วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

You are what you think คุณคิดอะไรก็จะ เป็น-อยู่-คือ อย่างนั้น

You are what you think

บทความนี้ผมได้นำมาจากกระทู้ใน Pantip.com ขอขอบคุณสำหรับความคิดดีๆแบบนี้ครับ จึงอยากนำมาเผยแพร่ให้ทุกคนได้อ่าน และตรงกับแนวคิดที่ผมได้นำเสนอมาโดยตลอด คือ ความคิด (เมื่อคุณเปลี่ยนความคิด วิถีชีวิตคุณจะเปลี่ยน)

เรื่องนี้ให้เครดิตกับหนังสือ System Thinking เขียนโดย Josph O'Cornor and Ian McDermott รวมไปถึงทุกคนและทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิตผมแล้วกันนะครับ
"คุณคิดอะไรก็จะ เป็น/อยู่/คือ อย่างนั้น" ง่ายดีใช่ไหมหละครับ แหะแหะแหะ คิดอย่างไรได้อย่างนั้น คิดเงินได้เงิน คิดทองก็ได้ทอง คิดอยากผอมก็ผอม คิดอยากอ้วนก็อ้วน งั้นก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดีอะเซะ อ้าว

ขอร้องเลยนะครับ ท่านทั้งหลายที่กำลัง คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย คิดเพ้อเจ้อ คิดฟุ้งซ่าน ละเมอเพ้อพกหรือฝันไปเรื่อยๆ พ่อหมอขอทำนายไว้เลยนะครับว่า คนที่มัวแต่จมอยู่กับภาพในความฝันของตัวเอง ก็จะกลายเป็นคนบ้าไปในที่สุดครับ

ในทางกลับกัน คนที่มุ่งมั่นกับ ความฝัน ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา และทำ ความฝัน ให้เป็นจริงขึ้นมาได้ นั่นแหละจึงจะเป็นผู้ ประสบความสำเร็จ อย่างแท้จริง เห็นไหมว่าคนบ้ากับ อัจฉริยะ ต่างกันแค่นิดเดียวเอง

ลองดู อัจฉริยะ ทั้งหลายที่เรารู้จักกันดีสิครับ พี่น้องตระกูลไรท์ บอกว่าคนก็บินได้ อ๊ะ บ้าหรือเปล่า คนไม่ใช่นกนะจะได้บินได้ ทุกคนรุมประณามสองพี่น้องว่าบ้า และก็คงจะบ้าจริงๆแหละครับถ้าเขามัวแต่นึกฝันเอาว่าคนบินได้เพราะเขาทั้งสองคิดถึงแต่เรื่องบินอย่างเดียวไม่เป็นอันกินอันนอนทีเดียวเชียวหละ ในขณะที่หลายๆคนทำได้เพียงนั่งคิดฝันว่า ถ้าเราบินได้อย่างนกก็ดีสินะ แต่เขาสองคนกล้าที่จะทำ ความฝัน ของเขาให้เป็นจริง แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วเขาสองคนจะไม่มี โอกาส ได้บิน แต่มาถึงวันนี้โลกก็ได้สานต่อ ความฝัน ของเขา และรู้ว่าเขาไม่ได้บ้าแต่เป็น อัจฉริยะ

คำว่า "คิด" "Think" ของผมที่หมายถึงในชื่อเรื่องนั้นไม่ได้หมายถึงการคิดเล่นๆหรือคิดเป็นชั่วครั้งชั่วคราว แต่หมายถึงคำว่า " ทัศนคติ และ จิตใต้สำนึก " ครับ

โดยทั่วไปแล้ว ทัศนคติ + จิตใต้สำนึก (ต่อไปขอเรียกรวมกันว่า "ความคิด" แล้วกันนะครับ) ของคนเรานั้นมันถูกสั่งสมมาตั้งแต่เกิดตราบจนถึงปัจจุบัน เห็นเขาว่าสร้างกันมาตั้งแต่ในท้องแม่ด้วยซ้ำ และก็ฝังรากลึกลงไปในตัวเราจนยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้

แล้วมันมีผลอะไรหรือครับ มันก็มีผลต่อการประมวลผลข้อมูลต่างๆที่เรารับเข้ามา แล้วเราก็จะแสดงออกข้อมูลที่ประมวลผลผ่านทาง "ความคิด" แล้วออกมาเองโดยอัตโนมัติ ทั้งทาง กาย วาจา ใจ นั่นเอง พูดแบบนี้ฟังดูเข้าใจยากขอยกตัวอย่างซักหน่อย

