วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

พลังเครือข่าย‘ปูแดง’เอาคืน แจ้งสน.เอาผิด‘สคบ.-ดีเอสไอ’จ่ายค่าเสียหาย

สมาชิก‘ปูแดง ไคโตซาน’ไม่น้อมรับคำสั่งฆ่า ยัน‘เบสท์ 59’ไม่ใช่ ‘แชร์ลูกโซ่’ ซัด ‘สคบ.-ดีเอสไอ’ทำเกินกว่าเหตุ จนบริษัทต้องปิดกิจการ สมาชิกเดือดร้อนทั่วประเทศ สูญเสียรายได้กว่า 3 แสนคน พลังเครือข่ายสุดทน!ระดมพลกว่าพันคน เดินเกมเอาคืน รุดแจ้งความเรียกร้องค่าเสียหายจาก‘สคบ.ดีเอสไอ’แล้ว ด้านเกษตรกรต่างร่ำไห้! ยันผลิตภัณฑ์ ‘ปูแดง ไคโตซาน’แก้ไขปัญหาเกษตรกรได้จริง เพิ่มผลผลิต ปลดหนี้ ปลดสิน และสร้างเกษตรกรให้มีรายได้ พร้อมตะโกนถาม!สั่งฆ่า

‘ปูแดง’ทำไม?
หลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ นำโดย พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผบ.สำนักคดีอาญา ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้น บริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ โดยการกระจายกำลังเข้าตรวจค้นถึง 4 จุด ซึ่งจุดสำคัญอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ถนนแจ้งวัฒนะ ปากทางเข้าเมืองทองธานี โดยมีบรรดาแม่ทีมหรือผู้นำธุรกิจปูแดงกว่า 200 คน ได้แสดงอาการไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด บางคนถึงกับร่ำไห้ ด้วยเพราะความเชื่อมั่นว่า ปูแดงดำเนินธุรกิจมานานกว่า 7 ปี จากตึกเช่าจนมีอาคารสำนักงานใหญ่ และมีโรงงานเป็นของตัวเอง

อีกทั้งผลิตภัณฑ์การเกษตร ‘ปูแดง ไคโตซาน’ก็กำลังได้รับการยอมรับจากเกษตรกร จนเกิดกระแสนิยมเป็นวงกว้าง สร้างงาน สร้างอาชีพ ปลดเปลื้องหนี้สินเกษตรกรได้จริง แต่ทำไมยังโดนข้อหาแชร์ลูกโซ่ ทั้งๆที่พวกเขาต่างมั่นใจว่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ ทำให้ผู้นำหรือแม่ทีมทั้งหลาย ต่างรับไม่ได้กับการกระทำของสคบ.และดีเอสไอ

โดยผู้นำหรือแม่ทีมส่วนใหญ่ได้แสดงความคิดเห็นตรงกันว่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง ที่ทำให้พวกเขามีอยู่ มีกิน มีรายได้จากการทำธุรกิจขายตรง และยังช่วยให้เกษตรมีรายได้เพิ่ม หลุดพ้นจากการมีหนี้สินด้วย ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหลายพันรายเป็นกรณีศึกษา โดยผู้นำหรือแม่ทีมทั้งหมด ประกาศพร้อมเป็นพยาน และให้คำยืนยันว่า ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ไม่ใช่มันนี่เกมส์ ตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด แต่เหตุที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพราะว่า สคบ.มีความเข้าใจผิด ไม่เข้าใจธุรกิจขายตรงแผนไบนารี่ จึงทำให้คิดเอาเองว่า ไบนารี่ คือ มันนี่เกมส์ แต่ความจริงแล้ว ‘ไบนารี่’กับ‘แชร์ลูกโซ่’ต่างกันสิ้นเชิง

