วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เกี่ยวกับปุ๋ย คำว่า "ปุ๋ย"

เกี่ยวกับปุ๋ย

คำว่า "ปุ๋ย" นั้น โดยทั่วไปหมายถึงวัสดุใด ๆ ก็ตาม ที่นำมาใช้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้อาหารแก่พืชอาหารพืช หรือที่เรียกกันว่า ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของพืชนั้นมี 16 ธาตุ ได้แก่ ออกซิเจน ไฮโตรเจน คาร์บอน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปตัสเซียม กำมะถัน แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี แมงกานิส ทองแดง โบรอน โมลิบดินัม และคลอรีน

พืชได้รับ ออกซิเจน ไฮโดรเจน และคาร์บอน จากน้ำและอากาศ ทั้งที่อยู่เหนือดินและใต้ดิน ส่วนที่เหลืออีก 13 ธาตุ นั้นพืชได้จากแร่ธาตุต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของดิน
ธาตุอาหารหลักหรือธาตุปุ๋ย มี 3 ธาตุ คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปรตัสเซียม ธาตุอาหารในกลุ่มนี้ พืชต้องการในปริมาณมาก และดินมักจะมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช จึงต้องเพิ่มเติมให้แก่พืชโดยการใช้ปุ๋ย

ธาตุอาหารรองมี 3 ธาตุเช่นกัน คือ กำมะถัน แคลเซียม และแมกนีเซียม ธาตุอาหารในกลุ่มพืชนี้ พืชต้องการในปริมาณมากเช่นกัน แต่ในดินส่วนใหญ่มักจะมีอยู่เพียงพอต่อความต้องการของพืช
กลุ่มสุดท้ายคือ กลุ่มธาตุอาหารเสริม มี 7 ธาตุ คือ เหล็ก สังกะสี แมงกานีส ทองแดง โบรอน โมลิบดินัม และคลอรีน ธาตุอาหารในกลุ่มพืชนี้พืชต้องการในปริมาณน้อย และมักจะมีอยู่ในดินเพียงพอต่อความต้องการของพืชแล้ว

ดัง นั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า การใช้ปุ๋ยคือ การที่มนุษย์พยายามเพิ่มเติมธาตุอาหาร ให้แก่พืชนอก เหนือจากที่พืชได้รับอยู่แล้วโดยธรรมชาติ

ปุ๋ยแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมี
ปุ๋ยอินทรีย์ คือ ปุ๋ยที่ได้จากสิ่งที่มีชีวิต ได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด ขึ้ค้างคาว กระดูกป่น และเลือดแห้ง เป็นต้น
ปุ๋ยเคมี คือ ปุ๋ยที่ได้จากสิ่งมีชีวิต เช่น จากหิน หรือแร่ธาตุต่าง ๆ หรือจากการสังเคราะห์ขึ้น เช่น ปุ๋ยยูเรีย แอมโมเนียมซัลเฟต หินฟอสเฟตบด หรือปุ๋ยเคมีสูตรต่าง ๆ ที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไป
แม้ ว่าปุ๋ยเคมีจะมีธาตุอาหารพืชอยู่มากกว่าปุ๋ยอินทรีย์ก็ตาม แต่ปุ๋ยเคมีไม่สามารถทดแทนปุ๋ยอินทรีย์ได้ทั้งหมด เพราะปุ๋ยเคมีไม่มีคุณสมบัติในการปรับปรุงโครงสร้างของดินให้โปร่งและร่วน ซุยได้

นอก จากนั้นปุ๋ยเคมีส่วนใหญ่มักจะไม่มีธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริมครบทุกธาตุเหมือนปุ๋ยอินทรีย์ปุ๋ยเคมีทั่ว ๆ ไป จะเกี่ยวข้องกับธาตุอาหารอยู่ 3 ธาตุ คือ ธาตุไนโตรเจน ธาตุฟอสฟอรัส และธาตุโปรตัสเซียม ซึ่งทั้ง 3 ธาตุนี้ ก็คือธาตุปุ๋ยนั้นเอง จึงอาจแบ่งปุ๋ยเคมีออกตามจำนวนธาตุที่มีอยู่ในปุ๋ยได้ โดยแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ปุ๋ยเดี่ยวและปุ๋ยผสม

