คุณโปรแกรมตัวเองไว้แบบไหน?
คุณรู้หรือไม่คะว่า “คุณเป็นคนอย่างที่คุณคิดตลอดเวลา!” เช่น ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นคนไม่เก่ง คุณก็จะเป็นคนไม่เก่งในโลกของคุณเอง คุณจะขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง คุณจะกังวลว่าจะทำได้ไหม? สิ่งที่คุณทำไปมันดีพอหรือยัง? ..
เวลาที่คุณทำอะไรได้ดี มันก็จะผ่านเลยไป แต่เวลาที่คุณทำได้ไม่ดี คุณก็จะตอกย้ำกับตัวเองว่า “ฉันเนี่ยมันไม่ได้เรื่องเลย ฉันไม่มีความสามารถ!” ใช่ไหมคะ? คุณมีประสบการณ์และข้อพิสูจน์หลายต่อหลายครั้งว่า คุณไม่เก่ง แล้วมันก็กลายเป็นความจริงในโลกของคุณ!?!
นับจากนี้ไป .. ระวังสิ่งที่คุณคิดให้ดีๆ เพราะสิ่งที่คุณคิดบ่อยๆ พูดบ่อยๆ เห็นบ่อยๆ ทำบ่อยๆ มันจะกลายเป็นการโปรแกรมตัวคุณเองแบบอัตโนมัติโดยที่คุณไม่รู้ตัว!
หลักการทำงานของสมองและจิตใต้สำนึกมีอยู่ว่า “สิ่งที่ใส่เข้าไปเท่ากับสิ่งที่ออกมา” “Input=Output” คุณใส่อะไรเข้าไปในสมองหรือความคิดของคุณ ผลลัพธ์มันก็จะออกมาเป็นแบบนั้น
ในเมื่อเรารู้หลักการทำงานของสมองและจิตใต้สำนึกแบบนี้แล้ว ทำไมเราไม่โปรแกรมตัวเองให้ดีๆล่ะคะ?!? แทนที่เราจะปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแบบอัตโนมัติโดยที่เราไม่รู้ตัว หรือพูดง่ายๆก็คือ เราไม่เคยฝึกตัวเองที่จะ“มีสติ”กำกับความคิด คำพูด และการกระทำของเรา
สิ่งที่เราต้องใช้สติในการโปรแกรมตัวเอง หรือใส่ Input ดีๆได้แก่ 1. ความคิด 2. คำพูด 3. ภาพที่เราเห็นด้วยตาหรือเห็นจากการจินตนาการก็ได้ 4. การแสดงออกหรือการใช้ร่างกายของเรา
ในงานสัมมนา “ปลุกยักษ์” คุณจะได้เรียนรู้วิธีการพลิกความคิดใหม่ว่าทำอย่างไร? เรียนรู้วิธีการสื่อสารกับตัวเองแบบใหม่ทำอย่างไร? วิธีการใช้ภาพหรือจินตนาการทำอย่างไร? วิธีเปลี่ยนการเคลื่อนไหวร่างกายใหม่ที่จะทำให้ระดับพลังชีวิตและระดับความเชื่อมั่นในตัวเองสูงขึ้นว่าทำอย่างไร? คุณจะได้ทำ Workshop เยอะมาก..ก..ก และขอบอกว่า .. เด็ดๆมันส์ๆทั้งนั้น!.. ว้าว!
