วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

คดี ‘ปูแดง’ แสลงใจ

คดี ‘ปูแดง’ แสลงใจ

> หน่วยงานรัฐ-ภาคธุรกิจ ตายยกโขยง
ควันหลงปฏิบัติการเชือด เบสท์ 59 หรือค่ายขายตรงปุ๋ย “ปูแดงไคโตซาน” ส่อเค้าบานปลาย หลังสองฝ่าย “ยอม หัก ไม่ยอมงอ” ตั้งธงเผด็จศึกให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แม้ยกแรก หน่วย งานรัฐ “สคบ.ดีเอสไอ” จะเปิดฉากรุกก่อน แต่ฝ่ายหลังก็โต้กลับแสบสันต์ แบบ “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” คาดงานนี้ธุรกิจขายตรงได้ ภาพ “เลอะ” มากกว่า “ภาพลักษณ์”

จากเหตุการณ์บุกค้น ตรวจ จับ และปิด “บริษัทเบสท์ 59” ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์การเกษตรภายใต้แบรนด์ “ปูแดงไคโตซาน” ในระบบขายตรง ของดีเอสไอกับ สคบ. ที่สร้างความฮือฮาไปทั่ววงการขายตรงต้อนรับปีใหม่ เนื่องจากบริษัทที่ว่านี้ เป็นค่ายขายตรงดาวรุ่งพุ่งแรง ทั้งยังได้รับรางวัล ผู้ประกอบการดีเด่นอีกด้วย จนเกิดเสียงตามมาว่าเบสท์ 59 ผิดจริง หรือเป็นเหยื่อสร้างผลงานของใครกันแน่...

>สคบ. ย้ำเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่จริง
นายสุวิทย์ วิจิตรโสภา ผู้อำนวยการ ขายตรง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เปิดเผยว่า การตรวจ ค้นครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก ปี 2546 ซึ่งบริษัทเบสท์ 59 ได้รับอนุญาตจาก สคบ. ให้ประกอบธุรกิจขายตรงโดยได้สิทธิ์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ 2 ชนิด คือ ปุ๋ยปูแดง ไคโตซาน และผงชูรสปูแดง

ต่อมาเมื่อปี 2551 บริษัทได้มีการ จำหน่ายผลิตภัณฑ์การเกษตรเพิ่มขึ้นเป็น 45 รายการโดยไม่ได้ผ่านการตรวจ สอบของทางสคบ. จากนั้นก็ได้มีการชักชวนให้สมาชิกไปหาแนวร่วมเข้ามาลงทุนสมัครสมาชิกเครือข่ายเพื่อซื้อสินค้าทางการเกษตร พร้อมแนะนำการจ่ายเงินผลตอบแทน

“จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ป้องปรามการเงินนอกระบบ กระทรวง การคลัง เข้าตรวจสอบพบว่า แผนการ ตลาดดังกล่าวเป็นการจ่ายเงินให้สมาชิก มากกว่าที่กฎหมายได้กำหนดในอัตราร้อยละ 4-6 บางแผนจ่ายมากถึง 100% อีกทั้ง เมื่อกรมวิชาการเกษตร เข้าตรวจ สอบผลิตภัณฑ์ปุ๋ยปูแดงไคโตซาน ซึ่งไม่พบสารที่เป็นปุ๋ยหรืออาหารพืชแต่อย่างใด ส่วนผงชูรสปูแดงพบว่า มีสารของปุ๋ยผสมอยู่ ทั้งนี้ก่อนหน้า ทาง สคบ.ได้เพิกถอนใบอนุญาตขายตรง แต่ทางบริษัทยังคงเปิดดำเนินการอยู่ ทางดีเอสไอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อจับกุม”

สำหรับแผนการตลาดของปูแดงไคโตซาน สมาชิกต้องจ่ายเงินซื้อผลิต ภัณฑ์ 3.5 พันบาท บวกค่าสมัครสมาชิก 300 บาท เพื่อแลกซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัท 1 ชุด และจะได้รับรหัสสมาชิกในการได้รับสิทธิหาผู้ที่สนใจมาร่วมสมัครเพิ่มขึ้น โดยหากสามารถหาผู้สมัครมาเพิ่มได้ก็จะมีส่วนแบ่งปันผล 500-1,000 บาท ต่อสมาชิกใหม่ 1 คน

