วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เข้าใจผิดเพียงนิดชีวิตคุณเปลี่ยน

"เข้าใจผิดเพียงนิดชีวิตคุณเปลี่ยน"
ผลของความเเตกต่าง ระหว่างประสิทธิภาพสูง เเละ สมรรถภาพสูง(ความสามารถเฉพาะตัว) ต่อความสำเร็จ
โดยปกติเเล้วผู้คนจำนวนมาก มักพะวัง เกี่ยวกับข้อด้อยความสามารถของตัวเอง เเละมักจะคิดว่าต้องศึกษาทุกอย่างให้หมดเสียก่อน เเล้วจึงจะเริ่ม ลงมือทำ คนโดยส่วนใหญ่มักจะลืมคิดถึง การใช้วิธีที่มีประสิทธิภาพ มาช่วยในการทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ
เพื่อความเข้าใจอันดียิ่งขึ้น เรามาดูความแตกต่างของคำจำกัดความ ระหว่าง ประสิทธิภาพ กับ สมรรถภาพ
ในธุรกิจใดๆ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ….อาจหมายถึง หายนะ
ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยอาจหมายถึง ความสำเร็จ หรือ ความล้มเหลว
ประสิทธิภาพ กับ สมรรถภาพ แตกต่างกันอย่างไร?
ดูกันง่ายๆคือ ประสิทธิภาพหมายถึงวิธีการภาพรวม ส่วน สมรรถภาพ หมายถึง ความสามารถเฉพาะตัว ความสามารถของตัว
สมรรถภาพหมายถึง ความสามารถที่จะทำงานที่กำหนดให้สำเร็จลงได้โดยใช้ความพยามไม่มาก
ประสิทธิภาพ หมายถึง การพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ทั้งหมด พิจารณา และค้นหา วิธีการดำเนินการใดสำคัญที่สุดสามารถบรรลุสู่เป้าหมาย และ กระทำให้บังเกิดผลสำเร็จ
เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น…..เรามาดูตัวอย่างกัน
สมมุติมีการแข่งขัน เดินทาง จาก กรุงเทพไปเชียงใหม่, 730 กิโลเมตร… โดยมี เงื่อนไข ว่า มีระยะเวลา 1 เดือน ผู้แข่งขันสามารถเลือก การเดินทางแบบใดก็ได้
คุณรู้ว่าคุณมีความสามารถในการขี่จักรยาน คุณเลือกจักรยาน ในการแข่งขันนี้ คุณเลือกจักรยาน คุณภาพชั้นยอด ตัวถัง Fiber carbon, ระบบเกียร์อย่างดี และ ส่วนประกอบอื่นๆล้วนแต่ เป็นระดับ Top quality คุณมีร่างกายแข็งแรง เหมาะกับการเป็นนักแข่งจักรยาน คุณมีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้า คุณตั้งใจที่จะเอาชนะการแข็งขันนี้ คุณวางแผนอบรมฝึก เพื่อให้มี สมรรถภาพความสามารถ ให้อยู่ในระดับนักปั่นมีอาชีพ ……
โดย ความสามารถ ระดับของคนธรรมดา สามารถ ปั่นจักรยาน ได้ด้วยความเร็ว 19-20 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง โดย สมมุติว่าคุณมีความสามารถในการปั่นจักรยาน สูงกว่า เท่าตัวของ ระดับปกติ คือ 40 กม/ชม. หรือ /200 กม/วัน ด้วยความเร็วนี้ คุณสามารถไปถึง เชียงใหม่ ภายในเวลา 3-4 วัน ทำเวลาได้ไม่เลวเลย
ส่วนผม เลือกที่จะขับรถยนต์ ด้วยความเร็ว 80 กม/ชม. ผมไม่ต้องการเวลาที่จะฝึกอบรมฟิตร่างกาย หรือการฝึกใดๆ ผมค่อนข้างที่จะเป็นคนขี้เกียจที่สุด คนหนึ่ง แต่ผม สามารถเอาชนะคุณได้อย่างขาดลอย โดย แทบไม่ได้ใช้ความพยามอะไรเลย
ผมไม่ต้องมีสมรรถภาพ ของการเป็นนักปั่นอันยอดเยี่ยม ผมไม่ต้องเผชิญปัญหาจากสภาวะการเดินทางอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็น สภาพอากาศ ความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ เพราะผมเลือก วิธีที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
บางคนซึ่งเป็นคนที่ ฉลาดและมีทุนมาก เขาอาจเลือก ไป ทางเครื่องบินโดยใช้เวลาเพียง ไม่กี่ชั่วโมง โดยรวมเวลารอเครื่อง เขาเอาย่อมไปถึงเป้าหมายก่อน
บางครั้งการมีสมรรถภาพความสามารถ ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าคุณไม่มีขบวนการที่มีประสิทธิภาพ และในความเป็นจริงการเพิ่มความสามารถสมรรถภาพ เป็นเพียงเครื่องเสริมประสิทธิผล ของคุณ เท่านั้น
“ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม คุณพยามเพื่อบรรลุผลสำเร็จ (การทำเงินให้ได้มาก, ขายสินค้า, หรือการแนะนำบุคคลอื่นเข้าร่วมโอกาสทางธุรกิจของคุณ) มันย่อมมีวิธีการที่ดีกว่าและสำคัญกว่าปัจจัยอื่นๆที่จะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมาย”
