วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การสร้างเครื่อข่ายผู้บริโภค ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าคุณเข้าใจ ตอนที่1

Marketing Tip

ตอนที่ 1

ก่อนอื่นผมต้องขออธิบายเกี่ยวกับระบบเครือข่าย MLM (Multi Level Marketing) ก่อน แน่นอนครับสมาชิกหลาย ๆ ท่านก็รู้จัก MLM กันอยู่แล้ว ไม่ว่ากันนะครับ เป็นการแชร์ประสบการณ์สำหรับสมาชิกที่ไม่คุ้นกับ MLM ผมขออธิบายพื้นฐานแบบง่าย ๆ นะครับ MLM ก็คือ การขายตรงแบบหลายชั้น หรือเครือข่ายผู้บริโภคนั่นเอง เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับการกระจายสินค้า ในปัจจุบันการกระจายสินค้าที่แพร่หลายมากที่สุดที่ทุกท่านคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เราเรียกว่า ธุรกิจค้าปลีก (Modern Trade)



จากภาพด้านบนจะสังเกตุได้ว่าในธุรกิจค้าปลีกนั้น พวกเราเป็นได้เพียงผู้บริโภคเท่านั้น นั่นหมายถึง เรามีหน้าที่จ่ายเงินซื้อสินค้าอย่างเดียวไม่มีส่วนได้รับผลตอบแทนจากธุรกิจเลย แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้วอิทธิพลที่เป็นตัวแปรที่สำคัญให้เราเลือกซื้อสินค้าในสมัยนี้ (ยุคที่ทุกอย่างแพงหมด) ก็คือเพื่อนหรือคนที่เรารู้จักที่มีประสบการณ์ในการใช้สินค้านั้นๆมาแนะนำให้เราใช้นั่นเอง เช่น ถ้าคุณกำลังจะเปลี่ยนยี่ห้อแชมพู คุณคิดว่าสามารถเลือกซื้อแชมพูจากการดูโฆษณาได้จริงหรือ ในขณะที่ในโฆษณามีแชมพูหลากหลายยี่ห้อมากๆ ผมของนางแบบก็สวยเหมือนๆกันหมดและอีกทั้งเราไม่สามารถดมกลิ่น และสัมผัสผมของนางแบบจากโฆษณาได้ คุณจะทราบได้อย่างไรว่าแชมพูที่โฆษณาแตกต่างกันอย่างไร แต่ในทางตรงข้าม ถ้าเพื่อนหรือคนที่เรารู้จักเคยใช้แชมพูยี่ห้อหนึ่งอยู่แล้วซึ่งมีคุณภาพดีมาก ผมก็นุ่มสลวย เงางามและหอมมาแนะนำสินค้าให้เราใช้ ซึ่งเราก็เห็นผลจากการใช้ของเพื่อนหรือคนที่เรารู้จักจริงๆ ถามว่า ตกลงเพื่อนคุณนั้นแหละเป็นผู้มีอิทธิพลในการเลือกซื้อแชมพูของคุณมากที่สุดใช่หรือไม่ แต่ในธุรกิจค้าปลีก เพื่อนคุณไม่มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจเลย

ในทางกลับกันในธุรกิจ MLM ซึ่งเห็นความสำคัญของเพื่อนคุณมากกว่าบริษัทโฆษณา ดังนั้นบริษัทจึงได้สลับค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและค่าเช่าชั้นวางสินค้าตามห้างร้าน มาเป็นรายได้ผลตอบแทนในการกระจายสินค้าให้แก่เพื่อนเราแทนและถ้าเราทำเหมือนเพื่อนเรา เราก็จะได้รับผลตอบแทนแบบเดียวกันกับเพื่อนเรานั่นเอง ดังนั้น ธุรกิจ MLM จึงเป็นธุรกิจที่ให้โอกาสเราสร้างรายได้จากการใช้สินค้าและบอกต่อ จึงเรียกว่า เครือข่ายผู้บริโภคนั่นเอง


