วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

MLM มืออาชีพ

แต่ละคนที่เข้ามาสู่อาชีพนักธุรกิจเครือข่าย มีเป้าหมายที่ต่างกัน บางคนชอบเป็นนิสัย รักเป็นอาชีพ บางคนทำเป็นอาชีพเสริม หารายได้พิเศษ บางคน ไม่ชอบ แต่จำเป็นต้องหารายได้ บางคนทำแบบถูกต้อง และบางคนก็โกหกเพื่อให้ได้มาซึ่ง ผลตอบแทน หลายๆคนมองว่า อาชีพหลอกลวง มันไม่ได้เป็นที่อาชีพหรอกครับ ที่หลอกลวง ตัว คนที่เข้ามาทำ แล้ว ไม่เข้าใจในอาชีพมากกว่า ที่ หลอกลวง วันนี้ ผมจะเล่าให้ฟังแบบที่ไม่มีที่ไหนบอกให้ท่านๆรู้มาก่อน ว่า คนทำเป็นอาชีพ กับคนที่ทำให้อาชีพนี้ ส่วนหนึ่งเสียหายเป็นยังไง

จากโครงสร้างที่แสดงด้านบน จะเห็นว่าไม่ว่าธุรกิจกิจ จะมีรูปแบบการนำสินค้าไปยังผู้บรืโภค แบบใดก็ตาม ก็จะต้องมีส่วนที่เรียกว่า ค่าการตลาด หรือส่วนต่าง ของราคา จากต้นทุนผู้ผลิต ถึงราคาจำหน่ายให้ผู้บริโภค ดังนั้น ผลตอบที่จ่ายให้นักธุรกิจเครือข่ายก็หนีไม่พ้นกฏข้อที่ว่า การจ่ายผลตอบแทน ต้องนำมาจากค่าการตลาด ของยอดจำหน่ายสินค้ารวม ซึ่งถ้าบริษัท คำนวณ ออกมาแล้วเกินค่าส่วนต่างนี้ บอกได้เลยว่า เอาเงินของอนาคตมาใช้ ซึ่งผิดหลักของการทำเครือข่ายที่ถูกต้องอย่างแน่นอน ซึ่งในแต่ละบริษัทเครือข่าย ค่าการตลาดนี้ก็จะแตกต่างกันไป โดย ปกติจะอยู่ในช่วง 35-50% เต็มที่ครับ ถ้าบริษัทไหนบอกจ่ายถึง 60 - 70% ก็คิดซะว่าเค้าพูดให้ดูเท่ห์ครับ ถ้าเราเชื่อก็หาหญ้ากินได้แล้วครับ

ถ้ามองในมุมมองของคนภายนอก ที่ไม่ได้สัมผัสธุรกิจนี้ จะเห็นว่า โอ้ว ได้ตั้ง 4-50% ของราคาสินค้า ทำไม่มากมาย ขนาดนี้ จะตอบได้อย่างไม่ต้องคิดเลยว่า ไม่เยอะหรอกครับ เพราะ 4-50% ที่ว่านี้ นักธุรกิจ ก็เป็นเสมือนผู้ค้าปลีกและค้าส่งนั่นเอง นั้นคือ ค่าใช้จ่ายต่างๆในการทำงาน จ่ายเองครับ ค่ารถ ค่าน้ำมันไปพบลูกค้า ค่าโทรศํพท์ ค่าทำงานช่วยเหลือทีมงาน เอาเป็นว่า คุณก็คือผู้ประกอบการคนหนึ่งนั่นเอง ถ้าเข้ามาในอาชีพนี้ ดังนั้น คนที่คิดว่า เข้ามาลองดู ทำเล่นๆ ทำเสริมๆ ก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่ท่านทำงานแบบไหน ผลตอบแทน มันก็ออกมาแบบนั้น ดังนั้นก็มีคำถามว่า แล้วจ่ายเองทุกอย่าง มันน่าทำตรงไหน