ปุ๋ยเดี่ยว คือ ปุ๋ยที่มีธาตุปุ๋ยอยู่เพียงธาตุเดียว เช่น ยูเรีย มีไนโตรเจนเพียงธาตุเดียว หรือโปรตัสเซียมคลอไรด์ มีโปรตัสเซียมอยู่เพียงธาตุเดียว เป็นต้น

ปุ๋ยผสม จะมีธาตุปุ๋ยอยู่ 2 หรือ 3 ธาตุ เช่ย ปุ๋ยสูตร 16 - 20 - 20 มีธาตุไนโตรเจน และธาตุฟอสฟอรัสเพียง 2 ธาตุ ส่วนปุ๋ยสูตร 15 - 15 - 15 จะมีธาตุ ธาตุไนโตรเจน ธาตุฟอสฟอรัส และธาตุโปรตัสเซียม ครบ 3 ธาตุเป็นต้น

บนกระสอบหรือภาชนะซึ่งบรรจุปุ๋ยเคมีนั้นโดยปกติ จะมีตัวเลขอยู่ 3 จำนวน แต่ละจำนวนจะมีขีดคั่นกลาง เช่น 46 - 0 - 0, 16 - 20 - 0 หรือ 15 - 15 - 15 เป็นต้น ตัวเลขที่อยู่หน้าสุดนั้นเป็นตัวเลขแสดงเปอร์เซ็นต์ ของเนื้อธาตุไนโตรเจน ตัวเลขกลางเป็นเปอร์เซ็นต์ ของเนื้อธาตุฟอสฟอรัส และตัวเลขตัวหลังเป็นเปอร์เซ็นต์ ของเนื้อธาตุโปตัสเซียม โดยน้ำหนัก ตัวเลขทั้ง 3 จำนวนนี้ เรียกว่า “สูตรปุ๋ย"

ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ประกอบด้วย
เนื้อธาตุไนโตรเจน 13 กก.
เนื้อธาตุฟอสฟอรัส 13 กก.
เนื้อธาตุโปตัสเซียม 21 กก.

ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ประกอบด้วย
เนื้อธาตุไนโตรเจน 46 กก.
เนื้อธาตุฟอสฟอรัส 0 กก.
เนื้อธาตุโปตัสเซียม 0 กก.

ดัง นั้น คุณค่าของปุ๋ยจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณเนื้อธาตุอาหารที่มีใน ปุ๋ยนั้น และปุ๋ยที่มีสูตรเหมือนกันก็ควรจะมีคุณค่าเหมือน ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นคนละชื้อหรือคนละตราก็ตาม เช่น ปุ๋ยสูตร 15 - 15 - 15 ไม่ว่าจะเป็นตราใดจะให้ธาตุอาหารพืชเท่ากัน จึงควรเลือกซื้อตราที่ราคาถูกที่สุด ยกเว้นปุ๋ยที่ใช้ในนาข้าว น้ำขังซึ่งไม่สามารถใช้หลักการนี้ได้

ปุ๋ยที่ใช้สำหรับนาข้าวน้ำขัง หรือที่เรียกว่า "ปุ๋ยนา" นั้นเป็นปุ๋ยที่มีคุณสมบัติพิเศษและจะต้องมีข้อความบนกระสอบปุ๋ยว่า "ถ้าใช้เป็นปุ๋ยข้าวแนะนำให้ใช้ในนาดินเหนียว" หรือ "ถ้าใช้เป็นปุ๋ยข้าวแนะนำให้ใช้ในนาดินทราย" จึงจะเลือกซื้อมาใช้ในนาข้าวได้ ปุ๋ยที่ไม่มีข้อความดังกล่าวแม้จะมีสูตรเหมือนกันก็ไม่ควรนำนาใช้ในนาข้าว

