แจกหนังสือและบทความให้คุณดาวน์โหลดไปอ่านกันได้อย่างฟรี ๆ เพื่อเสริมสร้างกำลังใจในการทำธุรกิจต่าง ๆ ครับ
1. เคล็บลับรวยโคตร ๆ จากมนุษย์มหัศจรรย์ที่ผ่านความจนมาอย่างโชกโชน
2. เด็กสลัมสู่มหาเศรษฐี ด้วยวิธีแห่งบุญ เผยเคล็ดลับการเป็นมหาเศรษฐีที่ทุกคนไม่ควรพลาด
3. 23 สุดยอดความคิด สำหรับธุรกิจใหม่
4. การออมเงินและการทำเงินให้งอกเงิน
5. 34 วิธีพูดว่า ไม่ ให้ประทับใจและได้ผล
6. 306 ยุทธบริหาร (The Warrior Class)
7. บทเรียนแห่งความโง่เขลา
8. สงครามตราสินค้า 10 กฏทองของการสร้างตราสินค้าชื่อดัง BRAND WARFARE
9. ต้นแบบความล้มเหลวในการวางตลาดผลิตภัณฑ์ Classic Failures in Product Marketing
10. การขายไร้สัมผัส-คู่มือภาคสนามสนการทำการตลาดยุคใหม่ Selling The Invisible
ลองโหลดอ่านดูนะครับ รวบรวมมาจากหลายที่ อาจจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยและขอขอบคุณเจ้าของแนวคิด เจ้าของเว็บไซต์ http://www.skupload.com/ ด้วยนะครับ ที่ทำให้เราได้รับความรู้ดีๆเช่นนี้
ปูแดง,ปูแดง168,ปูแดงไคโตซาน,ปุ๋ยปูแดง,ไคโตซาน,ไคโตซานพืช,ไคโตซานสัตว์,อินทรีย์ปูแดง,สมุนไพรปูแดง,ผงชูรสปูแดง,Poodang,Kitozan,สารไคโตซาน,ตัวแทนจำหน่ายปูแดง,เกษตรปลอดสารพิษ,เกษตรชีวภาพ,ธุรกิจเกษตร,พืชโตไว,เพิ่มผลผลิต,ป้องกันโรค,ป้องกันแมลง,สารปรังปรุงดิน,ชาวสวนไร่นา,ลดปุ๋ย,โอกาสทางธุรกิจ,mlm,ขายตรง,รายได้เสริม,รายได้พิเศษ,ธุรกิจเครือข่าย โทรปรึกษาฟรี 083-0340025
วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553
17 ความต่างของวิธีคิดและการกระทำระหว่าง คนรวย คนจน และชนชั้นกลาง
17 ความต่างของวิธีคิดและการกระทำระหว่าง คนรวย คนจน และชนชั้นกลาง
1. คนรวยเชื่อว่า "ฉันกุมชะตาชีวิตของตนเอง" คนจนเชื่อว่า "ฉันถูกลิขิตให้เป็นอย่างนี้"
2. คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อเอาชนะ คนจนเล่นเกมการเงินเพื่อไม่ให้แพ้
3. คนรวยทุ่มเทเพื่อความรวย คนจนแค่อยากรวย
4. คนรวยคิดการใหญ่ คนจนคิดการเล็ก
5. คนรวยมุ่งความสนใจไปที่โอกาส คนจนมุ่งความสนใจไปที่อุปสรรค
6. คนรวยชื่นชมผู้ร่ำรวยปละประสบความสำเร็จคนอื่น ๆ คนจนชิงชังผู้ร่ำรวยและประสบความสำเร็จ
7. คนรวยคบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดีและประสบความสำเร็จ คนจนขลุกอยู่กับคนที่มองโลกในแง่ร้ายหรือไม่ประสบความสำเร็จ
8. คนรวยเต็มใจโปรโมทตัวเองและคุณค่าของตนเอง คนจนมองการขายและโปรโมชั่นในแง่ลบ
9. คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก คนจนมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่