คำตอบอยู่ตรงนี้ ท่านไม่ต้องพวงเรื่อง การผลิต ไม่ต้องลงทุนโรงงาน ลงทุนการผลิต การโฆษณาระดับประเทศ การขนส่งสินค้า ไม่ต้องลงทุนคลังสินค้า เอาง่ายๆว่า ท่านมีหน้าที่ทำตลาดอย่างเดียว แต่การตลาดแบบนี้ ท่านไม่ต้องเป็นลูกจ้างบริษัท เวลา รายได้แล้วแต่ตัวท่าน เพราะ บริษัท จ่ายให้ท่านตามค่าการตลาด ซึ่งท่านสามารถทำทีม ขาย ขยายตลาด ที่ดีคือขยายได้ไม่จำกัด ถ้าทีมงานท่านมาก ยอดขายรวมมาก ผลตอบแทนก็เป็นเงาตามตัว แปลเป็นภาษาบ้านๆคือรวยได้ โดยไม่ต้องลงทุนมากๆ

ดังนั้น คนที่เข้ามาทำอาชีพนี้ แล้วทำเป็นอาชีพ จริงๆ สิ่งที่ต้องทำมีดังนี้

1.เรียน รู้

ถ้าถามว่าเรียนทำไม ผมก็จะถามท่านกลับว่า ที่ท่านเรียนตั้งแต่ อนุบาล ถึงมหาลัย เรียนทำไม เรียนอะไรก็ เพื่อทำงาน ทำงานอะไรก็เพื่อหาเงิน ใช่มั๊ยครับ คนเรา ทำงานใดๆก็ตามมีสิ่งที่ต้องการ 2 สิ่งคือ ได้เงิน และสุขใจ ขนาดหลายๆคนไม่ชอบงาน ยังต้องทนทำเลยครับท่าน เพื่อรายได้ เอามาใช้จ่ายนั่นแหละ เอาละครับ กลับมาที่เรียนรู้ต่อ การเรียนรู้ของระบบเครือข่าย ไม่ต้องไปลงทะเบียนเรียนเป็นปีๆหรอกครับ เราไม่มีเวลาเรียน แน่นอนไม่มีหน่วยกิจ ดังนั้น ใครจะเรียนมากน้อยแค่ไหน ตามสะดวก เรียนมากน้อย เร็วช้าแล้วแต่ตัวบุคคล สรุปคือเรียนรู้ด้วยตัวเองครับ เข้าประชุม อ่านหนังสือ ศึกษาจากแผ่นพับ วารสารบริษัท CD อะไรก็ได้ที่เป็นความรู้ ถ้าว่าต้องรู้ไรมั่งล่ะครับ สิ่งที่ท่านต้องรู้ก่อนไปทำงานคือ เรื่องของ บริษัท , ผู้บริหาร, สินค้า , แผน และ วิธีการทำงาน

ผมพูดได้เลยครับ จากการที่อยู่อาชีพนี้มาหลายปี เฝ้ามองเฝ้าสังเกต ทั้งทีมงานตัวเอง และคนอื่นๆที่รู้จัก ท่านรู้มั๊ย คนเราล้มเหลว ในเครือข่ายมากทีสุด ตอนไหน ....... ตอบได้เลยครับ ตอนแรก บางคน 1 วัน บางคน 2-3 วัน บางคน 1 อาทิตย์ หรือเอาง่ายๆครับ เมื่อใดที่เขาเริ่มไปคุยลูกค้า เริ่มชวนคนอื่น แล้วโดนลูกค้าน็อค (ศัพท์ของผมเอง แบบว่า ลูกค้าตอกกลับมา ถามแล้วตอบไม่ได้) ตัวแทนคนนั้นก็จะท้อใจในทันที และบอกกับตัวเองว่า ฉันทำไม่ได้ อาชีพนี้โกหก

เหตุและผลมันอยู่ในตัวเองครับ คุณยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย คุณจะชวนให้เขาเชื่อในสินค้า มั่นใจในธุรกิจ ผลตอบแทน เป็นหมื่น เป็นแสนหรือเป็นล้าน เขาจะเชื่อคุณได้ไงถ้าถามอะไรคุณก็ตอบไม่ได้ ชีวิตการทำเครือข่ายของผม บอกได้เลยครับ ว่าไม่เคยโดนลูกค้าน็อค เพราะเราต้องแน่พอที่จะเข้าไปเสนองานนี้ให้เขาเชื่อมั่น

