วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตลาดเป้าหมายของปูแดงไคโตซาน

ปัจจัยแห่งความสำเร็จของเศรษฐีอเมริกัน

ปัจจัยแห่งความสำเร็จของเศรษฐีอเมริกัน
1. มีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น

การจะประสบความสำเร็จได้จำเป็นจะต้องอาศัยการทำงานร่วมกันเป็นทีม และด้วยประสบการณ์ในการพบปะผู้คนมากมาย ทำให้เหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลายเป็นคนช่างสังเกต เป็นผู้ฟังที่ดี และมีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น (EQ) ซึ่งทักษะประการหลังนี้ พวกเขารู้ดีว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ยาก เพราะการที่คนเราจะมีความเกรงอกเกรงใจ มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานอย่างเต็มที่
และมีความสามารถในการทำงานเป็นทีมนั้น ไม่ได้ฝึกกันได้แค่เพียงข้ามคืน แต่เป็นทักษะเฉพาะตัวและจะต้องใช้เวลาในการเพาะบ่มนิสัยเหล่านี้ ฉะนั้นในการคัดเลือกบุคลากร เหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลายจะคัดเลือกเฉพาะคนที่เป็นคนดี มีความสามารถ และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เพราะคนที่เก่งอย่างเดียวแต่ไม่มีคุณธรรม สามารถทำให้องค์กรล่มจมได้ ในขณะเดียวกัน คนดีอย่างเดียวแต่ไม่มีความสามารถ ก็ไม่สามารถพัฒนาองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้ ฉะนั้น เขาจึงเลือกคนดี ที่มีความสามารถในระดับหนึ่งและพร้อมที่จะปรับปรุงพัฒนาตนเองอยู่เสมอ และที่สำคัญที่สุดคือสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อพวกเขาได้บุคลากรตามคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว พวกเขาจึงใช้ทักษะในความเป็นผู้นำเพื่อบริหารองค์กร ได้แก่ การมีความสามารถในการโน้มน้าวจิตของลูกน้องให้ตระหนักถึงความสำคัญของงานที่ตนเองกำลังกระทำ และเห็นความสำคัญในการทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อความสำเร็จขององค์กร

2. รับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์ได้ทุกรูปแบบ
เหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลายต่างเข้าใจถึงสัจธรรมประการหนึ่งว่า ในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับแนวคิดและการกระทำของเรา ฉะนั้น เมื่อใดที่พวกเขาโดนวิพากษ์วิจารณ์ พวกเขาจะไม่ปฏิเสธ แต่จะเลือกฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากคนที่มีความรู้จริง ๆ ในสิ่งที่เขาพูด มิใช่เป็นการปรักปรำ หรือวิพากษ์วิจารณ์เพื่อความสะใจ หรือเป็นข้อเท็จจริงที่เขาเหล่านั้นคิดขึ้นมาเอง นอกจากนั้น ในบรรดาผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลาย บรรดาเศรษฐีอเมริกันจะเลือกที ่จะใส่ใจคำพูดของคนที่เสนอหนทางแก้ไขให้ด้วย เพราะแม้ว่าเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์จะเป็นความจริงก็ตาม แต่หากไม่มีหนทางแก้ไขแล้วล่ะก็ พวกเขาก็ไม่นำเรื่องเหล่านั้นมาใส่ใจเลยเพราะถือว่า เป็นเรื่องรกสมอง

3. มีความซื่อสัตย์ปากกับใจตรงกัน
การมีความซื่อสัตย์ทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น ด้วยคุณสมบัติข้อนี้เองจึงทำให้เขาสามารถเลือกคู่ครองที่เหมาะสม ที่มีคุณธรรมเช่นเดียวกันนี้ได้ คู่ครองเหล่านี้คือ คนที่จะช่วยประคับประคองซึ่งกันและกันเมื่อชีวิตต้องเผชิญกับอุปสรรค และช่วยสนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกันเมื่อชีวิตประสบความสำเร็จ

4. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
เหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลายสามารถมองเห็นลู่ทางในการทำธุรกิจได้อย่างเหนือชั้น อย่างที่คนทั่วไปคาดไม่ถึง เพราะพวกเขาเหล่านั้นรู้จักใช้สัญชาตญาณ พวกเขาเชื่อว่า ความสามารถพิเศษนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจิตใจมีความสงบ ผ่องใส และจดจ่ออยู่กับเรื่องนั้น ๆ อย่างต่อเนื่อง และเมื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างละเอียดในทุกแง่ทุกมุมจนความคิดตกตะกอน จึงเกิดเป็นความคิดริ เรื่มสร้างสรรค์ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร

5. มีระเบียบวินัยและมีเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอน
พวกเขาจะใช้พลังงานทั้งหมดด้วยความขยันและอดทน และจะทำงานทีละอย่างอย่างมีระเบียบวินัย นอกจากนั้น พวกเขายังรู้อีกว่า ช่วงเวลาไหน ควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร เพราะพวกเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอน จึงรู้ดีว่าตอนนี้ตนเองกำลังอยู่ตรงจุดไหนบนเส้นทางของชีวิต จึงไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าไปกับเรื่องที่ไร้สาระ

ไขเคล็ดลับวิธีการคิดและแนวทางการมองโลกของอภิมหาเศรษฐี

ไขเคล็ดลับวิธีการคิดและแนวทางการมองโลกของอภิมหาเศรษฐี
บทความที่นำเสนอสรุปจากหนังสือเรื่อง The Millionaire Mind แต่งโดย
Thomas Stanley ผู้แต่งรวบรวมข้อมูลในทุกแง่ทุกมุม ทั้งจากการการสัมภาษณ์และจากการศึกษาแนวทางในการดำเนินชีวิตของเหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลาย เพื่อค้นหาลักษณะนิสัยร่วมกันและปัจจัยแห่งความสำเร็จของบุคคลเหล่านี้

มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้
ลักษณะนิสัยที่เหมือนกันของเศรษฐีอเมริกันทั้งหลาย ได้แก่

1. มีชีวิตอยู่อย่างพอเพียง
พวกเขามักใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่หรูหราฟู่ฟ่าจนเกินความจำเป็นกินอยู่และแต่งกายอย่างประหยัดและเหมาะสมตามกาละเทศะ
เมื่อมีสิ่งของหรือเครื่องใช้เกิดการชำรุด เหล่าบรรดาเศรษฐีทั้งหลายมักเลือกที่จะลองซ่อมแซมดูก่อน มากกว่าเลือกที่จะซื้อใหม่เพราะพวกเขารู้ถึงคุณค่าของเงิน จึงไม่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย นอกจากนั้น คำว่า "ร่ำรวย" ในสายตาของบุคคลเหล่านี้หมายถึง การมีรายรับสูงและมีรายจ่ายต่ำ ในทางกลับกัน การมีรายได้สูงแต่มีการใช้จ่ายอย่างไม่จำกัด ประเภทหลังนี้ พวกเขาเรียกว่า การมีความเป็นอยู่แบบ "ยากจน"

2. ไม่เป็นพวกที่บ้างาน
พวกเขาให้ความสำคัญต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือญาติมิตรมาเป็นอันดับหนึ่ง เพราะพวกเขาเชื่อว่า ความสบายใจ ความอบอุ่นภายในครอบครัว การมีสุขภาพที่ดี และการมีชีวิตส่วนตัวที่สมดุลย์กับชีวิตการทำงานจะเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จในอนาคต ฉะนั้น พวกเขาจึงไม่ทำงานจนเกินตัว และเลือกทำเฉพาะชิ้นงานที่สำคัญและเกิดผลประโยชน์อย่างมากต่อองค์กร อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาเหล่านั้นจะเป็นคนที่ชอบเกี่ยงงานหรือเป็นคนที่เกียจคร้านแต่อย่างใด แต่มันหมายถึงการทำงานด้วยสติปัญญา ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ๆ ไป และในความเป็นจริงแล้วพวกเขาเหล่านี้เป็นบุคคลที่ตั้งใจทำงานทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปตามแผ นการที่วางไว้ นอกจากนั้น การที่พวกเขาพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างเพราะพวกเขาเชื่อว่า คนเหล่านั้นอาจจะกลายมาเป็นลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงานที่ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันในภายภาคหน้าก็เป็นได้

3. ไม่ได้ร่ำรวยมาตั้งแต่เกิด
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีเงินทองหรือมรดกมากมายจากพ่อแม่มาตั้งแต่เกิด แต่พวกเขาก็พยายามต่อสู้ สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง และก็ประสบความสำเร็จเสียด้วย เพราะผู้แต่งกล่าวว่า พวกเขาเหล่านั้นส่วนใหญ่มักจะร่ำรวยตั้งแต่ก่อนอายุ 45 ปีเสียด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดี การที่พวกเขาต้องลำบากลำบนมาตั้งแต่เด็กก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะตามใจลูก ๆ ของตนเองทุกอย่างเพื่อทดแทนสิ่งที่ตนเองขาดหายไปในวัยเด็ก แต่พวกเขากลับมีวิธีการสอนให้ลูกรู้จักอดทน รู้จักคุณค่าของเงิน มีความเป็นผู้ใหญ่ และกล้าที่จะเสี่ยง โดยเหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลาย มักจะสอนให้ลูก ๆ รู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในช่วงปิดเทอม โดยการทำงานพิเศษเพื่อหาเงินด้วยตนเอง ฝึกความมีระเบียบวินัย และฝึกฝนทักษะในการพึ่งพาตนเอง