ให้เงินทำงานแทนคุณสิ
10. คนรวยเป็นผู้รับที่ยอดเยี่ยม คนจนเป็นผู้รับที่ยอดแย่
11. คนรวยเลือกที่จะได้รับเงินตามผลงาน คนจนเลือกที่จะได้รับเงินตามระยะเวลาที่ทำงาน
12.คนรวยเลือก "ทั้งสองทาง" คนจนเลือก "ทางใดทางหนึ่ง"
13. คนรวยสนใจมูลค่าทรัพย์สิน คนจนสนใจแต่รายได้จากการทำงาน
14. คนรวยเก่งเรื่องการบริหารเงิน คนจนเก่งเรื่องการบริหารเงินแบบผิด ๆ
15. คนรวยให้เงินทำงานหนักเพื่อตัวเอง คนจนทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน
16. คนรวยมุ่งไปข้างหน้าแม้จะหวาดกลัว คนจนปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งตนเอง
17. คนรวยเรียนรู้และเติบโตอยู่ตลอดเวลา คนจนคิดว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว
ปัญหาทุกปัญหามีทางออกเสมอ เพียงแต่คุณมองไม่เห็น หรือเห็นแต่ไม่มองมัน สิ่งเดียวที่ขังคุณไว้ในปัญหาคือความคิดของคุณเอง คนแต่ละคนอาจจะมีไม่เท่ากัน แต่ทุกคนมีทุกอย่างพอในตัวเองที่จะมีชีวิตที่ดีที่สุด อย่างที่ชีวิตควรจะเป็น ชีวิตคนมีกายมีใจไม่ต่างกัน ความต่างอยู่ที่คนๆนั้นจะได้รับบทเรียนพอที่จะจริงใจกับตัวเองในการแก้ปัญหาและสร้างชีวิตใหม่หรือเปล่า หากคุณคือคนหนึ่งที่ต้องการสร้างชีวิตใหม่ กล้าที่จะเปลี่ยนความคิดใหม่ครับ "แค่เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยน"
1. คนรวยเชื่อว่า "ฉันกุมชะตาชีวิตของตนเอง" คนจนเชื่อว่า "ฉันถูกลิขิตให้เป็นอย่างนี้"
2. คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อเอาชนะ คนจนเล่นเกมการเงินเพื่อไม่ให้แพ้
3. คนรวยทุ่มเทเพื่อความรวย คนจนแค่อยากรวย
4. คนรวยคิดการใหญ่ คนจนคิดการเล็ก
5. คนรวยมุ่งความสนใจไปที่โอกาส คนจนมุ่งความสนใจไปที่อุปสรรค
6. คนรวยชื่นชมผู้ร่ำรวยปละประสบความสำเร็จคนอื่น ๆ คนจนชิงชังผู้ร่ำรวยและประสบความสำเร็จ
7. คนรวยคบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดีและประสบความสำเร็จ คนจนขลุกอยู่กับคนที่มองโลกในแง่ร้ายหรือไม่ประสบความสำเร็จ
8. คนรวยเต็มใจโปรโมทตัวเองและคุณค่าของตนเอง คนจนมองการขายและโปรโมชั่นในแง่ลบ
9. คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก คนจนมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่
ให้เงินทำงานแทนคุณสิ
10. คนรวยเป็นผู้รับที่ยอดเยี่ยม คนจนเป็นผู้รับที่ยอดแย่
11. คนรวยเลือกที่จะได้รับเงินตามผลงาน คนจนเลือกที่จะได้รับเงินตามระยะเวลาที่ทำงาน
12.คนรวยเลือก "ทั้งสองทาง" คนจนเลือก "ทางใดทางหนึ่ง"
13. คนรวยสนใจมูลค่าทรัพย์สิน คนจนสนใจแต่รายได้จากการทำงาน
14. คนรวยเก่งเรื่องการบริหารเงิน คนจนเก่งเรื่องการบริหารเงินแบบผิด ๆ
