คิดว่าหลายคนต้องเคยมีประสบการณ์ ที่กำลังจะพูดถึงในสัปดาห์นี้แน่นอน ประสบการณ์ที่เป็นเหมือนฝันร้าย หรือฝังอยู่ในใจของคน ที่เพิ่งเริ่มรับงานใหม่ หรือต้องมาทำงานที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน แม้ว่าจะตั้งอกตั้งใจทำอย่างไร ก็ไม่เป็นที่พอใจของผู้บังคับบัญชา เอาซะเลย จนทำให้รู้สึกหมดกำลังใจ หรือน้อยอกน้อยใจอยู่บ้าง เพราะได้ทุ่มเททั้งกำลังกาย และกำลังใจมุ่งมั่นที่จะสร้างผลงานนั้น ด้วยความตั้งอกตั้งใจมาโดยตลอด แต่เจ้านายคนดี กลับมองข้ามความสามารถของคุณ หรือ มองมองไม่เห็นถึงความพยายามของคุณ อย่าเพิ่งท้อแท้ชิงลาออกไปก่อนนะคะ ปัญหาทุกปัญหามีทางออกอยู่เสมอ เพียงแต่ต้องให้เวลาเป็นตัวคลี่คลาย ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณเองก็ต้องพยามยามทำงานต่อไป และต้องพิจารณาหาข้อเสียของตัวเอง แล้วนำปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นด้วยเหมือนกัน
ลองทำตามข้อแนะนำเหล่านี้ดู เผื่อว่าสักวันหนึ่ง คุณจะทำงานได้ถูกใจหัวหน้าเหมือนคนอื่นๆ เขาบ้าง
พยายามสร้างผลงานต่อไป
ความดีย่อมเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว แม้ว่าวันนี้หัวหน้าของคุณจะยังมองไม่เห็น แต่นานวันผ่านไปสิ่งดีๆ ที่คุณกระทำต้องเข้าตากรรมการแน่นอน พยายามทำตัวเป็นลูกน้องที่ดี มาทำงานตรงเวลา สิ่งเหล่านี้ใครๆ ก็รู้ใครๆ ก็เห็น หลักฐานก็อยู่ในบัตรตอกเวลา และผลงานของคุณเองค่ะ
อย่าเป็นคนแข็งจนเกินไปนัก
อย่าคิดว่าการพูดจาเอาอกเอาใจหัวหน้า จะเป็นการเลียแข้งเลียขาเสมอไป คุณสามารถเลือกชม เลือกพูดให้ตรงกับใจคุณก็ได้ เพียงแต่เลือกพูดเฉพาะสิ่งดีๆ เท่านั้น อย่างเช่น ถ้าวันนี้คุณรู้สึกว่า สร้อยคอเส้นใหม่ของหัวหน้า ดูเก๋ไก๋เสียเหลือเกิน คุณก็เพียงแต่พูดมันออกมา ใครๆ ก็ชอบให้มีคนชมทั้งนั้นละค่ะ โดยเฉพาะ เมื่อซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายใหม่ๆ มาก็อยากให้มีคนช่วยบอกว่าดีหรือไม่ดี
พยายามขอคำแนะนำ หรือปรึกษาปัญหากับหัวหน้าบ้าง ในเรื่องการทำงาน
เมื่อคุณไม่ชัวร์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับงาน การปรึกษากับหัวหน้า จะทำให้เขาภาคภูมิใจ และรู้สึกว่าตัวเองสำคัญ เพราะถือว่าได้มีส่วนร่วมกับผลงานชิ้นนั้น
สังเกตว่าเจ้านายของคุณชอบให้แต่งตัวหรือไม่
ประมาณว่า แต่งให้ถูกใจหัวหน้า ว่างั้นเถอะ เพราะถ้าไม่ชอบแล้วละก็ คุณควรลดการแต่งกาย ลงมาอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม จริงอยู่คุณมีอิสระ ที่จะเป็นตัวของตัวเอง แต่ถ้าลดมันลงมานิดหน่อย แล้วชีวิตของคุณจะดีขึ้นกว่าเก่า แล้วละก็ ลดมันลงมาเถอะค่ะ
อย่าทำตัวรู้มากเกินคนอื่น
เมื่อคุณอยู่ร่วม ในหัวข้อสนทนาใดๆ โดยเฉพาะเมื่อมีหัวหน้าร่วมวงด้วย ควรรับฟังสิ่งที่คนอื่นพูด มากกว่าที่จะเป็นฝ่ายเสนอความเห็น แต่ถ้ามั่นใจว่าสิ่งนั้นคุณรู้จริงๆ ก็แสดงออกมาให้คนอื่นได้เห็นกันเลยว่า ที่นั่งเงียบๆ อยู่น่ะใช่ว่าคุณจะไม่รู้อะไร เพียงแต่คุณไม่อยากหักหน้าใครๆ เท่านั้นเอง
อย่าพยาบาททำตัวเลียนแบบ เข้ากลุ่มพวกที่ชอบตามหัวหน้าต้อยๆ เด็ดขาด
เป็นตัวของคุณเองให้มากเข้าไว้ เพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่า หัวหน้าของคุณใช่จะไม่รู้อะไรเลย เขาอาจรู้ว่าใครเป็นยังไง เพียงแต่ไม่อยากทำให้ใคร เสียความรู้สึกก็ได้ จึงทำเหมือนพึงพอใจในสิ่งที่ลูกน้องเหล่านั้น พยายามยัดเยียด เมื่อคุณกลายเป็นคนพิเศษ ที่ทำอะไรเหมาะสม หัวหน้าของคุณมีหรือจะไม่แอบนิยมคุณอยู่ในใจบ้าง แต่ถ้าหากหัวหน้าของคุณ เกิดเป็นประเภท ชอบให้คนอื่นตามมาพะเน้าพะนอเอาใจ คุณก็ต้องเอ่ยชมแต่พอดี หรือในบางโอกาสก็พอ ที่เหลือต้องรอเวลาให้ผลงานของคุณ พิสูจน์ตัวของมันเองค่ะ