แต่ก็มีแค่บางคนนะครับ ที่เข้าใจงานแต่แรก ไปแบบมั่วๆ เนียนๆ เริ่มไปศึกษาไป แล้วก็สำเร็จ แต่คนพวกนี้ จะไม่สนใจคำโต้แย้งลูกค้าครับ เขารู้อยู่แล้วว่าต้องเจออะไร

หลังจากเรียนรู้แล้วก็เริ่มทำงานไง ครับ พูดรวมๆคือทำไงให้ตลาดมันขยายไปได้ แต่ผมจะพูดถึง วิธิปฏิบัติเป็นสเต็ปละกันครับ

2.ขาย (แล้วแต่ธุรกิจ ผมจะไม่พูดถึงรายละเอียด เพราะเราไม่ขายของ)

มาถึงตรงนี้ บางคนขัดแย้งละ ว่าถ้าไม่ขายสินค้ามันก็เป็นการ ระดมคนมาลงทุน หลอกเขามาลงทุนสิ สินค้าไม่ถึงมือผู้บริโภค ผมสรุปง่ายๆแบบนี้เลยครับ จากประสบการณ์จริง เอาง่ายๆว่า สมมุติคุณมีทีมงาน 100 คน แล้วคุณก็สอนงานเค้าว่า ทำเครือข่ายจริงๆไม่เน้นขาย เน้นขยายทีมงาน คุณลองทายเล่นๆ สิ จะมีกี่คนที่วิ่งไปขายของ บอกได้เลยครับ กฏของโลกนี้ จะมีราวๆ 80 คน ก็ยังดันทุรังไปขายอยู่ดี สรุปว่า แรกๆที่ไม่เข้าใจ ก็ไปขายกันกันทั้งนั้นครับ พอสักพักขายเก่ง เริ่มมีทีมงาน เข้ามา ก็เริ่มสอนทีมงาน ขายให้ได้เหมือนเรา พอทีมงานมากเข้า ก้ต้องเริ่มบริหารคน ละว่า ทีมไหนดูแลตลาดพื้นที่ไหน พื้นที่ไหนแข็งที่ไหนอ่อน

ยกตัวอย่างกันง่ายๆ มีเด็กจบใหม่คนหนึ่ง พบจบมหาลัย สมัครงานได้ตำแหน่งพนักงานขายบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ขายอยู่สัก 3-5 ปี เก่งละ ผู้จัดการ ก็ปรับให้เป็น ซูปเปอร์ไวส์เซอร์ สอนงาน ดูแลพนักงานใหม่รุ่นหลังให้ขายเป็น พอสักระยะ เริ่มดูแลคนมากขึ้น สร้างยอดขายได้ต่อเนื่องมากขึ้น บริษัทก็จะบรับให้เป็น หัวหน้าแผนกหรือ ผู้จัดการต่อไป ไม่มีใครเขาวิ่งขายของเองทั้งปีทั้งชาติหรอกครับ นี่เขาเรียกว่าความก้าวหน้าในอาชีพครับ

นี่ขนาดจะไม่พูดถึงรายละเอียดนะครับนี่ 555 ไปข้อต่อไปละกันครับ

งานเครือข่ายท่านเข้าใจแล้ว ว่า ผลตอบแทนมาจาก ยอดขายที่เราสร้างขึ้น จะขายเองก็ได้ แต่ช้า ดังนั้น ให้เติบโตคือ หาคนมาช่วยเราขาย หรือให้ดีจริงๆ หาคนมาช่วยกันสร้างเครือข่ายผู้บริโภค บอกได้เลยครับ ว่า แต่ละคนที่สมัครเข้ามา นั้น ก็จะแบ่งเป็น 1) ผู้ใช้สินค้า 2)คนที่อยากขายหารายได้เสริม 3)คนที่อยากทำเป็นอาชีพ ยิ่งมีประเภทหลังสุดมากเท่าไหร่งานท่านก็จะเร็วเท่านั้น บางคนไม่เก็ต แล้วใครจะไปขายให้ลูกค้า ก็บอกแล้วไงครับ 80% พูดยังไงก็จะขายของอยู่ดี ถามได้เลยครับคนที่เอ็ม ถ้าไม่โกหกกัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ใช้ และ ผู้ขาย เอาละ ทีนี้ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หรือผู้มุ่งหวังกลุ่มใหนก็ตาม ขั้นตอนต่อไป ก็ต้องมีการ

