ่นบนสุดเขียนว่า “อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน” บรรทัดที่ 2 เขียนว่า “พระบรมราโชวาท” บรรทัดที่ 3 เขียนว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน” เท่านั้นแห ล่ะความอยากรู้อยากเห็นก็เกิดทันทีว่า พระบรม ราโชวาทของพระองค์ท่านมีว่าอย่างไร ก็มองหาเจ้าของอยู่พักหนึ่งแต่ไม่เห็นใคร เลยยอมเสียมารยาทถือวิสาสะหยิบขึ้นมาอ่านโดยไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของ อ่านอยู่พักหนึ่งยังไม่ทันจบเจ้าของก็มาทวงคืนแต่ความที่อยากอ่านจนจบ ก็เลยก็ขอนุญาตอ่านต่อ เจ้า ของก็น่าร๊าก น่ารัก ออกปากยกให้เลย 1 ชุด บอกว่าไม่เป็นไรมีอยู่ 2 ชุด เราก็ได้แต่บอกขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณมาก ๆ



แล้วพระบรม ราโชวาทของพระองค์ท่านก็ไม่ทำให้ต้องผิดหวังเลย เพราะต้องใจมาก ๆ “ทุกคนถือ ตัวว่าเป็นพุทธศาสนิกชน จะต้องศึกษาพระพุทธศาสนาตามภูมิปัญญาความสามารถและโอกาสของตน ๆ ที่มีอยู่เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องกระจ่างชัดขึ้นในหลัก ธรรม เมื่อศึกษาเข้าใจและเห็นประโยชน์แล้วก็น้อมนำมาปฏิบัติทั้งในการดำเนินชีวิต ประจำวันและการงานของตน เพื่อให้เกิดความสุข ความสงบร่มเย็นและความเจริญงอกงานในชีวิตเพิ่มพูนขึ้นตามลำดับ ตามขีดความประพฤติปฏิบัติของแต่ละคนถ้าชาวพุทธ รู้ธรรม ปฏิบัติธรรมะอย่างถูกต้องทั่วถึงกันมากขึ้น ปฏิบัติการเบียดเบียนพระศาสนาให้เศร้าหมอง ก็ลดน้อยลง...”



ทรงพระราชทานแก่ ผู้เข้าร่วมสัมมนาเรื่อง “การทะนุบำรุงรักษาพระพุทธศาสนา” เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๒๕ ณ ศาลาธรรมชินราชปัญจมบพิธ วัดเบญจมบพิตร



ไม่ทราบว่าคนอื่น เมื่ออ่านแล้ว จะประทับใจ เหมือนเรารึเปล่าแต่เราน่ะชอบมาก ๆ จนอดใจไม่ไหวต้องเอามากบอกต่อ



ในเอกสารฉบับนั้นยังมีข้อความเพิ่มเติมอีกว่า....

...เรา ปฏิเสธความเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไม่ได้ แต่เราก็ไม่ควรเป็นเหยื่อของสังคม

ระบบสังคมไทยพัฒนาตัวเองเพื่อแข่งความเจริญทางวัตถุดิบกับนานา ประเทศมานานจนถอนตัวไม่ขึ้น ไม่มีเวลาแม้แต่เวลาจะ ไตร่ตรองว่า ที่สุดของความเจริญที่ดิ้นรณหาคือความเสื่อม

และที่สุดของการมุ่งแสวงหาความสุข ก็คือความทุกข์


ความงมงายกับ ทฤษฎีหรือความเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองมาก ๆ ที่ลึกแล้วมันก็คือ ความคับแคบตื้นเขินเท่านั้นเอง “สังคมที่มองอะไรแคบๆ คิดอะไรตื้นๆ ทำอะไรก็มักง่าย นำมาซึ่งความใฝ่ต่ำ” หวังมากได้น้อย หวังน้อยได้มาก ไม่หวังสมความปรารถนา “ฉันทะ” คือความพอใจ ความยินดี

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)



ด้วยอนุภาพคุณ แห่งองค์ “พระพุทธ” ด้วยอนุภาพคุณแห่งองค์ “พระธรรม” ด้วยอนุภาพคุณแห่งองค์ “พระสงฆ์” ข้าพระพุทธเจ้า นาย/นาง..........................................................ขอน้อม ถวายกุศลธรรมทานนี้เป็นพุทธบูชา



“เพื่อความเจริญแห่งพระสัทธรรม” “เพื่อความมั่นคงแห่งพระธรรม วินัย”



อันประเสริฐในพระพุทธศาสนานี้ ให้เจริญ ให้ตั้งมั่น สืบไปตราบกาลนานเทอญ

หาก “ไสยศาสตร์” ดลบันดาลได้ สังคมไทยคงไร้ปัญหา เหต-ผล “เหนือ ชีวิต”


ข้าพระพุทธเจ้า นาย/นาง................................................................................................