หากคุณโชคร้ายได้หัวหน้าประเภทขี้โมโหเอาแต่ใจตัวเอง
คุณควรพยายามเรียนรู้ว่า อะไรที่ทำให้เขาหรือเธอไม่พอใจ และเลี่ยงให้ไกลจากมันมากที่สุด ทำงานของคุณไปตามสเตปที่หัวหน้าวางไว้ โดยไม่ลืมที่จะระวังไม่ให้ใครทำอะไรให้เป็นที่ขุ่นเคืองด้วย เพราะผลกระทบย่อมตกอยู่ที่คุณด้วยเช่นกัน
เมื่อถึงเวลาต้องพรีเซนต์ คุณต้องพร้อมเสมอ!แม้ว่าคุณจะเป็นคนเก่งสักแค่ไหน แต่หากเก็บงำมันไว้เงียบๆ คนเดียว คงไม่มีวันที่ใครๆ จะรับรู้ถึงความสามารถของคุณแน่นอน คุณต้องรู้จักแสดงออก กล้าพูด กล้าทำ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แม้ว่าบางข้ออาจดูเหมือนไม่ได้เกี่ยวกับ การสร้างผลงานเอาเสียเลย แต่คุณควรจะรู้ไว้ว่า บุคลิกภาพคือ ส่วนที่ช่วยสนับสนุนให้ภาพลักษณ์ของคุณ ดูดีในสายตาของคนรอบข้าง หากคุณเป็นใครสักคนที่ไม่น่าสนใจ อาจถูกมองข้ามไปได้ง่ายๆ ฉะนั้น พยายามสร้างความประทับใจ ให้ซึมซับเข้าสู่หัวใจหัวหน้าของคุณซะบ้าง ยังไงเสีย คนทำดี ย่อมได้ดี(สักวัน) !!
ปูแดง,ปูแดง168,ปูแดงไคโตซาน,ปุ๋ยปูแดง,ไคโตซาน,ไคโตซานพืช,ไคโตซานสัตว์,อินทรีย์ปูแดง,สมุนไพรปูแดง,ผงชูรสปูแดง,Poodang,Kitozan,สารไคโตซาน,ตัวแทนจำหน่ายปูแดง,เกษตรปลอดสารพิษ,เกษตรชีวภาพ,ธุรกิจเกษตร,พืชโตไว,เพิ่มผลผลิต,ป้องกันโรค,ป้องกันแมลง,สารปรังปรุงดิน,ชาวสวนไร่นา,ลดปุ๋ย,โอกาสทางธุรกิจ,mlm,ขายตรง,รายได้เสริม,รายได้พิเศษ,ธุรกิจเครือข่าย โทรปรึกษาฟรี 083-0340025
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552
สาหร่ายเถ้าเแก่น้อย ต็อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์
ตามติดถนนสายชีวิตของ " เถ้าเแก่น้อย "
ลองจินตนาการดูว่าหากคุณกำลังเข้าสู่วัยรุ่นในวัย 24 ปี คุณกำลังทำอะไรอยู่หรือหากคุณอยู่ในวัยนั้นแล้วคุณจะเป็นอย่างไร คุณจะยังเป็นเพียงเด็กกะโปโลคนหนึ่งที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างโลกของความเป็นจริงกับโลกของหนังสือเรียน หรือคุณยังสนุกกับการเพลิดเพลินใช้ชีวิตไปวันๆก่อนจะสยายปีกทยานไปบนถนนแห่งชีวิต
แต่สำหรับ ต็อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ใน วัย 24 ปีของเขา กลับเป็นวัยที่น่าจดจำ เพราะถนนสายชีวิตที่เขากำลังโลดแล่นอยู่นั้น เรียกได้ว่าไปไกลหรือเกือบจะถึงเส้นชัยแล้วก็ได้ ในขณะที่คนรุ่นราวคราวเดียวกันเพิ่งจะออกสตาร์ทเครื่องเท่านั้น
อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจคิดว่าเป็นการพูดเกินจริง งานนี้เลยต้องพิสูจน์ด้วยภาระหน้าที่ของหนุ่มน้อยวัย 24 ปีคนนี้ เพราะปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งเป็นถึงประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด หรืออาจจะเรียกสั้นๆว่า “เถ้าแก่น้อย” ก็คงไม่ผิดนัก
รู้สึกยังไงกับการเป็นเถ้าแก่น้อย ?
ผมคิดว่ามันสองแง่มุมครับ ด้านหนึ่งก็รู้สึกว่ามันทำให้เราทำอะไรได้ไม่เต็มที่ คือ บางทีคนคิดว่าเราเป็นแบรนด์อิมเมจ ทำให้เราไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวพอให้กับตัวเอง ไม่มีเวลาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าต้องทำงานมาก เพราะทำงานมากไม่เป็นไร แต่บางครั้งบางเวลาเราอยากออกไปเดินเล่นบ้างอะไรบ้าง แต่บางครั้งคนอื่นก็จำเราได้ ซึ่งผมมองว่านั่นก็เป็นข้อเสียด้านหนึ่ง แต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อดี เพราะ ถ้าพูดถึงข้อดีแน่นอนว่ามันตามมาอีกเยอะ แต่ส่วนหนึ่งที่ผมรู้สึกแบบนี้ เพราะจริงๆ แล้วส่วนตัวผมเป็นคนที่ค่อนข้างสันโดษ ชอบความเป็นส่วนตัวสูง
มองว่าทุกวันนี้เราประสบความสำเร็จในชีวิตหรือยัง ?