3.นัดหมาย, เชิญชวน หรือ โฆษณา

แล้วแต่ใครจะทำ ให้มีผู้คนเข้ามาร่วมงาน ถามว่านัดหรือเชิญไปไหนล่ะครับ ก้อคือเพื่อให้ข้อมูล จะวิธีใหน ก็แล้วแต่ครับ วิธีการทั่วไป โทรนัดโทรคุย หรือเข้าไปคุยที่บ้าน หรือเจอกันตามโอกาส คำถามที่หลายคนอยากถาม และ เป็นปัญหาใหญ่สุดในชีวิตคือ ชวนใคร เพื่อนเหรอ ญาติได้มั๊ย จะเสียญาติมั๊ย แล้วชวนใครดี ผมบอกอย่างนี้ แล้วกันครับ ถ้าท่านถามคนที่สำเร็จระบบเครือข่าย เอามาสัก 10 หรือ 100 คนก็ได้ ถามเลยว่า ที่เข้ามาเร่วมธุรกิจด้วยกัน มีเพื่อนสนิท หรือญาติ กี่เปอร์เซนต์ แล้วที่เข้ามาร่วม แล้วไอ้ที่มา มากันช่วงไหน เริ่มแรกหรือเรารวยแล้วถึงมา ผมคงไม่ต้องตอบนะครับ ทุกท่านรู้อยู่แก่ใจ งั้นแล้วไปชวนใคร เสนอใคร ท่านต้องย้อนมาดูครับ ว่าการกลาดคืออะไร มีใครเกี่ยวข้อง มันก็คือ ต้องมีคน อยากได้ และมีคนอยากขาย มาเจอกัน ถึงจะเกิดการขายขึ้น เรียกให้สากลคือ Demand กับ Supply ไงครับ ที่นี่ก็ต้องดูว่าสิ่งที่ท่าน จะขายคืออะไร สินค้าหรือธุรกิจ แน่นอนครับ ต้องนัด หรือเชิญวิธีการคนละแบบ ถามว่าจะพูดยังไง ก็บอกแล้วไงครับ ท่านต้องเข้ามาศึกษา วิธีการทำเครือข่าย ไม่ใช่ไปนำเชิญ ไปนัดแบบบ้านๆ ก็โดนตอกกลับมาเท่านั้นเอง ดังนั้นเชิญใครแบบไหนดี ก็ต้องมาศึกษา กับที่ไหนก็แล้วแต่ว่าท่านจะทำกับบริษัทไหน

ที่นี้มาเรื่องการประชาสัมพัน โฆษณาให้คนเข้ามาร่วม ธุรกิจ สมัยแรกๆก็จะมี ขึ้นป้าย สื่อวิทยุ แล้วสมัยนี้ก้จะมี อินเตอร์เน็ท แล้วอี อินเตอร์เน็ทก็มีเรื่อง ให้พูดกันอีกพอสมควร ถ้าท่านเล่นเน็ตอยู่ตั้งแต่หลายปีมาแล้ว เมื่อก่อน ท่านก็จะเห็น การโพส รายได้เลริม 300-3000 ต่อวัน อะไรประมาณนี้ เอากันแบบตรงๆง่ายๆ ไม่ต้องมีลีลา มาอีกยุคนึงคือ ไม่กล้าพูดตรงละ โพสมาแต่ไม่บอกธุรกิจอะไร รับสมัครงานหลายตำแหน่งบ้าง แบบนี้ สร้างความผิดหวังให้คนที่หลงเข้าไปเยอะมาก