หลักการสำคัญที่คุณสามารถ กระทำได้คือ ใช้ความพยาม วิเคราะห์บ่งชี้ ให้ได้ว่า วิธีการการกระทำใดๆ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพจริง ไปทางไหนได้บ้าง โดยวิเคราะห์ว่า คุณต้องใช้กำลังทุนแรงมากเพียงไรในการกระทำดำเนินวิธีการเหล่านั้น โดยคุณพุ่งเป้าไปที่เป้าหมายก่อน แล้ว จำแนกวิธีการที่จะทำให้ถึงเป้าหมายได้ออกมาเป็นส่วนๆ มีวิธีการใดบ้าง วิธีการใดง่ายและลัดสั้นที่สุด วิธีการใดให้ผลให้โอกาสที่ดีกว่ากับคุณในความมั่นคงของความสำเร็จ แต่ถ้าคุณเริ่มจากหาวิธีการเพื่อไปสู่เป้าหมาย คุณจะมองไม่เห็นภาพรวม และเมื่อคุณมีความเข้าใจถึงแก่นแท้ของปัญหาแล้วคุณอาจกลับมาให้ความสนใจกิจกรรมอื่นๆในภายหลังก็ได้
ทั้งหมดนี่เป็นคำตอบของคำถาม... ทำไม บางคนทำให้สำเร็จได้โดยไม่ยาก ขณะที่อีกกลุ่มพยามแทบตายแต่ได้เพียงแค่ทำไปวันๆ หรือทำได้แค่เป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้น ?
จากตัวอย่างข้างต้นเป็นเหตุผลว่า ทำไมผู้คนส่วนใหญ่ มักหลงทาง และเมื่อ เผชิญกับปัญหา แต่ดูเหมือนไม่สามารถที่จะ ฝ่าฟันอุปสรรค นานาประการ ไปได้ เพราะพวกเขามักกังวล กับ ความสามารถสมบูรณ์ความเพียบพร้อม ของตัวเอง กังวลกับ สิ่งที่ไม่จำเป็น เพราะสิ่งเหล่านั้น มีผลกับความสำเร็จในภาพรวมน้อยเหลือเกิน
เพราะอะไรพวกเขาถึงเป็นแบบนั้น? เพราะการได้รับข้อมูลผิดๆ ได้รับทราบมาผิดๆ เพราะความไม่รู้
อาจเป็นเพราะมันง่ายที่จะ ลงมือไปทำในสิ่งที่ไม่จำเป็น เช่นเราอาจเห็น นักธุรกิจ Online หลายต่อหลายคน หลงไปการจัดทำ กราฟฟิค ต่างๆ แต่ ละเลยเกี่ยวกับ เนื้อหา ภายใน เวบไซด์ การหัดเรียนHtml, Dream waver, PHP และอื่นๆ เขาว่าเป็นหัวใจหลักใน การสร้างรายได้ ขณะที่บางคนใช้เว็บสำเร็จรูป บางคนทำเว็บไซด์ เป็นเว็บพื้นๆ ง่ายๆแต่ เต็มไปด้วยเนื้อหา และได้ผลตอบรับที่ดีกว่า เพราะ พวกเขาเข้าใจความรู้สึกความต้องการของ ลูกค้าผู้ใช้บริการ คนที่ใช้ อินเตอร์เน็ต พวกเขาต้องการข้อมูล ไม่ใช่ มาดู เวบ สวยๆ ลูกเล่นแพรวพราว
“สุดท้าย การพยามมุ่งหาแต่ สมรรถภาพ และ ละเลย ประสิทธิภาพ จะเป็นทางทำร้าย ตัวเองได้เร็วที่สุด”
ลองศึกษาดูจิตของคุณ จะพบว่า เพราะ อารมณ์ความรู้สึกที่เป็นอกุศล(ท้อแท้ เมื่อเจออุปสรรคต่างๆ หดหู่ ซึมเศร้า) ย่อมมีกำลังเหนือกว่า จิตที่เป็นกุศล (มานะ อุตสาหะ อื่นๆ) ……กว่าจะได้มาซึ่งสมรรถภาพที่สมบูรณ์เพียบพร้อม ผู้คนทั้งหลาย มักล้มเลิก ยอมแพ้ กันกลางทางเสีย ก่อน
กลับมาดูกันที่ตัวอย่าง ของการแข่งขัน
คุณจะเห็นได้ว่า คนที่เลือก ทางที่มีประสิทธิภาพ เขาถึงเป้าหมาย ได้อย่างง่ายๆแทบไม่ต้องใช้ความพยามเลย และไม่เพียงแค่นั้น เขาสามารถเอาชนะ ผู้ที่มีสมรรถภาพ ได้….และ.......ไม่เพียงแค่ เฉียดฉิว แต่ ขาดลอย
คุณอาจคิดว่า ตัวอย่างที่หยิบยกมานี่ มันค่อนข้าง ปัญญาอ่อน มันง่ายใครๆก็รู้ แต่เดี๋ยวก่อนครับ มันเกิดขึ้นง่ายๆในวงการธุรกิจ
ตัวอย่างง่ายๆ เราลอง ย้อนมาดูเรื่องใกล้ๆตัว คนที่มี สมรรถภาพ สูง เช่นคนมีการศึกษาสูงๆ กลับมาเป็นลูกจ้าง ส่วน คนที่มีการศึกษาน้อย หรือ ธรรมดา เป็นเจ้าของกิจการเป็นนายทุน เพราะอะไร….บางทีอาจเป็นเพราะความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนเองมีความรู้ความสามารถ พวกเขาส่วนใหญ่มักบ่นงานหนักเงินน้อย พวกเขามุ่งมั่นในการทำงานเพื่อ รายได้ที่มากขึ้นเงินเดือนที่มากขึ้น พวกเขามุ่งพัฒนา สมรรถภาพให้สูงขึ้นโดย การศึกษาต่อเพื่อปรับวุฒิการศึกษา ทั้งๆที่มีเป้าหมายเหมือนกันกับธุรกิจทั่วไป คือ การสร้างรายได้ ให้ได้มากที่สุด แต่พวกเขาส่วนใหญ่มักไม่ได้ตระหนักถึง วิธีการที่มีประสิทธิภาพ ในการเพิ่มรายได้ ต่างหาก…..