ขออุทิศอนิสงค์ แห่งกุศลธรรมทานนี้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ผู้มีจิตหยั่งรู้โดยทั่วกันเทอญ

21 ข้อ สู่ความสำเร็จ

21 ข้อ สู่ความสำเร็จ



1. แต่งงานกับบุคคล ที่คู่ควร การตัดสินใจเพียงเรื่องเดียวนี้จะกำหนด ความสุขหรือความทุกข์ของคุณถึง 90% !!
2. ทำในสิ่งที่คุณจะ สนุกกับมัน รวมทั้งคู่ควรกับเวลาและความสามารถของคุณด้วย
3. ให้ทุกสิ่งแก่ทุก ๆ คนมากกว่า ที่พวกเขาคาดว่าจะได้รับ และให้อย่างเต็มใจ
4. ปฏิบัติตัวเป็นคน มองโลกในแง่ดีและกระตือรือร้นเท่าที่คุณจะทำได้
5. ให้อภัยตัวคุณเอง และผู้อื่น
6. ใจกว้างอยู่เสมอ
7. มีหัวใจที่เต็มไป ด้วยคำว่า “ขอบคุณ”
8. ยืนหยัด, ต่อสู้, อดทน
9. ฝึกนิสัยตนเองให้ รู้จักอดออมเงินเดือนส่วนหนึ่งไว้พอประมาณอย่างสม่ำเสมอ
10. ต้อนรับทุกคนที่ คุณได้พบเจอเหมือนที่คุณอยากจะได้รับการต้อนรับ
11. กระทำตนให้มีการ ปรับปรุงที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
12. ทำตนให้เป็นคนมี คุณภาพ
13. เข้าใจด้วยว่า ความสุขไม่ได้มีพื้นฐานจากการครอบครอง อำนาจ หรือชื่อเสียง แต่มันมีพื้นฐานจากสัมพันธภาพอันดีกับบุคคลที่คุณรักและนับถือต่าง หาก
14. จงรักภักดี
15. ซื่อสัตย์
16. เป็นตัวของตัวเอง
17. ยืนยันความคิดของ คุณแม้สุดท้ายแล้วคุณจะคิดผิดก็ตาม
18. เลิกตำหนิติเตียน ผู้อื่น ทำหน้าที่ของคุณให้ดีที่สุดก็พอ
19. ทำในสิ่งที่คุณ อยากจะทำอย่างหาญกล้า เมื่อใดที่คุณมองกลับไปในอดีต ของคุณเอง คุณจะรู้สึกเสียใจกับสิ่งต่างๆ มากมายที่คุณไม่ได้ทำ มากกว่าสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวที่ คุณทำ
20. เอาใจใส่กับสิ่ง ที่คุณรัก
21. อย่าทำอะไรก็ตาม ที่จะทำให้แม่คุณไม่ภูมิใจ!!

บันทึก ช่วยจำของ “เหลียงจี้จาง”

บันทึก ช่วยจำของ “เหลียง จี้จาง”

บท ความนี้ก็มาจาก forward mail อีกนั่นแหล่ะ ก็เห็นว่าเป็นข้อความดีๆ ที่ควรช่วยกันเผยแผ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนไทย ในยุคที่มีทั้ง “เสื้อแดง” “เสื้อ เหลือง” และ “เสื้อหลากสี” เต็มบ้านเต็มเมืองกันไปหมด ส่วนใครเป็น เจ้าของตัวจริงๆ ก็อย่าว่ากันเลยเด้อ ?

“เหลียงจี้ จาง” เป็นพิธีกรดังของ TVB ใน ฮ่องกงและเป็นนักเขียนด้วย บันทึกช่วยจำที่เขาเขียนให้ลูก ได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้างเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากแสดงถึง

ความห่วงหาอาทร ที่พ่อมีต่อลูกเฉกเช่นคุณพ่อทั่วๆ ไป มุมมองของเขาบางเรื่อง(แบบสังคมฮ่องกง) แม้บางคนจะเคยประสบมาบ้างเหมือนกัน อ่านแล้วก็ยังอดอึ้ง

ไม่ได้ เลยถ่ายทอดสู่กันฟัง...