มายุคล่าสุด การตลาดแบบดึงดูด ก็เปิดเผยว่าเป็นธุรกิจเครือข่าย แต่คำเชิญชวน ก็แล้วแต่ใครจะเขียนให้ไปสะกิดต่อมของ ผู้อยากรู้อยากรวยมากแค่ไหน เคล็ดลับมั่ง สุดยอดวิธีชวนคน ไม่ต้องง้อไม่ต้องตื้อมั่ง คนจะวิ่งมาสมัครเองมั่ง ผมบอกได้เลยครับว่า มันก็คือขั้นตอนการชวนคนเข้ามา และที่สำคัญ ผมได้พูดไว้แล้วในหัวข้อ การตลาดแบบดึงดูดคือ ถ้ามีท่านโฆษณาแบบนี้คนเดียว ก็คงเวิร์คครับ แต่ดูทุกวันนี้สิครับ มีเคล็ดลับกับเต็ม กูเกิ้ล ไปหมด แล้วพวกนี้ก็จะมีโปรแกรม ส่งอีเมล และ ดูดเมล ด้วย รวมถึงพวกตอบอัตโนมัติ ตอนนี้มีขายกันเยอะแยะครับ หาง่าย ขายโปรแกรมพร้อมเมล 15 ล้านชื่อ อะไรประมาณนี้ คิดกันเล่นๆครับ สมมุติท่าน ไม่ได้แอนตี้เครือข่าย ถ้าท่านได้รับเมล ครั้งแรก ด้วยข้อความแบบที่ว่า ท่านก็อาจจะสนใจ แต่ตอนนี้ แต่ละคนก็ได้รับเมลพวกนี้ กันไม่ต่ำกว่า คนนึง 20-30 ครั้งก็ว่าได้ ไอ้รายที่ 3 ที่ 4 มานี้ ท่านถามตัวเองสิครับ ว่า ท่านกดดู หรือกดลบ แล้วอย่างที่บอกครับ มันก็คือส่วนของการเชิญชวน การทำแบบนี้ ต้องเป็นหนึ่งเดียวและเป็นแบบ วัวสีม่วง คือเด่นสุดๆ ถึงจะได้ผล แต่ตอนนี้มันเลยจุดนั้นไปแล้วครับ แต่ถ้าถามผมว่า เรื่องเว็บไซต์ หรือสื่ออินเตอร์เน็ต จำเป็นมั๊ยต่อการทำธุรกิจ ผมตอบได้เลยว่า ไม่จำเป็นครับ เพราะผู้สำเร็จระดับท็อปเท็นแต่ละบริษัทส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีเว็บไซต์ของตัวเองด้วยซ้ำ แต่ถ้าถามว่า ควรมีรึเปล่า บอกได้เลยครับว่าควรมีอย่างยิ่งครับ เราควรต้องทำอะไรให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ปัจจุบัน คนมีความรู้และใช้อินเตอร์เน็ตกันมากขึ้น ดังนั้นการทำสื่ออินเตอร์เน็ตเป็นเรื่องที่น่าทำครับ แต่คำพูด ภาพ หรือข้อมูลต่างๆ ถึงแม่จะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ แต่อย่างไรก็ให้อยู่ในพื้นฐานความเป็นจริง ดีที่สุด

เพราะในที่สุดของการตลาด แบบดึงดูด คือ สุดท้าย ปลายทางก็คือ การที่เค้าจะสมัครเป็นสมาชิกหรือร่วมงานกับคุณ มันแบ่งได้แบบนี้ครับ ถ้าบริษัทไดที่สมัครแบบ ถูกๆ 100-200-300 อะไรประมาณนี้ ก็พอจะใช้ได้ครับ ขายการเชิญชวน พอเข้าไปดูในเว็ปหน้าเชื่อถือ บริษัทเป็นที่รู้จัก อาจจะสมัคร แต่ถ้าเป็น แผนการตลาดที่เป็นการซื้อสินค้าเป็นเงินหลักพันหลักหมื่นในการสมัครแล้วก้อ แบบนี้ ยากครับ กฏการตลาดแบบดึงดูก็เขียนไว้ เพราะที่สำคัญคือ เมื่อใดที่เขาจะตัดสินใจทำสุดท้ายต้องมีการนัดพบกัน หรือคุยกัน สรปุได้ง่ายๆครับ ว่าท่านต้องเจ๋งพอดั่งที่ท่านโฆษณาไว้ หรือ เจ๋งกว่า ที่ท่านใช้คำเชิญชวนไว้ นี่แหละครับ เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดคือตัวท่าน ต้องเป็นของจริง ถึงจะไปต่อได้