เป้าหมายอิสรภาพทางการเงินอย่างพอเพียง



ก่อนอื่นถ้าคุณไม่ทราบว่าจะต้องตั้งเป้าหมายในการเก็บเงินเพื่อใช้ในยามเกษียณเท่าไหร่?
ดังนั้นเพื่อช่วยให้คุณพอมีแนวทางคร่าวๆ ว่าจะต้องกำหนดเป้าหมายการออมเงินในบัญชีของตัวคุณเองไว้ที่ระดับใด?
มีผู้เชี่ยวชาญประมาณไว้ว่า สำหรับคนไทยในยุคปัจจุบันหากเกษียณอายุและมีชีวิตอยู่ได้อย่างพอสบาย ก็ควรมีเงินเก็บไม่ต่ำกว่า 3,000,000 บาท
เก็บเงินอย่างไรเพื่อให้ได้ มาซึ่งอิสระภาพทางการเงินอย่างพอเพียง ?
สมมุติว่าคุณจะเกษียณอายุ เมื่อตอน อายุ 60 ปี และต้องการมีเงินเก็บ สามล้านบาท โดยคุณขณะนี้มีอายุ 25 ปี มีรายได้ เดือนละ 15,000 บาท หรือ 180,000 ต่อปี มีเงินเก็บในบัญชี 50,000 บาท