ผมคิดว่ายัง คือตอนนี้เพิ่ง 5 ปีเอง ที่ผมเข้ามาทำธุรกิจแบบจริงจัง ถ้าเป็นเด็กก็เหมือนเริ่มวิ่งได้ ส่วนตัวผมคิดว่าสิ่งที่ได้มาภายใน 5 ปีนี้ มันยังไม่ใช่ความสำเร็จ มันเหมือนกับแค่เราโชคดีทำในสิ่งที่ถูกจุด แต่ถ้าถามว่าความสำเร็จของผมคืออะไร ผมคิดว่าผมสามารถรักษามันได้ในวันที่ผมเดินออกมาแล้ว คือเมื่อไหร่ที่ผมรีไทร์ ผมยังสามารถรักษาธุรกิจนี้ไว้ได้ ผมถือว่ามันหมดช่วงเวลาของผมแล้ว และผมทำได้ดีที่สุดแล้ว นั่นแหละคือความสำเร็จ ผมเชื่อว่าชีวิตคนเรามันมีขึ้นมีลง เหมือนที่คุณพ่อของผมเคยสอนไว้ว่า เวลาที่ชีวิตขึ้นอะไรมันก็ดีหมด แต่เวลาที่ชีวิตลงสำคัญคือเราต้องอยู่กับมันให้ได้ ถ้าอยู่กับมันไม่ได้เราก็ไม่ไหว
รู้สึกกดดันจากการถูกคาดหวังหรือไม่ ?
แน่นอน ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมถูกคาดหวังจากคนรอบข้าง แต่ผมเป็นคนที่แปลกอย่างหนึ่ง คือเป็นคนที่มีแรงขับดันในตัวเอง ผมคิดว่าลึกๆผมอาจจะมีความหวังบางอย่าง คือ ผมเป็นคนที่มีความฝัน บางครั้งผมว่ามันก็ดีนะ เพราะบางครั้งความฝันทำให้เรามีแรงที่จะตื่น เราไม่ง่วงนอนตอนเช้า
ถ้าถามถึงอาชีพในฝันตอนยังเป็นเด็ก ?
ตอนเด็กๆ ผมก็ฝันอยากเป็นนักธุรกิจนัก แต่พอ ม.1-2 เริ่มอยากเป็นนักร้อง (หัวเราะ) จน ม. 6 ผมก็อยากกลับมาเป็นนักธุรกิจเหมือนเดิม ทุกวันนี้ก็ถือว่าโชคดีที่เราได้ทำงานตามที่เราฝัน ซึ่งผมไม่ได้หวังว่าอาชีพนี้จะทำให้ผมร่ำรวย แต่ผมอยากสร้างอะไรที่เป็นอาณาจักรเป็นโลกของเรา มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสร้างขึ้นมาด้วยมือเราเอง
มีหลักการทำงานและสูตรความสำเร็จอย่างไร ?
ธรรมดามากเลยครับ พยายามๆๆ มองไกลๆๆ พัฒนาๆๆ อดทนๆๆ แต่ส่วนที่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น สำหรับกรณีของผม ผมบอกว่า เพราะผมมีและรู้ข้อมูลบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ แต่ผมรู้เหมือนกับบิล เกตต์ ที่รู้ว่าต้องทำวินโดว์แล้วจะดี ผมก็รู้ว่าสาหร่ายมีคนชอบทานเยอะ เพียงแต่เอามาปรับรูปร่าง แพ็คเกจ รีแบรนด์ดิ้งเท่านั้นเอง คือ คนที่จะสำเร็จหรือไม่ต้องดูว่าเค้าได้ข้อมูลมาถูกที่หรือเปล่า ที่สำคัญคือเอาข้อมูลนั้นมาใช้มั้ย บางคนรู้ข้อมูลแล้วไม่เอามาทำก็ไม่เกิดประโยชน์ ทั้งนี้เราก็ต้องตรวจสอบข้อมูลที่เราได้รับมา แต่จะตรวจยังไงอันนี้ก็ต้องลงมือทำลองผิดลองถูก เพราะไม่มีอะไรบอกคุณได้ว่าสิ่งไหนถูกหรือผิด นอกจากเราทำแล้วเรียนรู้จากมัน
เวลาที่ต้องเจออุปสรรค มีวิธีรับมืออย่างไร ?
ผมจะนึกถึงหน้าคุณแม่ เพราะผมเคยเห็นภาพของท่านตอนแม่ร้องไห้ ผิดหวัง ซึ่งผมจะคิดเสมอว่าไม่อยากเห็นภาพนั้นอีก ดังนั้นเวลาที่เราเจอปัญหาก็ต้องพยายามอดทน และดึงตัวเองกลับมา หรือออกมาจากความผิดหวังให้ได้ คิดเสมอว่าทุกวันนี้ที่เราทำ เราทำเพื่อคุณแม่และเพื่อครอบครัว
เคยรู้สึกว่าต้องแบกภาระเกินวัยรุ่นคนหนึ่งหรือไม่ ?
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าสนุกกับชีวิต เพราะผมคิดว่าเพื่อนหรือคนรุ่นเดียวกับผม ซึ่งคงจะมีที่มาเจออะไรแบบผม แต่คงจะน้อยยิ่งโอกาสที่จะได้เจอเรื่องสนุกๆ แบบนี้มันคงจะแทบไม่มีสำหรับคนอายุ 24 การที่จะได้เจอเรื่องท้าทาย ซึ่งผมคิดว่ามันสนุก ผมสามารถแก้อะไรยากๆ ในขณะที่ผู้ใหญ่บางคนทำไม่ได้ ซึ่งผมคิดว่ามันท้าทายสำหรับผม
ทำงานหนักแบบนี้ทำให้ไม่ได้รับประสบการณ์ตามวัยหรือไม่ ?