ลูกรัก... ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบับ นี้ให้ลูก มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ คือ

1. สรรพ สิ่งล้วนอนิจัง จะมีชิวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้ พ่อจึงคิดว่า บางเรื่องพ่อน่าจะสั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า

2. เพราะ พ่อเป็นพ่อของลูก ถ้าพ่อไม่บอกลูก ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่พ่อบอก

3. สิ่งที่ พ่อบันทึกไว้นี้ ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้มา มันจะทำให้ลูกไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนรู้มันอีก

ในชีวิตของลูก ขอให้จำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ให้ดี

1. คนที่ ไม่ดีต่อเรา ไม่ต้องไปใส่ใจนัก ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะต้องมาดีต่อเรา ยกเว้นพ่อกับแม่ของลูก สำหรับคนที่ดีกับลูก นอกจากลูกต้องหวงแหนและขอบคุณเขาแล้ว ยังต้องคอยระวังตัวไว้ด้วย เพราะคนเราทุกคน ทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์ เขาทำดีกับลูก ใช่ว่าเขาจะทำเพราะชอบลูกเสมอไป ลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี อย่าเพิ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็วเกินไป

2. ไม่มีคน ที่ทดแทนกันไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้ ถ้าเข้าใจจุดนี้ หากวันใดคนข้างกายของลูกไม่ต้องการลูกอีกต่อไป หรือวันใดที่ลูกต้องเสียสิ่งที่รักที่สุดไป ลูกจะได้เข้าใจ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย

3. ชีวิต นี้แสนสั้นหากลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณค่า พรุ่งนี้ลูกจะพบว่าชีวิตจะหลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น ดังนั้น ยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด เวลาที่ลูกจะได้รับความสุขจากชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หาความสุขเสียแต่วันนี้ ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน

4. ในโลก นี้ไม่มีเรื่องรักนิรันด์กาล ความรักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ โดยความรู้สึกนี้ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและอารมณ์ หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป ขอให้รอคอยอย่างอดทน ให้เวลาช่วยชะล้าง ให้จิตใจค่อยๆตกตะกอน แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆจางหายไป.. อย่าวาดหวังความรักให้สวยเกินไป และอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ

5. แม้ว่า คนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง แต่ไม่ได้หมายความว่า หากไม่ขยันเรียน แล้วจะได้ดี ความรู้คืออาวุธ คนเราอาจสู้แล้วรวย แต่ไม่มีทางรวยได้ หากปราศจากอาวุธสู้.. จำไว้

6. พ่อจะ ไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของลูกเช่นกัน เมื่อลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน หลังจากนั้นไป ลูกจะนั่งรถเมล์หรือจะนั่งรถเบ๊นซ์ จะกินหูฉลามหรือจะกินบะหมี่ยำๆ ลูกต้องเลือกเอง

7. ต้องทำ ดีต่อผู้อื่น แต่อย่าหวังว่าผู้อื่นต้องทำดีต่อเรา เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร มิได้หมายความว่าผู้อื่นก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน.. ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้ จะได้ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำเป็น

8. พ่อซื้อ ล๊อตเตอรี่มาตลอดชีวิต ยังยากจนเหมือนเดิม แม้แต่รางวัลเลขท้ายยังไม่เคยถูกเลย นี่เป็นบทพิสูจน์ว่า คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่านั้น ในโลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยงที่ไม่ต้องเสียตังค์

9. ญาติ มิตร หรือสหาย ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว ฉะนั้น จงหวงแหนโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันและแสนมีค่านี้ เพราะในชาติหน้า ไม่ว่าท่านจะรักใครหรือชังใคร ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก (หมายเหตุ ถึงพบกันก็ไม่รู้จักกัน เพราะระลึกชาติไม่ได้ นี่เป็นเกราะคุ้มกันของธรรมชาติ จะได้ไม่ทุกข์ข้ามชาติ ฉะนั้น ใครที่ระลึกชาติได้ ถือว่าอาภัพสุดๆ)

จากพ่อ

เหลียงจี้จาง

กลยุทธ์อ่านใจคนจากพลังธาตุทั้ง 4

กลยุทธ์อ่านใจคน จากพลังธาตุทั้ง 4

(THE FOUR ELEMENTS OF SUCCESS)