เป้าหมายเงินเก็บสะสม
คิดเป็นเท่าของรายได้ต่อปี
อัตราการออม (คิดจาก%ของรายได้)
5% 10% 15% 20% 25% 30% 35% 40% 45% 50%
2 เท่า
23ปี
14ปี
11ปี
8ปี
7ปี
6ปี
5ปี
5ปี
4ปี
4ปี
5 เท่า
37
26
20
17
14
13
11
10
9
8
7.5 เท่า
44
32
26
22
19
17
15
14
13
12
10 เท่า
49
37
30
26
23
20
18
17
15
14
12.5 เท่า
53
41
34
29
26
23
21
19
18
17
15 เท่า
57
44
37
32
29
26
24
22
20
19
20 เท่า
62
49
42
37
33
30
28
26
24
23
25 เท่า
67
53
46
41
37
34
31
29
27
25

ที่มา: How to Grow Rich /Frank Newman&Muriel Newman (1990)
ดังนั้นคุณจะมีเวลา อีก35ปี จึงเกษียณ และคุณต้องการเงินอีก 2,950,000 บาท หรือคิดเป็น 16 เท่าของรายได้ต่อปี จากตาราง การหาจำนวนปีและเปอร์เซ็นต์การออมเงิน เพื่อบรรลุเป้าหมายระดับเงินออมที่ต้องการ คุณจะพบว่าคุณจะต้องตั้งเป้าการออมต่อเดือนของคุณ ให้ได้เท่ากับ 15% ของรายได้ต่อเดือนหรือ เท่ากับ 2,250 บาท ซึ่งจากตารางเป็นตารางเงินออมที่ได้รับผลตอบแทนที่ 5% ต่อปี แต่ในขณะที่ ดอกเบี้ยเงินฝาก อยู่ที่ 0.75-2.5% ต่อปี เท่านั้น
จากตารางคุณจะเห็นว่า ถ้าคุณเริ่มเก็บเงิน เดือนละ 2,000 บาท แต่คุณได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปแบบต่างๆ เฉลี่ย 5% ต่อ ปี เมื่อเกษียณอายุ ตอน อายุ60 คุณจะมี เงินออมกว่า 3 ล้านบาท แต่ถ้าคุณช้าไปเพียงหนึ่งปี เงินของคุณจะหายไปเกือบ สี่แสนบาท
จากที่คุณได้ทราบมาแล้วข้างต้นเกี่ยวกับ อำนาจของการซื้อ หรือ เงินทองของมายาข้าวปลาซิของจริง…..คุณจะเห็นว่า เงินทองที่คุณเก็บไว้นั้น 3 ล้านบาท เป็นเพียงภาพมายา เพราะอำนาจของการซื้อของคุณจะลดลง ตามสถิติ เมื่อเวลาผ่านไป 40 ปี มูลค่าของเงินของคุณจะลดลงจาก 100 เหลือ เพียง 20 บาท ดังนั้นหมายความว่า ถ้าคุณมีเงินเก็บ 3 ล้านบาท ก็มีค่าเท่ากับ 600,000 เท่านั้น ซึ่งจากการประเมิน เพื่อมีชีวิตอย่างพอสบายในวัยหลังเกษียณอายุ จะต้องมี เงินเก็บไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่า ในอีก 35-40 ปีข้างหน้า คุณจะต้องมีเงินเก็บจริง ถึง 15 ล้านบาท
ตกใจหล่ะซิ!!!
คุณเห็น ความน่ากลัวของ เกมส์การเงินนี้แล้วหรือยัง?
หาย งง แล้ว หรือยัง ว่า เงินของคุณหายไปไหน?
ดังนั้นถ้าคุณคิดแต่จะทำงานประจำเก็บเงินออมเพียงอย่างเดียวแล้ว คุณแทบมองไม่เห็นความเป็นไปได้เลย จาก เงินเก็บที่คุณจะสามารถเก็บได้สูงถึงขนาดนี้ เพราะในขณะที่ธนาคารมีเงินฝากอยู่ล้นระบบ ดอกเบี๊ยเงินฝากนับวันมีแต่จะลดน้อยถอยลง ดังนั้น การจะอาศัยการออมเพียงอย่างเดียว คงไม่เพียงพอ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณต้องเรียนรู้วิธีการที่จำนำเงินออมไปลงทุนต่อเพื้อให้เกิดดอกผลเพิ่มขึ้นด้วย
สิ่งที่คุณต้องทำเดี๋ยวนี้คือ
1. ลงทุนเพื่อตัวคุณเอง ด้วยการลงทุนในการศึกษาหาความรู้ เพื่อเสริมสร้างรายได้ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบันที่เป็นผลให้ความมั่นคงในอาชีพของคุณนั้นลดน้อยลง
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องหันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับความรู้ในด้านต่างๆโดยเฉพาะทางด้านการเงินและธุรกิจ เพื่อเพิ่มมูลค่าของเงินไม่ให้ตกต่ำไปเพราะภาวะเงินเฟ้อ และเพื่อไม่ให้เงินที่คุณหามาอย่างยากลำบากนั้น สูญหายไปอย่างง่ายๆโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หรือเพียงเพราะความโง่ของตัวเราเอง
2. ลงทุนในตราสารการเงินต่างๆ เช่น ตราสารอนุพันธ์ หุ้น พันธบัตร กองทุนรวม ต่างๆ
3. ลงทุนทำธุรกิจส่วนตัว หรือ ศึกษาช่องทางสร้างรายได้อื่นๆ ซึ่งคุณอาจทำเป็นงานเสริมโดยเริ่มจากเล็กๆ ก่อนก็ได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ มีช่องทางให้คุณเลือกมากมาย ด้วยความโชคดีที่มีเทคโนโลยีที่ให้ความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะ อินเตอร์เนต
ไม่ว่าคุณจะเลือกลงทุนด้วยวิธีใดก็ตาม สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ ลงทุนเพื่อตัวคุณเอง ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุน มั่นคงถาวรที่สุด อย่างที่ฝาหรั่งเขามักพูดว่า
"Formal education will make you a living; self-education will make you a fortune."
การศึกษาในระบบนั้น ช่วยคุณเพียงแค่ดำรงชีพ แต่การศึกษาด้วยตัวเองนั้น นำมาซึ่งทรัพย์สมบัติให้แก่คุณ

