วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ติดเทอร์โบให้ชีวิต เร่งสปีดความสำเร็จ

ติดเทอร์โบให้ชีวิต เร่งสปีดความสำเร็จ
โค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ
๐รู้เท่าทัน "กับดักทางความคิด" หลุมพรางอันยิ่งใหญ่สกัดกั้นความสำเร็จในชีวิตคนทำงาน
๐ไขความลับ "กฎของการดึงดูด" ทำไมบางคนสุดเฮง ขณะที่อีกคนซวยซ้ำซวยซ้อน
๐สู่เป้าหมายชิวๆด้วยไฟของ "ความปรารถนาที่แรงกล้า" และการลงมือทำอย่างจริงจัง
๐ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ อิทธิพลของ "ความคิด" และ "คำพูด" คิดอย่างไรก็ได้อย่างนั้น

เผลอแป๊บเดียวหนึ่งปีของการทำงานก็กำลังจะผ่านไปแล้ว ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าสำหรับคนที่ได้เลื่อนตำแหน่ง พร้อมกับโบนัสก้อนโต บางคนอาจจะรู้สึกอิจฉาเล็กๆเพื่อนร่วมงานที่ก้าวหน้ากว่าเราเมื่อย้อนกลับมามองตัวเองจึงมักมีคำถามว่าทำไมเราไม่เป็นอย่างนั้นบ้าง อะไรคือสิ่งที่เป็นอุปสรรค ทำให้เราห่างไกลจุดหมายทุกที ศักยภาพที่แท้จริงเราอยู่ตรงไหน

โค้ช "สิริลักษณ์ ตันศิริ" นักพูดสร้างแรงบันดาลใจหญิงคนแรกของประเทศไทย กล่าวว่า จริงๆ คนส่วนใหญ่ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน เพราะใช้ศักยภาพของตัวเองในการทำงานเพียงแค่ 7% เท่านั้น"ไม่ว่าในวันนี้คุณจะเป็นพนักงานหรือผู้บริหารระดับไหน ประสบความสำเร็จแค่ไหน เงินเดือนสูงแค่ไหนแต่ให้รู้ไว้ว่าคุณไปได้ไกลกว่านั้นอีกเยอะมาก เพียงแต่เราต้องตั้งเป้าว่าเราอยากไปจริงๆ"

โค้ชสิริลักษณ์กล่าวเราคงเคยเห็นกล้ามใหญ่ๆของแรมโบ้ เห็นแล้วก็ทึ่ง แต่ถ้าตัวเองให้เวลาสัก 6 เดือน เข้าโรงยิมเพาะกายทุกวัน ทุกคนก็สามารถมีกล้ามใหญ่เหมือนแรมโบ้ได้ ศักยภาพในตัวเราก็เช่นกัน หากให้เวลากับตัวเองเพื่อฝึกและพัฒนาตัวเองอย่างจริงจังก็สามารถเก่งเหมือนกับคนอื่นได้เช่นกัน แต่คนส่วนใหญ่กลับมัวแต่นั่งอิจฉาคนอื่น น้อยใจในโชตชะตาตัวเอง ความคิดผิดๆ ฉุดรั้งชีวิตอยู่กับที่ โค้ชสิริลักษณ์ เล่าว่า คนส่วนใหญ่ที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตล้วนมีสาเหตุมาจาก “ความคิด”ภายใต้จิตสำนึกของตัวเองทั้งสิ้น