ผมจะทดสอบที่พื้นฐาน "ความคิด" ของเรากันเลยนะครับ ด้วยสามเหลี่ยม Kanizsa ซึ่งคิดค้นโดย Gaetano Kanizsa ทุกคนรู้จักสามเหลี่ยมกันดีอยู่แล้วใช่มั้ยครับ งั้นลองดูภาพนี้กันเลย


http://home.wanadoo.nl/hans.kuiper/optical2.htm

ทุกคนเห็นสามเหลี่ยมสีขาวมั้ยครับ เชื่อว่าเห็นกันทุกคน เผลอๆจะเห็นมันนูนออกมาซะด้วย แต่ผมถามอีกทีว่า จริงๆแล้วในรูปนี้มีสามเหลี่ยมอยู่มั้ยครับ? มันไม่มีนะครับ แต่สามเหลี่ยมที่เราเห็นนั้นเป็นสามเหลี่ยมที่สร้างขึ้นมาจาก "ความคิด" ของเราเอง โดยที่ตาของเราก็ทำงานตามปกติ ส่งภาพที่รับได้เข้าสู่สมอง แล้วสมองของเราก็ตีความตามกรอบความคิดที่สั่งสมมา เพราะเรามักมองสิ่งต่างๆเป็นรูปร่างรูปทรง ก็เลยสร้างสามเหลี่ยมขึ้นมาใน "ความคิด" แล้วมันก็แสดงออกมาให้เราได้รู้สึกว่าเราเห็นจริงๆ

สามเหลี่ยมสีขาวของ kanizsa นี้เปรียบเทียบได้กับอคติของเรา เป็น "ความคิด" ที่เราสั่งสมมาโดยประสบการณ์และเราเองก็เชื่อมั่นอย่างนั้น ซึ่งก็ทำให้เราเห็นสามเหลี่ยมตาม "ความคิด" ของเราจริงๆ ทั้งที่มันไม่ได้เป็นจริง ไม่ได้มีอยู่จริง

เห็นได้ชัดเจนว่า "ความคิด" ไม่ว่าจะ ผิดหรือถูก คติหรืออคติ ก็เป็นแรงผลักดันให้เราได้สัมผัสและรับรู้และเข้าใจได้ตามมันจริง

นั่นก็คือ "ความคิด" ทำให้มันกลายเป็นจริงได้ในมุมมองของเรา (ค่อยๆไขเข้ามาเรื่อยๆเหมือนพิสูจน์สูตรเลยนะ)

"ความคิด" นั้นมันเป็นระบบประมวลผลอัตโนมัติ มันฝังรากลึกจนกลายเป็นสัญชาตญาณ คือเป็นไปโดยไม่ต้องสั่ง ไม่ผ่านกระบวนการไตร่ตรองใดๆทั้งสิ้น ซึ่งก็ทำให้เรากลายไป เป็น/อยู่/คือ ตาม "ความคิด" ของเรา You are what you think

เอ๊ะ แล้วพอเรารู้แล้วว่า มันเป็นอคติ มันเป็นสามเหลี่ยม ทำไมเราก็ตัดมันออกไปไม่ได้ซะทีหละ กลับไปดูรูปกี่ทีก็เห็นเป็นสามเหลี่ยมทุกที นูนลอยเข้ามาหาหน้าเราอีกต่างหาก จะแก้อย่างไรดีหละครับ? อืมมม ผมคิดได้ 2 วิธีนะ

1. ก็ต้องตัดรูปสามเหลี่ยมออกจาก "ความคิด" ของเราไปเลย แต่อันนี้ยากนะ เพราะอย่างที่บอกว่ามันฝังรากลึกเข้าไปในตัวเรานานแล้ว ไอ้เรื่องจะตัดออกคงเป็นไปได้ยากมาก
2. เปลี่ยนวิธีการมองครับ จากเดิมเรามองรวมๆ ลองเปลี่ยนเป็นมองอันย่อยๆ มองวงกลม มองมุม เมื่อมองอันย่อยๆแล้วเราก็จะไม่เห็นรูปสามเหลี่ยมอีก

สรุปง่ายๆก็คือ ตัด "ความคิด" เก่า หรือ มองในมุมใหม่ แน่นอนว่าวิธีแรกนั้นยากแสนยาก แต่วิธีที่สองนั้นง่ายแสนง่าย

ฉะนั้น ท่านพุทธทาส ภิกขุ จึงสอนว่า "มองแต่แง่ดีเถิด" เพราะทราบดีว่า จะให้เราเลิกมีอคติ เลิกมองโลกในแง่ร้ายนั้น มันยากแสนยากล้านยาก แต่จะให้เรามองใหม่ มองในแง่ดี think positive นั้นมันง่ายแสนง่ายล้านง่าย

แล้วถ้าเราจะเปลี่ยน "ความคิด" จะมีวิธีปฏิบัติอย่างไรบ้างหละ?