อย่างที่บอกผมเป็นเด็กเกเรมาก่อน ก่อนหันมาทำธุรกิจจริงจัง ผมคิดว่าตัวเองก็ใช้ได้เหมือนกัน ก็ผ่านประสบการณ์แบบสุดๆ มาเหมือนกัน ทำให้เรารู้ว่าความสนุกตรงนั้นมันเป็นยังไง แต่ก็ไม่ใช่เราละทิ้งมันนะ แต่เราเอาเป็นแค่ช่วง relax ของเรา คือ ผมทำงานหนักก็จริง แต่ผมก็มีช่วงที่ relax มีช่วงที่สนุกแบบคนทั่วไปได้ มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ขาดไป เพียงแต่ผมควบคุมมันได้ และรู้ว่าควรทำมันตอนไหน เวลาไหนควรทำอะไร ใช้การแบ่งเวลามากกว่า
ไลฟ์สไตล์ประจำวันเป็นอย่างไร ?
ผมทำงานทุกวัน อย่างผมมาเที่ยวเดินเล่นพารากอน ถามว่าทำงานไปด้วยมั้ย ผมก็ทำ ผมสังเกตผมดูไลฟ์สไตล์คน อย่างแคมเปญแจกบีบี (โทรศัพท์มือถือยี่ห้อแบล็ค เบอร์รี่) ล่าสุด มันก็เกิดมาการที่ผมมาเดินห้างและเห็นคนทั่วไปใช้บีบีกันเต็มไปหมด ซึ่งผมเชื่อว่าในจำนวนนั้นมีคนจำนวนหนึ่งที่ยังอยากได้บีบี ผมเลยคิดว่าแคมเปญนี้ก็น่าจะเข้าท่า เลยเอาทำเป็นโครงการใหม่ของบริษัทสำหรับผม ผมถือว่าเที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วย ขณะเดียวกันก็เที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วยเช่นกัน เพราะผมคิดว่าคนเราทำงาน หรือเจ้าของกิจการต้องมองว่าการทำงานคือการเที่ยวเล่นของคุณ อย่าไปมองว่ามันเป็นการทำงานมันจะหดหู่ ต้องมองว่ามันเป็นเรื่องสนุกจะดีกว่า คนเราจะสุขหรือไม่สุขอยู่ที่วิธีคิด
ความสุขสำหรับเถ้าแก่น้อยคืออะไร ?
หลายอย่างครับ การได้ทำธุรกิจและเห็นสิ่งที่ผมทำมันไปได้ คนรักคนชอบในสิ่งที่ผมทำ บางคนอาจไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยสัมผัสแต่สำหรับผมมันสุขยิ่งกว่ายาเสพติดอีก
มองอนาคตของตัวเองอย่างไร ?
ผมยังไม่ได้วางแผนชัดเจน แต่เลือกที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกาลเวลา เพราะถ้าเรามัวมากำหนดอนาคตตั้งแต่ปัจจุบันก็ทำให้เครียดเปล่าๆ
แม้จะเป็นเวลาไม่นานสำหรับการพูดคุยกับหนุ่มหน้าใสวัย 24 ปีคนนี้ แต่ "เถ้าแก่่น้อย" ก็สร้างความประทับใจได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นมุมมองความคิดทั้งเรื่องงาน หรือเรื่องการใช้ชีวิต เอาเป็นว่าขอยกนิ้วซูฮกในความสามารถให้ เถ้าแก่ต็อบ แห่งสาหร่ายเถ้าแก่น้อยแล้วกัน...
ลองจินตนาการดูว่าหากคุณกำลังเข้าสู่วัยรุ่นในวัย 24 ปี คุณกำลังทำอะไรอยู่หรือหากคุณอยู่ในวัยนั้นแล้วคุณจะเป็นอย่างไร คุณจะยังเป็นเพียงเด็กกะโปโลคนหนึ่งที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างโลกของความเป็นจริงกับโลกของหนังสือเรียน หรือคุณยังสนุกกับการเพลิดเพลินใช้ชีวิตไปวันๆก่อนจะสยายปีกทยานไปบนถนนแห่งชีวิต
แต่สำหรับ ต็อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ใน วัย 24 ปีของเขา กลับเป็นวัยที่น่าจดจำ เพราะถนนสายชีวิตที่เขากำลังโลดแล่นอยู่นั้น เรียกได้ว่าไปไกลหรือเกือบจะถึงเส้นชัยแล้วก็ได้ ในขณะที่คนรุ่นราวคราวเดียวกันเพิ่งจะออกสตาร์ทเครื่องเท่านั้น
อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจคิดว่าเป็นการพูดเกินจริง งานนี้เลยต้องพิสูจน์ด้วยภาระหน้าที่ของหนุ่มน้อยวัย 24 ปีคนนี้ เพราะปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งเป็นถึงประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด หรืออาจจะเรียกสั้นๆว่า “เถ้าแก่น้อย” ก็คงไม่ผิดนัก
รู้สึกยังไงกับการเป็นเถ้าแก่น้อย ?
ผมคิดว่ามันสองแง่มุมครับ ด้านหนึ่งก็รู้สึกว่ามันทำให้เราทำอะไรได้ไม่เต็มที่ คือ บางทีคนคิดว่าเราเป็นแบรนด์อิมเมจ ทำให้เราไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวพอให้กับตัวเอง ไม่มีเวลาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าต้องทำงานมาก เพราะทำงานมากไม่เป็นไร แต่บางครั้งบางเวลาเราอยากออกไปเดินเล่นบ้างอะไรบ้าง แต่บางครั้งคนอื่นก็จำเราได้ ซึ่งผมมองว่านั่นก็เป็นข้อเสียด้านหนึ่ง แต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อดี เพราะ ถ้าพูดถึงข้อดีแน่นอนว่ามันตามมาอีกเยอะ แต่ส่วนหนึ่งที่ผมรู้สึกแบบนี้ เพราะจริงๆ แล้วส่วนตัวผมเป็นคนที่ค่อนข้างสันโดษ ชอบความเป็นส่วนตัวสูง
มองว่าทุกวันนี้เราประสบความสำเร็จในชีวิตหรือยัง ?