สูตรปุ๋ยนั้นถ้านำมาทอนค่าให้เป็นเลขน้อย ๆ ก็จะได้ตัวเลขชุดหนึ่งเรียกว่า "อัตราส่วนปุ๋ย" หรือ "เรโชปุ๋ย" เช่น สูตร 16 - 16 - 8 จะมีอัตราส่วนปุ๋ย 2 ต่อ 2 ต่อ 1 (2 : 2 : 1) หรือ 15 - 15 - 15 จะมีอัตราส่วนปุ๋ย 1 : 1 : 1 หรือ สูตร 16 - 16 - 16 จะมีอัตราส่วนปุ๋ย 1 : 1 : 1 เช่นกัน
ดังนั้น ปุ๋ยที่มีอัตราส่วนปุ๋ยเหมือนกันจึงสามารถใช้แทนกันได้ แต่ปริมาณการใช้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปริมาณเนื้อธาตุในปุ๋ยนั้น

ปุ๋ยที่มีอัตราส่วนปุ๋ยเหมือนกันจะสามารถนำมาเปรียบเทียบราคากัน ได้ว่าปุ๋ยสูตรใดถูกหรือแพงกว่ากัน เช่น ปุ๋ยสูตร 15 - 15 - 15 ซึ่งมีอัตราส่วนปุ๋ย 1: 1 : 1 ราคาตันละ 6,300 บาท และปุ๋ยสูตร 14 - 14 - 14 ซึ่งมีอัตราส่วนปุ๋ย 1: 1 : 1 เช่นเดียวกันแต่ราคาตันละ 6,100 บาท สามารถเทียบราคาได้ว่าควรจะเลือกซื้อปุ๋ยสูตรใด

ราคาต่อ 1 กก. เนื้อธาตุโดยเฉลี่ย = ราคาปุ๋ย 100 กก. / เนื้อธาตุทั้งหมด

ปุ๋ยสูตร 15 - 15 - 15 , ราคาต่อ 1 กก. เนื้อธาตุ = 630 / 45 = 14 บาท

ปุ๋ยสูตร 14 - 14 - 14 , ราคาต่อ 1 กก. เนื้อธาตุ = 610 / 42 = 14.5 บาท

แสดงว่าในการแสดงกรณีนี้เราควรเลือกซื้อปุ๋ยสูตร 15 - 15 – 15

ปุ๋ยยูเรีย 46 - 0 - 0 ราคาตันละ 4,600 บาท และปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต ราคาตันละ 2,800 บาท สามารถเทียบราคาต่อ 1 กก. เนื้อธาตุได้ดังนี้

ปุ๋ยยูเรีย ราคาต่อ 1 กก. เนื้อธาตุได้ดังนี้ = 460 / 46 = 10 บาท

แอมโมเนียมซัลเฟต ราคาต่อ 1 กก. เนื้อธาตุ = 280 / 21 = 13.3 บาท

ดังนั้น ในกรณีนี้เราควรเลือกซื้อยูเรีย

ใน การใช้ปุ๋ยกับพืชแต่ละชนิดให้ถูกต้องนั้น มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายอย่างได้แก่ ชนิดพืช ชนิดดิน เวลาในการใช้ปุ๋ยและวิธีการใช้ปุ๋ย พืชแต่ละชนิดมีความต้องการธาตุอาหารแต่ละธาตุมากน้อยต่างกันไป บางชนิดต้องการธาตุไนโตรเจนมาก บางชนิดต้องการธาตุโปตัสเซียมมาก หรือในพืชชนิดเดียวกันแต่ต่างเวลาก็อาจต้องการธาตุอาหารต่าง ๆ มากน้อยต่างกัน เช่น ในช่วงที่พืชสร้างใบ จะต้องการธาตุไนโตรเจนมาก แต่ในช่วงสร้างผลจะต้องการธาตุโปตัสเวียมมาก เป็นต้น ดินแต่ละชนิดก็มีปริมาณธาตุแตกต่างกัน ดินบางชนิดอาจมีธาตุโปตัสเซียมสูง ส่วนดินทรายมักจะมีโปตัสเซียมน้อย เป็นต้น