15. คนรวยให้เงินทำงานหนักเพื่อตัวเอง คนจนทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน
16. คนรวยมุ่งไปข้างหน้าแม้จะหวาดกลัว คนจนปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งตนเอง
17. คนรวยเรียนรู้และเติบโตอยู่ตลอดเวลา คนจนคิดว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว
ปัญหาทุกปัญหามีทางออกเสมอ เพียงแต่คุณมองไม่เห็น หรือเห็นแต่ไม่มองมัน สิ่งเดียวที่ขังคุณไว้ในปัญหาคือความคิดของคุณเอง คนแต่ละคนอาจจะมีไม่เท่ากัน แต่ทุกคนมีทุกอย่างพอในตัวเองที่จะมีชีวิตที่ดีที่สุด อย่างที่ชีวิตควรจะเป็น ชีวิตคนมีกายมีใจไม่ต่างกัน ความต่างอยู่ที่คนๆนั้นจะได้รับบทเรียนพอที่จะจริงใจกับตัวเองในการแก้ปัญหาและสร้างชีวิตใหม่หรือเปล่า หากคุณคือคนหนึ่งที่ต้องการสร้างชีวิตใหม่ กล้าที่จะเปลี่ยนความคิดใหม่ครับ "แค่เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยน"
ธุรกิจเครือข่าย กับ แชร์ลูกโซ่
ธุรกิจเครือข่าย กับ แชร์ลูกโซ่
โดย ชาญวิทย์ จตุวีรพงษ์ เมื่อ 2009-03-02 11:24:14
ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ธุรกิจที่จะได้รับความสนใจ และมีแรงกระตุ้น นัยว่าจะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมง คงไม่หนีไปจากธุรกิจเครือข่าย ไม่ว่าจะชั้นเดียว หลายชั้น สองขา สี่ขา หรืออะไรก็ตาม ด้วยเหตุผลหลักเลยคือ ลงทุนน้อย ได้ผลตอบแทนตามความทุ่มเท ที่ให้ลงไป
แต่ในความสว่าง ก็มีความมืด ถ้าคุณไม่รู้จักความมืด จะรู้ได้อย่างไรว่ามันสว่าง พวกมิฉาชีพที่แทรกตัวอยู่ในวงการเหล่านี้ ก็จะฉวยโอกาสนี้ ดันแชร์ลูกโซ่ เข้าไป บางคนตัวเองพลาดไปร่วมด้วยแล้ว ก็เลยเอาละหลอกคนอื่นต่อ คงมีคนพลาดเหมือนเรา แต่บางคนไม่รู้เลยว่าตัวเองพลาดไปร่วมวงแชร์ลูกโซ่ ก็เลยทุ่มเท หาสายงานยังกับถูกล้างสมองมาว่ามันดี
ขอให้มีสติไว้ คิดอยู่เสมอว่า
อะไรที่มันดีเกินกว่าจะเป็นจริงได้มันหลอกลวง - Too Good to be TRUE is SCAM
ธุรกิจเครือข่าย ผลตอบแทนของคุณต้องมาจาก ยอดในทีมงานของคุณ การหาสายงานคือการสร้างทีมให้ใหญ่ขึ้น ไม่ใช่มีรายได้หลักมาจากการหาสายงาน (ค่าหัวคิว) ยังไงเสียมันก็คืองานขาย ต้องมีใครสักคนที่ขายของ คุณไม่ขาย ทีมงานของคุณก็ต้องขาย มาดูเป็นข้อๆ ไปนะครับ
ค่าสมัครสมาชิก - Membership Fee
ต้องไม่สูง มันควรจะเป็นเพียงค่าดำเนินการ เช่นสัก 100-200 บาท นี่ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
โบนัสจากการหาสายงาน - Referral Fee
ข้อนี้ต้องดูหลายๆ อย่างประกอบ สำหรับบางบริษัทเขาใช้มันเป็นแผนการตลาด ที่จะสร้างเครือข่ายขนาดใหญ่ แต่บางบริษัทมันเหมือนค่าหัวคิว ตัวอย่างเช่น