รุมประณามสคบ.-ดีเอสไอ
บรรดาผู้นำและสมาชิก ‘ปูแดง’จึงได้จัดทำแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ยื่นต่อสคบ.และดีเอสไอ โดยหนังสือระบุเนื้อหาว่า การที่สคบ.และดีเอสไอ ได้ตั้งข้อหาร้ายแรงอันเกินกว่าเหตุ ด้วยการสั่งปิดบริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ ‘ปูแดง ไคโตซาน’และอายัดทรัพย์ พร้อมสินค้าทุกรายการ ทั้งที่ถูกต้อง และไม่ถูกต้อง โดยไม่ยอมแยกแยะ กลับเหมารวมทั้งหมด ส่งผลให้บริษัทต้องหยุดกิจการทั้งระบบ ทั้งๆที่สคบ.เพียงสั่งเพิกถอนใบอนุญาตการขายตรงเท่านั้น แต่ยังสามารถขายปลีกได้ โดยบริษัท เบสท์ 59 จำกัด ไม่ได้ถูกสั่งปิด ยังทำการได้อยู่ สร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวประชาชนนับแสนคนอย่างหนัก ทำให้ขาดรายได้จากการทำอาชีพเครือข่าย ที่เคยได้รับประจำ เดือนละหลายหมื่นบาททุกๆเดือน บางคนมีรายได้นับแสนบาทต้องหายไปอย่างไม่ยุติธรรม สมาชิกครอบครัวอดอยาก ไม่มีจะกิน ไม่มีอาชีพ ไม่มีงานทำฉะนั้นสมาชิกบริษัท เบสท์ 59 จำกัด ซึ่งมีกว่า 3 แสนคน รับไม่ได้กับข้อกล่าวหาที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ ทั้งๆที่ดีเอสไอและสคบ. สามารถลงโทษจากเบาไปหาหนักได้ แต่ไม่ยอมกระทำ กลับสั่งประหารชีวิตพี่น้องประชาชน ทำให้ขาดรายได้เพียงชั่วข้ามคืนนับแสนๆคน

การกระทำดังกล่าว พวกเราขอประฌามสคบ.และดีเอสไอ เพราะหวั่นจะกลายเป็นเครื่องมือของบริษัทข้ามชาติ เพื่อทำลายขายตรงไทย ฉะนั้นพวกเราขอเรียกร้องความยุติธรรมในเบื้องต้น ดังนี้

1.ดีเอสไอและสคบ.ต้องพิจารณายกเลิกคำสั่งอายัดทรัพย์ และสินค้าของบริษัท เบสท์ 59 จำกัด เพื่อให้สมาชิกสามารถซื้อขายปลีกได้ตามที่เลขาธิการสคบ.ระบุว่า แค่เป็นการเพิกถอนในอนุญาตขายตรงเท่านั้น แต่ให้ขายปลีกได้

2.ดีเอสไอและสคบ.จะชดเชยค่าเสียหายให้กับสมาชิกที่เกิดจากการสั่งปิดบริษัท โดยการใช้มาตรการรุนแรงเกินกว่าเหตุได้อย่างไร,

3. ให้สคบ.ตรวจสอบบริษัทขายตรงข้ามชาติทุกบริษัทว่า มีการบังคับซื้อสินค้าในทุกๆเดือน เพื่อรักษาผลตอบแทนหรือไม่

4.ให้สคบ.ตรวจสอบบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับ 1,2,3 ว่า แจ้งรายการสินค้ากับสคบ.ครบทุกรายการหรือไม่ เพื่อแสดงให้เห็นว่า สคบ.ไม่ได้มี 2มาตรฐาน และ 5. การที่ดีเอสไอได้จับตัวนายเนตินันท์ ประดิษฐ์ชัย เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2553 ดีเอสไอจะต้องปล่อยตัวในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เพื่อให้สามารถต่อสู้คดีได้อย่างยุติธรรม...นั่นคือ ทั้งหมดของแถลงการณ์ของกลุ่มสมาชิกปูแดง โดยมีชมรมกลุ่มพลังเครือข่ายขายตรงเป็นตัวแทน