ประเภทของรายได้

มีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินพยายามอธิบายเพิ่มเติมอย่างน่าสนใจถึงการวัดปริมาณความร่ำรวย จากจำนวนวันที่เรามีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ โดยไม่ต้องทำงาน ผู้ที่จะไปถึงจุดนั้นได้ หมายความถึง ผู้ที่สามารถบริหารกระแสเงินสดให้เป็นบวก (คือ มีรายได้อัตโนมัติมากกว่ารายจ่าย) นั่นเอง
เมื่อเราพินิจพิเคราะห์รายได้ของคนเราในแบบต่างๆ จะพบว่า รายได้มี 2 แบบ คือ
1. Active Income คือ รายได้ที่ได้มาจากการทำงาน ถ้าไม่ทำไม่ได้ เช่น รับเงินเดือน, เจ้าของร้านค้าขนาดเล็ก, นักแสดง, ผู้ใช้แรงงาน, ผู้ขายบริการ, พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด ฯลฯ
2. Passive Income หรือ Recurring income, Residual incomeคือ รายได้ที่มาจากทรัพย์สิน ไม่ได้เกิดจากการทำงานโดยตรง เช่น หุ้น, ตึกให้เช่า, สิทธิบัตร, ลิขสิทธิ์, ค่าการตลาด ฯลฯ รายได้นี้ถ้ามีมาอย่างต่อเนื่องและถ้ามีมากกว่ารายจ่าย จะทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงินและชีวิตมีอิสระขึ้น
ตัวอย่าง รายได้เเบบ Passive, Recurring income
1. ลงทุนเป็นหุ้นส่วนบริษัท(หรือลงทุนในตลาดหลักทรัพย์) ถ้ามีบริษัทดีๆ สักแห่ง สนใจเงินลงทุนของคุณ การใช้ "เงินทำงาน" แบบนี้ก็น่าสนใจ วิธีการไม่ยุ่งยากคุณไม่ต้องทำอะไรเลย ปล่อยให้ผู้บริหารอาชีพทำงานให้และคุณรอรับเงินปันผลทุกปีหรือคุณสามารถนำเงินของทุนไปลงทุนใน ตลาดหลักทรัพย์หรือตราสารการเงินต่างๆ
2.ขายลิขสิทธิ์ หากคุณมีไอเดียดีๆ คุณสามารถ มีรายได้ จากเปอร์เซนต์ การจำหน่าย สินค้า บริการ จากไอเดียคุณ โดยไม่คุณไม่จำเป็นต้องลงทุนเอง
3. สร้างอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าหากคุณเป็นเจ้าของที่ดินทำเลดี มีเงินในกระเป๋าสัก 5-20 ล้านบาท (หรือมีเครดิตกู้ธนาคารได้) ธุรกิจนี้น่าสนใจ อพาร์ทเม้นท์ที่สร้างเสร็จจะกลายเป็นทรัพย์สินที่ทำเงินสร้างรายได้ให้คุณ(โดยไม่ต้องทำงานประจำ) หน้าที่ของคุณเพียงบริหารจัดการตามปกติ (Routine) หรือจ้างผู้จัดการสักคน เท่านี้ก็เป็นอิสระ มีรายได้ยาวนานมั่นคงแถมเป็นมรดกให้ลูกหลานอีก
4. ซื้อแฟรนไชส์ มีแฟรนไชส์ดีๆมากมายทั้งขนาดใหญ่เเละเล็ก ใช้เงินที่ลงทุนประมาณ 300,000 ถึง 60 ล้านบาท ที่มีการบริหารจัดการ (Know How) ที่เป็นระบบแบบมืออาชีพ คุณเพียงแค่ลงทุน ศึกษาระบบให้เข้าใจและหาลูกจ้างมาทำงาน แค่นี้รายได้ก็จะหลั่งไหลเข้ามาเหมือนสายน้ำ โดยที่ไม่ต้องเหนื่อยด้วยตัวเอง
