วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อะไรคืองานสำคัญที่เราต้องทำ?

อะไรคืองานสำคัญที่เราต้องทำ?

“Work Harder on Yourself than You Do on Your Job!!!”

“ทำงานกับตัวคุณเองให้มากกว่าการทำงานทั่วไป!!!”


ประโยคนี้ได้เปลี่ยนชีวิตของ จิม โรห์น กูรูระดับโลกมาแล้ว!!! เมื่อพิจารณาดูก็เห็นจริงตามนั้น คนส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ช้า หรือ ไม่ค่อยมีความสุขเท่าที่ควร เพราะเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเนื่องภายนอกตัว ซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ

คนที่เป็นวิศวกร ก็พยายามศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ คนทำบัญชี ก็พยายามเรียนรู้เรื่องภาษีให้มากที่สุด นักขาย ก็พยายามศึกษาสินค้าหรือบริการที่ตัวเองต้องนำเสนอ พวกเขาหารู้ไม่ว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสำเร็จเท่านั้น สิ่งสำคัญมากกว่านั้นก็คือ เรื่องที่อยู่ภายในตัวของเขาเองต่างหากที่ทำให้ชีวิตของเขาก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น ประสบความสำเร็จได้มากขึ้น มีความสุขเพิ่มขึ้น

อะไรคืองานสำคัญที่ต้องทำกับตัวเราเอง? .. สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ พัฒนาความคิดของตัวคุณเอง ทัศนคติในการใช้ชีวิต ความเชื่อของคุณ อารมณ์ที่คุณมีในแต่ละวัน การกระทำของคุณ การสร้างสายสัมพันธ์ของคุณ การใช้เวลาในชีวิตของคุณ การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม บุคลิกภาพของคุณ การดูแลสุขภาพของคุณ ฯลฯ สรุปรวมแล้วก็คือ การพัฒนาตัวของคุณเองในทุกๆด้าน

เราจะเห็นหลักสูตรการบริหารหลากหลายอย่าง เช่น การบริหารการเปลี่ยนแปลง การบริหารความขัดแย้ง การบริหารความเสี่ยง การบริหารการเงิน ฯลฯ แต่เรากลับไม่ค่อยเห็นหลักสูตรการบริหารตัวเอง หรือ การบริหารชีวิต ใช่ไหมคะ?

นักขายหลายคนมีความรู้เรื่องสินค้าและบริการของเขามาก อธิบายได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ปัญหามันกลับไปอยู่ที่เขาไม่ออกตลาดไปขาย ซึ่งสาเหตุอาจจะมีหลากหลายอย่างเช่น เขาอาจจะกลัวคนปฏิเสธ หรือเขาอาจจะขี้เกียจ หรือเป็นโรคชอบผัดวันประกันพรุ่ง หรือเจอปัญหาอุปสรรคมาเยอะทำให้หมดกำลังใจฯ สารพัดสารพันเหตุผล ซึ่งมันเป็นการติดขัดที่ตัวของเขาเอง จริงไหมคะ?

ดิฉันเคยไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ดิฉันต้องการซื้อแท่นชาร์ตถ่านแบตเตอรี่แบบที่สามารถชาร์ตไฟกลับมาใช่ใหม่ได้ ซึ่งที่ร้านนั้นก็มีหลากหลายแบบมาก มีทั้งรุ่นชาร์ตแบบ 2 ชม. 5 ชม. และ10 ชม. ดิฉันก็ถามพนักงานขายซึ่งเป็นผู้ชายวัยรุ่นอายุประมาณ 20 ปีเศษว่าแต่ละแบบมันใช้งานแตกต่างกันอย่างไร? เขาก็อธิบายแบบรำคาญนิดๆ ดิฉันเหลือบไปเห็นถ่านสี่เหลี่ยมที่ใช้กับไมโครโฟน ดิฉันก็หยิบมาดูราคา พบว่าราคาที่ร้านนี้สูงกว่าที่ขายในร้าน 7-11อีก ทำให้ดิฉันพาลไปคิดว่าของทุกอย่างในร้านนี้อาจจะขายแพงกว่าที่อื่นก็ได้ ดิฉันจึงพูดกับคนขายว่า ทำไมถ่านที่นี่ถึงแพงกว่าที่ 7-11ล่ะ! ชายหนุ่มคนนั้น ไม่ตอบอะไร เขามองหน้าดิฉัน แล้วเมินหน้ามองไปนอกร้าน โดยไม่สนใจดิฉันเลย!! ดิฉันรู้สึกหน้าแตกมากที่โดนปฏิบัติแบบนี้กลับมา ดิฉันจึงวางของ แล้วเดินออกจากร้านนั้นไป แล้วไปซื้อที่ร้านอื่นแทน ซึ่งดิฉันซื้อไปเป็นพันบาท เพราะดิฉันมีถ่านรีชาร์ตหลายขนาด