เกษตรกรร่ำไห้!ร้องหาปูแดง
ด้าน“สาธิต แดงจันทร์” หนึ่งในผู้นำธุรกิจ “ปูแดงไคโตซาน”กล่าวว่า อยากเรียกร้องขอความยุติธรรมให้กับ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด รวมถึงพี่น้องเกษตรกรไทยที่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ โดยอยากที่จะฝากถึงท่านนายกรัฐมนตรี รวมถึงหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นดีเอสไอหรือสคบ.ว่า หากมีความสงสัยอะไร ขอให้ได้พิสูจน์อย่างถูกต้องและยุติธรรม มีผู้เสียหายชัดเจนเสียก่อน การตรวจสอบต้องมีความโปร่งใส อย่าได้เอนเอียงฟังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งหากพบบริษัทที่เขาโกงจริง ก็ขอให้จัดการหน่อย แต่หากเป็นบริษัทที่เขาดำเนินธุรกิจ โดยที่ไม่มีการโกงเกิดขึ้น อยู่มาประมาณ 8 ปีแล้ว อย่างบริษัท เบสท์ 59 จำกัด ขอให้ได้พิจารณาด้วยว่า เขาโกงหรือไม่ การสั่งปิดบริษัท ทำให้สมาชิกต้องได้รับความเดือดร้อน แล้วอย่างนี้ ใครจะรับผิดชอบ เราในฐานะนักธุรกิจและเป็นเกษตรกร หรือผู้บริโภคด้วย ถามว่า สคบ.รับผิดชอบชีวิตของสมาชิกปูแดงได้หรือไม่

“หากอีกไม่กี่วัน เกษตรกรร้องเรียกหา ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ด้วยเพราะต้องการใช้สินค้า แต่ว่าเขาไม่ได้รับสินค้าแล้ว ใครจะรับผิดชอบ ถาม!เกษตรกรมีความเสียหาย ใครรับผิดชอบ และอีกหลายชีวิตของสมาชิกกว่าแสนคนของปูแดง ใครจะรับผิดชอบ หากเขาต้องตกงาน หรือไม่มีรายได้’

”โชติกา ลีเบี้ยว” ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบ่อกุ้ง และแกนนำเกษตรกร จังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า ปูแดง ไคโตซาน ถูกกลั่นแกล้ง ถูกสคบ.และดีเอสไอ หลอกลวง บิดเบือนความจริง และกระทำเกินเหตุกว่าที่ควรจะเป็น ตนในฐานะเกษตรกร ซึ่งเป็นผู้บริโภค และใช้ผลิตภัณฑ์ปูแดง ไคโตซาน พูดได้คำเดียวว่า ผลิตภัณฑ์ปูแดงดีจริง บริษัทสามารถช่วยเหลือและปลดหนี้เกษตรกรได้จริง เห็นได้จากครอบครัวของตน สามารถปลดหนี้ได้บางส่วน จากการใช้ปูแดงไคโตซาน ซึ่งมีหลักฐานทุกอย่าง เพื่อนเกษตรกร จังหวัดปราจีนบุรียืนยันได้ และสามารถตรวจสอบได้ แต่ทำไม ปูแดงจึงถูกยัดเหยียดความผิดให้ จึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับปูแดง ไคโตซาน

นอกจากนี้ ก็ยังมีผู้นำ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ซึ่งเป็นทั้งนักธุรกิจ ผู้บริโภค และเกษตรกรอีกหลายคน ซึ่งบางคนก็ยังอยู่ในอาการโศกเศร้าและร่ำไห้ ต่างได้กล่าวแสดงความรู้สึกต่อกรณีคำสั่งปิด ‘ปูแดง ไคโตซาน’ว่า ไม่มีความยุติธรรม และไม่มีความเป็นจริงแต่ประการใด เพราะปูแดงไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ พร้อมทั้งโชว์รถ ที่ซื้อมาด้วยหยาดเหงื่อในการทำธุรกิจปูแดง และโชว์ผลผลิตทางการเกษตรที่ได้รับหลังการใช้ ‘ปูแดง ไคโตซาน’ที่ได้หอบหิ้วมาจากต่างจังหวัด เพื่อนำมาฝากประธานบริษัท และเพื่อนๆสมาชิกปูแดง แต่ไม่ทันได้แจกจ่าย ก็ได้ยินข่าวร้ายแล้ว