5.ทำการตลาดแบบเครือข่าย เป็นการตลาดรูปแบบใหม่ถือกำเนิดมาได้ประมาณ20ปีก่อนเป็นการทำตลาดที่มีการผสมผสานรูปแบบแฟรนไชส์ และ BUZZ Marketing เข้ากับการตลาดแบบหลายชั้น (Multilevel Marketing) เป็นรูปเเบบธุรกิจที่ออกเเบบให้กับผู้ที่มีงบลงทุนน้อย เเละธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่เรียกว่ามีความเสี่ยงต่ำเเต่มี ROI (Return of Investment)หรือผลตอบเเทนคุ้มค่าที่สุด อย่างหนึ่ง
วิธีการทำธุรกิจแบบนี้คือ ต้องมีการศึกษาจุดดีจุดเด่นของบริษัทธุรกิจและสินค้าก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงสร้างตลาดเครือข่ายผู้บริโภค.....โดยทั่วไปจะใช้การบอกต่อหรือการขายโดยตรงแล้วถ่ายทอดวิธีการ (Know how) ให้กับผู้ที่สนใจทำการตลาดในองค์กรเครือข่ายต่อเนื่องต่อไป เรียกว่าเป็นการใช้พลังของเครือข่ายแบบ

ถ้าคุณไม่อยากตกเป็นเหยื่อ ปีศาจสูบเงินจากบัญชีธนาคารของคุณ

ถ้าคุณไม่อยากตกเป็นเหยื่อ ปีศาจสูบเงินจากบัญชีธนาคารของคุณ
คุณเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า
เงินฉันมันหายไปไหนกันหมด
?
คุณคิดว่ามันยุติธรรมไหม?
คุณเคยถามตัวคุณเองบ้างไหมว่า ทั้งหมดนี้ มันหมายความว่าอย่างไรกัน
?
ติ๊กต๊อก…….ติ๊กต๊อก…ใช่แล้วคุณกำลังตกเป็น “ทาส”!!!คุณฟังไม่ผิด!!! คุณกำลังตกเป็นทาส
เพราะทาส คือ ผู้ที่ต้องทำงานรับใช้คนอื่นๆไปจนตาย ทำเท่าไหร่ก็หายหมด
หากคุณไม่อยากเป็นเช่นนั้น คุณต้องปลดแอกตัวคุณเอง จากการเป็นทาสของเงิน จากการทำงานเพื่อเงิน โดยประกาศอิสรภาพว่า……"ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" เอ้ยไม่ช่ายยยย........เเต่คุณจะประกาศว่า
“ฉันจะหาความรู้เกี่ยวกับการเงินเเละการลงทุน”
หลายคนมักเข้าใจว่า อิสรภาพทางการเงิน( Financial Freedom) แปลว่า การมีเงินทองมากมาก มีเงินถุงเงินถัง และสามารถใช้จ่ายกันได้อย่างชนิดไม่อั้น
แต่ความจริงแล้ว………!!!!
อิสรภาพทางการเงินน่าจะ หมายความว่า
“การที่คุณ มีหลักประกันความมั่นคงทางการเงิน ที่ เพียงพอ พอเพียงที่จะ ใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย ตามสมควรแก่อัตภาพ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับ ภาวะค่าเงินตกต่ำ หรือ สภาวะล้มละลายจากค่ารักษาพยาบาล
กล่าวสรุปโดยรวม แล้ว คือ ไม่ต้องคอยหวาดผวาเกี่ยวกับปัญหาเงินๆทองๆว่าจะไม่มีพอใช้สอยในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพในอนาคต

ใครคือปีศาจสูบเงินจากบัญชีของคุณทั้งในปัจจุบันและอนาคต?

