วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การตลาดแบบดึงดูดคือ?

เข้าใจกฎการดึงดูด
ก่อนอื่นที่เราจะมารู้จักการตลาดแบบดึงดูด เรามาทำความรู้จักกฎแรงดึงดูดกันก่อนนะครับ จริงๆ แล้ว “กฎแห่งแรงดึงดูด” นี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ประการใด เคยมีผู้เขียนหนังสือว่าด้วยเรื่องนี้ไว้เป็นการเฉพาะหลายต่อหลายเล่มแล้วใน รอบร้อยปี หรือสิบปีที่ผ่านมา ยังไม่นับที่มีการอ้างอิงถึงกฎนี้ หรือหลักการนี้ไว้ตรงโน้นตรงนี้ในหนังสืออีกหลายต่อหลายเล่ม และถ้าจะพูดกันให้ถึงที่สุดแล้ว “กฎแห่งแรงดึงดูด” นี้ มันก็คือกฎแห่งธรรมชาติ หรือกฎแห่งจักรวาล ซึ่งอยู่คู่โลกและอยู่คู่กับมวลมนุษยชาติมานับเป็นพันๆ ปี หรือนับตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้นมาบนโลกแล้วก็ว่าได้ ถ้าโลกนี้ หรือจักรวาลนี้มีกฎว่าด้วยแรงโน้มถ่วง (LAW OF GRAVITY) กฎแห่งแรงดึงดูดนี้ก็เป็นกฎที่เป็นจริงอย่างนั้นเหมือนกัน และถ้าโลกนี้ หรือจักรวาลนี้มีกฎว่าด้วยกฎแห่งกรรม หรือกฎแห่งการกระทำ หรือที่พระท่านบอกว่า “อิทัปปัจยตา” แล้ว กฎแห่งแรงดึงดูดนี้ ก็เป็นจริงอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน

เราอาจอธิบาย “กฎแห่งแรงดึงดูด” อย่างง่ายๆ ได้ว่า คนเราคิดอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น อะไรที่เราคิดถึงอยู่ตลอดเวลามันจะเป็นจริงได้ในที่สุด ความคิดของคนเรามักดึงดูดสิ่งที่เราคิดอยู่ตลอดเวลา แม้สิ่งนั้นเราจะไม่ต้องการก็ตาม แต่ถ้าเราคิดถึงมันอยู่ตลอด มันก็จะมาปรากฏแก่เราในที่สุด ดังคำโบราณของไทยที่ว่า “เกลียด และกลัวสิ่งไหน ก็มักจะเจอสิ่งนั้น!” ก็เพราะเรามักจะคิดแต่สิ่งที่เราเกลียดและที่เรากลัวอยู่ตลอดเวลา เราจึงมักต้องเจอกับสิ่งนั้นในที่สุด กูรูและผู้รู้หลายท่านจึงมักพร่ำสอนเรามาตลอดว่า ให้คิดถึงแต่สิ่งที่ต้องการ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่ต้องการ ให้คิดแต่ในสิ่งที่อยากได้ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่อยากได้ ให้คิดแต่ในสิ่งที่ชอบ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่ชอบ ให้คิดแต่ในสิ่งที่ทำให้มีความสุข อย่าไปคิดในสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ ฯลฯ