ดิฉันโมโหมากและคิดในใจว่า น้องเอ๋ย เธอก็คงจะต้องยืนขายของอยู่อย่างนี้ไปอีกนาน ชีวิตจะก้าวหน้าได้อย่างไรถ้าทำงานแบบนี้ ปฏิบัติกับลูกค้าแบบนี้ คิดว่าตัวเองเป็นพนักงานขายของ ก็มีหน้าที่มายืนขายหน้าร้าน ตอบคำถามลูกค้าเท่านั้นหรือ? ไม่ได้รักงานที่ตัวเองทำเลยหรือไร? ไม่เคยสนใจอยากจะบริการให้ลูกค้าประทับใจเพื่อจะได้กลับมาซื้อใหม่ใช่ไหม? หรือว่าอารมณ์ไม่ดีในวันนั้น จึงไม่มีอารมณ์จะขายไปด้วย?

พอความโกรธในใจของดิฉันลดลงแล้ว ดิฉันก็มีสติกลับมาใหม่ แล้วพิจารณาตัวเองทันทีเลยว่า ฉันพูดอะไร ฉันทำอะไรไป ทำให้เขาปฏิบัติกับฉันแบบนี้? ดิฉันก็เห็นว่า อ๋อ เราคงใช้เวลาในการเลือกนานเกินไป และเราคงถามในสิ่งที่เขาคิดว่าเราน่าจะรู้ แต่เราดันไม่รู้ เขาจึงรำคาญ อีกอย่างหนึ่งคือ เราดันไปพูดทำนองต่อว่าว่าของเขาแพงกว่าที่อื่น เขาก็คงไม่พอใจเหมือนกัน .. เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว ก็บอกตัวเองว่า วันหลังถ้าจะซื้อของก็ให้พูดกับคนขายดีๆ อย่าไปพูดทำนองต่อว่าเขา เพราะไม่มีใครอยากโดนตำหนิหรอก และเขาก็คงไม่ได้เป็นคนตั้งราคาขายเองด้วย .. คิดได้แบบนี้ เราก็สบายใจขึ้น และรู้สึกว่าตัวเองจะได้พัฒนาทักษะที่ใช้สื่อสารไปอีกขั้น

สิ่งสำคัญที่ดิฉันอยากจะบอกก็คือ เราแต่ละคนต้องพิจารณาที่ตัวของเราเอง ถ้าเรามัวแต่ไปพัฒนาคนอื่น ตัวเราเองก็อาจจะถูกละเลยในการพัฒนาไป ทำให้ชีวิตของเราประสบความสำเร็จได้ช้า หรือไม่มีความสุขเท่าที่ควร

พิจารณาเลย เวลาที่โกรธ ทำไมถึงโกรธ? เวลาเครียด ทำไมถึงเครียด? เวลากลัว ทำไมถึงกลัว? เราคิดไม่ถูกเองหรือเปล่า? เราคาดหวังอะไรมากไปหรือเปล่า? เราฟุ้งซ่านหรือตีความอะไรไปเองหรือเปล่า? เรายึดติดกับอดีตมากไปหรือเปล่า? หรือเรากังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น