ผมคิดว่ายัง คือตอนนี้เพิ่ง 5 ปีเอง ที่ผมเข้ามาทำธุรกิจแบบจริงจัง ถ้าเป็นเด็กก็เหมือนเริ่มวิ่งได้ ส่วนตัวผมคิดว่าสิ่งที่ได้มาภายใน 5 ปีนี้ มันยังไม่ใช่ความสำเร็จ มันเหมือนกับแค่เราโชคดีทำในสิ่งที่ถูกจุด แต่ถ้าถามว่าความสำเร็จของผมคืออะไร ผมคิดว่าผมสามารถรักษามันได้ในวันที่ผมเดินออกมาแล้ว คือเมื่อไหร่ที่ผมรีไทร์ ผมยังสามารถรักษาธุรกิจนี้ไว้ได้ ผมถือว่ามันหมดช่วงเวลาของผมแล้ว และผมทำได้ดีที่สุดแล้ว นั่นแหละคือความสำเร็จ ผมเชื่อว่าชีวิตคนเรามันมีขึ้นมีลง เหมือนที่คุณพ่อของผมเคยสอนไว้ว่า เวลาที่ชีวิตขึ้นอะไรมันก็ดีหมด แต่เวลาที่ชีวิตลงสำคัญคือเราต้องอยู่กับมันให้ได้ ถ้าอยู่กับมันไม่ได้เราก็ไม่ไหว
รู้สึกกดดันจากการถูกคาดหวังหรือไม่ ?
แน่นอน ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมถูกคาดหวังจากคนรอบข้าง แต่ผมเป็นคนที่แปลกอย่างหนึ่ง คือเป็นคนที่มีแรงขับดันในตัวเอง ผมคิดว่าลึกๆผมอาจจะมีความหวังบางอย่าง คือ ผมเป็นคนที่มีความฝัน บางครั้งผมว่ามันก็ดีนะ เพราะบางครั้งความฝันทำให้เรามีแรงที่จะตื่น เราไม่ง่วงนอนตอนเช้า
ถ้าถามถึงอาชีพในฝันตอนยังเป็นเด็ก ?
ตอนเด็กๆ ผมก็ฝันอยากเป็นนักธุรกิจนัก แต่พอ ม.1-2 เริ่มอยากเป็นนักร้อง (หัวเราะ) จน ม. 6 ผมก็อยากกลับมาเป็นนักธุรกิจเหมือนเดิม ทุกวันนี้ก็ถือว่าโชคดีที่เราได้ทำงานตามที่เราฝัน ซึ่งผมไม่ได้หวังว่าอาชีพนี้จะทำให้ผมร่ำรวย แต่ผมอยากสร้างอะไรที่เป็นอาณาจักรเป็นโลกของเรา มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสร้างขึ้นมาด้วยมือเราเอง
มีหลักการทำงานและสูตรความสำเร็จอย่างไร ?
ธรรมดามากเลยครับ พยายามๆๆ มองไกลๆๆ พัฒนาๆๆ อดทนๆๆ แต่ส่วนที่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น สำหรับกรณีของผม ผมบอกว่า เพราะผมมีและรู้ข้อมูลบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ แต่ผมรู้เหมือนกับบิล เกตต์ ที่รู้ว่าต้องทำวินโดว์แล้วจะดี ผมก็รู้ว่าสาหร่ายมีคนชอบทานเยอะ เพียงแต่เอามาปรับรูปร่าง แพ็คเกจ รีแบรนด์ดิ้งเท่านั้นเอง คือ คนที่จะสำเร็จหรือไม่ต้องดูว่าเค้าได้ข้อมูลมาถูกที่หรือเปล่า ที่สำคัญคือเอาข้อมูลนั้นมาใช้มั้ย บางคนรู้ข้อมูลแล้วไม่เอามาทำก็ไม่เกิดประโยชน์ ทั้งนี้เราก็ต้องตรวจสอบข้อมูลที่เราได้รับมา แต่จะตรวจยังไงอันนี้ก็ต้องลงมือทำลองผิดลองถูก เพราะไม่มีอะไรบอกคุณได้ว่าสิ่งไหนถูกหรือผิด นอกจากเราทำแล้วเรียนรู้จากมัน
เวลาที่ต้องเจออุปสรรค มีวิธีรับมืออย่างไร ?
ผมจะนึกถึงหน้าคุณแม่ เพราะผมเคยเห็นภาพของท่านตอนแม่ร้องไห้ ผิดหวัง ซึ่งผมจะคิดเสมอว่าไม่อยากเห็นภาพนั้นอีก ดังนั้นเวลาที่เราเจอปัญหาก็ต้องพยายามอดทน และดึงตัวเองกลับมา หรือออกมาจากความผิดหวังให้ได้ คิดเสมอว่าทุกวันนี้ที่เราทำ เราทำเพื่อคุณแม่และเพื่อครอบครัว
เคยรู้สึกว่าต้องแบกภาระเกินวัยรุ่นคนหนึ่งหรือไม่ ?
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าสนุกกับชีวิต เพราะผมคิดว่าเพื่อนหรือคนรุ่นเดียวกับผม ซึ่งคงจะมีที่มาเจออะไรแบบผม แต่คงจะน้อยยิ่งโอกาสที่จะได้เจอเรื่องสนุกๆ แบบนี้มันคงจะแทบไม่มีสำหรับคนอายุ 24 การที่จะได้เจอเรื่องท้าทาย ซึ่งผมคิดว่ามันสนุก ผมสามารถแก้อะไรยากๆ ในขณะที่ผู้ใหญ่บางคนทำไม่ได้ ซึ่งผมคิดว่ามันท้าทายสำหรับผม
ทำงานหนักแบบนี้ทำให้ไม่ได้รับประสบการณ์ตามวัยหรือไม่ ?