กลยุทธ์การอ่านใจ คนจากพลังธาตุทั้ง 4 (The four elements of Success) เขียนโดย ลอรี เบธ โจนส์ แปลเป็นไทยโดย ขวัญดวง แซ่เตีย นี้ ได้นำหลักธรรมชาติมาเชื่อมโยงกับบุคลิกลักษณะของคน โดย แบ่งธรรมชาติตามหลักความเป็นจริงว่าประกอบไปด้วย ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ โดยนำคุณสมบัติพื้นฐานของแต่ละธาตุมาประกอบการพิจารณา โดยชี้ไม่ได้กำหนดธาตุจาก วัน เดือน ปี ที่บุคคลนั้น ๆ เกิด แต่มองไปถึงระยะเวลาที่บุคคลนั้น ๆ “ปฏิสนธิ” ในครรภ์เลยทีเดียวด้วยการนำวัน เดือน ปี เกิดมาตั้งต้นและคำนวณเวลาย้อนหลังกลับไป เอ๊ะ ! เรากำลังดูหมออยู่หรือเปล่า อ๋อ ! ไม่ใช่อย่างแน่นอน เพียงแต่นำวัน เดือน ปี เกิดมาเป็นตัวตั้งในการคำนวณเท่านั้น

แล้วนำมาเทียบ เคียงระหว่าลักษณะจุดเด่น จุดด้อยของธรรมชาติของธาตุนั้น ๆ ที่เราสัมผัสได้ มาเทียบเคียงกับนิสัย ใจคอ ของบุคคลนั้น ๆ ว่า “ใช่” หรือ “ไม่” แล้วนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันกับการบริหารธุรกิจด้วยการวาง ตำแหน่ง วางบุคคล ให้เหมาะกับงาน เหมาะกับความสามารถและนิสัยใจคอของบุคคลนั้น ๆ เพื่อให้การขับเคลื่อนองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบุคคลในองค์กรนั้น ๆ มีความสุขในการทำงาน เพื่อให้ทั้งองค์กร และทรัพยากรขององค์กรประสบความสำเร็จและมีความสุขร่วมกัน ลอรี เบธ โจนส์ ได้อธิบายไว้ว่า ให้เราลองนึกถึงคุณสมบัติพื้นฐานของธาตุแต่ละชนิด ว่ามีคุณสมบัติอย่างไรเมื่อเรานึกถึงธาตุนั้น ๆ

ธาตุดิน :-

เมื่อเราพูดถึง “ดิน” เราจะพูดถึง ความเข็มแข็ง ความมั่นคง ความปลอดภัย ดินเป็นองค์ประกอบของทุกสิ่งที่เราประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้สอย ดินคือบ้าน เป็นที่ ๆ เราปักหลักยึดเหนี่ยว

คนที่ลักษณะเด่น ของ “ธาตุดิน” มีความมั่น คง มีระเบียบ มีวินัย ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง หรือชอบการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ ไปตามธรรมชาติ รักที่จะก่อร่าง สร้างตัว พัฒนาตนเอง ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ก้าวช้า ๆ แต่มั่นคง

คนธาตุดิน ชอบเก็บ กดอารมณ์โกรธของตัวเอง ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่ความโกรธถึงขีดสุด ก็ย่อมรุนแรงไม่ต่างกับแผ่นดินไหว แต่ก็ไม่ใช่ เรื่องที่จะเกิดขึ้นบ่อยนัก เพราะคนประเภทนี้มักเห็นว่าคนที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้คือคนอ่อนแอ

ธาตุน้ำ :-

เป็นธาตุที่ เปลี่ยนแปลงไปได้ทุกโอกาสและสถานที่ “ธาตุน้ำ” จึง เป็นธาตุที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถ ปรับเปลี่ยนไป ได้ในทุกโอกาสและสถานที่ คนบางคนถึง กับมองว่าคนที่ มีลักษณะเด่นของ “ธาตุน้ำ”

เป็นคนประเภทนก สองหัว แต่ที่จริงแล้วเค้าเป็นแค่เพียงคนที่ไม่ชอบเห็นความขัดแย้ง ความแตกแยกทุกชนิด คน “ธาตุน้ำ” จึงเป็น “ทูตสันถวไมตรี” ได้อย่างดีเลิศเลยที เดียว เพราะเค้าชื่นชอบการประนีประนอมมากเป็นชีวิตจิตใจ

เป็นคนที่โอนอ่อน ผ่อนปรนตามใจคนอื่นได้ง่าย จนบางครั้งขาดความเป็นตัวของตัวเอง ชอบทำงานอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้อื่น ทำงานเป็นทีมได้ดี ให้ความสำคัญแก่ทีมงานดีมาก ไม่ใช่เป็นผู้ริเริ่มที่ดีแต่พร้อมที่จะดำเนินการและผลักดันให้งานนั้น ๆ ไปสู่ความสำเร็จ