บางคนบอกว่า ทำธุรกิจปูแดงมาหลายปี ยังไม่เคยพบการร้องเรียนเลย และที่สำคัญ ปูแดงยังทำให้เกิดผลิตภัณฑ์การเกษตรหลากหลาย ในตลาดขายตรง โดยยึดปูแดงเป็นต้นแบบ พร้อมกับเชื่อมั่นว่า ทำธุรกิจปูแดงแล้ว มีชีวิตที่ดีขึ้นจริง มีเงินสามารถส่งเสียให้ลูกเรียน มีเงินออมเงินเก็บ และเงินทุกบาท ก็ไม่ได้โกงใครเขามา

ณ วันนี้ เกษตรกรไทยย่ำแย่อยู่แล้ว แต่ทำไมถึงมาซ้ำเติมเกษตรกรไทยอีก ทั้งๆที่เกษตรกรใช้ปูแดงแล้ว สามารถลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตได้จริง ซึ่งตรงนี้ คือ การทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ จึงอยากให้รัฐบาลช่วยที ช่วยไปถามเกษตรกรที่เขาใช้ปูแดงว่า เขามีผลผลิตดีจริงหรือไม่ ลดต้นทุนได้จริงหรือไม่ และมีรายได้เพิ่มจริงหรือเปล่า หากเป็นจริงแล้ว ก็ขอธุรกิจ‘ปูแดง ไคโตซาน’กลับคืนมา
การประท้วงของพลังสมาชิกปูแดง ไม่ว่าจะเป็นที่ดีเอสไอ หรือที่รัฐสภานั้น ต่างแสดงให้เห็นว่า สมาชิกปูแดงมีความเดือดร้อนจริง เกษตรกรผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ปูแดงมีความเดือดร้อนจริง หากปูแดงเป็นแชร์ลูกโซ่ เชื่อว่า พวกบรรดาผู้นำหรือแม่ทีมคงไม่มารวมตัวกันเดินประท้วง คงจะต้องหอบเงินหนีไปหมดแล้ว คงจะต้องวิ่งแบบตัวใครตัวมัน คงจะไม่มีความคิดเดียวกัน แต่วันนี้ยังคงยืนอยู่ครบทุกคน แล้วจะไม่หนีไปไหนด้วย เพราะมั่นใจว่า ธุรกิจปูแดงไม่ใช่แชร์ลูกโซ่

ฉะนั้น พลังสมาชิกปูแดงจึงจำเป็นต้องรวมตัวกัน เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำเกินกว่าเหตุของสคบ.และดีเอสไอ ส่งผลให้สมาชิกขาดรายได้ และหลายคนต้องตกงาน ที่สำคัญเกษตรกรเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ ‘ปูแดง ไคโตชาน’ใช้

แจ้งสน.เอาผิดสคบ.-ดีเอสไอจ่ายค่าเสียหายสมาชิก
ถัดมา เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2553 พลังเครือข่ายของบริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือ ‘ปูแดง ไคโตซาน’กว่า 1,000 คน ก็ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสาองห้อง เขตหลักสี่ (24 ม.ค.2553) เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากสำนักคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หลังสคบ.และดีเอสไอกระทำเกินกว่าเหตุ เพิกถอนใบอนุญาต ตรวจค้นบริษัท จับผู้บริหาร ยัดข้อหาแชร์ลูกโซ่ จนทำให้บริษัท เบสท์ 59 จำกัด ต้องปิดกิจการ และทำให้สมาชิกเครือข่ายของบริษัทได้รับความเดือดร้อน และขาดรายได้จำนวนมาก