อย่างที่บอกผมเป็นเด็กเกเรมาก่อน ก่อนหันมาทำธุรกิจจริงจัง ผมคิดว่าตัวเองก็ใช้ได้เหมือนกัน ก็ผ่านประสบการณ์แบบสุดๆ มาเหมือนกัน ทำให้เรารู้ว่าความสนุกตรงนั้นมันเป็นยังไง แต่ก็ไม่ใช่เราละทิ้งมันนะ แต่เราเอาเป็นแค่ช่วง relax ของเรา คือ ผมทำงานหนักก็จริง แต่ผมก็มีช่วงที่ relax มีช่วงที่สนุกแบบคนทั่วไปได้ มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ขาดไป เพียงแต่ผมควบคุมมันได้ และรู้ว่าควรทำมันตอนไหน เวลาไหนควรทำอะไร ใช้การแบ่งเวลามากกว่า
ไลฟ์สไตล์ประจำวันเป็นอย่างไร ?
ผมทำงานทุกวัน อย่างผมมาเที่ยวเดินเล่นพารากอน ถามว่าทำงานไปด้วยมั้ย ผมก็ทำ ผมสังเกตผมดูไลฟ์สไตล์คน อย่างแคมเปญแจกบีบี (โทรศัพท์มือถือยี่ห้อแบล็ค เบอร์รี่) ล่าสุด มันก็เกิดมาการที่ผมมาเดินห้างและเห็นคนทั่วไปใช้บีบีกันเต็มไปหมด ซึ่งผมเชื่อว่าในจำนวนนั้นมีคนจำนวนหนึ่งที่ยังอยากได้บีบี ผมเลยคิดว่าแคมเปญนี้ก็น่าจะเข้าท่า เลยเอาทำเป็นโครงการใหม่ของบริษัทสำหรับผม ผมถือว่าเที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วย ขณะเดียวกันก็เที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วยเช่นกัน เพราะผมคิดว่าคนเราทำงาน หรือเจ้าของกิจการต้องมองว่าการทำงานคือการเที่ยวเล่นของคุณ อย่าไปมองว่ามันเป็นการทำงานมันจะหดหู่ ต้องมองว่ามันเป็นเรื่องสนุกจะดีกว่า คนเราจะสุขหรือไม่สุขอยู่ที่วิธีคิด
ความสุขสำหรับเถ้าแก่น้อยคืออะไร ?
หลายอย่างครับ การได้ทำธุรกิจและเห็นสิ่งที่ผมทำมันไปได้ คนรักคนชอบในสิ่งที่ผมทำ บางคนอาจไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยสัมผัสแต่สำหรับผมมันสุขยิ่งกว่ายาเสพติดอีก
มองอนาคตของตัวเองอย่างไร ?
ผมยังไม่ได้วางแผนชัดเจน แต่เลือกที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกาลเวลา เพราะถ้าเรามัวมากำหนดอนาคตตั้งแต่ปัจจุบันก็ทำให้เครียดเปล่าๆ
แม้จะเป็นเวลาไม่นานสำหรับการพูดคุยกับหนุ่มหน้าใสวัย 24 ปีคนนี้ แต่ "เถ้าแก่่น้อย" ก็สร้างความประทับใจได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นมุมมองความคิดทั้งเรื่องงาน หรือเรื่องการใช้ชีวิต เอาเป็นว่าขอยกนิ้วซูฮกในความสามารถให้ เถ้าแก่ต็อบ แห่งสาหร่ายเถ้าแก่น้อยแล้วกัน...
วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552
เก็บเงินทำได้...แถมง่ายนิดเดียว
สังคมทุนนิยมทำเอาหนุ่มๆ สาวๆ จับจ่ายเพลิดเพลินไปตามๆ กัน เผลอแป๊บเดียว เงินใน กระเป๋าก็หายวับไปกับตา เอ...แล้วจะทำยังไงดีนะ เงินเดือนน้อยๆ ก้อนนี้ถึงจะมีเงินเก็บนิดๆ อย่างคนอื่นเขาบ้าง
วิธีการและกลเม็ดต่างๆ จึงถูกนำมาบอกต่อให้เราๆ รู้จักอดออมเอาไว้บ้าง แต่เชื่อว่าทำก็แล้ว พยายามเก็บก็ แล้ว แต่ยังไง๊ ยังไง มนุษย์เงินเดือนก้อนเล็กอย่างเราๆ ก็เก็บเงิน (แม้เพียงนิด) ไม่ได้เสียที เอาล่ะ ถ้ายังไม่ได้ผล นักลองหันมาทางนี้ เรามีวิธีการออมเงินที่อยู่ใกล้ตัวจนแทบมองไม่เห็น นั่นก็คือการเปลี่ยนนิสัยการจับจ่ายบาง อย่างให้เคยชิน และหากทำได้ เราก็จะมีเงินเหลือเก็บอย่างแทบไม่น่าเชื่อ
จดค่าใช้จ่ายทุกครั้ง
เพราะจะทำให้เรารู้ว่าแต่ละเดือนเราต้องใช้อะไรไปบ้าง และเมื่อต้องออกไปซื้อของ ต้องซื้อตามที่จดไว้เท่านั้น! ห้ามวอกแวกปล่อยใจไปซื้อสิ่งที่ไม่ต้องการเป็นอันขาด อย่าลืมไปว่า ยิ่งซื้อก็ยิ่งหมายถึงเงินที่เราต้องเสียไปเท่านั้น
อย่าซื้อเป็นจำนวนมาก