4. ไม่ได้มีสติปัญญามากนัก
เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมาตั้งแต่เกิดจึงจำเป็นต้องทำงานไปด้วยเรียนหนังสือไปด้วย ทำให้ผลการเรียนที่ออกมาไม่ค่อยสูงมากนัก ส่วนใหญ่แล้ว GPA ในระดับปริญญาตรีจะอยู่ประมาณ 2.9 เท่านั้น และด้วยความลำบากตรากตรำในการเรียน สิ่งนี้ทำให้เขารู้จักความอดทนและไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แม้เมื่อเจออุปสรรคในการทำธุรกิจ เขาก็จะไม่ตื่นเต้นอะไรมากนัก เพราะพวกเขารู้ดีว่า อุปสรรคกับความสำเร็จเป็นของคู่กัน หากไม่มีอุปสรรคให้ข้ามผ่าน ชัยชนะที่ได้มาย่อมไม่อาจเรียกได้ว่า ความสำเร็จ นอกจากนั้น ช่วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย บรรดาเศรษฐีเหล่านี้ยังชอบที่จะผูกสัมพันธ์กับคนหลาย ๆ ประเภท เพื่อศึกษาพฤติกรรมและแนวความคิดของบุคคลเหล่านั้น และเพราะการได้พบปะเจอะเจอคนมากมาย ทำให้พวกเขามีทักษะในการเลือกคบคน ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการคัดเลือกบุคลากรเข้ามาร ่วมงานในองค์กรได้เป็นอย่างดี และสุดท้าย จากมุมมองของเหล่าเศรษฐีทั้งหลาย พวกเขาเชื่อว่า ชีวิตสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นช่วงเวลาแห่งการแสวงหาตนเอง เพื่อให้รู้ว่า ตนเองชอบหรือมีความถนัดในสิ่งใด และทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การที่เขารู้จักตนเองดีพอ ทำให้เขาสามารถเลือกทำงานที่ชอบและมีความถนัดได้ ซึ่งสองสิ่งนี้เองก็คือ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดนั่นเอง

5. กล้าที่จะเสี่ยงและมีใจรักในงานที่ทำ
ด้วยใจรักในงานที่ทำ ทำให้พวกเขามีกำลังใจที่จะขวนขวายหาความรู้อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้งานที่ออกมานั้น แทบจะไม่มีชิ้นใดเลยที่ไม่ประสบความสำเร็จและด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนและทันสมัยดังกล่าว รวมกับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ทำให้พวกเขากล้าที่จะเสี่ยงในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆให้กับสินค้าของตนเอง ส่งผลให้พวกเขาสามารถครองตลาดสินค้าชนิดใหม่ ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เมื่อนั้นทั้งความสำเร็จและความมั่งคั่งร่ำรวยย่อมไหลมาเทมาอย่างไม่ต้องสงสัย

6. มีคุณธรรมในจิตใจ
เขาเชื่อว่า ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่เงินตรา แต่อยู่ที่คุณธรรมความจริงใจที่มีให้แก่กัน ฉะนั้น พวกเขาจึงทำธุรกิจด้วยความซื่อตรง ซื่อสัตย์ และตรงไปตรงมา ไม่มีการหลอกลวง ทำให้ธุรกิจของพวกเขาเจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง นอกจากนั้น เขายังตระหนักดีว่า การหลอกลวงลูกค้าด้วยวิธีใดก็ตาม แม้ว่าจะได้ผลกำไรที่งอกเงย แต่มันจะเป็นเพียงในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เพราะเมื่อลูกค้าจับได้ เขาย่อมไม่กลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการของเราอีกอย่างแน่นอน ในทางกลับกัน การค้าขายอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าจะได้ผลกำไรอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่วิธีนี้สามารถซื้อใจลูกค้าได้ จึงทำให้บริษัทมีผลกำไรอย่างต่อเนื่องในระยะยาว

--------------------------------------------------------------------------------