4. การนำเสนอ

อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ บริษัทละครับว่าของท่านทำอะไร และก่อนการนัดเชิญชวนใคร ท่านก็อย่างลืมวิเคราะห์ซะ หน่อยนะครับ ช่วยให้งานเราเข้าเป้ามากขึ้น แล้วถ้าจะมาว่ากันในเรื่องการนำเสนอมีเทคนิคอะไรมั๊ย ตอบได้เลยครับว่า มีแน่ๆ การนำเสนองาน ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ครับ ทั้งวิชาการ หลักการ จิตวิทยา อันนี้พูดถึงมืออาชีพนะครับ ไม่ใช่ไปแบบบ้านๆ "สวัสดีครับ ผมมาจากบริษัท .... นะครับ จะมาแนะนำ ...... ขอรบกวนเวลา สักคูร่นะครับ" ถ้าใครไปแบบนี้แล้วสำเร็จ แสดงว่า ท่านต้องทนอย่างมากครับ หรือไม่ก็มึน ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ถึงสำเร็จมาได้ ดังนั้น ก็ต้องศึกษาเอาจากแม่ทีมหรือบริษัทท่านละครับ ซึ่งไม่ตายตัว แต่มีหลักการอยู่ครับ

จริงๆแล้ว คนทำเครือข่ายหลายๆคนก็ มีแบบที่ชงเองตบเอง ก็เยอะ ถ้าเก่งจริงก็ได้ครับ แต่ถ้าท่านไม่มั่นใจว่าท่านนำเสนอได้ดีพอละก็แนะนำให้ เชิญคนเข้าระบบ หรือเข้าประชุมครับ มันไม่ใช่แค่ ได้ข้อมูลครับนะครับ ได้อารมณ์ในการตัดสินใจด้วย ยิ่งการสมัครที่ต้องใช้เงินลงทุนพอสมควรแล้วละก้อ เวิร์คครับ

หรือสมัยนี้ก็มีเริ่มทำกันละครับ คือเป็นไฟล์ VDO นำเสนอ ผ่านเว็บไซต์เลย หรือบางคน ก็มีการ ประชุม on line ต่างๆ แล้วแต่ความถนัด

5. ปิดการขาย

ปลายทางหลังจากผู้มุ่งหวังได้ข้อมูลแล้ว สิ่งที่ทุกท่านอยากทำให้สำเร็จคือ การปิดการขาย หรือปิดสมัคร แล้วแต่จะเรียก แต่สิ่งที่อยู่คู่กัน กันลูกค้าก่อนปิดการขายคือ ข้อโต้แย้ง หรือคำถาม ข้อสงสัย ข้อบ่ายเบี่ยง อะไรก็ว่ากันไป มืออาชีพต้องรู้ครับ ซ้อมมาก่อนหน้า เจอแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น ตอบแบบให้โดนใจแล้วปิดการสมัครไปในตัว ซึ่งผู้ที่จะทำงานนี้ก็ควารศึกษาเรื่อง จิตวิทยาการปิดการขายด้วยครับ ไม่ใช่ถามกันดื้อๆ ว่า "ตกลงจะสมัครมั๊ย" ลูกค้าฮากลิ้งเลยครับ อย่าลืมว่า ทำให้เขาอยาก ดีกว่า มีแต่เราอยากให้เขาทำ