ข้อคิดอีกประการคือยิ่งซื้อมาก ก็ยิ่งทำให้เราใช้ (ของ) อย่างไม่ยั้งคิด (เพราะคิด ว่ายังมีอีกเยอะ) เว้นไว้ก็แต่ว่า ของจำนวนนั้นจะช่วยประหยัดจากราคาปกติ และคุณจำเป็นต้องมีไว้จริงๆ
ใช้บัตรเครดิตเมื่อจำเป็น
เป็นเรื่องสำคัญที่สาวๆ นักช้อปทั้งหลายต้องจำให้แม่น เก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน จะดีกว่า เพราะยิ่งใช้เท่าไหร่ก็ยิ่งต้อง ใช้คืนเท่านั้น แล้วถ้ายิ่งจ่ายคืนไม่ตรงเวลาแล้วละก็ ดอกเบี้ยที่ตามมาก็ยิ่งทำ ให้คุณจ่ายมากขึ้นไปอีก (เพื่ออะไรกันล่ะ)
ดูโทรทัศน์ให้น้อยลง
ดูเหมือนไม่เกี่ยว แต่เรื่องนี้ข้องเกี่ยวอย่าบอกใคร เพราะเจ้าทีวีเครื่องเหลี่ยมนี่ แหละที่ทำให้เราอยากซื้อ อยากจ่าย และเป็นตัวเพิ่มกิเลสโดยที่เราไม่รู้ตัว
อย่าช้อปตอนเบื่อโลก
เพราะอาการเบื่อหน่าย ท้อแท้ และผิดหวัง จะทำให้เราอยากระบายผ่านการช้อป โดยที่ไม่รู้ตัวเช่นกัน ที่สำคัญยัง ช้อปกระหน่ำ จนทำให้คุณรู้สึกผิดภายหลังอีกต่างหาก
ตั้งงบเมื่อซื้อของ
ไม่ว่าจะเป็นของชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็ตามที เพราะการตั้งงบประมาณจะทำให้คุณรู้ว่า สามารถจ่ายได้เท่าไหร่ เหลืออีกเท่าไหร่ และถ้าเกินจากนั้นไป ก็เท่ากับเป็นการใช้เงินเกินความจำเป็น
ซื้อของแบรนด์เนมบ้าง
อย่าเพิ่งงุนงงว่าเรากำลังชวนเสียเงิน หรือเก็บเงินกันแน่ แต่การซื้อข้าวของดีๆ มีคุณภาพไว้บ้าง เช่น กระเป๋า หรือรองเท้า ก็จะทำให้ใช้ได้นาน และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายบางอย่าง โดยเฉพาะ การซื้อของซ้ำๆ (แต่เสียมากกว่า) ที่สาวๆ มักทำจนเป็นนิสัย
เลี่ยงการช้อปกับเพื่อนมือเติบ
ไม่ว่าเพื่อนที่มือเติบของแท้ หรือเทียมก็ตาม เพราะการช้อปปิ้งกับบรรดา เพื่อนผองกระเป๋าหนาเหล่านี้ มีส่วนอย่างมากที่จะให้คุณเสียสตางค์ตามไปด้วย เผลอๆ อาจเป็นสิ่งที่คุณไม่อยาก ได้ หรือมูลค่าอาจสูงเกินตัวไป เลือกไปกับเพื่อนที่ชวนกันประหยัดจะดีกว่า
อย่าไปกับเด็ก
เราหมายถึงเด็กเล็กนี่ล่ะ แถมลูกๆ หลานๆ ที่แสนจะน่ารักเหล่านี้ ยังเป็นสาเหตุตัวดีที่ทำให้ เราควักเงินจนแทบไม่ทันตั้งตัว เรารู้ว่าคุณใจดีและใจอ่อน แต่อย่าลืมไปล่ะ ว่านั่นก็เงิน นี่ก็เงินทั้งนั้น สอนให้เด็กๆ รู้จักคุณค่าของเงินไว้ก่อนจะดีกว่า
ถามตัวเองทุกครั้ง
ว่า "มันจำเป็นจริงๆ หรือเปล่า?" หรือ "ฉันต้องการจริงๆ หรือเปล่า?" เพราะเชื่อได้ ว่าการเสียเงินจำนวนมากที่ผ่านๆ มา คือการที่เราใช้จ่ายโดยไม่ทันยั้งคิด และเมื่อซื้อมาแล้วก็ใช้จริงเพียงไม่กี่ครั้ง ก่อนซื้อชิ้นใหม่ รู้อย่างนี้แล้วก็ควรหันมาถามตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ เสียที
ทำทุกอย่างที่ว่ามาให้ได้
เพราะแค่คิดคร่าวๆ ว่าหากปฏิบัติตามได้อย่างที่กล่าว ก็สามารถช่วยประหยัด เงินไปได้มากถึงหลักพัน หลักหมื่นบาท แล้วถ้าประหยัดได้อย่างนี้ทุกๆ เดือนล่ะ เราจะมีเงินเก็บอีกมากมายขนาด ไหน
เพราะของแบบนี้เงินใครก็กระเป๋าใคร ยิ่งเก็บได้มากเท่าไหร่ ก็รับประกันเรื่องฉุกเฉินใน อนาคตให้เราได้มากเท่านั้น
วิธีการและกลเม็ดต่างๆ จึงถูกนำมาบอกต่อให้เราๆ รู้จักอดออมเอาไว้บ้าง แต่เชื่อว่าทำก็แล้ว พยายามเก็บก็ แล้ว แต่ยังไง๊ ยังไง มนุษย์เงินเดือนก้อนเล็กอย่างเราๆ ก็เก็บเงิน (แม้เพียงนิด) ไม่ได้เสียที เอาล่ะ ถ้ายังไม่ได้ผล นักลองหันมาทางนี้ เรามีวิธีการออมเงินที่อยู่ใกล้ตัวจนแทบมองไม่เห็น นั่นก็คือการเปลี่ยนนิสัยการจับจ่ายบาง อย่างให้เคยชิน และหากทำได้ เราก็จะมีเงินเหลือเก็บอย่างแทบไม่น่าเชื่อ