วิธีการใช้ปุ๋ยก็มีหลายวิธี เช่น วิธีหว่าน วิธีโรยเป็นแถว หยอดเป็นหลุม เป็นต้น แต่ละวิธีก็มีประสิทธิภาพและความสะดวกไม่เท่ากัน ดังนั้นการใช้ปุ๋ยเพื่อให้ เกิดประโยชน์สูงสุดนั้นสิ่งที่ควรคำนึงถึงก็คือ

1. ใช้ปุ๋ยให้ถูกสูตร

2. ใช้ปุ๋ยให้ถูกอัตรา

3. ใช้ปุ๋ยให้ถูกช่วงเวลา

4. ใช้ปุ๋ยให้ถูกวิธี

เกษตรกรจึงควรดำเนินการให้ถูกต้องตามคำแนะนำการใช้ปุ๋ย สำหรับพืชแต่ละชนิด ซึ่งนักวิชาการได้ให้ไว้

พืชแต่ละชนิดจะเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีช่วง พี.เอช. ต่างกัน แต่พืชทั่ว ๆ ไปจะเจริญเติบโตได้ดีในช่วง พ.เอช. 6.0 - 7.0 ช่วง พี.เอช. ของดินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชแสดงไว้ในตารางที่ ช่วง พี.เอช. ของดิน ที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช

วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แผน 7 Work Starting มีดังนี้

แผน 7 Work Starting มีดังนี้

1. ทดลองซื้อสินค้ามาใช้
แน่นอนถ้าเราไม่ลองซื้อสินค้ามาใช้เลยก็เหมือนเราเปิดร้านอาหาร โดยที่ไม่รู้ว่าร้านเรามีเมนูอะไรรสชาติแบบไหน แบบนี้เราจะไปแนะนำใครให้เข้าร้านก็คงตอบไม่ถูก ดังนั้นเราจึงควรจะทดลองซื้อสินค้าที่เราอยากจะลองใช้มาใช้ดูเอง เพื่อหาความประทับใจจะได้บอกต่อคนอื่น ๆ ได้

2. ดูคู่มือ โปรชัวร์ หรือ CD แนะนำธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ การเปิดโอกาสทางธุรกิจ
หากไม่รู้แผนธุรกิจแล้วจะทำธุรกิจได้อย่างไร ก็ต้องศึกษาจาก Upline จาก ฉenter หรือจาก CD จะได้รู้และอธิบายคนอื่นได้ด้วยเนื้อหาในส่วนนี้เช่น
- การเปิดโอกาสทางธุรกิจ
- ศึกษาแผนธุรกิจ การอธิบายแผนธุรกิจ
- รายละเอียดผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อะไรคือจุดเด่น อะไรคือความคุ้มค่า

3. ศึกษาข้อโต้แย้งต่าง ๆ
อันนี้ความเข้าใจนิดนึง สิ่งที่ศึกษาไม่ใช่ให้ไปเถียงเพื่อนๆ เวลาเขาปฏิเสธ แต่เป็นเนื้อหา เพื่อให้เราตอบคำถามเพื่อนๆ ของเราในแง่มุมต่างๆ ที่เขาสงสัยหรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับธุรกิจ เช่น ธุรกิจนี้เป็นพวกแชร์ลูกโซ่หรือเปล่า หรือว่า อย่ามาชวนเลยเราไม่ชอบขายของฯลฯ ถ้าเราอ่านวิธีตอบข้อโต้แย้งเหล่านี้ย่อมทำให้เรามีความรู้ สามารถอธิบายข้อสงสัยของเพื่อนๆ เราได้

4. ดู CD การทำธุรกิจ และผู้มีประสบการณ์
เรียนรู้ธุรกิจพื้นฐานอย่างเป็นระบบ แนะนำตั้งแต่เราควรเริ่มตรงจุดไหนก่อน ควรทำอะไรก่อนเป็นลำดับ ลองหาซื้อมาดูได้ที่ Center