ซึ่งเป็นผลจ่ายค่าตอบแทนที่มากเกินกว่ากฎหมายได้กำหนดเข้าข่ายแชร์ ลูกโซ่ ทั้งยังเป็นการนำเงินสมาชิกใหม่ มาจ่ายให้กับสมาชิกเก่า จนไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนได้ และ จากการตรวจสอบลงไปพบว่าบริษัทมียอดเงินหมุนเวียนเดือนละกว่า 100 ล้านบาท มีสมาชิกนักขายกว่า 1.1 หมื่นคน

“ในการทำธุรกิจขายตรง รายได้หลักต้องมาจากการจำหน่ายสินค้า ไม่ใช่ มาจากการระดมทุนจากสมาชิกนักขาย แต่เบสท์ 59 กลับมีรายได้หลักมาจากการสมัครสมาชิกของผู้ที่สนใจร่วมทำธุรกิจ อีกทั้งบริษัทนี้ยังได้มีการละเมิดจำหน่ายสินค้า โดยที่ยังไม่ได้ขออนุญาต สคบ.” ผอ.ขายตรง เผย

โดยเบสท์ 59 ได้จดทะเบียนสินค้า กับสคบ. เพียง 2 ตัว แต่เมื่อ 2 ปีที่ผ่าน มา บริษัทกลับมีสินค้าเพิ่มถึง 45 รายการ ซึ่งทุกรายการยังไม่ได้ผ่านการ ตรวจสอบของ สคบ. และทางหน่วยงาน ก็ได้สั่งปิดบริษัทไปตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่เบสท์ 59 กลับยังเปิดดำเนินการต่อ ทางหน่วยงานจึงต้องนำกำลังเข้าตรวจค้น ตามหมายศาล ที่ออกมา

ทั้งนี้ จากการออกมาตอบโต้ของบริษัท เบสท์ 59 ว่า สคบ. พยายามปิด กั้นการเติบโต และพยายามจับผิดบริษัท ลูกหม้อไทย และเปิดทางให้บริษัทข้ามชาตินั้น คงไม่มีใครตอบได้ว่า สิ่งที่กล่าว หามานั้น เป็นความจริงมากน้อยเพียงใด นอกจากทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่มีคำตอบ

>ย้อนรอยปฏิบัติการตัดตอน เบสท์ 59
ต่อมาเมื่อวันที่ 19 มกราคม เวลา 10.00 น. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรม สอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ สั่งการ ให้ พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ป้องปราบการเงิน นอกระบบ กระทรวงการคลัง เจ้าหน้าที่ สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ประมาณ 100 นาย นำหมายศาลอาญา กระจายกำลังเข้าตรวจค้นตามสถานที่ต่างๆ เพื่อหาพยานหลักฐานดำเนินคดี บริษัท เบสท์ 59 จำกัด

ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์การเกษตรในระบบขายตรง ภายใต้แบรนด์ ปูแดง ไคโตซาน และผงชูรสปูแดง โดยทางดีเอสไอที่เข้าบุกตรวจค้นจับกุมนั้น ได้ยื่นความผิดข้อหาฉ้อโกงประชาชนให้กับบริษัทดังกล่าว และกู้ยืมเงินที่เป็น การฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ พร้อมกันนี้ ยังได้ออกหมายจับนายสมปอง แซ่ตั้ง อายุ 51 ปี ประธาน บริษัท นายธนาพัทธ์ กิจใบ อายุ 46 ปี นายวิชาญ จำปาขาว อายุ 41 ปี และนายเนตินันท์ ประดิษฐ์ชัย อายุ 28 ปี 3 คนหลัง เป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัท หลังพบว่าได้มีการจ่ายเงินตอบแทน ให้สมาชิกเกินกว่าที่ทางกฎหมายได้กำหนด และประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต

โดยจุดแรกที่ทางดีเอสไอบุกเข้าไปคือบริษัท เบสท์ 59 จำกัด เลขที่ 34/6 ถนนแจ้งวัฒนะ หมู่ 1 ตำบลคลองเกลือ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งทันทีที่เจ้าหน้าที่ของดีเอสไอ นำหมายค้น เข้าไปหาหลักฐานนั้น ก็ต้องพบกับปัญหา เมื่อเจ้าหน้าที่ของบริษัท และสมาชิกนักขายกว่า 100 คนที่อยู่ในบริษัท เกิด ความไม่พอใจตะโกนโห่ร้องขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจค้น