โดยเธอสรุปว่า สิ่งที่ฉุดรั้งชีวิตให้ห่างไกลจากความสำเร็จจากชีวิตของเรา มีอยู่ 3 อย่างด้วยกันคือ
1.ความกลัว
ซึ่งความกลัวอันดับต้นๆของคน คือ กลัวการเปลี่ยนแปลง คนส่วนใหญ่มักจะติดอยู่กับ Comfort Zone โซนที่สบายๆ งานเดิมๆ คนเดิมๆ ลูกค้าเดิมๆ ถามว่าอยากได้เงินเพิ่มไหม คำตอบคือ "อยากได้" แต่ "ไม่อยากทำ"
ลองฝึกที่จะรักและเรียนรู้งานใหม่ๆ ที่เจ้านายมอบให้ วางแผนทางการตลาดแบบใหม่ เปิดตลาดใหม่ หาลูกค้ากลุ่มใหม่ มีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆบ้าง ฝึกเอาชนะความกลัวของตัวเอง นักขายบางคนอาจกลัวที่จะต้องเสนอขายให้กับลูกค้ารายใหญ่ หรือลูกน้องมีไอเดียเด็ดๆแต่ก็ไม่กล้านำเสนอเจ้านาย ในความเป็นจริงแล้วเราจะต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เสมอ และเตรียมใจให้พร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น หนทางแก้ไขเมื่อความกลัวเกิดขึ้น คือ ให้ท่องคาถา "123 ลุย!" ในใจ แล้วลงมือทำทันที และในขณะที่ทำหรือพูดอย่าพึ่งสนใจผลลัพธ์ว่าเขาจะ Say yes หรือ No
2.ความอาย
หลายคนมีความเก่งแต่ไม่กล้าพูด เราคิดเสมอว่า ถ้าเราไม่ได้ทำผิดเราก็ไม่ต้องอาย ปัญหาของคนส่วนใหญ่คือการไม่เรียนรู้ที่จะทำ Marketing ให้กับตัวเอง ถ้าคุณเป็นคนเก่ง เป็นคนมีความสามารถแต่ไม่เคยเปิดเผยตัวให้คนอื่นได้รับรู้ อายที่จะแสดงความสามารถ ก็ไม่มีใครรู้ว่าเราเก่ง ถ้าไม่กล้าใช้ความสามารถให้เต็มที่ ก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าเราเก่งหรือมีความสามารถอะไร ดังนั้น เราอยากแสดงออกอะไรก็ทำให้เต็มที่ สนุกกับชีวิต ไม่อายที่จะแสดงความสามารถของตนเอง
3.ความคิดหรือความเชื่อที่ปิดกั้นตัวเอง

เช่น ฉันทำไม่ได้ ฉันไม่เก่ง สู้คนนั้นไม่ได้ ฉันไม่มีทางประสบความสำเร็จ ประโยคเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่สกัดกั้นให้พนักงานหลายคนอยู่ห่างไกลจากเป้าหมายทุกที หลายคนอาจไม่รู้ว่าขั้นตอนในการสร้างผลลัพธ์ของชีวิตเราจะมีอยู่ด้วยกัน 4 ขั้นตอนคือ

1.ความคิด 2.อารมณ์ความรู้สึก 3.การกระทำ 4. ผลลัพธ์

ระบบความคิดจะส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์ความรู้สึก ความรู้สึกนำไปสู่การกระทำ ซึ่งการกระทำก็จะเป็นสะพานเชื่อมต่อนำสิ่งดีๆที่อยู่ในตัวออกไปสู่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ฉะนั้นหากความสำเร็จ คือผลลัพธ์ที่ทุกคนต้องการ เราต้องคิดเสมอว่าตัวเองทำได้ ความคิดจึงเหมือนกับรากของต้นไม้ ถ้ารากแข็งแรงดี ต้นไม้ก็ผลิดอกออกผลอย่างสวยงามสิ่งที่เหมือนกัน ดึงดูดกันและกัน

โค้ชสิริลักษณ์ ยังได้กล่าวถึงทฤษฎีที่หลายคนคิดไม่ถึงนั่นคือ กฎของการดึงดูด (The law of attraction) ที่ว่า like attract like สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดสิ่งที่เหมือนกัน กล่าวคือ คนเราแต่ละคนก็เป็นเหมือนกับเครื่องส่งกระแสคลื่นพลังงาน ถ้าเราส่งกระแสคลื่นไปยังไง มันก็จะดึงดูดสิ่งนั้นกลับคืนมา ซึ่งวิธีการส่งกระแสคลื่นก็คือ สิ่งที่เราคิดและจินตนาการนั่นเองเรื่องนี้เป็น