ถ้าค่าสมัครสมาชิกในข้อ 1 คือ 100 บาท
ถ้าคุณแนะนำนาย ข. มาสมัคร คุณได้ไปเลย 50-60 บาท แบบนี้เรียกค่าหัวคิว
แต่ถ้าคุณแนะนำนาย ข. มาสมัคร คุณได้ 50-60 บาทเหมือนกัน แต่มีเงื่อนไขว่า คุณ+ทีมงานของคุณ ต้องมียอดขายรวมกัน 1500 บาท อย่างนี้ผมเรียกว่าแผนการตลาด
หรือถ้าคุณแนะนำนาย ข. มาสมัคร คุณได้ 10 บาท ผู้แนะนำของคุณได้อีก 10 บาท สูงขึ้นไปสัก 4-5 ชั้น อย่างนี้ผมก็ยังเรียกว่าแผนการตลาด แม้มันจะมีช่องโหว่ให้สร้างทีมแนวดิ่ง เพื่อกินค่าหัวคิวก็ตาม
ค่าบริการรายเดือน - Monthly Fee
จะให้ดี มันไม่ควรจะมี เว้นแต่บริษัทเขาให้บริการบางอย่างกับสมาชิก ที่มันมีค่าใช้จ่ายสูงเกินกว่าบริษัทจะให้ใช้บริการฟรีได้ สรุปว่า คุณต้องไม่เสียเงินให้เปล่ากับบริษัททุกๆ เดือน ไม่งั้นมันก็จะกลายเป็นว่า ผลตอบแทนที่คุณได้ ก็คือเงินของคุณ และทีมงานของคุณ มองหน้าทีมงานไม่ติดเปล่าๆ เหมือนหลอกเขามาสมัคร แล้วมาขอเก็บเงินจากเขาทุกๆ เดือน
มาก่อนมาหลัง ไม่สำคัญ - Everyone can SUCCEED
ต้องไม่มีสายแรก ต้องไม่มีคำว่ามาก่อนโอกาสดีกว่า ทุกคนโอกาสเท่ากัน ไม่งั้นคุณจะไปหาสายงานได้อย่างไร จะบอกเขาว่า คุณมีโอกาสดีกว่าเขาหรือ
ใครทำใครได้ - Pay per Performance
ต้องไม่มีเสือนอนกิน ธุรกิจเครือข่ายใครทำคนนั้นต้องได้ผลตอบแทน ถ้าจะเป็นเสือนอนกิน ก็ไปซื้อหุ้นด้อยสิทธิ์ในบริษัท จะถูกต้องกว่า
ธุรกิจเครือข่ายทุกตัว เจ้าของบริษัทคำนวนไว้หมดแล้วว่า เขาต้องจ่ายเท่าไร กี่เปอร์เซนต์จากยอดรายได้ของเขา ไม่ว่ามันจะใช้แผนการตลาดแบบใด ลองอ่านบทความเรื่อง ทำธุรกิจ MLM แล้วใครรวย ได้ในกลุ่มบทความ MLM นะครับ
มีคำถาม มีความเห็นต่าง หรืออยากเพิ่มเติมอะไร ก็เขียนเข้ามาได้ทางหน้า ถาม-ตอบ นะครับ
โดย ชาญวิทย์ จตุวีรพงษ์ เมื่อ 2009-03-02 11:24:14
ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ธุรกิจที่จะได้รับความสนใจ และมีแรงกระตุ้น นัยว่าจะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมง คงไม่หนีไปจากธุรกิจเครือข่าย ไม่ว่าจะชั้นเดียว หลายชั้น สองขา สี่ขา หรืออะไรก็ตาม ด้วยเหตุผลหลักเลยคือ ลงทุนน้อย ได้ผลตอบแทนตามความทุ่มเท ที่ให้ลงไป
แต่ในความสว่าง ก็มีความมืด ถ้าคุณไม่รู้จักความมืด จะรู้ได้อย่างไรว่ามันสว่าง พวกมิฉาชีพที่แทรกตัวอยู่ในวงการเหล่านี้ ก็จะฉวยโอกาสนี้ ดันแชร์ลูกโซ่ เข้าไป บางคนตัวเองพลาดไปร่วมด้วยแล้ว ก็เลยเอาละหลอกคนอื่นต่อ คงมีคนพลาดเหมือนเรา แต่บางคนไม่รู้เลยว่าตัวเองพลาดไปร่วมวงแชร์ลูกโซ่ ก็เลยทุ่มเท หาสายงานยังกับถูกล้างสมองมาว่ามันดี