6. สร้างผู้นำ

หลังจากที่ผู้มุ่งหวังคนนั้นสมัครแล้ว สิ่งที่ท่านต้องทำต่อไปคือ ทำอย่างไร ให้เขาทำงานนี้สำเร็จได้เหมือนท่าน ก็คือต้องสอนงานเค้า แต่อย่าลืมนะครับ การทำเครือข่ายที่ดีคือ ท่านอย่าไปทำอะไรเองอยู่คนเดียว การสอนที่ดีที่สุดคือให้เขาเข้าระบบ ให้เขาอิงกับการประชุมของบริษัท แล้วเสริมเข้าไปด้วยการทำเงินเชิงลึก แบบที่เราทำ ปัญหาที่ด่ากันไม่จบคือ ลูกทีมมักจะด่ากับแม่ทีมว่า ทำไมไม่ช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ ผมพูดอย่างเป็นกลางนะครับ ธุรกิจนี้เป็นของท่าน ไม่มีสิ่งใดทำให้ท่านสำเร็จได้นอกจากตัวท่านเอง ดังนั้น เข้าช่วยบ้างตามโอกาส ก็ไม่ต้องคิดมาก เพราะไม่มีใครจะมานั่งป้อนข้าวป้อนน้ำกันไปได้ตลอด ทุกคนต้องเติบโตได้ ด้วยตัวเราเอง ยิ่งระดับท็อปๆของแต่ละบริษัทด้วยแล้ว ตอนท่านสมัครเข้ามาใหม่ ท่านแทบไม่ได้รับการเหลียวแลเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อไหร่ที่ท่านแสดงภาวะความเป็นผู้นำขึ้นมา หรือ สร้างผลงานขึ้นมา ถึงจะเริ่มคุยกัน มันเป็นการคัดเลือกคน ซึ่งหลายๆคนมองว่าเห็นแก่ตัว ดังนั้นก็แล้วแต่มุมมอง แต่คนทำธุรกิจ ถ้าท่านไม่แกร่งยังก็ไม่ไม่รอดอยู่แล้วครับ แต่ถ้าบางคนตอนชวน สัญญา สาบานกันอย่างแนบแน่น พอสมัครปุ๊บไม่สนใจเลย แบบนี้ก็น่าจุดธูปแช่งครับ

7. บริหารองค์กร

การขึ้นสู่ความสำเร็จ ในระดับต้นๆของบริษัทถือว่าไม่ง่ายครับ แต่การที่จะรักษา องค์กรไว้และ ทำให้เติบโตไปด้วยกันทั้งหมดนี่ ยากยิ่งกว่าเยอะ ดังนั้น จะสำเร็จได้ระยะยาว นอกจากปัจจัยรอบนอกแล้ว ตัวเราเองต้องมีความจริงใจด้วยครับ

คนที่ทำไม่เป็น ก็จะมองว่าอาชีพนี้ยาก ตั้งแต่ไม่รู้จะไปหาใคร เริ่มพูดยังไง แนะนำยังไง ปิดสมัครยังไง แต่คนที่ทำจนเป็นมืออาชีพ ทุกที่ทุกคนที่พบปะ เราสามารถ แนะนำธุรกิจได้โดยเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ยัดเยียดใคร และที่สำคัญ การดูแลทีมงาน มีการติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นจะเห็นว่า คนที่ทำธุรกิจนี้เป็นมืออาชีพ จะมีทีมงานโทรหากันตลอดเวลา และสิ่งคัญสำหรับผู้ที่จะเข้ามาสัมผัสอาชีพนี้ ก็ต้องพิจารณา เลือก บริษัทให้ดีครับ ต้องดูอะไรบ้างก็เข้าไปดูในหัวข้อ ทำไมจึงล้มเหลว เราจะได้ผิดหวังน้อยที่สุด ไม่ต้องมาโทษว่าอาชีพนี้เชื่อไม่ได้ เพราะในความเป็นจริง มันก็มีทั้งบริษัทดีๆ ที่ตั้งใจทำเป็นธุรกิจสีขาว ปะปนไปกับ พวกหวังปั่นเงิน ปนเปกันไป เหมือนทุกอาชีพ

สรุปว่าอาชีพนี้มีทั้งพวก คบได้คบไม่ได้ ปนกันไป ซื้อมันไม่ได้เป็นที่อาชีพครับ เป็นที่ตัวบุคคุล และคนส่นหนึ่งก็คิดว่า อาชีพนี้ส่วนใหญ่ล้มเหลว หลอกลวง แต่ถ้ามองดีๆอย่างเป็นกลางนะครับ ไม่ใช่เฉพาะอาชีพนี้หรอกครับ คนทำธุรกิจทุกประเภท ตั้งแต่เปิดร้านก๋วยเตี๋ยว ถึง โรงแรม คนเจ๊งกมากว่าคนสำเร็จเยอะแยะครับ คนที่จะก้าวเข้ามาสู่โลกของกิจการส่วนตัว จะสำเร็จได้ ใจต้องสู้ ฝีมือต้องถึงครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น