วิทยาศาสตร์เคยมีการทดลองมาแล้ว ด้วยการนำคน 2 ลักษณะมาวัดคลื่นความถี่ของสมองคนหนึ่งเป็นคนที่มีทัศนคติบวก คิดดีพูดดีมีความเปิกบานใจอยู่ตลอดเวลา พบว่าคลื่นสมองมีความถี่สูง ซึ่งคลื่นแบบนี้จะไปดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต คนนั้นมักจะเจอกับสิ่งที่เขาปรารถนา ความสุข ความราบรื่นส่วนคนอีกแบบหนึ่งคือคนที่ชอบทำตัวเศร้า คิดแต่ด้านลบ ท้อแท้ ทำตัวห่อเหี่ยว กลับพบว่ามีคลื่นสมองความถี่ต่ำ

ซึ่งมักจะดึงดูดสิ่งไม่ดีเข้ามาในชีวิต หลายคนคงรู้จักคำว่า "ซวยซ้ำซวยซ้อน" ยิ่งเราใส่สภาวะอารมณ์เข้าไปมากเท่าไร คลื่นนี้ยิ่งมีแรงดึงดูดแรงมากเท่านั้นหลายคนอาจไม่เคยสังเกตว่าสิ่งที่เรา เห็น คิด พูดและทำ บ่อยๆ มันจะกลายเป็นการตั้งโปรแกรมสมองและจิตใต้สำนึกโดยอัตโนมัติ กลายเป็นอีกคนหนึ่งเรียกว่า "ตัวอัตโนมัติ"

เราที่เป็น "ตัวตนที่แท้จริง" ที่เต็มไปด้วย สติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ จิตใจที่งดงามก็เป็นอีกตัวหนึ่ง อีกด้านหนึ่งคือ "ตัวอัตโนมัติ" ที่เต็มไปด้วย ความขี้เกียจ ห่อเหี่ยว ชอบคิดลบก็เป็นอีกตัวหนึ่ง

สังเกตว่าบางครั้งเราหยุดความคิดตัวเองไม่ได้ หรือในเวลาที่มีคนขับรถปาดหน้า เราก็จะด่าออกไปโดยอัตโนมัติ นั่นแหละคือ "ตัวอัตโนมัติ"ดังนั้นทุกคนจึงต้องทำงานกับตัวเองมากๆ ต้องใช้ "สติ" ตรวจสอบ "ตัวอัตโนมัติ" ว่าทำงานอย่างไร

มีอารมณ์ ความคิดอยู่ในรูปแบบไหน ถ้าไม่แยกแยะตัวตนออกจากกันให้ชัดเจน “ตัวปัญญา” ก็ไม่เกิด ชีวิตการทำงานก็จะเดินไปอย่างไม่มีจุดหมาย นั่นอาจหมายถึงความล้มเหลวที่จะเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องฝึกสังเกตตัวเองอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้สมองตั้งโปรแกรมแบบผิดๆ เช่น หากเราพูดเสมอว่าเราเป็นคนขี้อาย เราก็จะกลายเป็นคนแบบนั้นตลอดเพราะเราตั้งโปรแกรมเอาไว้แบบนั้น

ถ้าเราใส่ข้อมูลอะไรเข้าสมอง เราก็จะกลายเป็นแบบนั้น (INPUT = OUTPUT) ดังนั้น
หากเราตั้งโปรแกรมไว้ว่าเราเป็นคนเก่ง มีความสามารถ ต้องประสบความสำเร็จ เราก็จะเป็นเช่นนั้น ท่องคาถา YES! เติมไฟให้ตัวเอง