ปีศาจตัวแรก
ตัวเเสบที่สุด
การเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจ (อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ ฯ)
ปีศาจตัวที่2
ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ เพราะเราจะมีอายุยืนยาวขึ้น

ปีศาจตัวที่3

ภาระที่เพิ่มขึ้นในการดูแลผู้สูงอายุ

ปีศาจตัวที่4

ปัญหาสุขภาพ และ ค่ารักษาพยาบาล

ปีศาจตัวที่5

ความเสี่ยงจากหน้าที่การงาน

ปีศาจตัวที่ 6

ความเสี่ยงจากการออมเงินในธนาคาร

สคบ.จะตรวจอีก 10 แห่ง แผนไบนารี่ -บริษัทขายปุ๋ยงานเข้า « เมื่อ: วันพุธที่ 20 มกราคม 2010, 19:27:32 PM »




เป็นไปตามคาดครับพี่น้อง วันนี้ มีแต่ข่าว ปูแดง ทั้ง หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เนต เป็นห่วงพิเศษ สำหรับ บริษัทเครือข่าย ที่เป็นไบนารี่จับคู่จ่าย และ บริษัทเครือข่าย ที่ ขายปุ๋ย

ซึ่งคิดว่า คนที่อยู๋ในเครือข่ายก็คงติดตามกันบ้างแล้ว สำหรับผม ตอนนี้ไม่ได้เป็น ห่วงแค่ ปูแดง ผมเป็นห่วง พี่น้องเครือข่าย ทุกค่าย อยากให้ทุกคนทำการบ้านกันเยอะๆครับ ลำพังทำธุรกิจขายตรงธรรมดา ข้อโต้แย้งก็เยอะอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอแบบนี้อีก ฝึกกันไว้มากๆครับ ใครมีไอเดียดีๆเอามาแชร์เพื่อนนะครับ วันนี้ แอดมิน มีเรื่องจะแจ้งและขอความเห็นเพื่อนๆด้วยกันหลายเรื่องดังนี้ครับ

เรื่องที่ ปูแดง อาจจะมีปัญหาเรื่องแชร์ลูกโซ่
1.สคบ . ถอนใบอนุญาต แต่ ปูแดง ยังทำเดินธุรกิจต่อ โอเค ตรงนี้ เหตุผล DSI ที่เข้าตรวจค้นพอรับฟังได้ และผมคิดว่า ปูแดงเอง อาจจะมีเหตุผลลึกๆที่ยังทำธุรกิจต่อทั้งๆที่ ถูกยึด ใบอนุญาต อาจจะเป็น ห่วงสมาชิก หรือเหตุผลอื่นๆ ตรงนี้ รอความชัดเจนจากปูแดงก่อนครับ จะเอามารายงานให้ทราบ

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
DSI บอกว่า บริษัทมีเลขรหัสสมาชิก 1.1 ล้านหมายเลข แต่มีสมาชิกจริง เพียงกว่าหมื่นคน ซึ่งดีเอสไอต้องตรวจสอบว่าบริษัทผลิตสินค้าให้กับสมาชิกเป็นล้านคนจริงหรือไม่.-สำนักข่าวไทย

