วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ทำไมท่านซื้อลอตเตอรี่แล้วไม่ถูกรางวัล

ทุกท่านเคยสงสัยบ้างไหมครับว่าเวลาท่านซื้อลอตเตอรี่แล้วทำไมไม่ถูกรางวัล กันบ้างเลย แต่ถ้าหากท่านเป็นคนช่างสังเกตุ ผมแน่ใจเลยครับ ว่าท่านที่คิดจะซื้อลอตเตอรี่ ครั้งต่อไป หรืองวดต่อไป ท่านจะมีโอกาสถูกลอตเตอรี่แน่นอน
มีคำแนะนำเล็กๆน้อยๆ จากผม ไม่รู้ว่าทุกท่านรู้อยู่แล้วหรือปล่าว หากบางท่านรู้อยู่แล้วก็ฟังอีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้ายังก็คิดเสียว่า เป็นความรู้หรือประสบการณ์ใหม่ๆก็แล้วกันครับ

เลขเบิ้ล 00 11 22 33 44 55 66 77 88 99

เลขตอง 000 111 222 333 444 555 666 777 888 999

เห็นตัวเลขก็อย่าพึ่งงง นะครับ ตัวเลขพวกนี้ คือเลขเงิน ที่จะทำให้ทุกท่านถูกหวยทุกงวด หากท่านช่างสังเกตุนิดหนึ้ง ตัวเลขพวกนี้ จะออกทุกงวด เหตุผล หรือครับ หากท่านเป็นคนออกเลขสลากและเป็นผู้พิมพ์และจำหน่าย เลขที่จะทำให้ท่านมีกำไรมากที่สุดคือเลขอะไรครับ หมายถึงท่านเป็นผู้จำหน่ายสลากเองนะครับ เลขที่ทุกคนมองข้าม คือเลขกลุ่มนี้แหละครับ ส่วนใหญ่เลขที่ออกมากในแต่ละงวดคือเลขเบิ้ลมากกว่าเลขตอง

วิธีการซื้อลอตเตอรี่ คือ เวลาซื้อทุกครั้งให้ซื้อติดเลขเบิ้ล ทุกครั้งหากไม่หวังรางวัลเลขท้าย 3 ตัว

ตัวอย่างเลขเบิ้ลที่ออกทุกงวด เลขอะไรก็ได้

00_ _ _ _ _ 11 _ _ _ _ _ 22 _ _ _ _ _33 _ _ _ _ _44


ความแม่นยำ 99.99 % จะออกมาก รางวัลที่ 3 , 4 , 5 มากที่สุด
สำหรับ รางวัลที่ 1 2 %
รางวัลที่ 2 5 %

กรุณาอย่าเชื่อผม โดยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ถ้าหากท่านมีเวลาว่างๆ ท่านหาใบตรวจผลสลาก นำมาเช็คอีกครั้งตั้งแต่รางวัลที่ 2 ถึงรางวัลที่ 5นะครับ แล้วท่านจะพบคำตอบว่าทำไม ว่าท่านจะมีโอกาสถูกลอตเตอรี่ ในงวดต่อๆไป แล้วพบกันนะครับ สวัสดีครับ

คุณประโยชน์และโทษของกาแฟ

พูดถึงเรื่องกาแฟ วันก่อนผมได้ฟังนักจัดรายการทางวิทยุบอกคุณประโยชน์และโทษของกาแฟ ได้ฟังคุณประโยชน์โดย คร่าวๆก็มีประโยชน์เยอะอยู่เหมือนกัน นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าวันหนึ่งๆเราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก.ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย

ผลดีของกาแฟ

กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น ผู้ที่ดื่มกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน มีสมาธิในการทำงาน และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไขหวัด ผลต่อสมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น เช่นการขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เล่นกีฬาได้นานขึ้น ผลดีของกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอนโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และช่วยลดอุบัติเหตุขณะขับรถ

กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกายไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟเพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ

ดื่มนานๆจะติดกาแฟหรือไม่
องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าไม่มีหลักฐานว่ากาแฟจะเป็นสารซึ่งหากดื่มนานๆแล้วจะเสพติด การดื่มกาแฟจะเป็นนิสัยมากกว่าเสพติดเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของกาแฟ และเมื่อหยุดกาแฟบางคนก็เกิดอาการปวดหรือมึนศีรษะเพียงเล็กน้อย

ผลดีของกาแฟต่อสุขภาพ
โรคหอบหืด มีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วจะลดอาการหอบหืด หากดื่มมากกว่า 6 แก้วการทดสอบสมรรถภาพปอดจะดีขึ้น
กาแฟก็เหมือนกับพืชอื่นๆมีสาร flavanoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
การดื่มกาแฟจะลดอาการง่วงนอน และทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และลดอุบัติเหตุขณะขับขี่
กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายความวิตกกังวล
การดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังลดอุบัติการณ์ของนิ่วในถุงน้ำดี
มีหลักฐานพอจะเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อดื่มวันละ 4 แก้ว

กาแฟกันสุขภาพสตรี
กาแฟกับการตั้งครรภ์ The Food Standards Agency ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐานยังไม่พบผลเสียดังกล่าว ประเทศอังกฤษได้แนะนำว่าการดื่มวันละ 3-4 แก้วขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย สำหรับผู้ที่ตั้งท้องหากงดได้ก็น่าจะงด การเป็นหมัน พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่า 1แก้วจะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันเพิ่มขึ้น

กาแฟกับโรคกระดูกพรุน
ยังมีรายงานทั้งสนับสนุนว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน บางรายงานก็กล่าวว่าไม่เกิดโรค ผู้ที่เกิดโรคกระดูกพรุนมักจะได้รับแคลเซียมไม่พอแนะนำว่าควรจะดื่มนมเริมสำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วขึ้นไป

กาแฟกับโรคมะเร็ง
มีรายงานจากWorld Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง มีรายงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟมีผลดีต่อการป้องกันมะเร็งตับอ่อนเล็กน้อย มีรายงานว่าการดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ๋

กาแฟกับโรคหัวใจ
เท่ามีรายงานขณะนี้พบว่าการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วไม่มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ การดื่มกาแฟเป็นประจำไม่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น การดื่มกาแฟครั้งแรกจะทำให้ความดันขึ้นชั่วคราว

กาแฟกับโรคเบาหวาน
จากการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrineเพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

ภาษาอังกฤษแบบผิดๆที่ฮิตติดปาก

ภาษาอังกฤษแบบผิด ๆ ที่ฮิตติดปากคนไทย

--------------------------------------------------------------------

เมื่อเช้านี้ผมได้รับ fwd mail จากเพื่อนคนหนึ่ง อ่านแล้วคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ บล็อกเกอร์ที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร เลยเอามาโพสต์ไว้ให้อ่านกัน เนื้อหามีอย่างนี้ครับ …
ในปัจจุบันมีคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยใช้กันจนติดปากอยู่มากมาย แต่เราเคยรู้ไหมว่ามีบางคำที่ฝรั่งเค้าไม่ได้ใช้อย่างที่เราพูดกันติดปาก
ยกตัวอย่างเช่น 8 คำศัพท์ ต่อไปนี้ที่คนไทยมักใช้อย่างผิด ๆ พร้อมทั้งคำที่ถูกต้องซึ่งคุณควรนำไปใช้เวลาคุยกับฝรั่ง

1) อินเทรนด์ ( in trend for) คำนี้อินเทรนด์มาก ๆ เอ๊ย...ฮิตมาก ๆ ในปัจจุบันสามารถได้ยินตามรายการวิทยุหรือโทรทัศน์ทั่วไป เพราะใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง

เช่น เด็กสมัยนี้ถ้าจะให้อินเทรนด์ต้องตามแฟชั่นเกาหลี ซึ่งบางทีเวลาคุณต้องการพูดว่า " มันทันสมัย " คุณอาจจะติดปากว่า "It is in trend." คำว่า " ทันสมัย " ฝรั่งเค้าไม่ใช้คำว่า "in trend" อย่างคนไทยหรอกครับ

เค้าจะใช้คำว่า "trendy" หรือ "fashionable" ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ที่คุณสามารถวางไว้หน้าคำนามที่ต้องการขยาย เช่น a trendy haircut ทรงผมที่ทันสมัย , a fashionable restaurant ร้านอาหารที่ทันสมัย หรือจะไว้หลัง verb to be เช่น It is trendy. หรือ It is fashionable. ก็ได้

2) เว่อร์ ( over) เช่น ใยคนนั้นทำอะไรเว่อร์ๆ She is over. ไม่มีความหมายแต่อย่างใดในภาษาอังกฤษ ฝรั่งที่ได้ยินคุณพูดเช่นนี้ คงมึนตึบพร้อมทำสีหน้างง ๆ ว่ามันหมายถึงอะไรเหรอ ?

พูดถึงคำนี้ คนไทยน่าจะหมายถึงการพูดเกินจริงหรือทำเกินจริง ซึ่งถ้าพูดเกินจริงควรจะใช้คำศัพท์ที่ว่า "exaggerate" เป็นคำกิริยา อ่านว่า เอก-แซ้ก-เจ่อ-เรท เช่น "He said you walked 30 miles." เค้าบอกว่าคุณเดินตั้ง 30 ไมล์ "No - he's exaggerating. It was only abou 15." ไม่หรอกเค้าพูดเว่อร์ (เกินจริง) มันก็แค่ 15 ไมล์เอง

ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า เธอพูดเว่อร์น่ะ ก็บอกว่า You're exaggerating. หรือจะบอกเค้าว่า อย่าพูดเว่อร์ๆ น่ะ อาจใช้ว่า Don't exaggerate.
ส่วนอาการเว่อร์อีกแบบคือการทำเกินจริง เราจะใช้คำกิริยาที่ว่า "overact" เช่น You're overacting. เธอทำเว่อร์เกิน (แสดงอารมณ์เกินจริง)

3) ดูหนัง soundtrack เวลาคุณจะบอกใครว่าฉันต้องการดูหนังฝรั่งที่พากย์ภาษาอังกฤษอย่าพูดว่า "I want to watch a soundtrack film." แต่ควรจะใช้ว่า "I want to watch an English film."

เพราะความหมายของคำว่า "soundtrack" คือ ดนตรีที่อยู่ในภาพยนตร์ต่างหากล่ะครับ ถ้าเราจะพูดถึงหนังฝรั่งที่พากย์เสียงภาษาไทย เราต้องบอกว่า "I want to watch an English film that is dubbed into
Thai." เพราะคำกิริยาว่า "dub" คือพากย์เสียงจากต้นแบบในหนังหรือรายการโทรทัศน์ไปเป็นภาษาอื่น

ส่วนหนังที่มีคำบรรยายใต้ภาพเราเรียกว่า "a subtitled film" ซึ่งคำบรรยายที่อยู่ใต้ภาพ เราเรียกว่า "subtitles" ( ต้องมี s ต่อท้ายเสมอนะครับ) เช่น a French film with English subtitles หนังฝรั่งเศสที่มีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาอังกฤษ

หนังบางเรื่องจะมีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาเดียวกับที่นักแสดงพูดเรามีศัพท์เรียกเฉพาะว่า "closed-captioned films / คำหวงห้าม / television programs" หรือ อาจเขียนย่อๆ ว่า "CC"
เช่น You should watch a closed-captioned film to improve your English. คุณควรจะดูหนังฝรั่งที่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษของคุณ

4) นักศึกษาปี 1 คนไทยมักเรียกว่า "freshy" ซึ่งฝรั่งไม่รู้เรื่องหรอกครับเพราะไม่มีการบัญญัติศัพท์คำนี้ในภาษาอังกฤษเค้าจะใช้คำว่า "fresher" หรือ "freshman" เช่น He is a fresher. หรือ He is a freshman. หรือ He is a first-year student. เขาเป็นนักศึกษาปี 1

ส่วนปีอื่นๆ คนไทยเรียกถูกแล้วครับ คือ ปี 2 เราเรียก a sophomore, ปี 3 เรียกว่า a junior และ ปี 4 เรียกว่า a senior

5) อัดหรือบันทึกคนไทยมักพูดทับศัพท์ว่าเร็คคอร์ด (record) คำๆ นี้สามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำกิริยาเพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่ง stress กล่าวคือ ถ้าจะใช้เป็นคำนามที่แปลว่า แผ่นเสียงหรือสถิติ ให้ขึ้นเสียงสูงที่พยางค์แรกคือ " เร็ค-คอร์ด " เช่น He wants to buy a record. เขาต้องการซื้อแผ่นเสียง , I broke my own record. ฉันทำลายสถิติของฉันเอง

แต่ถ้าคุณจะหมายถึงคำกิริยาที่แปลว่าอัดหรือบันทึก ต้อง stress พยางค์หลังซึ่งจะอ่านว่า " รี-คอร์ด " เช่น I'll record the film and we can all watch it later. ฉันจะอัดหนังเราจะได้เก็บไว้ดูทีหลังได้

ส่วนเครื่องบันทึกเราเรียกว่า "recorder" อ่านว่า รี-คอร์-เดอร์

6) ต่างคนต่างจ่ายเรามักใช้ American share รับรองว่าฝรั่ง (ต่อให้เป็นชาวอเมริกันด้วยครับ) ได้ยินแล้ว งงแน่นอน ถ้าคุณจะหมายถึงต่างคนต่างจ่ายให้ใช้ว่า "Let's go Dutch." หรือ "Go Dutch (with somebody)."

อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นธรรมเนียมของชาวดัตช์หรือเปล่า ? ที่ต่างคนต่างจ่ายเลยมีสำนวนอย่างนี้ หรือคุณอาจจะบอกตรงๆ เลยว่า "You pay for yourself." คือเป็นอันรู้กันว่าต่างคนต่างจ่าย

แต่ถ้าคุณต้องการเป็นเจ้ามือ (ไม่ใช่เล่นไพ่นะครับ) เลี้ยงมื้อนี้เอง คุณควรพูดว่า "It's my treat this time." หรือ "My treat." หรือ "It's on me. " หรือ "All is on
me. " หรือ " I' ll pay for you this time." ทั้งหมดแปลว่า มื้อนี้ฉันจ่ายเอง
ส่วนถ้าจะบอกเพื่อนว่า คราวหน้าแกค่อยเลี้ยงฉันคืนให้บอกว่า " It's your treat next time."

7) ขอฉันแจม ( jam) ด้วยคน ในกรณีนี้คำว่า " แจม " น่าจะหมายถึง " ร่วมด้วย " เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอกเธอจะไปด้วยมั้ย ? ในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า jam

ในกรณีแบบนี้ ซึ่งควรจะใช้ว่า "Do you want to join us?", "Do you want to come with us?" หรือ "Do you want to come along?" จะดีกว่าครับ

8) เขามีแบ็ค ( back) ดี "He has a good back." ฝรั่งคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับข้างหลังของเค้า เพราะ back แปลว่า หลัง (อวัยวะ) แต่คุณกำลังจะพูดถึงมีคนคอยสนับสนุน ซึ่งต้องใช้ "a backup" ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุนช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลังใจให้
__________________
คิดดีทำดี ทำวันนี้ให้ดี วันหน้าก็จะได้ดี