วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การทำทานในพระพุทธศาสนา

คำถาม:กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ กระผมมีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องการทำทานในพระพุทธศาสนาว่า มีวัตถุประสงค์อย่างไร และทำได้กี่ประเภทครับ

ตอบ:ก่อนอื่นทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า คำว่า ทาน นั้นจริงๆแล้ว เป็นภาษาแขก ภาษาอินเดีย ภาษาไทย คือ ให้ ชัดๆลงไปนะ ทาน ก็คือ ให้

ทีนี้วัตถุประสงค์ของการให้ แบ่งออกได้ 4ประเภทด้วยกัน ตั้งแต่

ประเภทที่1.ให้เพื่ออนุเคราะห์ คือ ผู้ใหญ่ให้กับเด็ก อย่างนี้...ให้เพื่อการอนุเคราะห์

ส่วนประเภทที่2.ให้อีกเหมือนกัน แต่...ให้เพื่อการสงเคราะห์ คือ ใครเดือดร้อนมา คนยากจน หรือไม่ยากไม่จนหรอก แต่ว่าไฟไหม้-น้ำท่วมขึ้นมาแล้ว...มันเดือนร้อน มันก็ต้องให้ ให้แบบนี้ก็เป็นเรื่องให้ที่เขาเรียกว่า สงเคราะห์ คือ ใครตกทุกข์ได้ยาก ก็ช่วยกันล่ะนะ จะใจไม้ไส้ระกำกันได้อย่างไร มีข้าวให้ข้าว มีของให้ของ ช่วยกันคนละไม้ละมือ

ประเภทที่3.ก็ให้อีกเหมือนกัน แต่ว่าเป็นการให้ที่คำนึงถึงพระคุณ ที่เขาเคยหว่านมากับเรา เคยเลี้ยงดูเรามา เคยให้ความรู้เรามา เราเจ็บไข้ได้ป่วย เขาเคยหยิบยื่นมือมาช่วยเหลือเรา...คิดถึงพระคุณของเขา เราก็เลยหาทาง มีอะไรที่คิดว่าถูกใจเขา หรือเป็นประโยชน์ต่อเขา...เอาไปให้ ให้ชื่นใจกัน นี่ก็เป็นการให้ประเภทที่3

ถ้าประเภทที่4.ก็จะเป็นการให้เพื่อจะเอาบุญ ให้เพราะรู้ว่าการให้เป็นความดี เมื่อทำความดีด้วยการให้อย่างนี้ ผลออกมาเป็นบุญ ในพระพุทธศาสนาที่พวกเราต้องศึกษากันมาก อยู่ที่การให้ด้วยวัตถุประสงค์ที่4 นี่เอง

ทีนี้ การให้เพื่อให้เกิดเป็นบุญ เป็นกุศลกันขึ้นมา เป็นความดีขึ้นมา มันก็มีหลักมีเกณฑ์ของมัน คือ ไม่ใช่ให้แบบเหวี่ยงแห ให้เพราะว่ามีปัญญารู้ว่า การให้นี่มันมีผลทางด้านจิตใจ คือ อย่างน้อยมันก็ทำให้คลายความตระหนี่ คลายความหวงแหน นี่รู้ขั้นต้นรู้อย่างนี้

ถ้ารู้ลึกไปอีกว่า เมื่อมันคลายความตระหนี่ คลายความหวงแหนลงไปแล้ว บุญยังเกิดขึ้นในใจด้วย แล้วบุญนี้...เมื่อบุญเกิดขึ้นในใจแล้ว ยังทำให้ใจใส ใจสว่าง ใจสะอาด ขึ้นมา ตามมาอีกด้วย แต่สิ่งเหล่านี้ มันเป็นเรื่องของการให้ประเภทที่4

ทีนี้การให้ประเภทที่4.จึงจัดเป็นการให้ของคนที่คนที่มีปัญญา คนที่ฉลาด มองรู้ทะลุปรุโปร่งในเรื่องของบุญ เมื่อมันเป็นอย่างนี้ ก็ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบด้วย

คนฉลาดนั้น...ไม่ใช่ให้แบบเหวี่ยงแห มันก็ต้องคำนึงนะ เมื่อรู้ว่าการให้ทานก็มีผลเหมือนอย่างกับอะไร...รู้ว่าปลูกพืชปลูกผักแล้วมันมีผล มันก็ต้องคำนึงกันแล้ว จะปลูกพืช ปลูกผัก ปลูกข้าว นี่คำนึงอะไรกันบ้างล่ะ