ตรงนี้คือข้อเสียของการ ลงรหัสแบบไม่มีคน หรือที่เรารู้ในชื่อของ ลงแบบตุ๊กตา คือ ไม่มีคนจริง แต่มีรหัส ตรงจุดนี้ อาจทำให้มีปัญหาครับ ผมว่า ถ้าจะโดนก็อาจจะโดนตรงนี้ครับ ซึ่งปัจจุบันมีหลายบริษัท ที่ใช้รูปแบบการลงแบบตุ๊กตาได้ เช่น บ.นีโอไลฟ์ บ.จอยส์แอนด์คอยส์ บ.โกลด์ยูโกลด์ ( GUG) เป็นต้น ลองกลับไปดูที่บริษัทของเพื่อนๆว่าเขาให้ลงแบบ ตุ๊กตาได้หรือเปล่า
----------------------------------------------------------------------------------------
DSI บอกว่า ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษกล่าวต่อว่า สำหรับแผนการตลาดของผลิตภัณฑ์
ปูแดงไคโตรซาน สมาชิกต้องจ่ายเงินซื้อผลิตภัณฑ์ 3,500 บาท จ่ายค่าสมาชิกอีก 300 บาท เพื่อแลกผลิตภัณฑ์ปูแดงไคโตรซาน 1 ชุด และได้รับรหัสเป็นสมาชิกขายตรงของบริษัท เพื่อมีสิทธิหาผู้สนใจมาสมัครสมาชิกเพิ่มขึ้น หากหาสมาชิกใหม่ได้เพิ่ม จะรับผลตอบแทนคนละ 500-1,000 บาท หากหาสมาชิกได้มาก ผลตอบแทนจะทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ ตามที่กำหนดในแผนการตลาด เป็นการจ่ายผลตอบแทนเกินกว่ากฎหมายกำหนดในลักษณะแชร์ลูกโซ่ การ จ่ายผลตอบแทน ของปูแดง อยู่ที่ 10-100 เปอร์เซ็นต์ เกินที่กฏหมายกำหนด ซึ่งกำหนดไว้ที่ 4-6 เปอร์เซ็นต์ พี่น้องที่ทำขายตรงก็ คงมีคำถามว่า อ้าว แล้วแบบนี้มันไม่ผิดหมดเหรอ


มาดูแผนการจ่ายของปูแดงครับ ปูแดงจะจ่ายเป็นคู่ครับ



จะเห็นได้ว่า สมาชิกปูแดงต้องซื้อสินค้าคู่ละ 7,000 บาท คิดจากข้างละ 3,500 (1,000 PV) ซึ่งปูแดงจะจ่ายรายได้ให้สมาชิกอยู่ที่ คู่ละ 500 บาทขึ้นไป จำนวนคู่มากก็จ่ายมาก ถ้า DSI ยึดตรงนี้ จ่ายมากสุด 4-6 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่า ปูแดงต้องจ่าย คู่ละ 280-460 บาท เท่านั้น แต่ปูแดง จ่ายสูงสุดถึง 1,000 บาท ตรงนี้ หรือเปล่าครับ ที่เขาบอกว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ เพื่อนลองช่วยกันวิเคราะห์ดูครับ เอาตัวเลขจากเงินที่สมาชิกซื้อนะครับ ไม่ใช่คิดที่ PV

คราวนี้คงมีคำถาม มาถึง เอมสตาร์ กับเอเจล ใช่ไหม ว่า แผนคล้ายๆ ปูแดง มีโอกาสโดนเหมือนกันไหม แต่เท่าที่ผมลองเทียบ ตัวเลขดู เอเจล กับเอมสตาร์ เขาจะคิดแบบยอดบาลานซ์ ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าเป็นความฉลาดของแผน ที่สามารถเลี่ยงจุดตรงนี้ไปได้ แต่ไม่รู้ว่า สคบ. เขามีวิธี คำนวณ ว่าจ่ายผลตอบแทนเกินได้อย่างไร ระหว่าง ไบนารี่ กับจ่ายเป็นคู่ ของปูแดง ก็คล้ายๆกัน ยังไงเรื่องตัวเลข อยากให้ ท่านผู้นำวิเคราะห์ช่วยแอดมินด้วยนะครับ จะได้เป็นประโยชน์สำหรับ สมาชิกท่านอื่นๆ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องสุดท้าย ถือว่างานเข้า บริษัทที่มีปุ๋ยขายครับ วันนี้ อ่านข่าวมีบอกว่า ห้ามขายตรงขายปุ๋ย และตอนนี้ขายตรงไหน มี ปุ๋ยอยู่ในระบบ สคบ.เขาอาจจะไปเยี่ยมเยียนครับ เพราะเขาบอกจะไปเยี่ยมอีก 10 แห่ง รอผู้นำ ที่มีปุ๋ยขายมาอธิบายดีกว่า ... Grin Grin ตรงนี้ผมจะตรวจสอบให้อีกครั้งครับ
---
http://thaimlm.info/hotnews/10-145/