นายสาธิต แดงจันทร์ หนึ่งในแกนนำของสมาชิกบริษัท เบสท์ 59 จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้สมาชิก ‘ปูแดง ไคโตซาน’ ซึ่งมีมากกว่า 3 แสนราย ทั่วประเทศ ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ทุกคนขาดรายได้ ไม่มีสินค้าใช้ ครอบครัวเดือดร้อนไปทั่วหน้า หลังจากดีเอสไอ และสคบ. ได้บุกค้นบริษัท เมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา พร้อมตั้งข้อหาร้ายแรงจนเกินกว่าเหตุว่า เป็นแชร์ลูกโซ่ ส่งผลให้บริษัทต้องหยุดกิจการไปโดยปริยาย ทั้งๆที่การทำธุรกิจขายตรงก็ทำเหมือนกับบริษัทอื่น คือ ซื้อสินค้าใช้ดีแล้วบอกต่อ ทำให้เกิดรายได้ ที่แน่นๆ ก่อนบริษัทจะยุติการทำขายตรงโดยคำสั่งสคบ. ไม่เคยได้ข่าวว่า มีสมาชิกคนไหนถูกบริษัทโกงเงินเลยแม้แต่รายเดียว
‘การที่บริษัทถูกตั้งข้อหารุนแรงแบบนี้ เชื่อว่า น่าจะถูกกลั่นแกล้งมากกว่า เพราะสินค้าและแผนตลาดของปูแดง ราคา และการจ่ายผลตอบแทน ไม่เคยเอาเปรียบเกษตรกร จึงเป็นที่ถูกใจของประชาชนทั่วประเทศ แต่ดีเอสไอ กลับตั้งข้อหาร้ายแรง จนเกินกว่าเหตุถึงกับยกระดับให้เป็นแชร์ลูกโซ่ ตรงนี้สมาชิกรับไม่ได้จริงๆ หรือถ้าบริษัทจะมีบางส่วนที่ได้กระทำผิดไปบ้าง อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สคบ.และดีเอสไอ ก็น่าจะมีโอกาสลงโทษจากเบาไปหาหนัก ด้วยการสั่งปรับบริษัท แล้วให้แก้ไขในส่วนที่ผิดให้ถูกต้อง แค่นี้ก็น่าจะเป็นการลงโทษที่เหมาะสม แต่หน่วยงานรัฐไม่ให้โอกาสตรงนี้เลย ใช้มาตรการรุนแรงเสมือนหนึ่งว่า ได้ตั้งธงไว้แล้ว’

นายสาธิตกล่าวอีกว่า การทำงานของสมาชิก ก็เหมือนๆกับเครือข่ายหรือขายตรงทั่วไป คือ ชวนคนเข้ามาบริษัท เพื่อรับฟังสิ่งดีๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนการจ่ายผลตอบแทน สินค้า ซึ่งหลายบริษัทก็ทำในลักษณะนี้ คือ ซื้อสินค้าไปใช้ดีแล้วบอกต่อ ทำให้เกิดรายได้ สินค้าปูแดงใช้แล้วเห็นผล เพิ่มผลผลิตได้จริง พิสูจน์ได้ เป็นการสร้างอาชีพที่ดี เมื่อดีเอสไอได้ตัดตอนทำลายอาชีพของพวกเราชาวปูแดงอย่างนี้ ก็ทำให้เราขาดรายได้ ขาดโอกาส ครอบครัวเดือดร้อน เกษตรกรไม่มีสินค้าใช้ สมาชิกทั่วประเทศ จำเป็นต้องมาแจ้งความร้องทุกข์ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมกับดีเอสไอและสคบ. ซึ่งเป็นต้นเหตุให้สมาชิกปูแดงทั่วประเทศได้รับความเสียหายจากการทำอาชีพขายตรง ที่แน่ๆดีเอสไอออกข่าวข่มขู่ประชาชนให้มาแจ้งความร้องทุกข์ กับดีเอสไอ ปิดบริษัทเขาไปแล้ว ยังจะบีบให้เขามาเป็นพวกอีก นี่หรือ ความยุติธรรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น