“ธาตุน้ำ” ให้ความแช่มชื่น สงบ มีความยื่ดหยุ่นสูง เรียบง่าย เป็นธรรมชาติ รักความเสมอภาค เป็นนักแก้ปัญหา ชอบหาทางออกให้แก่ปัญหา ชอบความปรองดอง พร้อมที่จะมีระเบียบวินัยเพียงเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบ

ธาตุลม :-

มีปฏิกิริยาตอบ โต้ว่องไว มีพลังมากชอบขับเคลื่อนไปข้างหน้า มีความ สามารถสูงในการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เป็นธาตุแรกที่นำมาซึ่งกลิ่นไอของภัยอันตรายและความยืดหยุ่น

เป็นธาตุที่ไม่ อยู่นิ่ง มีความสามารถสูงในการติดต่อสื่อสาร ต้องการเป็นศูนย์รวมของคนหมู่มาก คบคนได้ทุกระดับไม่มีขอบเขต คบเพื่อนที่ปริมาณมากกว่าคุณภาพ มักมองโลกในแง่บวก เป็นคนไม่เก็บอารมณ์ สามารถคลี่คลายความขัดแย้ง ความตึงเครียด ด้วยอารมณ์ขัน สามารถมองเรื่องซีเรียสเป็นเรื่องตลกได้

มักกลัวถูกสังคม ทอดทิ้ง ชอบความสนุกสนาน ไม่ชอบผู้นำที่เคร่งเครียด เต็มไปด้วยกฎระเบียบ ไม่ใช่เป็นคนที่อยู่ในระเบียบมาตั้งแต่เกิด ชอบทำงานด้วยความสนุกสนาน บ่อยครั้งที่คิดค้นกลวิธี ที่ช่วยให้เพลิดเพลินกับงาน

ธาตุ ไฟ :-

มีบุคลิกที่ชวน หลงใหล น่าค้นหา เต็มไปด้วยอารมณ์ที่เร่าร้อน เอาจริงเอาจัง ให้ความบริสุทธิ์ ให้แสงสว่างและการผูกมัด

“ธาตุไฟ” สามารถทำให้ผู้อื่นหมดเรี่ยว แรงได้อย่างรวดเร็ว ไม่อาจกำหนดขอบเขตที่พอดีของตนได้ เป็นได้ดีทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย ขาดทักษะด้าน สังคมและไม่มีความสมดุลในตัวเอง ไม่ค่อยรู้ความต้องการของคนอื่น ที่สำคัญไม่กลัวการเผชิญหน้า

คน “ธาตุไฟ” ชอบความตื่นเต้น เร่าร้อน แรงกดดัน ทิศทางที่มั่นคงและยั่งยืน ชอบการเปลี่ยน แปลง การผจญภัยที่ตื่นเต้น เร้าใจ ไมชอบความซ้ำซาก จำเจ น่าเบื่อหน่าย

ตอบสนองได้เร็ว ตัดสินใจและลงมือทำทันที ทีมีความมุ่งมั่น และเอาจริงเอาจังสูง เป็นผู้ริเริ่มและผู้นำที่ดี ชอบการเป็นผู้นำ เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ควบคุมผู้อื่น คุ้นเคยกับความ ขัดแย้ง กล้าเผชิญหน้า มองว่าความขัดแย้งจำเป็นต่อการสร้างสีสันมีชีวิตชีวา

คน “ธาตุไฟ” มองความสำเร็จคือการได้อยู่ เหนือผู้อื่น และทำได้เกินความคาดหวัง ชอบ “การลง มือทำ” มากกว่า “การพูด”

นอกจากธาตุทั้ง สี่นี้แล้ว “ลอรี เบธ โจนส์” ยังได้มีการจับคู่กัน โดยชี้ให้เห็นว่า คนบางคนไม่ได้มีธาตุเพียงธาตุเดียวอยู่ในตัวเราเท่านั้น บางคนอาจมีธาตุ 2 ชนิด รวมอยู่ในธาตุเดียวกันก็ได้ เช่น ดิน + น้ำ, น้ำ + ไฟ เป็นต้น

“ลอรี เบธ โจนส์” ได้ชี้ให้เห็นถึงการนำจุดเด่นของแต่ละธาตุมา ประยุกต์ใช้ในการบริหารบุคลากรในองค์กรได้อย่างชัดเจน โดยนำกรณีศึกษามากมายมาแสดงไว้ในหนังสือเล่มนี้ นับได้ว่าเป็นหนังสือที่ดีและมีประโยชน์จริง ๆ

เอ๊ะ ช้าไปไหมเนี่ยะ ที่จะอ่าน

พร พชร