อาจกล่าวได้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือชีวิตส่วนตัว ล้วนแล้วแต่มีระบบความคิดที่สวนทางกับคนส่วนใหญ่ทั้งสิ้น และคนเหล่านั้นมักจะมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
1.เป็นผู้ที่มีแรงปรารถนาแรงกล้า ซึ่งเป็นพลังที่ขับเคลื่อนให้คนเราทำในสิ่งต่างๆ โดยไม่มีการผัดวันประกันพรุ่ง คนลักษณะนี้มักจะสามารถในด้านการ สร้างแรงจูงใจด้วยตนเอง(self motivation) สร้างความกระตือรือร้นได้ด้วยตนเอง คนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็ทำ เหนื่อยก็ต้องทำ ท้อแท้ก็ยังต้องทำ ยึดหลัก 3 ท. ทำทันที ทำทุกที่ ทำทั่วไทย
2.รักในงานที่ทำ คนเรามักจะคิดเสมอว่าความสุขอยู่ที่หนังสือ อยู่ที่เพลง หรือละคร แต่หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว ตัวเราต่างหากที่เป็นคนเอาความสุข ความสนุกไปใส่ในสิ่งที่เราทำเองทั้งสิ้น แต่เรื่องงานเรากลับไม่เอาความสุขเข้าไปใส่ หลุมพรางทางความคิดที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของมนุษย์เงินเดือน คือ การคิดว่า "เงินเดือนแค่นี้ ก็ทำแค่นี้" นี่คือความคิดที่ทำให้ชีวิตการทำงานก้าวหน้าช้า บางคนถูกส่งไปอบรมก็ยังไม่อยากไปเพราะกลัวกลับมาแล้วถูกใช้งานเพิ่มทั้งที่ในความเป็นจริงเมื่อเราทำงานมากขึ้น ประสบการณ์ คอนเนกชั่นหรือความเก่งก็จะเพิ่มสูงขึ้นเกิดเป็นคุณค่าที่อยู่ในตัวเรา ไม่ใช่อยู่กับบริษัท ฉะนั้นในแต่ละวันของการทำงานจะต้องเก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านี้ให้มากที่สุด
3.ทัศนคติด้านบวก หากเจอปัญหาอะไรในการทำงาน ขอให้พูดว่า "ดีจริง" แล้วลองหาแง่มุมดีๆของปัญหาที่เกิดขึ้นบ้างเป็นการสกัดระบบความคิด "ตัวอัตโนมัติ" ที่อยู่ในสมองที่ชอบคิดอะไรในแง่ลบตลอด เพราะการคิดอะไรในแง่ลบตลอดเวลาย่อมทำให้เรามองไม่เห็นถึงอนาคตที่ดีเลยได้เลย

โค้ชสิริลักษณ์ ยังกล่าวว่า คนส่วนใหญ่มักจะชื่นชมและฉลองกับตัวเอง ก็ต่อเมื่อประสบความสำเร็จกับผลงานที่ใหญ่ๆ แต่คราวนี้ให้เปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ด้วยการสร้าง "โมเมนตัมของความสำเร็จ" เป็นการสร้างสภาวะอารมณ์แบบใหม่ที่จะให้ “พลัง” กับตัวเอง ด้วยการสัมผัสกับความสุข ความสำเร็จจากชัยชนะบ่อยๆ"ให้บันไดความสำเร็จของเราเป็นขั้นเล็กๆ ทีละขั้นๆ ให้เรารู้สึกว่าเราเก่งขึ้นเรื่อยๆ เดินเข้าหาเป้าหมายขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ

สัมผัสกับชัยชนะบ่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย" และที่สำคัญคือ ทุกครั้งที่ทำอะไรสำเร็จไม่ว่าจะเป็นผลงานเล็กหรือใหญ่ เราต้องเติมไฟให้กับตัวเองได้ด้วยการ ฉลอง YES จะพูด "เยสส์ๆ" ในใจหรือออกเสียงก็ได้ ให้พูดกับตัวเองบ่อยๆ

หากเราต้องการที่จะประสบความสำเร็จเราต้องเอาใจไปติดไว้ที่เป้าหมาย แล้วลงมือทำอย่างจริงจัง
เปลี่ยนความเชื่อตัวเองใหม่ว่า "เราทำได้" ตั้งโปรแกรมสมองแบบนี้ตลอดเวลา เท่านั้นเองสิ่งที่ต้องการย่อมไม่ไกลเกินความฝัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น