ในเหตุการณ์ดังกล่าว เหล่าพนักงาน และนักขายของบริษัท ได้ตะโกนด่า เสียดสีการทำงานของเจ้าหน้าที่ ทั้งยัง ยืนยันว่าบริษัทได้ประกอบธุรกิจด้วยความใสสะอาด พร้อมนำผลิตภัณฑ์ ปูแดง ไคโตซาน มายืนยันว่าเป็นปุ๋ยบำรุงพืชทางการเกษตรจริง และไม่มีพฤติกรรมหลอกลวง หรือทำแชร์ลูกโซ่แต่อย่างใด อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่เคย ได้รับรางวัลผู้ประกอบการดีเด่นจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ด้วย

จุดที่สอง เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เข้าตรวจค้นบริษัท ปูแดงไคโตซาน จำกัด บริษัทในเครือ เบสท์ 59 เลขที่ 55/88 หมู่ 3 ถนนสาย 345 ต.ลำโพ อ.บาง บัวทอง จ.นนทบรี จุดที่สาม เข้าค้นที่โรงงานทีเอ็นพี ไคโตซาน จำกัด ผู้ผลิต ผลิตภัณฑ์ไคโตซาน ในเครือบริษัท เบสท์ 59 เลขที่ 106/5 หมู่ 4 ต.งิ้วราย อ.นคร ชัยศรี จ.นครปฐม และจุดสุดท้ายคือ บ้านเลขที่ 49/149 หมู่ 8 ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี บ้านพักของนายสมปอง แซ่ตั้ง ประธานบริษัท เบสท์ 59 ก่อนยึดเอกสารและข้อมูลทางคอมพิว เตอร์ ไว้ตรวจสอบต่อไป

>ปูแดงฯ ตอบโต้ สคบ. ปฏิบัติ 2 มาตรฐาน
หลังจากเหตุการณ์การบุกเข้าตรวจ 4 จุดรวดของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. นายณัชรุตม์ ทบวงศรี ประธานกลุ่มพลังเครือข่ายผู้ขายตรงแห่งประเทศไทย ได้ทำการตอบโต้การทำงานของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนี้ว่า ธุรกิจขายตรงที่เป็นบริษัทลูกหม้อของไทย กำลังถูกคุกคามอย่างหนักจากหน่วยงานสคบ. และดีเอสไอ ที่ทำการสุ่มตรวจบริษัทขายตรง ที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ แล้วมักตั้งข้อหาระดมคน ประกอบธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ซึ่งตนไม่ทราบ ว่าหน่วยงานเหล่านี้ทำไปเพื่ออะไร

“ทั้งที่ธุรกิจขายตรงเป็นธุรกิจที่สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐ กิจหลายหมื่นล้านบาท แต่กลับถูกสคบ. นำเอากฎหมายมาเป็นอาวุธฆ่าตัดตอน ทำลายเครดิตความน่าเชื่อถือของบริษัท แม้ไม่พบหลักฐานการกระทำผิดก็ตาม นี่คือพฤติกรรมการทำงานของเจ้าหน้า ที่รัฐ ที่ทำลายอุตสาหกรรมขายตรงของคนไทย”

หาก สคบ. มีความจริงใจ ควรที่จะชี้แนะหรือตักเตือน ไม่ใช่อาศัยแต่กฎหมายเป็นเครื่องมือฆ่าธุรกิจของคนไทย ตรงข้ามกลับปล่อยให้ธุรกิจของต่าง ชาติ ที่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ดำเนินธุรกิจอย่างสบาย ทั้งที่ระบบวิธีการก็ไม่ได้แตกต่างจากบริษัทของคนไทย ทำให้เกิด คำถามว่า สคบ.มี 2 มาตรฐาน ในการดูแลคนไทยกับชาวต่างชาติ

“เรื่องนี้นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ตลอดจนนาย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมต.ยุติธรรม น่า จะลงมาดูในรายละเอียด เพื่อปกป้องธุรกิจของคนไทย โดยเฉพาะการขายตรงที่ช่วยสร้างงานสร้างเงินให้กับผู้ยาก จน ไม่ใช่ปล่อยให้รัฐทำร้ายประชาชน ด้วยการทำงานสองมาตรฐานเช่นนี้” ณัชรุตม์ กล่าว

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลกระทบไปทั่ว ซึ่งไม่เพียงแต่บริษัท เบสท์ 59 จำกัด เท่านั้น แต่ยังได้ส่งผล กระทบต่อเหล่าสมาชิกของบริษัท ที่อาจจะต้องขาดรายได้จากการสั่งปิดบริษัท ซึ่งบางคนที่ยอมลาออกจากงานเดิมเพื่อทุ่มเทเดินสายขายตรงให้กับบริษัท อาจต้องตกงานและขาดรายได้ที่จะมาจุนเจือครอบครัว

ที่มา...http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413342696

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น