พันธุ์ข้าวที่จะเอาไปปลูกก็ต้องคำนึง

พื้นที่นา...ถ้ามันแล้งไป น้ำท่วมจัดไป...ไม่ได้เรื่องหรอก มันต้องพอดีๆ อย่างที่เขาเรียกว่า เนื้อนาดี

แล้วอันที่สาม ตัวของเราเอง...มันก็ต้องมีปัญญาด้วยนะ ถ้าโง่ๆไม่มีปัญญา พอหว่านข้าวกล้าลงไปเดี๋ยวก็ตายหมด

เช่นกัน รู้ว่าการทำบุญนี้...การให้ประเภทที่4...นี้ มันเป็นบุญเป็นกุศลเกิดขึ้นแล้ว คำนึงอะไร

ประการที่1.ประโยชน์อะไรบ้างที่จะเกิดขึ้นกับเรา แล้วทำอย่างไรจะให้ประโยชน์นั้นมันสมบูรณ์ให้ได้ ซึ่งเมื่อคำนึงแล้ว เราก็พบว่าประโยชน์จะสมบูรณ์นั้น เราต้องมองทะลุปรุโปร่งอย่างที่ว่านี้ว่ามันส่งผลอย่างไร

ประการที่2.พันธุ์ข้าวที่ว่าเมื่อกี้ที่อุปมา คือ อะไร คือ สิ่งของที่จะเอามาทำบุญทำทานที่จะให้กันนั้น มันต้องคัดแล้วคัดอีก เอาไอ้ที่ดีๆ มันมีผลต่อไปภายหน้า พันธุ์ข้าวดีๆต้องปลูกในเนื้อนาดี ฉันใด ของดีๆจึงจะเอามาทำบุญ ฉันนั้น ของเศษๆ เดนๆ อะไรทำนองนี้ ป่วยการเอาไปทำบุญ ไม่เข้าท่าหรอก

ประการที่3.เนื้อนาดีเป็นอย่างไร...ผู้ที่มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ในตัวนั้นแหละ คือ เนื้อนาบุญของเรา ใครล่ะ...ก็พระภิกษุผู้ทรงศีล ยิ่งถ้าเป็นพระภิกษุที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม...นี้ดีที่สุด ไม่อย่างนั้น ถ้าหาพระภิกษุไม่ได้ ก็ผู้ทรงศีลทรงธรรม ถ้าเขามีศีลมีธรรม ถ้าอย่างนั้นพอจะเป็นเนื้อนาบุญให้เราได้

ประการที่4.ตัวของเราเองนั้นก็ต้องมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องกันทีเดียว เช่น ไม่ใช่เมาเหล้าแล้วไปทำทาน ตัวของเราต้องมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ในตัว มีศีลมีธรรมประจำใจ

การที่มีองค์ประกอบอย่างนี้ครบ พูดง่ายๆ ไทยธรรมก็มี เนื้อนาบุญ คือ พระภิกษุก็มี ตัวเราเองศรัทธาเต็มเปี่ยม มีสติ มีปัญญา มีความบริสุทธิ์อยู่ในตัว มองทะลุปรุโปร่งว่า การให้ทานครั้งนี้แล้วจะมีผลอย่างไรต่อไปในภายภาคหน้า ภายภาคหน้าชาตินี้หรืออนาคตข้างหน้า รวมทั้งชาติหน้า คือ ชีวิตหลังความตายของเราด้วย มองทะลุปรุโปร่งอย่างนี้แล้วก็ทำทาน อย่างนี้ล่ะได้บุญเยอะ

ถามว่า ทานมีกี่ประเภท คำตอบ คือ มี 3ประเภทด้วยกัน...โดยย่อนะ ได้แก่

1.ให้สิ่งของเป็นทาน เรียกกันว่า อามิสทาน เช่น ให้ข้าวปลาอาหาร ผ้าผ่อนท่อนสไบ เป็นต้น

2.ให้ความรู้เป็นทาน หรือ ธรรมทาน ให้ความรู้ ทางโลกท่านเรียกว่า วิทยาทาน ให้ความรู้ ทางธรรม ท่านเรียกว่า ธรรมทาน

3.ให้...อภัยทาน คือ ไม่จองเวรจองกรรมอะไรกับใคร ใครเข้าใกล้เราถือว่าปลอดภัย

นี้ก็เป็นการทำทานในพระพุทธศาสนาของเรา ซึ่งได้บุญได้กุศลกันเยอะๆ ทั้งชาตินี้และติดตัวข้ามชาติกันทีเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น