5. เข้า Center / หลักสูตรอบรมต่าง ๆ
เช่น OPP, SSS และ SMS เพื่อเรียนรู้ระบบทำธุรกิจ เทคนิค ความรู้ในการดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง เพราะการทำธุรกิจ ปูแดง168 นั้น ไม่ได้เน้นไปที่เราต้องออกไปหาคนเยอะๆ หรือขายของเยอะๆ แต่เราจะเน้นไปที่การสอนพัฒนาคนให้ทำธุรกิจอย่างเข้าใจและถูกต้อง ดังนั้นการเข้า Center เพื่อศึกษาหาความรู้นั้นก็เป็นสิ่งสำคัญทีเดียวอีกทั้งยังเป็นการเติมกำลังใจในการทำธุรกิจด้วยครับ เพราะเราได้เจอกับผู้ทำธุรกิจด้วยกันมากมาย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิดกันซึ่งการอ่านเนื้อหาอยู่ที่บ้านเราจะได้ในจุดนี้น้อย

6. เมื่อมีความรู้แล้วก็ชวนเพื่อน ๆ มาร่วมธุรกิจอย่างน้อยซัก 2 คนขึ้นไปไว้ ซ้าย-ขวา แล้วสอนงานให้คนที่เราแนะนำมาทำเหมือนเราตั้งแต่ข้อ 1-7

7. มาถึงขั้นตอนนี้ได้ก็เตรียมรับเงินได้แล้ว
ข้อผิดพลาดที่อย่าพลาดคนส่วนใหญ่ ไฟแรง พอฟังธุรกิจแล้วเกิดไฟมีแรงบันดาลใจอยากรีบทำธุรกิจให้สำเร็จ แล้วเขาไม่ได้เรียนรู้ที่จะทำอย่างถูกต้อง คำตอบก็คือ เขาคนนั้นจะรีบไปทำข้อ 6 (ชวนคน) เลยโดยข้ามขั้นตอน 1-5 ไป แล้วผลเป็นเป็นอย่างไรล่ะ ก็เหมือนเราไปสอบโดยไม่อ่านหนังสือเลย แล้วก็สอบตกกลับมา เพราะชวนใครๆ ก็ไม่สนใจ พูดก็ไม่ถูก ตัวเองก็ไม่มีความรู้ เกิดอาการห่อเหี่ยวท้อแท้ และอาจเลิกไปในที่สุด หรือไม่ก็มาเสียเวลาศึกษาใหม่ แต่ถ้าเราเริ่มศึกษาตั้งแต่แรก รับรองการทำธุรกิจของเพื่อนๆ จะไปได้ฉิวแน่นอน

ภาพยนตร์ที่ชอบดูก็บอกถึงนิสัยได้เช่นกัน

ภาพยนตร์ที่ชอบดูก็บอกถึงนิสัยได้เช่นกัน

ภาพยนตร์ผจญภัย
เป็นนักพูดคนหนึ่ง เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่อาจเลี่ยงได้จะเผชิญหน้ากับมันด้วยความมีสติและแก้ไขปัญหาอย่างดีที่สุด เมื่อใดก็ตามที่คิดว่าความคิดของตัวเองถูกต้องและมีคนโต้เถียง จะพยายามหาหลักฐานต่างๆ มาทำให้คำพูดของตัวเองหนักแน่นขึ้น ไม่ยอมจำนนต่อคำโต้แย้งของใครง่ายๆ เป็นคนฉลาดเฉลียว และมีไหวพริบสูง

ภาพยนตร์อาชญากรรม ลึกลับตื่นเต้น
เป็นคนชอบลงทุน ชอบการเสี่ยง ชอบเรื่องตื่นเต้นผจญภัย อะไรก็ตามที่ท้าทายความสามารถจะต้องกระโดดเข้าไปทำทันที เป็นคนที่ค่อนข้างดื้อรั้น ใครห้ามก็ไม่ฟัง และไม่เคยคิดเมื่อตัดสินใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ภาพยนตร์ตลก
ใครก็ตามที่ชอบภาพยนตร์ประเภทนี้ มักเป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจกับความผิดหวัง สมหวัง หรือเรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้ตนเองไม่สบายใจ เป็นคนที่ปล่อยวางได้ง่าย ไม่ถือโทษโกรธใคร หรือถ้าโกรธก็จะหายเร็วมาก เป็นคนที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้อย่างค่อนข้างมีความสุขทีเดียว