จริงๆ แล้ว กฎแห่งแรงดึงดูดนี้สามารถอธิบายให้ละเอียดพิสดาร มากมายมหาศาลมโหฬารมหันต์ลึก ในแง่ของหลักการและกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ ว่าด้วยกลศาสตร์และฟิสิคส์ ในระดับควอนตั้ม (เล็กกว่าอะตอม) ได้เลยทีเดียว ซึ่งคงจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ เพราะเดี๋ยวจะงงกันไปใหญ่ทั้งคนเขียนคนอ่าน! เอาเป็นว่าตามหลักการวิทยาศาสตร์แนวใหม่นี้ สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดกัน และไอ้ที่เราเห็นเป็นของแข็งนั้น จริงๆแล้วมันเป็นมวลสารและพลังงานเล็กๆ ที่อาจมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นด้วยซ้ำไปประกอบกัน และไอ้ที่เรามองไม่เห็นนั้น เราสามารถทำให้เป็นรูปร่าง มองเห็นได้ ด้วยการคิดและจินตนาการของเราเอง แบบไหนและอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น! ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่มันมีปรากฏแก่เราทุกวันนี้ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยทั้งสิ้น และที่มันมีปรากฏขึ้นได้ก็ด้วยการก่อรูป ก่อร่างจากการคิดของมวลมนุษย์เองทั้งสิ้น! (อะไรในทำนองนี้)
ที่ได้กล่าวเป็นลำดับมาเกี่ยวกับนักคิด นักเขียน และหนังสือที่ว่าด้วยเรื่อง “กฎแห่งแรงดึงดูด” นี้ ก็เพื่อจะบอกว่า ในโลกนี้นั้นไม่มีอะไรที่เรียกว่าใหม่หรอก ทุกอย่างมันมีอยู่และดำรงอยู่แล้วทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าใคร ไปค้นพบ แล้วนำเสนอมันออกมาในรูปแบบและวิธีการใด แม้เรื่องที่มีการค้นพบแล้ว ก็ยังสามารถนำมาเล่นแร่แปรธาตุ พัฒนา ปรับปรุง มานำเสนอในแง่มุมต่างๆ ให้ดูเป็นเรื่องใหม่ได้ตลอดเวลา อย่างที่ราล์ฟ วอลโด อีเมอร์สัน ปราชญ์ชาวอเมริกันได้เคยกล่าวไว้นั่นแหละครับว่า “สังคมมักจะประหลาดใจกับตัวอย่างใหม่ๆ ของสามัญสำนึกกันอยู่เสมอ” และถ้าผมจำไม่ผิด กาลิเลโอเองก็เคยกล่าวเอาไว้เหมือนกันว่า “เราไม่สามารถสอนใครในสิ่งที่เขาไม่รู้ได้หรอก เราทำได้ก็แค่เพียงทำให้เขาสำนึกในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้วเท่านั้น!”


ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ก็เป็นเรื่องราวของกฎแรงดึงดูด ที่ผมได้รวบรวม ความคิดจากผู้เขียนหลายๆท่าน มาอธิบายให้ทุกท่านเข้าใจ หลังจากเรารู้แล้วว่ากฎแรงดึงดูดเป็นอย่างไร ทีนี้เรามารู้กันว่า ปัจจุบันคนเรานำกฎนี้มาใช้ในทางการตลาดอย่างไร

จะเห็นว่าถ้าท่านเคยเข้าร่วมธุรกิจเครือข่าย หรือเคยเห็นเวบไซด์ที่โปรโมทธุรกิจมากมาย โดยไม่ได้พูดถึงตัวธุรกิจของเขาเลย แต่กลับพูดถึงวิธีการที่เขาจะช่วยให้ทุกท่านได้รายชื่อผู้มุ่งหวัง

เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะเขารู้ว่า พลังการดึงดูดจะดึงดูดให้คนเหล่านั้นเข้ามา เพราะคนที่ทำธุรกิจเครือข่าย ส่วนใหญ่พบเจอปัญหาเดียวกัน ก็คือ คำว่าล้มเหลว จากการขาดรายชื่อผู้มุ่งหวัง แะนำคนไม่ได้ แนะนำแล้วเลิก แล้วก็ไม่ประสบผลสำเร็จ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้คนมักจะกลัว ดังนั้น คีย์เวิร์ดที่เขาเหล่านั้น ใช้ในการดึงดูดท่าน ซึ่งมีความคิดความกังวล กลัว เรื่องเหล่านี้อยู่ให้เข้าไปร่วมธุรกิจ โดยได้สร้างความมั่นใจให้กับท่าน ด้วยหลักจิตวิทยาง่ายๆ คือ สร้างความหวัง สร้างพลังให้ท่านคิด และเชื่อว่า ระบบนี้จะช่วยให้ท่านหาคนได้ เมื่คนเราเกิดความเชื่อ พลังต่างๆในจักรวาล ก็จะดึงดูดให้คนเราได้รับสิ่งเหล่านั้น