วิธีการเปลี่ยน "ความคิด" ที่รวดเร็วที่สุด กระชับที่สุด ก็คือการรับรู้หรือประสบกับ "ความคิด" ในทางตรงกันข้ามด้วยตัวเองและยอมรับในประสบการณ์นั้น ก็จะทำให้เปลี่ยน "ความคิด" ไปได้

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนๆหนึ่งใช้น้ำฟุ่มเฟือยมาก โดยเห็นว่า ก็มีปัญญาจ่ายอะ ไม่เห็นจะเป็นอะไร 70เปอร์เซ็นต์ของพื้นผิวโลกคือน้ำนะ ไปกลัวทำไม แต่แล้วก็จับคนๆนี้ไปไว้กลางทะเลทรายสักระยะหนึ่ง เขาก็จะเห็นคุณค่าของน้ำทันทีและจะเปลี่ยน "ความคิด" ของเขาไปตลอดชีวิต

คนที่สามารถเลิกเหล้าเลิกบุหรี่อย่างฉับพลันจากที่เคยติดอย่างงอมแงมได้นั้น ส่วนใหญ่ก็มักเกิดจากการเปลี่ยน "ความคิด" โดยฉับพลันทันทีแทบทั้งสิ้น

แต่วิธีการนี้ค่อนข้างยาก เพราะไม่รู้จะมีโอกาสประสบ "ความคิด" ในทางตรงข้ามเมื่อไหร่ ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งสำรองให้ครับ

วิธีนี้เรียกว่า เก็บเล็กผสมน้อย ค่อยๆเปลี่ยนครับ เช่น การหัดมองโลกในแง่ดีนั่นแหละครับ วิธีนี้ใช้เวลานานหน่อย เพราะไม่เห็นผลแบบทันตาเห็น ต้องสะสมไปเรื่อยๆ ทำมันไปเรื่อยๆ ให้มันซึมซาบเข้าไป จนกลายเป็นธรรมดาปกติไปในที่สุด

ผมเคยได้ยินวิธีช่วยสำหรับการเก็บเล็กผสมน้อยนี่เหมือนกันนะ เป็นกึ่งๆการ สะกดจิต ตัวเองเล็กๆ เช่น ถ้าใครขาดความมั่นใจในตนเอง คิดว่าตัวเองขี้เหร่ ก็ให้แก้โดยการตื่นเช้าขึ้นมาทุกวัน ให้มาส่องกระจกแล้วบอกกับตัวเองว่า ฉันหล่อ/สวยเหลือเกิน ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะค่อยรู้สึกว่าตัวเองหล่อ/สวยขึ้นทุกวันๆ จนอาจหล่อ/สวยที่สุดในโลกก็ได้ (แต่คนอื่นเขาไม่คิดอย่างนั้นหรอกนะ)

ถ้ายังอยากจะมี "ความคิด" แบบเดิมอยู่ อยากจะ เป็น/อยู่/คือ แบบเดิมอยู่ ก็คงไม่ต้องเปลี่ยนอะไรกันหรอกครับ แต่ถ้าอยากมี "ความคิด" ใหม่ที่ดีๆ คิดใหม่ ทำใหม่ ก็ทดลองเปลี่ยนดูนะครับ เพราะ ...

You are what you think

ขอเสริมเล็กน้อย เรื่องการนำไปใช้ และปฏิบัติจริง...

สมมุติ คุณต้องการมีเงินสัก 100 ล้าน ก่อนอายุ 50 คุณจะทำอย่างไรที่ทำให้คุณสามารถไปถึง... ถ้าคุณฝันและคิดว่า

"ขอมีเงิน 100 ล้าน ใน 10 ปี"

คุณคงไม่สามารถไปถึงแน่นอน เพราะคุณต้องขอ.. แล้วใครจะให้คุณ... แต่ถ้าคุณคิดว่า

"เราจะทำอย่างไรเพื่อให้มีเงิน 100 ล้านในเวลา10 ปี"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น