ภาพยนตร์การ์ตูน
หากเป็นคนที่ชอบดูหนังการ์ตูนละก็จะเป็นคนช่างพูด รักเพื่อน และชอบอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงมากๆ เป็นคนที่ไม่ชอบหยุดนิ่ง ชอบแสดงพลังออกมา เวลาเล่าเรื่องต่างๆ ให้เพื่อนฟังก็ชอบขยายความเกินกว่าที่เป็น และเมื่อตั้งใจทำอะไรไปแล้วจะต้องทำให้สำเร็จ

ภาพยนตร์วิทยาศาสตร์
เป็นคนชอบการเปลี่ยนแปลง ชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ และเป็นคนที่ทันสมัยอย่างที่สุดเกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีต่างๆ ชอบการผจญภัย ชอบสิ่งท้าทาย ชอบหาสิ่งแปลกใหม่ให้กับชีวิตอยู่เสมอ

ภาพยนตร์ชีวิต
เป็นคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และสนใจความเป็นไปของคนรอบข้าง เพื่อนฝูงค่อนข้างจะรักมาก เพราะเมื่อเพื่อนมีปัญหาก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออยู่เสมอ และจะเป็นที่ปรึกษาปัญหาชีวิตให้กับผู้อื่นได้ดี

ภาพยนตร์ดนตรี
คนที่ชอบดูดนตรีหรือภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับดนตรีนั้น จะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี และเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เลวร้ายจะต้องเปลี่ยนไปในทางที่ดีเสมอ ผู้คนจะชอบอยู่ใกล้ เพราะความที่เป็นคนมองสิ่งต่างๆ ด้วยความรื่นรมย์ ชอบความสนุกสนาน ชอบแสงสี ชอบไปงานสังคมและงานปาร์ตี้ต่างๆ

ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์
ถ้าสนใจดูภาพยนตร์ประเภทนี้ ก็มักจะให้ความสำคัญกับครอบครัว เพื่อนฝูง คนที่อยู่ในชีวิต มีความจำดีเยี่ยมเกี่ยวกับวันเกิด วันครบรอบแต่งงาน สิ่งที่พวกเขาชอบและไม่ชอบ การทำให้คนรอบข้างมีความสุข คือของขวัญชิ้นใหญ่ที่ทำให้มีความสุขยิ่งกว่า

ภาพยนตร์โรแมนซ์
หากชอบภาพยนตร์ประเภทรักๆ ใคร่ๆ หวานแหววจี๊ดจ๊าด มักเป็นคนที่มีจินตนาการสูง ชอบฝันกลางวัน และฝันอยากมีชีวิตหรูหราสวยงามเช่นเดียวกับตัวเอกในภาพยนตร์ หรืออยากจะมีความรักที่หวานชื่นเหมือนตัวเอกในภาพยนตร์นั้น เป็นคนที่มองโลกเป็นสีชมพู และมักหลีกเลี่ยงความวุ่นวายประจำวันด้วยการหลับตาและสร้างโลกแห่งจินตนาการขึ้นมาในสมอง

ภาพยนตร์สยองขวัญ
ถ้าภาพยนตร์ประเภทสะเทือนขวัญสั่นประสาทเป็นที่โปรดปรานของใครก็ตาม ก็มักจะชอบทำสิ่งต่างๆ ให้ผู้คนประหลาดใจอยู่เสมอ อาจจะจัดเซอร์ไพรส์วันเกิดให้กับคนที่ใกล้ชิด หรือไปเยี่ยมเพื่อนสนิทโดยไม่บอกกล่าวก่อน เป็นคนที่อยู่ไม่เป็นที่ และในสมองจะมีไอเดียใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ เพื่อนๆ จะชอบอยู่ใกล้ เพราะเป็นสีสันของพวกเขา