หลายๆ ท่านคงเคยสงสัยว่า ในธุรกิจ MLM ทำไมไม่มีการโฆษณา ... นอกเหนือจากคำอธิบายที่ว่า เป็นเพราะบริษัทนำเอาค่าโฆษณามาเป็นผลตอบแทนให้แก่นักธุรกิจอิสระแล้ว ยังมีเหตุผลที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ในการที่จะสร้างเครือข่ายผู้บริโภคให้สำเร็จได้นั้น เราจำเป็นจะต้องทำให้ผู้บริโภคด้วยกันเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในการกระจายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคด้วยกันเองอย่างแท้จริง จากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าคุณจะสามารถรับทราบข้อมูลของสินค้า และธุรกิจจากเพื่อนคุณคนที่มีประสบการณ์เท่านั้น ดังนั้นถ้าคุณสนใจอยากทำแบบเพื่อนคุณบ้าง ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเพื่อนคุณเท่านั้น ดังนั้นเพื่อนคุณจึงสามารถสร้างเครือข่ายผู้บริโภคของเขาได้ ถ้าเขาพูดแนะนำสินค้าและธุรกิจเป็นนั่นเอง แต่ในทางตรงข้าม ถ้าบริษัทดำเนินการโฆษณาควบคู่ไปด้วยหมายความว่า คุณก็จะได้รับข้อมูลสินค้าและธุรกิจจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้นอกเหนือจากรับรู้จากเพื่อนของคุณ คุณก็จะมีทางเลือกว่าจะสมัครติดเพื่อนหรือบริษัท ถ้าเป็นดังนี้แล้วระบบเครือข่ายผู้บริโภคก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้นั่นเอง แต่ทั้งนี้การโฆษณาจะเข้ามาเกี่ยวข้องตอนที่ระบบเครือข่ายผู้บริโภคเกิดขึ้นแล้วกระจายเต็มพื้นที่แล้ว โดยจะมีการโฆษณาให้สมาชิกและนักธุรกิจอิสระรู้จักสินค้ามากขึ้น เป็นการกระตุ้นการใช้สินค้าทั้งระบบนั่นเอง


เป็นอย่างไรบ้างครับตอนนี้ผมเชื่อมั่นว่าสมาชิกที่เพิ่งเคยได้ยิน MLM ก็คงจะเข้าใจมากขึ้นนะครับ ทีนี้เราเห็นแล้วว่า หัวใจของระบบเครือข่ายผู้บริโภค ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเกี่ยวข้องกับการบริโภค ดังนั้น ถ้าเราจะตั้งใจสร้างเครือข่ายของเราให้ยั่งยืนในระบบ MLM ก็ต้องเน้นการสร้างผู้บริโภคให้เกิดในเครือข่ายเราเยอะนั่นเอง คำว่าผู้บริโภค ก็หมายความว่า การซื้อสินค้าเพื่อใช้บริโภค พอหมดและซื้อใหม่นั่นเอง ดังนั้นถ้าคนในเครือข่ายเราซื้อสินค้ามากกว่าการบริโภคเราก็ต้องดูดี ๆ ว่าเจตนาเขาคืออะไรกันแน่ ถ้าเขาซื้อเพื่อสร้างยอดขึ้นชั้นตำแหน่ง เราอย่าดีใจแสดงว่าเดือนต่อ ๆ ไปเค้าจะไม่ซื้อเท่าเดิมแล้ว และของที่เขาซื้อตุนไว้จะระบายอย่างไร ถ้าดูแลไม่ดีอาจจะทำให้เครือข่ายของเราล่มได้ง่าย ๆ นะครับ จะเห็นได้ว่าจริง ๆ แล้ว ถ้าเราสามารถสร้างยอดขายจากการใช้สินค้าจริงของผู้บริโภคได้ ยอดขายต่อคนจะน้อย แต่จะใช้จำนวนของผู้บริโภคมาก ๆ นั่นเอง อย่าลืมนะครับว่าประชากรไทยมีตั้งเกือบ 70 ล้านคน ขอให้มีแค่ 1,000 คนมาเป็นผู้บริโภคในเครือข่ายเราใช้คนละเพียง 2,000 บาทต่อคนต่อเดือน เท่านี้เราก็มียอดขายของกลุ่มเราถึง 2,000,000 บาทต่อเดือนแล้วนะครับ และถ้าเรามีผลตอบแทน (ส่วนต่างชั้นตำแหน่ง) 5% เท่านี้เราก็สามารถมีรายได้ประมาณ 100,000 บาทแล้วนะครับ แต่อย่าลืมละครับเราก็ซื้อสินค้าใช้แค่ 2,000 บาทต่อเดือนเหมือนกัน นี้แหละครับถึงเรียกว่า"ธุรกิจของคุณอย่างแท้จริง"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น