จดค่าใช้จ่ายทุกครั้ง
เพราะจะทำให้เรารู้ว่าแต่ละเดือนเราต้องใช้อะไรไปบ้าง และเมื่อต้องออกไปซื้อของ ต้องซื้อตามที่จดไว้เท่านั้น! ห้ามวอกแวกปล่อยใจไปซื้อสิ่งที่ไม่ต้องการเป็นอันขาด อย่าลืมไปว่า ยิ่งซื้อก็ยิ่งหมายถึงเงินที่เราต้องเสียไปเท่านั้น
อย่าซื้อเป็นจำนวนมาก
ข้อคิดอีกประการคือยิ่งซื้อมาก ก็ยิ่งทำให้เราใช้ (ของ) อย่างไม่ยั้งคิด (เพราะคิด ว่ายังมีอีกเยอะ) เว้นไว้ก็แต่ว่า ของจำนวนนั้นจะช่วยประหยัดจากราคาปกติ และคุณจำเป็นต้องมีไว้จริงๆ
ใช้บัตรเครดิตเมื่อจำเป็น
เป็นเรื่องสำคัญที่สาวๆ นักช้อปทั้งหลายต้องจำให้แม่น เก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน จะดีกว่า เพราะยิ่งใช้เท่าไหร่ก็ยิ่งต้อง ใช้คืนเท่านั้น แล้วถ้ายิ่งจ่ายคืนไม่ตรงเวลาแล้วละก็ ดอกเบี้ยที่ตามมาก็ยิ่งทำ ให้คุณจ่ายมากขึ้นไปอีก (เพื่ออะไรกันล่ะ)
ดูโทรทัศน์ให้น้อยลง
ดูเหมือนไม่เกี่ยว แต่เรื่องนี้ข้องเกี่ยวอย่าบอกใคร เพราะเจ้าทีวีเครื่องเหลี่ยมนี่ แหละที่ทำให้เราอยากซื้อ อยากจ่าย และเป็นตัวเพิ่มกิเลสโดยที่เราไม่รู้ตัว
อย่าช้อปตอนเบื่อโลก
เพราะอาการเบื่อหน่าย ท้อแท้ และผิดหวัง จะทำให้เราอยากระบายผ่านการช้อป โดยที่ไม่รู้ตัวเช่นกัน ที่สำคัญยัง ช้อปกระหน่ำ จนทำให้คุณรู้สึกผิดภายหลังอีกต่างหาก
ตั้งงบเมื่อซื้อของ
ไม่ว่าจะเป็นของชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็ตามที เพราะการตั้งงบประมาณจะทำให้คุณรู้ว่า สามารถจ่ายได้เท่าไหร่ เหลืออีกเท่าไหร่ และถ้าเกินจากนั้นไป ก็เท่ากับเป็นการใช้เงินเกินความจำเป็น
ซื้อของแบรนด์เนมบ้าง
อย่าเพิ่งงุนงงว่าเรากำลังชวนเสียเงิน หรือเก็บเงินกันแน่ แต่การซื้อข้าวของดีๆ มีคุณภาพไว้บ้าง เช่น กระเป๋า หรือรองเท้า ก็จะทำให้ใช้ได้นาน และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายบางอย่าง โดยเฉพาะ การซื้อของซ้ำๆ (แต่เสียมากกว่า) ที่สาวๆ มักทำจนเป็นนิสัย
เลี่ยงการช้อปกับเพื่อนมือเติบ
ไม่ว่าเพื่อนที่มือเติบของแท้ หรือเทียมก็ตาม เพราะการช้อปปิ้งกับบรรดา เพื่อนผองกระเป๋าหนาเหล่านี้ มีส่วนอย่างมากที่จะให้คุณเสียสตางค์ตามไปด้วย เผลอๆ อาจเป็นสิ่งที่คุณไม่อยาก ได้ หรือมูลค่าอาจสูงเกินตัวไป เลือกไปกับเพื่อนที่ชวนกันประหยัดจะดีกว่า
อย่าไปกับเด็ก
เราหมายถึงเด็กเล็กนี่ล่ะ แถมลูกๆ หลานๆ ที่แสนจะน่ารักเหล่านี้ ยังเป็นสาเหตุตัวดีที่ทำให้ เราควักเงินจนแทบไม่ทันตั้งตัว เรารู้ว่าคุณใจดีและใจอ่อน แต่อย่าลืมไปล่ะ ว่านั่นก็เงิน นี่ก็เงินทั้งนั้น สอนให้เด็กๆ รู้จักคุณค่าของเงินไว้ก่อนจะดีกว่า
ถามตัวเองทุกครั้ง
ว่า "มันจำเป็นจริงๆ หรือเปล่า?" หรือ "ฉันต้องการจริงๆ หรือเปล่า?" เพราะเชื่อได้ ว่าการเสียเงินจำนวนมากที่ผ่านๆ มา คือการที่เราใช้จ่ายโดยไม่ทันยั้งคิด และเมื่อซื้อมาแล้วก็ใช้จริงเพียงไม่กี่ครั้ง ก่อนซื้อชิ้นใหม่ รู้อย่างนี้แล้วก็ควรหันมาถามตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ เสียที
ทำทุกอย่างที่ว่ามาให้ได้
เพราะแค่คิดคร่าวๆ ว่าหากปฏิบัติตามได้อย่างที่กล่าว ก็สามารถช่วยประหยัด เงินไปได้มากถึงหลักพัน หลักหมื่นบาท แล้วถ้าประหยัดได้อย่างนี้ทุกๆ เดือนล่ะ เราจะมีเงินเก็บอีกมากมายขนาด ไหน
เพราะของแบบนี้เงินใครก็กระเป๋าใคร ยิ่งเก็บได้มากเท่าไหร่ ก็รับประกันเรื่องฉุกเฉินใน อนาคตให้เราได้มากเท่านั้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)