การตลาดแบบดึงดูด
จริงๆแล้วพลังการดึงดูดไม่ได้มีแค่ การหาผู้มุ่งหวังผ่านระบบออนไลน์ แต่พลังการตลาดการสร้างภาพลักษณ์ ก็เป็นหนึ่งในการตลาดแบบดึงดูด เช่นการโฆษณา ที่เห็นในปัจจุบัน ของบริษัท กิฟฟารีน จะเห็นว่าเขานำบุคคลที่ประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพต่างๆ ซึ่งผมเชื่อว่า อาชีพที่เขาได้คัดเลือกมานั้นคือกลุ่มเป้าหมายที่เขาต้องการดึงดูด อาทิ นักศึกษาก็สามารถสร้างธุรกิจเครือข่ายสร้างรายได้ ได้ เพียงเข้าร่วม ด้วยระบบบริหารจัดการต่างๆที่ทางบริษัทมีให้ คุณก็สำเร็จได้


หลังจากผมยกตัวอย่าง หลายท่านเอะใจคำๆนึงใหมครับ "ระบบบริหารจัดการที่จะช่วยให้คุณสำเร็จ" นั้นแหละครับพลังการดึงดูด ที่หลายคนคิดไม่ถึง สาเหตุหลักๆที่คนกลัวและไม่อยากทำธุรกิจเครือข่ายคือ ความล้มเหลว และทำไม่เป็น หาคนไม่เก่ง ดงนั้น ช่องทางเดียวที่จะดึงดูดคนเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นหลักการทำแบบออนไลน์หรือออฟไลน์ก็คือ นำเสนอระบบที่จะช่วยให้คุณสำเร็จ


เมื่อบริษัทใด กลุ่มใดนำเสนอสิ่งเหล่านี้ ผู้คนมากมายที่เคยทำธุรกิจเครือข่าย เคยล้มเหลวมาก็จะตัดสินใจเข้าร่วม เพราะเขาเชื่อว่าระบบนี้จะทำให้เขาสำเร็จได้สักที


และกลุ่มคนอีกกลุ่มนึงก็คือคนกลุ่มใหม่ ที่ยังไม่เคยทำธุรกิจเครือข่าย เขาได้รับรู้ เรื่องราวลบๆ รู้ว่าคนทำแล้วไม่สำเร็จก็จะกลัว แต่เห็นระบบช่วยให้สำเร็จ ช่วยแก้ปัญหา ก็เลยเลือกที่จะเริ่มกับกลุ่มที่มีระบบเหล่านั้น


ผมอาจจะอธิบายมายืดยาว หลายคนคงงงๆ เดี่ยวผมสรุปง่ายๆก็คือ การ ตลาดแบบดึงดูด ก็คือการที่เราสร้างหรือเสนอ สิ่งที่กำลังอยู่ในความต้องการของคน ( เสนอในสิ่งที่เขากำลังกลัว)ให้เขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะนำพาไปสู่จุดหมาย ที่ต้องการได้

"สร้างระบบ เพื่อช่วยให้สำเร็จ ในธุรกิจเครือข่าย"

แต่......

อย่ากระนั้นเลย ผมอยากให้ทุกคนรู้เพิ่มเติมอีกนิดว่า เมื่อเรามีระบบแล้ว หนทางที่จะทำให้คนอื่นรับรู้ว่า มันมีสิ่งนี้อยู่ ก็คือการประชาสัมพันธ์ ตามสื่อต่างๆ ไมว่าจะเป็นทีวี หลังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือผ่านเวบไซด์ต่างๆบนอินเตอร์เน็ท ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ต้องมีค่าใช้จ่าย แล้วเราจะเอาเงินที่ใหนมาเป็นค่าใช้จ่ายนี้หละ

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะแย้งว่า ก็โพสฟรีตามเวบบอร์ด แจกใบปลิว ก็ได้นิ ????

ครับใช่!! ทุกคนทำได้ แต่มันก็ไม่ใช่แนวทางที่ดีที่สุดที่ท่าจะทำให้มีคนเข้ามาหาท่านอย่างรวด เร็ว ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเลือกการลงสื่อ เช่น Google Adwords, โฆษณาทีวีดาวเทียม(ซึ่งถูกกว่าทีวีปกติ) , โฆษณาวิทยุ, นิตยสาร,หรือบิวบอร์ดระชาสัมพันธ์ตามจุดต่างๆในเมืองใหญ่ เป็นต้น

ดังนั้นเราต้องมีเงินทุนเพียงพอ เพื่อจะให้ธุรกิจของเราเติมโตอย่างรวดเร็ว แล้ววิธีใหนหละที่จะช่วยให้เราสร้างกระแสเงินสดได้รวดเร็ว เดี่ยวเรามาดูกันต่อในบทความถัดไป.....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น