ขอให้มีสติไว้ คิดอยู่เสมอว่า
อะไรที่มันดีเกินกว่าจะเป็นจริงได้มันหลอกลวง - Too Good to be TRUE is SCAM
ธุรกิจเครือข่าย ผลตอบแทนของคุณต้องมาจาก ยอดในทีมงานของคุณ การหาสายงานคือการสร้างทีมให้ใหญ่ขึ้น ไม่ใช่มีรายได้หลักมาจากการหาสายงาน (ค่าหัวคิว) ยังไงเสียมันก็คืองานขาย ต้องมีใครสักคนที่ขายของ คุณไม่ขาย ทีมงานของคุณก็ต้องขาย มาดูเป็นข้อๆ ไปนะครับ
ค่าสมัครสมาชิก - Membership Fee
ต้องไม่สูง มันควรจะเป็นเพียงค่าดำเนินการ เช่นสัก 100-200 บาท นี่ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
โบนัสจากการหาสายงาน - Referral Fee
ข้อนี้ต้องดูหลายๆ อย่างประกอบ สำหรับบางบริษัทเขาใช้มันเป็นแผนการตลาด ที่จะสร้างเครือข่ายขนาดใหญ่ แต่บางบริษัทมันเหมือนค่าหัวคิว ตัวอย่างเช่น
ถ้าค่าสมัครสมาชิกในข้อ 1 คือ 100 บาท
ถ้าคุณแนะนำนาย ข. มาสมัคร คุณได้ไปเลย 50-60 บาท แบบนี้เรียกค่าหัวคิว
แต่ถ้าคุณแนะนำนาย ข. มาสมัคร คุณได้ 50-60 บาทเหมือนกัน แต่มีเงื่อนไขว่า คุณ+ทีมงานของคุณ ต้องมียอดขายรวมกัน 1500 บาท อย่างนี้ผมเรียกว่าแผนการตลาด
หรือถ้าคุณแนะนำนาย ข. มาสมัคร คุณได้ 10 บาท ผู้แนะนำของคุณได้อีก 10 บาท สูงขึ้นไปสัก 4-5 ชั้น อย่างนี้ผมก็ยังเรียกว่าแผนการตลาด แม้มันจะมีช่องโหว่ให้สร้างทีมแนวดิ่ง เพื่อกินค่าหัวคิวก็ตาม
ค่าบริการรายเดือน - Monthly Fee
จะให้ดี มันไม่ควรจะมี เว้นแต่บริษัทเขาให้บริการบางอย่างกับสมาชิก ที่มันมีค่าใช้จ่ายสูงเกินกว่าบริษัทจะให้ใช้บริการฟรีได้ สรุปว่า คุณต้องไม่เสียเงินให้เปล่ากับบริษัททุกๆ เดือน ไม่งั้นมันก็จะกลายเป็นว่า ผลตอบแทนที่คุณได้ ก็คือเงินของคุณ และทีมงานของคุณ มองหน้าทีมงานไม่ติดเปล่าๆ เหมือนหลอกเขามาสมัคร แล้วมาขอเก็บเงินจากเขาทุกๆ เดือน
มาก่อนมาหลัง ไม่สำคัญ - Everyone can SUCCEED
ต้องไม่มีสายแรก ต้องไม่มีคำว่ามาก่อนโอกาสดีกว่า ทุกคนโอกาสเท่ากัน ไม่งั้นคุณจะไปหาสายงานได้อย่างไร จะบอกเขาว่า คุณมีโอกาสดีกว่าเขาหรือ
ใครทำใครได้ - Pay per Performance
ต้องไม่มีเสือนอนกิน ธุรกิจเครือข่ายใครทำคนนั้นต้องได้ผลตอบแทน ถ้าจะเป็นเสือนอนกิน ก็ไปซื้อหุ้นด้อยสิทธิ์ในบริษัท จะถูกต้องกว่า
ธุรกิจเครือข่ายทุกตัว เจ้าของบริษัทคำนวนไว้หมดแล้วว่า เขาต้องจ่ายเท่าไร กี่เปอร์เซนต์จากยอดรายได้ของเขา ไม่ว่ามันจะใช้แผนการตลาดแบบใด ลองอ่านบทความเรื่อง ทำธุรกิจ MLM แล้วใครรวย ได้ในกลุ่มบทความ MLM นะครับ
มีคำถาม มีความเห็นต่าง หรืออยากเพิ่มเติมอะไร ก็เขียนเข้ามาได้ทางหน้า ถาม-ตอบ นะครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)