วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ธรรมทานชนะการให้ทั้งปวง”

คำถาม:จากที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้เอ่ยถึงเกี่ยวกับคำว่า ธรรมทาน อยากเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ธรรมทานชนะการให้ทั้งปวง” ครับ

ตอบ:ถามดีคุณโยม...ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้มุ่งเน้นกันที่ธรรมทานให้มาก โดยตรัสว่า สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ คือ การให้ธรรมทาน วิเศษกว่าให้ทานอย่างอื่น ทำไมพระองค์ตรัสอย่างนั้น ก็นึกถึงความจริงก็แล้วกัน โบราณท่านเคยพูดเอาไว้แบบโลกๆ ท่านบอกว่า ถ้าเราให้ข้าวเขาไปสักถังหนึ่ง กระสอบหนึ่ง อย่างมากเขากินได้ไม่กี่วันหรอก แล้วมันก็หมด แต่ว่าถ้าสอนวิธีปลูกข้าวให้เขา เขาก็จะมีข้าวกินตลอดทั้งชาติ ไม่ใช่วันเดียว เดือนเดียว ปีเดียว แต่ตลอดชาติกันทีเดียว

พูดง่ายๆ สอนให้ใครมีความรู้แล้วล่ะก็ ความรู้นั้นมันกินไม่หมด มันใช้ได้ตลอดปี นี่ขนาดแค่ความรู้ทางโลกนะ คือ เรื่องการปลูกข้าว ยังทำให้มีข้าวกินได้ทั้งปี แต่ว่าปัญหาของมนุษย์เรานั้น มันไม่ได้อยู่แค่ความหิว ปัญหารวมๆของโลกมนุษย์มันมีอยู่ 3เรื่องใหญ่ๆ คือ

1.ความรู้ไม่ทันโลก ปรากฏการณ์ต่างๆในโลกนี้ ตั้งแต่ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แผ่นดินถล่ม อะไรก็ว่ากันไป นั่นก็เป็นความรู้ เป็นประสบการณ์เกี่ยวกับโลก

2.ความรู้ไม่ทันคนอื่นเขา ก็เลยโดนโกง โดนรังแก...กันสารพัด

3.ความรู้ไม่ทันกิเลส

ความรู้ไม่ทันโลกนั้น เราหาเทคโนโลยีศึกษาที่ไหนก็ได้ในยุคปัจจุบันนี้ เพราะว่าด้านวิชาการตำรับตำราเดี๋ยวนี้มีเยอะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก หรือว่าในเรื่องของความไม่ทันคน ความไม่ทันคนก็มีตำรับตำราป้องกันการโกงกันเยอะแยะอีกเหมือนกัน แต่ว่าความไม่ทันคน ไม่ทันโลกยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญกว่านั้นมีอยู่ แล้วจัดว่าสำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ก็คือ เราเกิดมาพร้อมกับความโง่ และวันที่เกิดมาก็มีสิ่งหนึ่งห่อหุ้มใจ บีบคั้นใจเรา คือ กิเลสในตัวของเรา มันฝังมาอยู่ในใจเรา ตั้งแต่เราอยู่ในท้องแม่

เพราะฉะนั้นพอเกิดขึ้นมา กิเลสมันบีบคั้นเรา ทำให้เราเสียหายเยอะแยะเลย ทำให้เราคิดโลภ คิดโกรธ คิดหลง เมื่อคิดไม่ค่อยดีอย่างนั้นแล้ว มันก็เลยทำให้พูดไม่ดี ทำไม่ดีตามมา ซึ่งความรู้ที่จะมากำจัดกิเลสนี้ คนทั้งโลก ศาสดาทั้งหลายที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์โลกมนุษย์นี้ ไม่รู้หรอก มีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเท่านั้น ที่ทรงรู้ความลับเรื่องนี้ว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับกิเลสที่อยู่ในใจ

สิ่งที่พระองค์ทรงนำมาสอนนั้น เรื่องใหญ่ๆเลยก็คือ เรื่องของการปราบกิเลสที่อยู่ในใจ ความรู้ที่จะเอามาปราบกิเลสซึ่งฝังอยู่ในใจมนุษย์นี้ ท่านเรียกว่า ธรรมทาน ถ้าปราบกิเลสตรงนี้ได้ล่ะก็ เรื่องทันโลก เรื่องทันคน เป็นเรื่องเล็กเลย เพราะว่าเมื่อกิเลสหมดไป มองโลกทั้งโลกเห็นได้ชัดเจน เหมือนอะไร...เหมือนอย่างกับเห็นผลส้มในฝ่ามือ คือ มันเห็นชัดเจน เห็นรอบเลย ถ้ายังเห็นไม่ชัดจะผ่าออกมาดูก็ยังได้

ผู้ที่ศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาดีจริง ฝึกตัวเองมาดีจริง โดยอาศัยธรรมทานที่ได้จากผู้รู้แล้วล่ะก็ ประเดี๋ยวเดียวรู้ทันโลก เห็นโลกเหมือนของเด็กเล่น เหมือนยังกับผลส้มในผ่ามือ

ปราบกิเลสไปแล้ว ปราบกิเลสในตัวของเราไปได้มากเท่าไหร่ ก็เห็นอีกเหมือนกัน เห็นอะไร…เห็นว่าคนที่แสบๆทั้งหลายนั้น แท้ที่จริง มันก็อยากดี แต่ว่ากิเลสที่หุ้มใจ บีบคั้นใจมัน ทำให้มันแสบ มันแสบจนกระทั่งเมื่อก่อนเราตามมันไม่ทัน

แต่ว่าวันนี้ เราทันกิเลสของเราแล้ว มันก็เลยส่งผลให้เรานั้น ทันกิเลสของคนอื่นด้วย ก็เลยรู้ทันคนอื่นตามไปด้วย เป็นผลพลอยได้ ผลหลัก คือ ได้ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วจากธรรมทาน ทำให้เรารู้ทันกิเลสแล้วสามารถปราบกิเลสที่มันอยู่ในใจ กิเลสซึ่งเป็นโรคร้ายอยู่ในใจเรา หรือเหมือนกับไวรัสที่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์นั่นแหละ ได้ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว เราปราบกิเลสเสียเรียบ เมื่อกิเลสเรียบไปแล้ว เราทันกิเลสเสียแล้ว เราก็สามารถที่จะทันคนอื่นด้วย เพราะว่าคนอื่นก็ถูกกิเลสบีบคั้นเช่นเดียวกับเรา

เราทันกิเลสของเรา คราวนี้ไม่ยากที่จะทันกิเลสของคนอื่น ทำให้ทันคนอื่นด้วย แล้วเรื่องต่างๆ ปรากฏการณ์ต่างๆทั้งโลก หนีไม่พ้นปัญญาของเรา

เหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงยกย่องหนักหนาทีเดียวว่า “การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง”

เพราะฉะนั้น ที่คุณโยมตั้งใจมาถามปัญหาธรรมะอย่างนี้ นี่อาตมากำลังให้ธรรมทาน ซึ่งชนะการให้ทั้งปวง เมื่อรู้แล้ว...เอาปฏิบัติให้ดีนะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น