ดิฉันอยากเล่าทฤษฎีอื่นให้คุณฟังอีก เขาเรียกว่า “กฎของการดึงดูดชักนำพา” มีคนเขาทดลองเอาส้อมเสียง .. โด เร มี ฟา ซอล ลา ที .. ไปตั้งกระจายไว้ในห้องหลายๆอัน แล้วเขาก็เคาะส้อมเสียง “โด” ปรากฏว่า มีส้อมเสียง “โด” อีกอันที่อยู่หลังห้องมันสั่นรับขึ้นมา ในขณะที่ส้อมเสียงอื่นอยู่นิ่งๆแบบเดิม เขาเลยคิดค้นและได้บทสรุปว่า “คลื่นพลังงานอะไรก็แล้วแต่ที่ใกล้เคียงกันจะดึงดูดกัน”
ต่อมามีการทดลองเอาคนที่มีความสุข เบิกบานใจแบบเข้มข้น ไปวัดคลื่นพลังงานที่ออกจากสมอง ปรากฏว่าเป็นคลื่นพลังงานบวกที่สูงมาก คลื่นนี้มีพลังแรงมาก ขนาดเขาเอากล้องไปถ่าย ยังเห็นภาพคลื่นพลังงานผ่านทะลุกำแพงออกไปได้ด้วย เขาได้ติดตามดูชีวิตคนพวกนี้ ก็พบว่าคนที่มีความสุขเบิกบานใจเหล่านี้ จะได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ เช่น ได้ไปเจอคนดีๆ ได้พบกับเหตุการณ์ดีๆฯลฯ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาปล่อยคลื่นพลังงานบวกไปดึงดูดคลื่นประเภทเดียวกันเข้ามาในชีวิต
นอกจากนี้ ยังมีการทดลองเอาคนที่ซึมเศร้า ห่อเหี่ยว ท้อแท้ รันทดกับชีวิต ไปวัดคลื่นพลังงาน ปรากฏว่า ได้คลื่นพลังงานที่เป็นลบ คลื่นเหล่านี้ก็จะไปดึงดูดคลื่นประเภทเดียวกันเข้ามา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนเหล่านี้ก็มักจะพบแต่เหตุการณ์ร้ายๆอยู่เป็นประจำ!
คุณจะเห็นได้ว่าทุกทฤษฎีนั้นสอดคล้องสัมพันธ์กันหมด เช่น ถ้าใครคิดหรือพูดไม่ดี Input ลบ ก็เท่ากับว่าเขากำลังปล่อยคลื่นพลังงานลบออกมาด้วย ซึ่งมันจะไปดึงดูดสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิต
สิ่งที่คุณคิด พูด เห็น หรือทำบ่อยๆ จะกลายเป็นนิสัย ยิ่งสภาวะอารมณ์ที่คุณมี เข้มข้นเท่าไร มันจะยิ่งลงสู่จิตใต้สำนึกได้เร็วและเป็นการโปรแกรมตัวเองแบบเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น!
จำได้ไหมคะ ก่อนหน้านี้ดิฉันอธิบายถึงเรื่องการแยกแยะ ระหว่าง 1. สิ่งที่เกิดขึ้น กับ 2. สิ่งที่เราตีความ/คิด/ปรุงแต่ง ดิฉันอยากบอกคุณอีกครั้งว่า สิ่งที่คุณคิดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นการตีความและการให้ความหมายต่อสิ่งต่างๆด้วยตัวคุณเองทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่เป็นความจริงหรอกค่ะ!
ถ้าคุณบอกว่าโลกนี้สวยงาม ชีวิตของคุณโชคดี คุณก็จะรู้สึกมีความสุขและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตใช่ไหมคะ? แต่ถ้าคุณบอกว่า โลกนี้โหดร้าย ชีวิตของคุณมีแต่ปัญหาและอุปสรรค คุณก็คงเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและหมดแรงจริงไหมคะ? โลกก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง มีแต่มนุษย์เราเท่านั้นที่ไปตีความหรือให้ความหมายกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้!
ก็ในเมื่อเราเป็นคนที่ให้ความหมายกับทุกสิ่งทุกอย่างเอง แล้วทำไมเราไม่ตีความหรือให้ความหมายดีๆ ที่ให้พลังกับชีวิตของเราล่ะ จริงไหมคะ? ต่อจากนี้ไป ให้คุณเริ่มใส่ Input หรือโปรแกรมตัวเองให้ดี ด้วยความคิด คำพูด ภาพที่เห็น และการกระทำหรือการแสดงออกที่ดี
เริ่มบอกกับตัวเองทุกวันได้แล้วว่า “ฉันเป็นคนโชคดี!” เมื่อสิ่งดีๆเกิดขึ้น แม้จะเล็กน้อย ก็ให้บอกตัวเองว่า“โชคดีจัง!” แล้วคอยดูว่า คุณเริ่มดึงดูดความโชคดีเข้ามาในชีวิตมากขึ้นหรือเปล่า?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น